กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
เมื่อวานนี้ได้คุญกับน้องคนหนึ่งเรื่องการปฏิบัติของเขา และก็ได้ใช้มโนขึ้นไปถามพระท่านด้วยกัน พระท่านเมตตาบอก เรื่องการฝึกอภิญญาว่า ที่จริงแล้วเป็นเรื่องไม่ยาก ถ้าวางกำลังใจถูก มันก็ได้ของมันเอง แต่จุดสำคัญท่านเน้น เรื่องสัมมาทิษฐิครับซึ่งก็ตรงกันกับที่ผมพยายามเน้นอยู่เสมอ และอีกเรื่องก็คือให้หมั่นทบทวนของเก่า วิชาเก่าที่ได้ศึกษามาเพราะยังต้องใช้ร่วมกันเป็นพื้นฐานอยู่เสมอส่วนการแนะนำความรู้ต่างๆ ที่ผมได้ทำอยู่ พระท่านบอกว่าให้ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะกำลังใจคนไม่เสมอกัน ถ้าเร่งมากไป จะเป็นการหนักเกินกำลังใจของบางท่าน ดังนั้นผมขออนุญาต ปรับสปีดตามที่พระท่านบอกนะครับ และถ้าเป็นไปได้ อาจมีการเปิดสอนสมาธิโดยตรงเป็นกลุ่มย่อย ประมาณไม่เกิน 10คน ในกรุงเทพ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เน้นเป็นธรรมทานครับ จะได้เป็นการสร้างพลังแห่งความดีให้แก่โลกใบนี้ครับ รายละเอียดติดตามกันต่อไปครับ
^
^
ดีค่ะ
---
นักเรียนคนนี้ยังคงติดตาม แต่ก็ต้วมเตี้ยมไปหน่อย คุณครูขยันมากเลยค่ะ อนุโมทนาสาธุ
เดี๋ยวต้อง print ออกมา รวบรวมเป็นเล่มแล้วค่ะ เผื่อจะได้ copy แจกด้วย สาาาาาธุ..
(verygood) (verygood) (verygood)
เอพี/เอเอฟพี - นานาชาติชื่นชมฝรั่งเศสหลังยอมเพิ่มทหารอีก 1,600 นาย เข้าร่วมกองกลำงรักษาสันติภาพของหสประชาชาติเพื่อเข้าไปดูแลความสงบบริเวณพรมแดนทางตอนใต้ของเลบานอน ด้านผู้นำน้ำหอมเผยต้องการทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองกำลัง
วานนี้ (24) หลังจากที่ประธานาธิบดีฌากส์ ชีรัก ผู้นำฝรั่งเศสแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ระบุว่า ฝรั่งเศสจะส่งนายทหารกองรบพิเศษอีก 2 กองพันเข้าร่วมกับกองกำลังยูนิฟิลของสหประชาชาติ โดยในแต่ละกองพันจะมีนายทหารฝรั่งเศสจำนวน 800 คน เมื่อรวมกับทหารอีก 400 คนที่อยู่ในเลบานอนอยู่แล้วก็จะเป็น 2,000 คนแล้ว หลายๆ ชาติก็ได้ออกมากล่าวชื่นชมการตัดสินใจในครั้งนี้
"ผมขอปรบมือให้แก่การตัดสินใจของฝรั่งเศส เช่นเดียวกับคำมั่นที่สำคัญจากอิตาลี และจากพันธมิตรที่สำคัญของเราชาติอื่นๆ ผมกำลังแนะนำให้ชาติอื่นๆ ให้การสนับสนุนด้วยเช่นๆ กัน" ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ของทำเนียบขาว
นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังได้รับคำชื่นชมจากอิสราเอลและอิตาลีด้วย โดยโฆษกรัฐบาลอิสราเอลระบุว่า การตัดสินใจของฝรั่งเศสถือเป็นพัฒนาในเชิงสร้างสรรค์ ฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญต่อการจัดตั้งกองกำลังนานาชาติ การประกาศส่งทหารเพิ่มจะช่วยให้กองกำลังดังกล่าวแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ขณะที่นายกรัฐมนตรีโรมาโน โพรดี ของอิตาลี กล่าวว่า ได้รับแจ้งล่วงหน้าจากประธานาธิบดีชีรักแล้ว ต่อไปนี้กองกำลังนานาชาติในเลบานอนจะไม่มีเพียงอิตาลีเท่านั้นที่เป็นหลักแต่จะเป็นการประจำการของยุโรป และหวังว่าประเทศอื่นนอกยุโรปจะส่งทหารเข้าร่วมเพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ผู้นำฝรั่งเศสยังระบุด้วยว่า กองกำลังฝรั่งเศสพร้อมที่จะทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาสันติภาพที่ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับอิตาลีที่ได้เสนอตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลยิว โดยผู้บัญชาการกองกำลังจะต้องเผชิญกับภารกิจอันน่าเกรงขามในการควบคุมดูแลการยุติระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ดำเนินไปได้ด้วยดี
อนึ่ง ในการแถลงผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไปยังยุโรปและตะวันออกกลาง ผู้นำฝรั่งเศสระบุว่า เขาตัดสินใจเพิ่มทหาร หลังจากได้รับการยืนยันอนุญาตให้กองกำลังเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ และสามารถดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ หากต้องเผชิญกับสถานการณ์จากฝ่ายศัตรู พร้อมกับเสริมว่า เขาจะทำการประเมินขนาดของกองทัพอีกครั้งในอีก 6 เดือนข้างหน้าหากเหตุการณ์ต่างๆ มีความคืบหน้า "ผมเชื่อว่าวันนี้ทหารฝรั่งเศสสามารถเข้าประจำการได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
มาคุยกันในภาคของทฤษฏีกันก่อนนะครับ
---อารมณ์ที่สำคัญในการฝึกกสิณให้สำเร็จนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจำอารมณ์และนิมิตรกสิณ สามส่วน
-- ส่วนแรกนั้นคือการจำภาพนิมิตรเริ่มต้น ของกองกสิณ ซึ่งหลายๆคน ก็ไปย่ำอยู่ตรงจุดนี้นานเกินไป บางคนไปใช้เวลาเป็นปีๆก็มี แต่สำหรับท่านที่ได้มโน บางท่านก็ทำได้เลยทันทีที่แนะนำ บางท่านก็ใช้เวลา วัน สองวันจนถึงไม่เกินเจ็ดวัน ในส่วนแรกนี้มีอยู่ทั้งหมดสิบกอง ได้แก่
--กสิณดิน ปฐวีกสิณ
--กสิณน้ำ อาโปกสิณ
--กสิณไฟ เตโชกสิณ
--กสิณลม วาโยกสิณ
ทั้งสี่กองนี้เป็นกสิณธาตุ ไว้เปลี่ยนธาตุแปลงธาตุ
--กสิณสีแดง โลหิตกสิณ
--กสิณสีเหลือง ปิตกสิณ
--กสิณสีเขียว นีลกสิณ
--กสิณสีขาว โอทาตกสิณ
เหล่านี้เป็นกองกสิณสี
--อากาสกสิณ คือกสิณที่มีอากาศ ความว่างเปล่าเป็นอารมณ์
--อาโลกกสิณ คือกสิณที่มีแสงสว่างเป็นอารมณ์
อันที่จริงแล้วท่านที่ได้กสิณกองใดกองหนึ่งก็นับว่า เป็นบาทฐานในการทำอภิญญาสมาบัติ ให้ปรากฏขึ้นได้แล้ว แต่สำหรับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น การที่ท่านได้กสิณกองเดียว ยังรู้สึกว่ายังมีกำลังใจต่ำไปสักหน่อยดังนั้น เพราะท่านที่ปรารถนาพุทธภูมินั้นย่อมมีวิสัยที่ต้องสั่งสอนแนะนำเวไนยสัตว์ต่อไปในอนาคต ดังนั้นควรทำให้ได้ให้ชำนาญ ในกรรมฐานสี่สิบกองทั้งในแบบมาตราฐานและแบบพิศดารพลิกแพลง อันได้แก่การผสมกอง การควบกอง การสลับกอง ให้คล่อง
---ต่อไป เป็นนิมิตรที่ต้องจดจำอารมณ์ขั้นต่อไปคือ อุคหะนิมิตร อันเป็นสภาวะของ นิมิตรต้นของกสิณที่กำลังเปลี่ยนหรือเลื่อนไปสู่ ปฏิภาคนิมิตร
