Wicha for surviving part14

กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ


kananun 12-01-2007, 09:23 PM

กลับมาฝึกจิตกันต่อครับ

ให้เราเริ่มด้วยการจับลมสะบาย จนใจเราสงบระงับสะบาย แล้วจึงตั้งจิตอยู่ใน พุทธานุสติ ด้วยการจับภาพพระ เป็นพุทธนิมิตร แล้วจึงน้อมจิตระลึกถึงคุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ตามลำดับ

จากนั้นให้ทำใจของเรา ตัดความกังวล ใดๆออกไปจากจิตใจเราให้หมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวเรา เรื่องงาน เรื่องที่บ้าน ทิ้งไปโดยตั้งใจว่าขณะนี้เราจะทำความดีของจิต เราจะไม่สนใจให้มีเรื่องราวใดๆในจิต

ทำอารมณ์ให้ทรงศีล โดยการพิจารณาในศีลห้า หรือศีลแปด หรือกรรมบทสิบก็ตามแต่ กำลังและความศรัทธา แต่จุดสำคัญคือให้พิจารณาว่า ในขณะที่เรากำลังทำความดีอยู่นี้
เรามีศีลที่บริสุทธิ์
ขณะนี้
เราไม่ได้ฆ่าสัตว์
เราไม่ได้ลักทรัพย์
เราไม่ได้ประพฤติผิดในกาม
เราไม่ได้พูดจาโกหก
เราไม่ได้ทำลายสติ ไม่ได้ดื่มสุราเมรัย

เรามีศีลที่บริสุทธิ์ (แม้เพียงในขณะนี้) และจะพยายามรักษาให้ได้มากที่สุดตลอดชีวิต

แล้วให้พิจารณา ในคุณธรรมแห่งพรหมวิหารสี่ว่า

เรามีความเมตตาต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจของเรา

เราปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข

เราปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ที่ประสบอยู่

เรายินดีที่ท่านผู้อื่นมีความสุข

และเราจะไม่ทุกข์ใจถ้าไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้เนื่องจากเกินกำลังของผลแห่งกรรมนั้น เราจะวางอุเบกขาได้อย่างตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

จากนั้นให้พิจารณา จิตของเราว่า สิ้นนิวรณ์ห้าประการ อันเป็นเครื่องปิดกั้นความดีของใจ

เมื่อจิตใจของเราผ่องแผ้วดีแล้ว ค่อยน้อมใจของเราขึ้นสู่ "วิปัสสนาญาณ" อันเป็นเครื่องขัดเกลาชำระล้างกิเลสออกไปจากขันธสันดาน เพื่อให้จิตของเราบริสุทธิ์ปล่อยวางจาก ความยึดมั่นในชาติภพ การเวียนตายเวียนเกิด และการติดในขันธ์ห้า ร่างกาย ทั้งของเราเองและของผู้อื่น

ขอให้น้อมจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ณ บัดนี้

ใช้ใจเราสัมผัส ในห้วงแห่งสังสารวัฏของการเวียนว่ายตายเกิด สรรพสัตว์ทั้งหลาย นับประมาณไม่ได้ ล้วนแหวกว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ที่ไร้ฝั่ง ไร้จุดหมาย เกิดแล้วตาย ตาย แล้วเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อได้ไปเกิดในสุขคติภูมิที่มีความสุข มีทิพยสถานอันเป็นความสุข ความสะบาย ใจก็เกิดกำหนัดเพลิดเพลินไปใน ความสุข ความสะบายทั้งหลายเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ ว่าเมื่อหมดจากบุญที่เป็นกุศล จิตก็ต้องพลัดลงไปจุติในอบายภูมิด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม ด้วยเช่นกัน

ครั้น พลาดพลั้งลงไปเกิดในอบายภูมิ อันมีนรกเป็นต้น กาย ใจ ก็ร้อนรุ่ม ด้วยความทุกข์ เพลิงทุกข์ที่รุมเร้า โดยปราศจากกาลเวลาในกาลพัก การผ่อน เสวยแต่ความทุกข์ตราบจนสิ้นกรรม จึงได้มาเกิดไล่ขึ้นมาจากนรกภูมิ สู่ ภพแห่งอสุรกาย เปรต สัตว์เดรัจฉาน จนกว่าจะกลายมาเป็นมนุษย์

ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วไซร้
โอกาสแห่งการเกิดทันในยุคที่ปรากฏพระพุทธศาสนา นั้นยิ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก

และถึงแม้ได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาแล้ว โอกาสที่จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ยังเป็นเรื่องยาก

เมื่อได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว โอกาสที่จะได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าก็นับว่าทำได้ยาก

ถึงแม้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมตามคำพระศาสดาแล้ว ก็ตาม โอกาสที่จะสัมผัส หรือเข้าถึงธรรม เข้าใจในธรรมอย่างถูกต้อง เป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ก็ยิ่งนับว่าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า

ดังนั้นท่านทั้งหลายผู้ประกอบไปด้วยความเข้าในธรรมที่องค์พระประทีปแก้วได้ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ก็ย่อมนับได้ว่า เป็นผู้ที่ได้ บำเพ็ญความดี บารมีมาแล้วในกาลก่อน เป็นบุพเพกตบุญตา กำลังใจในการทำความดี ทั้งเพื่อความหลุดพ้นของตนเองก็ดี ปฏิปทาสาธารณะ ประโยชน์ก็ดี ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่ทำด้วยความเต็มใจ ความตั้งใจ และความเสียสละ

ความลำบาก ความเหนื่อยยาก ความทุกข์ของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ล้วนทั้งเกลียดทั้งกลัว ทั้งหลีกเลี่ยง แต่ท่านทั้งหลายล้วนบำเพ็ญไปด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาจิต อันเป็นเครื่องแสดงว่า พรหมวิหารสี่ของท่านมีบริบูรณ์ ความไม่สนใจในอาการความเหนื่อยยากของร่างกาย อันเป้นเครื่องแสดงถึงจิตที่ค่อยๆปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายขันธ์ห้าของทุกๆท่าน คลายตัวลง จืดลง ใจของท่านทั้งหลายก็ย่อมมีความบริสุทธิ์ผ่องใสเป็นปรกติ

ชีวิตเรานั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแก่ และความตายไปในที่สุด

ยิ่งในปัจจุบัน ความแปรปรวน ในโลกมีมาก กว่าในอีกหลายยุค ความไม่เที่ยงแห่งชีวิตสังขารนี้ก็ยิ่ง ประมาทไม่ได้ดังนั้น เราจึงควรไม่ประมาทในความตาย เพราะความตายเป้นของเที่ยง ทุกคนต้องตาย แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เพราะ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเวลาไหน วันใด รู้แต่ว่าเราต้องตายแน่นอน

เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้วให้ย้อนกลับไปมองในสังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดว่าเราเบื่อการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบแบบนี้แล้วหรือยัง

หากแม้น เราปรารถนาเป็นสาวกภูมิ บังเกิด นิพพิทาญาณในความเบื่อหน่ายคลายจางในภพในชาตินี้ ก็ขอจงอธิฐานใจให้มั่นคงเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุดเถิด พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เช่นใด ข้าพเจ้าขอตามเสด็จพระพุทธชินสีห์ด้วยอาการนั้น

หากแม้นจิตท่านทรงความปรารถนาในสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคหน้า ก็ขอได้ใช้ใจดล ดูว่าเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลทุกข์นั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงใด ในทั้งหมื่นโลกธาตุ อนันตจักรวาล ไร้ขอบเขต

ที่พลัดที่พรากตกลงสู่อบายเป็นที่ไปต้องประสพแต่ทุกข์แสบร้อนทั้งกายทั้งใจ มีมากเท่าไหร่

ที่ลุ่มหลงมัวเมา เห็นกงจักรเป็นดอกบัวมีประมาณเท่าไหร่

เมื่อพิจารณาแล้ว เหล่าผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ย่อมพึงบังเกิด เมตตาอัปปันณานญาณว่า "เรานี้ปรารถนาให้มวลสรรพสัตว์เหล่านี้ ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวง ประสพแต่ความสุข พ้นภัยจากวัฏสงสาร และสัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเถิด"

ครั้นแล้ว เหล่าพุทธภูมิทั้งหลายก็ล้วนยกจิตของตนขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยประการฉะนี้ จิตเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอันเป็นทิพย์หล่อเลี้ยงดวงจิตให้อิ่มเอิบ บรรเทิงในการสร้างบารมีทั้งสามสิบประการให้เอกอุ เพื่อเป็นกำลังในการนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ข้ามฝั่งมหรรณพแห่งกรรม นำเข้าสู่พระนิพพาน

เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต งอกงามในดวงจิต ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ด้วยอาศัย เมตตาธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้งอกงาม ฉันใด การสร้างบารมี ก็ยิ่งสมบูรณ์ตั้งมั่นยิ่งขึ้น ในทุกครั้งที่สร้างบารมี ในทุกครั้งที่ลงมาจุติเพื่อส่วนรวม ตราบจนบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าทุกพระองค์

จิตปล่อยวางจากกาย ใจยึดมั่นในธรรม นำหลักชัยในพระพุทธองค์ มั่นคงในพระนิพพาน

ขอกราบโมทนาในทุกดวงจิตที่ยกขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ และในทุกดวงจิตที่ปรารถนาให้เข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ทุกๆท่านครับ

สาธุ........


boko0121 13-01-2007, 08:17 AM

พี่kananunเก่งหลายด้านเนอะ


หนุมาน ผู้นำสาร 19-01-2007, 09:38 AM


kananun 26-01-2007, 07:48 PM

ห่างหายในการปฏิบัติกันไปบ้าง ขอกราบขออภัยทุกท่านด้วยครับ


ถึงแม้ว่าเราจะมีงาน มีภาระกิจ ที่ต้องรับผิดชอบประการใดก็ตาม แต่ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย มีธรรม มีการเจริญจิตเจริญกรรมฐานกันเป็นปรกติ เราจะอ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้ ลมหายใจของเรานั้น หากพิจารณาดูให้ดี ก็นับว่าเป็นกรรมฐานกองหนึ่งแล้ว พระพุทธเจ้าท่านจึงได้กล่าวสรรเสริญไว้ว่า "หากผู้ใด แม้นจับลมหายใจในอาณาปานสติ แม้เพียงสักนิดหนึ่ง นับว่าท่านผู้นั้นไม่คลาดจากการปฏิบัติกรรมฐาน " เพราะอารมณ์ใจที่สบายในการจับลมหายใจนั้น จะค่อยๆรวมตัวไปทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั่งท่านทำไปเองเป็นปรกติ โดยไม่รู้ตัวไปเอง พอเผลอเมื่อไหร่ท่านก็เข้าฌานของท่าน เอง ไม่ต้องไปตั้งท่า ไม่ต้องไปบังคับ เมื่อนั้นใจของท่านก็จะสบาย ว่างจากกิเลส มีความชุ่มเย็นในจิตในใจเป็นปรกติ

หากจะให้ ก้าวหน้าในการปฏิบัติกว่านี้


kananun 26-01-2007, 09:06 PM

ก็ควรที่เราจะมีหลักของใจ ไว้ใน สัมมาทิษฐิ ที่ถูกต้อง
ในเรื่องของไตรสรณคมม์ การมีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยของใจ ตลอดไปตราบจนเข้าสู่ พระนิพพาน ไม่ว่าท่านจะ เป็นพุทธภูมิก็ดี หรือสาวกภูมิก็ดี

ในเรื่องของกรรม กฏของกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ว่ามีจริง มีผลจริง

และคุณธรรม สำคัญของการเป็นมนุษย์อันได้แก่ ศีลห้าประการ เป็นเบื้องต้น และอริยศีล ในอารมณ์ท่านที่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าเป็นที่สุด

พรหมวิหารสี่ เป็นปรกติของใจ ความเมตตาที่เป็นปรกติ จนฉายออกมาจากดวงใจของเราสู่ ใบหน้า รอยยิ้ม เป็นคลื่นใจที่เย็นสบาย สงบ จนคนและสัตว์รอบด้านที่อยู่ใกล้สามารถสัมผัสและรับรู้ได้ ด้วยใจ ซึ่งเมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายจะเข้ามาหา มาคลอเคลียกับเราเองด้วยอำนาจของการเจริญเมตตา จนเป้นเนื้อเดียวกับดวงจิตของเรา

จากนั้น ตัววิปัสสนาญาณ ก็ควรเจริญให้เห็นเป็นปรกติในกฏไตรลักษณะญาณว่า ทุกสรรพสิ่ง อันหมายรวมไปถึงตัวเราก็ด้วยนั้น ล้วนแล้ว แต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา ไม่มีแก่นสารใดๆ ให้ยึด ให้ห่วงหา ทุกสิ่งล้วนเป็นมายา ชั่วเวลาก็ผ่านเลยไป ไม่อาจคว้าจับให้อยู่นิ่งตลอดกาล ตลอดสมัยไปได้ เมื่อถึงสภาวะนี้ เราจะมองเห็นธรรมชาติเป็นครูเราในเรื่องนี้ ในทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ ทุกสภาวะ จนใจ เราเกิดอุเบกขาญาณในสรรพสิ่ง เห็นทุกข์ อยู่ในทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ เพราะใจที่รู้เท่าทัน ค่อยๆทำไป บางวาระ ใจเราอาจจับอารมณ์ได้ทัน บางครั้งก็อาจจะไม่ทัน บ้างเป็นธรรมดา

เมื่อใจเราบริสุทธิ์ในธรรม ปล่อยวางจากความยึดมั่น ในร่างกายขันธุ์ห้าดี แล้ว ก็ขอให้ทรงอารมณ์ใจ ให้มั่นคงในพระนิพพาน
" มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ให้เป็นปรกติของใจ "

ตั้งใจของเราไว้ว่า"จะไม่มีวันใดที่ ใจของเราคลาดจาก พระพุทธเจ้า "
"จะไม่มีวันใดที่ใจเราคลาดจากพระนิพพาน"

เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว ใจของเราก็จะมีหลักของใจ เป็นที่มั่นคง ให้วางอารมณ์ใจให้เบาๆ สะบายๆ ทำได้เช่นนี้ การทรงอารมณ์เช่นนี้ไม่ใช่ของหนัก เกินวิสัยที่เราจะสามารถทำได้เป็นปรกติ

หมั่นตรวจจิตดูใจของเราเอาไว้เสมอว่าเรามั่นคงในพระรัตนไตร เพียงใด มีพระนิพพานเป็นอารมณ์เสมอหรือไม่ ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ ไว้เสมอหรือไม่ มีศีล มีพรหมวิหารสี่เป็นปรกติหรือไม่

หากทำได้ดังนี้ ใจของท่านก็จะไม่คลาดจากความดี และมีสุขคติเป็นที่ไป อย่างมั่นคง

ขอให้ท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความดี ความงาม ของจิตใจ ตามที่สมเด็จพระชินสีห์ได้ทรง มีพุทธประสงค์ไว้ ทุกท่าน ด้วย เทอญ....


pen@_p@ne 28-01-2007, 06:33 AM

ก็ควรที่เราจะมีหลักของใจ ไว้ใน สัมมาทิษฐิ ที่ถูกต้อง
ในเรื่องของไตรสรณคมม์ การมีคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยของใจ ตลอดไปตราบจนเข้าสู่ พระนิพพาน ไม่ว่าท่านจะ เป็นพุทธภูมิก็ดี หรือสาวกภูมิก็ดี

ในเรื่องของกรรม กฏของกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ว่ามีจริง มีผลจริง

และคุณธรรม สำคัญของการเป็นมนุษย์อันได้แก่ ศีลห้าประการ เป็นเบื้องต้น และอริยศีล ในอารมณ์ท่านที่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าเป็นที่สุด

พรหมวิหารสี่ เป็นปรกติของใจ ความเมตตาที่เป็นปรกติ จนฉายออกมาจากดวงใจของเราสู่ ใบหน้า รอยยิ้ม เป็นคลื่นใจที่เย็นสบาย สงบ จนคนและสัตว์รอบด้านที่อยู่ใกล้สามารถสัมผัสและรับรู้ได้ ด้วยใจ ซึ่งเมื่อปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายจะเข้ามาหา มาคลอเคลียกับเราเองด้วยอำนาจของการเจริญเมตตา จนเป้นเนื้อเดียวกับดวงจิตของเรา

