Wicha for surviving part13

กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ


boko0121 01-01-2007, 08:16 PM

แล้วตกลงภาคกลางเราจะอยู่ตรงไหนดี

มีใครจะเตรียมตัวกัน แบบจริงจังบ้าง เอาจริงๆน่ะ

ผมว่าคุณน่าจะมาอยู่ทางภาคอิสานรึไม่ก็ภาคเหนือตอนล่างนะมีโอกาสรอดสูง


NuJanBaBor 01-01-2007, 10:54 PM

ค่ะ และจะเตรียมตัวต่อไป ขอเวลาอีกนิดนึง


sanya 01-01-2007, 11:12 PM

การจะย้ายทั้งครอบครัวเป็นเรื่องยากครับ เขาไม่เชื่อ เราจะทำอย่างไรดี
ไปคนเดียวคงไม่ได้ครับ และก็การย้ายนี่ หมายถึงงาน และเงิน เรื่องใหญ่ครับ คิดไม่ออก ชะตากรรมคงต้องตายที่บ้านเกิดมั่งครับ


NuJanBaBor 01-01-2007, 11:22 PM

การจะย้ายทั้งครอบครัวเป็นเรื่องยากครับ เขาไม่เชื่อ เราจะทำอย่างไรดี
ไปคนเดียวคงไม่ได้ครับ และก็การย้ายนี่ หมายถึงงาน และเงิน เรื่องใหญ่ครับ คิดไม่ออก ชะตากรรมคงต้องตายที่บ้านเกิดมั่งครับ


จริงอย่างที่คุณ sanya บอกค่ะ ว่าคนในครอบครัวเขาไม่เชื่อเรา

ขนาดหนูแค่เกริ่นๆ พูดไป ยังหาว่างมงายเกินไปเลย Y_Y

จะไปคนเดียวก็ไปไม่ได้ จะทำไงดี ผู้ใหญ่เขาหาว่านู๋เพอเจ้อ


sanya 02-01-2007, 08:17 AM

อุเบกขาครับ....
เป็นการฝึกบารมีครับ
คิดบวกเข้าไว้.....จะทำให้รู้สึกดีขึ้นครับ


boko0121 02-01-2007, 08:36 AM

การจะย้ายทั้งครอบครัวเป็นเรื่องยากครับ เขาไม่เชื่อ เราจะทำอย่างไรดี
ไปคนเดียวคงไม่ได้ครับ และก็การย้ายนี่ หมายถึงงาน และเงิน เรื่องใหญ่ครับ คิดไม่ออก ชะตากรรมคงต้องตายที่บ้านเกิดมั่งครับ

ผมก็ว่างั้นแหละ ไอตัวผมเองก็ยังถือว่าโชคดีเพราะพระที่วัดบ้านผมได้บอกและเตือนคนในครอบครัวผมทุกคนเรื่องภัยพิบัติ เขาจึงเชื่อกัน


kananun 02-01-2007, 10:04 AM

ผู้ใหญ่บางท่าน ท่านก็กลัวในเรื่องราวที่เราบอกเล่าให้ท่านฟังครับ

ปฏิกิริยาในการตอบรับข้อมูลข่าวสารจึงอยู่ในลักษณะที่ปฏิเสธ ไม่รับฟังปิดหูปิดใจเสีย ไม่รับรู้รับทราบ เพราะไม่รู้ดีกว่า ด้วยความกลัว อีกทั้งท่านไม่มีหน้าที่อันใดในเรื่องนี้ครับ

ทางที่ดี ก็คือเราเตรียมตัวเงียบๆ ฝึกฝน พัฒนาตนเองให้ดี เมื่อถึงเวลาจะได้ช่วยตนเอง ครอบครัว และคนใกล้เคียงได้ครับ


kananun 02-01-2007, 07:24 PM

ต้องกราบขอโทษไว้ล่วงหน้าที่ไม่ค่อยได้เข้ามา แนะนำในเรื่องของการปฏิบัติทางจิตในช่วงนี้ครับ ก็ด้วยเหตุผลที่ทุกท่านได้ทราบในเรื่องของงานเพื่อเตรียมตัวรับกับภัยพิบัติครับ

ช่วงนี้พระท่านได้สั่งให้พยายามเน้นหนักทางด้าน การทรงอารมณ์ในวิปัสสนาญาณ ดังนั้นผมจะขอแนะนำในวิปัสสนาญาณ ก่อนความรู้อื่นไปตลอดในกระทู้นี้ครับ


