กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
วันนี้นั่งสมาธิ พระท่านบอกผมว่าช่วงนี้ให้เน้นตอบปัญหา ในการปฏิบัติให้มาก การแนะนำเรื่องการปฏิบัติให้ขยับๆดันกันขึ้นมาหน่อย ท่านว่าอย่างไร ผมก็ทำตามนั้นครับ แล้วแต่ท่านจะสั่งครับ ดังนั้น ท่านที่มีข้อติดขัดในการปฏิบัติ ขอเชิญได้เลยครับไม่ต้องเกรงใจกันครับ มีอะไรให้ผมช่วยได้ถ้าไม่เกินวิสัยผมเต็มใจและยินดีแบ่งปันความรู้ที่มีให้เสมอครับ
พรุ่งนี้หลวงพ่อวิชญ์ ที่ท่านทำโครงการพระซ่อมพระจะไปที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ที่บูทของรายการคนค้นคน ทีวีบูรพา ท่านที่สนใจไปสนทนากับท่านได้ครับ
เกตส์บอกว่าเขาไม่ได้คิดที่จะเกษียณหรือลาออกจากตำแหน่งประธาน แต่ต้องการจัดลำดับความสำคัญเรื่องส่วนตัวซะใหม่
เรื่องส่วนตัวที่สำคัญของเกตส์นั้นคือการดูแลมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation ที่ร่วมกันก่อตั้งกับเมลินด้าภรรยาเมื่อปี 2543 มูลนิธิมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อบริจาคทุนการศึกษาแก่สถาบันการศึกษาทั่วโลกที่ขาดแคลนเงิน และตั้งทุนวิจัยเพื่อป้องกันและรักษาโรคเอดส์
เพียงแค่ 6 ปีมูลนิธิของเกตส์และภรรยาบริจาคเงินช่วยเหลือคนทั่วโลกไปแล้วกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ1 ล้านล้านบาท มากเป็นที่ 2 รองจากมูลนิธิ Stichting INGKA Foundation ก่อตั้งโดย อิงก์วาร์ คามพราด มหาเศรษฐีใจบุญชาวสวีเดน เจ้าของห้างขายเฟอร์นิเจอร์ไอเคีย (IKEA) ที่ตั้งมูลนิธินี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมการประดิษฐ์คิดค้นงานด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน ที่ผ่านมาได้บริจาคเงินช่วยเหลือไปแล้ว 36,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.4 ล้านล้านบาท
แต่ในอนาคตเชื่อว่ามูลนิธิของเกตส์และภรรยาจะเป็นมูลนิธิที่บริจาคเงินช่วยเหลือสังคมสูงที่สุดในโลก เพราะ วอร์เรน บัฟเฟ็ทท์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเพิ่งออกมาประกาศว่า
จะบริจาคเงินจำนวน 37,000 ล้านดอลลาร์เข้ามูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation
นิตยสารฟอร์บ จัดอันดับให้ อิงก์วาร์ คามพราด เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก มีทรัพย์สิน 28,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท
บิลล์ เกตส์ และ อิงก์วาร์ คามพราด นอกจากจะร่ำรวยและใจบุญเหมือนกันแล้ว ยังมีอีกอย่างที่เหมือนกันคือเป็นคนประหยัด
เกตส์ยังชอบทานฟาสต์ฟู้ดราคาถูก เวลาออกรอบเล่นกอล์ฟกับ วอร์เร็น บัฟเฟ็ทท์ เพื่อนร่วมก๊วนขาประจำ ทั้งคู่เล่นพนันกันหลุมละ 1 ดอลลาร์
ส่วนคามพราด วัย 80 ปีประหยัดยิ่งกว่าเกตส์ เมื่อเดือนมีนาคม เพิ่งให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วยความภาคภูมิใจในความประหยัดและอยากให้พนักงานร้านไอเคีย 90,000 คน จาก 202 ร้านใน 32 ประเทศทั่วโลกถือเป็นแบบอย่าง
คามพราดบอกว่าเขายังขับรถวอลโว่คันเก่าที่ใช้มา 15 ปี นั่งเครื่องบินชั้นประหยัด และแนะนำให้พนักงานของไอเคียใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า ไม่ใช่พิมพ์หรือเขียนหน้าเดียวแล้วทิ้ง
แม้เกตส์และคามพราดจะเข้าข่ายมหาเศรษฐีขี้เหนียว แต่ทั้งคู่ก็ประหยัดเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ขี้เหนียวในการช่วยเหลือสังคม เงินที่เกตส์บริจาคผ่านทางมูลนิธิของเขาคิดเป็น 52% ของทรัพย์สินที่เขามี แม้บางคนจะมองว่าทั้งสองคนตั้งมูลนิธิเพื่อเลี่ยงภาษีและสร้างภาพ แต่ยังไงซะก็ดีกว่าการหลบเลี่ยงภาษี
ปัจจุบัน บิลล์ เกตส์ มีทรัพย์สินมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยก็เฉียดๆ 2 ล้านล้านบาท แต่เขาบอกว่าจะไม่ยกเงินทั้งหมดที่มีให้กับลูกทั้ง 3 คน แต่จะยกให้คนละประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ หรือ 790 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 95% จะยกให้กับมูลนิธิ
มีคนเคยถามเกตส์ว่าทำไมถึงไม่ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับลูกทั้ง 3 คน
เกตส์ตอบว่าเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้หากยกให้ลูกจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและกับลูกทั้งสาม เพราะปรัชญาในการดำรงชีวิตของเขาก็คือนำทรัพย์สมบัติที่มีคืนให้กับสังคม
ได้ฟังแง่คิดในการดำรงชีวิตของ บิลล์ เกตส์ แล้วทำให้ไม่แปลกใจที่เขาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเขาในทางไม่ดี หรือพูดถึงด้วยความหมั่นไส้อิจฉา
ที่มา: คลุกวงใน/พิษณุ นิลกลัด, วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 26 ฉบับที่ 1350
การสร้างกำลังบุญกุศลให้เกิดขึ้น นอกจากเรื่อง ปัจจัยการเงินช่วยเหลือแล้วก็มีเรื่องของ กำลังสติปัญญาและกำลังกาย นี่ละครับ..การมีจิตใจมุ่งมั่นกระทำสิ่งดีๆให้บังเกิดผล..การเข้าช่วยเหลือผู้มีทุกข์ให้ทุเลาทุกข์..ให้ธรรมะและเติมเต็มจิตใจกันและกันในครอบครัวและบุคคลรอบข้างให้เบิกบาน การคิดดี พูดดี ทำดี..เมตตาและละเว้นความรุนแรงทั้งหลาย เหล่านี้ล้วนสร้างพลังงานด้านบวกทั้งสิ้น..ถ้าได้ลงมือกระทำสร้างพลังด้านบวกแล้ว เราจะใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด จะถูกเติมเติมให้เสมอ เหมือนคลื่นที่สะท้อนกลับคืนมาเป็นละลอกๆครับ..
ช่วงนี้น้ำเริ่มลดลงบ้างแล้วครับ..เข้ามาทักทายครับไม่ได้หายไปไหนแต่ไม่สะดวกเรื่อง net ครับ..ขอบคุณครับคุณคนานันท์..
