Wicha for surviving part12

กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ


หนุมาน ผู้นำสาร 20-12-2006, 01:20 PM


หนุมาน ผู้นำสาร 21-12-2006, 09:03 AM


pupatcharee 21-12-2006, 11:59 AM

กระทู้นี้ดีมากคะ ตอนนั่งยังไม่ได้มาอ่านกระทู้นี้ นั่งแล้วฟุ้งมากในตอนแรกแล้วลองกั้นลมหายใจทั้งเข้าและออกแกล้งให้ร่างกายมันหายใจเองแล้ว อยู่ดีๆลมหายใจมันพลิกยังไงก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวว่าหายใจเบา ยาว เป็นแบบนี้อย่านมีความสบายดีเวลาดูลม แต่ก็รู้สึกอยู่แต่ลม บางทีก็ลืมไปไม่รู้ว่าหายใจมันหายไป ไม่รู้จะทำอะไรต่อเมื่อมันรู้สึกแบบนี้ ซักพักก็เหน็บกินขาขวาก็เลยลองพิจารณาดูแต่ดูนานหน่อยเพราะปวดมาก ไม่ รู้จะต่ออย่างไร


หนุมาน ผู้นำสาร 21-12-2006, 12:35 PM

ออกจากฝึกสมาธิ แล้วนิสัยยังเหมือนเดิม ใช้ชีวิตด้วยนิสัยเดิมๆ ก็ต้องพิจารณากันใหม่


kananun 21-12-2006, 03:38 PM

ขออนุญาตตอบคุณ Pupatcharee ครับ

ที่ฝึกไปได้จนถึงขั้นที่ลมหายใจหายไปนั้น เป็นการทำสมาธิแบบสมถะ เป็นการทำฌานครับ ส่วนการที่เราจะได้ฌานไหนนั้น อย่าได้ไปสนใจครับ ขอให้รู้แต่ว่าเรามีจิตที่สงบอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน จิตจับอยู่แต่เฉพาะลมหายใจที่แทบไม่หายใจ ณ จุดนี้เรียกว่า ลม(หายใจ)สะบาย เมื่อสภาวะเข้าถึงลมสะบาย อารมณ์ใจของเราก็จะสะบายไปด้วย ตรงจุดนี้ขอให้เราสอนตัวเราเองไว้ว่า สิ่งนี้ เป็นความสุขจากความสงบ เป็นความสุขจากฌานสมาธิ เป็นความสุขที่ไม่เจืออามิส (คือไม่มี วัตถุ หรือเครื่องล่อในเบญจกามคุณห้า) มีความสุขที่สูงกว่านี้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

หลังจากนั้นให้ถอนจิตออกมาเล็กน้อย เข้ามาสู่อารมณ์พิจารณา(อารมณ์คิด) มาดูอาการปวดเมื่อยในร่างกายของเรา ว่า

" การปวดเมื่อยนี้ เป็นความทรมาน เป็นอาการของความสุขหรือความทุกข์ และถามตนเองว่า เหตุแห่งทุกข์นั้นคืออะไร ใช่ร่างกายหรือไม่ เมื่อมีกายก็จึงมีทุกข์ และต่อไปกายนี้ก็ต้องแก ต้องเจ็บ ต้องตายไปในที่สุด

ทำจิตใจของเราให้ปลอดโปร่งปล่อยวาง ยอมรับสภาวะที่แท้จริงของกฏไตรลักษณ์ที่ทุกสรรพสิ่ง ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาในที่สุด ตัวเราเองก็เช่นกัน ไม่ต่างกัน ให้ใจเราปล่อยวางจากร่างกายของเราไม่ยึดมั่นถือมั่น ในตัวเรา บุคคลอื่น สิ่งของใดๆในโลก จากนั้นน้อมระลึกถึง คุณพระรัตนไตร ว่าเป็นสัจจะธรรมที่เที่ยงแท้ สุขที่แท้จริงก็คือพระนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์กันอีก"

พิจารณาให้ใจเราสะบาย โปร่ง ปล่อยวาง ถ้าใจเราเบาขึ้น วางอารมณ์ใจถูกต้อง ถ้ามีอาการเครียด หรือมีอารมณ์หนัก ให้วางอารมณ์ให้เบาสะบายกว่านี้

นี้เป็นการใช้กำลังของสมถะ เข้าสู่การทำวิปัสนากรรมฐานครับ น่าจะอยู่ในวิสัยที่คุณสามารถทำได้ไม่ยากครับ

ขอกราบโมทนาในความตั้งใจและผลในการปฏิบัติธรรมที่ปรากฏชัดด้วยตัวคุณเอง ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ สาธุ.....


pupatcharee 21-12-2006, 06:16 PM

ขอบพระคุณคะ ขอกราบโมทนา ด้วยคะ


kananun 21-12-2006, 07:19 PM

ก้าวหน้าอย่างไรมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ


kananun 21-12-2006, 07:33 PM

สวัสดีครับ ช่วงนี้หลายๆท่านเริ่มทวงกับผมแล้วว่า เรื่องการปฏิบัติหายไปไหนไม่ค่อยมาลงเลย ก็ขอตอบว่าด้วยภาระกิจทางเรื่องภัยพิบัติอย่างที่ท่านทราบกันนี่ล่ะครับ เป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ท่านให้ทำ

อันที่จริงผมก็เริ่มเอะใจอยู่บ้างแล้วตั้งแต่ ช่วงต้องเดินทางไปต่างจังหวัดรอบที่แล้ว ว่า ตั้งแต่ปีหน้าคงได้ออกเดินทางอีกตลอดทั้งปีแน่เลย ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่พอมาถึงตอนนี้ก็พอทราบแล้วว่าคงเป็นการลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อเตรียมงานเพื่อทุกๆคน

ยังไงก็ตามสิ่งที่ทำเพื่อส่วนรวมแม้จะเหนื่อย และต้องเสียสละความสุข ความสบายของเราไปบ้าง แต่เราก็มีความสุขเมื่อได้ทำเพื่อส่วนรวมครับ

วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่องการปฏิบัติเพื่อความเจริญในธรรมกันดีกว่าครับ


kananun 21-12-2006, 09:49 PM

ขออนุญาตเล่าประสบการณ์และการฝึก การวางอารมณ์ใจสมัยเมื่อผมได้ไปบวชธุดงค์ที่วัดท่าซุงเมื่อในช่วงปลายปีที่แล้วครับ

การบวชครั้งนี้เป็นการบวชครั้งที่สองของผม ครั้งแรกผมบวชในธรรมยุตินิกายที่วัดบวรนิเวศ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาปรินายกท่านเป็นพระอุปัชชฌาย์ครับ

ส่วนการบวชครั้งนี้ เหตุหนึ่งมาจากการบีบคั้นจากทางโลกต่อครอบครัวผมหนึ่ง และเนื่องจากน้องชายผมยังไม่ได้บวชพระอีกหนึ่งเลยถือโอกาสบวชไปพร้อมกันเพื่อ หวังให้บุญแห่งการบวชจะช่วยให้ครอบครัวของผมผ่านวิกฤตไปได้ ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ และจะนำมาเล่าให้ฟังในตอนท้ายครับ