NuJanBaBor 02-01-2007, 07:34 PM

ในหัวสมองนู๋น่ะ

เงิน ทอง ช่างมันก่อนเดี๋ยวหาเอาใหม่ได้

แต่ถ้าตายไป เงิน ทอง ที่หามาได้นั้นเอาไปได้เหรอ

จะได้ใช้มันไหม เอาชีวิตให้รอดก่อนเป็นดี ^^

ปัญหาหลักที่คนพบเหมือนๆกัน คือ คนในครอบครัวเขาไม่เชื่อ

อันนี้คงแล้วแต่ บุญ กรรม ที่เขาทำมาว่าไหมค่ะ

แต่ถ้ามันไม่เกิดก็ดีไป..............^^


pannarai 02-01-2007, 07:38 PM

บอกคนใกล้ตัวแล้ว...ไม่ว่าเรื่องการเร่งปฎิบัติ หรือเรื่องภัยพิบัติ...ดีที่ยังรับฟัง...ตอนนี้เร่งปฏิบัติค่ะ ทรงอารมณ์ให้ได้...ขอบคุณค่ะ.


kananun 02-01-2007, 08:07 PM

ในการทรงอารมณ์วิปัสสนาญาณนั้นอันดับแรก ขอให้ทุกท่านรำลึกถึงศีลให้เป็นปรกติของจิตใจเรา ศีลที่ว่าขอให้เป็นศีลห้า เป็นพื้นฐาน แต่ถ้ากำลังใจของเราสูงกว่านั้นจะเป็นศีลแปดหรือศีลสิบ ก็ยิ่งดี เพราะศีลเป็นเครื่องกั้นอบายภูมิ ไม่ให้เรากระทำความชั่วอันเป็นทางไปเสวยกรรมในนรก อันเป็นทุกข์

จากนั้นท่านให้ระลึกถึงคุณพระรัตนไตยและความเป็นสัมมาทิษฐิ ที่ว่า เชื่อในคุณพระรัตนไตยว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัยทั้งในยามมีชีวิตและยามที่ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏได้จริง เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อในผลของกฏแห่งกรรม ว่ามีจริง

แล้วมาสำรวจใจของเราในความมีเมตตา พรหมวิหารสี่ของจิตใจเราว่ามีแต่ความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ในทุกโอกาสที่ทำได้ ถ้าทำไม่ได้ ช่วยไม่ได้ก็รู้จักการวางอุเบกขา ไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ไปทุกข์ใจ ทรงอารมณ์ใจของเราให้ผ่องใสอ่อนโยน สงบเย็นเป็นปรกติ

เมื่อใจเรามั่นคงในพระ ในความดี มีความผ่องใส และความสุข ใจเราก็จะสบาย

เมื่อใจเราสบาย เราจึงใช้อารมณ์นี้พิจารณาในวิปัสสนาญาณให้ปรากฏชัดขึ้นในจิต

ฐานของวิปัสสนาญาณนั้น สำคัญที่สุดก็คือการพิจารณาในกาย ร่างกาย ขันธุ์ห้าที่ประกอบเป็นตัวเราที่มีชีวิตนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง อันเป็นสัจจธรรม

ร่างกายนี้มีแต่ความแก่ไปทีละน้อย

ร่างกายนี้ ทุกส่วนล้วนแล้วแต่เป็นบ่อเกิดของอาการเจ็บไข้ไม่สบาย เป็นรังของโรค

ร่างกายนี้ในทุกส่วน ทุกช่องทวารล้วนแต่เต็มไปด้วยสิ่งโสโครก ปฏิกูล เน่าเหม็น

และร่างกายนี้ล้วนก้าวไปสู่ความตายลงไปในที่สุด

ความทุกข์ทั้งหลายที่เกาะกินจิตใจของเราจึงมีเหตุอันก่อมาจากร่างกายนี้ทั้งสิ้น ความสำคัญมั่นหมายว่าร่างกายนี้ต้องอยู่ในสภาวะที่งดงามตลอดไปก็ดี การทำมาหากินด้วยความยากลำบากเพื่อนำมาส่งเสียเลี้ยงดูไอ้เจ้าร่างกายนี้ก็ดี ท้ายที่สุดแล้วร่างกายนี้ก็ต้องแตกดับลง ไป ทรัพย์สมบัติต่างๆก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้แม้แต่น้อย