โมทนาด้วยนะครับ มาดันครับกระทู้ดี ๆ อย่างนี้
ขอบคุณมากครับ สำหรับทุกๆท่านที่ได้เข้าใจในวัตถุประสงค์ในการนำเสนอ การติดตามอ่าน ให้ข้อคิดเห็นดีๆ รวมทั้งให้กำลังใจกระทู้นี้มาตลอด
ขอให้ท่านที่ประสบกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ กลับสู่ภาวะปรกติและฟื้นตัวในทุกๆด้านโดยเร็วพลันนะครับ กำลังใจ ความคิดในแง่บวกและความเชื่อมั่นในความดีอย่างมั่นคงสำคัญที่สุดครับ ที่จะทำให้ทุกคนผ่านพ้นปัญหาที่เกิดขึ้นไปได้ครับ
ที่นำเรื่องราวของมหาเศรษฐีระดับที่รวยที่สุดของโลกมาให้อ่านกันนั้นเพราะผมอยากชี้ให้ทุกท่านได้เห็นว่า "ถ้าคนที่มีความพรั่งพร้อมในทรัพยากรทุกอย่างอยู่ในมือ มีจิตใจที่ดีงามและมองเห็นประโยชน์ในการตอบแทนคืนกลับสู่สังคมโดยส่วนรวม โลกนี้ก็จะมีความสุขขึ้นจากการเผื่อแผ่ ช่วยเหลือ สงเคราะห์จากผู้ที่แข็งแรงกว่า พร้อมกว่า สู่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า อ่อนแอกว่า ขาดแคลนกว่า ที่จริงนั้นโลกมนุษย์นั้น จะมีความสุขอย่างแท้จริงได้ จากรอยยิ้มแห่งความสุข ความเมตตา ความสำนึกในความดี ของคนทั้งโลกครับ " และอีกประการหนึ่งเรามาพิจารณามองย้อนดูในมุมกลับดูนะครับ อัครมหาเศรษฐี ทั้งสามคนนี้ ล้วนแต่สร้างตัว สร้างฐานะขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งสามคนครับ ไม่ใช่ความรวย ความมั่งคั่งจากมรดก ครับ ที่จริงแล้วสาเหตุที่มาแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ของอัครมหาเศรษฐีเหล่านี้ เกิดขึ้นจาก ความผลักดันเบื้องลึกในจิตใจอันยิ่งใหญ่ของเขาที่อยากจะช่วยเหลือสังคม ส่วนรวม อยากเปลี่ยนเเปลงสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น ใช่หรือไม่ครับ จิตใจที่มีความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมีพลังที่จะดึงดูดสิ่งดีๆทั้งหลายได้มหาศาล รวมไปทั้งความมั่งคั่งร่ำรวยด้วย
เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ ที่มีปรากฏการณ์ที่แสดงถึงพุทธภูมิวิสัยขึ้นในหลายๆ ส่วนหลายๆภูมิภาคของโลกไปนี้ครับ ที่อยากยกตัวอย่างท่านอื่นให้ท่านได้ฟังอีก ได้แก่
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลไพรซ์ สาขา สันติภาพ ชาวบังคลาเทศ ผู้เป็นผู้ต้นคิดและก่อตั้ง ธนาคารคนจนขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการแพร่ขยายแนวคิดดีๆของโตรงการนี้ไปยังประเทศยากจน ต่างๆทั่วโลกครับ
ผู้ก่อตั้งกูเกิล seach engine ชื่อดังระดับโลก บริจาคเงินเพื่อลงทุนและวิจัยในโครงการNano SolarCell ซึ่งเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่สะอาดที่สุด เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนครับ
มหาเศรษฐีดอทคอม ทั้งหลายแห่งซิลิกอนแวลเลย์ ลงขันกันก่อตั้งกองทุนเพื่อให้เงินอุดหนุนและช่วยเหลือในโครงการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี่ที่สะอาด ด้วยความรับผิดชอบที่จะช่วยแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของโลกครับ
มาดูในเมืองไทยกันบ้างครับ มีเศรษฐีไทยหลายคนเริ่มที่จะมีโครงการดีๆในลักษณะนี้กันบ้างแล้ว ก็ขอโมทนาในความดีของทุกท่านครับ ส่วนพวกเราทั้งหลาย จะมี จะจนอย่างไร ก็ตามขอให้มีความมั่นคงในความดี ทรงอารมณ์ใจในการให้ การสงเคราะห์ ความเมตตา ปรารถนาดีต่อผู้อื่นไว้ให้เป็นปรกติครับ หนทางแห่งความดีงามนั้นสามารถทำได้ในทุกๆทาง ทุกเวลาครับ
ขอกราบโมทนาความดีงามของทุกท่านด้วยครับ
สังคมที่เราทุกคนอยู่ร่วมกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี คนมี คนจน ก็ต้องอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าต่างคนต่างอยู่ต่างเอารัดเอาเปรียบกัน สังคมนั้นย่อมไร้ซึ่งความสุข ความสงบ
แต่ถ้าสังคมใด ผู้คนเผื่อแผ่จุนเจือกัน ไม่เฉพาะเพียงเงินทอง หรือวัตถุภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือ ความรู้สึกดีๆ ความเมตตา ความเอื้ออาทร ความรัก การแบ่งปันสติปัญญา คุณธรรม ความหวังดี สังคมนั้น ย่อมเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ความสุขใจ ความอิ่มเอมใจ น่าอยู่ยิ่งกว่า สังคมใด ดังสรวงสวรรค์บนพื้นพิภพ สังคมแห่งสันติสุขแบบนี้ ไม่ไกลเกินจริง เพียงแต่เราเริ่มต้นที่ตัวเราเอง คนรอบๆตัวเรา สังคมใกล้ตัว ค่อยๆขยายออกไปประดุจการต่อเทียนให้สว่างไสวออกไปทีละเล่มจน แสงสว่างแห่งความดีงามของจิตใจ เปล่งแสงอยู่ในหัวใจของทุกคนในสังคมจนกลายเป็นสังคมแห่งความสุข ความดีงาม
ผมอยากเห็นสังคมไทยของเราเป็นอย่างนั้นครับ และตอนนี้ผมได้ลงมือทำสิ่งนั้นแล้วครับ คุณล่ะ อยากอยู่ในสังคมที่แสนสุข งดงามหรือไม่ ช่วยกันเถอะครับ ช่วยกันในทุกดวงใจของเราเพื่อ เมืองไทยของเรา เพื่อในหลวงของเราครับ
สังคมที่เราทุกคนอยู่ร่วมกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี คนมี คนจน ก็ต้องอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยกันทั้งนั้น ถ้าต่างคนต่างอยู่ต่างเอารัดเอาเปรียบกัน สังคมนั้นย่อมไร้ซึ่งความสุข ความสงบ
แต่ถ้าสังคมใด ผู้คนเผื่อแผ่จุนเจือกัน ไม่เฉพาะเพียงเงินทอง หรือวัตถุภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือ ความรู้สึกดีๆ ความเมตตา ความเอื้ออาทร ความรัก การแบ่งปันสติปัญญา คุณธรรม ความหวังดี สังคมนั้น ย่อมเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ความสุขใจ ความอิ่มเอมใจ น่าอยู่ยิ่งกว่า สังคมใด ดังสรวงสวรรค์บนพื้นพิภพ สังคมแห่งสันติสุขแบบนี้ ไม่ไกลเกินจริง เพียงแต่เราเริ่มต้นที่ตัวเราเอง คนรอบๆตัวเรา สังคมใกล้ตัว ค่อยๆขยายออกไปประดุจการต่อเทียนให้สว่างไสวออกไปทีละเล่มจน แสงสว่างแห่งความดีงามของจิตใจ เปล่งแสงอยู่ในหัวใจของทุกคนในสังคมจนกลายเป็นสังคมแห่งความสุข ความดีงาม
ผมอยากเห็นสังคมไทยของเราเป็นอย่างนั้นครับ และตอนนี้ผมได้ลงมือทำสิ่งนั้นแล้วครับ คุณล่ะ อยากอยู่ในสังคมที่แสนสุข งดงามหรือไม่ ช่วยกันเถอะครับ ช่วยกันในทุกดวงใจของเราเพื่อ เมืองไทยของเรา เพื่อในหลวงของเราครับ
อยากเห็นเมืองไทย และ โลกเราเป็นแบบนั้นค่ะ
ขอเป็นเทียนที่จุดสว่างเล่มหนึ่งด้วยค่ะ
โมทนาสาธุ ๆ ๆ ยิ่งค่ะพี่คณานันท์
(อ่านแล้วปลาบปลื้มจริงๆ)
หลายคนช่วยกันคงทำได้นะครับ
ผมคิดว่าผมก็กำลังเริ่มอยู่ครับ พี่
ผมคิดว่าปัจจุบัน คนเราชอบขวนขวายหาแต่เงินอย่างเดียวโดยไม่คิดว่าจะได้มาโดยผิดหรือถูก และเอามาใช้ในสิ่งที่ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
ซึ่งตอนนี้เกิดปัญหาน้ำท่วมแล้วก็เกิดมาจากความอยากได้เงินเหมือนกัน
ผมคิดว่า เงินตรา คือต้นเหตุความเห็นแก่ตัวของคนเราครับ
ผมเคยไปขาย ซีดีเถื่อน(ตอนนี้เลิกแล้วครับ)ผมจึงได้เห็นว่า สังคมที่ไม่สงบสุขเป็นอย่างไร คือพอขายของเถื่อนก็ต้องหนีภาษี และคอยหลบๆซ่อนๆ ทางรัฐบาล และก็มีพวกเป็นตำรวจที่ยอมให้ขาย เพราะเขาก็รับเงินจากทางเราไป
ผู้ซื้อ นั้นก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือย ผมเคยเห็นซื้อไปตั่ง สิบกว่าแผ่น และนายทุนผม ก็ ทุกวันนี้ อยู่กันอย่างไม่เป็นสุข เพราะมีปัญหาทางบ้านเกือบทุกวัน เกี่ยวกับเรื่องขายของนี้
จากการที่ผมได้ผ่านตรงนี้มาผมคิดว่า การกระทำที่เห็นแก่ได้จนลืมคิดว่าผิดหรือถูกนั้น ทำให้สังคมเดือดร้อน และทำให้ตัวเองเดือดร้อนด้วย ถึงแม้จะได้เงินมาเยอะ แต่มันก็ได้มาจากการทำอาชีพไม่สุจริต ไม่นานก็หมดและความทุกข์ก็ตามมา
ในสังคมเรายังมี คนพวกนี้เยอะนัก
จนพอผมอ่านข้อความ พี่ คณานันท์แล้ว ผมอยากให้สังคมทุกสังคมเป็นอย่างคำกล่าวครับ ผมกำลังเริ่มทำให้ มันเป็นจริงอยู่ครับ
ลืมบอกไป บ้านผมก็มีน้องแมวอยู่ตัวหนึ่ง
เรื่องนี้ไม่รู้เกี่ยวข้องกับธรรมมะรึเปล่านะครับ
คือตอนแรก บ้านผมเลี้ยงแมวตัวผู้ อยู่หนึ่งตัว สีขาวน่ารัก
แล้วตัวนี้ ไปได้กับแมวนอกบ้าน จนมีลูกแมว ออกมาสองตัว
ตัวหนึ่งน่ารัก อีกตัวลาย สกปรกเหมือนตัวแม่ที่เป็นแมวนอกบ้าน
จนครั้งหนึ่งแมวตัวพ่อ ของผม ได้หายไปจากบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
และ ผมจึงต้องเลี้ยงแมวตัวลูกสองตัวนี้มา
จนในบ้านผมมีกองขี้แมวอยู่ แม่ผมก็เลยคิดว่า ตัวลายสกปรกเป็นตัว ขี้ไว้
แต่กลับเป็นตัวน่ารักที่ ขี้ไว้
และแล้วเจ้าตัวน่ารักก็จากไปด้วยฝีมือ สุนัขข้างบ้าน
ปัจจุบัน แมวลายสกปรกได้เติบโตขึ้น และเหมือนกับ ปาฎิหาร มันขาวขึ้นและหน้าตา ดูดี น่ารักขึ้น แถมแสนรู้อีก (เวลาขี้ก็ เข้าห้องน้ำด้วยนะครับแปลกดี)
ยักกับ เจ้าเงาะถอดหัวแล้วกลายเป็นพระสัง
เรื่องนี้เรื่องจริงครับ ถ้าไม่มีสาระก็เอาไว้อ่านเล่นๆคลายเครียดก็ได้
N-Good oom,
ไม่ไร้สาระหรอกค่ะน้อง.. อ่านโพสหลายโพสของน้องก็ชื่นชมค่ะ
เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ขออนุโมทนาด้วยนะคะ
และเป็นกำลังใจให้ค่ะในทุกๆ เรื่อง(ปกติไม่ค่อยได้โพส)
(verygood)
คุยเรื่องแมวนิดนึงจ๊ะ พี่ก็เคยเลี้ยงแมว และ แสนรู้..
