เชื้อเพลิงเขียว
ชาวชนบทของไทยเรากำลังเริ่มจะประสบกับภาวะวิกฤติเกี่ยวกับ เรื่องการขาดแคลนฟืนและถ่านไม้ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการใช้หุงต้ม ประกอบอาหาร จากรายงานผลการสำรวจด้วยดาวเทียมของสำนักงาน- คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้เปิดเผยข้อเท็จจริงว่า ในจำนวนเนื้อที่ของ ประเทศ 321.32 ล้านไร่ มีป่าไม้เหลืออยู่เพียง 57.84 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 18 ซึ่งในทางวิชาการแล้วควรจะมีป่าไม้ร้อยละ 40 ดังนั้น จึงจำเป็น ต้องระดมปลูกป่าเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70 ล้านไร่ และร้อยละ 90 ของไม้ที่ ถูกตัดโค่นทำลายนั้นจะเป็นไม้ที่นำไปใช้ทำฟืนและเผาถ่าน ด้วยเหตุนี้เอง กรมป่าไม้ร่วมกับสำนักงานพลังงานแห่งชาติโดยได้รับความร่วมมือทาง วิชาการจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาและวิจัย และสามารถ ประดิษฐ์เตาหุงต้มที่ใช้ถ่านและฟืนเป็นเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพสูง ไม่ เปลืองถ่านและฟืน อันจะเป็นการลดการตัดไม้ทำลายป่าลงโดยทางอ้อม ได้มีหลายหน่วยงานที่พยายามประดิษฐ์คิดค้นเชื้อเพลิงใหม่ ๆ มา ทดแทนฟืนและถ่าน ซึ่งนับได้ว่าเป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยลดการตัดไม้ ทำลายป่า เช่น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.) ได้ประดิษฐ์เชื้อเพลิงแข็งจากวัสดุเหลือทิ้ง เช่น แกลบ ขี้เลื่อย กากอ้อยเปลือกถั่ว ขุยมะพร้าว และใบไม้แห้ง เป็นต้น แต่ในการอัดเชื้อเพลิงจาก วัสดุแห้งนี้จำเป็นจะต้องใช้เครื่องอัดที่มีราคาแพง และเหมาะสมที่จะผลิต เป็นอุตสาหกรรม เพื่อการค้ามากกว่าจะผลิตเพื่อใช้ในครัวเรือน
ความสำเร็จที่มีคุณค่าชิ้นหนึ่งได้แก่ การประดิษฐ์ถ่านหรือฟืนหุง ข้าวชนิดแห้งจากเศษพืชสดขึ้นไว้ใช้ในครอบครัวโดยไม่ต้องลงทุนใช้เครื่อง จักรราคาแพง ๆ ใช้แต่แรงคนเท่านั้น เชื้อเพลิงชนิดนี้มีชื่อว่าเชื้อเพลิงเขียว ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ให้ค่าความร้อนสูงกว่าฟืน แต่ต่ำกว่าถ่านเล็กน้อย
วิธีทำ
1.พืชที่ใช้ทำเชื้อเพลิงเขียว ได้แก่ วัชพืชต่าง ๆ เช่น หญ้าขจรจบ หญ้ายาง หญ้าคา ผักตบชวา ไมยราบ(ธรรมดา) โคกกระสุน โสน และ ใบยูคาลิปตัส เป็นต้น นำส่วนของพืชสดเหล่านี้ทั้งใบ ต้น กิ่ง มาสับให้เป็น ชิ้นเล็ก ๆ ถ้าเป็นหญ้าที่ตัดด้วยเครื่องตัดสนามสามารถนำไปอัดได้ทันที ส่วนพืชที่มีต้นแก่เหนียว แข็ง อาจจะทุบเสียก่อนแล้วจึงนำไปสับ ควรเลือก ต้นพืชขนาดเล็กที่ง่ายต่อการสับและจับเป็นแท่งเวลาอัด