เมื่อได้ตั้งใจบวชแล้ว เราก็ได้เรียนให้หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านทราบ เพื่อขอบวช จากนั้นก็ต้องมาเตรียมตัว เนื่องจากที่วัดท่าซุงมีกฏว่า ผู้ที่จะมาบวชต้องมีใบรับรองว่า ได้ผ่านการฝึกมโนมยิทธิ จากพระในวัดท่าซุงจนครบ สาม ครั้งก่อน ตัวผมมีวิบากมาขวางการบวช ก่อนจะไปวัดเพื่อฝึก มีวันหนึ่ง ได้ฝันเห็นหลวงพ่อฤาษีท่านมาหาในลักษณะที่หนุ่มแต่ท่านดูเศร้าๆ แล้วบอกว่าให้ระวัง พอตื่น ไอ้เราก็ว่าระวังอะไร พอหลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็ เกิดจักรยานล้มที่ความเร็วประมาณ สามสิบ กม.ต่อชม. ปรากฏว่า นิ้วเท้าหัวแม่โป้งร้าว และมีทีท่าว่าจะถอดเล็บด้วย ก็เลย อ๋อ....... ระวังนิ้วนั่นเอง ก็นับว่าหลวงพ่อท่านยังเมตตาครับ เพราะแสดงว่าท่านช่วยเราแล้ว แต่วิบากนี้เป็นกฏของกรรมที่เราต้องรับครับ

เป็นบทเรียนที่ว่าไม่ว่าเราจะเก่งอย่างไร มีบุญแค่ไหน ก็ไม่เก่งเกินกว่ากฏของกรรมครับ

หลังจากนั้นเรา(สองคนพี่น้อง) ก็ไปที่วัดท่าซุงเพื่อไปสอบมโนมยิทธิ สองวันแรก ก็ผ่านก็ได้เป็นปรกติครับ แต่อีกวันนี่กลับมีปัญหา ฝึกไม่ได้ เนื่องจากวัดมีงาน งดฝึกครับ ต้องอยู่วัดอีกหลายวัน หรือต้องกลับกรุงเทพแล้วเดินทางมาใหม่ครับ บังเอิญที่มีลุงที่จะบวชในชุดเดียวกันแกก็มีธุระเหมือนกัน ก็เลยไปขออนุญาตหลวงพี่อาจินต์เพื่อขอสอบมโนเป็นกรณีพิเศษ หลวงพี่อาจินต์ท่านก็เมตตาอย่างยิ่งครับ

ท่านบอกว่า ได้ให้มาตอนประมาณ ทุ่มหนึ่งที่ตึกธรรมวิโมกข์ พอไปถึงท่านก็ให้พวกเราทำความสะอาดห้องเสียก่อน เนื่องจากห้องถูกปิดมาเป็นปีๆ ระหว่างที่ท่านให้ทำความสะอาดห้องที่ยาวสัก ห้าสิบเมตรเห็นจะได้

ผมสังเกตุเห็น "กูบหลังช้างวางอยู่ในห้องใกล้พระพุทธรูป กูบนั้นมีเครื่องศาสตราวุธหลังช้างอยู่เต็มครบ รวมทั้งพู่หางนกยูงสำหรับใช้สั่งการทัพ แต่ภาพที่เห็นมีฝ้าจางๆ ขวางอยู่ " ผมเลยสะกิดน้องชายให้ดู ด้วยอีกคน น้องก็ว่าเออหลวงพี่ท่านมีของแบบนี้ในห้องด้วย จากนั้นก็ไม่คิดอะไร ไปสอบมโนกับหลวงพี่ท่านจนผ่าน จากนั้นท่านก็บอกว่า พรุ่งนี้ให้มาช่วยถูห้องนี้ซ้ำอีกทีนะ พวกเราก็กราบลาท่านกัน

พอวันรุ่งขึ้น กลับมาถูห้องนี้อีกครั้งตอนเช้าก่อนกลับบ้าน ผลปรากฏว่า กูบหลังช้างศึกที่ว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีครับ รอยวาง รอยฝุ่นก็ไม่มี ผมกับน้องก็สรุปว่า เทวดาท่านมาทำให้ดูด้วยตาเนื้อ ดังนั้นภาพที่เห็นเลยมีฝ้าอยู่หน่อยๆ ก็ขอกราบโมทนาบุญบารมีของหลวงพี่อาจินต์ท่านอย่างที่สุดด้วยครับ

จากนั้นก็ตัดมาถึงวันบวช สองคนพี่น้องก็บวชแบบไร้กังวลครับ ไม่มีญาติโยมใดๆให้ห่วงหรือมาในงานซักคนครับ ที่จริงเป็นสิ่งที่ดี เพราะเราจะได้ไม่ต้องมาห่วงว่าแม่เราอยู่ไหน รออยู่ไหนเป็นอย่างไร ใจเราจะได้สงบครับ

พอบวชเป็นเณรเสร็จ ไปรอชุดอื่น พระพี่เลี้ยงท่านก็ให้เณรใหม่มาช่วยนับปัจจัยที่โยมมาถวายทำบุญ ก็ล้อมวงช่วยกันนับ ไม่เราก็นับไปว่าคาถาเงินล้านไป นับเสร็จแยกกองเสร็จ ขาดเศษอยู่ ร้อยกว่าบาทเราก็เดินไปหยิบ เงินมาเติมถวายให้เต็มจำนวน แล้วก็โมทนา แล้วนับเงินทั้งหมดถวายพระพี่เลี้ยงได้สามแสนกว่าบาท จดตัวเลขให้ท่านไป แล้วก็ไปบวชพระ

ระหว่างบวช เราก็ตั้งกำลังใจ ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ทำกำลังใจในวิปัสนาญาณสูงสุดในการตัดกิเลส ขันธุ์ห้า ให้บริสุทธิ์ที่สุด จากนั้นในพิธีบวช จากนั้นก็ ตั้งจิตอธิฐานขึ้นไปบนพระนิพพาน ทำพิธีการบวชประหนึ่งกับได้บวชโดยมีพระพุทธเจ้าท่านเป็นประธานบนพระนิพพาน เมื่อบวชเสร็จ ผมก็มีอารมณ์ใจที่เป็นสุขในบุญ ในอานิสงค์แห่งการบวชอย่างเต็มที่

จนออกมาจากโบสถ์ คราวนี้เจอวิบากอีกรอบ ไปถามพระพี่เลี้ยงท่านตอนออกจากโบสถ์ว่า "ได้นำปัจจัยถวายหลวงพี่อนันต์แล้วหรือยังครับ " ท่านก็ตอบว่า "ถวายแล้วแต่เงินขาดหายจากจำนวนที่จดไป ประมาณสามหมื่นบาท " คราวนี้ไอ้เราก็สะดุ้งเฮือกจิตหมองทันที คิดไปต่างๆนาๆว่า เขาจะว่าเราเอาไปหรือเปล่านะ อย่างโน่นอย่างนี้ "คิดๆๆ อยู่สักสามชั่วโมงก็มี เสียงเตือนว่า "ก็เราเอาไปหรือเปล่าล่ะ ถ้าเราบริสุทธิ์ ความเป็นสงฆ์ก็บริสุทธิ์ จะเสียเวลาคิดอยู่ทำไม" พอคิดได้ สอบผ่าน ใจเราก็โล่ง กลับมาวางอารมณ์ใจทรงอารมณ์พระนิพพานได้เหมือนเดิม จากนั้นพระข้างบนท่านก็สั่งผมว่า "ไม่ต้องไปสนจริยาของผู้ใด ให้ระวังรักษาใจของเราเองก็พอ" จากนั้นการปฏิบัติก็เริ่มดำเนินไปในทุกอิริยาบท ทุกครั้งที่เดิน ผมก็จะทรงอารมณ์นิพพานพร้อมทั้งแผ่เมตตา โดยนับตั้งแต่การเดินจากศาลา สิบสองไร่ เข้าไปในป่าหลังวัด ที่เป็นเขตธุดงค์

ก็มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ตามปรกตินั้น การธุดงค์ จะแบ่งพระเป็นสี่กลุ่มใหญ่ มีพระผู้ใหญ่ของวัดท่านเป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้แก่ หลวงพี่อนันต์ หลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงพี่โอ หลวงพี่อาจินต์ ซึ่งทุกๆท่านก็ได้ถือปฏิปทาและอยู่ธุดงค์ในป่าเช่นเดียวกันกับพระรูปอื่นทุกรูปครับ ขอกราบโมทนาบุญอานิสงค์ธุดงค์ ของทุกๆท่านด้วยครับ