สิ่งที่ติดตัวเราไปได้จริงก็คือความดี อันเป็นกุศลจิต เป็นบุญกุศลที่ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานอันไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้ายังเกิดต่อไปก็ต้องมี ร่างกาย มีทุกข์สืบต่อไปอีกไม่จบสิ้น

เมื่อเราเห็นโทษภัยในร่างกาย เห็นความไม่สะอาด เห็นความสกปรก เห็นความทุกข์จากการเจ็บไข้ไม่สะบาย จนใจเราเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายขันธ์ห้านี้ เบื่อการเกิด เบื่อการเวียนว่ายในสังสารวัฏไปอย่างไม่รู้จุดหมาย อารมณ์ที่เบื่อการเกิด ก็จะปรากฏเป็นนิพพิทาญาณ

ครั้นใจเราสลายอวิชชาในความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายขันธุ์ห้าได้ว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด จิตของเราก็จะปรากฏในอารมณ์ของสังขารุเบกขาญาณ มีความรู้สึกเป็นธรรมดาในร่างกาย เห็นสภาวะความทุกข์ความแปรปรวนในร่างกายว่าเป็นของปรกติธรรมดา แม้บางครั้งร่างกายจะเสวยทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ไม่สบาย แต่ใจเราจะไม่ทุกข์ไปกับอาการทางกายได้อีก

กายนั้นเป็นที่อาศัยของจิต หรืออาทิสมานกาย เมื่อถึงวาระก็ต้องละจากร่างกายนี้ไปในที่สุด เหมือนบ้านเช่าที่เราอาศยอยู่ชั่วคราว เราไม่ได้เป็นเจ้าของหรือกรรมสิทธิ์ อันใดทั้งสิ้น

ใจที่คราบจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราก็ดี กายของบุคคลอื่นก็ดี ทรัพย์สินต่างๆบนโลกก็ดี ล้วนแล้วเป็นเพียงสมมติ เครื่องหลอกให้เรายึดติด หลงเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบ

ทำใจของเราให้คลายตัวจากความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้น อารมณ์ของใจเราก็จะบริสุทธิ์ขึ้น เบาขึ้น สะอาดขึ้น

ขอให้ท่านทั้งหลายทรงอารมณ์ในวิปัสสนาญาณให้ได้เป็นปรกติ เห็นธรรมดาในทุกสิ่งของโลก เพื่อความก้าวหน้าในธรรมฝ่ายโลกุตระด้วยทุกๆท่าน เทอญ

ขอให้ธรรมมะที่บริสุทธ์ ได้ไหลหลั่งชะโลมใจท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติได้เข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงมีพุทธประสงค์ว้ทุกอย่างทุกประการด้วยเทอญ.....


แม่นายมล 02-01-2007, 09:16 PM

ถ้าถูกเลือกให้ไป ร่างกายไม่ปลอดภัย รอบด้านไม่เกื้อหนุน

ตัดใจ วางทุกอย่าง ให้หมด เอาจิตวิญญาณมุ่งนิพพานที่เดียว

เพราะบางทีเราไม่มีหน้าที่ต้องอยู่ หมดหน้าที่แล้วก็ต้องกลับ

ร่างกายไม่ใช่ของเรา


sanya 02-01-2007, 10:05 PM

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนี้เราทำได้แค่ไหน
ต้องแก้ไขเรื่องอะไร เน้นหนักอะไรบ้าง
พี่ดูให้ผมผ่านเน็ตได้หรือเปล่าครับ พี่ KANANUN


NuJanBaBor 02-01-2007, 10:16 PM

ยังทำใจไม่ได้เท่าไหร่ค่ะ

เพราะอยู่ห่างคนที่เรารัก><

อยากใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขมากที่สุด


Specialized 03-01-2007, 09:29 AM

ตอนนี้ผมได้เกริ่นเรื่องเหล่านี้ให้ครอบครัวผมฟังแล้ว ตอนแรกๆก็ทำท่าไม่เชื่อ แต่หลังๆมานี้เริ่มเชื่อ เพราะว่าเคยได้ยินเขาบอกมานานแล้วเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่เกิดสักทีท่านเลยไม่เชื่อ แต่พอมาถึงช่วงนี้เหตุการณ์เริ่มแสดงท่าทีออกมาทีละนิดแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมคงพาทั้งครอบครัวหนีภัยได้อยู่ครับ อนุโมทนา