จากนั้น ตัววิปัสสนาญาณ ก็ควรเจริญให้เห็นเป็นปรกติในกฏไตรลักษณะญาณว่า ทุกสรรพสิ่ง อันหมายรวมไปถึงตัวเราก็ด้วยนั้น ล้วนแล้ว แต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา ไม่มีแก่นสารใดๆ ให้ยึด ให้ห่วงหา ทุกสิ่งล้วนเป็นมายา ชั่วเวลาก็ผ่านเลยไป ไม่อาจคว้าจับให้อยู่นิ่งตลอดกาล ตลอดสมัยไปได้ เมื่อถึงสภาวะนี้ เราจะมองเห็นธรรมชาติเป็นครูเราในเรื่องนี้ ในทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ ทุกสภาวะ จนใจ เราเกิดอุเบกขาญาณในสรรพสิ่ง เห็นทุกข์ อยู่ในทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ เพราะใจที่รู้เท่าทัน ค่อยๆทำไป บางวาระ ใจเราอาจจับอารมณ์ได้ทัน บางครั้งก็อาจจะไม่ทัน บ้างเป็นธรรมดา

เมื่อใจเราบริสุทธิ์ในธรรม ปล่อยวางจากความยึดมั่น ในร่างกายขันธุ์ห้าดี แล้ว ก็ขอให้ทรงอารมณ์ใจ ให้มั่นคงในพระนิพพาน
" มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ให้เป็นปรกติของใจ "

ตั้งใจของเราไว้ว่า"จะไม่มีวันใดที่ ใจของเราคลาดจาก พระพุทธเจ้า "
"จะไม่มีวันใดที่ใจเราคลาดจากพระนิพพาน"

เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว ใจของเราก็จะมีหลักของใจ เป็นที่มั่นคง ให้วางอารมณ์ใจให้เบาๆ สะบายๆ ทำได้เช่นนี้ การทรงอารมณ์เช่นนี้ไม่ใช่ของหนัก เกินวิสัยที่เราจะสามารถทำได้เป็นปรกติ

หมั่นตรวจจิตดูใจของเราเอาไว้เสมอว่าเรามั่นคงในพระรัตนไตร เพียงใด มีพระนิพพานเป็นอารมณ์เสมอหรือไม่ ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ ไว้เสมอหรือไม่ มีศีล มีพรหมวิหารสี่เป็นปรกติหรือไม่

หากทำได้ดังนี้ ใจของท่านก็จะไม่คลาดจากความดี และมีสุขคติเป็นที่ไป อย่างมั่นคง

ขอให้ท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความดี ความงาม ของจิตใจ ตามที่สมเด็จพระชินสีห์ได้ทรง มีพุทธประสงค์ไว้ ทุกท่าน ด้วย เทอญ....


ขออนุโมทนากับคุณคณานันท์ด้วยนะคะ ที่มาเตือนสติเราทุกคนไม่ให้หลงกับทางโลกและเร่งที่จะทำความดี


๑กุหว่าใจ๋๑ 28-01-2007, 09:40 AM

<DIR><DIR>ก่อนที่ผมจะเข้ามาสู่เว็บนี้นั้น ผมเป็นเพียงคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ที่จิตยังหลงในทางโลกอยู่มาก วันนึงๆก็ไม่รู้ว่าตัวเอง ได้คิดชั่ว พูดชั่ว และทำชั่วไปมากน้อยเท่าไร ชีวิตก็ลุ่มๆดอนๆ ผีเข้าผีออก ทะเลาะกับภริยาได้เกือบทุกวัน

จนมาถึงต้นปีพ.ศ.2549 ก็เริ่มมีบางอย่างมากระตุ้นให้เราเข้ามาหาความรู้ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน ก็มาเจอเว็บนี้เข้า ได้เจอมิตรธรรมคือคุณริช(วิปปจิตัญญู)เป็นท่านแรกและก็ได้รู้จักกับอีกหลายๆท่านตามมาในภายหลัง

นับตั้งแต่เริ่มมีกระทู้นี้ขึ้นมา ผมก็อาศัยเข้ามาหาความรู้เพื่อพัฒนาจิต ให้เข้าถึงความดีอยู่โดยตลอด รวมถึงหาความรู้เพิ่มเติมทั้งจากภายนอกและภายในจิตอยู่เสมอ จนบัดนี้นั้นผมได้รับผลแห่งการปฏิบัติตนให้ตั้งอยู่ในความดีระดับนึงแล้วครับ

จากที่เคยคิดชั่ว พูดชั่วและทำชั่วก็ค่อยๆลดลงเรื่อยมา เริ่มรู้ทันสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในจิตมากขึ้น เริ่มปล่อยวางกับทุกสิ่งได้มากขึ้นเรื่อยมา ชีวิตของผมได้เปลี่ยนมาสู่สภาวะที่สุขสงบร่มเย็นจริงๆครับ

เมื่อได้เห็นธรรมได้เห็นความดีของพระรัตนไตรแล้ว ก็ขอผูกจิตเราไว้กับความดีที่พระพุทธเจ้าท่างทรงสั่งสอนมา ให้ได้ตลอดจวบจนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน หากมีโอกาสจะเกื้อกูลพระศาสนาให้เจริญและเพื่อนทุกข์ให้ได้เข้าถึงซึ่งความดี ผมก็จะขอทำให้ดีที่สุดครับ

พี่คณานันท์เองก็เป็นอีกหนึ่งท่านที่เป็นแบบอย่างให้กับผมได้อย่างดีเยี่ยมครับ ผมจะพยายามศึกษาและน้อมนำธรรมที่พี่ได้ถ่ายทอดมาให้นั้นเข้าสู่ตัวเองจนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมให้ได้ครบถ้วนครับ

ผมขอกราบโมทนาในความดีทั้งหลายที่พี่และทุกๆท่านได้กระทำอยู่ด้วยนะครับ
</DIR></DIR>


๑กุหว่าใจ๋๑ 28-01-2007, 01:46 PM

<DIR><DIR>



</DIR></DIR><DIR><DIR>จริงอย่างที่พี่คณานันท์กล่าวครับ ว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น จะมาอ้างว่าไม่มีเวลานั้นไม่ควรเลย เพราะเราสามารถทำได้ตลอดเวลา พระกรรมฐานนั้นมีอยู่หลายแบบมาก ผมเองก็เป็นคนที่ต้องทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดครับ แต่ก็ฝึกกรรมฐานอยู่ตลอด

สำหรับการฝึกกรรมฐานของผมในระยะนี้นั้น การรักษาศีล5นั้นไม่รู้สึกหนักแล้วครับ แต่การรักษาศีล8ทุกวันพระของผมนั้นยังมีพลาดอยู่ในส่วนของการฟังเพลงบ้าง เพราะรักษาที่บ้าน และที่บ้านก็เปิดเพลงฟังกันตลอดครับ บางครั้งผมก็เผลอปล่อยจิตไปตามเพลงบ้างก็เลยผิดศีลไป

สำหรับพรหมวิหาร4นั้นก็พยายามวางอารมณ์เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขาแผ่ออกไปไม่มีประมาณตามที่พี่สอนครับ พยายามสำรวจตรวจจิตอยู่เสมอตามหลักสติปัฏฐาน4ครับ จับลมสบายวางอารมณ์สบายเท่าที่จะสามารถทรงอารมณ์ได้ จิตจับภาพพระแก้วมรกตให้ได้ตามกำลังสมาธิเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้สนใจว่าจะทำได้ฌาณขั้นไหนหรือจะไม่ได้ฌาณเลยก็ตามครับ

ด้านวิปัสนานั้นฝึกให้มองเห็นสภาพความเป็นจริงของทุกสิ่งที่มีเกิดขึ้นในโลกนี้นั้น เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเที่ยง แต่มีความเสื่อมความดับและความตายของชีวิตเป็นของเที่ยงที่เราต้องเจออย่างแน่นอน ดังนั้นชีวิตที่ดำเนินอยู่นี้นั้นก็จะลดความยึดมั่นในสิ่งต่างๆที่มีอยู่และสิ่งต่างๆที่จะเกิดมีขึ้นในอนาคต ขอเกาะกระแสพระนิพพานตามรอยพระพุทธองค์และพระอริยะสาวกทั้งหลาย จิตใจก็จะเป็นอิสระมากขึ้นต่อสิ่งต่างๆที่มากระทบทั้งด้านบวกและด้านลบไปเองโดยที่เรารู้ได้ด้วยตัวเองเลยครับ

นับตั้งแต่เข้ามาในเว็บพลังจิตและได้เริ่มปฏิบัติพระกรรมฐานนี้ มีหลายครั้งที่ผมได้สัมผัสกับหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทำให้ผมเกิดความอัศจรรย์ใจมากมายครับ แต่จะขอเล่าสักหนึ่งเรื่องที่พึ่งจะเกิดเมื่อต้นปีนี้ครับ และเห็นว่าสอดคล้องกับที่พี่คณานันท์ได้สอนอยู่ด้วยครับ

