กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
ก่อนอื่นต้องกราบขอบคุณหลายๆท่านที่คอยติดตามอ่านและให้กำลังใจในการโพสสิ่งดีๆและการปฏิบัติในกระทู้นี้ มาตลอด
ในขณะเดียวกันก็ต้องกราบขอโทษที่ผมหายไปหลายวันเนื่องจากติดภาระกิจครับผม
ขออนุญาตตอบคุณ Tony 2002 ก่อนนะครับ
1. ผมขอกราบโมทนากับคุณในความตั้งใจกลับมาทำสมาธิปฏิบัตฺธรรมให้ถึงซึ่งความดีครับ หลังจากที่ว่างเว้นหรือห่างหายไปนาน พยายามทำให้เป็นกิจวัฒน์ของชีวิตเรา เช่นเดียวกับ
การกินอาหาร เพียงแต่ต่างกันเป็น การเสวยธรรมปิติอันเป็นอาหารของใจ
การนอน เพียงแต่ต่างกันเป็น การพัก การสงบของจิต
การอาบน้ำ เพียงแต่ต่างกันเป็น การชำระล้างใจของเราให้สะอาด บริสุทธ์ครับ
การออกกำลังกาย เพียงแต่ต่างกันเป็น การเสริมสร้างพลังจิต ตบะเดชะของจิตให้มีความเข้มแข็งตั้งมั่น
ทำการสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว จึงนอนหลับไปในสมาธิในฌานเลยได้ก็ยิ่งดีครับ เพราะเท่ากับเวลาทั้งคืนที่เรานอนหลับจนตื่นนั้น เท่ากับเป็นเวลาในการทำสมาธิทั้งคืนครับ
2.ส่วนการที่คุณจับลมหายใจละเอียดได้เร็วนั้นเป็นสิ่งที่ดี ครับอย่าได้ไปตกอกตกใจ เพราะสามารถอธิบายได้ว่าที่ตกใจนั้นเนื่องจากความกลัวการไม่หายใจจากอุปทาน เรื่องการกลัวความตาย(ไม่หายใจเดี๊ยวจะตายหรือเปล่า)ครับ ให้ใช้สติบอกกับตัวเองว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ของการที่จิตใจเราสงบเป็นสมาธิ ร่างกายสงบระงับจึงทำงานน้อยลง เมื่อทำงานน้อยลง จึงต้องการอากาศในการเผาผลาญสันดาปพลังงานน้อยลงไปด้วย สมาธิเราปฏิบัติที่จิต ดูจิต ต่อไปเราจะไม่สนใจและวางอุเบกขาในร่างกาย เมื่อเราพิจารณาได้ดังนี้แล้วเราก็จะหมดความกลัว เพราะรากเหง้าแห่งความกลัวก็คือความไม่รู้ครับ
คำแนะนำ ข้อนี้ก็คือ ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปตกใจครับ เข้าสมาธิให้ถึงลมสบายทันที (วสี ความชำนาญในการเข้าฌาน) ไม่ต้องไปตั้งท่ามาก จากนั้น สัมผัสจากความสุขจากความสงบระงับนั้นให้นานที่สุดจนจิตเรารู้สึกพอใจไม่จำเป็นต้องไปกำหนดเวลา ให้เข้าในอารมณ์นี้จนจิตรู้สึกอิ่ม รู้สึกพอ จึงค่อยออกจากสมาธิครับ
3. วันต่อมาเกิดอาการขนลุกนั้น อาการขนลุกก็คืออาการที่ปรากฏทางกายของปิติ ทั้งห้าประการครับ วิธีการในการจัการกับปิติก็คือ การกำหนดรู้(บอกกับจิตเราเองในขณะที่เกิดปิติว่า นี่คือปิติ) แล้วจึงอธิฐานกำกับว่าขอให้เราเช้าถึงพระปิตินี้ได้ทุกครั้งทุกเวลาที่ต้องการ จากนั้นจึงปล่อยวางจากปิติ กำหนดความสนใจที่จิตเหมือนเดิม