กลุ่มผมที่จริงหัวหน้ากลุ่มคือ หลวงพี่ชัยวัฒน์ครับ แต่เรื่องแปลกที่ว่าก็คือ ตอนที่เขาให้เราเลือกเขต ที่จะปักกลดเพื่ออธิฐานธุดงค์นั้น ผมกับน้องก็เดินหาที่เหมาะๆอยู่ ทันใดนั้น หลวงพี่โอ ท่านไม่ทราบว่าเดินมาจากไหน มาดึงผมสองคนพี่น้องออกมาจากกลุ่มย่อยห้าคน บอกว่าให้มาปักกลดตรงนี้ และที่ผมต้องกราบขอบคุณท่านด้วยอย่างมากในความเมตตาหาที่สุดไม่ได้ ก็คือท่านเมตตา ผูกกรดว่าคาถา ปักกลดให้ลผมเองกับมือท่านครับ ตรงนี้เราเห็นตั้งแต่แรกเลยว่าเป็นความเมตตาที่ท่านตั้งใจมาโปรดมาสงเคราะห์เรา ให้เราเป็นกำลังใจในการตั้งใจบวชธุดงค์ครั้งนี้ครับ พอท่านผูกให้เสร็จท่านก็เดินไปครับ

พอกางกลดจัดที่หลับที่นอนจนสัปปายะได้ที่ พอถึงช่วงกลางคืน คืนแรกของการบวช เป็นปรกติอย่างที่หลายๆคนพอจะทราบกันนะครับ ว่าจะมีเปรต ที่เคยเป็นญาติของเรามาร้องขอส่วนบุญ ให้เราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ ผมก็เช่นกันครับ มาร้องขอส่วนบุญครับ เสียงของเปรต เป็นเสียงเล็กๆหวีดหวิว คล้ายเสียงนกหวีด แต่เล็กและแหลมกว่า เราก็แผ่เมตตาด้วยกำลังใจในการแผ่เมตตาสูงสุดของเราบนพระนิพพานว่า

"บุญกุศลใดที่เราได้บำเพ็ญมานับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิ เพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ เราขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลาย จงประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์พ้นภัยจากวัฏฏะสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ " จากนั้นก็แผ่รัศมีแห่งความเมตตาออกไปด้วยกำลังของมโนมยิทธิ เสียงเปรตทั้งหลายก็เงียบสงบลง ไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็ขออนุญาตเทวดาเจ้าที่ท่านขอพักอาศัยอยู่ในช่วงธุดงค์ แล้วรีบนอน เพราะต้องตื่นขึ้นเพื่อทำวัตรสวดมนต์กันตอนตีสามครับ

ค่อยๆอ่านต่อเป็นตอนๆนะครับ พิมพ์ยาวมากเดี๋ยวหาย


kananun 22-12-2006, 06:31 PM

มาฟังกันต่อครับช่วงเวลาในการปฏิบัติธรรมและการบวชธุดงค์ของผมครับ

ช่วงเวลาที่ไปสอบมโนที่วัดท่าซุง ผมได้ไปกราบหลวงพี่หมงซึ่งเป็นสหายธรรมกันกับผมตั้งแต่ที่ท่านยังเป็นฆราวาสอยู่ เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ผมและน้องได้ไปกราบเรียนท่านว่า ผมจะบวชธุดงค์ปีนี้ท่านก็เมตตาช่วยแนะนำผมว่า

"โยมรู้หรือไม่ ว่ากรรมที่เป็นอนันตริยกรรมในด้านบวกคืออะไร "

ผมก็ตอบว่า

"เท่าที่ผมทราบก็เป็นกรรมที่เป็นอริ ตรงกันข้ามกับ อนันตริกรรมทางด้านลบครับ เช่น
การช่วย ให้พ่อแม่ เข้าถึงสัมมาทิษฐิ เข้าถึงธรรมมาพิศมัย ตลอดจนไปถึงพระนิพพานเป็นที่สุดครับ
ด้านศาสนา ก็เช่น ช่วยเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่สงฆ์
เหล่านี้เป้นต้น"

หลวงพี่ท่านก็ได้ตอบว่า "นั่นเป็นอนันตริยกรรมที่มีผลต่อท่านผู้อื่น แต่อนันตริยกรรมที่ส่งผลบวกต่อตนเองอย่างใหญ่หลวง ที่จริงก็คือ ทำตนเองให้ได้ "สมาบัติแปด" นั่นเอง"

ด้วยเหตุนี้เองผมจึงตั้งใจเต็มที่ว่า การบวชครั้งนี้เราจะทำสมาบัติแปดให้คล่องให้ได้ สมาบัติแปดนั้นเป็นของที่ใช้กำลังใจสูงพอสมควร ผมไปทำได้เมื่อตอนไปฝึกวิชชาที่ถ้ำวัวแดง ภักดีชุมพล ครั้งนั้น เป็นช่วงฝึกพิเศษอีก คือยแกกับเพื่อนๆที่ไปด้วยกันท่านอื่น ไปอยู่คนเดียวในถ้ำมรณะเพื่อทำสมาธิอย่างเข้มข้นเป็นเวลา สี่วัน เมื่อครั้งนั้นใช้กรรมฐานต้น คือ พุทธานุสติกรรมฐานไล่ขึ้นไปเป็นฌานหนึ่งจนถึงสี่ ตามแนวทางที่หลวงพ่อท่านได้สอนมา จากนั้น จึงเริ่มทรงอารมณ์เข้าเป็นอรูปฌาน อีกสี่จนจบสมาบัติแปด สมัยนั้นทำแค่กองเดียวคือจาก พุทธานุสติ นับได้ว่า ได้สมาบัติแปด
แต่.......สำหรับพุทธภูมิกำลังใจแค่นี้ ทำได้แค่นี้ยังไม่พอครับ


kananun 22-12-2006, 08:01 PM

ในวันใหม่ของการบวชธุดงค์ พระทุกรูปต้องตื่นไปไหว้พระสวดมนต์และฟังธรรม นั่งสมาธิที่ลานธรรมตั้งแต่ตีสาม

กำลังใจแรกที่เราต้องทำเมื่อตื่นก็ คือ บอกกับตัวเราด้วยสติว่าขณะนี้เราเป็นพระอยู่นะ ดังนั้นธรรมวินัยใดที่พระพุทธองค์ท่านทรงบัญญัติไว้เราต้องเคารพ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ หลวงพ่อท่านเมตตาสั่งสอนสืบทอด เราต้องปฏิบัติให้ได้

จากนั้นก็ใช้กำลังของมโนมยิทธิขึ้นไปกราบ พระทุกๆท่านข้างบน

แล้วจึงลุกจากกลดเพื่อออกไปล้างหน้าเพื่อเดินออกจากป่า เพื่อไปลานธรรม

ระหว่างที่ล้างหน้า เราก็ใช้มหาสติปัฐฐานสี่ ในกายว่า ร่างกายเราเป็นของสกปรกไม่สะอาด มีความยากลำบากต้องดูแลมันทุกวัน และยังไม่เที่ยงจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นำที่เราล้างหน้าขอให้เหมือนเราล้างกิเลสออกจากใจด้วยเทอญ

จากนั้นก็เดินจากที่ล้างหน้าภาวนา แผ่เมตตาไปทุกย่างก้าว เพื่อห่มผ้าจัดของก่อนไปลานธรรมและบิณฑบาตร

ระหว่างที่ห่มผ้า หลวงพ่อท่านสอนให้ว่า อิติปิโส เราก็ว่าตาม ที่ท่านสอนจนห่มผ้าเสร็จ และเริ่มออกเดินออกจากป่า