---สุดท้าย มีความสำคัญที่สุดคือ อารมณ์และนิมิตรของ ปฏิภาคนิมิตร อันสรุปรวมว่า ในกสิณทุกกองมีสภาพ สภาวะ ของ ปฏิภาคนิมิตรนี้เหมือนกันหมดทุกกอง คือมีความใส สว่างแพรวพราว เปล่งรัศมีออกมาจากภาพหรือดวงนิมิตรเป็นเพชรระยิบระยับ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่จิตใจของเราแช่มชื่นสบายที่สุด และเป็นกำลังของฌานสี่
---ให้ทุกคนจำอารมณ์และอาการของนิมิตรกสิณทั้งสามขั้นตอนได้ การฝึกกสิณก็จะง่ายขึ้นสำหรับท่าน
---ส่วนการที่จะทำให้ฝึกกสิณได้ง่ายนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นบุรพกรรมที่ท่านได้เคยฝึกเคยทำกสิณมาก่อนในอดีตชาติมาก่อนชาตินี้จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับท่าน ส่วนใหญ่ที่เคยฝึกกันมามักเป็นกสิณไฟ โดยเฉพาะชาติที่เคยเกิดเป็นฤาษีกันมา สมัยเด็กผมเองชอบเล่นไฟมาก จุดเป็นกองแล้วก็มานั่งดู เพราะดูแล้วใจเราสบาย ผู้ใหญ่ก็ดุกลัว ไฟไหม้ เราก็ไม่รู้ว่าทำไมชอบจุดไฟจัง แต่พอโตขึ้นก็เลิก ของเหล่านี้เป็นสัญญาเก่าในอดีตที่ฟื้นกลับมา
---ตกลงว่าเราจะค่อยๆฝึกกสิณไปเรื่อยๆวันละกองครับ ขอเริ่มที่กสิณสีก่อน เพราะอธิบายง่าย แล้วค่อยขยับไปกสิณธาตุกันต่อครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณสีแดง จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพวงกลมสีแดง หนึ่งวง จิตนิ่งสนิทอยู่กับวงกลม สีแดงนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ วงกสิณสีแดงนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณสีแดงในจิตค่อยๆจางลงช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น ใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณสีแดงใสขึ้นเป็นแก้ว มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณสีแดงควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด เป็นองค์พระพุทธรูปแก้วสีแดงเป็นปางใดก็ได้ที่เราชอบ เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิมตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
ตอนแรกจะเอาแบบวันเดียว สิบกองรวด แต่ดูจะหนักและเร็วเกินไป เลยขอขยับไปทีละกองจนครบสิบกองแล้วจึงจะมา เจริญวสีโดยการฝึกสลับกอง สลับฌาน ผสมกอง แล้วจึงไปขึ้น สมาบัติแปด(อรูปฌาน)กันต่อครับ ท่านที่ได้มโน และเป็นวิสัยของสาวกภูมิอาจไม่จำเป็นมากนัก ให้ไปเน้นที่อารมณ์วิปัสนาญาณให้ลึก ชำนาญและเข้าถึงความเป็นธรรมดาได้เลย ส่วนท่านที่ เป็นสาวกภูมิ แต่มีความสนใจในฤทธิ์ อภิญญา ต้องการความเป็นปฏิสัมภิทาญาณ ก็ต้องทำสมาบัติแปดให้ได้และคล่องตัวด้วยครับ จากนั้นจะเริ่ม การแยกแนวการฝึกออกเป็น
1. การใช้พลังจิตอภิญญาเพื่อการรักษาโรค
2. การใช้พลังจิตอภิญญาเพื่อปกป้องคุ้มครอง บุคคลอื่น
3. การฝึกเพื่อการเตรียมรับอภิญญาใหญ่
4. การปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมความหลุดพ้น
---ทั้งหมดนี้อย่าคิดว่าผมเก่งหรือสอนท่านนะครับ เป็นเพียงการแนะนำการปฏิบัติ เพื่อความเอื้อเฟื้อในธรรม พระท่านสั่งมาให้ทำผมก็ทำตามนั้น พระท่านว่าอย่างไร ผมก็ว่าตามนั้น เป็นความเมตตาและหน้าที่ของพระท่านครับ ส่วนใครจะก้าวหน้าได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับ กำลังใจ วาสนาทั้งของเก่าและปัจจุบัน การปล่อยวางมานะทิษฐิ เมตตาพรหมวิหารสี่ ความบริสุทธิ์ของจิตที่ปราศจากกิเลส และความตั้งใจดีครับ ใครได้ดีแค่ไหนผมโมทนาด้วยครับ ส่วนใครที่ติดขัดตรงจุดไหน ถามได้ครับ จะได้เป็นประโยชน์กับท่านอื่นด้วยครับ
วันนี้มาต่อกันที่กสิณสีเหลืองครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณสีเหลือง จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพวงกลมสีเหลืองหนึ่งวง จิตนิ่งสนิทอยู่กับวงกลม สีเหลืองนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ วงกสิณสีเหลืองนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณสีเหลืองในจิตค่อยๆจางลงช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น ใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณสีเหลืองใสขึ้นเป็นแก้ว มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณสีเหลืองควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด เป็นองค์พระพุทธรูปสีทองสุกอร่าม เป็นปางใดก็ได้ที่เราชอบ เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
มีหลายครั้งที่ผมได้แนะนำสมาธิและ ได้ตั้งคำถามกับท่านที่จะฝึกไปว่า "ต้องการฝึกสมาธิไปเพื่อ อะไร และ อะไรคือวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ต้องการในการฝึกสมาธิ " คำตอบ 90% คือ เค้าว่ามันดี ต่อมาคือ เพื่อให้จิตใจสบาย ส่วนน้อยมากที่จะตอบว่า เพื่อใช้เป็นพื้นฐานและเป็นกำลังในการทำความดี ยิ่งๆขึ้นไป อันได้แก่ เพื่อการหลุดพ้น หรือการสร้างบารมีในฐานะท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ ดังนั้นผมขอชี้แจงอีกครั้งว่า การทำสมาธิที่เริ่มต้นจากความไม่รู้ก็ดี การขาด วัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจนก็ดี เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การทำสมาธิของท่านอาจจะไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรเป็นควรได้ หรืออาจวนเวียน ย่ำอยู่กับที่ ท่านที่พอใจเพียงเท่านั้นก็อาจจะไม่เป็นไร แต่ท่านที่ปรารถนาความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติก็อาจจะต้องกลับมาทบทวน จิตใจและเป้าหมายในการทำสมาธิของเราอีกครั้งว่า เราต้องการอะไรจากการทำสมาธิ เพราะแนวทางการฝึกสมาธิเพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกันนั้น ก็มีการวางอารมณ์ใจ หนักเบาแตกต่างกัน ดังนั้นผมจะขอยกตัวอย่างเป้าหมายในการทำสมาธิให้ท่านได้ พิจารณาดูครับ คิดว่าเป็นวิมังสาในการไตร่ตรองทบทวนจิตใจในการปฏิบัติให้ก้าวหน้าและชัดเจนขึ้นครับ
---การทำสมาธิเพื่อหวังให้ใจสบาย ระดับเป้าหมายนี้ เหมาะกับการฝึกอานาปานสติ และเมื่อจับลมสบายได้ จำอารมณ์สบายได้ จิตใจก็จะมีความสุขความสบายตามที่ต้องการแล้ว
