กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
4.ปิติที่มีอาการเหมือนมี มด หรือแมลง มาไต่ตามใบหน้า หรือตามแขนขาครับ ปิตินี้จะทำให้จิตใจเราเกิดความรำคาญหงุดหงิดและออกจากสมาธิลืมตาขึ้นดูหรือลูบตามหน้าตามตัวดูแต่ก็ไม่มีตัวอะไรทั้งสิ้น ปิตินี้ความจริงเกิดจากการที่จิตเราเริ่มหยุดนิ่งและลดการทำงานของประสาทสัมผัสอื่นคือตา หู จมูก ลิ้น คงเหลือแต่ผิวหนังร่างกายที่ทำให้ประสาททำงานละเอียดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังเพียงเล็กน้อย เราก็รู้สึกได้ชัดเจนกว่าปรกติ จึงทำให้รู้สึกว่าคล้ายว่ามีแมลงไต่ตอมอยู่ วิธีปฏิบัติคือการกำหนดรู้ครับว่า เรารู้ว่าที่ปรากฏนี้คือปิติ เมื่อจิตเรารู้ทันแล้ว ปิติตัวนี้จะไม่เกิดอีกในครั้งนั้นและจิตจะเคลื่อนสู่ฌานที่สูงขึ้นผมสงสัยว่า ปิติที่มีอาการเหมือนมี มด หรือแมลง มาไต่ตามใบหน้า หรือตามแขนขานั้น
มีคนที่มีความรู้สึกแรงมากๆจนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีเข็มมาแทงให้เจ็บปวดทั่วตัวหรือไม่ครับ
ผมเคยเกิดเจ็บปวดจากความรู้สึกแบบนี้มาเป็น 10 ปีเลย จนกระทั่งมีคนในเวปนี้ทักว่าเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวร
หลังจากที่ผมได้บวชเป็นเวลา 2 อาทิตย์ตอนต้นปีนี้เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่คุ้มครองผม
อาการเจ็บปวดเหมือนเข็มทิ้มแทงที่ว่าจึงกลับกลายเป็นการคันเหมือนมี มด หรือแมลง มาไต่ตามตัวเหมือนเดิม
จึงอยากทราบว่ามีคนเคยเป็นแบบนี้หรือไม่ครับ หรือหากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป
รบกวนคุณ kananun ช่วยตรวจถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการ ทางแก้ไข และแจ้งให้ผมทราบได้หรือไม่ครับ
เพราะจนกระทั่งบัดนี้ผมยังไม่ทราบถึงสาเหตุแท้จริงของอาการคันดังกล่าวเลยครับ
ทำให้เวลาทำอะไรแล้วไม่มีสมาธิเท่าที่ควร
ขออนุญาตตอบคุณจันทร์เจ้าครับ ในกรณีของคุณนั้น เป็น เรื่องของเจ้ากรรมนายเวร ที่มาขัดขวางไม่ให้คุณได้เข้าถึงความดีครับ ที่มีท่านผู้รู้ท่านให้หมั่น แผ่เมตตาและขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรนั้น ถูกต้องแล้วครับ และกรณีของคุณ ขอให้ เริ่มแผ่เมตตาและขออโหสิกรรมก่อนการเริ่มนั่งสมาธิ หลังสวดมนต์เสร็จได้เลยครับ จากนั้นจึงว่าบทสมาทานพระกรรมฐาน แล้วจึงอธิฐานขอบารมีพระท่านให้คุ้มครองทั้งกายและจิตของเราให้เข้าสู่สมาธิได้โดยง่าย จากนั้นจึงค่อยเริ่มทำสมาธิ ครับ อาการมดไต่จะลดลงครับ เมื่อเกิดขึ้นก็ให้กำหนดรู้ ว่าเป็นปิติ และอธิฐานกำกับว่า"พระปิตินี้เราทราบเราได้รู้อารมณ์แล้ว และเราขอผ่านขึ้นสู่สมาธิที่ละเอียดปราณีตขึ้น ด้วยเทอญ" จิตจะผ่าน พระปิติตัวนี้ไปครับ
---ถ้ามีข้อสงสัยอะไรถามมาอีก ได้ครับ ลองไปทำดูใหม่ก่อน
ตอนแรกตั้งใจว่า จะแนะนำ การฝึกสลับกองกสิณแบบพิศดาร แต่ผลปรากฏว่าเกิดขัดข้องทางเทคนิคครับ ท่านให้ข้ามไป บอกว่าละเอียดเกินกำลังใจของหลายท่านครับ ท่านจะให้รวบ ไปสอน อรูปฌานและการยกอารมณ์ของอรูปขึ้นสู่ อารมณ์พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่สุดแห่งอารมณ์ฌานที่พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญครับ ผมมัวแต่ชวนท่านไปเล่นซนกันไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยครับ แต่ก็ดีครับจะได้ชำนาญๆ คล่องๆกัน อรูป ขอยกยอดไปพรุ่งนี้นะครับ
ขอบคุณครับ สำหรับในส่วนการปฎิบัติของผมนั้น ผมยังติดอยู่ในขั้นตอนการยกจิตของตนขึ้นสู่แดนพระนิพานครับ
หลังจากที่กระผมลองกลับไปคิดทบทวนเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปที่เคยไม่เข้าใจมาก่อนเกี่ยวกับเรื่องการถอดดวงจิต