การวางอารมณ์ของผมในการออกเดินในตอนเช้า เราก็ตั้งกำลังใจว่า
"การบิณฑบาตรนั้นเป็นการโปรดสัตว์ เราผู้ปรารถนาพุทธภูมิย่อมมีประสงค์ที่จะให้ผู้ที่เราโปรดได้อานิสงค์สูงที่สุด" เมื่อคิดได้ดังนี้ ผมก็เริ่มเข้ากรรมฐานในอิริยาบทเดิน โดยการจับภาพพระพุทธเจ้าจนใสเป็นแก้วประกายพรึก เต็มกำลังใจ แล้วเพิกนิมิตรออกเป็น อรูปฌาน ไล่จนครบสมาบัติแปด จากนั้น ใช้กำลังของสมาบัติแปดมาเข้าสู่วิปัสนาญาณ พิจารณาขันธ์ห้า ไล่ขึ้นไปในสังโยชน์สิบแต่ละข้อ จนจบทั้งสิบข้อ แล้วจึงยกจิตอาทิสมานกายขึ้นสู่ พระนิพพาน ส่วนกายเนื้อที่เดินอยู่บนโลกมนุษย์ ก็ทรงนิมิตรในพระสามฐานตามที่หลวงพ่อท่านสอนมา เป็นอันเป็นการเต็มกำลังใจที่เราสามารถทำได้ จากนั้นจึงเริ่มแผ่เมตตาอัปปันณานฌาน ออกไปทั้งสามไตรภูมิหนึ่งพระนิพพานเพื่อเป็นการโปรดสัตว์ตามพุทธภูมิวิสัย

เราก็ลืมตาทำไปเดินไปของเราไปเรื่อยไม่พูดกับใคร จนกระทั่งถึงลานธรรม

การทำวัตรเช้าที่ลานธรรม นั้นอากาศก็เย็น ง่วงก็ง่วง เราก็ต้องพยายามข่มใจเอาไว้ จนกระทั่งเกือบหกโมงเช้า จึงได้เวลาตั้งแถวเพื่อบิณฑบาตร

ระหว่างที่ตั้งแถวรอญาติโยมจัดสำหรับใส่บาตร เราก็ทรงอารมณ์แบบเมื่อเช้าอีกรอบ และอธิฐานเพิ่มใหโยมที่มาใส่บาตรว่า "ขอให้โยมทั้งหลายจงปรารถนาสมหวังทุกอย่างที่ถูกที่ควร "แล้วก็ทรงพุทธนิมิตรไว้บนศีรษะของเราไว้ตลอดเวลา เมื่อเดินแถวรับบาตรเราก็ภาวนาในใจ เป็นการแผ่เมตตาในทุกก้าวย่าง เมื่อรับบาตรจากโยม ถ้าพระท่านดลใจให้เราให้พรโยมแต่ละท่านว่าอย่างไร เราก็ว่าไปอย่างนั้น ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไร ขอเพียงยังศรัทธาญาติโยมให้มีกำลังใจในการทำความดี ให้ยิ่งขึ้นไปแค่นั้นเป็นพอ

ต่อไปก็เป็นการนำข้าวและปัจจัยที่ได้ทั้งหมดไปเทรวม ไว้ในกองกลางเป็นของสงฆ์ เพื่อให้โยมได้อานิสงค์สูงที่สุด และพระเองจะได้ไม่ต้องมีความโลภหรือความกังวล

แล้วจึงเดินไปพิจารณาอาหารมาฉันรวมในบาตร ทั้งคาว หวาน เรียกว่าฉันสำรวม การเลือกอาหารก็ต้องเลือกด้วยสติว่า อาหารนี้ อย่างนี้ถูกกับธาตุขันะเราหรือไม่ ฉันเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงธาตุในกายของเรา

พอเริ่มจะฉันก็ต้องพิจารณาอาหารเรปฏิกูลสัญญา ว่าอาหารที่ขบฉันนี้ แท้จริงเป้นของสกปรก เป้นสิ่งปฏิกูล เป้นของไม่สะอาดเมื่อผ่านร่างกายเราก็ยิ่งกลับกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ อีก เรากินเพื่อคงอันตรภาพนี้เพื่อสมถะธรรม จากนั้นกำหนดนิมิตรอาหารที่จะฉันนี้ ให้กลายเป็นของทิพย์น้อมขึ้นไปถวาย พระพุทธเจ้าท่านและหลวงพ่อท่าน บนพระนิพพานจากนั้นจึงลา น้อมดึงธาตุทิพย์ลงสู่อาหารก่อนที่เราจะฉัน

เมื่อฉันเสร็จ ก็เป็นเวลาพักผ่อน ก่อนที่จะเริ่ม เตรียมตัวฝึกกรรมฐาน ในตอนเที่ยงด้วยการฝึกมโนมยิทธิ ระหว่างนั้น ผมก็ไปสรงน้ำก่อนเพื่อให้กายสบาย จิตจะได้สบาย ทำกรรมฐานได้ดี

ในการบวชของผมครั้งนี้จะว่าไปแล้วก็ นับว่า มีวิบาก กรรมเก่า มาส่งผล หลายๆอย่าง ในทุกวัน ที่ผมทำธุระถ่ายหนัก ท้องจะผูกมากจน ถ่ายออกมา เป็นเลือด นองแดงฉานไปทั้งโถ เราก็ได้แต่ รำพึงในใจว่า กายนี้ช่างทุกข์และน่ากลัวจริงๆ เราตายได้ตลอดเวลา หลวงพ่อท่านสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านก็คงทรมานยิ่งกว่าเราอีกหลายเท่านักเราต้องพิจารณาธรรมในทุกอิริยาบททุกอารมณ์ใจในมหาสติปัฐฐานสี่นี้มิให้คลาดสติจากธรรม จาก ความดี


kananun 22-12-2006, 09:08 PM

ครั้นกลางวัน ได้เวลาฝึกมโนมยิทธิ ผมสองคนพี่น้องก็มีความซนอยู่พอตัว ย่องไปฝึกที่ห้องมือใหม่ ผู้ยังไม่เคยได้ มโนมยิทธิมาก่อน ซึ่งอยู่ชั้นสองของ 12 ไร่ ที่สำคัญคือ หลวงพี่อนันต์ท่านเป็นผู้ลงมือสอนด้วยตัวเอง
พอได้เวลาหลวงพี่ท่านลง พอเห็นหน้าเราท่านก็ทักว่า "ไอ้เจ้าสองคนนี่ได้มโนแล้วนี่" ผมก็ได้แต่ตอบท่านไปว่า หลวงพี่ท่านไม่ค่อยได้ลงสอน ดังนั้นผมขอโอกาสด้วยครับ จะได้ทราบหลายๆลีลาครับ ซึ่งท่านก็เมตตา เราสองคนพี่น้องอย่างยิ่ง อนุญาตให้ฝึกกับท่าน

การสอนมโนมยิทธิของท่านเรียบๆง่ายๆ เปี่ยมไปด้วยเมตตาประสงค์ที่ผลที่จะพึงเกิดกับผู้ฝึกเป็นสำคัญ แต่สิ่งอัศจรรย์ในการสอนของท่านที่ผมไม่เคยได้พบพานมาก่อนก็คือ ท่านมีพลังอย่างมาก ชนิดที่ผมที่เป้นประเภทชอบลืมตาฝึกจนติดเป็นนิสัย ไม่สามารถลืมตาได้ และพลังในการดึงอาทิสมานกายของผู้รับการฝึกขึ้นสู่ข้างบนนิพพานนั้นท่านมีพลังมากอย่างยิ่งครับ เป็นประสบการณ์ที่ผมขอจารึกไว้เพื่อการบูชาคุณความดี ความสามารถของหลวงพี่อนันต์ท่านอย่างหาที่สุดไม่ได้ครับ สาธุ.....

