กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
ยินดีและโมทนากับความก้าวหน้าในการปฏิบัติของคุณ Sindea ด้วยครับที่เห็นพระพุทธรูปท่านมาปรากฏเพิ่มนั้น ไม่ต้องมีความสงสัยใดๆครับ ให้ประคองรักษาพุทธนิมิตรและอารมณ์ใจที่เบาสบายนี้ไว้ครับ ขออนุญาติเล่า ประสบการณ์ช่วงการฝึกแรกๆของผมให้ฟังครับ ก่อนที่ผมจะไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เป็นครั้งแรกนั้น ก่อนหน้านั้นสามวัน อยู่ๆผมก็ปรากฏว่ามีนิมิตรภาพของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อยู่ในอกติดตราตรึงใจอยู่ตลอด ทุกเวลา อาบน้ำก็เห็น กินข้าวก็เห็น ผมจึงเกิดกำลังใจว่าพระท่านเมตตาเรา มาโปรดเราแล้ว เราต้องรักษาอารมณ์ใจที่ดีไว้ให้ได้ตลอด สำหรับคุณ Sindea คุณควรรักษาอารมณ์ใจที่สบายไว้ ทรงภาพพระท่านให้เป็นปกติ และลองมาพิจารณา ร่างกาย ขันธ์ห้า และความตายให้เพิ่มขึ้น จิตจะยิ่งมีความบริสุทธ์และแจ่มใสยิ่งขึ้นครับ สำหรับท่านอื่นๆที่มีผลของการปฏิบัติก็โพสมาเล่าให้ฟังนะครับ เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆท่านอื่นครับ
สำหรับวันนี้พระท่านให้แนะนำในวิปัสนาญาณใน กรรมฐานห้า ที่พระอุปปัชฌาย์ท่านใช้บอกกรมมฐานพระบวชใหม่ครับ
เริ่มต้นให้ท่าน จับลมสบาย ใช้อารมณ์สบายเป็นพื้นฐาน
จากนั้นตั้งจิตระลึกถึง ศีลว่าขณะที่เราทำความดีอยู่นี้ ศีลห้าของเราบริสุทธ์ จิตเราเต็มไปด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เรามีความเคารพในพระรัตนไตย และขอให้ท่านเป็นที่พึ่งอาศัยตลอดจนถึงพระนิพพาน
อธิฐานขออาราธนาบารมีพระพุทธคุณท่านมาคุ้มครอง ใช้จิตจับภาพพระท่านทั้งสามฐานให้สว่างไสวแพรวพราวเป็นเพชร จนจิตใจเราชุ่มเย็นเป็นสุขสงบ
อธิฐานขอขึ้นกรรมฐานห้า กับพระพุทธองค์ท่าน ภาวนา "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ "และย้อนกลับ ( อนุโลม ปฏิโลม ) "ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา"
จากนั้นนึกให้เห็นภาพตัวเราเอง กำลังนั่งสมาธิ อยู่ มีองค์พระท่านเปร่งรัศมีเป็นเพชร อยู่ทั้งสามฐาน คือบนศีรษะ ในศีรษะ และในอก
ภาวนาว่า "เกสา" กำหนดให้เห็นว่า ผมบนศีรษะของเราหลุดร่วงจนหมด แล้วใช้อารมณ์ใจสบายๆพิจารณาว่าเมื่อร่างกายของเราได้ปราศจากผมอันดำสลวยมีรูปทรงที่งามตาแล้ว ร่างกายยังดูงดงามอยู่หรือไม่
ภาวนาว่า"โลมา" กำหนดให้เห็นว่า ขนทั่วทั้งร่างกายของเรา อันมีคิ้ว ขนตา ไรขน ขน แขน ขนขาหลุดร่วงจนหมด แล้วพิจารณาว่าใบหน้าอันว่างเปล่าของเรายังมีความงดงามอยู่หรือไม่
ภาวนาว่า"นะขา"กำหนดให้เห็นว่า เล็บมือ เล็บเท้า ของเราหลุดร่อนออกจากมือและเท้า แล้วพิจารณาว่าเมื่อ มือ เท้า เราปราศจาก เล็บที่ฉาบทาด้วยสีสรรที่ดูสวยงามแล้ว มีเพียงปลายเนื้อแดงๆ ยังดูสวยงามหรือไม่
ภาวนาว่า"ทันตา" กำหนดให้เห็นว่า ฟันทั้งปากของเราหลุดร่วงลงจากปากจนหมด แล้วพิจารณาว่า ใบหน้า และริมฝีปากของเราที่งองุ้มปราศจากฟันฟางยังมีความสวยงามน่าลุ่มหลงหรือไม่
ภาวนาว่า"ตะโจ" กำหนดให้เห็นว่า ผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกายทั่วร่างของเราหลุดลอกออกทั่วทั้งร่าง แล้วพิจารณาดูว่า ร่างกายที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มเหลือเพียงเลือดเนื้อแดงๆทั่วทั้งร่างนั้น ยังน่ารักน่าหลงไหลในผิวพรรณวรรณะที่ว่ากันว่าสวยงามอยู่หรือไม่
พิจารณารวมต่อไปว่าร่างกายนี้ถูกห่อหุ้มไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง และความโง่ ความหลงพาให้เข้าใจผิดว่า ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่สวยงาม แท้ที่จริงมีสภาพเป็นก้อนเนื้อชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำหนองนำเหลือง
จากนั้นกำหนดนึกให้ร่างกายชุ่มเลือดนี้ค่อยๆเน่าเปื่อย ขึ้นเขียว มีน้ำเหลืองน้ำหนองฉุอืดขึ้น จนเนื้อและอวัยวะเน่าเปื่อยหลุดร่อนออกจากร่าง พิจารณาว่านี่คือสภาพความเป็นจริงในร่างกายนี้ ซักวันหนึ่งเมื่อเราตาย ร่างกายของเราก็จะมีสภาวะเช่นนี้เช่นกัน เราจะมีปัญญาฉลาดในร่างกายขันธ์ห้านี้ว่าเป็นสิ่งไม่สวยงาม เป็นของสกปรก มีความเสื่อมสลาย และถึงแก่ความตายในที่สุด จิต เราจะคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ขันธ์ห้านี้ เราคือจิต หรืออาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราวในชาติภพนี้เท่านั้น เมื่อตายแล้วเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้อีกต่อไป
พิจารณาต่อไปจนเห็นเนื้อเน่าเปื่อยแห้งเกรอะกรังเหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นโครงกระดูกค่อยๆแห้ง ผุพัง เมื่อมีกระแสลมพัดมา กระดูกก็ผุสลายเป็นผุยผง หายไปกับสายลม พิจารณาว่า ร่างกายนี้ไร้แก่นสารใดๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ก็ล้วนแต่สิ่งสมมติ ทั้งสิ้น แท้จริงเราคือจิต สิ่งที่ติดตัวเราไปได้จริงๆก็มีเพียง บุญ กุศลบารมี สัมมาทิษฐิ เท่านั้น ส่วนที่พึ่งอาศัยอื่นไม่ว่าทรัพย์สิน เงินทอง หรือวิชาความรู้ก็ไม่อาจช่วยเราได้ มีเพียง บารมีพระรัตนไตยท่านเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เราได้ตลอดทุกชาติภพจนถึงพระนิพพาน
จากนั้นกำหนดให้เราเหลือเพียงดวงจิตเป็นแก้วใสระยิบระแพรวพราว อธิฐานว่าเราคือจิตดวงนี้ มาอาศัยในร่างกายปัจจุบันตามแรงของกฏแห่งกรรมก็ดี ด้วยแรงอธิฐานก็ดี เพื่อการลงมาสร้างบารมีก็ดี ณ บัดนี้จิตของเราได้ตื่นขึ้นจากการยึดติดในร่างกายขั้นห้าแล้วขอให้วิชชา และสัมมาทิษฐิในอดีตชาติของข้าพเจ้ากลับคืนมาด้วยเทอญ
จากนั้นจับภาพพระ สามฐานอีกครั้ง และกำหนดให้เห็นดวงจิตแก้วใสของเราอยู่ในท้องของเราตลอดเวลา ระลึกรู้ว่าเรานี้คือจิต เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จากนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาในอัปปัณนาณฌานโดยมีแผ่จากจุดศูนย์กลางคือจากดวงจิตของเรา เมื่อสำเร็จแล้ว จิตใจเต็มไปด้วยความปิติ ชุ่มเย็นหัวใจ ด้วยความสุขจากการให้ การเสียสละแล้ว จากนั้น ค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ว่า "พุทธโธ ธรรมโม สังฆโฆ" ตามลำดับ
ที่แนะนำไปนี้เป็นการพิจารณา วิปัสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ห้า ในฌานสี่ใช้งานครับ ถ้าลองสังเกตุอารมณ์จิตของตนเองดู จะสังเกตุว่าอารมณ์ใจของเราจะมีความเข้าใจความจริงของร่างกายและเบื่อหน่ายในขันธ์ห้าเพิ่มขึ้น มากกว่าการอ่านหรือการพิจารณาในอารมณ์ ปกติครับ และถ้ายิ่งอารมณ์วิปัสนาญาณยิ่งสูงก็จะเกิดสังขารุเบกขาญาณเพิ่มขึ้น (ญาณความรู้ความเป็นจริงในร่างกาย จนทำให้เกิดความวางเฉย หรืออุเบกขา ในสังขารร่างกายทั้งของตนเองและของบุคคลอื่น ) นั่นคือจิตของเราก็จะยิ่งบริสุทธ์เพิ่มขึ้น สภาวะดวงจิตของเรามีความใสสะอาดสว่างไสวยิ่งขึ้นครับ จิตดีขึ้น สมาธิดีขึ้นตั้งขึ้นขึ้นเนื่องจากกิเลสและนิวรณ์ห้าลดลง เป็นไปโดยความสัมพันธ์กันขององค์สมถะและวิปัสสนาร่วมกัน พยายามปฏิบัติให้บ่อยเป็นปกติครับ อย่าลืมว่าในทุกอารมณ์ในการปฏิบัติล้วนแต่ทรงอยู่ในอารมณ์สบายเหมือนกันหมดครับ
จากนั้นตั้งจิตอธิฐานต่อไปว่า
" ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และบำเพ็ญบารมี ด้วยความจริงใจ หากแม้นข้าพเจ้ามีจิตคิดร้ายนำวิชาไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนา พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชานี้สำเร็จ ถึงสำเร็จก็ขอให้วิชาที่ได้มาถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้าผิดสัจจะ แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชาในทางที่ถูกที่ควรขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ "
.......... ต้องทำทุกครั้งก่อนเริ่มทำสมาธิไหมครับ
วันนี้ได้เห็นข่าวเรื่องไข้หวัดนก ได้ดูสีหน้าท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข และการประกาศลงโทษจำคุก ผู้เคลื่อนย้ายสัตว์ปีกโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ก็รู้สึกได้ว่า ไข้หวัดนกของจริงมาแล้วครับเที่ยวนี้ การกวาดล้างระลอกแรกด้วยโรคระบาดที่ติดต่อกันได้ง่ายที่สุด ทางอากาศด้วยการหายใจ ถ้าเชื้อรุนแรงเต็มที่มีตายกันเป็นแสนครับ
จึงขอนำความรู้เรื่องสุขภาพในการป้องกันตัวเราจากไข้หวัดนก โดยอิงการผสมผสานแพทย์ทางเลือกในแนวทางวิชาแพทย์สามแผน(แผนปัจจุบัน แผนโบราณสมุนไพร และการใช้พลังจิตพลังพุทธคุณประกอบกัน)ของอ.ชม ครับ
ก่อนอื่นขอให้เข้าใจไว้ก่อนว่า ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาไข้หวัดได้นะครับ มีเพียงยาบรรเทาอาการของไข้หวัดเท่านั้น ดังนั้นเชื้อไข้หวัดนกที่มีการกลายพันธ์นั้นจึงหน้ากลัวอย่างยิ่ง และนอกจากนั้นยาปฏิชีวนะในปัจจุบันก็เจอเชื้อดื้อยาใช้ไม่ได้ผลแล้วครับ รวมทั้งยาทามิฟลูด้วย
ดังนั้นการปฏิบัติตนจริงๆคงมีแค่ การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อไม่ให้เป็นครับ อีกประการก็คือ การเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีระดับของทีเซลล์สูงสุดเสมอ ผมขอเริ่มจากการป้องกันครับ
การป้องกันและการลดปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อ
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม กับสัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงที่ป่วย ผู้ป่วย ในช่วงเวลานี้ ถ้าไม่จำเป็น
2.งดการกินอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ปรุงไม่สุกเด็ดขาด
3.งดการสูบบุหรี่เพราะจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง
4.หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ และผู้ที่ไอจาม เพราะทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้น และในละอองควันบุหรี่ยังเป็นที่ยึดเกาะในการกระจายตัวของเชื้อแบคทีเรียและไวรัสด้วย
5.ล้างมือฟอกสบู่ให้เป็นนิสัย ทั้งเมื่ออยู่นอกบ้านที่ทำงานและก่อนกินอาหาร จะช่วยลดการติดเชื้อได้มาก
6.ล้างตาและโพรงจมูกด้วยน้ำสะอาดเสมอทุกครั้งที่อาบน้ำจะช่วยลดการหมักหมมของเชื้อโรคได้
7.เมื่อเข้าไปในเขตที่เรามีความรู้สึกว่ามีเชื้อโรค หรือรู้สึกสกปรก ให้เข้าลมละเอียดทันที ตามที่เคยฝึกมา จะช่วยลดการรับเชื้อและเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายโดยอัตโนมัติ แต่ห้ามอัดลมปราณแบบแรงๆลึกๆหรือใช้กำลังเด็ดขาดเพราะเชื้อจะเร่งกระจายทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ถ้ามีผ้าปิดจมูก ปากก็ให้ใส่ อย่ามัวอาย
8.ถ้า เข้าภาวะที่ระบาดร้ายแรง จงอย่าออกไปนอกบ้านโดยไม่จำเป็น ใช้เครื่องฟอกอากาศ พลาสม่า หรือโอโซนอย่างอ่อน ทำความสะอาดอากาศในบ้าน ถ้าต้องออกไปใส่แว่น ปิดปาก จมูก
9.ใช้จิตที่เป็นสมาธิเต็มกำลังของเรา อธิฐานขอบารมีพุทธคุณให้เป็นแสงลงมาคลุมคุ้มครอง ตัวเรา ทุกคนในครอบครัว อาณาบริเวณที่เราอธิฐานเขตป้องกันไว้ด้วยพลังจิต แล้วใช้จิตฟอกธาตุและมวลอากาศให้สะอาดบริสุทธ์ ปราศจากเชื้อโรค
10.หมั่นทำความสะอาดบ้าน ประตู หน้าต่าง ไส้กรองอากาศ หน้ากากแอร์ อาจจะใช้นำสบู่อ่อนๆ แต่ที่ดีที่สุดก็คือ ยาฆ่าเชื้อเดทตอลผสมน้ำ ช่วยฆ่าเชื้อได้มาก
ต่อไป เป็นการป้องกันโดยการเพิ่มและรักษาระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงอยู่เสมอครับ
1.ไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายฝึกสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น ลองติดต่อถามที่โรงพยาบาลเอกชน ขอเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่สุดเท่าที่จะใหม่ได้ เพราะปัจจุบันวัคซีนมีการอัพเดทใหม่ทุกปีครับ แต่ราคาค่าวัคซีนค่อนข้างสูงนะครับ ประมาณพันกว่าบาทต่อเข็ม บางรพ.ก็ไม่มี ต้องสั่งเท่านั้น อีกเทคนิคหนึ่งให้ไปบริจาคพลาสม่าที่กาชาด จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเร่งสร้างเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวทดแทนทำให้ร่างกายมี ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และระหว่างที่ถ่ายพลาสม่า ให้ภาวนาทำสมาธิ บอกกับร่างกายให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวให้มากขึ้น มีภูมิคุ้มกันในร่างกายสูงขึ้นๆ
2.ทานวิตามิน และสมุนไพรเพื่อการป้องกันและรักษาสุขภาพ โดยมี
วิตามิน ซี 500-2000 mg. ต่อวันโดยแบ่งเป็นเช้าและเย็น
สมุนไพรฟ้าทะลายโจร กินทุกวันเพื่อป้องกัน วันละ 1แคปซูล 500มก.