kananun 03-01-2007, 09:31 AM

ขออนุญาตตอบคุณแม่นายมลครับ

มีหลายท่านที่มีภูมิธรรม และความบริสุทธ์ของจิตที่สูง บางท่านก็อยู่ในระดับของพระอริยเจ้า แต่ท่านได้อธิฐานจิตมุ่งที่ความหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานโดยตรง ดังนั้น เมื่อเกิดภัยพิบัติท่านอาจจะพิจารณาปลงสังขาร มุ่งสู่พระนิพพานโดยตรงกันอีก มากมายหลายท่านครับ
ดังนั้นเมื่อถึงเวลา

ถ้าเราเห็นท่านผู้เป็นนักปฏิบัติ สิ้นชีพลงในเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าไปกล่าวปรามาสใดกับท่าน หรือไปคิดว่าทำไมพระจึงไม่คุ้มครองคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่จริงท่านได้พิจารณาเห็นทุกข์ที่เกิดและเหตุการณ์แห่งภัยพิบัติ จิตจึงเกิดความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย เห็นทุกข์ เห็นธรรม จนปล่อยวางได้ทั้งหมด

ดังนั้นหากเราไปปรามาสท่านทั้งหลายก็จะเป็นโทษกับเราเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นเราจึงควรวางใจให้เป็นอุเบกขาในทุกสิ่ง โมทนาเมื่อผู้อื่นได้ถึงซึ่งพระนิพพานและสุขคติภูมิอื่นๆ ส่วนท่านผู้ที่ประสบความทุกข์ ก็ขอให้เราตั้งความปรารถนาให้เขาเหล่านั้นพ้นจากความทุกข์

ขอโมทนาบุญในอารมณ์ใจที่วางไว้ดีแล้วของคุณแม่นายมลด้วยครับ

นิพานนังปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง


kananun 03-01-2007, 09:45 AM

ขออนุญาต ตอบคุณ Sanya ครับ ต้องขออนุญาตผ่านตรงนี้ครับ เพราะครูบาอาจารย์ท่านห้ามไว้ครับ ท่านว่าถ้าจะช่วยก็จงช่วยให้เขาถึงซึ่งความดี ของตนเอง ด้วยตนเองครับ

ดังนั้นผมขออนุญาตแนะนำเรื่องความก้าวหน้าในการปฏิบัติในกระทู้นี้เพื่อเป็นประโยชน์กับท่านผู้อื่นครับ

ถ้าอยากทราบจริงๆ เวลามีการจัดฝึกสมาธิ ก็มาฝึกได้ครับ ที่จริงมีน้องๆมาฝึกกันหลายๆคน บางคนขอฝึกพิเศษ ด้วยเพื่อเป็นการเร่งปฏิบัติ

ที่จริงถ้าสังเกตุดูจากคำแนะนำในกระทู้นี้ อ่านตามไปทีละบท ค่อยๆทำตามไป ก็น่าที่จะก้าวหน้าในการปฏิบัติขึ้นไปในระดับหนึ่งแล้วครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้จากตนเองว่าก้าวหน้าเพียงไรคือ

1.จิตใจของเราโปร่ง เบา สะบายขึ้นหรือไม่

2.ลมหายใจเราละเอียดขึ้นหรือไม่

3.จิตของเราตั้งมั่นในศีลมากขึ้นหรือไม่

4.ความเมตตา พรหมวิหารสี่ในจิตใจของเรา เพิ่มขึ้นหรือไม่

5.ความศรัทธาในพระรัตนไตยของเราสูงขึ้น เห็นจริงขึ้นหรือไม่

6.จิตของเรามองเห็นในความเป็นธรรมดาของร่างกาย และทุกสิ่ง สามารถปล่อยวางได้มากขึ้นหรือไม่ครับ

7.สามารถนำความรู้อย่างยิ่งของจิต ไปใช้เพื่อการทำความดีโดยไม่ยึดติดกับ อัตรา มานะ และทิษฐิได้หรือไม่