เสร็จจากฝึกมโนมยิทธิในช่วงกลางวัน เราก็ผ่อนคลายอิริยาบทและฉันน้ำปานะ เพราะช่วงธุดงค์พระทุกองค์ท่านฉันมื้อเดียวครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกหิวอะไรเลยช่วงเย็น คงเป็นเพราะความเป็นพระที่ได้ปิติมาหล่อเลี้ยงใจให้ปิติครับ

พอถึงช่วงบ่ายแก่ๆก็เป็นการทำวัตรเย็น สวดมนต์นั่งสมาธิแบบสุขวิปัสโกยาวเรื่อยไปจนถึงเกือบค่ำ แล้วจึงเดินกลับเข้าป่าไปเพื่อจำวัดพักผ่อนเพื่อเริ่มวันใหม่ต่อไปครับ


vena 26-12-2006, 01:54 PM

เอามาฝากค่ะ
9197.jpg


kananun 27-12-2006, 09:13 PM

มาเล่าต่อครับ หลายๆท่านเริ่มมาทวงแล้ว งานเพื่อการเตรียมการเรื่องภัยพิบัติค่อนข้างเยอะครับ


kananun 27-12-2006, 10:40 PM

พอเช้าวันใหม่ ผมก็ทรงอารมณ์ใจในกรรมฐานสูงสุด คือเริ่มที่พุทธานุสติจนเป็นฌานสี่ เพิกนิมิตรออกตามอารมณ์ของสมาบัติแปด จากนั้นจึงใช้กำลังของสมาบัติแปด มาใช้ในการเจริญวิปัสนาญาณตัดสังโยชน์สิบในแต่ละข้อจนจบ ทั้งสิบข้อแล้วยกจิตอาทิสมานกายขึ้นสู่พระนิพพาน จากนั้นจึงใช้อารมณ์บนพระนิพพานที่ทรงความบริสุทธ์สูงที่สุด เริ่มแผ่เมตตาอัปปันณานฌาน วันที่สองนี้ เริ่มแผ่เพิ่มเป็นกรุณา มุทิตา และอุเบกขาอัปปันณานฌาน จนครบ พรหมวิหารสี่ในแบบการใช้อารมณแผ่เมตตาไปไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

แล้วจึงเดินออกจากป่าไปสู่ลานธรรมเพื่อทำวัตรและเตรียมออกบิณฑบาตร

วันที่สองนี้ เกิดเรื่องกับผมครับ พอหลังจากฉันเสร็จ เดินกลับไปที่กลด ปรากฏว่าในกลด มีฝูงมดพากันเดินเต็มกลดเลย ผมจึงก็เลยมาทบทวนว่า เรานี้ทำผิดอะไรไว้ มดจึงมากวน คิดเท่าไร ก็คิดไม่ออก ลองเอามือกวานลงไปในย่าม ปรากฏว่าเจอครับ เป็นเศษเหรียญ จำนวนสองบาท ติดอยู่ในซอกลึกของย่าม เอาออกมาเข้ากองกลางของสงฆ์ไม่หมดครับ มดเลยขึ้นทั้งกลด หลังจากปัดและจัดกลดใหม่เสร็จ ก็มีอาการบ่นกับเทวดา หน่อยนึงว่า
"ไม่เจตนานี่ผิดด้วยหรือ "
เทวดาท่านก็บอกว่า
"ผิดที่เลินเล่อครับ "
คราวนี้ขอตัดพ้อหน่อยว่า
"ทำไมเข้มงวดจัง บวชคราวนี้"
ท่านก็บอกว่า
"ก็ ธุดงค์ก็ย่อมอุกฤต เป็นธรรมดา ที่สำคัญหลวงพ่อสั่ง เทวดาในเขตป่าธุดงค์ว่ากฏต้องเป็นกฏ"

ผมก็เลยถึงบางอ้อ หมดสิทธิ อุทรณ์ ฏีกาใดๆ พอวันรุ่งขึ้น เวลาเอาเงินออกใส่กองกลางคราวนี้ทั้งเท ทั้งเขย่าย่ามครับ เอาชัวร์ดีกว่าโดนมดหามครับ

บ่าย หลังการฝึกกรรมฐานมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านเปิดโอกาสให้ทำบุญถวายสังฆทานได้ ผมกับพระน้อง ก็เลยตั้งใจถวายถวายสังฆทานใหญ่ สองพันบาทเพื่อเป็นอานิสงค์ในการทำทานในเพสของพระ เราก็ได้ปรึกษากันว่า
"ถวายสังฆทานธรรมดา อานิสงค์ยังน้อยไป เราควรโปรดญาติโยมให้พึงมีอานิสงค์สูงสุดไปด้วย อีกอย่างสังฆทานชุดใหญ่เป็นของทำได้ยากสำหรับบางท่าน"
เราทั้งสององค์จึงได้ พูดบอกญาติโยมแถบนั้นว่า
"ขอโยมทั้งหลายมาร่วมถวาย มหาสังฆทานกับอาตมาด้วยเทอญ มาแบ่งบุญกันไปนะ "

ก็ปรากฏว่ามีญาติโยมมากมายหลายสิบท่านมาร่วมทำบุญด้วยโดยที่นำเงิน สิบบาท ย่สิบบาทบ้างมาร่วมถวายใส่ลงบนตักของพระองค์ใหญ่ในชุดสังฆทาน โยมผู้ชายก็เกาะหลังพระใหม่ โยมผู้หญิงก็เกาะต่อกันไปเป็นงูกินหางแถวยาวเหยียด

เมื่อถึงเวลาน้อมถวายหลวงพี่อนันต์ ผมก็ตั้งจิตใช้กำลังของมโนมยิทธิ ขอบารมีพระท่านยกจิตตนเองขึ้นสู่พระนิพพาน และดึงอาทิสมานกายของญาติโยมทุกท่านที่ร่วมบุญด้วย ขึ้นไปบนนั้นด้วย จากนั้นจึงตั้งจิตอธิฐานว่า

" ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านเมตตา ข้าพเจ้าทั้งปวงขอน้อมจิตถวาย มหาสังฆทาน แด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นประธานให้หมู่ ทุกท่านผู้ถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"

เมื่อถวายเสร็จก็รู้สึกปลาบปลื้มใจในมหากุศลที่เราได้บำเพ็ญและเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้ถึงกุศลเช่นเดียวกับเราด้วย อันที่จริงความสุขจากการที่เราทำให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดีนั้น มีมากกว่า การทำบุญเพื่อตนเองเป็นอย่างมาก

กิจวัตรในทุกวันก็ดำเนินไปในการปฏิบัติ เข้มข้นทุกอารมณ์ใจอย่างนี้เป็นปรกติ ทรงมหาสติปัฐฐานสี่ในทุกอิริยาบท ส่วนหลวงพ่อท่านก็ได้มาสั่งไว้ว่า
"อย่าไปสน จริยาของผู้อื่น "
เมื่อได้ปฏิบัติตามที่ท่านมาบอก ก้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีผลในการปฏิบัติในข้อนี้เป็นอย่างมาก

ซึ่งแต่เดิมไม่เคยเข้าใจคำสอนนี้เท่าที่ควร
ผลของการปฏิบัติ ในธรรมข้อนี้ก็คือ

1.ทำให้จิตเราไม่ออกไปสนใจภายนอก ตั้งมั่นในมหาสติอย่างมั่นคง
2.ทำให้เราไม่ไปฟุ้งซ่านในเรื่องของคนอื่น ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร
3.ทำให้จิตของเราไม่ไปปรุงแต่งในเรื่องที่เป็นอกุศลของผู้อื่น ปิดช่องทางทางความคิดลง ทำให้ใจสงบ ขบคิดพิจารณาแต่ในข้อธรรมมะ