---การทำสมาธิเพื่อเป็นอุปนิสัยติดตัวไปในภพหน้า ระดับเป้าหมายนี้ มักเป็นท่านที่ ยังไม่คิดว่าตนจะหลุดพ้นในชาตินี้ และ หรือ เคยได้ อธิฐานติดตามพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่งที่ท่านจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต การปฏิบัติและการทำสมาธินั้นเหมาะกับ การทำบุญ ทำทาน การอธิฐาน รวมทั้งการทำสมาธิทั่วๆไป เน้นให้ใจสบาย ไม่ต้องเร่งรัดอะไร เน้นความดีที่ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ
---การทำสมาธิเพื่อการหลุดพ้น ระดับเป้าหมายนี้ สมควรได้ฌานสี่ และต้องเน้นหนักในวิปัสนาญาณ เป็นปรกติ และมีวางกำลังใจใน สติปัฏฐานสี่เป็นธรรมดา ส่วนท่านที่ มีวิสัยของปฏิสัมภิทาญาณนั้นต้องได้สมาบัติแปด (ฌาน แปด) เป็นปรกติร่วมด้วย และทั้งหมดต้องมีความเข้าใจในสังโยชน์สิบเป็นอย่างดี
---การทำสมาธิเพื่อการสร้างบารมีในฐานะพุทธภูมิ ระดับเป้าหมายนี้ ท่านต้องใช้กำลังใจสูงกว่าท่านที่มีวิสัยสาวกภูมิเยอะ สมาบัติแปด กรรมฐานทั้งสี่สิบกอง พรหมวิหารสี่อย่างละเอียด มหาสติปัฏฐานสี่ บารมีสามสิบทัศ วิปัสนาญาณทุกอารมณ์ ต้องทำให้ได้ ต้องคล่องให้หมด และยังต้องรู้จริต จิต อารมณ์ทุกรูปแบบ รวมทั้งบางทีต้องไปรู้ด้วยว่าการฝึกที่ผิดเป็นอย่างไร วิปัสนูปกิเลสเป็นอย่างไร ความเข้าใจผิดเรื่องพระนิพพานเป็นอย่างไร เพราะจะได้รู้จะได้สอนคนอื่นได้ อย่างกระจ่างไม่ติดขัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับ บารมีที่แต่ละท่านได้อธิฐานว่าในชาตินี้จะลงมาเกิดเพื่อการบำเพ็ญบารมี ในเรื่องอะไร ทำอะไร ก็อาจจะทำให้มีผลอยู่ในขอบเขตของการอธิฐานนั้นๆ
---การทำสมาธิเพื่อใช้ช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ ระดับเป้าหมายนี้ ควรได้ตั้งแต่สมาธิอย่างหยาบ จนถึงขั้น สมาบัติแปด สิ่งสำคัญคืออารมณ์ที่ตั้งมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ เพื่อใช้ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก และในการทำสมาธิเพื่อช่วยเหลือคนนี้แบ่งเป็น
--การสงเคราะห์ทางจิตใจ ให้ธรรมมะ ชี้หนทางในชีวิต การให้กำลังใจ
--การสงเคราะห์ทางกาย ด้วยการใช้พลังสมาธิรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
--การสงเคราะห์ทางด้านความเป็นอยู่ ด้วยการใช้ กำลังสมาธิและอธิฐานให้ผู้คนที่ต้องการช่วย มีความคล่องตัว มีการเงินการทองที่ดีขึ้น
แต่ทั้งหมดนี้ควรอยู่ใน ศีลที่สะอาดบริสุทธ์ ความตั้งมั่นในพระรัตนไตย และจิตที่เป็นสัมมาทิฐธิครับ เป็นเครื่องป้องกันคุ้มครองจิตของเราให้อยู่ในแนวทางแห่งสัมมาสมาธิ และสัมมาปฏิบัติไว้เสมอ
ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ และค้นหาเป้าหมายในการทำสมาธิของตัวเองให้พบนะครับ ผมขอกราบโมทนาความตั้งใจดีของทุกท่านครับ
วันนี้มาต่อกันที่กสิณสีเขียวครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณสีเขียว จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพวงกลมสีเขียวหนึ่งวง จิตนิ่งสนิทอยู่กับวงกลม สีเขียวนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ วงกสิณสีเขียวนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณสีเขียวในจิตค่อยๆจางลงช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น ใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณสีเขียวใสขึ้นเป็นแก้ว มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณสีเขียวควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด เป็นองค์พระพุทธรูปเป็นองค์พระแก้วมรกต ที่เราเคารพทั้งประเทศ เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
__________________
มาเริ่มกันที่การพูดคุยกันก่อนครับ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง จิตใจครับ รวมทั้งผลของสภาพแวดล้อมและอารมณ์ ในแง่ลบรอบๆตัวเราที่ทำให้จิตใจของเรารู้สึกกระทบใจ และเกิดความ หงุดหงิด ไม่สบายใจ ตามไปด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นปรกติธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปครับ แต่เรามีวิธีแก้ไขจิตใจของเราให้เป็นสุขและรับผลกระทบเหล่านี้ให้น้อยลงได้ โดยการ
ฝึกจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในจิตใจที่ดีงามเอาไว้ จนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญานของเรา และยิ่งเชื่อมั่นมากเท่าไร จิตใจเราก็จะยิ่งมั่นคงสงบนิ่งไม่สั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบใจมากขึ้นเท่านั้น
ใช้ พลังของเมตตาพรหมวิหารสี่ให้เป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจเรา ให้เต็มเปี่ยมด้วยปิติสุขอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีที่ว่างสำหรับความคิดในแง่ลบ
เพาะบ่มธรรมมะ และความดี ให้เกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเราเอง และให้มีความเจริญงอกงามในธรรมยิ่งๆขึ้น จากภายในจิตด้วยเช่นกัน อย่าให้เป็นเพียงธรรมมะหรือความดีที่คนอื่นบอกว่า นั่นดี นี่ดี โดยที่เราเองไม่ได้สัมผัสด้วยใจว่าความดีนั้นดีอย่างไร และก่อเกิดมาจากภายในจิตใจของเราเองจริงๆ เพราะ หากเป็นอย่างนั้นความดีหรือคุณธรรมนั้นจะไม่ตั้งมั่น หรือจีรังยั่งยืน เหมือนธรรมมะที่งอกงามจากภายในจิตใจอันบริสุทธิ์ ตั้งมั่น มั่นคงไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์กระทบใจใดๆ
ใช้สติพิจารณาเลือกรับเลือกเสพ ข่าวสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อความไพบูลย์ของจิตใจ หากเป็นข่าว เป็นเรื่อง เป็นอารมณ์ที่กระทบใจแล้วทำให้จิตใจเราเศร้าหมองก็จงใช้อุเบกขา ความวางเฉยในสิ่งกระทบนั้นเสีย รักษาใจเราเองไว้อย่าให้เศร้าหมอง
เหล่านี้เป็นข้อแนะนำเล็กๆน้อยๆร่วมในการปฏิบัติครับ ขอให้เราระลึกไว้ว่าเมื่อเราตั้งใจทำความดีก็ย่อมมีอุปสรรคในรูปแบบต่างๆเข้ามาบ้างเป็นธรรมดา แต่ขอให้คิดว่า ดาบที่ดีนั้นย่อมต้องถูกตีถูกกระทบ จึงจะสำเร็จเป็นดาบที่ดีมีความคมกล้าครับ ขอให้ทุกท่านอย่าท้อถอยในการปฏิบัติเพื่อความดีครับ