เรื่องนี้นั้นเกี่ยวกับผลแห่งเมตตาที่ผมฝึกจนน้องหมาเค้ารับรู้ได้ครับ คืออยู่มาวันหนึ่งเกือบๆจะเที่ยงคืนแล้ว ผมได้ยินเสียงน้องหมาไม่มีเจ้าของมาร้องอยู่หน้าบ้าน คล้ายจะขอความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง ผมและภริยาก็ออกไปดู ก็ได้คุยกันว่าสงสัยเค้าจะหิว ก็เลยทำข้าวให้เค้ากินหน่อยนึง ปรากฏว่ากินซะหมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียวครับ ก็ทำมาให้เค้าอีกรอบนึง ครั้งนี้ขณะเทข้าวลงให้เค้ากินนั้น ผมเห็นด้วยหางตาว่าเค้ามองหน้าผมอยู่ แล้วก็มีเสียงผุดขึ้นในใจผมว่า "คนนี้ใจดีจัง" คล้ายกับได้ยินเค้าคิดหน่ะครับ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นจิตผมปรุ่งแต่งขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่จิตในขณะนั้นสงบดีครับ จากวันนั้นเค้าก็หายไปได้สักสองสามวันก็มากร้องขอข้าวกินอีก ก็จัดการให้เค้ากินจนอิ่ม หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นเค้าอีกครับ

ก็ขอเล่าไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ขอกราบโมทนาในความดีและความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของทุกๆท่านด้วยครับ


</DIR></DIR>


pattarawat 28-01-2007, 03:54 PM

โมทนาด้วยจริงๆ กับคุณกุหว่าใจ๋ ที่ได้ลิ้มรสแห่งพระธรรมจนชีวิตเจริญยิ่งขึ้น

ส่วนผมเองนั้นเริ่มเมื่อกลางปี 49 ครับ หลังจากได้บวชถวายในหลวงเมื่อต้น พ.ค. ใจนั้นไม่เคยคิดว่าจะได้ศึกษาพระธรรมมากขนาดนี้ จากที่เมื่อก่อนนั้นไม่เคยสนใจธรรมะเลย มีเพื่อนชวนไปโน่นไปนี่ก็ตามไปงั้น ไม่ได้รู้รสแห่งพระธรรมเลย พอสึกเสร็จ ฟังธรรมะข้อไหนก็ get หมด เข้าใจหมด มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดกับผมหลังจากเล่าเรื่องราวธรรมะตอนหนึ่ง บอกว่า "นี่เข้าใจธรรมะข้อนี้เหรอ ไม่ใช่ใครจะมาเข้าใจง่ายๆ นะ ยากนะสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษามาก่อน" ไอ้เราก็ยืนยันว่าเข้าใจจริงๆ ฟังรอบเดียวเข้าใจเลย เขาก็เลยงง

ตอนนี้มาคิดว่า คงเป็นเพราะการบวชถวายในหลวง ทำให้เราได้อานิสงส์มากเช่นนี้ เพื่อนที่บวชด้วยกันชื่อป๊อป (poprock) แนะนำเว็บพลังจิตให้รู้จัก และได้ศึกษาจากเว็บนี้เรื่อยมา จนความรู้ในทางธรรมเพิ่มพูนขึ้น แม้ว่าเราจะยังรู้สึกว่าความรู้ที่เรามีอยู่ตอนนี้นั้นมันแค่หางอึ่ง แต่ก็พอจับต้นชนปลายได้ และมีประสบการณ์มากมายที่ไม่เคยคิดมาก่อน กิเลสเบาบางกว่าแต่ก่อนมาก เมื่อก่อนเห็นเขาโพสอะไรที่ไม่พอใจเรา ก็ตอบโต้เขาบ้าง ทำให้จิตตกบ้าง แต่เมื่อรู้หลักความจริงว่า อ๋อ นั่นไง ที่เราไปตอบโต้เขามันก็เป็น "กิเลส" ของเราเอง ที่อยากเอาชนะ อยากเหนือกว่า แม้ว่าเราจะพูดกันเรื่องธรรมะและรู้สึกว่าเราถูกก็เถอะ สุดท้ายมาจบที่ "พรหมวิหารสี่" ... "อุเบกขา" เป็นข้อที่ทำให้เรานิ่ง และหันมาพิจารณาใจของตนเอง มากกว่าจะไปพิจารณาพิพากษาคนอื่น ผมงี้ดีใจสุดๆ ที่ได้เห็นการพัฒนาของตนเองในทางธรรมให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็นั่นแหละ ยังมีข้อเสียบางประการที่ต้องปล้ำสู้มันหน่อย ตราบใดที่กิเลสยังไม่หมดผมก็ยังไม่ยอมแพ้

สุดท้าย "วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ" ผมวิเคราะห์ว่า ก็คือวิชชา "ละกิเลส" นั่นเอง มีกิเลสอยู่กับเราก็เหมือนมีตัวอะไรมืดๆ ดำๆ มาเกาะหลังเรา ทำให้เราล้มบ้าง ทำให้เรามึนบ้าง ว่างๆ ก็มาเป่าหูเราบ้าง หากเราสละตัวกิเลสไปได้ วันละเล็กน้อย แม้วันนี้มันยังเกาะหลังเราอยู่ แต่ก็เป็นตัวกิเลสตัวเล็ก เล็กลงกว่าแต่ก่อน คงไม่ทำให้เราเซเท่าไหร่ คงไม่ทำให้เรามึนเท่าไหร่ และหากมันจะเป่าหูเรา เสียงมันคงจะเบามาก เป่าอาจไม่ค่อยสำเร็จ

หากเราละกิเลสได้ เอาง่ายๆ แค่สังโยชน์ 3 ข้อแรก ก็ได้ชื่อว่าปิดประตูอบายภูมิแล้ว จะอยู่หรือจะตายก็ไม่ต้องห่วงแล้วครับในยุคแห่งอภิมหาภัยพิบัตินี้ครับผม


kananun 28-01-2007, 05:35 PM

ความจริงแล้วท่านทั้งสองก็ล้วนแต่มี"ของเก่า"ที่เคยได้บำเพ็ญมานับแต่อดีตชาติ ครับ รวมทั้งอีกหลายๆท่านในเวบนี้อีกด้วย


เมื่อวาระที่กรรมฝ่ายกุศลส่งผล จิตก็หวนระลึกถึง บารมี และภูมิธรรมที่ต่างท่าน ต่างได้บำเพ็ญมา และคืนกลับสู่ดวงจิตของเรา ดังเดิม

ไอ้ตัวผมนั้นก็ยังมีความเลว ความชั่วอยู่อีกมาก กิเลสก็ยังไม่หมดไปจากจิตใจ เพียงแต่เป็นกรรมเก่าที่ผมได้อธิฐานจิตมา ว่าจะช่วยรักษาพระบวรพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปี พระท่านอยากจะใช้อะไร สั่งอะไรผมก็ทำตามผู้ใหญ่ท่านสั่ง ท่านสอนมา การลงกระทู้ในวิชชาที่ทำให้รอดจากภัยพิบัตินั้น มีถึง 90 % ที่เป็นความรู้สึกเหมือนผมกำลังเรียนธรรมมะจากพระท่านอยู่ และก็เป็นเหตุที่ไปสะกิดตรงกับใจของอีกหลายๆท่าน ให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ยิ่งขึ้น

ทำให้ท่านที่มีความเข้าใจ "มีความรู้สึก มีอารมณ์ใจ ว่าการปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินกำลังของท่าน"

โปรดอย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าท่านมีพระพุทธประสงค์ ให้ทุกๆคนได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ไม่ใช่การสอนที่วิจิตรพิสดารจนเกินจะเข้าใจ หรือ เกินกำลังในการปฏิบัติ เพราะหากเป็นเช่นนี้ จะกลายเป็นการสอน การแนะนำที่ไม่มีผลในการปฏิบัติแต่อย่างไร แต่ผู้สอน ผู้แนะนำ ก็จะเกิดอุปกิเลสว่า ธรรมมะของเราวิเศษลึกซึ้ง พิสดาร เกินปัญญาของผู้ใด มีเพียงเราผู้เดียว ที่เข้าใจในธรรมนี้

ดังนั้น ธรรมมะที่พระพุทธองค์ท่านทรง มีพุทธประสงค์ นั้นก็เพื่อ
ประโยชน์ของผู้ฟังธรรม ทั้งในเบื้องต้น คือ ความสุขในปัจจุบัน อยู่ในทุกข์ อย่างไม่ทุกข์

ในท่ามกลาง คือเพื่อความสุขในอนาคต และการไปจุติในภพภูมิที่ดีในอนาคต

ในที่สิ้นก็เพื่อความสิ้นซึ่งอาสวะกิเลส ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุดครับ

ธรรมใดที่พระพุทธชินสีห์ท่านได้ ตรัสไว้ดีแล้ว ขอให้ธรรมนั้น น้อมเข้าสู่ดวงจิตที่ดีงามของทุกๆท่านด้วยเทอญ.....