(ผมเคยอ่านบทความเรื่องการรู้ถึงตัวรู้แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจครับ) จึงนำมารายงานเพื่อให้ผู้อื่นช่วยตรวจสอบว่าสิ่งที่ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่
ผมคิดว่าการที่จะถอดจิตขึ้นไปสู่แดนพระนิพานได้ จำเป็นจะต้องรู้จักตัวรู้เสียก่อน จิตของเราจริงๆกับตัวรู้ที่ว่านี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดคนละจุดกัน
โดยการที่จิตของเราที่แท้จริงนั้นจะรับรู้ความรู้สึกใดๆจากอวัยวะหรือประสาทสัมผัสต่างๆล้วนรับรู้ผ่านตัวรู้นี้ทั้งสิ้น
เป็นจุดที่ดวงจิตของเราใช้ติดต่อเพื่อควบคุมร่างกายของเรา หากดวงจิตของไม่สามารถตัดขาดออกจากตัวรู้นี้โดยสมบูรณ์แล้ว
ความรู้สึกที่เรารับจากตัวรู้จะเรียกดวงจิตของเรากลับมาสู่ร่างกายของเราอยู่ตลอดเวลา ดวงจิตจะจับเกาะติดอยู่กับร่างกายของเรา
พออธิบายถึงตรงนี้ ทำให้ผมคิดได้ต่อไปอีกว่า หากเราต้องการเคลื่อนดวงจิตไปยังสถานที่ไหน เราก็ใช้วิธีการเดียวกัน
โดยให้การรับรู้ของเราไปปรากฎยังสถานที่นั้นเหมือนกับการที่เรารับความรู้สึกจากจุดตัวรู้ในร่างกายของเรา
และถ้าผมเดาไม่ผิด จุดตัวรู้ที่จะว่าไปก็มีลักษณะเหมือนประตูทางออกของกายทิพย์ก็คือต่อมไพโอเนียที่คุณ Mead พูดถึงบ่อยๆนั่นเอง
ส่วนวิธีการที่ผมคิดว่าน่าทำให้สังเกตุเห็นตัวรู้ได้คือ (ผมยังทำไม่สำเร็จจึงไม่รับประกันความถูกต้องครับ)
ขั้นแรกให้ทำสมาธิก่อนเพื่อตัดเอาเรื่องทางโลกออกให้หมดเสียก่อน จะได้มีกำลังปัญญาในการวิเคราะห์จิตของตนถี่ถ้วนยิ่งขึ้น
ขั้นมาคือให้เราพยายามจับความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ไม่ว่าเป็นการหายใจ ความรู้สึกที่ผิวหนัง เสียงที่ได้ยิน และอื่นๆ
ความรู้สึกทุกอย่างที่เรารู้นั้น อาจดูเหมือนว่ามันมาจากประสาทสัมผัสคนละส่วนในร่างกาย แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่ตัวรู้อยู่ดี
หลังจากที่ผมได้พิจารณาต่อไปเรื่อยๆก็พอว่า ถึงมันเป็นความรู้สึกจากคนละส่วนในร่างกาย แต่มันมีสิ่งที่ร่วมกันอยู่ซึ่งมีจำนวนน้อยลง
จริงๆแล้วเรารับความรู้สึกมาจากสิ่งที่่ร่วมกันนี้ต่างหาก ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นซึ่งสิ่งที่ร่วมกันจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ
ถึงจำนวนจะน้อยลงแต่เรายังรู้ว่าหากเราจับเอากระแสความรู้สึกโดยผ่านตัวร่วมกลุ่มนี้ เราก็ยังรับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่เป็นไปในร่างกายของเราอยู่ดี
จากแนวโน้มของจำนวนสิ่งที่ใช้ส่งผ่านความรู้สึกร่วมกันที่ค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆนี้ ทำให้ผมคิดว่าในที่สุด เราจะรู้ได้ถึงจุดร่วมที่ใช้ส่งผ่าน
กระแสความรู้สึกจากประสาทสัมผัสทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกายเพียงแค่จุดเดียวเท่านั้นได้ และจุดนี้เองที่ท่านผู้รู้ในอดีตให้คำนิยามว่า "ตัวรู้"
หากเราสามารถรู้จักตัวรู้ที่ว่านี้ได้ เราก็จะสามารถเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วจิตของเราจริงๆนั้นเป็นคนละอย่างกับตัวรู้ในร่างกายที่ว่านี้
หากเราตัดการรับรู้กระแสความรู้สึกจากตัวรู้นี้ ดวงจิตของเราก็จะสามารถตัดขาดออกจากร่างกายและสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เรากำหนดดวงจิตให้รับกระแสความรู้สึกจากสถานที่นั้นได้ (หรือเรียกอีกอย่างว่าเรากำลังเอาดวงจิตไปเกาะติดที่นั้นแทนนั่นเอง)
คิดว่าเรายังอาจสามารถนำเอาดวงจิตของเราไปเกาะติดกับตัวรู้ในร่างกายของผู้อื่นได้เช่นกัน ทำให้เราทราบถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาได้
หรืออาจแม้กระทั่งสามารถบังคับควบคุมร่างกายของเขาได้ แต่ไม่ควรทำเนื่องจากเป็นการผิดศีลเรื่องการลักโขมย เพราะเราแอบใช้ร่างกายของเขา