สมุนไพรผงกระเทียมสะกัด กินวันละ 1 แคปซูล 500 มก. ดีกว่าอย่างสดคือมีความเข้มข้นสูงกว่าและดูดซึมง่ายกว่า เนื่องจากเป็นผงสกัดครับ ลองดูของเวชพงษ์ครับ
ถ้าหาได้ใช้สมุนไพร อิชินาเชีย เป็นสมุนไพร ตปท. แต่ปัจจุบันมีปลูกที่เชียงใหม่ มีงานวิจัยว่าช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ ใช้ได้ผลดีมากๆครับ ผมยืนยันด้วยการใช้ด้วยตัวเองครับ
3.รักษาระดับโปรตีนในร่างกายอย่าให้ลดลงต่ำ เพราะเมื่อร่างกายก่อนเพลียและขาดโปรตีน ร่างกายจะดึง โปรตีนจากระบบภูมิคุ้มกันมาใช้ทำให้มีอาการน้ำมูกไหล ตะครั่นตะคลอตัว ภูมิคุ้มกันลดลงและติดเชื้อ ไม่สบายในที่สุด
4.การนั่งสมาธิช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้ โดยเฉพาะการกระตุ้นจักรที่บริเวณลำคอ อันเป็นที่ตั้งของต่อมไทรอยย์ซึ่งมีผลในการสร้างภูมิคุ้มกัน
5.การใช้พลังจิตอธิฐานเสกยาก่อนกินจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาให้เพิ่มขึ้นได้ทั้งยาไทย ยาฝรั่ง และลดอาการผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้นให้ลดลงหรือไม่มี
6.ถ้ารู้สึกเริ่มจะไม่สบายอย่านอนพักโดยไม่กินยาก่อน เพราะจะยิ่งซมไข้ และเป็นมากขึ้น ให้ทานอาหารเล็กน้อย ดื่มน้ำเยอะๆ ทานยาแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร วิตามินซี ทายาหม่อง ฟ้าทะลายโจร ที่ใต้จมูก คอ และอก แล้วจึงนอนหลับพัก เมื่อตื่นขึ้น ส่วนใหญ่จะหายไม่เป็นอะไรครับ
7. มีสารอาหารชื่อ L-Glutamine ช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันและรักษามวลกล้ามเนื้อ ทานก่อนนอนวันละหนึ่งช้อนชา ไม่เป็นอันตรายอะไรครับทานเป็นประจำได้ทุกวัน หาข้อมูลได้จากหนังสืออาหารและสุขภาพ ของ อ.ศรีนวล เจียจันทร์พงศ์ ครับ ส่วนกลูตามีนหาได้ทีร้าน จีเอ็นซี
ถ้าเริ่มป่วยหรือติดเชื้อให้ใช้การรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันตามปกติ เสริมด้วยการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร และวิตามินซีร่วมด้วย ทำสมาธิ ฟังเทศน์โพชชงค์ปริตร อธิฐานขอพลังพุทธคุณลงมารักษาและเสกยาทุกครั้ง ที่กิน จะทำให้หายป่วยและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เจริญวิปัสนามรณานุสติไว้เพื่อเป็น ธรรมโอสถ ถ้าอาการทรุดหนัก และเชื่อพระพุทธเจ้าให้ใช้ยาดองน้ำมูถเน่า ดูถ้าไม่มีทางเลือกอื่น
ส่วนท่านที่เริ่มรู้สึกเช่นกันว่าการกวาดล้างรอบใหญ่ใกล้เข้ามาก็ขอให้ไปทำบุญปล่อยปลา ปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าเพื่อเป็นการทำบุญต่ออายุ ไว้ล่วงหน้าก่อนครับเพื่อความไม่ประมาท ขอให้ทุกคนปลอดภัยสุขภาพดีทุกคนนะครับ
ตอบคุณKumpeang ครับ คำอธิฐานชุดนี้ใช้ตอนไหว้ครู ขึ้นพานครูครั้งแรกครับ ส่วนวิชาที่เหลือจะเป็นไปโดยอัตโนมัติครับ ถ้านำวิชาไปใช้ในทางมิจฉาทิษฐิเมื่อไหร่ เราจะเสื่อมจากวิชชา และอภิญญาครับ ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดไว้ป้องกันศิษย์ท่านครับ คนมีอภิญญาเวลาพลาดตกนรก ลงลึกกว่าชาวบ้านครับ และในทางกลับกัน เวลาสร้างบารมีก็มีกำลังและทำได้มากกว่าชาวบ้านเขา วิชชาทุกสิ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อ มีสัมมาทิษฐิและคุณธรรมกำกับครับ
มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอีกแล้วครับ วันก่อน หลวงพ่อวิชญ์ ที่ท่านสร้างบารมีซ่อมพระพุทธรูปชำรุด ทั่วประเทศที่ออกรายการคนค้นคน ท่านได้โทรมาหาผม และได้พูดคุยกันเรื่องโครงการที่ท่านทำอยู่ และได้ซ่อมพระพุทธรูปไปแล้วกว่า 500 องค์ วันนี้บังเอิญท่านเข้ามากรุงเทพพอดี ผมจึงได้นัดไปกราบสนทนากับท่าน และได้ข้อสรุปว่าผมจะช่วยท่านเขียนโครงการซ่อมพระพุทธรูปทั่วประเทศของท่านให้ขอบข่ายงานให้กว้างขึ้น และเราได้ตกลงว่าจะถวายโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราครับ หากท่านใดสะดวก และศรัทธามีกำลังทางด้านใด ก็ขอเชิญร่วมสร้างบารมีด้วยได้นะครับ จุดสำคัญที่สุด คือกำลังใจ และความบริสุทธ์ใจครับ ไม่สำคัญที่ต้องสร้างบารมีด้วยเงินเพียงอย่างเดียวไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตัวเราสร้างข้อจำกัดให้ตัวเองว่า ต้องมีเงินถึงจะทำบุญ ไว้มีเงินก่อนค่อยสร้างบารมี ไม่ถูกครับ ผมเคยผิดมาแล้วครับ งานนี้ผมตั้งใจจะใช้ ปัญญาบารมีครับ ที่สำคัญเพราะงานนี้เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องถึงอนาคต ในช่วงเวลาฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในช่วงหลังภัยพิบัติครับ พระท่านจัดให้ต้องได้พบกัน กับหลวงพ่อวิชญ์ตั้งแต่ตอนนี้ครับ
ช่วงนี้ผมคงต้องเจียดเวลา เพื่อช่วยท่านเขียนโครงการ ด้วย แต่จะพยายาม ถ่ายทอดความรู้ วิชชาที่พระท่านเมตตาให้พวกเราทุกคนได้ศึกษาเพื่อเตรียมไว้ใช้ช่วยเพื่อนมนุษย์ ให้มากที่สุดครับ พระท่านเร่งงานให้เร็วขึ้นครับ ขอให้ทุกท่านอย่าประมาท เร่งการปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสนาครับ แล้วก็อย่าลืมไปฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านสายลม วัน เสาร์ อาทิตย์นี้นะครับ จะได้ต่อวิชาขั้นสูงๆต่อไปได้ และก็อย่าลืมทบทวนของเก่าให้คล่องตลอด จับหลักการที่สำคัญให้ได้ ผมเน้นไว้ให้ชัดเจนแล้วครับ ไม่ยากเกินกำลังใจของท่านทุกคนครับ
ผ่านมาหลายวิชาแล้ว เราลองมาทบทวนหลักของการฝึกใช้พลังจิตและอภิญญา กันอีกครับเผื่อท่านที่เพิ่งมาอ่านทีหลังหรือท่านที่อ่านข้ามไปครับ
1. จงมีสัจจะ คุณธรรม และความกตัญญู ต่อพระรัตนไตย พ่อแม่ ครูบาอาจารย์และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายไม่ว่าจะมีกายเนื้อหรือท่านที่มีกายทิพย์ ผู้มีคุณธรรมและความกตัญญู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านย่อมเมตตาคุ้มครองและสงเคราะห์ครับ
2. อธิฐานให้วิถีชีวิตของเราทั้งในทางโลกและทางธรรมตั้งมั่นอยู่ใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา เมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ ถูกแนวตรงแนวแล้ว โอกาศที่จะผิดเพี้ยน ปฏิบัติผิดแนวเพี้ยนเป็นมิจฉาทิษฐิย่อมไม่มี
3. มีศีลเป็นปกติ เป็นธรรมชาติ มีความเคารพในพระรัตนไตยยิ่งชีวิต
4. หมั่นเจริญวิปัสนาญาณสม่ำเสมอ มองเห็น การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และความตาย เป็นธรรมดา จนจิตใจเรานิ่งไม่กลัวความตาย แต่มองความตายว่าเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งไม่ว่าเราหรือผู้อื่นก็ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้ สิ่งสำคัญก็คือเราตั้งใจอธิฐานว่าเมื่อเราตายแล้วเราจะไปไหน แล้วถ้าเราต้องตายไปในนาทีนี้ เรามีความดี และบุญกุศลเพียงพอที่จะไปที่นั้นได้แล้วหรือไม่ ถ้ายังเราจะเร่งสร้างบารมีอย่างไร ปฏิบัติตนอย่างไร อบรมใจเราอย่างไร
5. ฝึกสมถะสมาธิในอานาปานสติเสมอ จำลมสบาย ที่จิตใจมีความสบายไว้เสมอ ต้องทำให้ได้ระดับที่เข้าได้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ต้องการ ทุกอิริยาบท ไม่ว่าลืมตาหลับตา ภายนอกเงียบหรือเสียงดัง อากาศร้อนหรือหนาว ไม่ใช่ข้ออ้างต้องทำให้ได้ทุกครั้งเสมอ
6.อารมณ์จิตที่ต้องการในการปฏิบัติคือ จิตสบาย มีความสุข มีความปิติ มีความเมตตา เต็มหัวจิตหัวใจ มีความเบา มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ จงรู้จักความสุขจากความสงบ ความสุขที่เราไม่ต้องแก่งแย่ง ไขว่คว้า ความสุขที่ไม่เจืออามิส คือไม่อิงด้วยวัตถุ เราสามารถมีความสุขได้ในทุกที่ทุกเวลา ทุกขณะจิต ส่วนอารมณ์ที่ไม่ต้องการในการปฏิบัติคือ อารมณ์หนัก อารมณ์เพ่ง อารมณ์บีบ อารมณ์กดทับกดดัน เพราะอารมณ์เหล่านี้จะทำให้จิตวิปปราส
7. การเจริญและแผ่เมตตา เราต้องทำให้ความสุข ความรักความเมตตาของเราเต็มล้นในหัวใจของท่านก่อนแล้วจึงกำหนดจิตแผ่อารมณ์ใจที่ดีนั้นออกไปทั่วอนันตจักรวาล ท่านจะได้รู้จักความสุขจากการให้ ความสุขที่เป็นวิสัยที่แท้จริงของพระโพธิสัตว์ครับ
8. การจับภาพพระพุทธรูปนั้น ต้องพยายามจับให้องค์พระท่านใสเป็นแก้วประกายพรึก คือเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวจนใจของเรามีความสุขความสบายใจ จากนั้นจงอธิฐานและเชื่อมั่น ไม่ลังเลสังสัยว่า บารมีของพระพุทธเจ้าท่านเมตตาลงมาสถิตอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธนิมิตรในจิตของเราครับ และถ้าผมใช้คำว่าจับภาพพระ เราหมายถึงการทำจิตถึงอารมณ์นี้ครับ
9. การจะทำการใดๆ เราอธิฐานขอบารมีพระท่านให้มาเมตตาสงเคราะห์ทุกครั้งครับ อย่าใช้กำลังใจเราเองอย่างเดียว เพราะไม่ว่าอย่างไรเราไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าท่านหรอกครับ และอีกอย่างจะเป็นเครื่องป้องกันจิตเราไม่ให้หลงผิดคิดว่า เราดี เราเก่ง เพราะถ้าคิดอย่างนั้น ไม่ช้าอภิญญาจะเสื่อมครับ ต้องกลับไปแก้จิตให้เป็นสัมมาทิษฐิ และขอขมาพระรัตนไตยครับ
10.หมั่นศึกษาทบทวน การอธิฐาน การใช้กำลังใจ การวางอารมณ์ใจ ให้สม่ำเสมอครับ
การปฏิบัติในทุกสิ่งที่แนะนำไปมีผลทั้งสิ้นครับ หวังว่าทุกท่านจะเจริญรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ
ขออนุญาต โหวตหน่อยครับ ท่านใดที่ได้มโนมยิทธิแล้วให้ช่วยโมทนากันหน่อยครับ เคยได้ก็ได้ครับ
คนดีน้อยลง เด็กวัยรุ่นจิตใจต่ำลงเห็นธรรมะเป็นเรื่องตลก ไม่รู้จักสิ่งผิดชอบชั่วดี พูดจาไม่มีสัมมาคารวะ เพราะผู้ใหญ่มิได้ขัดเกลาจิตใจให้สะอาด
กลับสอนให้บุตรของตนลุ่มหลงทรัพย์สินเงินทอง หลงชื่อเสียง แข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดในสังคม คิดว่าเงินทองจะทำให้คนที่ตนรักสุขสบาย
ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่มิได้สั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักการให้ การเสียสละ ทำให้บุคคลอันเป็นที่รัก หลงผิดคิดเอาแต่ชนะ เอาแต่ได้
ถ้าไม่ได้ก็โกรธ ทำร้าย ใส่ร้าย ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดนมิได้คิดว่าตนทำถูกหรือไม่ กลับคิดว่าตนต้องได้ ตนถูกเสมอ
เพราะคนสอน สอนให้เป็นเช่นนั้น จะมีสักกี่คนที่คิดดี ปฎิบัติดี
ปัจจุบันผมก็พยายามบอกกับบุคคลใกล้ชิด บอกในสิ่งที่ถูกที่ควร แต่เขาเหล่านั้นกลับหัวเราะ พูดจาลบหลู่ในสิ่งที่ผมสอน