ลุงคนเชียงใหม่ 28-01-2007, 10:53 PM

ถ้ายังไม่มีแนวทางอะไรในใจเลย
ชวนมาบวชใจกันครับ

ท่านที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นตรงใหน ลองเริ่มเหมือนผมก็ได้ครับ
คุณลุงให้ผมเริ่มจากการ

1.การฝึกเอาจิตไปเป็นเด็กวัดก่อน
คือเริ่มจากเตือนตนเองเหมือนมีหลวงตามาคอยดูแลไม่ให้ผิดศิล 5
จนเกิดความเป็นปกติในการเตือนตนเองไม่ผิดศิล
ในช่วงนี้อาจผิดได้บ้าง แต่รู้ตัวเร็วเหมือนมีหลวงตาเอาไม้เรียวคอยตี
จนสามารถถือศีล5บริสุทธิ์ได้

2.บวชเณรจิต คือเมื่อสามารถทำปกติของจิตได้จนไม่เกิดทุกข์
แล้วก็อธิฐานบวชเณรจิตหรือการตั้งที่จะรักษาศิล8 หรือศีล10 ให้บริสุทธิ์
ทอลองบวชในพรรษาก่อน แล้วจึงค่อยๆพัฒนาศีลตนเองให้เข้มแข็ง
ก่อกำแพงให้จิตไม่คิดกระทำล่วงละเมิดศีลให้ตนเอง
จนกำแพงล้อมตัวได้ทั้ง 10 ทิศ

3. เมื่อสามารถถือศีลเณรบริสุทธิ์ได้ (ทุกขณะลมหายใจ)
ก็เริ่มพัฒนาจิตตนเองด้วยการฝึกสมถะกรรมฐาน
โดยกสินกองใดกองหนึ่งก็ได้

4.เรียนรู้ความเป็นปกติของจิต(ในเวบนี้มีมากมายเลย)
จนเข้าใจธรรมชาติของจิต
จากนั้นก็ฝึกให้จิต เป็นจิตรู้ จนถึงจิตที่เป็นสภาวะจิตเดิมที่แท้จริง

ซึ่งการเริ่มต้นจากการถือศีลบริสุทธิ์จนเป็นปกติแล้ว
จะทำให้การพัฒนาของจิตก้าวหน้าไปได้เร็วมาก
ยิ่งถ้ามีบุญวาสนาได้อาจารย์ดี ก็จะสามารถแยกกายเนื้อกับจิต
ได้อย่างไม่ยากมากนัก แต่จะไปได้เร็วไม่ติดควรฝึกปลงมรณะสติ
นะเพราะจะทำให้เข้าใจความตายได้มากขึ้น
(ผมเองคุณลุงพาไปนั่งดูคุณลุงผ่าพิสูตรการตายจนเห็นชีวิตเป็นอนิจจัง
มาตั้งแต่ยังหนุ่มๆแล้ว คงเป็นโชคที่ได้เจริญมรณะสติมานาน ทำให้
การยึดติดกับการมีตัวตนน้อยกว่าชาวบ้านเขา) เพราะยิ่งฝึกในระดับลึกเข้าไป
คนที่กลัวตายหรือไม่เข้าใจชีวิตจะก้าวหน้าไปช้ามากรับ
แต่ช่วงนี้ต้องมีผู้ที่รู้มากกว่าเรา มาช่วยคอยกำกับนะครับ
ผมไม่เคยฝึกจากที่อื่นมากนักนอกจากที่คุณลุง
ถ้าใครคิดว่าสามารถนำไปใช้ได้ ก็นำไปเป็นแนวทางได้ครับ

หลานคุณลุง คนเชียงใหม่

(ช่วงนี้ผมติดต่อคุณลุงไม่ได้เลยครับ
ไม่ได้สมัครสมาชิกใหม่ ขอแอบใช้ชื่อคุณลุงไปก่อน
เพราะยังไงคุณลุงก็ให้ผมโพสส์ให้ทุกที
โดยคุณลุงเขียนเป็นกระดาษส่งมาให้ผมส่งให้ทุกทีอยู่แล้วครับ
จะสังเกตุ ว่า ข้อความถึงไม่ค่อยปะติดปะต่อกับกระทู้ชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไร
เพราะที่ผ่านมากลุ่มเราเองไม่เคยติดต่อกับใครเลย
ติดตามจนแน่ใจจึงเริ่มติดต่อเข้ามาครับ
อย่าเพิ่งหมั่นใส้นะครับ เป็นอกุศลกรรม
ขอบคุณคุณคนานันท์และหลายๆท่านที่ให้ข้อกระจ่าง
ในหลายเรื่องหลายราวมากมาย )


bamrung 29-01-2007, 11:52 PM

ผมติดตามอ่านโพสของลุงคนเชียงใหม่และหลานทุกวัน อยากให้เอาอะไรใหม่มาลงทุกๆวันเลยครับ ขอบคุณและอนุโมทนาข้อความครับ


หนุมาน ผู้นำสาร 30-01-2007, 09:18 AM




ถึง ผู้มีอำนาจทั้งหลายทั่วโลก


" เราขอประกาศไว้ว่า.......
สถานที่นี้ เอาหลักธรรมของ โลกุตตระ มานำสัตว์ให้หลุดพ้น
เพราะฉะนั้น ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ
อย่าได้เอาท้องฟ้านี้ เป็นสนามรบ


ถ้าฝ่าฝืน ประเทศใดประเทศหนึ่งฝ่าฝืนโองการของ โลกุตตระ
.......ฟ้าจะต่ำลงมา "




วันเสาร์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐
"หนุมาน ผู้นำสาร"
ผู้บันทึก


หนุมาน ผู้นำสาร 30-01-2007, 09:19 AM




หมายถึงว่า...เรื่องพื้นดิน นั้น.... แล้วก็แล้วไป
ประเทศต่างๆ อเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย อิหร่าน เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย พม่า ลาว เขมร และ ประเทศอื่นๆ
ที่เคยครองสิทธิ ที่ดิน นานมาแล้ว...ก็แล้วไป


ทุกชนชาติ...ไม่ควรเอาท้องฟ้าเป็นสนามรบ
ให้เป็นโอกาสของดวงวิญญาณ ที่เขาจะมา


หากไม่เชื่อ...รบกันแล้ว
จะไม่มีใครเสีย....ใครสูญ
มันระส่ำระสาย
ไม่มีใครเสียหาย แต่ทำให้ปั่นป่วน


เวลานี้...แต่ละประเทศ
ถ้ากดปุ่มอาวุธนำวิถีเมื่อไหร่....มันจะเป็นไปทั้งหมด
มันจะเกิดความผิดพลาด...ไปหมด
แต่นี้...แน่นอนหรือไม่ ???
ของเหล่านี้จูนระบบ...นำร่องด้วย "แสง"
แต่ แสงหักเหได้
มันอาจหักเหได้...ไปตกประเทศอื่น
จะลุกลามใหญ่
หลายประเทศ จะเอาข้อมูลไม่เป็นเรื่องมาอ้าง


ดังนั้น...เรื่องภัยพิบัติโลกาวินาศ
จะเกิดขึ้น หรือ ไม่
ขึ้นอยู่กับ...ความคิด การตัดสินใจของผู้นำแต่ละประเทศ


หาก...มีประเทศหนึ่ง ประเทศใด
กดปุ่มยิงขีปนาวุธขึ้น
โลก...จะเปลี่ยนแปลง...อย่างฉับพลัน !!!!
จึงขอฝากไว้...ถึง ผู้มีอำนาจของแต่ละประเทศ


- " หนุมาน ผู้นำสาร "