ส่วนอาการปวดหัวเข่าอย่างมากนั้นเกิดขึ้น จากขันธมาร (มารอันเกิดจากร่างกายขันธ์ห้า) มาขัดขวางการทำความดีที่ยิ่งๆขึ้นไป ของคุณเอง ส่วนที่คุณจัดการโดยการกำหนดจิตภาวนาว่าปวดหนอๆ นั้นแล้วอาการดังกล่าวหายไปนั้น คุณทำได้ถูกแล้ว และจากที่ผมได้พิจารณาดูคุณมีอานิสงค์ วาสนาบารมีในการปฏิบัติธรรมรวมทั้งการทำสมาธิมาในอดีตครับ นับว่าก้าวหน้าได้เร็ว
ข้อแนะนำเพิ่มเติมคือ เมื่ออาการปวดหายไปให้ใช้วิปัสสนาญาณมากำกับว่า "ร่างกายนั้นเป็นปัจจัย เป็นเหตุแห่งทุกข์เราจะปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราก็ดี ของผู้อื่นก็ดี เพราะร่ากายนี้มีความเสื่อม การป่วย และความตายไปในที่สุด"
4.อาการวูบหาย เป็นอาการของจิตดิ่งลึกสู่ฌานที่ลึกขึ้นละเอียดขึ้นครับ ไม่ต้องตกใจ สิ่งที่ควรทำคือ การกำหนดรู้และเฝ้าดูอาการของจิตครับ ส่วนการที่คุณย้อนกลับไปจับลมละเอียดใหม่นั้นแล้วอาการดังกล่าวหายไป เกิดจากการที่คุณถอยจิตสู่ฌานที่หยาบขึ้นอารมณ์ฌานลึกๆที่ได้จึงคลายตัวครับ
คำแนะนำคือ ในอารมณ์ฌานที่ลึกสงบระดับนี้ เราปล่อยทั้งคำภาวนา และการจับลมหายใจแล้วครับ จิตจับอยู่กับความสงบเป็นเอกัตคตาเดียวนิ่งอยู่ครับ
5.การที่คุณมีนิมิตรเห็น พระธาตุดอยสุเทพ ก็ดี หลวงพ่อโตก็ดี พระสรรเพชรก็ดี พระสังฆกัจจายก็ดี พระศีวลีก็ดี นั้นเป็นนิมิตรที่ดี คือประกอบไปด้วย พระพุทธนิมิตร พระสังฆนิมิตร ให้สังเกตุจิตเราในสมาธิขณะนั้นว่าเรามีความปิติ ความสุข ความอิ่มเอิบใจหรือไม่ การปรากฏนิมิตรที่กล่าวมา เป็นเหตุที่คุณมีวาสนาบารมีผูกพันกับท่านเหล่านั้นมาในอดีต ท่านจึงได้มาปรากฏให้เห็นในสมาธิจิต ว่าท่านมีเมตตาดูแลคุ้มครองคุณอยู่ ส่วนการที่แยกกายอีกกายออกไปไหว้พระธาตุพร้อมกับอธิฐานขอให้ดอกบัวปรากฏได้นั้น เป็นมโนมยิทธิในระดับนึงแล้วครับ ถ้าเป็นไปได้ หาโอกาสไปฝึกวิชามโนมยิทธิเต็มรูปแบบ ไหว้ครูเป็นกิจจะลักษณะที่วัดท่าซุง หรือที่บ้านสายลมก็ได้ครับ
ข้อแนะนำ คือให้ระวังอารมณ์ใจที่จะมาหลอกให้เราหลงว่า เราเก่ง เราวิเศษกว่าคนอื่น ที่จริงมีผู้ที่เก่งกว่า ดีกว่าเราอีกมากมายมหาศาลครับ เพราะจุดนี้เป็นอันตรายอย่างมากต่อนักปฏิบัติครับ มาติดกันตรงจุดนี้กันนักต่อนักครับ จนถือว่าเป็นจุดหักเหของนักปฏิบัติเลยก็ว่าได้ ขอให้ผ่านไปให้ได้เพื่อความดีที่สูงขึ้น คุณธรรมที่สูงขึ้น ให้คิดว่าในเมื่อเรามีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครองเราก็ยิ่งต้องรักษาความดีไว้ อย่าให้ดีแตก ให้ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิและถ่อมตนไว้เสมอครับ