2.นำชิ้นส่วนที่สับแล้วใส่ลงในกระบอก ซึ่งอาจจะทำด้วยท่อประปา ท่อเหล็ก ท่อพีวีซี ฯลฯ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 ซม. ยาว 15-20 ซม. แล้วตำหรือกระทุ้งด้วยแท่งเหล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2.5 ซม. เหล็กกระทุ้งนี้ควรจะเป็นเหล็กกลมปลายทู่ ยาวกว่ากระบอกเล็กน้อยและ ปลายที่ใช้ถือควรทำเป็นรูปตัวที (T) เพื่อสะดวกในการจัด เมื่อตำหรือกระ- ทุ้งจนเกิดยางเหนียวทำให้ส่วนของพืชจับเกาะเป็นแท่ง ถ้าพืชมีน้ำยางเหนียว มาก จะได้แท่งเชื้อเพลิงยาว แต่ถ้ายางน้อยการอัดตัวจะยากขึ้น แท่งเชื้อ- เพลิงที่ได้มักจะสั้น
3.คว่ำปากกระบอกลง แล้วใช้แท่งเหล็กดันเอาแท่งเชื้อเพลิงออก ทางด้านล่างของกระบอก จะได้แท่งเชื้อเพลิงที่มีความยาว 20-25 ซม. (สำหรับพืชที่มียางเหนียวมาก)
4.นำแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปผึ่งแดดให้แห้ง ใช้เวลา 3-4 วัน แท่ง เชื้อเพลิงที่แห้งดีจะมีความชื้นเหลืออยู่ประมาณร้อยละ 4-5 แท่งเชื้อเพลิง ที่มีความชื้นสูงกว่าร้อยละ 5 ไม่ควรนำมาใช้เพราะมีควันรบกวนมาก วิธี การที่จะสังเกตได้ว่าแท่งเชื้อเพลิงมีความชื้นสูงกระทำได้โดย นำแท่งเชื้อ- เพลิงห่อด้วยถุงพลาสติก แล้วปิดปากถุงให้สนิท นำไปตากแห้งสักระยะหนึ่ง เมื่อมีไอน้ำเกิดขึ้นในถุงพลาสติกก็ไม่ควรใช้แท่งเชื้อเพลิงนั้น แต่ควรนำไป ผึ่งแดดให้แห้งดีเสียก่อน จึงนำไปใช้
การเก็บรักษาเชื้อเพลิงเขียว เมื่อเชื้อเพลิงแห้งดีแล้ว ควรเก็บใส่ถุง พลาสติกรัดปากถุงให้แน่น หรือปิดถุงด้วยเครื่อง เพื่อป้องกันความชื้นเข้า แล้วเก็บไว้ในที่แห้ง
เตาที่ใช้ในการหุงต้ม
เตาที่ใช้ในการหุงต้ม ควรจะเป็นเตาที่มีการระบายอากาศดี ถ้าใช้ เตาพื้นบ้านควรเป็นเตาที่รังผึ้งสูง เพราะจะมีการระบายอากาศดีกว่าเตาที่ มีรังผึ้งต่ำ หรือจะใช้เตาที่ออกแบบเฉพาะก็ได้ โดยใช้เตาโลหะที่ประกอบ ด้วยทรงกระบอก 2 ชั้นที่มีตะแกรงที่ด้านล่างของเตาและมีปล่องที่ถอดเข้า ออกได้ เตาแบบนี้มีผลดีในเรื่องการระบายอากาศและการเผาไหม้ของเชื้อ เพลิงเขียวในแง่ที่เกรงว่าจะมีควันรบกวน ในระยะต้นของการติดไฟ ถ้าเชื้อ- เพลิงชื้น ปล่องจะช่วยดูดควันออกไป และเมื่อเชื้อเพลิงแห้งดีแล้ว ควันจะ หมด เราก็อาจจะถอดปล่องออกได้
ข่าวสารเกษตรศาสตร์ 29(6), 2528