หนุมาน ผู้นำสาร 30-01-2007, 09:20 AM




ควรเป็นธุระ เห็นใจเขาบ้าง
มี "เมตตา กรุณา"....
ให้ออกมาก ๆ...ไม่ใช่ออกน้อย


อย่าลิดรอน ผู้อื่น...
" ต้นไม้ ไม่ทันโต....ถูกคมมีดแล้ว "


ขอร้องให้มี... "เมตตา กรุณา"....ที่อยู่ในส่วนลึกสุด
อย่า...โกรธเขา
อย่า....อิจฉาเขา
อย่า...เอาเรื่องส่วนตัว ไปวิพากษ์วิจารณ์
อย่า....ทำตัวเป็นนักข่าว
ที่พูดนี้...ดูจากสภาพที่เป็นอยู่


" ขึ้นต้นไม้สูงสุดแล้ว จะไปรบกับใครที่ไหนอีก "
เมตตา กรุณา....ทำใจเห็นเขาบ้าง


- " หนุมาน ผู้นำสาร "


หนุมาน ผู้นำสาร 30-01-2007, 09:20 AM




องค์โลกุตตระโ€ฆโ€ฆ.
คือ พระไตรปิฎก.......เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
คือ ผู้ที่อยู่เหนือโลก.......เหนือ หลักสัจจะธรรม
คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด.......รอบคอบจักรวาล
คือ มนุษย์เหนือโลกโ€ฆโ€ฆ.เมื่อปรากฏเป็นมนุษย์ ทุกหนึ่งหมื่นปี
คือ บรมาจารย์.......สั่งสอน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
คือ ผู้ที่นำพา.......ให้มนุษย์ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้พบ หลักสัจจะธรรม
คือ ผู้ที่ส่งมอบ สัจจะ.......ให้กับ ผู้ที่ถูกกำหนดให้มีสติของพระพุทธเจ้าได้พิจารณา
คือ ผู้อยู่เหนือชะตาลิขิต.......จึงไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้ ในการมา
คือ ตัวอักษร.......หลังจากละสังขาร จากไป
คือ พระไตรปิฎก.......หลักธรรมของโลกุตตระ นำสัตว์ให้หลุดพ้น


- " หนุมาน ผู้นำสาร "


หนุมาน ผู้นำสาร 30-01-2007, 09:25 AM




โลกุตตระ...ส่งมอบ "สัจจะ" ให้พระพุทธเจ้าปฏิบัติ...
เพื่อหลุดพ้น


- " หนุมาน ผู้นำสาร "


รัก+ยม 30-01-2007, 06:18 PM

-*-


boko0121 31-01-2007, 06:00 AM

สาธุ...


marine24 31-01-2007, 06:44 AM

กรณีผม เมื่อเรียนจบใหม่เราคิดพวกเราคือ นักรบ เราจะทำลายล้างศัตรู การออกรบเหมือนการเล่นกีฬาอย่างหนึ่ง ต้องชนะ แต่มันคือกีฬาล่าคน ผมมาสนใจฝึกสมาธิเพราะตอนไปประจำการที่ชายแดนภาคใต้ ได้เห็นเพื่อนทหาร และตำรวจบาดเจ็บล้มตาย ครอบครัวเขามานั่งร้องไห้เต็มศาลาสวดศพ จึงมีความคิดขึ้นว่า ถ้าไม่มีศึกสงคราม พวกเขาคงจะอยู่พร้อมกันทั้งครอบครัว ไม่ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วคิดว่าทำไมมนุษย์ต้องรบกันเพราะเหตุผลแค่ต่างอุดมต่างกันแค่นี้ ต่างคนต่างอยู่บ้านใครบ้านมัน ก็หมดเรื่อง เมื่อเริ่มอ่านหนังสือโลกทิพย์ อ่านชีวประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤษีลิงดำ จึงทดลองนั่งสมาธิประมาณ 6 เดือนก็ได้ณาญ แต่ก็มารผจญ จนล้มเลิกไป ปัจจุบันก็ปฏิบัติธรรมสมาธิทุกวัน แต่มีมารผจญ ถูกใส่ความว่าเป็นมือปืน โจรบ้าง มีตำรวจ ทหาร ค่อยติดตามสะกดรอย เพราะผมชำนาญด้านวัตถุระเบิด จึงผมไม่อาจจะไปร่วมสนทนาหรือบรรยายเรื่องหลุมหลบภัยให้ฟังตามคุณ KANANUN แจ้งมาเพราะจะทำให้กลุ่มคุณเดือดร้อนได้


kananun 31-01-2007, 12:41 PM

ครับ ขอบคุณมาก ที่ห่วงใยส่วนรวมครับ

ขอให้คุณมาร์รีน24 ตั้งมั่นในธรรม ในความดี ปฏิบัติธรรมต่อไป ทำสมาธิ ทำญาณ ฌาน ให้กลับมาดังเดิมนะครับ เอาใจช่วย ผู้ประพฤติธรรมทุกๆท่านครับ


หนุมาน ผู้นำสาร 05-02-2007, 01:51 PM


จะมีกี่คน ?...ที่รู้ว่า "สัจจะ" คือ การปฏิบัติจาก "โลกุตตระ"
จะมีกี่คน ?...ที่รู้ว่า ..."สัจจะ" คือ หนทางรอดจากสรรพภัยทั้งปวงกึ่งพุทธกาล ... ที่ โลกุตตระ ได้ประกาศเตือนมนุษย์ไว้แล้ว !!!

- " หนุมาน ผู้นำสาร "


หนุมาน ผู้นำสาร 06-02-2007, 07:21 AM


วิชา "สามัคคีและมีจุดยืนที่ถูกต้อง"...นั้นเอง
ที่จะพาให้เรารอดปลอดภัย
การกระทำ...จึงมีความสำคัญมาก
เพื่อป้องกันไม่ให้แตกความสามัคคี
ควรมี "สัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" นำขบวน !!!

เมื่อแตกแล้วจะกู้ติดได้ยาก
กันไว้ก่อน...ดีกว่าแก้ภายหลัง
เหมือนบ้านเมืองของเราเวลานี้...ยากมาก !!!

- " หนุมาน ผู้นำสาร "


kananun 07-02-2007, 08:34 PM

กลับมาเรื่องการปฏิบัติเพื่อความดีกันต่อครับ

การมีสหธรรมมิก เพื่อนทางธรรมนั้น เป็นวาสนาที่ช่วยเกื้อกูลให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าขึ้น

ช่วยสะกิดให้เราเข้าใจในหลายๆสิ่ง
ช่วยเตือนเราในสิ่งที่เราพลาด เราพลั้งไปในการปฏิบัติ

สหายธรรมนั้น เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ถึงก้นบึ้งของหัวใจ บางคนเพียงพบหน้ากันครั้งเดียวก็เหมือน เคยรู้จักกันมานานหลายชาติ หลายภพ

เพื่อนทางโลกหลายคน คบหาเพียงเปลือกชั้นนอกของเรา รู้จักเรายังไม่ถึงผิวแท้ที่เราเป็น

แต่เพื่อนทางธรรม "แค่มองจิตก็รู้ใจ " เห็นวิสัย คำอธิฐาน ปฏิปทา ของเรา ว่าแก่นของใจเราคืออะไร

เป็นมิตรภาพที่อบอุ่น งดงาม ในทางธรรม

ต่างคน ต่างชื่นชมในปฏิปทาของกันและกัน

หวังดีกับความก้าวหน้าในธรรมของกัน

ผมได้เจอพี่ท่านหนึ่ง ที่ผมขอยกย่องเป็นพี่ชายของผม

ในการปฏิบัติธรรมมา ผมยังไม่เจอฆราวาสที่วางใจได้อย่างพี่ท่านนี้เลย

พี่ท่านนี้ ท่านวางกำลังใจในการปฏิบัติไว้ดังนี้

นอกจากความเคารพในพระรัตนไตรอย่างที่สุดแล้ว
ท่านก็ทรงศีลเป็นปรกติ
มีการเจริญอาณาปานสติกรรมฐานแบบแทบจะไม่คลาดจากใจเลย
การทรงฌาน ทรงมโนมยิทธิ เป็นปรกติ ของท่านอยู่ตลอดเวลา

และที่สำคัญ ปฏิปทาของท่านนั้นไม่ธรรมดา
ท่านทรงฌานในเมตตาอัปปันณานญาณ เป็นปรกติของใจ ตลอดทุกที่ที่ท่านไป ท่านจะแผ่เมตตาเพื่อเกื้อบุญกุศลให้แก่ทุกดวงจิต ที่อยู่บริเวณนั้น ให้ได้รับผล ผู้ที่พึงเลื่อนภพภูมิไปสู่ที่ ที่ดีกว่าได้ก็ได้ไปเสวยบุญที่ยิ่งขึ้นไป