เข้าไปถ่ายในห้องน้ำเหมือนกันค่ะ..
เวลาเช้าๆ ก็มาข่วนๆ ประตูห้องนอน และ ร้องเรียกให้ตื่น
แสนรู้ - มีระเบียบวินัยค่ะ บางทีก็นึกถึงแมวตัวนี้เหมือนกัน.. ^^
ขอชื่นชมทั้งน้องมะลิและน้องอุ้มครับ น้องทั้งสองยังอายุน้อย แต่รู้จักที่คิดในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อส่วนรวม รวมทั้งพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอีกด้วย ชีวิตของน้องๆยังอีกยาวไกลที่จะเรียนรู้และปฏิบัติธรรมครับ หนทางข้างหน้า และอนาคตที่ดีของสังคม อยู่ในการสืบต่อธรรมมะ ความดีงาม จากรุ่นสู่รุ่นครับ ขอให้มั่นคงในความดี หมั่นดูแลรักษาต้นไม้แห่งความดีงามในหัวใจของเราให้งอกงาม ออกดอกสวยอร่าม ส่งกลิ่นหอมตลอดไปนะครับ
ขอโมทนาในความดีของน้องทุกคนด้วยครับ
ส่วนแมวของพี่มันขอมาอยู่ด้วย ตั้งแต่เล็กๆ ขาวสวยน่ารักขี้อ้อนเป็นที่สุด แต่อนิจจา พอโตขึ้นดันกลายเป็นแมวหง่าวไปซะนี่ แถมชอบฉี่เลอะเทอะ รูปพระรูปเจ้าก็พิเรณชอบไปฉี่รดอีก เวรกรรมหนอ ก็ต้องเลี้ยงกันไป ตามวิสัยสมาคมคนรักแมวครับ
ผมมีความเชื่อว่านอกเหนือจากการฝึกฝนจิตใจปฏิบัติธรรมโดยการเจริญวิปัสนากรรมฐาน การทำความดี การทำประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น คือ"การพัฒนา วิธีคิดและกระบวนการคิด"ครับ เพราะจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ศักยภาพของตัวเราให้เพิ่มขึ้นในทุกๆด้านครับ ทั้งในทางโลกและทางธรรม ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือแท้ที่จริง เทคนิคการพัฒนาวิธีคิดนั้น แฝงไว้ในคำสอนของพระพุทธศาสนาในหลายๆวิธีครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีสติปัญญานำไปประยุกต์ใช้ได้มากแค่ไหน ผมขออนุญาตทะยอยมาเล่าให้ฟังนะครับ ถ้าเป็นประโยชน์ก็จงนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นประโยชน์หรือน่าสนใจก็คิดเสียว่าอ่านเพลินๆแล้วผ่านไปครับ
1. การใช้รูปแบบของ"ไตรภูมิ"ในการวิเคราะห์เหตุการณ์ สถานการณ์ ผ่านรูปแบบ ของการมองภาพแบบองค์รวมมหภาค ( Big Picture) รวมทั้งการใช้ความแตกต่างในภาวะ ความคิดและพฤติกรรม ในแต่ละภพภูมิในการแยกแยะความแตกต่าง ของความน่าจะเป็นในเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมองสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจน การค้าระหว่างประเทศ ถ้าเรามองแคบๆในมิติ ของเรา เราอาจจะไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจริงๆ แต่ถ้าเรามองสถานการณ์นั้นๆอย่างเปิดกว้างใน มุมมองที่กว้างขึ้น หลากมิติขึ้น ก็จะทำให้เราได้เห็นภาพ แท้จริงและเข้าใจปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น แต่จุดสำคัญของวิธีคิดแบบนี้ บางครั้งอาจจะยากที่จะทำความเข้าใจให้ผู้ที่ได้เห็นภาพรวมที่เล็กกว่าเข้าใจกับภาพรวมใหญ่ที่ปรากฏ แต่ถ้าในสังคมใดมีผู้ที่รู้จักวิธีคิดแบบนี้มากๆ สังคมนั้นก็จะอุดมไปด้วยผู้ที่รอบรู้ละเอียดถี่ถ้วนและมีวิสัยทัศน์
ลองค่อยๆไปฝึกคิดครับ เริ่มจากการวิเคราะห์ความเชื่อมโยง เหตุผลของ ภพภูมิต่างๆ ในไตรภูมิ พระร่วงก่อนก็ได้ครับ จากนั้นจึงค่อยๆฝึกคิดฝึกวิเคราะห์ การมองเห็นภาพรวมใหญ่ของเหตุการณ์ เช่น ปรากฏการณ์โลกร้อน และผลที่จะตามมา เป็นต้นครับ ค่อยๆฝึกดูครับ วันนี้อาจจะค่อนข้างยากไปนิด เพราะเป็นวิสัยพุทธภูมิ แต่พรุ่งนี้จะแนะนำวิธีคิดแบบอื่นที่ง่ายขึ้นครับ
กระทู้นี้อ่านแล้วชื่นใจครับ..เห็นความตั้งใจดีของทุกๆคนที่จะสร้างสรรค์สังคมให้ฟื้นฟูกลับมามีสันติสุข บนความสับสนวุ่นวายของกระแสโลกในขณะนี้..
ขอให้ความตั้งใจดีของแต่ละท่านจงสำเร็จผลให้ได้มากที่สุดครับ เริ่มด้วยการปลูกฝังทัศนคติที่ดีของคนหนึ่งคน สู่ครอบครัวของแต่ละคน เมื่อครอบครัวดีแล้ว ก็ออกสู่สังคมภายนอกให้กว้างขึ้น..ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ..
ถึงจะใช้เวลามากหน่อยที่จะเปลี่ยนแปลง และการเริ่มต้นจากที่นี่หรือที่ไหนๆก็ล้วนมีอุปสรรคทั้งนั้น ขอให้มั่นคงทำกันต่อไปครับ ดีมากๆครับ..