วันนี้มาต่อกันที่การฝึกกสิณดิน ในกสิณธาตุครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณดินจับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพดินในวงกลมหนึ่งวงเป็นดินสีอรุณ หรือดินสีลูกรัง จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของวงกลมดิน สีลูกรังนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ วงกสิณดินนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณดิน ในจิตค่อยๆมีสีที่จางลงช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น ใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณดินขาวใสขึ้นเป็นแก้ว มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณดิน ควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด เป็นองค์พระพุทธรูปปูนปั้นเป็นปางใดก็ได้ที่เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
วันนี้ เรามาทบทวนในวิปัสนาญานกันครับ ทิ้งไปนาน เดี๊ยวจะลืมกันไปหมดครับ ที่ผ่านมาได้ทบทวนความรู้เก่าๆกันบ้างหรือไม่ อารมณ์ใจทุกอย่างต้องจำและทบทวนไว้เสมอนะครับ ส่วนผลของการปฏิบัติ ท่านที่รู้สึกว่าใจของตนเองสบายขึ้น นิ่งขึ้น สงบขึ้น จิตคิดอยู่ในขอบเขตของกุศลกรรม การทำความดี จิตอ่อนโยนขึ้นมีเมตตาขึ้น ปล่อยวางและให้อภัยได้มากขึ้น ถือว่าเป็นจิตที่ใส สะอาดใช้ได้ครับ
ส่วนในอารมณ์วิปัสนาญาณนั้น ขอให้ท่นมุ่งเน้นในอารมณ์ของพระนิพพานครับ เพราะเป็นอารมณ์สูงที่สุด สะอาดที่สุดแล้วครับ ลองใช้จิตตรองดูว่า ณ ปัจจุบันนี้ จิตของเรามีความพอใจในพระนิพพานหรือไม่ รักในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพานหรือไม่ มีความลังเลสงสัยในสภาวะของพระนิพพานอยู่อีกหรือไม่ ถ้ามีผู้ใดมาพูดมาบอกว่านิพพานเป็นความว่าง สูญสลายไปหมด จะทำให้ท่านเชื่อหรือหวั่นไหวหรือไม่ ส่วนท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิก็ลองตั้งกำลังใจถามตัวเองดูว่า เรารัก และเห็นความสำคัญของอารมณ์พระนิพพานหรือไม่ ถ้ายัง ก็ต้อง ทำกำลังใจ และสร้างบารมีเพิ่มอีกมากๆครับ ส่วนท่านที่ เข้าใจและเข้าถึงแล้วก็ขอให้อธิฐานต่อไปว่า ตราบที่เรายังสร้างบารมีอยู่ในสังสารวัฏนี้ขอเราจงได้จำสภาพ สภาวะและอารมณ์แห่งพระนิพพานได้ทุกๆชาติไปตราบเท่าที่จะบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลด้วยเทอญ
ส่วนท่านที่ยังไม่เข้าถึงหรือเข้าใจก็ขอได้โปรดเก็บความสงสัยไว้ก่อน อย่าเพิ่งติเตียนว่ากล่าวในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ยังไม่เห็น เพราะจะเกิดเป็นโทษกับท่านเองได้โดยไม่รู้ตัว ควรวางกำลังใจเฉยๆเป็นอุเบกขาไว้ และเรียนรู้ไปปฏิบัติไป เมื่อได้ เมื่อถึงวาระ แล้วท่านจะเข้าใจได้ด้วยตนเอง เป็นปัตจะตัง เหมือนรสอาหาร เรากินเองอิ่มเองอร่อยเอง กินแทนคนอื่นไม่ได้ แต่เมื่อเราได้กินอาหารอันอร่อยปราณีตแล้วเราก็มีจิตเมตตาปรารถนาให้ท่านผู้อื่นได้ดื่มกินโภชนะอันมีรสเลิศ จึงได้บอกว่ากินนั่นสิ กินนี่สิ ส่วนเขาจะกินหรือไม่ย่อมเป็นสิทธิ์ของเขา เอง ดังนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงตรัสไว้ว่า "ตถาคต เป็นเพียงผู้บอก " ส่วนการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของใครของมัน ใครทำ ใครได้ ดังนั้นขอให้ทุกท่านได้โปรดเชื่อในคำสอนแห่งพระพุทธเจ้าที่ท่านปรารถนาให้หมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากห้วงแห่งทุกข์และได้สัมผัสกับพระนิพพานอันเป็นบรมสุข และบรรดาพระอริยสงฆ์ท่านก็มีเมตตา ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงพวกเราทุกคน และเราทั้งหลายต่อไปก็ต้องถ่ายทอด ต่อไปยังรุ่นลูก รุ่นหลาน เพื่อสานต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปีครับ
วันนี้มาต่อกันที่การฝึกกสิณน้ำ ในกสิณธาตุครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณน้ำ จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพน้ำนิ่งๆ ในขันทอง จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของวงน้ำในขันนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ วงกสิณน้ำนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณน้ำ ในจิตค่อยๆมีประกายระยิบระยับขึ้นช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น และใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณน้ำสะกาวใสขึ้นเป็นแก้วระยิบระยับ มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณน้ำ ควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด เป็นองค์พระพุทธรูปแก้วที่มีพรายน้ำระยิบระยับเป็นปางใดก็ได้ที่เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
ขอแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องของบารมี หรือที่หลวงพ่อท่านอธิบายไว้ว่าหมายถึงกำลังใจครับ หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ บารมีสิบของหลวงพ่อครับ รวมทั้งในเวบนี้ด้วยครับ
เรื่องของบารมีหรือกำลังใจนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตน แต่ละท่านย่อมมี บารมีและกำลังใจไม่เท่ากัน และแม้แต่ตัวเราเอง เมื่อก่อน และปัจจุบันก็ย่อมมีกำลังใจไม่เท่ากัน เพราะบารมีหรือกำลังใจนั้น เป็นสิ่งที่สร้าง ที่ฝึกฝน ที่บำเพ็ญ ให้เพิ่มให้ งอกงาม ให้แข็งแกร่งได้ อุปมาเหมือน เรี่ยวแรงหรือพละกำลังของเรา ถ้าเรายิ่งออกกำลังให้มากขึ้น บ่อยขึ้น อย่างพอเหมาะพอสม ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป ร่างกายของเราก็จะพัฒนากล้ามเนื้อให้มีพละกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นได้ จิตใจของเราก็เช่นกัน เมื่อเราได้ฝึกฝนจิตใจของเราไม่ให้ย่อท้อต่ออุปสรรค ในการทำความดี ในกุศล โดยอาจจะเริ่มจากง่ายๆ เบาๆ ไม่เกินกำลังใจของเรามากนัก และจากนั้นจึง ค่อยๆ เพิ่มกำลังใจให้สูงขึ้นยากขึ้นไปตามลำดับ และทำให้สม่ำเสมอ ไม่ยอมหยุดยั้งหรือเลิกกลางครัน เราก็จะมีบารมีและกำลังใจที่สูงขึ้นมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปอีก อย่างสบายๆ ไม่ยากเย็น
นอกจากนั้น ความฉลาดในการทำบุญและการสร้างบารมีก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ บารมีของเราเต็มได้เร็วขึ้น
พยายามเลือกการสร้างบารมีที่ใช้กำลังใจน้อยแต่ให้ผลมาก