และในทุกก้าวย่าง ก้าวเหยียบ ปฐพี ของท่านท่านก็ปรารถนาในสรรพสัตว์ที่ถมกายตายลง ณ จุดนั้น ได้รับกุศล และไปเกิดยังภพที่ดีกว่าเช่นกัน เป็นมรณานุสติ ควบเมตตาญาณ

งานที่พวกเราชาวเวบพลังจิตพิชิตภัยพิบัติก็ได้พี่ท่านนี้ ช่วยเหลืออยู่เงียบๆ โดยไม่มีใครได้ทราบมาก่อน นอกจากที่ท่านอธิฐานจิตช่วยให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นแล้ว ท่านยังช่วยใช้เมตตาฌาน เบิกเส้นทาง และการทำงานให้กับพวกเราให้ปลอดภัยด้วย

มีจุดหนึ่งที่ผมประทับใจในพี่ท่านนี้ ก็คือ ท่านสอนแบบสะกิดให้เรารู้ว่าเรายังวางอารมณ์ใจยังไม่ถูกในบางเรื่อง แบบที่เราจะทราบเองว่าเป็นการสอนด้วยความเอื้อเฟื้อในธรรมอย่างแท้จริง หวังผลเพื่อให้เราก้าวหน้าในการปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นการกล่าวทับกันแต่อย่างไร

สิ่งที่ผมได้จากพี่ท่านก็คือ

"การวางตัวของผมที่มีต่อเทวดา พรหม รวมทั้งท่านผู้ที่ไม่มีกายเนื้อทั้งหลาย แต่เดิม ผมจะว่าของผม ตามที่ทราบในจิต ในสมาธิ ท่านที่เปนพ่อ เป็นแม่ก็ว่าตามนั้น ท่านที่เป็นเพื่อน ก็เพื่อน ท่านที่เป็นคู่ บ้าง เป็นบริวาร บ้างก็ว่าไปตามนั้น

แต่สำหรับที่พี่ท่านได้เมตตาสอนผม ท่านบอกว่า เรายังมีกายเนื้อ ยังมีความสกปรกมาก ส่วนท่านทั้งหลายที่ไม่มีกายเนื้อนั้น อยู่ในภพภูมิที่ดีกว่า สูงกว่าเราทั้งสิ้น พี่กราบทุกท่านไม่ว่าเป็นท่านใดก็ตาม ให้เป็นพ่อ เป็นแม่ ด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยวิสัยของพ่อ ของแม่นั้น ย่อมหวังดีต่อบุตร ไม่ทำร้ายบุตรฉันใด เทวดาพรหมทั้งหลายที่เรายกย่องท่านให้เป็นพ่อแม่ย่อมดูแลคุ้มครองเราผู้เป็นบุตรด้วยความเอ็นดูฉะนั้น นี้เป็นประการที่หนึ่ง

ส่วนประการที่สอง ก็เพื่อเป็นการลด ละ กิเลส ความมานะในจิตของตัวเราเอง อันเป็นกิเลสที่ละเอียด "

นับเป็นการวางอารมณ์ใจที่ถูกต้องและมีเหตุผล อย่างยิ่งครับ ผมได้น้อมมาปฏิบัติและขอแนะนำท่านทั้งหลายในข้อการปฏิบัติในเทวดานุปัสนา กองนี้ครับ

ธรรมใด บุญใดที่ผมได้บำเพ็ญแล้วนับแต่อดีต ปัจจุบันและจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ผมของน้อมถวายสู่ ใจอันงดงามของเพื่อนสหธรรมมิก สหายธรรมทั้งหลาย ตลอดไปครับ และขอเป็นสหธรรมมิกที่ดี ของทุกท่านตลอดไช่นกัน เทอญ


marine24 08-02-2007, 08:33 AM

ได้ติดตามอ่านโพสต์ของคุณKANANUN ได้รับความรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น สิ่งที่ผมเคยปฏิบัติมา คือ ครั้งแรกที่ฝึกนั่งสมาธิเมื่อปี 2533 ผมศึกษาเองจากตำราที่ซื้อมาจากโลกทิพย์ของดร.คนอง เนินอุไร แต่พอไปปรากฏว่า เมื่อถึงระดับไปแล้วมีอยู่วันหนึ่งปรากฏความรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในห้อง เหมือนไม่มีตัวต้น มันเงียบจนเสียงวิทยุจากห้องรุ่นน้องที่อยู่ห่างไปแค่ 2-3 เมตรแผ่วเบา มาก จนผมคิดเราปฏิบัติพลาดหรือเปล่า มันเหมือนลอยอยู่ในอากาศไม่มีความรู้สึกว่ามีมือหรือแขนขาอยู่ แต่เพราะความผิดพลาดทนการเย้ายวนกิเลสไม่ได้จึงไปทำผิดพลาดในศิลข้อ 3 เลยเลิกปฏิบัติไป พอมาเริ่มต้นใหม่ผมไปฝึกที่วัดอัมพวัน ก็มีอาการเห็นมีแสงมาจากข้างบนตัวหมุนแล้วปรากฏภาพตอนเป็นทหาร กำลังวางระเบิดดักทหารเวียตนาม และภาพทหารเวียตนามขาขาดและกำลังพยาบาลรักษาในกระท่อม แต่ปัจจุบันผมปฏิบัตินั่งสมาธิวันละ 30 นาที เพราะต้องรีบไปทำงาน มีอาการเพียงตัวแข็งเหมือนถูกเชือกรัดหรือตัวพองขยาย พออาการหายไปก็ได้เวลาที่นาฬิกาปลุกพอดี ผมก็ทำตามวิธีการคุณKANANUN แนะนำการถอนออกจากสมาธิ เพราะเมื่อก่อนออกทันที่มันจะตุกเหมือนรถที่เบรคแบบกระทันหัน สมองนี้มึนตึบเลยเหมือนกระแทกของแข็ง ช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติที่จะให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นด้วยครับ


kananun 08-02-2007, 09:08 AM

ขออนุญาตตอบ คุณมารีน24 ครับ

อาการที่เคยปฏิบัติสมาธิมาในครั้งแรกๆแล้วมีอาการ หูหรี่ ไม่ค่อยได้ยินเสียง นั้น เพราะจิตเริ่มเข้าสู่สมาธิ ระดับฌาน ถ้าจิตเข้าถึงฌานสี่ ก็จะเกิดอาการหูดับ คือไม่ได้ยินเสียงภายนอก เนื่องจากจิตได้แยกความรู้สึกออกจากกาย ไม่ใช่ปฏิบัติผิด แต่เป็นสภาวะปรกติของการปฏิบัติ ที่เราควรกำหนดรู้ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา ไม่ตกใจ และไม่ตื่นเต้นยินดี มองให้เห็นว่าเป็นธรรมดา

ส่วนศีลข้อสามที่พลาดไปนั้น อย่าได้ทำให้ใจเราหมองแล้วเลิกปฏิบัติ ให้วางกำลังใจว่า ถ้ายังละไม่ได้เราจะสู้ต่อไป ค่อยๆทำไปจนกว่าจะชนะ ส่วนการฝึกสมาธิเราก็จะไม่ทิ้ง เราจะทำเป็นปรกติ และให้ระลึกว่า ในยามปรกติ เราก็ยังรักษาศีลได้ สี่ข้อ มีพรหมวิหารสี่ทรงตัวอยู่
และให้ระลึกในยามที่นั่งสมาธิ ว่า ขณะนี้เราทำความดี เรามีศีลที่สะอาดบริสุทธ์ทั้งห้าข้อ (หรือจะระลึกว่าแปดข้อก็ได้) การระลึกถึงศีลชั่วกาล ชั่วเวลาหนึ่งก็มีอานิสงค์เช่นกัน ไม่ช้าจะรวมตัว จนเป็นปรกติศีล

ส่วนที่ไปฝึกที่วัดอัมพวันนั้น หลวงพ่อจรัญท่านเน้น เรื่องการเจริญกรรมฐานแก้กรรม ดังนั้น จึงได้ปรากฏ กรรมเก่าในอดีตของคุณขึ้นมา ให้ทราบ
วิธีการคือ
การแผ่เมตตาให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรที่ปรากฏ
การขอขมาโทษและขออโหสิกรรม ให้กรรมทั้งหลายเป็นโมฆะกรรม
การอุทิศส่วนกุศลให้กับท่านเหล่านั้น