รายงานผลค่ะ
ส่วนเป้าหมายในการทำสมาธินี่เหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่างแต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ต้องลองดูอีกซักพัก
รู้สึกว่าตัวเองยังจับลมสบายไม่ได้ทุกครั้ง คงต้องฝึกไปเรื่อย ๆ
ขอบคุณนะคะ
ดีครับ
ส่วนอาการ งงๆ แปลกๆ นั้นเกิดขึ้นจากภาวะที่จิตแยกจากกาย นานๆ และเมื่อกลับมาสู่กายใหม่อีกครั้งจึงรู้สึกแปลกๆครับ ดังนั้นการถอนจิตออกจากสมาธิจึงต้องค่อยๆออกช้าๆ และมีสติครับ
ส่วนลมสบายนั้น เมื่อจับหลักได้แม่นยำแล้วจะคล่องขึ้นเองครับ และจะสามมารถเข้าได้ทุกครั้งทุกเวลาที่ต้องการครับ
ขอโมทนาในความขยันและความตั้งใจทำความดี การปฏิบัติสมาธิธรรมด้วยครับ
__________________
มาคุยกันต่อเรื่องวิธีคิดและกระบวนการคิดครับ
2. วิธีคิดแบบปฎิจจสมุทบาท เป็นกระบวนวิธีคิดที่อิงเหตุเช่นนี้จึงมีผลเช่นนี้ติดตามกันมาเป็นลูกโซ่ เป็นวัฏฏจักร แต่ดั้งเดิมคนไทยผูกเป็นนิทานไว้ให้เด็กๆได้ รู้จักวิธีคิดนี้ จากในนิทานเรื่อง"ยายกับตาทำนาอยู่บนเขา ให้หลานเฝ้าถั่วงา.........." และในเพลงเด็ก "ที่ว่ากบเอยทำไมจึงร้อง " เป็นปริศนาธรรมและวิธีคิดที่อ้างอิงเรื่องผลที่ติดตาม เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ จึงเสวยผลเช่นนี้ และผลที่สืบเนื่องมีผลกระทบต่อสิ่งอื่นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น ตราบจน ที่เราจะกระทำเหตุให้วัฏฏะของมันจบรอบ จนเป็นโมฆะกรรม
วิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราเกิดความยับยั้งชั่งใจในบาปและอกุศลกรรม เพราะกระบวนการคิดนี้จะทำให้เราเกิดปัญญามองเห็นผลสืบเนื่องของกรรมต่อไปไม่มีสิ้นสุด ว่าจะส่งผลร้ายกลับมาสู่ตัวเราเองและผู้อื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าลองนำกระบวนวิธีคิดแบบปฎิจจสมุทบาทนี้มาพิจารณาในเรื่องของการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อน เราจะมองเห็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งผลสืบเนื่อง แม้แต่การกระทำเล็กๆน้อยของแต่ละคนที่ทำ สุดท้ายก็ส่งผลย้อนกลับมาสู่ทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งวิธีการแก้ไขก็คือการช่วยกันสร้างการกระทำที่เป็นวัฏฏจักรในเชิงบวก กลับสู่ธรรมชาติ แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง สุดท้ายโลกนี้ก็จะดีขึ้นแม้จะทีละน้อยก็ยังดี
ถ้าใช้วิธีการคิดแบบนี้ มาเปรียบเทียบกับ ภูมิความรู้ วิธีคิดแบบทุนนิยมตะวันตก เราจะค้นพบว่า ภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้าท่านมีความละเอียดปราณีตลึกซึ้งกว่าอย่างเทียบไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแก้ปัญหา เช่น ในด้านการเกษตร เมื่อ พืชผักมี มดแมลงรบกวน วิธีแก้ไขปัญหาง่ายๆ คือ "ใช้เงิน" ซื้อยาฆ่าแมลงมาฉีด แมลงตาย จบ!! ง่ายๆ ไม่ต้องคิด เห็นผลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องใช้สติปัญญาคิดพิจารณาถึงความสอดคล้องกับธรรมชาติแต่อย่างไร มีผลให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาสิ้นสุดลง แต่ถ้าเอาปฏิจจสมุทบาทมาคิด ผลก็คือใช้ยาฆ่าแมลง เสียเงิน ผู้ใช้รับสารพิษสะสมไปด้วย ไปป่วยไปเจ็บในอนาคต เมื่อใช้ยาแมลงตายจริงแต่ ไส้เดือน นก จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชต่อดินก็ตายไปด้วย คนกินก็พลอยเจ็บพลอยตายผ่อนส่งไปด้วย ถ้ารู้จักคิดก็จะหาหนทางอื่นในการแก้ไขปัญหาแมลงรบกวนได้ อย่างเช่น การแก้ปัญหาด้วยการให้ แมลงเหล่านั้น ลองย้อนกลับมามองที่เหตุว่า ทำไมมดแมลงจึงเบียดเบียน พืชสวนของเรา คำตอบคือเพราะมันอดอยาก ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือ การให้ทานอาหารแก่มัน เช่นคนโบราณ จะเอาน้ำตาลโตนดมารดแมลง ๆก็ไปกินน้ำตาลแทนที่จะกินพืชผัก ส่วนนำตาลที่เหลือก็กลายเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดี ย้อนกลับมาเป็นอาหารของพืชรวมทั้งเป้นอาหารของจุลินทรีย์ที่ช่วยควบคุมแมลงอีกที่เป็นโทษเหล่านั้นอีกขั้นหนึ่ง ส่วนสมัยใหม่ เราก็สามารถใช้ EM มาแทนน้ำตาลโตนดโดยตรงได้รวมทั้งการใช้น้ำสมุนไพรอื่นๆ ซึ่งทำให้แมลงไม่รบกวนแล้ว ยังประหยัดเงินค่ายาฆ่าแมลง ไม่อันตรายต่อเกษตรกร และคนกิน แล้วพืชผลที่ได้ยังมีราคาสูงขึ้นเนื่องจากเป็นพืชผักปลอดสารพิษด้วย
ลองใช้กระบวนการคิดนี้สร้างวัฏฏจักรดีๆ ระบบ ความคิด โครงการดีๆสู่สังคมครับ จะไม่ขอเล่ามากเพราะจะเป็นการจำกัดจินตนาการและการคิดเชิงประยุกต์ของผู้อ่านครับ เพราะที่จริงแล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ไม่สิ้นสุดและช่วยให้สติปัญญาแตกฉานขึ้นครับ
3. การคิดโดยการอาศัยธรรมชาติเป็นครู ทั้งครูทางธรรมและครูในการดำรงชีวิต "ธรรมชาติ "หมายถึง ธรรม(ความจริง) และชาตะ (การกำเนิด ) ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อกำเนิดจากธรรมชาติ รวมทั้ง มนุษย์เองก็ก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นมนุษย์เองควรที่จะเรียนรู้จากธรรมชาติ ใช้อาศัยธรรมชาติเป็นครู รวมทั้งดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ชีวิตจึงจะมีความสุข
จงนำเอาธรรมชาติมาเป็นครูในทางธรรม ดูง่ายๆก็ได้แก่ ใบไม้ใบหนึ่ง เริ่มผลิใบขึ้น ประดุจ ชีวิตที่กำเนิดมาแต่ละชีวิต และเริ่มเติบโตขึ้น ดังวัยเด็ก จนใบไม้นั้นผลิใบเต็มที่ ดังวัยหนุ่มสาว จากนั้นก็ค่อยๆเหี่ยว เฉาดังวัยชรา ตราบจนหลุดร่วงจากขั้วกิ่งตกสู่พื้นดินดังชีวิตที่ตายหลุดล่วงไปในที่สุด ธรรมชาติสอนสัจจธรรมให้เราอยู่ในทุกเวลานาที เพียงแต่เราเห็นและได้ยินเสียงจากธรรมชาติได้แค่ไหน เราเปิดหัวใจ สัมผัสธรรมมะที่บริสุทธ์เหล่านี้ได้เพียงไร
สำหรับการดำเนินชีวิต ธรรมชาติเองก็สอนเราอยู่เสมอให้ดำรงชีวิตกันอยู่อย่างเกื้อกูล กัน
ต้นไม้ให้ร่มเงา
ให้อาหาร
ให้ยารักษาโรค
ให้เนื้อไม้ไว้ให้เราอยู่อาศัย
ให้อากาศที่สะอาดบริสุทธ์ไว้ให้เราหายใจ
ช่วยสร้างชั้นบรรยากาศไว้ปกป้องเราจากรังสีคอสมิค
ช่วยซึมซับรักษาความชื้นและอุณหภูมิไว้ให้เราทุกคนเย็นสบาย
ส่วนทั้งคนและสัตว์ก็ ขับถ่ายออกมาเป็นอาหารเป็นปุ๋ยให้แก่ต้นไม้ ตราบจนตายลงก็สลายกลายเป็นดินเป็นปุ๋ยเป็นอาหาร ให้แก่ต้นไม้วนเวียนกันไปอย่างนี้เป้นวัฏฏจักรไป ธรรมชาติเป็นวัฏฏจักรที่เกื้อกูลกัน สมดุลกัน จึงจะเป็นปรกติสุข เมื่อไรที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเบียดเบียนกัน ธรรมชาติย่อมเสียสมดุลของมัน กลไกธรรมชาติจึงต้องมีการปรับตัวตามกฏแห่งธรรมชาติ
โลกที่สับสนวุ่นวายและภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ สำคัญตนเองผิด คิดจะควบคุมธรรมชาติ เบียดเบียนเอาเปรียบสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ กิเลสของมนุษย์นั้นคิดแม้กระทั่งต้องการยึดครองแย่งชิงดาวดวงอื่น (ดวงจันทร์ และดาวอังคาร) ผลของความคิดผิดๆแบบนี้จึงส่งผลสะท้อนกลับมายังทุกสรรพชีวิตบนโลก พืชและสัตว์ หลายเผ่าพันธุ์ต้องสูญพันธุ์ ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะความละโมภโลภมากในความต้องการทรัพยากรของมนุษย์ ทั้งที่จริงเพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิดสักนิด เพิ่มจิตสำนึกสักหน่อย เราทุกคนบนโลกก็สามารถที่จะมีทรัพยากรบนโลกใช้กันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ลองฝึกวิธีคิดแบบการมองธรรมชาติเป็นครูครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางธรรมครับ ผมเองยังไม่เจอสิ่งใดที่ผมรู้จักอยู่นอกสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป "เลยครับ ทุกสิ่งเป็นครูสอนธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นครับ ว่าไม่ควรไปยึดไปติด ไปเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมัน เพราะมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาครับ
"มนุษย์ นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น เมื่อเปรีบยเทียบกับอนันตจักรวาลแล้ว มนุษย์เล็กและด้อยค่าราวกับผงธุลี หรือเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ จนเป็นปรากฏการณ์ ที่สั่นสะเทือนจักรวาลทุกภพภูมิได้ ก็คือ"จิตใจ ที่เปลื้องสรรพกิเลสออกด้วยบารมีทั้งสามสิบทัศน์ จนบรรลุซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ได้โดยพระองค์เองด้วยสัพพัญญูญาณอันพิสุทธ์"
ข้าพเจ้าขอน้อมเศียรกราบแทบบาทกระทำมหาโมทนาต่อพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในอดีต จนถึงองค์ปัจจุบัน ตลอดจนพระพุทธเจ้าที่จะพึงปรากฏต่อไปในอนาคตกาลภายภาคหน้า เพื่อรื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
4.การคิดจากคำสั่งสอนหลักในพระพุทธศาสนาที่ว่า "สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ " ถ้าเราลองพิจารณาตรองดูให้ดีแล้ว แท้ที่จริง ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี แท้จริงก็คืออารมณ์ ความรู้สึก แต่คนเราไปเข้าใจผิดกันเองเป็นส่วนใหญ่ว่าความสุข คือการที่มีเงินเยอะๆบ้าง มีบ้านหลังใหญ่ๆบ้าง มีสิ่งของดีๆอย่างนั้นอย่างนี้บ้างจึงจะมีความสุข จึงต้องดิ้นรนขวนขวายทำงานเพื่อสนองความต้องการทางวัตถุ ตามความคิดแบบวัตถุนิยม ซึ่งที่จริงเป็นกิเลสล้วนๆที่ทำให้ใจเราปรุงแต่งไปว่า ถ้าได้ถ้ามีของอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะมีความสุข แต่ลองสังเกตุดู ว่าพอเราได้ของสิ่งนั้นมาจริงๆแล้วเราก็กลับรู้สึกเฉยๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น มันอยากได้มากๆจนคิดว่าถ้าได้แล้วมีแล้วมันจะวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ จากนั้นใจมันก็กลับไปอยากได้สิ่งใหม่ๆอย่างอื่นอีก ไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความสุขนั้น แท้จริงเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันแน่
ถ้าอย่างนั้นแล้วสุขที่แท้จริงๆนั้นคืออะไร ?