น่าเห็นใจบิดามารดาของเขาเหล่านั่นเสียจริงๆ เห็นใจที่เขามิได้รับในสิ่งที่ดี แต่กลับรับในสิ่งที่มิชอบ ชื่นชมในสิ่งร้าย ลุ่มหลงในกาม
ข้าพเจ้าจะทำเช่นไรดีให้เขาเหล่านั้นกลับตัวกลับใจได้
เพราะตัวข้าพเจ้าเองเมื่อก่อนก็คิดเช่นนั้น ทำความไม่ดีมาเยอะ ทำให้บิดามารดาเสียใจ เพราะมั่วลุ่มหลงอบายมุข ไม่เคารพบุพการี
ไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านสอน จนเสียอนาคตไปนั่งคิดเสียใจในสิ่งที่ทำอยู่หลายอาทิตย์ จนกระทั่งบิดามารดาทราบข่าว เป็นครั้งแรกที่ผมทำผิดแล้วท่านไม่ว่าผม
มันทำให้ผมรู้เลยว่า คนที่รักเราอย่างแท้จริง มิใช่คนอื่นไกล นั่นก็คือบิดามารดาของเรานี่เอง นั่นทำให้คิดได้ว่า เพื่อนพ้องที่กิน เล่น เที่ยว สนุกสนานด้วยกันนั้น
ไม่ได้รักเราจริงอย่างที่เราคิดไป จากนั้นผมก็ถูกส่งไปยังสถานที่ๆผมไม่รู้จักใคร เจอผู้คนหน้าใหม่ๆ แล้วก็เจอคนคนนึงที่ได้ทำให้ ความคิดของผมเปลื่ยนไป
ได้ให้ข้อคิดหลายๆอย่างในการดำเนินชีวิต และได้แนะนำให้ผมอ่านเอกสารบางอย่าง นั่นก็คือ วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ มันทำให้ผม
คิดได้ว่า เกิดมาเพื่ออะไร และได้หันไปมองผู้คนรอบข้างที่คิดเหมือนผมในอดีต เลยทำให้ผมคิดว่าผมอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ เพราะได้ทำความไม่ดีมาเยอะ
ตอนนี้เวลาทำสมาธิ ทำได้ไม่ถึง1นาทีเลยครับ รู้สึกกลัว ในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็น กลัวผมกรรมที่ได้ก่อไว้ ทำให้จิตใจไม่นิ่งเลยครับ ไม่รู้ว่าขั้นแรกจะทำได้หรือป่าว
บางทีรู้สึกเหมือนมีสองคนในร่างเดียว เวลาใครทำอะไรให้ไม่พอใจเหมือนมี ธรรมมะบอกให้ปลงเอาไว้คิดเสียว่ามันเป็นกรรม แต่อีกใจก็คิดไปว่าทำไมเราไม่ไป
ทำให้เขาไม่พอใจคืนไป ทำให้ข้าพเจ้าสับสน ทำสมาธิก็ได้ไม่นานเลยครับ แต่ก็ยังดีที่ใจส่วนใหญ่คิดดีทำให้ไม่ได้ปฎิบัติในสิ่งร้ายเหมือนแต่ก่อน
แล้วข้าพเจ้าจะสามารถเข้าถึงธรรมมะได้หรือไม่ แต่ก็พยายามทำความดี ไม่คิดร้ายคนอื่นๆ และหวังว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ พระองค์อื่นๆ
ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าให้คิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่ความดีด้วยเถิด
ขออภัยที่ทำให้รกกระทู้ครับ
ขอตอบคุณ ballza ครับ "การทำความดีไม่มีคำว่าสายครับ" การเปลี่ยนความคิดเป็นสัมมาทิษฐิของคุณนั้น เป็นการพลิกจิตและเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนเกิดใหม่ครับ ทุกคนเคยผิดทุกคนเคยพลาดครับ ผมเองก็เคยทำผิดพลาดครับ หลายสิ่งที่ผมนำมาแนะนำบางอย่างก็เป็นการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตมาเป็นครูสอนเราครับว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง สิ่งสำคัญอยู่ที่เราต้อง จดจำ เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากมันครับ ผมขอยกตัวอย่าง พระองคุลีมาลท่าน ถึงแม้เคยทำบาปมหันต์มาในอดีต เมื่อได้ฟังธรรม ก็ได้พลิกจิตเป็นสัมมาทิษฐิ เปลี่ยนจากโจรจนบรรลุอรหันต์ได้ครับ ผมขอโมทนาในการกลับตัวกลับใจของคุณครับ
---ไม่ต้องกลัวการทำสมาธิครับเพราะผมทราบดีว่าเวลาคุณนั่งจะมีนิมิตรหลอน เป็นภาพ คนที่เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณมาชี้หน้าบ้าง มาให้เห็นภาพความผิดในอดีตบ้าง ผมขอแนะนำดังนี้ครับ จับภาพพุทธนิมิตรเป็นหลักชัยในจิตของเราไว้ และทำใจเราให้สบาย จากนั้น แผ่เมตตาอัปปัณนาณฌาน ไปในทิศทั้งปวงตามกำลังของคุณ จากนั้น อธิฐานขอขมาพระรัตนไตย ท่านเจ้ากรรมนายเวร และขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ ตามที่ผมเคยแนะนำไว้ในตอนต้นๆของการปฏิบัติ จากนั้นคุณอธิฐานต่อพระท่านว่า "ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะ คิดแต่สิ่งที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ขอพระพุทธองค์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยคุ้มครองกาย วาจา ใจ ของข้าพเจ้าให้มุ่งตรงต่อสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา"
--- ส่วนบุพพกรรมที่คุณได้ทำให้พ่อแม่เสียใจนั้น เป็นกรรมสายอนันตริยกรรมทางด้านลบ ทางแก้และผ่อนหนักให้เป็นเบาคือ นำพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาต่อท่านให้ท่านอโหสิกรรมให้และสัญญาว่าจะกลับตนเป็นคนดี กราบที่เท้าท่าน และนำเท้าของท่านทั้งสองมาวางเหนือเศียรเกล้าของเรา ถ้าคุณทำได้ชีวิตคุณจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ นี่เป็นในเบื้องต้น ขั้นต่อไป คุณต้องตั้งใจแก้อนันตริยกรรมทางฝ่ายลบให้เป็นฝ่ายบวกครับ นั่นคือกรรมหนักทางกุศลครับ คุณได้ทำไปอย่างหนึ่งแล้วคือ เปลี่ยนตนเองให้เป็นสัมมาทิษฐิครับ ต่อไปคือค่อยๆชักจูงพ่อแม่ ให้โน้มเข้าสู่ทางธรรม ทางกุศล จนทำให้พ่อแม่ได้สัมมาทิษฐิครับ เพราะนับเป็นความกตัญญูยิ่งกว่าปรนเปรอท่านด้วยเงินทองข้าวของใดๆ ครับ ท่านอื่นจะนำไปใช้ก็ได้นะครับ ขึ้นชื่อว่าความดีไม่มีข้อจำกัดใดๆครับ
---กระทู้ของคุณไม่รก หรอกครับ มิหนำซ้ำยังช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นๆด้วยครับ ผมถือว่ากระทู้ของคุณเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดสำหรับผมครับ
ความคืบหน้าเรื่องโครงการซ่อมแซมพระพุทธรูปนั้นวันนี้ผมได้ไปบ้านสายลม และถวาย Vcd รายการ คนค้นคน ของหลวงพ่อวิชญ์ ให้หลวงพี่อนันต์ท่านตอนระหว่างที่ถวายสังฆทานครับ หลวงพี่อนันต์ท่านรับแผ่น ซีดี อึดใจหนึ่ง แล้วบอกว่า "ถ้าพระองค์นี้ท่านเป็นพุทธภูมิ" ซึ่งตรงนี้ท่านรู้แต่ไม่บอกตรงๆ และตรงกับที่ผมสัมผัสว่าท่านเป็นพุทธภูมิแน่นอนครับ
---ขออนุญาตเล่าคำอธิฐานของท่านที่ท่านเล่าให้ฟังนะครับ
คำอธิฐานในการทำงาน
1.ข้าพเจ้าขอไม่เจ็บไม่ป่วย เพราะถ้าป่วยจะทำงานตรงจุดนี้ไม่ได้
2.เรื่องการเงินขอให้มีผู้ช่วยเหลือ โดยท่านไม่ต้องกังวลเดือดร้อน
3.ขอให้มีผู้มาช่วย มาสนับสนุน มาร่วมสร้างบุญบารมีด้วย
คำอธิฐานในการมาเกิดชาติใหม่ของท่าน
-- ท่านจะยังไม่ขอไปนิพพาน แต่ขอให้ท่านได้มาเกิดเป็นคนไทย ในแผ่นดินไทย ในพระพุทธศาสนา และได้บวชเรียนตั้งแต่ยังเด็ก และให้มีจิตระลึกรู้ได้ในสิ่งที่ตนอธิฐาน และได้ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะไม่มีพระพุทธรูปที่ชำรุดให้ท่านได้ซ่อมแซมอีก
--ขอให้ท่านทั้งหลายได้ดูกำลังใจและคำอธิฐานของท่านไว้เป็นตัวอย่างและกำลังใจในการทำความดีของท่านครับ
ท่านที่อยากได้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม มีคนช่วยโพสวิดีโอของท่านจากรายการคนค้นคนไว้ในกระทู้ประชาสัมพันธ์ การสร้างพระครับ
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=38654
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ดิฉันได้ไปที่บ้านสายลม ได้ไปถวายสังฆทาน ได้ไปพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้พากล่าวบทสมาทานพระกรรมฐานดิฉันมองขึ้นไปบนจอมอนิเตอร์ที่ทางวัดเปิดเทป ดิฉันรู้สึกว่าเหมือนหลวงพ่อท่านอยู่ใกล้ๆคอยเป็นกำลังใจและรับรู้การกระทำดีของเราเสมอค่ะ ดิฉันอยากให้ทุกคนได้ฝึกและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอน ดิฉันเป็นคนที่เชื่อในพลังแห่งความคิดในแง่บวกเพราะความคิดที่ดีมักจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเข้ามาสู่ชีวิตอยู่ตลอดเวลาค่ะ
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ดิฉันได้ไปที่บ้านสายลม ได้ไปถวายสังฆทาน ได้ไปพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้พากล่าวบทสมาทานพระกรรมฐานดิฉันมองขึ้นไปบนจอมอนิเตอร์ที่ทางวัดเปิดเทป ดิฉันรู้สึกว่าเหมือนหลวงพ่อท่านอยู่ใกล้ๆคอยเป็นกำลังใจและรับรู้การกระทำดีของเราเสมอค่ะ ดิฉันอยากให้ทุกคนได้ฝึกและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอน ดิฉันเป็นคนที่เชื่อในพลังแห่งความคิดในแง่บวกเพราะความคิดที่ดีมักจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเข้ามาสู่ชีวิตอยู่ตลอดเวลาค่ะ
วันนี้ผมได้ไปถวายสังฆทานที่บ้านสายลมขอแบ่งบุญให้ทุกท่านมีส่วนร่วมในบุญในกุศลทุกประการครับ
---วันนี้ได้เห็นว่ามีท่านที่ได้ไปฝึกกรรมฐานและวชามโนมยิทธิเป็นจำนวนมาก ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ และขอให้ฝึกมโนมยิทธิให้สำเร็จได้ทุกๆท่านครับ ถ้ายังไม่ได้พรุ่งนี้มีอีกวันครับ
---และขอโมทนาบุญคุณบาร์บี้ 123 ด้วยครับ ขอให้คุณรักษาอารมณ์ใจที่งดงาม มีความบริสุทธ์ของจิตใจที่ใสสะอาด คิดแต่สิ่งดีๆทั้งต่อตัวเองและ คนใกล้ตัว ครับ ลองฝึกเพิ่มอย่างนี้นะครับ "ตั้งใจและอธิฐานว่า เช้าและก่อนนอน เราจะแผ่เมตตาอัปปันณานฌานให้เต็มหัวใจเต็มกำลังของเรา ขอให้ผลและอานิสงค์แห่งเมตตาฌานที่เราได้เจริญไว้ดีแล้วได้โปรด ส่งผลต่อเราทั้งกายและใจ ทางกายให้เรามีผิวพรรณวรรณะที่มีราศี มีบารมีแห่งความเมตตาที่ ไม่ว่าผู้ใดก็สัมผัสได้เราจะมีแต่อารมณ์แย้มยิ้มเบิกบานกับทุกคน และขอให้จิตของเราสะอาดบริสุทธ์ มีแต่ความแช่มชื่นเบิกบานใจ และได้บำเพ็ญบารมียิ่งๆขึ้นไป"
---ถ้ามีโอกาสขอให้คุณช่วยเล่าเรื่อง Miracle everyday และไดอารี่สิ่งที่ดีงามที่เกิดขึ้นทุกวันให้เพื่อนๆท่านอื่นได้ฟังเป็นประสบการณ์บ้างนะครับ
สิ่งที่ฉันปรารถนาและตั้งอธิษฐานจิตอยู่เสมอทุกวันทุกเวลา
คือ
1.ฉันปรารถนาที่จะสร้างบารมีเพื่อให้ฉันบรรลุซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
2.ฉันปรารถนาที่จะบำรุงและสนับสนุนพระพุทธศาสนาในทุกๆด้านแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตามด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาของฉัน
3.ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของฉัน ฉันปรารถนาให้พ่อและแม่ของฉันได้บรรลุซึ่งพระนิพพาน
4.ฉันปรารถนาที่จะได้แต่งงานกับคนที่ฉันรักและพร้อมที่จะสนับสนุน และสร้างบารมีร่วมกับคู่ครองของฉันด้วยความรักที่บริสุทธิ์ตลอดไป
5.ในทุกๆหนทางและตลอดเวลาที่ฉันมีชีวิตอยู่ฉันพร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ
6.ฉันจะเป็นคนที่น่ารักและมองโลกในแง่ดีตลอดไป...