แต่ก็เป็นวิบากกรรมเรื่องท้องไส้ของผม ที่ยังถ่ายหนัก ออกมาเป็นเลือดสดๆ เต็มโถทุกวัน แม้เราจะพยายามปรับอาหารด้วยสติ ในการพิจารณาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ฉันน้ำส้มสด น้ำเสาวรส วันละเกือบ สิบแก้ว ก็ยังไม่หาย จึงเป็นข้อพิสูจน์ในเรื่องกรรม และกฏของกรรมที่เราต้องรับผลของมัน

ทุกวันก็ดำเนินไปแบบนี้

จนถึงวันหนึ่ง ในระหว่างที่ฝึกมโนมยิทธิ พระท่านสั่งว่าให้ทำ กรรมฐานสี่สิบกองให้จบจนถึงอารมณ์พระนิพพาน

เมื่อก่อนเราเองก็ดื้อใช่ย่อย แต่พระท่านปราบเสียเชื่องแล้ว
ตอนนี้พระท่านสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามท่านสั่งครับ
รวมทั้งการที่เราจะทำการสิ่งใดก็ถามพระท่านก่อน ให้เป็นวินิจฉัยการสั่งการของพระท่านครับ

การปฏิบัติ ท่านให้เราไล่ตั้งแต่ อนุสติสิบเริ่มต้นตั้งแต่ พุทธานุสติ ในอารมณ์พิจารณา ขึ้นไปจนเป็นฌานสี่ แล้วเพิกนิมิตร เป็นสมาบัติแปด ใช้กำลังของอรูปฌานในการพิจารณาตัดสังโยชน์สิบแต่ละข้อจนถึงอารมณ์พระนิพพาน เป็นอันจบหนึ่งกอง แล้วไล่อารมณ์อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนจบอนุสติทั้งสิบกอง

ก็มาไล่บรรดากรรมฐานชุดอื่นๆ เช่น อสุภ กสิณสิบ พรหมวิหารสี่

เราไล่ไปเรื่อยๆตั้งแต่บ่าย เขาพักกันเราก็ทำเงียบๆ ไม่มีใครรู้ บางเวลาก็ลืมตาทำบ้าง หลับตาบ้าง จนทำวัตรเย็นเราก็ทำไปของเราจนค่ำ ต้องเดินจากสิบสองไร่กลับเข้าป่าที่พัก

ก็ปรากฏว่า เราได้เจริญกรรมฐานทั้งสี่สิบกองชนิดเต็มกำลังจนถึงอารมณ์นิพพาน ได้จบภายในวันเดียว โดยมาจบตอนเดินถึงกลางทาง
ที่มาเล่าให้ฟังไม่ใช่ว่าจะเป็นการโอ้อวดความเก่งกล้าสามารถของตนเอง เพราะที่ทำได้นั้น ตอนที่ติดขัดอะไร พระท่านก็เมตตาแนะนำให้ในมโนมยิทธิ ที่มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะให้เป็นกำลังใจในการทำความดีของท่านผู้อื่น รวมทั้งท่านที่อยุ่ในร่มกาสาวพัฒน์ ว่า

"ผมเองเป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป ยังทำได้ ท่านที่ตั้งใจจริงก็น่าที่จะทำได้เช่นเดียวกันกับผม"

และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเพื่อเป็นการบูชาคุณครูคือพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านว่า การปฏิบัติที่ท่านได้สอนมานั้น ทำได้จริงๆ มีจริงๆ แม้ในยุคสมัยนี้

พอทำกรรมฐานสี่สิบกองจบ ยังมันส์อยู่ ก็ได้ถามพระท่านว่า
"จะให้ทำต่อ เป็น มหาสติปัฐฐานสี่แบบสุดอารมณ์นิพพานอีกหรือไม่ครับ"
เนื่องจากอีกไกลพอควรกว่าจะถึงที่พัก

พระท่านบอกว่า
"สติปัฐฐาน ทับตายพอดี ที่เดินอยู่ เราพิจารณาไม๊ เรากินพิจารณาไม๊ ขี้อยู่เราพิจารณาไม๊ แล้วนั่นเรียกว่าอะไร"
ผมก็ตอบท่านว่า
"มหาสติปัฐฐานสี่ครับ"
ท่านก็ว่า
"คราวนี้เข้าใจแล้วใช้ไหม"

จากนั้นผมก็ทรงอารมณ์พระนิพพานเรื่อยไปจนถึงที่พัก

ค่ำมืดแล้ว ผมก็จุดเทียนหน้ากลด ไว้จากนั้น ก็เดินไปสรงน้ำ พอสรงน้ำเสร็จ เดินกลับมาที่กลด ซักยี่สิบเมตรจะถึง ปรากฏว่ามีพระสี่รูปห่มผ้าเรียบร้อยมายืนมุงอยู่หน้ากลดผม ไอ้เราก็ใจหายว่า โดนพระพี่เลี้ยง ท่านมาเล่นงานเรื่องจุดเทียนทิ้งไว้หรือเปล่า ไอ้เราจะโดน อิติปิโส ทำโทษ ร้อยจบหน้าพระประธานหรือเปล่า

แต่พอเดินถึงกลด พระทั้งหมดท่านหายไปเฉยๆ เลยครับ ไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น เลยจากกลดไปก็เป็นนาข้าว แล้วพระทั้งหมดท่านหายไปไหน

ผมก็โล่งใจหน่อยว่าไม่ถูกทำโทษ แต่ที่แน่ๆพระที่เห็นไม่น่าจะใช่คน

พอเข้านอนก็เลยถามพระท่าน ท่านก็เลยบอกว่า ทุกท่านๆมาโมทนา ในการปฏิบัติ จากนั้นหลวงพ่อก็มาตามบอกว่าให้นิมนต์ไปที่เทวสภาหน่อย
ผมก็ถามท่านว่าจะเอาอย่างนั้นเลยหรือ ท่านก็บอกว่า เป็นกิจที่พุทธภูมิพึงกระทำ ผมจึงได้ตามหลวงพ่อท่านไปที่นั่นและปฏิบัติตามที่มีท่านได้นิมนต์ไว้ จากนั้นผมก็หลับไป ด้วยใจที่สบาย ไม่ถูกทำโทษครับ
(verygood)


Attawat_Rx 28-12-2006, 08:16 AM

ขออนุโมทนาด้วยจิตอันบริสุทธ์ครับ จะยึดถือเป็นแบบอย่างแนวปฏิบัติ และกำลังใจในการปฏิบัติครับ


kananun 28-12-2006, 09:23 PM

จนกระทั่งถึงวันที่เป็นการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง

สำหรับผมแล้ว วันนั้น เหมือนวันที่เราขึ้นไป รับคำสั่งเรื่องงาน เรื่องการปฏิบัติ ที่พระท่านได้เมตตาสั่งลงมาให้เราทำในแต่ละปี เริ่มต้นก็เป็นการขึ้นไปกราบทุกท่านให้ครบทุกๆพระองค์ ในปีนี้มีที่พิเศษ อยู่ก็คือ

พระท่านสอนให้เข้าใจอารมณ์ ในความหมายของราชาศัพท์คำว่า

"ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม"

ในการใช้ราชาศัพท์นี้ก็มีแต่จะพูดกันไปตามจารีตประเพณี พิธีการ แต่จะมีผู้ใดเข้าใจในอารมณ์ของราชาศัพท์นี้อย่างแท้จริง

พระท่านสอนว่า

"เรานี้เป็นพุทธภูมิ ก็ย่อมมี มานะ ทิษฐิ มากเป็นธรรมดาความถือตัวถือตนนี้เป็นกิเลส เครื่องกั้นในความดีทั้งปวง เมื่ออวดดีแล้วก็ไม่อาจจะ รับความดีใดๆได้อีก เพราะคิดว่าตนเองเก่งแล้ว วิเศษแล้ว