ผมขอตอบว่าความสุขที่แท้จริงของท่านนั้นคืออะไร ผมไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นที่จริงแล้วอยู่ที่ใจ เปรียบได้ว่า "ไกลสุดขอบฟ้าใกล้แค่เพียงตา" รอเวลาที่ตัวท่านเองจะค้นเจอจากภายในจิตใจของท่านเอง แต่ถ้าท่านวิ่งค้นหาจากบุคคลภายนอก วัตถุภายนอก ยิ่งวิ่งหา ดิ้นรนหาก็ยิ่งไกล
ความสุขของท่านอาจเป็น
การได้ทำทาน
การได้ทำความดี
การได้ระลึกถึงความดี
การได้ช่วยเหลือคนอื่น
การรักษาศีล
การสวดมนต์
การให้
การสงเคราะห์
การทำสมาธิ
การค้นพบกับความสงบภายใน
การค้นพบกับจิตใจที่ดีงามของตนเอง
การค้นพบจิตใจที่เป็นกุศลของท่านอื่น(จึงโมทนา)
การพบแสงสว่างแห่งธรรม
การเข้าถึงธรรม
การรู้จักพอ
การวางอุเบกขา
สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้หัวใจเราเปี่ยมสุข อิ่มเอิบ ชุ่มเย็น เป็นกุศล อารมณ์ใจนี้จึงเป็นสุข
ขอให้ท่านทั้งหลายพบกับความสุขเหล่านี้โดยเร็ว และช่วยกันเผื่อแผ่แบ่งปันความสุขเหล่านั้นยไปยังหัวใจทุกๆดวงเพราะความสุขแบบนี้ไม่มีวันหมดและยิ่งเราได้ให้ผู้อื่นมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งได้รับกลับมากขึ้นทวีคูณ....
5. แนวคิดในเรื่อง"จิตใจที่งดงาม" อย่างที่ผมได้ย้ำอยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นของการเข้ามาโพส ความจริงแนวคิดนี้เป็นสัจจะธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวสอนเอาไว้ว่า
"แท้ที่จริงนั้น จิตทุกๆดวงล้วนประภัสสร (ใส สะอาด บริสุทธ์ เป็นจิตใจที่งดงาม) แต่ถูกอุปกิเลศเข้าห่อหุ้มจิตใจ ทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง เป็นอกุศล เป็นทุกข์ "
ดังนั้นที่จริงแล้ว ความชั่วร้ายเลวทราม การเบียดเบียนกันของสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น เกิดขึ้นจากเจ้าของดวงจิตทั้งหลายได้ลืมเลือนความงดงามภายในจิตใจของเราเองไป ความจริงความดีงาม ความงดงามของสรรพสัตว์ ล้วนอยู่ภายในจิตใจของทุกคนอยู่แล้วไม่ต้องไปค้นหาที่ไหน เพียงแต่เราเลือกที่จะอวดกิเลสความชั่วที่ห่อหุ้มจิตใจของเรา
หรือเราเลือกที่จะให้แสงสว่างจากจิตใจที่งดงามของเราสว่างไสวสู่ภายนอกและต่อเทียนแสงสว่างแห่งความดีออกไปยังสังคมส่วนรวม
พระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพรรณญูญาณผู้หยั่งรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างและท่านยังเป็นที่สุดแห่งท่านผู้มีความคิดในแง่บวกอีกด้วย ทุกดวงจิตของสรรพสัตว์ล้วนเป็นคนดี ทั้งสิ้นเพียงแต่ถูกกิเลสห่อหุ้มใจจึงทำให้ไม่เห็นธรรม ท่านจึงได้สะกิดให้ความดีในจิตใจของมวลสรรพสัตว์นั้นได้เผยออกมา ประดุจ แพทย์ผู้ลอกต้อออกจากดวงตาของผู้ป่วย ให้กลับมาเห็นโลกอย่างชัดเจน
วิธีคิดแบบนี้ จะทำให้เราเข้าใจในเหตุผลของทุกคน และมองทุกคนทุกชีวิตในแง่บวกได้เสมอ
เราจงมีจิตเป็นประภัสสร มีดวงใจที่งดงามเสมอ
เราจงมีดวงตาที่มองเห็น ความดีงามของผู้อื่นเสมอ และกล่าวยกย่องในความดีของเขา เพราะจะยิ่งทำให้เป็นการส่งเสริม ขัดถูให้ความดีงามของเขาเปล่งประกายงดงามยิ่งขึ้น
เราจะรักษาใจของเราให้สะอาด เหมือนการใส่น้ำสะอาด(ความดี คุณธรรม)ลงในแก้ว เราจะไม่ยอมให้น้ำเน่า น้ำครำ(ความชั่ว การนินทา ว่าร้าย ใจที่สกปรก)ลงมาผสมลงในจิตของเรา
วิธีคิดแบบนี้ทำให้ใจเราสะอาดขึ้น
มีความสุขขึ้น
มองโลกในแง่ดีขึ้น
ทำให้มีคนรักเรามากขึ้น
ทำให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ความดียิ่งขึ้น
และเห็นโลกในแง่มุมที่สวยงามมากขึ้นด้วย
เราเลือกที่จะมองสิ่งสวยๆงามๆ ไม่ว่าจะเป็นคน ทิวทัศน์ สิ่งของ แต่ทำไมใจเรากลับจมอยู่กับ สิ่งชั่วร้ายและเลวร้ายของผู้อื่น แถมยังไปเพ่งโทษเขาอีกว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เลวร้ายรุนแรง ทั้งที่จริงบางครั้งมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ลองให้ใจเราเห็นแต่ความดี ความตั้งใจดี กุศล ของผู้อื่นเถอะครับ สังคมจะดีขึ้นอย่างมากๆเลย
เริ่มต้นด้วยการหาจิตใจที่งดงามของตัวเองให้พบครับ แล้วจึงหาจิตใจที่งดงามของบุคคลรอบข้างให้เจอและบอกกับตัวเขาเหล่านั้น เริ่มได้ทุกวันทุกเวลาครับ
ขอโมทนากับจิตใจที่งดงามทุกๆดวงครับ
ไม่ขอพูดมากนะครับ เพราะ พิมพ์ไปต้งเยอะ แต่ ยost แล้ว มัน error หมดเลย - - นี่แหละหนา อนิจจัง เว็บก็ ไม่เที่ยง !!!!