โมทนาด้วยครับ เพื่อนๆท่านอื่น โพสเข้ามาอธิฐานในสิ่งที่ดีงามในจิตใจของเราในกระทู้นี้ได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจ และไม่ต้องอายครับ อย่างที่ผมอยากบอกว่า "อย่าอายที่จะทำดี แต่จงละอายใจในการทำชั่ว ความดีนั้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นความดี ความดีนั้นไม่มีข้อจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ครับ" เปร่งคำอธิฐานออกมาครับ เมื่อก่อเกิดจากจิต ประกาศออกมาคำอธิฐานจะได้เป็นจริงครับ
ต่อไปผมขออธิบายความสำคัญที่ผม แนะนำให้ท่านไปฝึกวิชามโนมยิทธิให้ได้กันก่อน ครับผม
1. วิชามโนมยิทธิมีความสำคัญในการเข้าใจ เรื่อง สัมมาทิษฐิ การเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม วิปัสนาญาณ และสภาวะที่แท้จริงของพระนิพพานครับ
2. เป็นการปฏิบัติที่จะทำให้ท่านได้เชื่อมโยงกับครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อในการสอนธรรมมะขั้นสูงของแต่ละคนครับ
3.เป็นพื้นฐานในการฝึกจิตเพื่อการรองรับอภิญญาใหญ่
4.เพื่อท่านที่เป็นพุทธภูมิจะได้ทราบภาระกิจหน้าที่ที่ตนเอง ได้อธิฐานด้วยตัวเอง
5.เพื่อท่านที่ปรารถนาสวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ จะได้สำเร็จจากการปฏิบัติ และความเป็นทิพย์ของจิต
6.เพื่อท่านจะได้ใช้วิชานี้ในการสร้างบารมี ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น และเพื่อความหลุดพ้นของตนเอง
7.เพื่อความศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธศาสนาและเพื่อยืนยันสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอน และพระอริยสงฆ์ท่านได้สืบทอดกันต่อมาถึงในยุคของเราครับ
วันนี้ได้เข้าไปสนทนาธรรมกับหลวงพี่โอและหลวงพี่ชัยวัฒน์ ที่บ้านสายลมครับ ปฏิปทาของหลวงพี่โอนั้นนอกจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ตอนนี้ท่านยังไปสร้างและร่วมสร้างพระพุทธรูปแทบจะทั่วประเทศไทย ในต่างจังหวัดที่ห่างไกลโดยเฉพาะทางภาคอีสานครับ ท่านไปช่วยโดยไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นวัดธรรมยุติ หรือมหานิกายครับ น่านับถือน้ำใจและกำลังใจของท่านที่ทำงานถวายไว้ในพระพุทธศาสนาครับ ส่วนหลวงพี่ชัยวัฒน์นั้นท่านทำงานติดตามค้นหารอยพระพุทธบาททั่วประเทศไทยและทั่วโลกเท่าที่ทราบข่าวครับ งานนี้เป็นการยังศรัทธาให้บังเกิดขึ้นในหมู่ชาวพุทธครับ เพราะเป็นเครื่องแสดงพระมหากรุณาธิคุณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีต่อชาวโลก เพราะการที่พระองค์ท่านจะประทับรอยพระพุทธบาทได้นั้นท่านต้องอธิฐานก่อนด้วยเหตุดังนี้ครับ
--เพื่อให้มนุษย์ และเทพพรหมเทวดาได้เคารพสักการะกราบไหว้บูชาแทนองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
--เมื่อท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่จารึกพระพุทธศาสนาไว้ได้ มีผู้ที่เข้าใจและเข้าถึงธรรมในดินแดนนั้นๆ
งานของหลวงพี่ท่านจึงเป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ท่านที่สนใจ เรื่องราวการตามรอยพระบาทนี้ทางหลวงพี่ท่านได้พิมพ์หนังสือออกมาเผยแพร่เรื่องราว ที่ท่านได้ทำงานมา และมีเหตุการณ์ปาฏหาริย์ต่างๆเกิดขึ้น แทบในทุกครั้งของการเดินทาง ลองหาได้ที่วัดท่าซุงและที่บ้านสายลมครับ ตอนนี้ท่านเพิ่งออกเล่ม 2
---สำหรับธรรมมะที่ได้สนทนากับท่านนั้น หลวงพี่โอท่านได้แนะนำเพิ่มเติมถึงอารมณืในการปฏิบัติว่า ถ้าจะให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัตินั้น ต้องอาศัยความสัปปายะ (สถานที่ อาหาร บุคคล กาย )ซึ่งเป็นปัจจัยในจิตใจเราเกิดความสบายไม่มีอารมณ์ขัดข้อง ขัดเคืองหรือเศร้าหมอง จากนั้น ต้องปรับความเพียรและปัญญาให้พอดี พอเหมาะพอเจาะ อุปมาเหมือนต้นไม้ ให้ปุ๊ย ให้น้ำ ให้มากไปก็ตาย ให้น้อยไปก็ไม่โต ความเพียรนั้น ถ้ามากไปก็ทำให้เกิดความล้า ความเหนื่อย ความเครียด อารมณ์ไม่สบาย น้อยไปก็ขี้เกียจ ไม่ปฏิบัติ ก็ย่อมไม่เกิดความก้าวหน้า ส่วนปัญญานั้นใช้ มากเกินไปก็ทำให้เกิดความสงสัย ใช้น้อยไปก็ทำให้เกิดอวิชา ดังนั้นเราต้องปรับทุกอย่างให้พอเหมาะพอสม ให้ใจเราสบาย ในการปฏิบัติ อย่าลืมว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ เพื่อดับทุกข์ ถ้า ปฏิบัติแล้วใจเรายิ่งเป็นทุกข์ ฟุ้งซ่านรำคาญใจ จะหมายความว่าอย่างไร ลองปรับอารมณ์ใจใหม่ดูนะครับ
ส่วนพื้นจิตอารมณ์ใจของบางท่าน ผมขออนุญาติปรับให้สะอาดขึ้นนะครับ ส่วนท่านที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองก็จงทำ ส่วนท่านที่พิจารณาเห็นว่า จิตของเราดีอยู่แล้วไม่ต้องไปทำอะไร ก็ตามอัฌาสัยของแต่ละท่านครับ
---บางขณะที่ท่านทำบุญ บางครั้งจิตจะมีอาการช่างตำหนิติเตียนเกิดขึ้นเช่นเห็นว่าพระท่านไม่สำรวมบ้าง องค์นี้ปฏิบัติเคร่ง องค์นี้ปฏิบัติไม่เคร่ง พระพุทธรูปองค์นี้ท่านไม่งามบ้างไม่สวยบ้าง อารมณ์ใจเหล่านี้ เป็นอุปนิสัยเดิมของเราส่วนหนึ่ง และเกิดจากการที่มาร บาป อกุศลเข้าสิงจิต ผลที่ได้ ก็คือ สภาวะจิตของเราจะเศร้าหมองครับ บุญและกศลต่างๆที่พึงได้บริบูรณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็พลอยลดน้อยถอยลงไปครับ อีกประการที่สำคัญคือสิ่งที่ทำเป็นการปรามาส พระรัตนไตยครับ ทางแก้ไข และการปรับจิตคือ ฝึกคิดทุกสิ่งในแง่บวก มองโลกในแง่ดี เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ให้มาก และขอขมาพระรัตนไตยสม่ำเสมอครับ
---บางท่านที่ได้ฌานสมาบัติ มีอภิญญา หรือความเป็นทิพย์ของจิต บางท่านชอบไป ดูจิตของท่านผู้อื่นครับ ไปดูของพระท่านบ้างของโยมท่านอื่นๆบ้าง แล้วไปเปรียบเทียบกับจิตของตนเองว่าเราดีกว่า วิเศษกว่า บางครั้งไปดูแล้วตัดสินว่าท่านนี้บรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ สิ่งเหล่านี้ เป็นมานะทิษฐิ ครับ การพยากรณ์ว่าใครบรรลุธรรมขั้นไหน เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าท่านเท่านั้นครับ ตราบใดที่มีกายเนื้ออยู่และยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงไร พึงอย่าประมาทและเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเรายังเลวอยู่เพียงนั้น ยังมีบารมีที่สูงขึ้นไปอีก คุณธรรมความดีที่สูงขึ้นไปอีก ให้เราได้พัฒนาจิตของเราให้ดีขึ้นครับ ส่วนการดูจิตนั้นพระท่านสอนให้ดูจิตของตนเองครับ ว่ามีกิเลสอะไรเกาะกุมหุ้มห่อไว้บ้าง เมื่อเห็นเมื่อรู้ก็จงชำระล้างจิตให้ใสสะอาดสว่างไสว มีปิติสุขความชุ่มฉ่ำใจอยู่เสมอครับ ถ้าไปดูจิตคนอื่นบ่อยๆเข้าไป โดนจิตพระอริยเจ้าและวิจารณ์ท่านเข้า ฌาน อภิญญาหาย บางคนหายยาวกู้กลับไม่ได้ตลอดชีวิตครับ แถมยังเป็นการปรามาสพระรัตนไตยด้วยครับ การใช้อภิญญาจึงเหมือนดาบสองคมที่พึงระวัง ครับ
ดังนั้นพยายามรักษาใจเราให้สะอาด มองโลกในแง่บวก ไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นในแง่ลบ แต่จงหาจุดบกพร่องของตนเองและหาทางแก้ไขให้ไม่มีจุดอ่อน ขณะเดียวกันก็ฝึกใจเราให้มองเห็นแต่ความดีของผู้อื่นและคอยให้กำลังใจในการทำความดีของเขาแม้ จะเป็นความดีเพียงน้อยนิดแต่ในอนาคตมันอาจเปลี่นแปลงเติบใหญ่จนเป็นจุดหักเหในชีวิตที่สำคัญของเขา และที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวเราเองเรา ก็คือเราจะมีจิตใจที่ดีงามยิ่งๆขึ้นไป เพราะเรามอง เราเห็น เราสัมผัส แต่สิ่งที่ดีของตัวเราและคนอื่นเปรียบเหมือนผึ้งและผีเสื้อที่เลือก ดูดดื่มกับความหอมหวานของมวลดอกไม้ อันเหมือนกับความดีของผู้อื่น เปรียบกับ หนู แมลงวัน ที่เลือกที่จะคลุกเคร้าอยู่กับสิ่งปฏิกูลอันโสมม อันเปรียบเหมือนความเลวความชั่วของบุคคลอื่น จนท้ายที่สุดตนเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของความสกปรกนั้นเองไปด้วยโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว
---ตอนนี้คุณเลือกที่จะเป็น ผึ้งหรือแมลงวันครับ
กลับมาสู่การฝึกขั้นต่อไปของพวกเราครับ ผมได้ทอดเวลาให้ทุกๆท่านได้ปรับพื้นฐานสมาธิและวิปัสสนาเป็นเวลาพอสมควรแล้วครับ น่าจะมีความก้าวหน้าและมีความเข้าใจในหลักการตามสมควร ตอนนี้ผมหวังว่าท่านจะไปเรียนวิชามโนมยิทธิและขึ้นครูกรรมฐานกันมาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปผมจะขออนุญาต แนะนำในระดับที่เป็นเรื่องของความเป็นทิพย์ของจิตแล้วนะครับ ท่านที่ได้ไปเรียนมาแล้วก็ฝึกต่อได้เลยครับ ส่วนท่านที่ยังไม่ได้ไปฝึก หรือฝึกแต่ยังไม่ได้ ขออนุญาต อ่าน และศึกษาด้วย ใจที่เป็นกลางๆนะครับ อย่าได้ปรามาสในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ไม่เห็นครับเพราะจะเป็นโทษกับตัวท่านเอง ต้องขอโทษกันล่วงหน้าตรงนี้ก่อนครับ
การใช้วิชามโนมยิทธิเพื่อกำหนด ภพภูมิและการหลุดพ้น