ส่วนอาการตัวแข็งรัดมัดแน่นหรือ ตัวพองนั้น เป็นอาการของสมาธิ อาการรัดเป็นอาการของฌาน ส่วนอาการตัวพองเป็นอาการของปิติ
วิธีการคือการกำหนดรู้ และวางเฉยเป็นอุเบกขาปล่อยอาการที่เกิดไปตามสภาวะ เราเป็นผู้ตามดูด้วยสติที่ตั้งมั่น ไม่วางอารมณ์หนักเกินไป หรือเบาเกินไป เน้นใจที่สะบายโปร่งโล่งเบา

จากนั้น ให้ตามดูอาการของจิตไปเรื่อยๆ จนใจสะบาย จากนั้น น้อมมาพิจารณาในวิปัสนาญาณ ในสังขารร่างกาย และความทุกข์ ว่ามีเหตุแห่งทุกข์ มาจากสิ่งใด ค่อยๆทำไปทีละน้อยครับ

ลองหาหนังสือกรรมฐานสี่สิบกอง หลวงพ่อธุดงค์ ประวัติหลวงพ่อปานและสติปัฏฐานสี่ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านมาอ่านเพิ่มเติมด้วยครับ จะทำให้เข้าใจมากขึ้น

ขอความเจริญในธรรม ในการปฏิบัติจงมีแด่คุณมารีน 24 เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ พ้นจากวัฏฏะสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขได้โดยเร็วครับ สาธุ....


พุทธันดร 18-02-2007, 10:10 PM

ขอบคุณคุณkananunมากนะคะ
เป็นคำสอนที่ประทับใจที่สุดอีกครั้งหนึ่ง

อยากแชร์ประสบการณ์บ้างค่ะ
...ที่บ้านมีหลานสาวเป็นลูกครึ่งเรียนโรงเรียนในเมือง
ก็เป็นห่วงเธอบ้างเพราะถ้าเกิดเหตุกลัวเธอจะเอาตัวรอดไม่ได้
และเมื่อหลายวันก่อนเธอมาบ่น ว่า..
ทำคะแนนวิทยาศาสตร์ไม่ได้ดีเท่าไหร่
เกรดต่ำมาก..โดนพ่อดุเป็นประจำ

ก็เลยลองสอนเธอให้จับภาพพระวิสุทธิเทพ
เธอก็ถามว่าท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน
ก็ได้อธิบายคร่าวๆให้เธอฟังและสอนให้เธอสวดมนต์ไปด้วย
เห็นเธอพยักหงึกหงักไปตามเรื่อง..ไม่รู้ว่าเข้าใจแค่ไหน

แต่ได้กำชับไปว่า
เวลานั่งรถไป-กลับโรงเรียนให้นั่งหลับตาจับภาพพระ
ถ้าเกิดเหตุภัยต่างๆจวนตัวให้นึกถึงท่าน
และค่อยๆให้เธอนอนสมาธิ

ผ่านไปได้สัก3อาทิตย์
เธอมาบอกว่าได้คะแนนวิทย์ดีขึ้นมากทั้งเคมีและฟิสิกส์
และ...เธอส่งภาพนี้ให้ค่ะ


-re.jpg

เราถึงกับอึ้ง
ตอนแรก..ด้วยไม่นึกว่าเธอจะสนใจ และเอาไปปฎิบัติตาม
เธอยังบอกอีกว่าเธอนอนสมาธิเกือบทุกคืน
ก็ได้บอกเธอว่าให้ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวจะรู้และเข้าใจเอง

คุณkananunมีคำแนะนำเพิ่มไหมคะ
ขออนุโมทนาและขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ "ฝึก" อยู่นะคะ


kananun 19-02-2007, 05:59 PM

สาธุด้วยกับคุณน้าและคุณหลานครับ

ได้ถามพระท่าน ๆได้บอกว่าที่หลานสาวได้มโนง่ายๆด้วยอาการเพียงอธิบายง่ายๆสั้นๆนั้น เป็นเพราะบารมีเก่าของเธอในอดีตชาตินั้นมาให้ผล หลานสาวคนนี้ มีเกณฑ์ที่จะได้อภิญญาใหญ่ครับ ถ้ามีโอกาสให้เธอได้ฝึกการแผ่เมตาอัปปันนาณฌาน และการอธิฐานให้ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิเป็นฐานให้มั่นคงไว้ก่อนครับ ไม่ช้าอภิญญาเก่าจะค่อยๆรวมตัวกันเองครับ

ขอกราบโมทนาบุญในความดี และผลในการปฏิบัติที่กระจ่างแก่ใจของตนและบุคคลใกล้ตัวทุกๆท่านครับผม


kananun 19-02-2007, 07:04 PM

ต้องกราบขอโทษหลายๆท่าน ที่ติดตามการปฏิบัติครับ ช่วงนี้ผมออกทริปถี่สักหน่อย ซึ่งก็ตรงกับที่ได้สังหรณ์ใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่พระท่านสั่งให้ไปครับ บางครั้งท่านก็ดลใจให้เราทำงาน โดยที่เราไม่รู้ตัวหรือทราบล่วงหน้าก็บ่อยๆ

บางทีเราแว่บไปเที่ยวเล่น ของเราคิดว่าขอแว่บซะหน่อย แต่ทำไปทำมากลับไปพบผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวเนื่องต้องไปทำงานร่วมกันก็มีครับ

ต้องขออนุญาตออกตัวอีกครั้งว่า

"ความเลวของผมยังมีแน่นหนาอยู่อีกมาก ยังมีธรรมที่ยิ่งกว่า มีกเลสที่ยังต้องเกลาอีกเยอะ มีบารมีที่ต้องเรียนรู้อีกมาก ธรรมมะที่นำมาถ่ายทอดสู่ทุกท่านนั้น เป็นธรรมมะที่พระท่านผ่านมาถ่ายทอด ยังหมู่ชาวธรรมผู้ตั้งใจในการปฏิบัติ โปรดอย่าได้เข้าใจว่าเป็นธรรมมะจากผม ตัวผมเองได้ร่วมฟัง ร่วมเรียนรู้ตามที่พระท่านได้เมตตาสั่งสอน ถ่ายทอดให้ได้เข้าใจไปด้วยครับ
ไอ้ความเลวของผมนั้น ผมยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์อยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกได้แต่กราบขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้พ้น นรก ไปแต่ละชาติ ๆไปตราบถึงฝั่งพระนิพพาน ยังมีแก่ มีเจ็บ มีตายอยู่ ยังไม่ดีไปได้ดอก ดีจริงได้ก็ต่อเมื่อ ถึงฝั่งพระนิพพาน หมดเกิดได้ เมื่อนั้นผมจึงจะถือว่า "ดี" เมื่อนั้น "


kananun 19-02-2007, 07:20 PM

เมื่อวันเสาร์ที่ได้ไปกราบ หลวงตาวัชรชัย ที่สระบุรี มาท่านได้ให้คำแนะนำและเมตตาสั่งสอนพวกเรามาหลายประการด้วยกันครับ

ดังนั้นผมขออนุญาตนำคำสอนของท่านมาใช้ ณ บัดนี้ด้วยครับ

"ข้าพเจ้า ขอกราบขอขมาลาโทษ ในบาป แล อกุศลทั้งปวงที่อาจบังเกิดมี ต่ บรรดา เพื่อนสหธรรมมิก และเพื่อนๆในเวบไซท์พลังจิตนี้ทุกๆท่าน ที่ข้าพเจ้าอาจได้ประมาท พลาดพลั้งล่วงละเมิด ล่วงเกินต่อท่านทั้งหลาย อาจจะด้วย กาย ก็ดี วาจา ก็ดี ทางใจ ก็ดี ทั้งที่มีเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาต่อท่านทั้งหลาย ณ กาลบัดนี้ ขอโทษทั้งหลายจงงดเว้นไว้ด้วยเถิด

ส่วนบุญกุศลใดที่ข้าพเด้บำเพ็ญไว้แล้ว อันประกอบไปด้วยบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาทิษฐิ นับแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต อันข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ มีนิพพานเป็นที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอให้ทุกท่านได้มีส่วนร่วมในบุญ ในกุศล เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับทุกประการด้วย เทอญ"

สาธุ.......



กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

กลับหน้าแรก