โดยที่เจ้าของร่างกายไม่ได้อนุญาติ ไม่ทราบว่าสิ่งที่ผมเข้าใจนี้ถูกต้อง หรือ ผิดพลาดประการใดบ้างครับ
หากสิ่งใดถูกต้องดีแล้ว ผมจะได้ยืดถือเป็นหลักปฎิบัติต่อไป อนึ่งเพื่อยกจิตของตนขึ้นสู่แดนพระนิพานผ่านต่อไปยังการฝึกฝนขั้นต่อไป
หรือหากท่านใดมีข้อเสนอแนะใดๆก็เชิญได้เลยครับ จะได้เป็นประโยชน์ต่อการปฎิบัติทั้งต่อตัวกระผมเอง และ ผู้อื่นต่อไปครับ
โมทนาสาธุ ครับ
อยากให้คุณ kananun สอนเรื่อง การนำ กำลัง สมถะ มาใช้ในวิปัสสนา ให้เกิดปัญญา ครับผม ผมว่ามีประโยชน์แด่ส่วนรวมมากๆ ครับ คิดว่า หลังจากจบ อรูปณานแล้ว คุณ kananun คงได้สอนครับ
เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากครับ แนะนำ ให้มิตรธรรม save เก็บไว้ 1 เพื่อ ประหยัด พลังงาน และ print ออกมา ด้วย used paper เพื่อ ช่วยโลก save ทรัพยากรธรรมชาตินะครับ และไม่เสียสายตาด้วยครับ ค่อยๆ เอาออกมาอ่านและ ปฏิบัติตามไปเรื่อยๆ นะครับ ผมตั้งใจ จะทำเหมือนกัน ปกติ ไปฝึกที่ ท่าซุงมาแล้ว วันนี้ น่ายินดี ได้มารู้จัก กับมิตรธรรม ที่เป้นลูกหลานหลวงพ่อมากกมาย ผมไม่มีบุญเพียงพอได้เห็น ท่าน ตอนท่าน ยังมีชีวิต อยู่ครับ
ขอให้ทุกท่าน เจริญในธรรมจริงๆ ขึ้นไปนะครับ โมทนาสาธุกหับ ทุกบุญ ครับ
ครับคุณจันทร์เจ้า ผมก็มีอาการแบบนี้บ่อยๆครับขณะที่นั่งสมาธิไปสักพัก ทำให้นั่งไม่ทน และลำบากมาก พยายามไม่ใส่ใจกับอาการนั้นอยู่น่ะครับ..(ต้องลองทำแบบที่คุณคนานันท์แนะนำดูก่อนครับ) ตอนหลังผมก็ไม่เน้นนั่งนานๆแต่อาศัยช่วงสั้นๆทำจิตให้เป็นกลาง เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณโดยตรง และฝึกฝนคิดรู้ไปกับจิตวิญญาณที่เป็นตัวรู้ไปเลยครับ..ขอบคุณคุณคนานันท์สำหรับความรู้ครับ..
ถ้าจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ให้เห็นภาพเกี่ยวกับเทคนิคสมาธิก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ 3ส่วนนี้ กาย จิต จิตวิญญาณ ที่รวมกันเป็นหนึ่ง
ส่วนเรื่อง"ต่อมไพนีล"(ตาที่สาม) ที่คุณจันทร์เจ้าเอ่ยถึงนั้น เป็นช่องทางเข้าออกของคลื่นพลังงานจะเป็นเสมือนที่ตั้งของจิตหยาบครับ ส่วนที่ตั้งของจิตวิญญาณจะอยู่บริเวณ "ต่อมพิทูอิทารี่" ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ตรงกับหว่างคิ้วพอดีครับ
จิตวิญญาณที่เป็นประธานและเป็นแก่นแท้ตัวตนที่แท้จริง เมื่อมาอยู่ในกายเราจะถูกแบ่งภาคออกมาเป็น จิตหยาบหรือจิตปัจจุบัน ให้มาทำหน้าที่แทน (เหมือนคนขับรถ) ในการคิดรู้และกระทำหน้าที่ต่างๆในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่เราละสังขารไปจิตหยาบจะมอบคุณสมบัติทั้งหลายที่สร้างไว้ให้กับจิตวิญญาณรับภาระต่อไป และจิตหยาบก็จะสลายไปกับกายสังขารนี้ด้วยทันที
จิตวิญญาณจะเป็นรับผิดชอบการกระทำเหล่านั้นทั้งหมด ที่จะต้องชดใช้ผลการกระทำต่างๆและรอการปลดปล่อยไปสู่อิสระภาพในท้ายที่สุดเมื่อกลับมามีคุณสมบัติเป็นกลางได้เหมือนเดิม
ที่นี้การจะเชื่อมโยงจิตทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง ก็คือการทำให้จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นคลื่นพลังด้านบวกออกมา โดยใช้ "กลไกสมอง"เป็นตัวช่วยสร้างสะพานเชื่อมสมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกัน เมื่อฝึกการคิดรู้ใดๆที่เป็นนามธรรม สิ่งที่ไร้รูป ไร้ตัวตนไม่ยึดติดหรือคิดหาตัวตน จนสมองเกิดความชำนาญ สมองซีกขวาจะทำหน้าที่นำสมองซีกซ้ายทันที (กระแสไฟฟ้าจะสลับขั้วใหม่)