สรุปแล้วคุณนับว่าก้าวหน้าในการกลับมาปฏิบัติธรรมครับ ขอให้รักษาความดีตลอดไป ถ้ามีอะไรสงสัยก็โพสมาถามกันใหม่ได้ครับ ท่านอื่นๆก็เช่นกันนะครับ ไม่ต้องเกรงใจกัน เป็นการเอื้อเฟื้อกันในธรรมเพื่อความดีของทุกๆท่าน ครับ
ตอบน้อง cochiga ครับ
อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการฟุ้งครับ จิตมันจะอร่อย เพลิดเพลินไปในอารมณ์คิดครับ (พี่เองก็เป็น เวลาคิดเรื่องงาน)
วิธีแก้เบื้องต้นง่ายๆก็คือ เทคนิคการขีดวงกลมให้ความคิดครับ
ด้วยการลองจำกัดตนเองให้คิดถึงแต่เรื่องดีๆ สิ่งดีๆ จะของตัวเองก็ได้ ความดีของผู้อื่นก็ได้ พูดง่ายๆก็คือ เราจะคิดไปแต่ในสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งใดที่เป็นเรื่องชั่วเรื่องอกุศลเราจะไม่ไปคิด (โดยเฉพาะ เรื่องการนินทาว่าร้าย เรื่องGossip ทั้งหลาย)
ต่อมาคือการขีดวงจำกัดด้วยเวลาครับ
ก่อนนอน เรากำหนดเลยว่าเราจะเลิกคิด หยุดคิด ปิดสวิทซ์ความคิด บอกตัวเองว่าเราจะปล่อยวางจากความคิดทั้งหลาย บอกซ้ำๆซัก 5-10 ครั้ง แล้วนอนครับ จะทำให้หลับได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าเราคิดฟุ้งซ่านก่อนนอนแล้วจะมีผลให้จิตเราทำงานต่อโดยเราไม่รู้ตัว มีผลให้ตื่นขึ้นมากลางดึกหรือมีอาการนอนไม่หลับครับ ไม่ดีต่อสุขภาพครับ ควรหลับให้สนิทและหลับลึกครับ
ส่วนการทำสมาธินั้น ให้ย้อนกลับมาฝึกล้างลมหยาบด้วยการอัดลมหายใจ ตามที่พี่โพสไว้ในตอนต้น จนเราได้ลมหายใจที่ละเอียด จิตสงบครับผม
ส่วนการตั้งใจไปฝึกวิปัสสนาเป็นเวลาแปดวันนั้น พี่ขอโมทนาด้วยครับ เพราะจะทำให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัตฺธรรมครับ (ว่าแต่พี่มาตอบช้าเกินไปหรือเปล่า)
อย่างไรก็ตามขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ทุกคนทุกท่านนะครับ ขอเป็นกำลังใจในการทำความดีของทุกคนครับ
สวัสดีทุกๆท่านครับ ขออนุโมทนาสาธุบุญแด่ทุกๆท่านที่เจริญในธรรมนะครับ
ขอขอบคุณ คุณคณานันท์เป็นอย่างมากเลยครับที่กรุณาอนุเคราะห์ผม ตามข้อความที่ว่า
"ข้อแนะนำ คือให้ระวังอารมณ์ใจที่จะมาหลอกให้เราหลงว่า เราเก่ง เราวิเศษกว่าคนอื่น ที่จริงมีผู้ที่เก่งกว่า ดีกว่าเราอีกมากมายมหาศาลครับ เพราะจุดนี้เป็นอันตรายอย่างมากต่อนักปฏิบัติครับ มาติดกันตรงจุดนี้กันนักต่อนักครับ จนถือว่าเป็นจุดหักเหของนักปฏิบัติเลยก็ว่าได้ ขอให้ผ่านไปให้ได้เพื่อความดีที่สูงขึ้น คุณธรรมที่สูงขึ้น ให้คิดว่าในเมื่อเรามีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครองเราก็ยิ่งต้องรักษาความดีไว้ อย่าให้ดีแตก ให้ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิและถ่อมตนไว้เสมอครับ"