ตรงนี้เป็นเป้าหมายหลักของวิชานี้ครับ จากหลักการที่ผมให้ไปในตอนต้น คือในสภาวะจิตที่เราใกล้จะตาย จิตของเรากำหนดเกาะเกี่ยวในสิ่งใดจิตก็จะเคลื่อนไปจุติยังที่นั้น ดังนั้นท่านที่ได้มโนฯ เวลาที่ท่านได้ฝึกถอดอาทิสมานกายไปยังภพภูมิอื่นด้วยความเป็นทิพย์ของจิตนั้น นอกเหนือจากที่ท่านจะได้พิสูจน์เรื่องภพภูมิการเวียนว่ายตายเกิด นรกมีจริง สวรรค์มีจริงแล้ว การระลึกชาติได้ยังมีผลให้เกิดความเข้าใจในกฏแห่งกรรมและการเห็นทกข์เห็นสัจจธรรมในการเวียนว่ายตายเกิดอีกด้วย เมื่อท่านได้เดินทางไปยังภพภูมิ ที่ท่านปรารถนาและตั้งจิตอธิฐานในภพภูมินั้นๆ เมื่อวิมานอันเกิดจากบุญบารมีของท่านปรากฏขึ้น ท่านก็จะเชื่อมั่นในบุญว่ามีผลจริง ทานมีอานิสงค์จริง ความดีที่ทำไปไม่สูญเปล่า จิตท่านย่อมเป็นสัมมาทิษฐิ และมีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอน ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เป็นความจริง สิ้นสงสัยอย่างสิ้นเชิง และการฝึกจิตของท่านให้ชินในการขึ้นมาอยู่ในวิมานของตนจนจิตชินเหมือนเป็นบ้านที่แท้จริงแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ท่านสิ้นอายุขัย จิตท่านจะรวมตัวและกลับมายังภพภูมิที่ท่านปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ชั้นใด พรหม หรือแม้แต่พระนิพพาน ถ้าท่านมีกำลังใจที่ดีพอ บารมีที่ดีพอ สร้างบุญกุศลมามากพอ ท่านย่อมเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ เพราะการที่บุคคลใดก็ตามที่อยู่ในวิสัยที่ ได้ทิพย์จักษุญาณก็ดี วิชามโนมยิทธิก็ดี มีญาณทัศนะทั้งแปดปรากฏขึ้นได้ในจิตก็ดี ทำกรรมฐานนั่งสมาธิ ทรงฌาน สมาบัติได้ก็ดี เป็นเครื่องยืนยันถึงความดี บุญกุศลที่ท่านได้บำเพ็ญมาดีแล้ว สะสมรวมตัวกันมานับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ท่านทำได้ ปฏิบัติได้ ถ้าท่านลองพิจารณาดู ยังมีผู้คนอีกเท่าไร ที่จิตใจยังไม่สัมผัสเข้าใจในธรรมมะและความดี ยังมีคนที่จิตยังไม่น้อมเข้ามาในกุศล ยังมีคนที่ไม่เข้าใจในการรับไตรสรณคมม์ ยังมีคนที่ไม่รู้จักการทำทาน ยังมีคนที่ยังไม่รู้จักหรือสนใจในการรักษาศีล ยังมีคนที่นั่งสมาธิไม่ได้เลย ยังมีคนที่นั่งสมาธิมาตลอดชีวิตถึงบัดนี้ก็ยังไม่เกิดความเป็นทิพย์ของจิต และอภิญญาสมาบัติ
--ท่านมีบุญแค่ไหนที่ เกิดเป็นคนไทย ได้พบพระพุทธศาสนา มีความมั่นคงในพระรัตนไตย มีจิตใจใฝ่ในธรรมและความดี และมีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเองด้วยการนั่งสมาธิอบรมใจให้บริสุทธิ์เข้าถึงความดีที่ยิ่งๆขึ้นไป ยังมีคน และสรรพสัตว์อีกมากมายที่ ไม่ได้มาอยู่ในจุดเดียวกับที่ท่านได้เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะยังไม่ถึงวาระเวลาที่บุญกุศลของเขาสะสมรวมตัวได้มากพอ ดังนั้นเมื่อเราได้เข้าถึงคุณธรรมความดีนี้แล้ว จงรักษา และทำให้คุณธรรมความดีนั้นๆเจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไปและติดตัวไปในทุกภพชาติจนถึงพระนิพพานไม่ว่าท่านจะปรารถนาพุทธภูมิ หรือ ปรารถนาสาวกภูมิก็ตาม และที่สำคัญ คือท่านจะต้องไม่ลืมไม่ทิ้งพระพุทธเจ้า ต้องยึดถือเอาบารมีของพระพุทธองค์เป็นหลักชัยในชีวิต ติดตรึงในดวงจิตของท่านตลอดเวลาครับ
ภาคปฏิบัตินะครับ
--ขอให้ท่านที่เคยได้มโนฯแล้วและมีความคล่องตัวกำหนดจิตแยกอาทิสมานกาย พระวิสุทธิเทพ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าท่านที่พระนิพพานได้เลยครับ ส่วนท่านที่ยังใหม่ไม่คล่องให้จับลมสบาย จนจิตสงบ กำหนดจิตตัดขันธ์ห้าด้วยวิปัสนาญาณว่า ร่างกายนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ มีความแก่ เจ็บ ตาย ไปในที่สุด เมื่อตายแล้วก็ยังต้องวนเวียนใน สังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด เราเห็นโทษภัยใน สังสารวัฏนี้แล้ว และจะตั้งจิตระลึกถึงพระนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราจะมีพระรัตนไตยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจตลอดจนถึงพระนิพพาน และในขณะที่เราปฏิบัติธรรม ในความดีอยู่นี้ เรามีศีลที่บริสุทธ์ เรามีจิตใจที่ดีงามและมีเมตตาพรหมวิหารสี่เป็นปกติ
--จากนั้นทำใจให้โปร่งเบาสบาย ใช้จิตจับภาพ พระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้แผ่พุทธบารมีลงมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธนิมิตรในจิตของเรา แล้วแยกอาทิสมานกายของเราออกมากราบพระพุทธเจ้าท่านแทบตัก และอธิฐานขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาพาอาทิสมานกายของเราขึ้นไปบนพระนิพพาน
---ต่อไปให้ทุกท่านทั้งที่ เก่า และใหม่ ทำกำลังใจว่า เมื่อเห็นสภาวะบนพระนิพพานแล้วจิตใจเราสบาย ปราศจากกิเลส อธิฐานต่อไปว่า "ด้วยกำลังใจของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ขอให้พระพุทธเจ้าโปรดเมตตารักษากำลังใจของข้าพเจ้า ให้มั่นคงใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ และสามารถยกจิตขึ้นมาสู่พระนิพพานได้ทุกขณะจิตที่ข้าพเจ้าต้องการขอให้ข้าพเจ้าได้ทรงอารมณ์นิพพาน รักในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน " ท่านที่ปรารถนาสาวกภูมิต้องการไปนิพพานชาตินี้ อธิฐานว่า " ขอให้การเกิดของข้าพเจ้านี้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เมื่อข้าพเจ้าสิ้นอายุขัยในชาตินี้ข้าพเจ้าขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ "
ส่วนท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ อธิฐานว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์นิพพานในทุกๆชาติ ในการบำเพ็ญบารมี และขอให้ได้วิชามโนมยิทธินี้ในทุกๆชาติ เพื่อได้เข้าใจและจดจำสภาวะที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของพระนิพพานได้ ตราบจนเมื่อบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ อันมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"
---จากนั้นอธิฐานให้เกิดดอกบัวแก้วใสสว่างในมือของกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดจิตว่าดอกบัวนี้เป็นการรวมบุญกุศลบารมีของเรานับจากอดีตชาติให้มาปรากฏขึ้น ณ บัดนี้ เราขอน้อมถวายความดีทั้งหมดของเรานี้เป็นเครื่องบูชา พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ณบัดนี้ แล้วน้อมถวายดอกบัวแก้วให้พระพุทธองค์ท่าน กราบขอบูชาให้ท่านได้เป็นบรมครูสั่งสอนธรรมมะ ความดี ให้เราได้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป โดยตรงด้วย เทอญ
---ลำดับต่อไป อธิฐานจิตให้ปรากฏ เทพ พรหม เทวดา และบิดามารดา ท่านผู้มีคุณของเราในอดีตชาติให้ท่านมาปรากฏ อยู่เบื้องหน้า แยก อาทิสมานกายออกเท่าจำนวนท่านเหล่านั้น แล้ว เนรมิตดอกบัวแก้วน้อมถวายท่านทุกๆพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาความดีและแสดงความกตัญญูต่อทุกๆท่าน ขอให้ท่านคุ้มครอง กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในสัมมาทิษฐิเสมอ ปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง มีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อใช้สร้างบารมีสร้างกุศล จนถึงพระนิพพาน
--ต่อไป กราบขอขมาพระรัตนไตย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตามที่เคยได้ทำมาในตอนต้น แต่ข้อแตกต่างคือขณะนี้ให้กราบขอขมา ในอาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพ บนพระนิพพานต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ทำการขอขมาแล้วจะสังเกตุได้ว่าจิตใจเราโปรงขึ้นเบาขึ้น อาทิสมานกายมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
--รักษากำลังใจให้แช่มชื่นเบิกบาน อธิฐาน ขอขมาลาโทษต่อเจ้ากรรมนายเวร และขออโหสิกรรมไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านผู้ใด ตามที่ได้ เคยทำมาในอารมณ์พระนิพพานเช่นกัน จะสังเกตุเห็นว่า จิตยิ่งโปร่งขึ้นเบาขึ้นอีกเนื่องจากกิเลสนิวรณ์ และปฏิฆะ เบาตัวสลายตัวไป อาทิสมานกายยิ่งสว่างยิ่งขึ้น
---จากนั้นอธิฐานมหาโมทนาบุญด้วยกำลังใจในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพานแห่งนี้ ตามที่เคยได้ทำมา จะสังเกตุเห็นว่ามีลำแสงสว่างส่องตรงลงมายังอาทิสมานกายของเราด้วยอำนาจบุญจากโมทนามัยมาทำให้กายเราสว่างขึ้นอีก
---เมื่ออาทิสมานกายของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแห่งบุญกุศลแล้ว อธิฐานเจริญเมตตาอัปปันณานฌาน โดยมีจุดศูนย์กลางการแผ่เมตตาจิตนี้จากพระนิพพาน จนสว่างทั่วทั้งพระนิพพาน แผ่ปกคลุมลงมายัง พรหมโลก และอรูปพรหมทั้งปวง สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ภุมเทวดา อากาศเทวดา โลกมนุษย์ทั่วอนันตจักรวาล ตลอดจนภพภูมิแห่งเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงมวลหมู่นรกทุกขุม ให้เห็นเป็นคลื่นรัศมีสีขาวสะอาด ระยิบระยับ ละเอียดแพรวพราวแผ่ไปทั่ว แล้ว อธิฐานว่า "ขอให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สุดไม่มีประมาณทั้งสามไตรภูมิหนึ่งนิพพาน ขอจงประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์พ้นภัยจากวัฏฏะสงสาร และได้สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ " แผ่ความรู้สึกในอารมณ์นิพพานออกไป โดยใช้ความละเอียดปราณีตและความเป็นทิพย์ของจิตให้ แผ่ขยายออกไปยังดวงจิต ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำครั้งแรกๆใจเย็นๆไม่ต้องรีบ เน้นที่ความรู้สึกละเอียดอ่อน เป็นรัศมีแผ่กว้างออกๆไป ยิ่งแผ่กว้างไกลเพียงไรจิตเรายิ่งสว่าง และแย้มยิ้มเบิกบานยิ่งขึ้นเพียงนั้น วิชานี้จะได้ให้ช่วยนำไปใช้ เมื่อถึงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ มีคนตายมากมายกลายเป็นสัมภเวสี เต็มไปหมดในทุกที่ ส่งคลื่นแห่งความอาฆาตแค้นพยาบาล และความผิดความหลง ปั่นป่วนอยู่ในภาวะของโลก ที่มีมิติทับซ้อนกันอยู่ ส่งผลให้คนเป็นเห็นแต่ภูติผีปีศาจ โหยหวนครวญคราง เป็นที่น่าหวาดกลัวของคนเป็น พวกเราจะได้ใช้วิชานี้ปลดปล่อย วิญญานเหล่านั้นให้หลุดพ้นจากอวิชชาและความยึดติดในโลกนี้ทั้งที่ตัวตายไปแล้ว ให้ไปจุติยังภพภูมิที่ดีด้วยอำนาจแห่งเมตตาอัปปันณานฌานนี้ เอง ดังนั้นฝึกไว้ให้ทำได้เป็นปกติ
---สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ให้ทรงอารมณ์ใจในพระนิพพาน ไว้เป็นปกติ แยกอาทิสมานกายออกไปกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณ จากนั้นทิ้งอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพาน แล้วกำหนดจิตว่าเรานี้จะมีจิตตั้งมั่นไม่คลาดจากพระนิพพาน จากนั้น ถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล หรือกรวดน้ำตามที่เห็นควร
---ขอกราบโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ทำได้ด้วยครับ---
สวัสดีค่ะ วันนี้ขอรายงานตัวบ้างค่ะ
ก่อนอื่นต้องท้าวความนิดหน่อยค่ะ เรื่องการนั่งสมาธินี่ สำหรับมะลินี่จัดว่าใหม่มากๆ สมัยก่อนลองนั่งจับภาพพระอย่างที่เคยอ่านเคยได้ยินมา เมื่อทำแล้วมีภาพไม่ดีเข้ามาซ้อน ก็เกิดความกลัวว่าจะปรามาสล่วงเกินพระถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม สังเกตว่า ลึกๆ มะลิจะมีความระวัง..กลัว..ว่าจะมีอะไรมาปรามาสล่วงเกินภาพพระที่มะลิจับอยู่ ยิ่งกลัวยิ่งมา อะไรไม่ดีไม่เป็นมงคลก็ยิ่งมา.. ทำทีไรก็เป็นแบบนี้ หลังจากนั้นจึงไม่ไ้ด้นั่งสมาธิอีก และขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้งที่สวดมนต์ก่อนนอน ประกอบกับได้ทราบมาว่า การนั่งสมาธิโดยไม่มีครูนั้นไม่ดีกับตัวเอง ก็เลยยังรออยู่ ไม่กล้านั่งเอง คิดไว้ว่าจะไปฝึกเป็นเรื่องเป็นราวโดยมีครูสอน (แต่ก็ฝึกจับลมหายใจของตัวเองและสติอยู่เรื่อยๆ)
พอได้มาอ่านกระทู้นี้ ก็ได้เข้าใจว่า การตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าก่อน นั้นสำคัญมาก มีการตั้งจิตอธิษฐานขอมีครู อย่างนี้ก็น่าจะใช้ได้ มะลิจึงได้เริ่มนั่ง ปรากฎว่าพอนึกภาพพระเป็นแก้วใส ก็ทำได้ในทันที ยังมีสิ่งรบกวนโผล่มาบ้่างแบบแว๊บๆ แต่มันสลายไปได้ในชั่ววินาที เช่น เห็นภาพอวัยวะต่างๆ ของคน หรือเห็นเป็นภาพคนไม่ดีจะกระทำไม่ดีต่อพระ ซ้อนขึ้นมาปุ๊บ ภาพอวัยวะ หรือ คนพวกนั้นมันก็แยกออกเป็นสองซีก กลายสภาพให้เราเห็นว่าคือเนื้อ คือเลือด แล้วก็หายไป ถ้ามีมารบกวนอีก ก็แยกออกแล้วหายไปทันที แบบนี้ค่ะ
มะลิไม่ได้คิดไว้ก่อนล่วงหน้าว่าถ้ามีภาพพวกนี้มาแล้วจะตั้งใจให้เป็นแบบใดหรือแก้ไขอย่างไร แต่ทุกอย่างเป็นไปเองในตอนนั้น มะลิก็เกิดกำลังใจขึ้นทันทีที่นั่งสมาธิต่อไปได้ แล้วภาพพระ 3 ฐานที่พี่ kananun บอกก็เกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแค่นึกคิดก็เห็นได้ เกิดกำลังใจขึ้นมากๆ ค่ะ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งเมื่อก่อน และ ปัจจุบัน.. มาเล่าให้ฟังค่ะ.. ไม่ทราบว่าพี่ kananun พอจะวิจารณ์หรือชี้แนะสิ่งที่เกิดขึ้นกับมะลิได้อย่างไรบ้างคะ รบกวนด้วยค่ะ
--
และ ขอถามอีกสักนิดค่ะ คือว่า ...
เคยได้เห็นคนที่มีสมาธิสูงๆ หรือ คนที่มีพลังจิต ใช้คำว่า "จิตบอก...." คำว่าจิตบอกนี้ คือ "นึกออก" ขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องคิด ใช่หรือเปล่าคะ?
การนั่งสมาธิที่มะลิ "นึกภาพพระ" มาจาก "ความคิด" ถูกมั้ยคะ?
--
[ เพิ่งจะอ่านสามสี่โพสข้างบนที่พี่ kananun โพสวันนี้
ขอขอบคุณมากค่ะ เพิ่มพูนสติ ปัญญา ดีจริงๆ ค่ะ ]
ขอบคุณสำหรับการรายงานผลในการปฏิบัติครับเพราะจะเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆท่านอื่นครับ ขอตอบคุณมะลิเลยนะครับ
---สำหรับการจับภาพพระแก้วใสได้อย่างง่ายดายนั้น เป็นวาสนาบารมีเก่าที่คุณเคยเจริญพระกรรมฐานมาก่อนในอดีตชาติครับ มาชาตินี้มาทำต่อของเก่าจึงกลับเข้ามารวมตัวครับ
---ส่วนที่เห็นภาพอวัยวะ หรือภาพคนไม่ดีมาปรากฏนั้น ภาษาการปฏิบัติเรียกว่านิมิตรจร หรือ กสิณโทษ ครับ เป็นผลจากอกุศลเข้ามาขัดขวางการทำความดีของเรา โดยประสงค์จะทำให้เกิดความกลัว สิ่งที่ใช้แก้ไข คือสติครับ คือระลึกรู้ทันว่านิมิตรนี้เราไม่ต้องการ และใช้ศรัทธาเชื่อมั่นว่า ไม่มีอำนาจใดจะมีเท่าพุทธบารมีแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้นิมิตรเหล่านี้หายไปปรากฏแต่พุทธนิมิตรของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เมื่อเรารู้เท่าทัน และฉลาดในนิมิตรแล้ว เราจะไม่เกิดความกลัว เพราะบางครั้งเจ้ากรรมนายเวรก็เข้ามาขัดขวางไม่ให้ทำความดี มีบางรายที่ผมเคยทราบมา นั่งสมาธิปุ้บโผล่มาเต็มหน้า ในสภาพ... เจ้าตัวก็เกิดความกลัวไม่กล้านั่งสมาธิ ต้องทำบุญ ใส่บาตรไปให้และอธิฐานอโหสิกรรมกันก่อน จึงนั่งได้ไม่มารบกวน ส่วนอีกกรณีหนึ่ง ที่เห็นภาพต่างๆนั้นเพราะ ตอนนี้จิตเราเป็นทิพย์ และตอนนี้เรามีบุญ(จากการทำบุญ ถือศีล และการทำสมาธิ) เป็นเหมือนเศรษฐี มีเงิน ก็เลยมีผู้มาขอส่วนบุญเป็นธรรมดา ส่วนประเด็นสุดท้าย การเห็นภาพ อวัยวะหรือส่วนต่างๆนั้น เป็นเพราะในอดีตชาติเราเคย เจริญกรรมฐาน ในกองของอสุภะกรรมฐานมาก่อน สังเกตุได้ว่าถ้าภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นจิตเราไม่รู้สึกกลัว และยังน้อมมาพิจารณายังร่างกายของเราโดยอัตโนมัติ อย่างนี้เป็นของเก่าในอดีตของเราครับ
---โดยสรุปแล้วจงรู้จักใช้สติจับให้รู้ทันในนิมิตรที่ปรากฏ อย่าไปสนใจมัน ถ้าไม่สนใจ มันก็จะหายไปเอง สองขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านสลายภาพนิมิตรที่เป็นโทษนั้นเสีย (นิมิตรที่เป็นโทษ ได้แก่ นิมิตรที่ทำให้อารมณ์ใจเราขุ่นมัว ทำให้เราเสียใจ เศร้าใจ หวาดกลัว ฟุ้งซ่าน โดยรวมว่านิมิตรที่เกิด ขึ้นและทำลายอารมณ์ใจที่เบาสบาย ปิติสุข ถือว่าเป็นนิมิตรที่ไม่ต้องการทั้งหมด) จากนั้นแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรเพื่อสลายนิมิตรนั้น และไม่ต้องไปสนใจกับมันอีก ครับ
---ส่วนที่นิมิตรโทษสลายไปได้เองนั้นเกิดจากความศรัทธาเชื่อมั่นในพุทธคุณของตัว คุณเองครับ ผ่านไปได้เลยครับไม่ต้องไปสนใจกับมันอีก
---ขออธิบายเรื่องภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติทางจิตให้ฟังนะครับ เนื่องจากจิตเป็นนามธรรมและบางอาการ บางอารมณ์ ไม่มีภาษาบรรญัติไว้ใช้ แต่ผู้ที่ถึงและทำได้ จะมีความเข้าใจตรงกัน เป็นสิ่งที่รู้เห็นได้เฉพาะตนเอง ถ้าไม่เชื่อคุณๆลองอธิบาย รสของกล้วยให้ฟังหน่อยครับ ถ้าเกิดมีคนที่เกิดมาไม่เคยกินกล้วยเลย ไม่ว่าคุณจะอธิบายอย่างไรเขาก็จะไม่มีวันเข้าใจรสชาดของกล้วย แต่ถ้า คุณเคยกินกล้วยมาก่อน ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก คุณก็เข้าใจ ดังนั้นอารมณ์ใจในการปฏิบัติก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านจึงต้องยกการอุปมาเปรียบเทียบและใช้ภาษาที่ทำให้คนในยุคนั้นเข้าใจมาอธิบาย การวางอารมณ์ในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุถึงความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติครับ
---ผมจะขออธิบายครับ คำว่า "การกำหนดจิต "" การกำหนดนิมิตร"คือการนึกภาพนั้นๆขึ้นมาในจิตครับ คุณมะลิเข้าใจถูกต้องแล้ว
เหตุผลเพื่อเป็นการทำให้จิตของเรามีสมาธิจิตใจจดจ่ออยู่กับ "ภาพ""นิมิตร" "กสิณ" นั้นๆครับ เราต้องกำหนดเองครับ นึกเองก่อน
--- ขั้นต่อมาการอธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้านั้นเป็นเหมือนการขอเชื่อมต่อญาณกับพระพุทธเจ้าท่านครับ ต้องมีศรัทธาความเชื่อมั่นเต็มที่ อย่าสงสัยเด็ดขาด
---ส่วน"จิตบอก ""นึกออกมาเอง นั้นเป็นผลที่ได้ครับเรียกว่า "ญาณทัศนะ" อาการที่ได้เป็นอย่างนี้ครับ จะเกิดเป็นภาพผุดขึ้นมาในจิตของเราเองโดยที่เราไม่ได้คิดครับ บางครั้งเป็นเสียง ๆเดียวกับจิตของเราครับ จุดสำคัญคืออารมณ์แรกที่ผุดรู้ขึ้นครับ บางครั้งเราเรียกว่า"ตัวรู้ "
สิ่งสำคัญคือเราต้องแยกแยะ ความคิด และญาณทัศนะออกให้ได้ ความรู้ที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับความบริสุทธ์ของจิตเราครับ จิตที่ไม่มีกิเลสหรือมีน้อยมากย่อมแม่นยำกว่า จิตใจที่ไม่สะอาดครับ ดังนั้นคุณทุกคนจึงต้องปฏิบัติในวิปัสนาญาณควบคู่ไปด้วยเสมอ ทั้งสองส่วนส่งเสริมกันครับ เมื่อเกิดอย่าตื่นเต้นจนเกินไปวางใจกลางๆคอยดูคอยพิสูจน์ความจริงครับ เหมือนเราเป็นผู้ดูลมหายใจครับไม่ส่งอารมณ์ไปตื่นเต้นยินดียินร้ายกับความรู้นั้นครับ
---สำหรับญาณทัศนะนั้น เมื่อท่านทรงอารมณ์ใจได้ถูกต้องและบริสุทธ์จะเกิดขึ้นเองครับ เช่นเมื่อตั้งคำถามหรืออยากรู้อะไรขึ้นมาในใจ จู่ๆเราก็จะรู้คำตอบนั้นขึ้นเองโดยอัตโนมัติครับ หรือบางครั้งเราก็จะได้ยินเสียงของความคิดของคนอื่น ผมเรียกล้อๆกับคนนั้นว่า "อย่าคิดดังครับ ได้ยินหมดแล้ว"