พยายามเลือกการสร้างบารมีที่ทำแล้วมีผลกระทบในแง่ดี ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
พยายามสร้างบุญบารมี ที่มีอานิสงค์มาก
พยายามสร้างบารมี ที่ทำให้เกิดผลเต็มสมบูรณ์
พยายามสร้างบารมี ที่เรายังขาดอยู่ พร่องอยู่ให้สมดุล
พยายามสร้างบารมี โดยไม่จำเป็นต้องมีข้ออ้างหรือ มีข้อจำกัดด้วยเงินเพียงอย่างเดียว
เหล่านี้ลองให้ท่านทั้งหลายลองไตร่ตรองพิจารณาดูครับ
ขอให้ทุกๆท่านมีบารมีที่เปี่ยมล้นไปด้วยความดี ทุกๆท่านครับผม
วันนี้มาต่อกันที่การฝึกกสิณไฟ ในกสิณธาตุครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณไฟจับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพไฟที่กำลังลุกโพลงอยู่
จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของไฟกองนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ กองกสิณไฟนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณไฟ ในจิตค่อยๆมีประกายระยิบระยับขึ้นช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น และใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณไฟ ค่อยๆใสขึ้นเป็นแก้วระยิบระยับ มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณไฟ ควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด ภาพกองไฟที่ลุกโพลงอยู่ และเพิกทิ้งเสีย จับภาพ เป็นองค์พระพุทธรูปแทน จะเป็นปางใดก็ได้ที่เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
การที่จะสามารถอดอาหารได้นานได้ โดยที่เราไม่ต้องทานอาหารก็มีอยู่วิธีนึงครับที่กระผมได้รับทราบมา
ก็คือการทาน " ปิติ " ครับ อันเกิดจากสมาธิ
ยกตัวอย่างเช่น
ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารถูกจองจำในคุกและให้อดอาหาร เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ให้พระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารไปให้อาหารเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงเดินจงกรม พระองค์ท่านจึงเกิด ปิติ จากสมาธิที่พระองค์ท่านได้จากการทรงเดินจงกรม ทำให้พระองค์ท่านไม่สวรรคต แต่ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงสงสัยว่าทำไมพระเจ้าพิมพิสารจึงไม่สวรรคตซะที พระองค์ท่านจึงให้ทหารไปสืบดู พระองค์ท่านก็ทราบว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงเดินจงกรม ท่านจึงสั่งให้ทหารใช้อาวุธบาดพระบาทพระองค์ท่าน (เพราะในอดีตชาติ มีอยู่ชาตินึงพระองค์ท่านเคยเกิดเป็นกษัตริย์ และท่านก็ไปเหยียบอาสนสงฆ์ ผลกรรมนี้ทำให้ชาตินี้ท่านต้องถูกอาวุธบาดพระบาทพระองค์ท่าน)
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถูกอาวุธบาดพระบาท พระองค์ท่านก็ทรงเดินจงกรมมิได้ ต่อมาพระองค์ท่านจึงสวรรคต
พรุ่งนี้พระท่านมาที่บ้านสายลมนะครับ ท่านที่ยังไม่ได้มโนมยิทธิก็ไปฝึกได้นะครับ ส่วนท่านที่จะไปฝึกทบทวน หรือไปทำบุญถวายสังฆทานก็เชิญได้ครับผม มีทั้งวัน เสาร์และวันอาทิตย์ครับผม
ใช่การเสวยธรรมปิติครับ ขอบคุณมาก สำหรับข้อมูลของคุณ Narinwet ครับ เป็นประโยชน์และความรู้ต่อท่านอื่นๆครับ
วันนี้มาต่อกันที่การฝึกกสิณลม ในกสิณธาตุครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณลม จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพอาการของลมที่กำลังพัด โชยอยู่ เช่นลมที่พัดจนใบไม้มีอาการแกว่งไกว
จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของลมที่กำลังพัดอยู่นั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ กองกสิณลมนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ก็ขอให้ติดอยู่ในอารมณ์จิตของเราเสมอ
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณลม ในจิตค่อยๆพัด มีประกายระยิบระยับขึ้นช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น และใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณลม ค่อยๆใสขึ้นเป็นแก้วระยิบระยับ มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณลม ควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด ภาพของลมที่กำลังพัดอยู่เบื้องหน้าองค์พระพุทธรูป และเพิกทิ้งภาพลมนั้นเสีย เหลือเพียงจับภาพ เป็นองค์พระพุทธรูปแทนอย่างเดียว จะเป็นปางใดก็ได้ที่เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
กระผมทราบมาจากกระทู้ข้างล่างนี้
http://www.beautifulman.freehomepage.com ครับ ว่า
ด่างทับทิม สามารถล้างสารกัมมันตรังสีได้
คาราไมล์ สามารถรักษาโรคทางผิวหนังได้ ครับ
วันนี้กระผมได้คุยกับสหธรรมิกธรรม ท่านนึงครับ ท่านทานเจ ท่านบอกครับว่า "การทานเจนั้น ถ้าเราทานครบ 7 ปี จะสามารถป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ได้" ครับ และท่านก็บอกครับว่า "แต่ถ้าครบ 7 ปี แล้วเลิกทานเจ แล้วไปทานเนื้อสัตว์ก็มีโอกาสโดนได้ แต่ทางที่ดี เราควรทานเจไปตลอดชีวิต คือ เมื่อครบ 7 ปีแล้ว เราก็ควรทานเจไปตลอดชีวิตเรา ก็จะสามารถป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ได้เช่นกัน" ครับ
ใน"สำนักอนุตรธรรม"ซึ่งเน้น"การทานเจ" (เพื่อการไม่เบียดเบียนชิวิตสัตว์) ได้บอกคล้ายกันเป็นนัยย์ๆว่า กำมันตภาพรังสีนั้นป้องกันได้จากรัศมีกาย ที่ไม่มีอนุภาคประจุลบจากเลือดเนื้อสัตว์ที่เราบริโภคเข้าไป ร่างกายจะบริสุทธิ์ ดังนั้นจะไม่เกิดปฎิกริยาใดๆที่ทำให้เกิดบาดแผลที่ผิวกายได้ รวมทั้งยัง ทนอยู่กับความทรมานจากอากาศหนาวเย็นจัด จากฤดูหนาวนิวเคลียร์ที่ยาวนาน ได้มากกว่าผู้ที่ทานเนื้อสัตว์หลายเท่า และการอยู่ในสถานธรรมอันเป็นสถานที่ปลอดภัยจากภัยทั้งหลายในวงรัศมีสีม่วงครอบที่คลุมอยู่ เพียงใช้นิ้วแตะน้ำมนต์จากแท่นพระมาดื่มก็อิ่มได้ 1มื้อ โดยไม่ต้องทานอาหารอื่นๆได้อีกด้วย..เมื่อถึงช่วงเวลา 7:7:49 วัน
บางทีเราควรเริ่มลดปริมาณการทานเนี้อสัตว์ให้น้อยลงถ้าทำได้ หรือในวันเกิดตัวเองในรอบหนึ่งอาทิตย์ (1วันก็ 3มื้อ) ผลที่ได้ก็คือเราก็ลดการสร้างผลกรรมใหม่ๆเพิ่มขึ้น และถือเป็นการบำเพ็ญธรรมอีกทางหนึ่งด้วย หรือถ้าใครพร้อมก็เดินหน้าเต็มกำลังได้ยิ่งดีครับ...