จากนั้นเราจะต้องเลื่อนระดับความสำเร็จขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยการเพิ่มความรู้และการสร้างสรรค์ การกระทำดังกล่าว จะทำให้เราเข้าใจตัวตนสามมิติของเรามากขึ้น และมันจะทำให้จิตวิญญาณรวมแข็งแกร่งขึ้น และบางส่วนของจิตวิญญาณรวมก็จะตระหนัก และรู้จริงถึงภาวะความเป็นร่างกายสามมิติในโลกสามมิติ ความรู้นี้ก็จะเพิ่มเติมคุณภาพให้กับธรรมชาติตัวตนของเรา ความรู้จะหลั่งไหลมาเองโดยอัตโนมัติจากจิตวิญญาณของเราเอง และเมื่อสมองเราถูกฝึกจนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ หรือสั่นสะเทือนสูงสุดจนดูเหมือนไม่สั่นสะเทือนแล้ว สมองส่วนกลางของเราจะทำหน้าที่หลักเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อเชื่อมโยงติดต่อกับรูปธรรมอื่นๆได้ทั้งในแนวดิ่งและแนวระนาบได้ สมองกับจิตที่ถูกยกระดับขึ้น จะทำหน้าที่สัมพันธ์กับอยู่ตลอดเวลาครับ
จิตวิญญาณจึงให้ลมหายใจแก่ร่างกายตัวตนสามมิติซึ่งสถิตย์ในร่างกาย ในการเชี่อมโยงระหว่างกัน เพื่อการสื่อสารกันด้วยข้อมูลของโลกแห่งความจริง ที่ไม่ใช่มายา ในยามที่เรามีสติอยู่เมื่อเราจะตัดสินใจสิ่งใดๆ แวปแรกที่เราสัมผัสได้นั่นคือจิตวิญญาณกำลังสื่อสารกับเรา หรือแม้ในตอนที่เราฝันก็ตาม
เมื่อเรียนรู้โลกสามมิติไปพร้อมๆกับจิตวิญญาณแล้วจนเข้าใจถ่องแท้แล้ว ก็พร้อมจะเรียนรู้ธรรมชาติของจิตต่อไป รู้ในความสามารถของจิตในระดับสูงขึ้นต่อไปได้
และเรี่องที่ กายทิพย์เราออกจากร่างนั้นไม่ได้ออกไปทั้งหมดนะครับ จะพุ่งออกไปบางส่วนไปปรากฎอยู่ในสถานที่แห่งนั้น แต่เชี่อมโยงกันอยู่กับร่างกายเราตลอดเวลาครับ ไม่งั้นคงกลับไม่ถูกแน่ครับต้องอาศัยบารมีแห่งองค์พุทธะนำพาไปจะดีที่สุดปลอดภัยกว่านะครับ..แต่อย่าไปยึดติดอารมณ์เหล่านี้มากเกินไปครับ ใช้ปฎิบัติการทางจิต ชำระจิตใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เข้าหาความเป็นจิตเดิมแท้ให้ได้มากที่สุดก่อน ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ตอนนี้ดีที่สุดครับ..
ถูกทั้งความเข้าใจของคุณจันทร์เจ้า และคุณ Mead ครับ เป็นการอธิบายกลไกของกายและจิต ที่อ้างอิงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ครับ มีข้อดีคือทำให้ คนในยุคนี้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ เพราะ คนเรามีหลายวิสัยหลายจริต จำเป็นต้องมีการอธิบายที่หลากหลายเหมาะสมกับภูมิ พื้นฐานความรู้และจริตครับ
ส่วนความรู้บทต่อไปเรื่องอรูปฌานนะครับ ตรงจุดนี้ ขอย้ำว่า มีคุณอนันต์และโทษมหันต์ครับ เพราะ อานิสงค์ของท่านที่ได้ อรูปฌานและพิจารณาในวิปัสนาญาณต่อจนบรรลุธรรม จะมีผลทำให้ได้ปฏิสัมภิทาญาณโดยอัตโนมัติครับ ตั้งแต่ อนาคาจนถึงอรหันตผลครับ การได้ปฏิสัมภิทาญาณนั้นมีผลทำให้
1.มีอภิญญาใหญ่ปรากฏเต็มรูปแบบ
2.มีความสามารถรู้ภาษามนุษย์และสัตว์ได้ทุกภาษา
3.ทรงพระไตรปิฏกได้ทั้งหมดแม้ไม่เคยเรียน เคยศึกษา
4.สามารถสอนธรรมมะที่ง่ายๆ มาแจงให้พิศดาร
5.สามารถสอนธรรมมะที่ยากลึกซึ้งให้กลายเป็นง่ายดาย เข้าใจง่าย
---ส่วนเหตุผลที่ทำให้ การฝึกอรูปฌานแล้วทำให้มีผลแห่งปฏิสัมภิทาญาณนั้นเป็นเพราะ ในองค์หนึ่งในอรูปนั้น มีการลบสัญญาความทรงจำ การล้าง ผัสสะจากอายตนะทั้งห้า มีการล้างการปรุงแต่งทางจิตและอารมณ์กระทบทั้งหมด ดังนั้น จึงเปรียบให้เข้าใจง่ายก็คือเมื่อจิตของเราเหมือนฮาร์ดดิสส์ที่มีข้อมูลขยะจาก เรื่องราวต่างๆ ที่มากระทบ ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ บางครั้งทำให้เกิด การ Over Information โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้ ยิ่งมีมหาศาล การเคลื่อนจิตเข้าสู่อรูปฌานได้นั้น เปรียบเหมือน การฟอร์แมตดิสส์ ล้างข้อมูลขยะ และบักของโปรแกรมเสียๆออกไปจนหมด จนจิตเราใสสะอาด ว่างเปล่า และมีเนื้อที่มากพอที่จะบรรจุข้อมูลใหม่ๆที่ดีเข้าไปได้ นั่นคือวิปัสนาญาณ ซึ่งจะทำให้ปฏิสัมภิทาญาณบังเกิดเป็นผลแห่งการปฏิบัตินั่นเอง