---สรุปว่า การกำหนดจิตเป็นเหตุ ญาณทัศนะเป็นผลครับ และอีกจุดที่สำคัญคืออย่าไปอยากได้ หรือเมื่อได้แล้วอย่าได้รู้สึกว่าตนเก่งหรือวิเศษ เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นฌานโลกีย์ครับ เกิด ได้ก็เสื่อมได้ สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้เราทรงความดีในจิตใจของเราให้มั่นคงจนถึงพระนิพพานครับ
--ขอโมทนาในความฉลาดและความก้าวหน้าในการปฏิบัติของคุณมะลิและทุกๆคนด้วยครับ ส่วนท่านที่อยากโมทนาและอยากตอบ แต่เนทท่านช้าและเวปก็ล่มเป็นประจำ ก็ไม่เป็นไรครับ พระท่านรับทราบรับรู้ทุกอย่างครับ รักษากำลังใจที่ดีไว้ครับ
มาต่อในภาคปฏิบัติเลยครับ
--ที่ได้ฝึกไปเมื่อวานนี้เป็นการฝึกให้จิตได้รู้จักและชินในพระนิพพาน จุดประสงค์ที่ให้ทิ้งอาทิสมานกายไว้ที่นิพพานนั้นเพื่อที่ว่า ให้ทุกท่านได้อธิฐานเพื่อความไม่คลาดจากพระนิพพานไม่ว่ายามตื่นยามหลับ เพราะการที่อาทิสมานกายของเราอยู่บนพระนิพพานนั้น จะมีสายใยโยงจิตอาทิสมานกายของเราไว้กับกายเนื้อบนโลกมนุษย์ สมมุติว่า ถ้าขณะจิตหรือในคืนที่เราหลับอยู่นี้เราเกิดตายโดยปัจุบันทันด่วนโดยไม่รู้ตัว สายใยนั้นก็จะขาดการเชื่อมกับร่างกาย และอาทิสมานกายนั้นก็จะอยู่บนพระนิพพานเลยโดยอัตโนมัติ เป็นการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานที่ง่ายที่สุด ที่สำคัญจึงมีการอธิฐานในหมู่ท่านนักปฏิบัติผู้รู้ว่าขอให้จิตไม่คลาดจากพระนิพพาน นั่นเอง เมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในเป้าหมาย เรามีความศรัทธาในพระรัตนไตย เรามีวิปัสนาญาณเห็นทุกข์และโทษภัยเบื่อการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน การใช้วิชามโนมยิทธินำอาทิสมานกายเข้าสู่พระนิพพานนั้นเป็น วิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว เพราะที่จริงมีกำลังของฌานสมาบัติและอภิญญาเข้ามาช่วยครับ แต่ท่านที่บำเพ็ญบารมีมาไม่พอที่จะได้ทิพย์จักษุญาณ ก็ขอให้มีความพากเพียรวิริยะต่อไปครับอย่าได้ไปตำหนิติเตียน การปฏิบัติของท่านผู้อื่นที่ทำได้ เพราะจะยิ่งเป็นการผลักให้ตนเองถอยหลังลงจากความดีครับ
---สำหรับวันนี้ผมขอให้ท่านได้ฝึกอารมณ์วิปัสนาญาณบนพระนิพพานครับ
-เริ่มต้นจับลมสบาย มองเห็นร่างกาย ถูกลอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ออกไป จนเหลือ เนื้อ เลือด ที่ค่อยๆเน่าเปื่อยผุพัง เน่า สลายกลายเป็น ผุยผงไร้แก่นสาร กำหนดจิตว่า ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปในที่สุด เราคืออาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้เพื่อสร้างบุญสร้างบารมี เพื่อปฏิบัติธรรม และรับใช้พระศาสนา เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา จุดเดียวที่เราต้องการคือพระนิพพานเท่านั้น ไม่ว่าเราจะปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ตาม ท้ายสุดเราย่อมถึงซึ่งพระนิพพานเช่นเดียวกัน จากนั้น กำหนดจิตถึงพระพุทธเจ้าท่าน ขอพุทธบารมีท่านมาสงเคราะห์ให้ ยกจิตอาทิสมานกายของเราขึ้นสู่พระนิพพาน ณ บัดนี้
--เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว ขอให้อธิฐานกราบพระพุทธเจ้าท่าน และหลวงพ่อ จากนั้น อธิฐานว่า หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ท่านใดที่ท่านเคยเมตตาเราและอยู่ในวิสัยที่จะอบรมสั่งสอนเราให้ถูกต้องในแนวทางปฏิบัติ ของสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา เพื่อความก้าวหน้า และรุ่งเรืองในธรรมขอให้ท่านเมตตา มาโปรดข้าพเจ้าในนิมิตรด้วยเทอญ
---เมื่อเห็นภาพพระพุทธเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อ องค์ใดปรากฏขึ้นในจิตให้แยกอาทิสมานกายออกไปกราบท่าน และเนรมิต พานครูดอกไม้ธูปเทียนแก้วอันเป็นของทิพย์ ขึ้นถวายท่านเป็นการไหว้ครู และอธิฐานขอให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์มาเมตตาสั่งสอนคุ้มครองตัวเราในสภาวะของกายทิพย์ด้วยเทอญ
--จากนั้น อธิฐานจิตต่อหน้าพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์บนพระนิพพาน ขอเจริญวิปัสนากรรมฐานในความเป็นจริงของร่ากายขั้นห้าด้วยเทอญ
---เนรมิตร่างกายเนื้อของเราขึ้นมาอีกร่างให้ปรากฏบนพระนิพพาน เหมือนเป็นตุ๊กตาหรือหุ่น จากนั้นใช้จิตพิจารณาเปรียบเทียบ ผิวกาย ของร่างมนุษย์ กับผิวของอาทิสมานกาย จากนั้นพิจารณาให้เห็นสภาวะของร่างกายเนื้อนั้นค่อยแก่ เ**่ยว เสื่อมโทรมไปทีละน้อย ทีละน้อย ใช้จิตในอารมณ์ที่อยู่บนพระนิพพานนี้พิจารณาให้ละเอียด สบายๆ ให้เห็นจริงในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเราไว้ ร่างกายนี้มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตายไปในที่สุด พิจารณาให้เห็น ร่างกายแก่ จนล้มนอน ป่วย จน ตาย และแห้งเหลือแต่โครงกระดูก จาก กระดูกแห้งผุกร่อนจนเป็นผงถุลี จากนั้นมารวมตัวเป็นทารกแรกเกิดกำลังร้องไห้ค่อยๆ โตขึ้น ช้าๆจนถึงวัยรุ่น กลายเป็นหนุ่มเป็นสาว ค่อยเสื่อมจนเป็นวัยกลางคน จนแก่ และเจ็บและตาย ให้พิจารณาอย่างนี้ทบทวน โดยตัวคิดตัวพิจารณานั้น อาทิสมานกายเป็นตัวคิดพิจารณา ด้วยอารมณ์ใจสบาย ไม่หนักเกินไป จนเห็นถึงสภาวะและความน่าเบื่อหน่ายในร่างกายและขันธ์ห้านี้ ว่าเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ให้เกิดอวิชชายึดติด และการเวียนว่ายตายเกิด เราใช้วิปัสนาญาณตัดสินใจว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์เมื่อละจากร่างกายนี้ เราต้องการพระนิพพานเพียงจุดเดียว
---จะสัมผัสได้ว่า อารมณืใจในการเจริญวิปัสนาญาณ บนพระนิพพานนั้นจะมีอารมณ์ใจที่แนบแน่น เห็นจริง แท้ลึกซึ้งกว่าการที่กายเนื้อ อ่านหนังสือ หรือใช้กายเนื้อคิเป็นอย่างมาก เพราะ ความรู้ที่สักแต่ว่ารู้ กับ สังขารุเบกขาญาณนั้น มีความเข้มข้นของอารมณ์แตกต่างกันมาก ขอให้จำอารมณ์วิปัสนาญาณนี้ไว้เพราะต้องใช้ในการพิจารณาตัดขันธ์ห้าก่อนใช้วิชามโนมยิทธินี้ทุกครั้ง ยิ่งอารมณ์เข้มข้นเห็นจริงอย่างลึกซึ้งในวิปัสนาญาณแล้ว จิตก็จะยิ่ง ปราศจากกิเลส จิตปราศจากกิเลสก็ยิ่งใสสะอาด จิตยิ่งใสสะอาด อาทิสมานกายก็ยิ่งสะว่างไสว และทำให้ภาพที่เห็นมีความชัดเจนถูกต้องยิ่งขึ้น
---ขออุปมาความบริสุทธ์ของจิตในวิชามโนมยิทธินี้ เสมือนกับคลื่นวิทยุ ถ้าจิตของเรามีความดีคุณธรรม ของเทวดา ก็จะทำให้เรา เห็นและใช้อาทิสมานกายไปยํงภพพภูมิของเทวดาได้ ถ้าจิตของเรามีพรหมวิหารสี่ ความดีความบริสุทธ์ของพรหมแล้ว เราย่อมเห็นและสัมผัส สภาวะของพรหมและเทวดา รวมถึงภพภูมิต่ำๆลงมาได้ แต่ถ้าเรามีความบริสุทธ์ของจิตในขณะนั้น มั่นคงอยู่กับพระนิพพาน จิตใจเราย่อมสัมผัสและเข้าถึงในพระนิพพาน และภพภูมิทั้งมวล ท่านทั้งหลายขอให้รักษาความดี ความบริสุทธ์ของจิตใจของเราไว้ให้ตั้งมั่นอย่าหวั่นไหวหรือลังเลสงสัยใดๆ เมื่อญาณทัศนะและความเป็นทิพย์ปรากฏท่านจะเชื่อมั่นในการปฏิบัติได้ด้วยตัวท่านเอง
--- สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน กราบลา พระพุทธเจ้าท่าน รวมทั้งทุกท่านที่มาเมตตา จากนั้นแผ่เมตตาอัปปันณานฌาน ไปยังสามไตรภูมิหนึ่งนิพพานหรือตามกำลังของท่านที่ทำได้ แล้วถอนจิตออกจากสมาธิโดยอธิฐานให้อาทิสมานกายของเราตั้งมั่นไว้ที่พระนิพพานครับ จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิครับ
--- ท่านที่ปฏิบัติตรงนี้ได้จะรู้สึกได้ว่า ตนเองมีอารมณ์ที่นิ่งขึ้น เห็นธรรมดาในร่างกายยิ่งขึ้น บางคนจะมีอารมณ์จืดในความอยาก คือเมื่อก่อนอยากได้โน่นได้นี่ แต่ตอนนี้จิตจะรักความสงบ สงัดขึ้น ไม่ค่อยอยากได้อะไร ครับ ถือว่าก้าวหน้านะครับเพราะ ใจสบาย ใจสงบ กิเลสน้อยลงไป ขอกราบโมทนาในการปฏิบัติของทุกคนด้วยครับ
ผมเข้าไปตอบในกระทู้ที่มีผู้ที่ถามว่าทำไมฝึกสมาธิแล้วถึงเป็นบ้าครับเลยเอามาฝาก เพื่อเป็นความรู้ กับเพื่อนๆครับ
เหตุที่ทำให้นั่งสมาธิแล้วทำให้เป็นบ้า เพราะ
1.วางอารมณ์ใจผิด หนักเกินไปเครียดเกินไป วิธีป้องกันคือจงเรียนเรื่องอารมณ์ใจที่ถูกต้องก่อนให้รู้จักและจำอารมณ์นั้นได้ และถ้าเมื่อไรที่อารมณ์เครียดไปหนักไปก็จง เปลี่ยนอิริยาบทบ้าง คลายอารมณ์บ้าง พักบ้าง จิตก็จะสบายขึ้นครับ
2.หลงในนิมิตรว่าเป็นจริง โดยไม่พิจารณานิมิตรด้วยอารมณ์ที่เป็นอุเบกขา เช่น เมื่อได้ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ก็ให้พิจารณาว่าเป็นอดีตไปแล้ว เป็นเรื่องเหมือนเรื่องของผู้อื่น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ทุกสิ่งจบแล้ว สลายตัวไปแล้ว เราระลึกชาติเพื่อให้เห็นทุกข์ที่ซ้ำซาก วนเวียนอยู่ไม่สิ้นสุด ให้เบื่อหน่ายในสังสารวัฏ ไม่อยากเกิดอีกและเพื่อเป็นข้อพิสูจน์เรื่องกรรมว่าเหตุในอดีตนี้เป็นผลในปัจจุบันอย่างนี้ครับ วิธีป้องกันคือใช้ปัญญากำกับให้ฉลาดในนิมิตร ฉลาดในญาณที่ปรากฏขึ้นครับ และมองให้เห็นว่าอยู่ในกฏไตรลักษณ์