ผมทานเจในช่วงเทศกาลกินเจทุกปีครับ ใจจริงก็อยากทานเจทุกวันเลย
วันนี้มาต่อกันที่การฝึกอากาสกสิณ หรือกสิณอากาศครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณอากาศ จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพอากาศที่ว่างเปล่า โล่งโปร่งไม่มีอะไร
จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของอากาศที่ว่างเปล่าอยู่นั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ กองอากาสกสิณนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ก็ขอให้ติดอยู่ในอารมณ์จิตของเราเสมอ
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน อากาสกสิณ ในจิตที่เป็นอากาศที่เห็นในจิตว่าว่างเปล่านั้น ค่อยๆ มีประกายระยิบระยับขึ้นช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้นและใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น กสิณอากาศ ค่อยๆใสขึ้นเป็นแก้วระยิบระยับ มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญอากาสกสิณควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด ภาพของอากาศที่ว่างเปล่าอยู่เบื้องหน้าองค์พระพุทธรูป และเพิกทิ้งภาพอากาศที่ว่างเปล่านั้นเสีย เหลือเพียงจับภาพ เป็นองค์พระพุทธรูปแทนอย่างเดียว จะเป็นปางใดก็ได้ที่เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
ดีครับ การตั้งใจทำความดี ด้วยจิตเจตนาที่ดีนั้นดีเสมอครับ ขอโมทนาด้วยครับ
วันนี้ เราก็จะได้ฝึกกสิณเป็นกองสุดท้าย จนครบ ทั้งสิบกองแล้วนะครับ ขั้นต่อไปเราจะ นำความรู้ของกสิณมาเดิน สลับกอง และสลับ ฌาน เพื่อให้เกิดความชำนาญเป็นวสีครับ กสิณนั้นหลวงพ่อท่านสอนไว้ ให้ มีหลักมีเกณฑ์ที่ทำให้การฝึกกสิณง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้าจับหลักได้แล้ว กสิณนั้นมีความแตกต่างกันเฉพาะการตั้งต้นของนิมิตรกสิณตอนตั้งต้นเท่านั้น ส่วนที่สุดของอารมณ์กสิณทุกกองนั้น ซึ่งเป็นอารมณ์ของฌานสี่ มีอารมณ์และสภาวะเหมือนกันทุกประการ ดังนั้น ท่านที่ได้กสิณกองใดกองหนึ่งนั้น ถ้าใช้กำลังใจอีกไม่มาก ก็จะทำให้ได้กสิณครบทั้งสิบกองได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
---ส่วนทำไมจึงต้องฝึกกสิณ นั้น เหตุผลก็คือตัวกสิณนั้นเป็นบาทฐานของการใช้อภิญญา ทั้งอภิญญาใหญ่และอภิญญาเล็กครับ ดังนั้นท่านที่มีกำลังใจฝึกได้จนครบทั้งสิบกอง อย่างชำนาญ ก็ย่อมก้าวเข้าใกล้ อภิญญาใหญ่มากขึ้นครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดอย่าได้ลืม สัมมาทิษฐิ คุณธรรมกำกับ และจุดมุ่งหมายสูงสุดของการได้อภิญญา ครับ ว่าเป็นไปเพื่ออะไร ตรงจุดนี้สำคัญครับ
---ขอให้ทุกท่านค้นพบตัวตนที่แท้จริงและเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญานที่ท่านได้อธิฐานไว้ให้เจอนะครับ เมื่อพบแล้ว เส้นทางธรรมของท่านจะชัดเจนและมั่นคงขึ้นครับ
วันนี้มาต่อกันที่การฝึกโอภาสกสิณ หรือกสิณแสงสว่างครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน ให้จิตสะอาดและคลายจากความยึดมั่นในร่างกาย
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณแสงสว่าง จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพ ของแสงที่ส่องลอดออกมาจากช่อง เช่น แสงแดดที่ส่องเป็นลำแสงผ่านเงาไม้หรือช่องหน้าต่าง ช่องแสง หรือแสงที่ส่องผ่านรูรั่วเล็กๆ จำภาพและอาการที่ลำแสงส่องลอดออกมาให้ติดในใจ จนกระทั่ง
จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของลำแสงที่ส่องอยู่นั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ กองกสิณแสงสว่างนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ก็ขอให้ติดอยู่ในอารมณ์จิตของเราเสมอ
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน โอภาสกสิณ ในจิตที่เป็นลำแสงที่เห็นในจิตว่าส่องสว่างอยู่นั้น ค่อยๆ มีประกายระยิบระยับขึ้นช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้นและใจเรายิ่งสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น กสิณแสงสว่าง ค่อยๆใสขึ้นเป็นแก้วระยิบระยับ มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญโอภาสกสิณควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด ภาพของลำแสงที่ส่องตรงลงมายังองค์พระพุทธรูป และยิ่งทำให้องค์พระพุทธรูปท่านส่องสว่างยิ่งขึ้นจนเหลือเพียงภาพ องค์พระพุทธรูปที่เปร่งแสงสว่างเพียงอย่างเดียวให้เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเรายิ่งสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น อีก จนใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
ในที่สุด ก็จบกสิณทั้งสิบกองได้นะครับ หวังว่าหลายๆคนคงจะทำได้ ไม่ยากเกินวิสัยและกำลังใจของท่านนะครับ และความรู้เก่าอื่นๆที่แนะนำกันไปก็ขอให้ทุกท่านหมั่นทบทวนให้คล่องเอาไว้เสมอนะครับ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง พุทธานุสติ วิปัสนาญาน ในร่างกายขันธ์ห้าทั้งของตัวเราเองและทั้งของบุคคลอื่น อารมณ์พระนิพพานหรืออุปมานุสติกรรมฐาน ส่วนศีล ไตรสรณะคมภ์และอานาปานสติควรเป็นสิ่งที่ทำได้เป็นปรกติธรรมชาติครับ
---วันนี้เราจะมาฝึกกสิณในแบบพิศดารโดยการเริ่มต้นอย่างง่ายที่สุดคือ การไล่กองกสิณ อนุโลม ปฏิโลม ซึ่ง อนุโลม หมายความถึงการเรียงลำดับกองกสิณจากกองแรกไปจนถึงกองสุดท้าย ส่วนปฏิโลม หมายความถึง การเรียงลำดับกองกสิณกองสุดท้ายไล่ย้อนกลับ ไปยังกองแรกใหม่ ครับ
---ส่วนกสิณทั้งสิบกองผมได้แนะนำท่านทั้งหลายจนครบทุกกองแล้ว และยังให้ฝึกกสิณทุกกองควบจนถึง ฌานสี่ในพุทธานุสติกรรมฐานด้วยส่วนการใช้มโนมยิทธิ ขึ้นไปฝึกอยู่บนพระนิพพาน เป็นการควบในอารมณ์ของพระนิพพานตลอดการฝึกสมาธิทั้งหมดของท่าน ดังนั้นถือว่าผมได้แนะนำตามเจตนารมณ์และแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านที่ได้สั่งไว้แล้ว ส่วนการ ไล่กอง สลับกองนั้น เป็นการฝึกเพื่อความชำนาญเป็นวสี เพื่อการรองรับอภิญญาใหญ่ครับ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับกำลังใจของท่านแต่ละคนครับ ใจผมอยากให้ท่านได้กันทุกคนครับ เก่งๆ คล่องๆ ชัดๆ จะได้ช่วยกันเป็นกำลังทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครับ
วันนี้มาฝึกต่อกันที่การฝึกไล่กองกสิณ ทั้ง อนุโลม และปฏิโลมครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณให้เห็นความทุกข์ ความเสื่อม ความไม่เที่ยง ความแปรปรวนในร่างกาย อยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน ให้จิตสะอาดและคลายจากความยึดมั่นในร่างกาย
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้ วสี ความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกัน ที่กสิณดิน กันก่อน จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพ ดินให้ติดในใจ จนกระทั่ง
จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของดินนั้น จากนั้นอธิฐานขอให้ กองกสิณดินนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็น อุคหนิมิตร ใสขึ้นสะอาดขึ้น สว่างขึ้น จากนั้นกำหนดจิตให้ อุคหนิมิตรนั้น ยิ่งใสขึ้นระยิบระยับขึ้นจนเปลี่ยนเป็น ปฏิภาคนิมิตร กลายเป็นแก้วระยิบระยับแพรวพราว ใจเรายิ่งสะอาด สว่างสงบขึ้น แล้วถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตรใหม่อีกครั้งเพื่อจะเปลี่ยนภาพนิมิตรในจิตเป็นกสิณกองต่อไป
---2. จากนั้นถอยจิตออกมาจับภาพกสิณน้ำ ไล่อารมณ์ฌานขึ้นไปจน นิมิตรกสิณ ใสขึ้น สะอาดขึ้นจนกลายเป็น อุคหนิมิตร จากนั้น ไล่อารมณ์ใจให้สะอาดขึ้นละเอียดขึ้น สบายขึ้นจน อุคหนิมิตรเปลี่ยนเป็นปฏิภาคนิมิตร เปลี่ยนเป็นแก้วประกายพรึก สวยสะอาด ใจเรายิ่งสบายขึ้นสงบขึ้น แล้วถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตรอีกครั้ง
---3.จากนั้นถอยอารมณ์กลับมาเป็น การจับภาพกสิณไฟ แล้วไล่อารมณ์ฌานจากกสิณไฟขึ้นเป็น อุคหนิมิตร ไล่ต่อไปจนนิมิตรในจิตกลายเป็น ปฏิภาคนิมิตร แล้วจึงถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตรอีกครั้ง
---4.จากนั้นถอยจิตมาจับภาพกสิณลม ไล่ฌานขึ้นเป็น อุคหนิมิตร จากนั้นไล่ขึ้นไปเป็น ปฏิภาคนิมิตร แล้วถอยจิตกลับสู่ อุคหนิมิตรอีกครั้ง
---5.กลับมาจับภาพกสิณสีแดง ให้ชัดเจนในจิต ไล่ฌานขึ้นเป็น อุคหนิมิตร จากนั้นไล่อารมณ์ขึ้นเป็น ปฏิภาคนิมิตร จากนั้นถอยจิตกลับลงมาสู่ อุคหนิมิตรอีกครั้ง
---6.ถอยจิตมาจับภาพกสิณสีเหลือง ให้ชัดเจน แล้วไล่อารมณ์ให้ละเอียดขึ้นจนเป็น อุคหนิมิตร และปฏิภาคนิมิตร จากนั้นจึงถอยจิตลงสู่อุคหนิมิตรอีกครั้ง
---7.ถอยจิตลงสู่นิมิตรกสิณสีเขียว ไล่อารมณ์ขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ขึ้นเป็นปฏิภาคนิมิตร ถอยลงสู่ อุคหนิมิตร
---8.ถอยจิตลงสู่นิมิตรกสิณสีขาว ไล่ฌานขึ้นจนเป็นอุคหนิมิตร และปฏิภาคนิมิตร แล้วจึงถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---9. ถอยจิตลงสู่นิมิตรกสิณอากาศหรือสภาพว่างเปล่า โล่งๆ ไล่ฌานขึ้นเป็นอุคหนิมิตร และปฏิภาคนิมิตร จากนั้นจึงถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---10.ถอยจิตลงสู่นิมิตรกสิณแสงสว่าง ไล่ฌานขึ้นเป็นอุคหนิมิตร และปฏิภาคนิมิตร จากนั้นจึงถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---11.จบการไล่กองกสิณแบบอนุโลมต่อไปเป็นการไล่กองกสิณแบบปฏิโลม
---12.กลับมาจับภาพกสิณอากาศ และไล่อารมณ์ขึ้นเป็น อุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร และถอยอารมณ์ลงสู่ อุคหนิมิตร
---13.ถอยจิตมาจับภาพกสิณสีขาว ไล่อารมณ์ขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร และจึงถอยจิตลงเป็นอุคหนิมิตร
---14.ถอยจิตมาจับภาพกสิณสีเขียว ไล่อารมณ์ขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร และจึงถอยกลับเป็นอุคหนิมิตร
---15.ถอยจิตมาจับภาพกสิณสีเหลือง ไล่อารมณ์ขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร และจึงถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---16.ถอยจิตมาจับภาพกสิณสีแดง ไล่ฌานขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร และจึงถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---17.ถอยจิตมาจับภาพกสิณลม ไล่ฌานขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร แล้วถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---18.ถอยจิตมาจับภาพกสิณไฟ ไล่ฌานขึ้นเป็นอุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร แล้วถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---19.ถอยจิตมาจับภาพกสิณน้ำ ไล่ฌานขึ้นเป็น อุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร แล้วถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---20.ถอยจิตมาจับภาพกสิณดิน ไล่ฌานขึ้นเป็น อุคหนิมิตร ปฏิภาคนิมิตร และถอยจิตลงสู่ อุคหนิมิตร
---21.เป็นอันเป็นการไล่กองกสิณ อนุโลม ปฏิโลม หนึ่งรอบ ทบทวนทำย้อนใหม่ตั้งแต่ต้น ข้อหนึ่งถึง 20. อีกรอบแล้ว อธิฐานกำกับว่าขอให้ ข้าพเจ้านี้สามารถไล่กองกสิณ อนุโลม ปฏิโลมได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเถิด จากนั้นไล่กองใหม่อีก 1 รอบ จนคล่องตัว เป็นวสี
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ
เมื่อวานนี้คุณวิศาลจากโคราชได้โทรมาคุยเรื่อง"โครงการซ่อมแซมบูรณะพระพุทธรูปทั่วพุทธอาณาจักร " ครับและได้มีเมตตาจะบริจาควัตถุมงคลของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงให้กับท่านผู้มีศรัทธาถวายปัจจัย ตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปครับ ก็ขอกราบโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ด้วย จากนั้นคุณวิศาลก็ได้ถาม และพูดคุยกันในเรื่องของการปฏิบัติครับ โดยเฉพาะเรื่องของปิติ จึงขอนำมาเล่าให้ ท่านอื่นได้รับฟัง หากเป็นประโยชน์ในวงกว้างสืบต่อไปครับ
---ปิติ นั้นเป็นอาการของจิตก่อนที่จะเคลื่อนเข้าสู่อารมณ์ที่ละเอียดขึ้น (นั่นคือฌานนั่นเอง) ปิติทั้ง ห้าได้แก่
1.ปิติมีอาการขนลุกซู่ เป็นอาการของปิติที่มีการอิ่มเอมใจ สุขใจ บางครั้ง ก็เกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนท่านยืนยัน เหตุการณ์หรือเรื่องราวบางอย่าง ปิติชนิดนี้จะมีผลทางวิทยาศาสตร์ทางร่างกายคือ จะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจากไขสันหลังเข้าสู่สมองและกระตุ้นให้ต่อมฮอร์โมนที่ใต้สมองหลั่งฮอร์โมนที่มีความสุขออกมาหลายชนิดครับ ปิติชนิดนี้มีผลดีอย่างยิ่งในการปฏิบัติสมาธิครับ วิธีรับมือหรือจัดการเมื่อเกิดปิติชนิดนี้ ก็คือการกำหนดรู้และถ้าทำให้ปรากฏได้บ่อยก็จะทำให้ จิตใจสบายมีความสุขครับ เมื่อ ปิติผ่านไปก็จงปล่อยวาง และเคลื่อนจิตขึ้นสู่ความละเอียดของจิตที่สูงขึ้นครับ