การจะสลายมานะทิษฐินี้จำเป็นต้องเข้าใจความหมายของราชาศัพท์ประโยคนี้ให้ได้เสียก่อนว่า ประโยคนี้ มีอาการอย่างไรมีอารมณ์ใจอย่างไร"

จากนั้นท่านก็สอนโดยทำให้เห็น ได้พิจารณาว่า

"คำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมนั้น คืออารมณ์ใจที่ เรามีความเคารพ ยอมรับ ศรัทธาในความดีและพระคุณของท่าน พระองค์ท่าน อย่างหมดจิตหมดใจ มานะทิษฐิสลายตัวจากหัวใจของเราไปจนหมดสิ้น จนเราพร้อมที่จะใช้ศีรษะของเราเป็นที่เช็ดฝุ่นผงธุลี ที่เลอะเปรอะพระบาทของพระองค์ท่านได้อย่างรู้สึกเป็นมงคลต่อชีวิตสูงที่สุด"

ท่านก็ถามว่า ใจเราทำได้หรือไม่

ผมก็ใช้ศีรษะของผม ต่างผ้าขี้ริ้วเช็ดพระบาท ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ รวมทั้งพระมหากษัตริย์ของไทย ด้วยความยินดี

ความรู้สึกตอนนั้น กลับรู้สึกว่า ใจสบายมีความสุข เหมือนกับว่าจิตของเราได้ยกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

ทุกวันนี้จึงได้กรรมฐานเช็คพระบาทพระพุทธองค์ท่านมาอีกกองหนึ่ง ที่ทำทุกวันด้วยความยินดี

มาต่อกันในการอธิบายเรื่องมโนมยิทธิเต็มกำลัง

พระท่านฝากบอกมาว่า มีหลายท่านมาให้ความสำคัญกับความชัดเจนแจ่มใสมากจนเกินไป

ที่จริงสิ่งที่ท่านประสงค์ก็คือ

การฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนั้นเหมือนการสอบไล่ปลายปีของผู้ปฏิบัติ เป็นการซ้อมตาย ก่อนตาย ว่า ถ้าเมื่อเราจะตาย เราจะดับจิต

ถ้าไม่มีผู้มาแนะนำ มาสอน มาชี้ทางนิพพานนั้น

ท่านจะสามารถ ไปพระนิพพานได้ด้วยตัวเองได้หรือไม่

ท่านโปรดอย่าได้ลืมว่า พุทธประสงค์ในการสอนมโนนั้นท่านมุ่งเน้น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติ ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ การเข้าถึงอรหันต์ผลเมื่อตาย ซึ่งเป็นวิธี บรรลุธรรมเข้าพระนิพพานที่ง่ายที่สุด

ดังนั้นความชัดเจน ความสว่างไสว แพรวพราว ที่ได้จากการฝึกมโนเต็มกำลังนั้นเป็นเหมือนเครื่องประคองกำลังใจของเราให้ปิติอิ่มเอิบใจในผลแห่งการปฏิบัตินั่นเอง

ท่านที่ไปนิพพานได้แต่ไม่ชัดเจน ก็จงให้ทรงกำลังใจไว้ให้ภูมิใจว่า

"เรารักษาความดีของหลวงพ่อ มาถึงนิพพานได้เช่นกันชาตินี้เราขอ ไม่คลาดจากพระนิพพานด้วยเทอญ"

ขอให้ท่านทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งความดีที่สมเด็จพระชินสีห์ทรงมีพระเมตตาสั่งสอนไว้ด้วยเทอญ


kananun 29-12-2006, 08:17 PM

การบวชธุดงค์ของผมก็ดำเนินไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่จะเป็นกำหนดการลาสิกขาเพื่อกลับเข้าสู่เพสฆราวาส

ที่วัดท่านให้ไปลาสึกกันที่วิหารร้อยเมตร หน้าที่วางพระศพของหลวงพ่อท่าน

ก่อนที่จะสึกก็มีวิบากมากระทบใจ ให้เป็นข้อทดสอบกำลังใจของผมอีก พระที่ท่านมีความคึกคะนอง คุยกันเสียงดังหน้าพระศพหลวงพ่อ นัดแนะกันว่า

" เดี๊ยวจะไปเที่ยวหมอนวดให้หายอยาก"

ผมก็สะดุ้งใจอย่างแรงว่า
"โอ้หนอ ผ้าเหลืองยังไม่พ้นกาย ความเป็นสงฆ์ยังไม่ขาดดี ญาติโยมก็นั่งกันเต็มศาลาเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมจึงทำลายความศรัทธาของญาติโยมได้เพียงนี้"

คิดๆอยู่ พระองค์ที่พูด ก็ยังกับจะแกล้ง ดันกระเถิบมากระแซะใกล้ๆผมซะอีก

ไอ้ใจเราก็คิดว่า "เรารังเกียจความมีมลทินในศีลในวาจา ของบุคคลผู้นี้ เราหลีกไปดีกว่า"

ผมก็หลบเลี่ยงไปนั่งไกลๆ แล้วตั้งใจว่า เวลาท่เหลือ นั้นแม้จะอีกไม่นาน แต่ก็เป็นการนับถอยหลังสู่เวลาในการเป็นพระของเรา แม้บุคคลผู้อื่นไม่ให้ความเคารพ ไม่ให้เกียรติต่อหลวงพ่อ แต่เราผู้เป็นลูก คงทำได้แต่การทำความดีบูชาพระคุณพ่อของเราเพราะชาตินี้เราจะมีโอกาสได้บวชอีกหรือไม่ก็ไม่แน่ เราพึงทำความดีตราบจนวินาทีสุดท้ายของความเป็นพระดีกว่า"

จากนั้นผมก็ทำกำลังใจในพุทธานุสติกรรมฐาน ไล่อารมณ์จนถึงฌานสี่ เพิกนิมิตรออกเป็นอารมณ์ของสมาบัติแปด จากนั้นก็พิจารณาตัดสังโยชน์ทั้งสิบ แล้วยกจิตของตนขึ้น อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของสมเด็จองค์ปฐม พร้อมทั้งทุกท่านที่อยู่บนพระนิพพาน ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ ตราบจนวินาทีสุดท้ายแห่งความเป้นสงฆ์ สมดังที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ในการปฏิบัติ

เมื่อสึกเรียบร้อยผมก็เดินทางกลับบ้านโดยมี น้องเค เป็นผู้มีเมตตาให้ผมอาศัยรถกลับกรุงเทพด้วย ส่วนน้องชายของผมเนื่องจากเป้นการบวชครั้งแรกจึงได้ขออยู่ต่อและสึกในฤกษ์สุดท้าย

เมื่อถึงบ้านสิ่งที่ผมได้ทำเป็นอย่างแรกก็คือความตั้งใจนำบุญมาบูชาพระคุณแม่ ให้ท่านได้อานิสงค์จากการบวชของเราสองคนพี่น้องเนื่องจากในช่วงเวลานั้นทางบ้านของผมกำลังประสบกับมรสุมของชีวิตอย่างหนัก


สิ่งแรกที่ผมได้ทำเมื่อได้พบแม่ ก็คือไปกราบท่านแม่ที่เท้าของท่านและยกเอาเท้าของท่านมาวางเหนือเศียรเกล้าของผม ในอารมณ์ที่พระท่านสอนไว้ ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นในจิต ในใจของเรานั้น เต็มไปด้วยความกตัญญูต่อท่านอยากให้ท่านได้ธรรมมะ ได้สัมมาทิษฐิ เช่นเดียวกับที่เราได้ สิ่งที่เราบำเพ็ญอย่างอุกฤตในการบวชครั้งนี้ แต่ดูเหมือนท่านจะซึมซับความรู้สึกที่เรามอบให้ได้

ในที่สุด อานิสงค์แห่งการบวช ก็ช่วยนำพาครอบครัวของผมให้รอดพ้นจากวิกฤตไปได้ครับ

ก็ขอจบเรื่องเล่าเรื่องการบวชธุดงค์ ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ
ขอให้ท่านทั้งหลาย พึงได้พึงรับ แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นผลในการการปฏิบัติด้วยเทอญ.....