ลองค่อยๆสังเกตุ และใช้อารมณ์ใจค่อยๆปรับ ไปที่ละข้อทีละส่วนให้สมดุลครับ

ขอโมทนาในความตั้งใจในการปฏิบัติเพื่อความดีของคุณ Sanya ด้วยครับ มีอะไรที่สงสัย และอยากทราบก็สอบถามมาได้ครับ


sanya 03-01-2007, 10:40 AM

ขอบคุณครับ


NuJanBaBor 04-01-2007, 05:43 AM

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid02.html

- การปฐมพยาบาลผู้ที่กระดูกหักหรือได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและข้อต่อ
- การช่วยเหลือผู้จมน้ำ
- การพันผ้า
- การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
- การปฐมพยาบาลกรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
- การปฐมพยาบาลผู้ที่มีไข้
- การปฐมพยาบาลกรณีตกเลือด, เกิดบาดแผลและการทำแผล
- การปฐมพยาบาลกรณีได้รับสารพิษ
- การปฐมพยาบาลกรณีถูกสัตว์กัด,ต่อย


pattarawat 04-01-2007, 01:47 PM

ตอนแรกครอบครัวผมก็รับฟังไว้เท่านั้น แต่เมื่อผมเล่าให้ฟังถึงนิมิตที่เป็นจริงหลายๆ ครั้ง ท่านก็สนใจมากขึ้น และหันมาสะสมบุญกันมากขึ้นครับ ล่าสุดผมเห็นซึนามิสูง 20 เมตร เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ซักไซร้ใหญ่ว่าจะเกิดที่ไหน แต่ผมไม่ทราบสถานที่จริงๆ เลยตอบท่านไม่ได้

อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกคน "ละกิเลส" เพื่อสร้างบุญหนีวิบากกรรมต่างๆ ครับ แต่สำหรับคนที่ยัง "หลง" กับกิเลส นี่ก็น่าเป็นห่วงครับ


Khunkik 06-01-2007, 02:47 PM

เมื่ออาตมาได้พบกับ สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว

คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้วฝันไปว่าอาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส

อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโส ผู้รัตตัญญู จึงน้อมนมัสการท่าน ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
"ฉันคือสมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้าเนืองในวาระที่สร้างเจดีย์ฉลองชัยชนะ
เหนือพระมหาอุปราชแห่งพม่า และประกาศความเป็นอิสระของ

ประเทศไทยจากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"

ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนตอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝัน ก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิต

ด้วยกรรมฐาน มีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ใน

วัดใหญ่ชัยมงคล และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเป็นการเสร็จสิ้น

อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับ
วัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมา ตั้งแต่เมื่อเริ่มพัฒนาวัดใหม่ๆ

แต่แตกหักผุพังทั้งนั้นหลายสิบปี๊บอาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่
ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม้พอไต่ลงไป
ภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งม้าร้านก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็
ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ 09.00 น. อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระนพรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ

อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพรก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุณิโก"

ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิต รจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้า
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"

พาหุงมหากาก็คือบทสวดสรรเสริฐพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุงสหัส..ไปจนถึง ทุคคาหทิฏฐิ แล้ว
เรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ และจบลงด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะ
วันตุ เต อาตมา เรียกรวมกันว่า พาหุงมหากา

อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือ บทสวดมนต์ที่สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรวรมหาราชไว้

สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวัง และในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฎว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัย

ชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคน ก็

ทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชา

ออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

อาตมาพบนิมิตแล้ว ก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไปใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายัง

ร้องว่า"หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั้นมาหรือ" แต่อาตมาไม่ตอบ ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะ

อะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดาจากพญาวัสวดีมาร จาก

อาฬวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนถ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม

เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฎิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดเป็นประจำทุกวันจะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ

ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว ยังคุ้มครองครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศ ก็ทำให้ประเทศ
มีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้นที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบ

เช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
" เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว ก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้

สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระ

บาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"

สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร เพราะชินบัญชรนั้น เจ้า

ประคุณสมเด็จ ท่านใช้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อน แล้วจึงมาถึงชินบัญชร ให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลในชีวิต

พระราชสุทธิญาณมงคล

เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน

อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี


ชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)

พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะ สุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

กัตตะวานะ กัฏฐมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัน มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง** วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคลานิ

เอตาปิ พุทธิชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะ เนกะวิวิธานิ จุปันทะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ


ชัยปริตร (มหากาฯ)

มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพาปัตโต
สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โหตุ เม* ชะยะมังคะลังฯ

ชยันโตโพธิยา มูเล สักยานัง นันทิ วัฑฒะโน เอวัง อะหัง วิชะโย โหมิ***
ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะ ปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะสุยิฏฐัง พรหัมะ****
จาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธเต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ
ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุ เม*

หมายเหตุ :
"เม*" ถ้าสวดให้คนอื่นให้เปลี่ยนเป็น "เต"
"พรัหมัง**" อ่านว่า พรัม-มัง
" อะหัง วิชะโย โหมิ****" ถ้าสวดให้คนอื่นให้เปลี่ยนเป็น "ตะวัง วิชะโย โหหิ"
"พรหัมะ****" อ่านว่า พรัม-มะ

คัดลอกจากหนังสือ "อานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณ ของพระราชุทธิญาณมงคล และบทสวดมนต์ถวายพระพร"


boko0121 06-01-2007, 03:56 PM

อนุโมทนากับคุณKhunkikด้วยครับ ที่นำความรู้ใหม่ๆมาบอก


tamsak 07-01-2007, 08:55 PM

ในวงการระหว่างประเทศ มีการปล่อยข่าวว่าอิสราเอลจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับอิหร่าน ติดตามข่าวได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

http://www.palungjit.com/board//showthread.php?t=66324

และคอยช่วยกันติดตามสถานะการณ์โลกดีๆ นะครับ หากใครทราบความเคลื่อนไหวอย่างไรก็ขอให้มาโพสต์ให้เพื่อนๆ ทราบกันด้วย หากเกิดการสู้รบหรือใช้อาวุธนิวเคลียร์กันจริง พวกเราจะได้เตรียมตัวกันทันครับ

.
.


kananun 07-01-2007, 09:52 PM

วันนี้เรามาต่อในเรื่องการปฏิบัติของเรากันต่อครับ

เมื่อวันปีใหม่ผมได้ไปฝึกกรรมฐานกับหลวงพี่สมปองที่บ้านตลิ่งชันครับ
ก็ได้แง่มุมในการปฏิบัติเพิ่มเติมยิ่งขึ้นครับ ซึ่งถือเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม ในการเจริญ พุทธานุสติกรรมฐาน

หลวงพี่สมปองท่านได้กล่าวถึง "กำลังพระ" ซึ่งท่านหมายความถึง "กำลังบารมีของพระพุทธเจ้าที่เราอาราธนาลงมาคุ้มครอง"

วันนั้นผมคิดในใจเล่นๆว่า ขอให้หลวงพี่ท่านพูดเรื่องราวของภัยพิบัติด้วยเถิด เนื่องจากเป็นงานที่เราได้รับมอบหมายให้ทำ ก็ปรากฏว่า หลวงพี่ท่าน บังเอิญกล่าวถึงเรื่องของ "กำลังพระ "โดยที่ท่านได้กล่าวว่า ผู้ที่ขอกำลังพระลงมาคุ้มครองนั้น แม้บุคคลอื่นจะถูกรังสีจากนิวเคลียร์จนเป็นอันตราย แต่ผู้ที่มี"กำลังพระ"นั้นจะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น จุดสำคัญก็คือ เราไม่ควรที่จะลืมพระ ทิ้งพระไปจากใจของเรา พลังพุทธคุณนั้นเป็นพลังที่บริสุทธ์ สะอาด และทรงพลานุภาพสูงสุด บางครั้งเราก็มีของดี สิ่งดีอยู่แล้ว แต่เรากลับไม่เห็นคุณค่าหรือรู้สึกถึงความสำคัญของพุทธานุภาพ

การฝึกจิตในการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านมาคุ้มครอง ตัวเราและครอบครัว หรือ การมี "กำลังพระ" นั้น หากเป็นท่านผู้ทรงมโนมยิทธิ ได้เป็นปรกติ ก็จะเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากมีความเข้าใจในบารมีและพุทธานุภาพของพระพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว รวมทั้งสภาวะของนิพพาน