2. ปิติที่มีอาการตัวโยก ตัวเอียงหรือเอนตัว มักเกิดขึ้นเวลานั่งหลับตาทำสมาธิ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้จิตเกิดความสงสัย ว่าตอนนี้เรานั่งตัวเอียงตัวเอนหรือเปล่า เมื่อลืมตาขึ้นก็จะพบว่าที่จริงตัวเราตั้งตรงอยู่ไม่ได้เอียงแต่อย่างไร แต่ความสงสัยและลืมตาดูก็จะมีผลให้จิตถอนออกจากสมาธิ วิธีจัดการกับปิติชนิดนี้ก็คือ การกำหนดรู้ว่า สิ่งที่เกิดอยู่นี้คือปิติ จิตเรากำลังจะเข้าสู่ความละเอียดปราณีตขึ้น จากนั้นก็ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องสนใจ และไม่ต้องไปลืมตาดู แล้วจิตจะเคลื่อนสู่ฌาน และอารมณ์ที่ละเอียดขึ้นครับ
3.ปิติที่มีความรู้สึกว่าตัวพองใหญ่ หรือจิตมารวมกันที่หัวแล้วรู้สึกว่าหัวโตขึ้นขยายขึ้น วิธีการปฏิบัติ เหมือนข้อที่ผ่านมาคือ กำหนดรู้แล้ว ปล่อยวางผ่านเข้าสู่สมาธิขั้นต่อไปครับ
4.ปิติที่มีอาการเหมือนมี มด หรือแมลง มาไต่ตามใบหน้า หรือตามแขนขาครับ ปิตินี้จะทำให้จิตใจเราเกิดความรำคาญหงุดหงิดและออกจากสมาธิลืมตาขึ้นดูหรือลูบตามหน้าตามตัวดูแต่ก็ไม่มีตัวอะไรทั้งสิ้น ปิตินี้ความจริงเกิดจากการที่จิตเราเริ่มหยุดนิ่งและลดการทำงานของประสาทสัมผัสอื่นคือตา หู จมูก ลิ้น คงเหลือแต่ผิวหนังร่างกายที่ทำให้ประสาททำงานละเอียดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังเพียงเล็กน้อย เราก็รู้สึกได้ชัดเจนกว่าปรกติ จึงทำให้รู้สึกว่าคล้ายว่ามีแมลงไต่ตอมอยู่ วิธีปฏิบัติคือการกำหนดรู้ครับว่า เรารู้ว่าที่ปรากฏนี้คือปิติ เมื่อจิตเรารู้ทันแล้ว ปิติตัวนี้จะไม่เกิดอีกในครั้งนั้นและจิตจะเคลื่อนสู่ฌานที่สูงขึ้น
5.ปิติที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเราเบาเหมือนจะลอยหรือจะเหาะไปในอากาศ ปิติตัวนี้เมื่อเกิดขึ้นในครั้งแรกจะทำให้ตกใจบ้าง หลงบ้าง ว่าเราได้อภิญญาแล้ว เหาะได้แล้ว ที่จริงเป็นปิติ เป็นความดีขั้นต้นก่อนที่จิตจะยกขึ้นสู่ฌานนั้นเอง ดังนั้นจึงควรกำหนดรู้แล้วปล่อยวาง เพื่อให้จิตเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น
---สรุปแล้ว ปิตินั้นเป็นสิ่งที่ดีและเป็นเครื่องแสดงว่าจิตใจเรากำลังจะเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้หลายๆคนติดอยู่ในจุดนี้นานเป็นปีๆก็มี จนกว่าจะผ่านปิติไปได้ ปิตินั้นไม่จำเป็นที่ทุกคนจะเกิดปิติครบทั้ง ห้าประการ บางคนก็เกิด บางคนก็ไม่เกิดปิติ อะไรเลย และก็เข้าสู่ฌานได้เช่นกัน บางคนได้ปิติก็เข้าใจว่าบรรลุธรรมเหาะได้แล้วก็มีปรากฏ บางคนก็บอกว่าตนเองไม่สามารถนั่งสมาธิได้เพราะนั่งที่ไรก็รู้สึกว่ามีมดแมลงมาไต่ มาตอมทุกครั้ง ถาม อาจารย์บางท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่ความจริงแล้ว อาการที่ปรากฏเป็นอาการของปิติ ถ้ากำหนดรู้ หรือจิตรู้ทันก็จะหายไป เองเหมือนเราทำข้อสอบหรือผ่านด่านทดสอบได้เพื่อการก้าวขึ้นสู่สมาธิที่ลึกขึ้นสูงขึ้นครับ
---ส่วนของคุณวิศาลนั้นเกิดปิติชนิดที่ตัวสั่น ซึ่งเป็นอาการของฌานหยาบ คล้ายเวลาฝึกมโนเต็มกำลัง วิธีการก็คือ ปล่อยวางจากร่างกาย อย่าไปสนใจในอาการสั่น และอย่าไปรู้สึกว่าสั่นแล้วจะดี เพราะเป็นการแสดงว่าจิตของเรายังมีความยึดในร่างกายอยู่อีกมาก ให้พิจารณาในวิปัสนาญาณให้มากขึ้นจนจิตเคลื่อนขึ้นสู่อารมณ์ที่สูงขึ้นละเอียดขึ้นครับ และการที่คุณวิศาลมุ่งตรงไปยังอารมณ์พระนิพพานนั้นดีแล้วถูกแล้วครับ เพราะเป็นทางลัดตัดตรงที่สั้นที่สุดครับ ก็ขอกราบโมทนาให้คุณวิสาลมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติและความมั่นคงในธรรมต่อไปครับ
เมื่อวานนี้เราก็ได้ฝึก การไล่กองกสิณทั้งแบบอนุโลมและปฏิโลมแล้ว หวังว่าจะชำนาญและคล่องตัวกันทุกคนนะครับ และอีกอย่างที่เราได้ฝึกไปพร้อมๆกันเมื่อวานนี้ก็คือการ ไล่ลำดับฌานทั้งอะนุโลมปฏิโลมไปพร้อมๆกันด้วย เพราะ ขณะจิตที่เราจับภาพกสิณต้นนั้นจิตจะอยู่ที่ฌานที่หนึ่ง เมื่อจิตเคลื่อนเปลี่ยนภาพกสิณก่อนเป็น อุคหนิมิตรจิตเข้าสู่ฌาน สอง เมื่อจิตเลื่อนมาเป็นภาพของอุคหนิมิตรจิตเข้าสู่ฌานที่สาม และเมื่อจิตจับภาพเป็นปฏิภาคนิมิตร จิตก็จะเข้าสู่ฌานสี่ เมื่อถอยจิตกลับมาเป็นอุคหนิมิตร เพื่อเปลี่ยนกองกสิณ จิตก็ถอยกลับสู่ฌานที่สาม และฌานที่สองตามลำดับจนกลับมาเป็นฌานที่หนึ่งเมื่อจิตจับภาพกสิณต้นกองใหม่ ครับ หวังว่าพอจะเข้าใจที่อธิบายนะครับ การไล่ฌานและการไล่กองกสิณนั้น ครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านผูกวิชาและวิธีการฝึกนี้เป็นระเบียบแบบแผนมานับย้อนหลังไปนานนมหลายร้อย ปีครับ ที่มาแนะนำนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชากรรมฐาน ของสมเด็จพระสังฆราช สุก (ไก่เถื่อน )แห่งวัดพลับครับ ท่านได้นำตำรากรรมฐาน หนีสงครามจากพม่าสมัยที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สองและได้นำมาสังคายนาพระกรรมฐานให้เป็นระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องในสมัย รัชกาลที่สองครับ เป็นวิชาที่ค่อนข้างยากพิสดารแต่เมื่อได้แล้วก็จะมีพื้นฐานการปฏิบัติที่แน่น มากๆครับ เพราะมีการจัดกรรมฐานทุกกองทุกอารมณ์เป็นห้องๆพระกรรมฐาน เช่น พระปิติมีห้าห้องต้องได้ทุกห้อง ทุกอาการ ต้องรู้อารมณ์ ต้องทำได้ทุกครั้งที่ต้องการครับ แล้วจึงมาต่อวิชาต่อไป ก่อนที่จะเป็นฌาน อรูปฌาน ห้องวิปัสนาญาณ ไล่ไปเรื่อยๆครับ ดังนั้นท่านที่ได้ที่จบวิชาสำนักนี้จะรู้และเข้าใจในอารมณ์การปฏิบัติทุกอารมณ์ทุกนิมิตรครับ
---ที่ฝึกของเราค่อยเป็นค่อยไปครับ ฝึกเฉพาะที่จำเป็น ของแต่ละท่านที่ไม่เกินกำลังใจ และท่านที่ได้มโนก็จะค่อนข้างได้เปรียบท่านที่ไม่ได้มากๆครับ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ผมพยายามแนะนำให้ท่านไปฝึกมโนให้ได้กันก่อน
---ส่วนวันนี้ให้ทบทวน กสิณสิบกองอนุโลมปฏิโลมแต่มีข้อแม้ ว่าต้องไล่กองไล่อารมณ์เองครับ หวังว่าไม่ยากเกินไป และขอให้พยายามให้ระหว่างเปลี่ยนฌาน หรือเปลี่ยนกอง เคลื่อนจิตให้เนียนๆไม่มีรอยต่อระหว่าง อารมณ์หรืออาการสะดุด พยายามเดินหรือเคลื่อนจิตให้สมูท ลื่นไหลเนียนๆไร้รอยต่อครับ ลองไปทำให้คล่องให้ชำนาญครับ อ้อ อย่าลืมอารมณ์สบาย ๆเบาๆนะครับ
---ขอกราบโมทนาในกำลังใจของท่านที่ตั้งใจฝึกครับ