พุทธันดร 31-12-2006, 08:23 AM

พระท่านสอนให้เข้าใจอารมณ์ ในความหมายของราชาศัพท์คำว่า

"ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม"

ในการใช้ราชาศัพท์นี้ก็มีแต่จะพูดกันไปตามจารีตประเพณี พิธีการ แต่จะมีผู้ใดเข้าใจในอารมณ์ของราชาศัพท์นี้อย่างแท้จริง

พระท่านสอนว่า

"เรานี้เป็นพุทธภูมิ ก็ย่อมมี มานะ ทิษฐิ มากเป็นธรรมดาความถือตัวถือตนนี้เป็นกิเลส เครื่องกั้นในความดีทั้งปวง เมื่ออวดดีแล้วก็ไม่อาจจะ รับความดีใดๆได้อีก เพราะคิดว่าตนเองเก่งแล้ว วิเศษแล้ว

การจะสลายมานะทิษฐินี้จำเป็นต้องเข้าใจความหมายของราชาศัพท์ประโยคนี้ให้ได้เสียก่อนว่า ประโยคนี้ มีอาการอย่างไรมีอารมณ์ใจอย่างไร"

จากนั้นท่านก็สอนโดยทำให้เห็น ได้พิจารณาว่า

"คำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมนั้น คืออารมณ์ใจที่ เรามีความเคารพ ยอมรับ ศรัทธาในความดีและพระคุณของท่าน พระองค์ท่าน อย่างหมดจิตหมดใจ มานะทิษฐิสลายตัวจากหัวใจของเราไปจนหมดสิ้น จนเราพร้อมที่จะใช้ศีรษะของเราเป็นที่เช็ดฝุ่นผงธุลี ที่เลอะเปรอะพระบาทของพระองค์ท่านได้อย่างรู้สึกเป็นมงคลต่อชีวิตสูงที่สุด"

ท่านก็ถามว่า ใจเราทำได้หรือไม่

ผมก็ใช้ศีรษะของผม ต่างผ้าขี้ริ้วเช็ดพระบาท ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ รวมทั้งพระมหากษัตริย์ของไทย ด้วยความยินดี

ความรู้สึกตอนนั้น กลับรู้สึกว่า ใจสบายมีความสุข เหมือนกับว่าจิตของเราได้ยกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

ทุกวันนี้จึงได้กรรมฐานเช็คพระบาทพระพุทธองค์ท่านมาอีกกองหนึ่ง ที่ทำทุกวันด้วยความยินดี

น้ำตารื้นเลยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ กราบอนุโมทนาค่ะ


MOUNTAIN 31-12-2006, 08:44 AM

สาธุ สาธุ สาธุ
ขออนุโมทนาครับ


boko0121 31-12-2006, 08:46 AM

สาธุ..อนุโมทนากับทุกท่านด้วย


NuJanBaBor 01-01-2007, 08:44 AM

แล้วตกลงมันจะเกิดตอนไหนแน่ค่ะ
นู๋จะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมกลับเมืองไทยถูก


boko0121 01-01-2007, 08:58 AM

ยังไม่รู้เหมือนกันครับ


NuJanBaBor 01-01-2007, 09:25 AM

ใครรู้เวลาที่แน่นอน หรือไกล้เคียงมากที่สุด
ช่วยบอกหน่อยน่ะค่ะ


อักขรสัญจร 01-01-2007, 09:41 AM

นู๋จงกลับเมืองไทยเมื่อฝรั่งเศสถูกโจมตี


kananun 01-01-2007, 09:53 AM

ครับผม เวลาที่แน่นอน ยังไม่มีใครทราบครับ เพราะมีการบังไว้

แต่หลวงพ่อท่านให้สังเกตุว่าถ้าฝรั่งเศสถูกโจมตี ให้ลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศรีบ เดินทางกลับไทยครับ

ส่วนอีกข่าวหนึ่งที่ได้ทราบมา หลวงพี่เล็กท่านบอกว่า ให้เริ่มทะยอยกลับไทยให้ได้ภายในไม่เกินปี 50 เพราะ ถ้าหลังจากนี้จะกลับกันลำบากครับ

อยู่ที่อังกฤษก็รวมตัวคนไทยที่ทราบเรื่องนี้กันไว้ครับ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ปรึกษากัน คุณ เวบสโนว์ เจ้าของเวบนี้ก็อยู่ที่อังกฤษเช่นกันครับ

ที่สำคัญเวลานี้ พระท่านให้เร่งฝึกจิต ฝึกสมาธิให้เข้มข้นครับ


boko0121 01-01-2007, 03:03 PM

ครับผม เวลาที่แน่นอน ยังไม่มีใครทราบครับ เพราะมีการบังไว้

แต่หลวงพ่อท่านให้สังเกตุว่าถ้าฝรั่งเศสถูกโจมตี ให้ลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศรีบ เดินทางกลับไทยครับ

ส่วนอีกข่าวหนึ่งที่ได้ทราบมา หลวงพี่เล็กท่านบอกว่า ให้เริ่มทะยอยกลับไทยให้ได้ภายในไม่เกินปี 50 เพราะ ถ้าหลังจากนี้จะกลับกันลำบากครับ

อยู่ที่อังกฤษก็รวมตัวคนไทยที่ทราบเรื่องนี้กันไว้ครับ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ปรึกษากัน คุณ เวบสโนว์ เจ้าของเวบนี้ก็อยู่ที่อังกฤษเช่นกันครับ

ที่สำคัญเวลานี้ พระท่านให้เร่งฝึกจิต ฝึกสมาธิให้เข้มข้นครับ

ผมว่าภายในสามปี2550-2551-2552)ไม่เกินนี้แหละ


NuJanBaBor 01-01-2007, 05:24 PM

ถ้าไม่เกิน 3 ปีก็ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง

เก็บเงินๆๆๆๆ เอาไปซื้อเสบียงไว้เยอะๆ

แล้วก็ซื้อพวกเครื่องช่วยชีวิต

เราว่าประเทศอังกฤษคงไม่เหลืออ่าค่ะ มันเป็นเกาะ



ภูมิใจจริงๆที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ

ตอนนี้ต้องไปก่อนและค่ะ เดี๋ยวจะมาใหม่ ไปกิ้นขาว

แล้วก็ไปโทรศัพท์กลับเมืองไทยด้วย

ขอให้โชคดีกันทุกคนน่ะค่ะ

เว็บนี้ช่วยเราคลายเหงาได้เยอะ


boko0121 01-01-2007, 07:23 PM

ถ้าไม่เกิน 3 ปีก็ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง

เก็บเงินๆๆๆๆ เอาไปซื้อเสบียงไว้เยอะๆ

แล้วก็ซื้อพวกเครื่องช่วยชีวิต

เราว่าประเทศอังกฤษคงไม่เหลืออ่าค่ะ มันเป็นเกาะ



ภูมิใจจริงๆที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ

ตอนนี้ต้องไปก่อนและค่ะ เดี๋ยวจะมาใหม่ ไปกิ้นขาว

แล้วก็ไปโทรศัพท์กลับเมืองไทยด้วย

ขอให้โชคดีกันทุกคนน่ะค่ะ

เว็บนี้ช่วยเราคลายเหงาได้เยอะ

ขอให้คุณโชคดีนะครับ


NuJanBaBor 01-01-2007, 08:09 PM

แล้วตกลงภาคกลางเราจะอยู่ตรงไหนดี

มีใครจะเตรียมตัวกัน แบบจริงจังบ้าง เอาจริงๆน่ะ


กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

กลับหน้าแรก