---ส่วนที่ว่ามีโทษมหันต์ ก็คือ หากแม้น จิตเราติดหรือพอใจ หรือหลงว่าอรูปนี้คือ นิพพาน (โดยเฉพาะที่เชื่อว่านิพพานคือความว่าง) เมื่อตายไปจิตเราจะไปเกิดเป็นอรูปพรหม ซึ่งไม่มีสัญญา ไม่มีการติดต่อ ไม่สามารถคิด หรือสร้างบุญใหม่ หรืออธิฐานไปเกิดเพื่อ สร้างบารมีต่อไปได้ ดังนั้นถึง เสวยบุญนานแต่ก็เสวยบุญหรือความดีจนหมดสิ้น จนหมดบุญก็ต้องเสวยกรรมคือนรกทันที ไม่สามารถใช้เทคนิคแบบเทพพรหมชั้นอื่นที่พอใกล้หมดบุญก็รีบย่องไปสร้างบารมีเพิ่ม หรืออธิฐานลงมาเกิดเพื่อสร้างบุญ เติมบุญไม่ให้พร่องในขณะที่มีพลังบุญพอที่จะทำได้ ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ และระลึกรู้ว่าอ.ทั้งสองของท่านได้ตายและไปติดยังอรูปพรหม จึงได้อุทานว่า อ.ของท่านทั้งสองได้ฉิบหายเสียจากความดีเสียแล้ว ด้วยอาการฉะนี้
---ดังนั้น พระท่านและหลวงพ่อจึงสอนอรูปและสอนการยกอารมณ์วิปัสนาญาณต่อเนื่องไปจนถึง อารมณ์นิพพานเสมอ เพื่อป้องกันศิษย์ของท่านให้เข้าถึงความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนาครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณให้เห็นความทุกข์ ความเสื่อม ความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความสกปรกในร่างกาย อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน ให้จิตสะอาดและคลายจากความยึดมั่นในร่างกาย
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของอรูปฌาน และได้ วสี ความชำนาญในการเข้าออกฌานของอรูปฌานด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน ฌานและอรูปฌาน สมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---ขอให้เริ่มการเข้าฌานสี่ โดยการจับภาพพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสติกรรมฐาน ควบกับกสิณแสงสว่าง โดยการ จับภาพพระพุทธเจ้า ที่ใสสว่างและค่อยๆขาวขึ้น สว่างขึ้น จนเปร่งแสง สว่างเต็มที่เหมือนพระอาทิตย์ทรงกรด และยังเปร่งรัศมีเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว เป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นเข้าอรูปฌานที่หนึ่ง ชื่อ อากาสานัญจายตนะ โดยการเพิก ถอนภาพพระพุทธรูปออกจากจิต แต่ให้จิตตั้งมั่นในสภาวะที่เป็นอากาศที่เว้งว้าง ว่างเปล่า เห็นเมือน จิตเราลอยอยู่ในที่โล่งขาว ว่างเปล่าไปหมด กำหนดในจิตว่าอากาสเหล่านี้ว่างมากไม่มีนิมิตรเครื่องหมายอะไร มีแต่ความว่างไร้แก่นสารใดๆ จนอารมณ์ทรงตัว หยุดนิ่งอยู่กับอากาศที่เว้งว้างนี้ เมื่อจิตทรงตัวดีจัดว่าเป็น อรูปฌานที่ 1.
---กลับมาจับภาพพระพุทธรูปที่ใสเป็นแก้วประกายพรึกจากนั้น เพิกภาพนิมิตรออกไป จากนั้นเคลื่อนจิตเข้าสู่ วิญญานัญจายตนะ พิจารณาว่า วิญญานก็คือจิต ที่ไม่เที่ยงมีอาการคิด ไปๆมาๆหาที่สุดที่หยุดไม่ได้ ไปยึดติดกับวัตถุ บ้าง คนบ้าง ไม่มีความแน่นอนเดี๋ยวก็ชอบ เดี๋ยวก็เกลียด ไม่มีความเที่ยงแท้ เราไม่สนใจในจิต ที่กวัดแกว่งไปมา เราต้องการคืออากาศที่เว้งว้างว่างเปล่าหาขอบเขตไม่ได้ ให้จิตทรงตัวกับอารมณ์ที่ว่างจากความคิดมีเพียงสภาวะแห่งความว่างเว้งว้างว่างเปล่า เมื่อจิตทรงตัว ก็ถือว่า ได้อรูปฌานที่ 2
---จับภาพพระพุทธรูปใสเป็นแก้วประกายพรึก จากนั้นเคลื่อนจิตสู่อากิญจัญญายตนะฌาน พิจารณาเห็นว่า วัตถุ สิ่งของทุกอย่างในโลกล้วนแตกสลาย ผุพังไปหมด บ้านเรือน ภูเขา กำแพง รวมทั้งร่างกายเรา ล้วนผุพังแตกสลายจนหมด วัตถุและดลกนี้ล้วนไร้แก่นสาร สุดท้ายย่อมกลายเป็นอากาศที่เว้งว้างว่างเปล่า เมื่ออารมณ์ ทรงตัว จิตก็เข้าสู่อรูปฌานที่ 3