เอ้า Jmsr17@hotmail.com Add มา สนทนาธรรม และ ปูพื้นฐานรับ มโนยิทธิ และ ณาน8 กันครับ ผมแนะนำเอง พร้อมวิชา อื่นๆ ที่ภูมิธรรมอันน้อยนิดของผมพอจะ ถ่ายทอดได้
ขอถวายความดีทั้งมวลเป็นพุทธบูชา ให้ พระพุทธ์องค์ และ ครูบาอาจารย์ทั้งมวล
อนุโมทนากับ ทุกท่าน ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว
ไม่เป็นไรครับ ตั้งใจทำดีบางครั้งก็มีอุปสรรค ใครที่สนใจศึกษามโน กับคุณวิปจิตัญญู เชิญได้เลยนะครับ ผมขอโมทนาในความตั้งใจดีด้วยอย่างยิ่งครับ
6. แนวคิดในด้านจิตสำนึกความรับผิดชอบต่างมิติ (Multi Dimention Responsibility ) โดยทั่วไปแล้วเรามักจะได้รับการสอนเรื่องการทำหน้าที่รับผิดชอบในฐานะพลเมืองที่ดีบ้าง ลูกที่ดีบ้าง แต่ความเป็นจริงคนเรามีมิติและหัวโขนในหลายๆมิติพร้อมๆกันในคนเดียวด้วยกันทุกๆคน บางคนก็ทำหน้าที่ได้ดีในบางมิติเท่านั้นเพราะได้ลืมคิด ลืมนึกถึงมิติในด้านอื่นด้วย
การทำหน้าที่ความรับผิดชอบในสมบูรณ์ในทุกๆด้าน อาจทำได้ยาก แต่ถ้าเรามาฉุกคิดและเริ่มทำมันให้ดีที่สุด ตามความสามารถ ตามปัญญาที่พึงมีพึงเป็นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมทั้งตนเองได้อย่างมากแล้ว
การใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาสำนึกความรับผิดชอบในมิติต่างๆนั้น จะทำให้เราได้มองเห็นลำดับความสำคัญของความรับผิดชอบได้ชัดเจนขึ้น
หน้าที่ความรับผิดชอบใน
มิติของจิตดวงหนึ่ง -พึงมีหน้าที่ที่จะทำจิตให้สะอาดผ่องแผ้ว ละวางกิเลส และมีพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งหน้าที่
มิติของความเป็นมนุษย์ -พึงมีศีลห้า มีมนุษยธรรม คุณธรรม มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย
มิติของการเป็นส่วนหนึ่งของโลก -พึงดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรโลกอย่างรู้คุณค่า ช่วยดูแลรักษาและสร้างสมดุลธรรมชาติให้กลับคืนมา อยู่อย่างผีเสื้อ ผึ้ง อย่าอยู่แบบฝูงตั๊กแตน
มิติในการเกิดมาในแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร -พึงมีความจงรักภักดีและรู้คุณท่าน คุณแผ่นดินเกิด มีจิตมุ่งหวังที่จะทำนุบำรุงชาติให้เจริญขึ้น รุ่งเรืองขึ้น เห็นกับประโยชน์สุขของชาติบ้านเมืองมาก่อนความสุขส่วนตัว
มิติในการเกิดมาในพระพุทธศาสนา-พึงช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระสัทธรรมให้บริสุทธ์ คงอยู่ตราบ 5000ปี ช่วยกันสืบต่ออายุพระศาสนา
มิติของการงานที่เราทำ - พึงทำงานทำหน้าที่นั้นๆด้วยความมีคุณธรรม สติปัญญา ปรับปรุงให้การงานก้าวหน้าและมีประโยชน์ต่อส่วนรวม
มิติของการเป็นสมาชิกในครอบครัว - พึงสานความสามัคคี ความรัก ความหวังดี ความเอื้ออาทรให้แก่กัน มอบธรรมะให้มีในระดับเสมอกัน เป็นสัมมาทิษฐิเช่นเดียวกัน ระดับเดียวกัน สืบสกุลสัมมาทิษฐิไว้เพื่อเป็นการต่อสกุลที่มั่นคง และเป็นการช่วยต่ออายุพระศาสนา
มิติของความเป็นปัจเจกชน -พึงปรับปรุงตนให้มีการพัฒนาการสูงขึ้นในทุกๆด้าน ทั้งด้านคุณธรรม กำลังจิต กำลังสมาธิ ความรู้ พลังปัญญา พลังความเชื่อมั่น พลังแห่งความคิดในแง่บวก สุขภาพ ภาพลักษณ์ ความอิสระด้านการเงิน ความมั่นคงในการงาน
หลายๆท่านอาจมีมิติต่างๆมากกว่านี้ ก็ลองใช้ความคิดตริตรอง เหตุผล ตน กาล ประมาณ ดูว่าสิ่งใดมีประโยชน์ มีผล ก็พึงทำ พึงปฏิบัติ ถ้า คนไทยซัก 10 -20 % รวมทั้ง ผู้บริหารบ้านเมืองหรือองค์กรสำคัญๆของประเทศมีจิตสำนึกแบบนี้ประเทศชาติเจริญขึ้นในทุกๆด้านแน่นอนครับ
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=56474 (http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=56474)
ร่วมเจริญภาวนา โดยการนำของเหล่าอริยสาวกอาวุโส สายพระป่า
เพื่ออฐิษฐานความสงบสุข 1-7 ธค
7. แนวคิดด้านการเพิ่มคุณค่าในทุกสิ่ง ( Valued Added ) เป็นการคิดในการเพิ่มคุณค่า และมูลค่าให้กับทั้ง สิ่งที่เป็นทั้งนามธรรมและ สิ่งที่เป็นรูปธรรม บุคคลที่มีวิธีคิดเชิงสร้างสรรค์และเป็นบวกแบบนี้ จัดเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อโลก ต่อประเทศชาติ และต่อองค์กรต่างๆที่บุคคลนั้นได้ทำงานอยู่
การรู้จักคิดในการเพิ่มคุณค่า ควรเริ่มต้นที่ตนเองก่อน ลองคิดดูง่ายๆว่าตัวเราเองสามารถที่จะเพิ่มคุณค่าในตัวเองให้เพิ่มสูงขึ้นทางด้านใดได้บ้าง โดยควรให้น้ำหนักความสำคัญทางด้านคุณค่าทางจิตใจ (นามธรรม) ที่ให้ผลดีสืบเนื่องยาวนานกว่าคุณค่าทางด้านตัวตนภายนอก (รูปธรรม) ที่ไม่เที่ยง
คุณค่าทางด้านจิตใจที่สูงขึ้นทำให้ เรานั้น เป็นที่รัก เป็นที่เชื่อถือ เป็นที่เคารพนับถือ ของผู้อื่น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ เรารู้สึกที่ดีกับตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง มีความมั่นใจเพิ่มสูงขึ้น ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย (ทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุเป็นผลกัน)
ดังนั้นคนเราควรตีมูลค่าของคุณค่าทางด้านจิตใจให้สูงกว่าคุณค่าทางวัตถุไว้เสมอครับ
ตัวอย่างการเพิ่มคุณค่าตนเองทางด้านจิตใจ เช่น
-ความตั้งใจปฏิบัติธรรมความดีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างไม่ท้อถอย ไม่ยอมเสื่อมจากความดี
-ความเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางแห่งความดี
-ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ
-ความเป็นผู้มีสัจจะ ความจริงใจ
-ความเป็นผู้มีใจสะอาด ไม่อิจฉา ริษยา นินทาว่าร้ายผู้อื่น
-ความเป็นผู้พัฒนาตนเอง เปิดใจเรียนรู้และยอมรับสิ่งดีๆเข้าสู่ชีวิตด้วยปัญญาที่พิจารณาว่าสมควรแล้ว
-การเพิ่มคุณค่าของตนเองที่สำคัญประการหนึ่งคือการมองเห็นคุณค่าของคนอื่นอยู่เสมอ
-พัฒนาวิธีคิด เพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์ และการมองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ
-จงเป็นผู้มีรอยยิ้มและมิตรไมตรีต่อคนรอบข้างเสมอ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร
ตัวอย่างการเพิ่มคุณค่าให้กับตนเองทางด้านคุณสมบัติภายนอก
-สร้างอุปนิสัยรักการอ่าน การเรียนรู้ กระหายที่จะพัฒนาตนเองเหมือนกับร่างกายกระหายอาหาร
-เชื่อในเรื่อง การเรียนรู้ตลอดชีวิต และความเชื่อว่าเรานั้นไม่แก่เกินเรียน
-หาโอกาสที่จะเรียน ทั้งเพื่อปรับวุฒิการศึกษา และการเรียนเพื่อการเพิ่มความรู้ ความชำนาญ
-เพิ่มศักยภาพทางด้านร่างกาย ด้านสุขภาพ จาก
สุขภาพอ่อนแออย่างปรากฏ
สุขภาพอ่อนแออย่างแอบแฝง
สุขภาพปรกติ
สุขภาพดี
สุขภาพดีระดับนักกีฬา
สุขภาพดีระดับนักกีฬาอาชีพ
-มีความฉลาดทางด้านการเงิน พัฒนาฐานะทางการเงินให้ดีขึ้นจาก
ที่เป็นหนี้
ปลดหนี้ (ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นอบายมุข รายจ่ายที่ไม่จำเป็น ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ)
พอมีพอกิน (รู้จักความพอเพียง)
หารายได้เพิ่ม (โดยสุจริต)
เก็บออม
สร้างสินทรัพย์และสร้างมูลค่าเพิ่มในทรัพย์สิน
ให้สินทรัพย์สร้างรายได้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย
สะสมความมั่งคั่ง
อิสระภาพทางการเงิน
เผื่อแผ่ความมั่งคั่งความสุข ตอบแทนต่อส่วนรวม
-การพัฒนารูปลักษณ์ ภาพลักษณ์ของตนเองให้ดูดีเหมาะสมกับ วัย การงาน โดยไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป
-ถ้ามีครอบครัว ก็จงสร้างครอบครัวที่มีความสุข ครอบครัวที่เป็นสัมมาทิษฐิ มีชื่อเสียงในด้านความดี คุณธรรม
-ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และใส่หัวใจลงไปในงานทุกสิ่งที่ทำเสมอ
ที่จริงยังมีการเพิ่มคุณค่าในตนเองในแง่มุมต่างๆอีกมากมายหลายอย่างครับ ลองไปคิด พิจารณากันดู
ต่อไปผมขอยกตัวอย่างการเพิ่มคุณค่าในสิ่งต่างๆทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม รวมไปถึงการเพิ่มและการทำลายคุณค่าในสิ่งต่างๆโดยไม่มีการประเมินผลที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ( Uncalculated Factor)
เคสแรก คืองานประเพณีต่างๆของไทย ไม่ว่าจะเป็นงานออกพรรษา งานลอยกะทง งานสงกรานต์ ประเพณีต่างๆเหล่านี้ สืบทอดความงดงาม ความอ่อนโยน ความอบอุ่น ความเอื้ออาทร แฝง สะท้อนอยู่ในวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านั้น การนำเอา อบายมุขทั้งเหล้า ทั้งการพนัน ทั้งเอาสาวโคโยตี้ มาแสดงอย่างไม่เหมาะสม ในงานประเพณี ในวัด อาจทำให้คนร่วมงานมากก็จริง แต่ส่งผลร้าย ต่อสังคม ประเพณีที่ดีงามของไทยเราอย่างไม่อาจจะประเมินได้ การข่มขืน การทะเลาะวิวาท กันทำร้ายกัน ฆ่ากัน อุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ไม่นับรวมถึงอนาคต ของหลายๆคนที่ต้องไปจบลงในสถานกักกัน และคุกตะราง โดยไม่จำเป็น ความเสียหายจากมูลค่าทางตัวเงินจากทรัพย์สินที่เสียหาย การสูญเสียประชากรในวัยทำงาน การสูญเสียเยาวชนอันเป็นอนาคตของชาติ การสูญเสียหัวหน้าครอบครัว สมาชิกในครอบครัว และท้ายสุดคือการสูญเสียรายได้ในอนาคตของผู้ที่ตาย พิการ รวมทั้งติดคุก
ส่วนมูลค่าทางการท่องเที่ยวก็ถูกทำลายด้วย การกระทำอันน่ารังเกียจเหล่านี้ โดยสามารถประมาณการณ์เป็นตัวเงินได้ว่า งานประเพณีและการมีสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามย่อมสร้างมูลค่าเพิ่มได้ มากกว่า บาร์เบียร์ที่ระเกะระกะรกสายตา
ทางต่างประเทศเองมีการตีมูลค่าของแบรนด์ต่างๆว่ามีมูลค่าเท่าไร ส่วนไทยเรานั้นมีสิ่งหนึ่งที่ มีมูลค่าสูงยิ่งทางการท่องเที่ยวจนกระทั่ง สิงคโปร์และจีนต้องทำวิจัยและนำไปส่งเสริมในประเทศของเขา สิ่งนั้น ก็คือ "รอยยิ้มและน้ำจิตน้ำใจแบบไทยๆ" นั้นเองครับ แต่คนไทยเราไม่เห็นคุณค่าและทำลายคุณค่าทางตัวตนและวัฒนธรรมของตนเองลงไปอย่างน่าเสียดายครับ
อีกกรณีที่น่าสนใจคือ คุณค่าที่แท้จริงของวัดครับ ที่จริงวัดเป็นศูนย์กลางทางสังคม ศิลปะวัฒนธรรมและการเรียนรู้ของสังคมไทยมาแต่โบราณ แต่ปัจจุบัน วัดหลายๆแห่งถูกทำให้เสียคุณค่าจาก การเข้ามาหาผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลหลายๆประเภท ผมขอไม่วิจารณ์ส่วนวัดที่ดีช่วยเพิ่มคุณค่าดีๆ คืนกลับสู่สังคมก็มากครับ
ลองค่อยๆฝึกคิดดูครับ คุณอาจจะค้นพบคุณค่าอีกหลายๆ อย่าง ในหลายๆ สิ่งที่เราลืมไปครับ รวมทั้งคุณค่าในตนเองที่คุณคาดไม่ถึงครับ
8.มุมมองในชีวิตของการปกิบัติธรรม
มีหลายคนเคยตั้งคำถามขึ้นในใจตนเองว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไร และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร"
หลายๆคนบอกกับตัวเองว่า
-เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
-เกิดมาเพื่อเสวยสุข เสพสุข ความสนุกสนาน
-เกิดมาเพื่ออะไร ........ก็ไม่รู้เหมือนกัน
-เกิดมาเพื่อการเรียนรู้
-เกิดมาเพื่อการสร้างบารมี ไม่ว่าจะเพื่อพระนิพพานก็ดี หรือเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณก็ดี
มุมมองในชีวิตถูกสะท้อนออกมาในคำตอบของแต่ละบุคคล และส่งผลต่อการมองโลก รวมทั้งการใช้ชีวิตดำเนินชีวิตของเขาเหล่านั้น
ยามสุขทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่ดี ล้วนแต่วิเศษไปทั้งนั้น
แต่.......เมื่อความทุกข์มาเยือน .....เมื่อนั้นล่ะจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ใจ และภูมิธรรมของบุคคลผู้นั้นว่า เห็นธรรมได้แค่ไหนระดับไหน
แท้ที่จริงทุกคนเกิดมา ด้วยผลของกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี ก็ตาม กรรมชั่ว ก็ตาม มีกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดเรื่องราวต่างๆกันไปในชีวิต ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ต้องรู้จักกับคนนั้น พรากจากคนนี้ คนนั้นดีกับเรา คนนี้กลับมาทำร้ายเรา
เรื่องราวเหล่านี้ ....ทุกๆคนบนโลกล้วนต้องประสพพบเจอทั้งสิ้นครับ
แต่ผุ้ที่มีภูมิธรรมสูง เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต มีวิปัสนาญาณสูง จะรู้สึกทุกข์น้อยกว่าผู้ที่มีอวิชชา ความยึดมั่นถือมั่นสูงกว่าในเหตุการณ์ความทุกข์ที่มาประสพที่รุนแรงเท่าๆกัน
เพราะมุมมองต่างกัน
ความยึดมั่นถือมั่นในขันธุ์ห้ามากน้อยต่างกัน
การเข้าถึงความเป็นธรรมดา เห็นความเป็นธรรมชาติ ได้ลึกซึ้งต่างกัน
นั่นคือการปลดเปลื้องอวิชชาออกไปได้จนเบาบางได้ไม่เท่ากัน
หลายครั้งที่การปฏิบัติธรรมเราได้เห็นความทุกข์ และจมอยู่ในทะเลทุกข์นั้น อย่างมองไม่เห็นฝั่ง (ทางออกแห่งทุกข์) คลื่นแห่งความทุกข์ถาโถมสู่ตัวเราลูกแล้วลูกเล่า เราก็ได้แต่บอกตัวเองว่ามันเป็นกรรมที่ส่งผลมาในปัจจุบันนี้ หวังในใจอยู่ลึกๆที่จะรอให้คลื่นลมสงบไปด้วยตัวของมันเอง เพราะเรามองว่าชีวิตเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
แต่วันหนึ่งเราได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ เราสังเกตุคลื่นแห่งทุกข์ ว่ามันเคลื่อนที่อย่างไร ซัดท่าไหน เราจะหลบมันอย่างไร จะประคองตัวอย่างไร เราจึงเกิดปัญญา(ดับอวิชชา)ขึ้นมาได้ว่า ชีวิตก็คือการเรียนรู้ รู้ที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ ประดุจ หยาดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอน ใบบอนไม่เปียกเพราะไม่ซับน้ำฉันใด ใจเราก็ไม่ทุกข์เพราะไม่นำความทุกข์ไปปรุงแต่ง ฉันนั้นเช่นกัน ความทุกข์และผู้นำความทุกข์มาให้ล้วนเป็นครูสอนเราให้เรียนรู้
เมื่อเห็นทุกข์ (จึงต้องการออกจากทุกข์ จึงค้นหาสัจจธรรม )จึงเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรม จึงเห็นตถาคต (ความบริสุทธ์ แห่งจิตพระพุทธองค์ผู้ทรงปราศจากกิเลศ)
เมื่อใจเรามีปัญญาเกิดขึ้น เห็นความทุกข์ เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร จึงเกิดศรัทธา ในการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อการตัดสังโยชน์สิบให้สิ้นเชื้ออาสวะทั้งปวง เกิดวิริยะเพียรพยายามสร้างบารมีทั้งสามสิบทัศน์ให้เต็มบริบูรณ์ ใจจึงตั้งมั่นว่าชีวิตเรานับแต่นี้มุ่งมั่นในการสร้างบารมีให้เต็ม ไม่ว่าจะเพื่อพระนิพพานก็ดี หรือเพื่อพุทธภูมิวิสัยก็ดี นับแต่นั้นมา คลื่นความทุกข์ที่เคยถาโถมท่วมจิตท่วมใจ ก็กับกลายเป็นดั่งริ้วคลื่นที่ก้าวข้ามเอา(ทุกข์และอุปสรรค)ได้โดยง่ายไม่เกินกำลัง เพราะใจไม่ไปติด ไม่ไปยึด ไม่ไปรู้สึกว่าทุกข์ มองเห็นทุกข์เป็นอุปสรรคของธรรมดาในการสร้างในการบำเพ็ญบารมีให้สมบูรณ์ เห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา เป็นนิจ เป็นอนิจจังไป ทุกสิ่ง ทุกคน ทุกเหตุการณ์ ภายใต้กฏไตรลักษณ์
การออกจากทุกข์ได้ต้องใจสบาย ใจสะอาด ใจบริสุทธ์
ขอให้ทุกท่านผ่านทุกข์ เห็นธรรม เข้าถึงความเป็นธรรมดาได้ทุกท่านด้วยเทอญ......