ในเบื้องต้นหลวงพี่สมปองท่านได้แนะนำว่า " ในตอนเช้าที่เราได้ตื่นขึ้นมา ก็ขอจงตั้งใจทรงจิตอยู่ในพุทธานุสติ อาราธนาพระพุทธเจ้าท่านให้ทรงประทับอยู่เหนือเศียรเกล้าของเราไว้ และอธิฐานว่าขออาราธนาพระท่านให้เมตตาสงเคราะห์คุ้มครองตัวเราไว้ทั้งวัน เราไปไหนขอให้พระท่านไปด้วย มีอะไรที่เราทำไม่ถูกไม่ควรก็ขอให้พระท่าน ช่วยเมตตาสะกิดเตือน มีอะไรที่จะเป็นอันตรายก็ขอให้พระท่านคอยเตือนคอยบอกให้รู้ล่วงหน้า

อันที่จริงสิ่งที่ได้กล่าวมานั้นไม่ยากเกินกำลังใจของทุกท่านที่จะทำกันได้ และเมื่อทำได้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว เราก็จะนับว่าไม่คลาดจากพุทธานุสติกรรมฐานหนึ่ง และเมื่อปกิบัติไปแล้วท่านทั้งหลายก็จะเห็นผล อัศจรรย์ได้ด้วยตัวเอง อย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัตตัง เฉพาะตน

ถ้ากำลังใจสูงขึ้นก็ขอให้ทรงในพุทธานุสติ สามชั้นคือ ทรงพุทธนิมิตรไว้บนศีรษะหนึ่งองค์ ในศีรษะหนึ่งองค์ และภายในอกของเราหนึ่งองค์ จึงได้ชื่อว่าทรงอารมณ์ในพุทธานุสติ พระสามฐาน เป็นเครื่องผูกจิตให้ยิ่งมั่นคงอยู่ในพุทธานุสติได้อย่างมั่นคงไม่คลาดไปได้

ขอให้ลองปฏิบัติกันตามกำลังใจที่เราทำได้โดย ไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป จนหย่อนยาน

ขอกราบโมทนาในบุญแห่งผู้ตั้งใจปฏิบัติด้วยเทอญ


หนุมาน ผู้นำสาร 08-01-2007, 12:35 PM


หนุมาน ผู้นำสาร 08-01-2007, 12:37 PM


กัลคี 08-01-2007, 09:05 PM

เสียชีพอย่าเสียสัตย์


NuJanBaBor 12-01-2007, 07:24 AM

ถ้าเรามีความตั้งใจในการปฏิบัติ เป็นคนดี รักษาศีล

แล้วถ้าเรายังไม่เก่งในเรื่องการฝึกสมาธิ ยังไม่ถึงกับขั้นสูง
ได้แค่พื้นฐาน แล้วเราจะปลอดภัยป่ะค่ะ


kananun 12-01-2007, 07:43 AM

ปลอดภัยครับ

สมาธิ พลังจิต ต่างๆนั้น ที่จริงไม่มีใครเก่งกันมาตั้งแต่เกิดครับ น้อยท่านมาก

ส่วนใหญ่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ รวมถึงสิ่งที่เราเคยสร้าง เคยบำเพ็ญมาในอดีตชาติครับ (ถึงเวลาจะรู้ได้ด้วยตนเอง)

น้องๆเด็กๆ หลายๆคนในเวบนี้ถือว่าโชคดี และเก่งกว่ารุ่นเก่าๆเยอะครับ
เข้ามาในทางธรรมกันตั้งแต่อายุยังน้อย มีทางก้าวหน้าได้อีกมาก แถมยังอยู่ในเกณฑ์การได้อภิญญาใหญ่อีกด้วย

ขอให้รักษาใจของเราให้ใสบริสุทธิ์ไว้
เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ให้มาก
สร้างความศรัทธาในพระพุทธเจ้า และพระรัตนไตรให้ยิ่งขึ้นไป

รับรองว่าปลอดภัยครับ


boko0121 12-01-2007, 09:31 AM

ถ้าเรามีความตั้งใจในการปฏิบัติ เป็นคนดี รักษาศีล

แล้วถ้าเรายังไม่เก่งในเรื่องการฝึกสมาธิ ยังไม่ถึงกับขั้นสูง
ได้แค่พื้นฐาน แล้วเราจะปลอดภัยป่ะค่ะ

ได้แค่ขนาดนี้ก็ปลอดภัยแล้วครับ


กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

กลับหน้าแรก