---จิตจับภาพพระพุทธรูปใสเป็นแก้วประกายพรึก และเพิกนิมิตรออกจากจิต พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน ว่า อันสัญญา ความรู้สึก ความจำได้หมายรู้นั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์เพราะเราไปปรุงแต่ง ดังนั้น ร้อนก็ช่าง หิวก็ช่าง หนาวก็ช่าง คนด่าก็ช่างคนชมก็ช่าง ไม่ใส่ใจปรุงแต่งในผัสสะทั้งห้า มีสัญญาก็เหมือนไม่มีสัญญา เฉยๆไปในทุกสิ่ง มีเพียงความว่างเว้งว้างจิตไม่รับรู้ในอายตนะ และไม่ปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น จิตทรงตัวอยู่กับความเว้งว้างว่างเปล่า ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน ไม่มีขอบเขตใดๆ เมื่อจิตทรงตัว ก็ได้ชื่อว่าได้อรูปฌานที่ 4 จบสมาบัติแปด
---จากนั้น ใช้กำลังของสมาบัติแปด ยกอารมณ์จิตในวิปัสนาฌานมาพิจารณา สังโยชน์สิบ
ไล่ตั้งแต่พิจารณาร่างกายเราว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของสกปรก เป็นรังของโรค
จากนั้นพิจารณาว่าเรามีความมั่นคงในพระรัตนไตย และตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
พิจารณาว่า ศีลของเราบริสุทธ์ และจิตเราเปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารสี่
พิจารณาว่า จิตใจเราเห็นโทษในกามคุณห้า จากสิ่งล่อคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ว่าเป็นเครื่องล่อหรือกับดักให้เราหลงพอใจในชาติภพ ติดอยู่ในสังสารวัฏนี้ เราจะเพิกทิ้งเสีย
พิจารณาต่อไปว่าเมื่อกามฉันทะเรายังละได้ พยาบาท ความโกรธ ปฏิฆะ ความหงุดหงิด จึ๊กจั๊ก รำคาญใจเราย่อมตัดทิ้งไม่ยึดถือ ให้จิตดองอยู่กับยาพิษแห่งจิตแบบนั้นอีกต่อไป
พิจารณาต่อไปว่า พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดียังไม่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ ที่เดียวที่เราต้องการคือพระนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงเมตตาสั่งสอนเรามานั่นเอง
ใช้กำลังฌานแปดตัดความมานะถือตัวว่าเราดีกว่าเราเก่งกว่าเราโง่กว่า เราฉลาดกว่าออกไปจากจิต
จิตไม่มีความฟุ้งซ่านรำคาญใจ จิตมั่นคงอยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นอารมณ์
จากนั้นใช้กำลังฌานทำลายอวิชชา อันคือความโง่ความไม่รู้ ความหลง ความยึดติด ทั้งมวล ล้างออกไปจากจิต จิตรู้เท่าทันภาวะความเป็นไปในร่างกายขันธ์ห้าทั้งของเราและของบุคคลอื่น ปล่อยวางจากการยึดติดในชาติภพ เบื่อหน่าบในร่างกาย เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดจิตต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน เมื่อจิตรู้เท่าทันความเป็นจริงของอริยสัจสี่ จิตก็เข้าถึงความเป็นธรรมดาในทุกสิ่ง ยอมรับกฏแห่งกรรมโดยไม่มีความทุกข์ใดเกาะใจเราได้อีก เป็นปรกติ และธรรมชาติสูงสุดในธรรม
---จากนั้นยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน จะสังเกตุเห็นว่าอาทิสมานกายของเราสว่างไสว กว่าปรกติขึ้นอย่างมาก แยกจิตออกกราบพระ และทุกท่านผู้มีพระคุณ จากนั้นอธิฐานกำกับว่าขอให้เราจำอารมณ์และใช้กำลังของสมาบัติแปดนี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการเพื่อใช้ตัดกิเลสได้ด้วยเทอญ
---จากนั้นกราบลาทุกๆพระองค์และแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน ด้วยกำลังของสมาบัติแปด บนพระนิพพาน แล้วจึงทิ้งอาทิสมานกายไว้ ที่วิมานของตนบนพระนิพพานครับ
---ขอกราบโมทนาท่านที่ทำได้ทุกท่านครับ ขอให้ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาครับ
ผมพึ่งเข้าเวบนี้ครั้งแรกรู้สึกประทับใจมาก อยากเรียนรู้ อยากปฏิบัติ แต่ผมคงทำได้ไม่ทั้งหมด แต่อยากทราบว่า ถ้าผมจะเข้าสมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิใช่มั้ยคับ ยืน เดิน นอน นั่งได้หมดรึป่าว แล้วถ้าผมยัง รักษาศีล5ไม่ได้หมด ผมจะสามารถเข้าฌานเห็นสิ่ง ต่างๆได้รึป่าวคับ
เรื่องทุกอย่างเป็นประโยชน์กับผมมาก อยากให้มีการเผยแพร่ให้คนอื่นรู้มากๆจังคับ
คุณ Mead ทราบวิธีการทำงานของสมองหรือไม่ครับ?