อันนี้ผมกลัวมากๆเลยครับ เพราะผมยังไม่สามารถแยกได้ว่าอันใดเท็จอันใดจริง และความอยากของตัวเรามักจะพาให้คิดเข้าข้างตัวเองอยู่เรื่อยๆเลย ผมคงต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนให้มากๆ ต่อเหตุการณ์แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นในการทำสมาธิ
ผมสังเกตดูพักนี้ผมพักผ่อนน้อยการทำสมาธิก็ได้ไม่ค่อยดี การพักผ่อนไม่เพียงพอน่าจะมีผลต่อการทำสมาธิด้วยใช่ไหมครับ
การพักผ่อนน้อยต้องจำแนกลงไปอีกครับว่า
อ่อนเพลีย แต่ใจสบาย ใจสงบอยากพักจิตหรือไม่ ถ้าแบบนี้กลับทำให้จิตรวมตัวเข้าสู่สมาธิได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น และให้ถือโอกาส เข้าไปพักจิต และพักกายในอารมณ์ฌานได้เลย จะยิ่งทำให้ได้ฌานลึกขึ้น รวมทั้งร่างกายมีการฟื้นตัวจากการอ่อนเพลีย ( Recovery)ได้เร็วขึ้นครับ ที่ว่าแบบนี้เพราะผมเคยทดลองมาแล้ว ตอนเดินขึ้นถ้ำวัวแดงที่ค่อนข้างสูง ระหว่างหยุดพักกลางทางร่างกายเราเหนื่อยแต่ใจเราสบาย ก็รีบเข้าฌาน จับลมสบายเลย ก็พบว่ายิ่งเข้าสมาธิได้ง่ายขึ้นลึกขึ้น เพราะร่างกายมันเหนื่อยจนหมดแรงที่จะคิดอะไรแล้ว จิตมันเลยหยุดนิ่งเป็นฌานได้ง่าย และนี่เป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไมจึงควร นั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม
ส่วนข้อที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ ในกรณีที่พักผ่อนน้อย แล้วมีความเครียด ด้วย คิดมากด้วย อาจจะเรื่องการงานก็ดี หรือเรื่องที่มากระทบใจก็ดี กรณีนี้ ควรเว้นการทำสมาธิไปก่อน เพราะอันตรายของนักปฏิบัติอีกอย่างก็คือ อารมณ์ใจที่หนัก อารมณ์เครียด เพราะพอมาพิจารณาในวิปัสนาญาณแล้วจะกลับทำให้เกิดอารมณ์เครียดหนักขึ้นไปอีกจน อาจเกิดสัญญาวิปลาสได้ กรณีนี้แนะนำให้พักผ่อน คลายอารมณ์ใจให้สบาย โดยเฉพาะด้วยการกลับสู่ธรรมชาติเช่น ดูต้นไม้ ดูนก ดูปลา เล่นกับแมว กับหมา ให้ใจสบายซะก่อน เหมือนสายพิณที่เราต้องปรับตั้ง อย่าให้ตึงไปจนขาด จนร่างกายจิตใจฟื้นตัวเต็มที่ ค่อยมานั่งสมาธิใหม่
ส่วนการแยก นิมิตรว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ก็คือ
"นิมิตรใดที่เกิดขึ้นในสมาธิ เราจงดู จงสังเกตุ เหมือนเป็นเรื่องราวของคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของเรา (ดูด้วยใจที่เป็นอุเบกขา) อย่าได้ไปปรุงแต่ง เหมือนเป็นเรื่องที่บอกให้ทราบ บอกให้รู้ จากนั้น เรามาใช้ปัญญามาพิจารณาว่า ถ้าเรื่องที่รู้ เรื่องที่เห็น ยิ่งทำให้เราดีขึ้น เจริญขึ้นทางด้านธรรมมะ"
กล่าวคือ
ทำให้เรามีจิตใจอ่อนโยนขึ้น