9. แนวคิดเรื่องเวลาแห่งชีวิต
ที่จริงแล้วเราส่วนใหญ่ลืมคิดถึงมันมากกว่า เนื่องจากมัวไปคิดว่าจะใช้เวลาไปทำนั่นบ้าง นี่บ้าง จนลืมนึกถึง "เวลาแห่งชีวิต " ซึ่ง นับวันมีแต่ลดหดสั้นลงไปทุกวินาที เหมือนนาฬิกาทรายที่ค่อยๆไหลลงมาจนหมด
ชีวิตเราทุกๆคนก็เช่นกัน เคลื่อนใกล้เข้าสู่ความตายในทุกขณะ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เราได้ลืมตาดูโลก
พระพุทธเจ้าท่านจึงได้กล่าวเตือนสติ เราทั้งหลาย ในปัจจฉิมโอวาทว่า "จงอย่าได้ประมาท " เพราะที่จริงแล้วเราไม่รู้เลย(นอกจากท่านที่ได้ภูมิธรรม รู้วาระการตายของตนเอง) ว่า เรานั้นเราจะตายเมื่อไหร่ ตายวันไหน ตายอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าเราต้องตายแน่นอน
ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาทในเรื่อง"เวลาแห่งชีวิต" จงคิดไว้เสมอว่าชีวิตนี้ ของเราก็ดี คนอื่นก็ดี ทรัพย์สินทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยง ไม่จีรัง ยั่งยืน สิ่งที่เป็นเครื่องอาศัยได้เพียงอย่างเดียว ก็คือความดี บุญกุศล ที่เราพึงพากเพียร สร้าง และบำเพ็ญในเจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป
ลองฝึกคิดดูว่าเราได้เสียเวลาอันมีค่าไปในสิ่งที่ไร้แก่นสารสาระมากเพียงไร เราพอที่จะปรับลดลงมาบ้างได้หรือไม่
ลดเวลาที่เราใช้ไปในการนินทาว่าร้ายคนอื่นได้หรือไม่
ลดเวลาที่เราใช้ไปเที่ยวไปดื่มกินเหล้าลงได้หรือไม่
ลดเวลาที่เราใช้ไปเล่นอบายมุขต่างๆได้ไหม
ลดเวลาที่เราไปใช้คิดเรื่องไม่ดีของคนอื่น
จากนั้นนำเวลาที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นไปไปใช้
ทำความดีให้มากขึ้น
คิดในสิ่งที่ดีและสร้างสรรค์ให้เพิ่มขึ้น
ใช้เวลาช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยากกว่าเรา
พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆด้าน
ยกระดับความสามารถและสติปัญญา
ยกระดับจิตใจและภูมิธรรมของตนให้สูงขึ้น
และ ท้ายที่สุดคือ ใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่าที่สุด
ขอแค่ 9 ข้อนี้ก่อนครับลองไปปรับกระบวนการคิดและวิธีคิดของเราให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ก่อประโยชน์ต่อตนและส่วนรวมเพิ่มขึ้นและที่สำคัญ เพื่อความเจริญในธรรมการทำดีให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ
ภัยพิบัติได้บังเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ เพียงแต่เราได้มองเห็นและตระหนักรู้ถึงภัยและผลแห่งภัยนั้นเองได้หรือไม่
-ภัยพิบัติแห่งสังขารที่ก้าวไปสู่ ความเสื่อมความตาย อันมีเป็นปรกติไม่อาจเลี่ยงได้ ทำได้แต่สะสมบุญ ปฏิบัติธรรมเพื่อยกระดับภพภูมิในการเกิดใหม่ให้ถึงพระนิพพานในที่สุด
-ภัยพิบัติแห่งความเสื่อมในศีลธรรม ที่จะฉุดดึงดวงจิตให้ลงสู่อบายภูมิมี นรกภูมิเป็นต้น
-ภัยพิบัติจากความแตกสามัคคี ทั้งการแตกแยกทางความคิด การยุแยงจากศัตตรูภายนอกและการเสี้ยมแทงจากภายใน ในหลายสถาบันหลัก
-ภัยพิบัติจากธรรมชาติ อันมีผลมาจากปรากฏการณ์โลกร้อน ซึ่ง ณ บัดนี้ได้เกิดผลกระทบขึ้นแล้วทั่วโลก และจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในทุกๆปี ปีนี้เราจะได้เจอกับความแห้งแล้ง และปัญหาไฟป่า อย่างไม่เคยพบมาก่อน เตรียมรับมือกันไว้
--ภัยพิบัติจากน้ำใจและน้ำมืออันโหดเหี้ยมของมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นการเกิดโรคระบาดแปลกๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ในทุกภูมิภาคทั่วโลก การก่อสงครามนิวเคลียร์ ที่กำลังมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น
พัฒนาตนเองให้พร้อมมากที่สุด ครับ ทั้งจิตวิวัฒน์ และกายวิวัฒน์
แล้วจากนั้นไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะสามารถ ปรับตัวปรับใจให้รับได้และปลอดภัยในทุกสถานการณ์ครับ
สวัสดีครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครับ
วันนี้มารายงานการปฏิบัติสมาธิและมีข้อสงสัยอยากจะถามคุณคณานันท์ช่วยอนุเคราะห์ให้ผมด้วยนะครับ แต่ก่อนอื่น ผมขอเล่าถึงอาการที่เกิดกับผมตอนนั่งสมาธิก่อนครับ
หลังจากอ่านกระทู้นี้เมื่อสาม-สี่อาทิตย์ก่อนผมก็เริ่มกลับมาทำสมาธิอีกครั้งหนึ่งหลังจากไม่ได้ปฏิบัติอีกเลยในสมัยที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่น โดยจะนั่งสมาธิก่อนเข้านอน ประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนเป็นประจำเกือบทุกคืน
วันแรกๆที่รับรู้ถึงลมหายใจละเอียด(ลมสบาย)ผมตกใจมากเลย อาการอย่างกับว่าเราไม่ได้หายใจ(ไม่มีลมปะทะที่โผรงจมูกแต่จริงๆแล้วมี)แต่สังเกตุการหายใจได้จากพ่องและยุบของหน้าท้องครับ และมีอาการขนลุกคล้ายเวลาผมตกใจแต่อาการดังกล่าวจะเกิดอยู่นานกว่าตอนตกใจครับ ทำลมสบายได้สักพักผมออกจากสมาธิ
วันต่อมาเมื่อจับลมสบายได้แล้วก็มีอาการขนลุกตามมาอีกแล้วที่นี้รู้สึกว่าปวดที่หัวเขามากๆเลยครับ ผมก็ภาวนาว่า ปวดหัวเข่าหน่อ....ปวดหัวเข่าหน่อ...สักพักอาการปวดก็ค่อยๆหายไปเองอย่างน่าแปลกใจจนไม่รู้สึกปวดอีกผมก็กลับมาจับอยู่ที่ลมหายใจ พุธ...โธ พุธ...โธ สักครู่ต่อมามีความรู้สึกว่าจะวูบลงไปคล้ายจะเป็นลมแต่ไม่ใช่ ต่อมาจะรู้สึกคล้ายๆกับว่าตัวเราจะเบาขึ้น..เบาขึ้นๆ เหมือนมีแรงดึงดูดจากด้านบนมาที่ตัวผม ผมจับอารมณ์นี้อยู่พอประมาณก็ออกค่อยๆถอนออกจากสมาธิ เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันครับ
พอย่างเข้าอาทิตย์ที่สาม ช่วงหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองวูบลงแล้วก็เหมือนกับว่าพื้นที่ตัวเองนั่งอยู่หายไปแล้วตัวผมก็ลอยค้างอยู่อย่างนั้น(ผมตกใจมากเลยเพราะขณะนั้นจับลมหายใจสบายได้แต่รู้สึกว่าหายใจถี่มาก ผมก็มาเพ่งที่ลมหายใจ อาการดังกล่าวก้ค่อยๆคายไปครับ
วันถัดมา ผมทำสมาธิไปได้สักพักก็เห็นภาพพระธาตุดอยสุเทพคล้ายๆภาพสไลท์ที่เลื่อนลางในมุมมองที่ผมเคยยืนถ่ายรูป จากนั้นผมกำหนดให้เห็นตนเองไปนั่งกราบพระธาตุฯ ใจอยากจะกำหนดให้มีดอกบัวอยู่ในมือเพื่อที่จะได้นำไปบูชาพระธาตุฯ จนแล้วจนรอดก็ไม่มีดอกบัวสักที เป็นอย่างนี้อยู่สามสี่วันได้ครับ บางครั้งก็มีภาพหลวงพ่อโตท่านปรากฏขึ้นมาเป็นภาพที่ท่านกำลังนั่งขัดสมาธิและกำมือทบกับอยู่กลางหน้าอกซึ่งเป็นภาพที่เลื่อนลางเช่นกันครับ
คืนต่อๆมานั่งสมาธิอีกทีนี้มีภาพหลวงลุงที่ผมเคารพรักและนับถือซึ่งผมคิดในใจอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งจะกลับไปกราบท่านให้ได้(ตอนนี้ท่านมรณะภาพไปแล้วครับ) ภาพพระสัจกัจจาย หลวงพ่อสรรเพรช(พระประธานในอุโบสถวัดที่อยู่เคยอยู่ตอนเรียน ม.3-ปว.ช.) หลวงพ่อโต ปรากฏสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้เสมอรวมถึงพระธาตุดอยสุเทพด้วยครับ คร่าวนี้พอภาพพระธาตุฯปรากฏขึ้นมาผมก็อธิษฐานให้มีดอกบัวอยู่ในมือที่นี้ในมือก็มีดอกบัวอยู่สามดอกครับ ผมก็นำดอกบัวไปวางบูชาหน้าพระธาตุฯ
แต่เมื่อสองสามวันมานี้ผมเริ่มเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งกำลังยืนแบกกลดสะพายบาตรและถุงย่ามหันหลังให้บางครั้งก็ยืนหันหน้าให้ในใจผมคิดว่าพระรูปนั้นน่าจะเป็นพระสีวลี และสองวันมานี้ผมเข้าสมาธิได้ไม่ดีนัก(ในความเข้าใจของผมจากการปฏิบัติที่ผ่านมา)บางครั้งแค่เสียงจิ้งจกร้องผมก็ตกใจได้ง่ายๆ ซึ่งแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นครับ
ผมอยากจะเรียนถามว่าภาพพระธาตุฯ หลวงพ่อโต และอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น ได้บ่งบอกถึงอะไรหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะพระสีวลีที่ผมเห็นนะครับ และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในขณะทำสมาธินี้เกิดจากการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือเปล่าครับ ผมขอความอนุเคราะห์จากคุณคณานันท์ด้วยนะครับ
พี่คณานันท์คะ เกือบๆเดือนแล้วที่โคชิกะไม่ค่อยได้นั่งทำสมาธิ พอมาทำแล้วรู้สึกว่าคุมจิตให้อยู่กับการภาวนาไม่ได้เลยฟุ้งจนลืมกำหนดทุกที บางทีตื่นกลางดึกแล้วรู้ตัวว่ากำลังคิดฟุ้งอยู่ทำให้รู้สึกเหมือนเราหลับแต่จิตมันคิดฟุ้งตลอด (เป็นไปได้ไม๊คะ) อย่างนี้เท่ากับเราต้องเริ่มใหม่ไม๊คะ (วันที่12-19 พ.ย.นี้ โคชิกะจะไปเข้าคอร์ส วิปัสสนาค่ะ ได้ไปฝึกเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาเสียที)
ขออนุโมทนาสาธุที่พี่คณานันท์ให้ความรู้เรื่องต่างๆในกระทู้นี้นะคะ