หากทราบแล้วพอจะอธิบายให้ฟังได้หรือไม่ ผมอยากรู้เรื่องนี้ครับ
หรือหากมีเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถอธิบายในที่นี่ได้ (กรณีที่คุณทราบ)
รบกวนช่วยบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่อยากอธิบายได้หรือไม่ครับ
(ผมเดาว่าก่อนจะทราบวิธีการใช้กลไกของสมอง ต้องทราบถึงวิธีการทำงานของสมองเสียก่อน)
---คุณจันทร์เจ้า
รบกวนขอพื้นที่คุณคนานันท์ สักเล็กน้อยครับ เนื่องจากส่งข้อความส่วนตัวให้คุณจันทร์เจ้าไม่ได้เลยครับ เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ๆที่เกรงว่าจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่เห็นว่าสามารถเติมเต็มความรู้เดิมได้ด้วย ขอเอามาลงไว้ด้วยนะครับ
เรื่องกลไกจิต + สมอง ที่มีความสัมพันธ์กัน มีองค์ประกอบหลักๆดังนี้
เมื่อเกิดการรับรู้ใดๆขึ้น จุดแรกที่รับรู้ก็คือจิตปัจจุบันบริเวณตาที่สาม
ต่อมไพนีล เป็นศูนย์รวมการรับรู้ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) มีช่องทางเข้าออกของคลื่นพลังงาน มีคุณสมบัติไวต่อคลื่นความถี่ทุชนิดโดยเฉพาะพลังงานแสง เมื่อเกิดการรับรู้สิ่งใดๆขึ้น จะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า
คอพัสคอลอซั่ม เป็นต่อมไร้ท่อใต้สมอง มีหน้าที่ขยายคลื่นสัญญาณ และสร้างสายธารประจุไฟฟ้าที่เป็น (+) หรือ (-) ตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยการแผ่รังสี (radiation) ไปสู่ต่อม "เทรเนี่ยม"
เทรเนี่ยม ทำหน้าที่ตรวจสอบ,คัดแยก,แปลงสัญญาณคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นคลื่นความถี่ไฟฟ้าทางเคมี ผ่านไปทางเม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดส่งต่อไปให้ต่อมใต้สมองทั้งสองซีก
ต่อมทาลามัส (สมองซีกขวา) เป็นต่อมไร้ท่อที่เชี่ยวชาญในการรับคลื่นความถี่ด้านบวก (+)
ต่อมไฮโปทาลามัส (สมองซีกซ้าย) เป็นต่อมไร้ท่อที่เชี่ยวชาญในการรับคลื่นความถี่ด้านลบ (-) และจะส่งข้อมูลต่อไปที่จิตวิญญาณคือ ที่ต่อมพิทูอิทารี่
ต่อมพิทูอิทารี่ เป็นที่ตั้งของจิตญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นประธานหรือแก่นแท้
เปรียบได้กับลักษณะของไข่แดงที่เป็นนิวเคลียส มีฉนวนหรือพี่เลี้ยงปกป้องอยู่รอบรอบ และมีเปลือกนอกของจิตวิญญาณเป็นพลังงานที่เข้มข้นห่อหุ้มอยู่ (เป็นเหมือนยานพาหนะของจิต) แล้วข้อมูลนั้นจะส่งไปสู่สมองเป็นการกระทำทั้งมิติทางพลังงาน และมิติทางกายภาพ ทั้งสองด้านไปพร้อมๆกัน
ถ้าคิดเป็นบวก (+) หมายถึง ความรัก ความเมตตา กรุณา อุเบกขา และความสงบในจิตการฝึกสมาธิ ก็จะตรงตามคุณสมบัติที่จิตวิญญาณต้องการ จิตจะนำไปเติมเต็มและ modify ประจุไฟฟ้าเดิม และสร้างพลังงานขึ้นใหม่ และเหวี่ยวออกมาทางตาที่สามมอบให้กับมนุษย์หรือสัตว์ รวมทั้งโลกใบนี้ให้สมดุลยิ่งขึ้น
ถ้าคิดเป็นลบ (-) หมายถึงคิดในตรงกันข้ามกัน(โลภ โกรธ หลง งมงาย) จะถูกบันทึกไว้ที่เปลือกนอกของจิตวิญญาณ (เมอร์คะบาร์) บันทึกเป็นรหัสบุพรกรรมแม่เหล็ก (วิบากกรรม)ที่ต้องรอการแก้ไข ชดใช้ ขจัดออกไปให้หมดสิ้นด้วยตนเอง ด้วยการสร้างประจุบวกแทนที่ เพื่อทำให้อนุภาคประจุลบเป็นกลาง
เมื่อสร้างประจุบวกออกมามากๆแล้ว ความเป็นบวกจะล้นออกมาจากจิต จนเป็นกลางไม่มีทั้งบวกและลบหลงเหลืออยู่ มีแต่พลังแห่งบารมีที่สูงส่งแผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แบบจิตพระอรหันต์ ที่สว่างใสบริสุทธ์ เมื่อพบเห็นที่ใดๆก็จะรู้สึกปิติสุขบอกไม่ถูกน่ะครับ
ข้อมูลนี้ไปอ่านเพิ่มเติมจากหนังสืออาจารย์ปริญญา ตันสกุล ครับ
สมาธิทำได้ทุกอิริยาบถครับ สำหรับผู้เริ่มต้นให้ฝึกอาปานสติก่อนนะครับเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา สติอยู่กับลมหายใจเข้าออก
ความรู้ที่ได้จากคุณคนานันท์ เป็นประโยชน์มากครับ..โดนส่วนต้วไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อนเลยครับ..อาศัยอ่านจากหนังสือแบบสายพระป่า แนวลมปราณของทิเบต แต่น่าจะเอาไปประยุกต์ใช้ต่อยอดกันได้นะครับ..ถ้าหากเรามีสติและสมาธิทุกลมหายใจ ทุกอริยบทได้ก็นับว่าได้เริ่มปูทางเดิน เพื่อก้าวเข้าสู่ประตูธรรมแห่งพุทธะได้แล้ว ..(ส่วนตัวผมยังต้องฝึกอีกเยอะครับ..)