3.เกิดจากวิปัสนูปกิเลสทำให้หลงผิดคิดว่าตนเอง บรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ สภาวะนี้เหมือนจริงมาก วิธีแก้และการป้องกันคือ หมั่นพิจารณาว่า เรายังมีความเลวอะไรบ้าง ยังมีธรรมมะที่ยิ่งๆขึ้นไป และอย่าไปสนใจว่าเราจะบรรลุธรรมขั้นใด แต่ให้ระลึกว่าตราบใดเรายังมีร่างกายขันธ์ห้าอยู๋เรายังไม่สมบูรณ์ในความดี เราจะถึงซึ่งความดีอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราละจากโลกนี้แล้วถึงซึ่งพระนิพพาน ครับ การเกิดวิปัสนูปกิเลสนี้ ที่ว่าเหมือนจริงมากก็เพราะบางครั้งเราจะเห็นพระพุทธเจ้าหรือเทวดาท่านมาโปรด ในนิมิตรแบบจะๆชัดเจนเลยครับ แล้วท่านจะมาบอกว่า เราบรรลุขั้นนั้น แล้วขั้นนี้แล้ว ถ้าเราหลงดีใจ และเชื่อว่าจริง จิตจะเริ่มหลงลึกลงไปเรื่อยๆครับ แต่ถ้า มีสติและไม่หลง ถือว่าผ่านบททดสอบครับ จะทำให้ก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
4. เจ้ากรรมนายเวรมาเล่นงานโดยมาปรากฏภาพน่ากลัวในสมาธิจนทำให้ตกใจสุดขีด จนสติแตก หรือที่เรียกว่ากรรมฐานแตกครับ วิธีป้องกันคือ การอธิฐานขอบารมีพุทธคุณมาคุ้มครอง และการอธิฐานแผ่เมตตาไปยังเจ้ากรรมนายเวรครับ
5.ถูกของหรือคุณไสยครับ วิธีป้องกันเหมือน ข้อสี่ครับ ไม่มีสิ่งใดมีพลังเหนือกว่าพุทธคุณครับ
บุพกรรม ที่ทำให้การปฏิบัติและนั่งสมาธิแล้วเสียสติ
1. การละเมิดศีลข้อห้า ดื่มสุราเป็นนิตย์
2. ปรามาศ ว่าร้ายนินทาท่านผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม กรรมฐาน
3.แกล้งแหย่ แกล้งทำผีหลอกให้ พระเณร ตกใจกลัว
4.ขัดขวางกลั่นแกล้ง ใช้คุณไสย ทำร้ายท่านผู้มีศีล หรือปฏิบัติธรรม
ส่วนพวกเราที่ตั้งใจปฏิบัติทำความดี ฝึกสมาธิอยู่ไม่ต้องตกใจ หรือกลัวไปก่อนครับ เพราะ ในวิชาที่พระท่านถ่ายทอดมานี้ ท่านวางการป้องกัน แก้ไขกำกับไว้แล้วครับ
-เริ่มมาตั้งแต่ ที่ผู้เรียนและรับการสืบทอดต้องเป็น สัมมาทิษฐิ
-ต้องรู้จักการวางอารมณ์ใจที่ถูกต้อง ลมสบาย ใจสบาย
-ต้องมีจิตที่จะใช้วิชานี้ในทางโลกุตระ เพื่อความหลุดพ้น หรือ เพื่อการบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์
-มีจิตที่เต็มไปด้วยเมตตาและคุณธรรมเต็มล้นในหัวใจ
-มีใจที่ปรารถนาในการทำความดีเป็นปกติ
-และที่สำคัญคือมีความเคารพ ศรัทธา เชื่อมั่นในคุณของพระรัตนไตยว่ามีจริง ศักดิ์สิทธ์จริง คุ้มครองได้จริงอย่างไม่ลังเลสงสัยแม้แต่น้อย
---จะเห็นว่าจากที่พวกเราเรียนรู้และปฏิบัติกันไปแล้วนั้น มีข้อป้องกันคุ้มครองตัวเราและจิตของเราไว้ อย่างครอบคลุมทุกด้านแล้ว โดยเฉพาะการอธิฐาน ขอขมาลาโทษต่อพระรัตนไตยและท่านเจ้ากรรมนายเวร นั้นเป็นการ ลด บรรเทา ชะลอแรงกรรม แรงอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรให้ บรรเทาเบาบางลงไปก่อนที่เขาจะทำหรือคิดจะทำเราไว้ก่อนแล้วครับ ดังนั้น ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ด้วยความสบายใจและความมั่นใจในพุทธคุณนะครับ
เรามาฝึกกันต่อเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---ใช้จิตของเรามองอาทิสมานกายของเราให้ละเอียด เริ่มจาก ศีรษะ ใบหน้า อก เอว ลำตัว ขา จนถึงเท้า จดจำลักษณะของอาทิสมานกายของเราให้ติดใจแน่บแน่น ไม่มีความสงสัยทั้งสิ้น
---จากนั้นให้อาทิสมานกายของเราคุกเข่าพนมมืออยู่หน้าพระพุทธองค์ท่าน วางกำลังใจว่าเสมือนกำลังรับฟังธรรมมะอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ท่าน ขอให้พุทธบารมีของท่านดลจิตดลใจให้ธรรมมะวิปัสนาญาณนี้ เป็นสัมมาจิต สัมมาสมาธิ จารึกอยู่ในจิตและอาทิสมานกายของเรา เพื่อให้จิตของเราบริสุทธ์ สะอาด ปราศจากกิเลส และอวิชชา ให้มีความมั่นคงและเข้าถึงธรรมได้ง่ายได้เร็ว คล้าย ท่านที่ได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ในสมัยพุทธกาล และอธิฐาน กำกับเป็นพิเศษ อีกว่า "หากแม้นนับแต่นี้ จนถึงซึ่งพระนิพพานข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังธรรมมะที่ถูกต้องจาก ครูบาอาจารย์สัมมาทิษฐิท่านใด ขอให้จิตของข้าพเจ้ารำลึกรู้และซึมซับธรรมมะที่ถูกต้องไว้ในจิตใจของข้าพเจ้าดุจประหนึ่งว่าได้รับฟังธรรมมะโดยตรงต่อพระพุทธองค์ด้วยเทอญ" พรข้อนี้จะมีผลทำให้ท่านผู้อธิฐานรุ่งเรืองในธรรม และ เป็นปัจจัยให้ในอนาคตนี้ พระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองเหมือนสมัยพุทธกาล
--- กำหนดจิตพิจารณาในกายหยาบ กายเนื้อว่า แท้จริงเป็นของไม่สะอาด แต่ถูกปรุงแต่ง ห่อหุ้มด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้เข้าใจว่าเป็นของสวยงาม น่าดู น่าชม น่าพิสมัย หากแม้ เราลอกเอา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นั้นออก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของผู้ใดก็ตามที่โลกสมมติว่าหล่อ ว่าสวย เพียงไร เท่าไร ก็จะมีสภาวะสกปรกน่ารังเกียจ ไม่แตกต่างกัน อุปมาดังกล่องของขวัญ สวยงามแต่ภายใน ห่อหุ้มไปด้วย สิ่งปฏิกูล อันมี อุจจาระ ปัสสาวะเป็นต้น หากจิตยังคิดแย้งเราลองพิจารณาต่อไปว่า ทำไมในทุกสิ่งที่หลุดออกไปจากร่างกายของเราจึงเรียกว่าขี้ทั้งสิ้น หูมีขี้หู ปากมีน้ำลายเสมหะ ตามีขี้ตา จมูกมีขี้มูก ผิวหนังมีขี้ไคล เหงื่อไคล ทวารหนักมีอุจจาระ ทวารเบามีปัสสาวะ ระดู เล็บมีขี้เล็บ ผมมีขี้รังแค รวมแล้วร่างกายของเรามีสภาวะสกปรกหรือสะอาด เราลองใช้จิตพิจารณาดู และเปรียบเทียบกับอาทิสมานกายของเราว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร พิจารณาให้จิตเห็นจริง ในร่างกายขันธ์ห้าของตัวเราและของบุคลอื่น ให้จิตใจเราคลายกำหนัดยินดีในกามราคะ และความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย จิตใจเราจะยิ่งบริสุทธ์ขึ้น สะอาดขึ้น จะสังเกตุได้ว่า ทิพยจักษุญาณ หรือภาพที่ปรากฏในจิตจะมีความสะอาด สว่างไสวมากขึ้น เมื่อมองมายังอาทิสมานกายของเราก็จะพบว่า "เมื่อจิตใจของเราสะอาดบริสุทธ์จากกิเลสมากขึ้นเท่าไร อาทิสมานกายของเราก็จะยิ่งสะอาด สว่างมากขึ้นเพียงนั้น " ในมิติของความเป็นทิพย์นั้น วัดบุญบารมีกันด้วยรัศมีกาย ท่านที่มีบุญบารมีคุณความดีมาก ย่อมปรากฏให้เห็นว่ากายทิพย์หรืออาทิสมานกาย นั้น สว่างไสวแพรวพราวกว่า
สิ่งที่เห็นนี้ขอให้ท่านได้รู้ได้เห็นและรับทราบไว้เป็น เครื่องช่วยสร้างกำลังใจให้พากเพียรในการปฏิบัติธรรมและในการทำความดี หากแม้นไปยึดติดหรือไปหลงว่าเรานั้นมีบุญวาสนาสูงกว่าท่านนั้น ท่านนี้ ก็จะกลายเป็นอุปกิเลสในความมานะทิษฐิมีผลทำให้ความสว่างบริสุทธ์ที่เกิดขึ้นมัวหมองลงไปอีก จงขอให้ท่านวางกำลังใจในญาณทัศนะทั้งปวงด้วยความเป็นอุเบกขา และใช้ปัญญาไตร่ตรอง ให้เข้าอยู่ใน หลักในธรรม และในเหตุ ในผล ทุกครั้ง
---เมื่อใจเราเบาจากกิเลส สะอาดด้วย วิปัสนาญาณแล้ว อธิฐานต่อหน้าเบื้องหน้าแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า "ข้าพเจ้านี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาของพระองค์แล้ว และบัดนี้ ได้ขอพุทธบารมีใช้ทิพยจักษุญาณได้จนปรากฏอาทิสมานกายต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ท่านแล้ว ณ บัดนี้ข้าพเจ้า ขอบารมีของพระองค์ได้โปรดเมตตา ให้ข้าพเจ้าได้ทราบด้วยความเป็นทิพย์ด้วยเถิดว่า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะลงมาเกิดในชาตินี้ ข้าพเจ้าได้อธิฐาน สิ่งใดก่อนลงมาเกิด และการลงมาเกิดในชาติปัจจุบันของข้าพเจ้านี้ ด้วยหน้าที่และความปรารถนาในสิ่งใด ขอให้ข้าพเจ้า ได้ทราบ ได้รู้ ได้เห็น ปรากฏชัดแจ้งในใจข้าพเจ้าอย่างไม่ลังเลสงสัย ประดุจ **บที่ถูกไขกุญแจ เปิดออกด้วย เทอญ...
---เมื่อท่านได้รับทราบได้รู้ได้เห็น ในสิ่งที่ท่านได้เคยอธิฐานไว้ก่อนลงมาจุติในชาตินี้ ก็ขอให้ทุกท่านได้วางกำลังใจให้เป็นอุเบกขาในสิ่งที่ท่านได้รู้ ได้เห็นจากสมาธินี้ อย่าได้ไปเล่าให้ใครที่ไม่ได้มีทิพยจักษุญาณฟัง เล่าได้เฉพาะหมู่ท่านที่ปฏิบัติ เพราะจะมีโทษแก่ท่านที่ปรามาส และขอให้ท่านลองพิจารณาพิสูจน์ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยใจที่เป็นกลางๆ คืออุเบกขาไม่ยินดียินร้ายใดๆ ลองดูว่าเหตุการณ์ในอดีต และอนาคตของท่านจะมีผลสืบเนื่องกับสิ่งที่ท่านได้รู้ได้เห็น ได้ อธิฐานมาหรือไม่ ส่วนในบางท่านที่ได้เห็น อดีตชาติ ที่เคยวิเศษหรือ เคยยิ่งใหญ่มาเมื่อในชาติที่ได้อธิฐานก็ขออย่าได้ลำพองใจจนเกินไป เพราะทุกสิ่งสลายไปแล้วเป็นอดีตไปหมดแล้ว ให้ท่านพิจารณาเข้าในวิปัสนาญาณและใช้ เป็นกำลังใจว่า ในอดีตชาตินั้นเราได้บำเพ็ญบารมี ทำคุณงามความดีเพียงไร ชาตินี้เราจะบำเพ็ญให้ยิ่งกว่า ไม่ว่าจะมีผู้รู้ผู้เห็นหรือไม่ก็ตาม
---ผมได้ทำตามสัญญาที่เคยได้ให้ไว้กับพวกท่าน หลายๆคน ในอดีตชาติ แล้วนะครับ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ สร้างบารมีที่ตนเองได้อธิฐานไว้ให้ยิ่งๆขึ้นไป และสัมฤทธิ์ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการครับ ผมขอกราบโมทนาบุญทุกอย่างทุกประการด้วยครับ
--- จากนั้นกราบลาพระและท่านผู้มีพระคุณ พร้อมทั้ง แผ่เมตตาอัปปันณานฌาน ไปยังทั้ง สามไตรภูมิ หนึ่งนิพพานครับ จากนั้นถอนจิตช้าๆจากสมาธิ พร้อมภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอารมณ์นิพพานไว้เสมอครับ