ตอบคุณ mead ครับ ได้เลยครับ และขอขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำเพื่อความรู้ของอีกหลายๆท่านครับ
คุณ Jeesuz การทำสมาธินั้นไม่ จำกัด อิริยาบทครับ ยืนเดิน นั่งนอนวิ่งว่ายน้ำ ที่จริงทำได้ทุกอิริยาบทครับ หลักสำคัญก็อย่างที่ น้องนาคาช่วยตอบครับคือ ควรเริ่มที่อานาปานสติ ก่อน และจับลมหายใจสบายให้ได้ เมื่อได้ลมและอารมณ์สบายแล้วก็จำอารมณ์และรักษาไว้เพื่อเป็นฐานของสมาธิที่สูงขึ้นไปครับ ส่วนใหญ่ที่ผมแนะนำให้นี่เหมือนบันได ก้าวทีละขั้น วันละก้าวอยู่แล้วครับ เหมือนเริ่มต้นจาก หนึ่งได้เลยครับ ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัตินะครับ
สำหรับวันนี้ผมขอให้เป็นการบ้านครับ ขอแบ่งเป็นสามกลุ่มตามระดับของกำลังใจครับ
1. ยังไม่ได้สมาบัติแปด (อรูปฌาน) ให้ลองทบทวนและฝึกใหม่ รวมทั้งย้อนไปพิจารณาวิปัสนาญาณให้มากขึ้น
2. ได้สมาบัติแปดแล้ว ทำให้คล่องตัวในทุกๆฌาน จนจบถึงอารมณ์พระนิพพาน
3. ท่านที่เป็นพุทธภูมิและกำลังใจสูงให้ ฝึกพิเศษ โดย เริ่มต้นจากกสิณทุกกองไล่อารมณ์ฌาน 1,2,3,4 และอรูป 1-2-3-4 จนถึงอารมณ์ พระนิพพาน ไล่ตั้งแต่ กสิณดินจนถึงอารมณ์พระนิพพาน และไล่กองกสิณ ทั้งสิบกองให้จบครับ ไม่ยากเกินกำลังใจท่านครับ
ทำได้ หรือไม่ได้อย่างไร ติดขัดตรงจุดไหน ส่งข่าวบอกถามตอบในกระทู้นี้ครับ แล้ววันจันทร์พบกันอีกทีนะครับ สาธุ สำหรับท่านที่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ครับ
ขอทบทวนและเน้นหลักของอรูปฌานก่อนนะครับ โดยหลักการแล้วผมยึดแนวคำสอนของทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ และอธิบายตามที่พระข้างบนท่านบอกและตามอารมณ์ที่ตนเองทำได้ครับ
หลักของอรูปฌาน หรือการวางอารมณ์ในอรูปฌาน
1.อรูปฌานนั้นต้องใช้พื้นฐานของฌานสี่ และยกจิตขึ้น คล้ายอารมณ์วิปัสนาญาน แต่ยังไม่ใช่วิปัสนาญาน
2.นิมิตรของอรูปฌานทั้งสี่ คล้ายกัน คือ เหมือนจิตลอยอยู่ในที่ว่าง เว้งว้างว่างเปล่า สี่ขาว สุดสายตา แต่ อารมณ์พิจารณาของฌานแต่ละฌานแตกต่างกัน
3.เมื่อใช้มโนมยิทธิ ขึ้นไปดูสภาวะของท่านที่อยู่ในอรูปพรหมแล้ว จะมีสภาวะ เหมือนดวงสว่างมีหยักแบบลูกฟัก (โบราณจึงเรียกว่าพรหมลูกฟัก) ลอยนิ่งๆอยู่เต็มไปหมด ในภพนั้น ไม่มีรูป ไม่มีการรับรู้ รับส่งญาณใดๆ กล่าวคือท่านที่ได้ อรูปฌาน เป็นอรูปพรหมนี้พอใจในภาวะที่ไร้รูป ไร้อายตนะ ไร้การปรุงแต่ง จิตจึงเหมือนตลบกลับมาห่อหุ้มดวงจิตของตนเองเอาไว้จากสภาวะภายนอกทั้งปวง ส่วนคล้ายเปลือกของจิตที่หุ้มนี้ จึงมีลักษณะ เป็นหยัก เป็นลอน ต่างจากจิตทั่วไปที่เป็นดวงกลม
4. เมื่อได้อรูปฌาน ครบหรือได้สมาบัติแปด แล้วควรใช้กำลังจากสมาบัติแปด เป็นฐานในการวิปัสนา ตัดสังโยชน์สิบ ให้ขาดเพื่อยกจิตขึ้นสู่ โลกุตร โดย สังโยชน์สิบนั้นเป็นเครื่องร้อยรัดจิตเราให้มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เปรียบเหมือนเชือกเส้นใหญ่ วิปัสนาญาณเปรียบเหมือนดาบที่มีความคม กล้าตามกำลังปัญญาในธรรมของเรา ส่วน กำลังสมาธิและสมาบัติที่ได้นั้นเหมือนกำลังกายที่แข็งแกร่งของผู้ใช้ดาบ ตัดสังโยชน์สิบและกองกิเลส ให้เด็ดขาด เป็น สมุทเฉทประหาร กำลังทั้งของสมถะและวิปัสนา ต้องมีกำลังเพียงพอครับ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
นี่คือประโยชน์และการนำสมาบัติแปดมาใช้ครับ ขอให้ก้าวหน้าในธรรมนะครับ