มีเมตตามากขึ้น
มีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เพิ่มขึ้น
มีวิปัสนาญาณสูงขึ้น
มีกิเลสลดน้อยลง
จิตใจบริสุทธ์ขึ้น
สิ่งที่รู้ที่เห็นเป็นของจริง
แต่ถ้า
สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น กลับยิ่งทำให้
-เกิดมานะ แบบมิจฉาทิษฐิว่า เราเก่งกว่า ครูบาอาจารย์ เก่งกว่า พระพุทธเจ้า
-รู้สึกว่าทุกคนต้องมา กราบมาไหว้เรา รู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร
-อยากครองโลก อยากเป็นจ้าวโลก โดยไม่ได้รู้ว่าเราจะทำประโยชน์อะไรให้โลกนี้บ้าง
-รู้สึกว่าเราบรรลุธรรมไปแล้ว ขั้นนั้น ขั้นนี้ เราเป็นผู้วิเศษไปแล้ว
เหล่านี้อย่าเพิ่งไปเชื่อ นิมิตรเหล่านี้เด็ดขาด เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อการปฏิบัติ เป็นวิปัสนูปกิเลสบ้าง เป็นมิจฉาทิษฐิบ้าง จึงขอให้ทุกๆท่านหมั่นใคร่ครวญติติงตัวเองด้วย ปัญญาและเหตุผลตามหลัก ตามธรรม หาทางปรับปรุงตนให้ดีขึ้น
และอีกประการหนึ่ง ห้ามไปติเตียน ว่าร้าย ผู้อื่นด้านการปฏิบัติเด็ดขาด
โดยใช้เหตุผลผิดๆเข้าข้างตนเองว่า
-หวังดีนะที่เตือนบ้าง
-อยากช่วยเช็คอารมณ์
-ช่วยทดสอบอารมณ์ให้เพื่อนนักปฏิบัติบ้าง
พยายามอย่าทำครับ ดูแต่เฉพาะใจของเราก็พอ
หาว่ามีความสกปรก สิ่งปนเปื้อนอะไรในจิตของเราบ้าง
แล้วค่อยๆขจัดมันออกไปบ้าง ทีละเล็ก ทีละน้อย
แล้วจึงเติมน้ำดีน้ำสะอาดเพื่อมาไล่น้ำเสีย
ด้วยการคิดแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นกุศล
ส่วนเรื่องของคนอื่น เราดูแต่
สิ่งที่ดีของเขา
สิ่งใดเป็นประโยชน์เราก็นำมาปฏิบัติ เป็นครู
และยกย่องส่งเสริมให้กำลังใจในความดีของผู้อื่น
เหมือนช่วยรดน้ำแก่ต้นไม้แห่งความดีในจิตใจของทุกคนในสังคมให้งอกงาม ครับ
ขอกราบโมทนาในความสนใจและตั้งใจในการปฏิบัติในความดีของคุณ โทนี่ด้วยครับ
วันนี้ขอคุยกันเรื่องจุดหักเหของชีวิตครับ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้ไปที่บ้าน อมตะของคุณ วิกรม กรมดิษฐ์ ผู้เขียนหนัง "ผมจะเป็นคนดี" และประธานมูลนิธิอมตะ ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับท่านเจ้าของบ้าน รวมทั้งได้ ชม เรือนไทย หอพระ ที่ท่านเจ้าของบ้านมีความเข้าใจใน สัญญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา ได้อย่างลึกซึ้งครับ ก่อนกลับคุณวิกรม ได้ให้หนังสือ ผมจะเป็นคนดี กับผม
หลังจากอ่านจนจบแล้วก็ ได้เกิดความคิดขึ้นหลายอย่างครับ ชีวิตของคนเราต้องเจออุปสรรคในชีวิตมากบ้าง น้อยบ้างแตกต่างกันไป ตามกรรม บางท่านก็เจอกับมรสุมกระหน่ำชีวิตอย่างรุนแรงจนเกินที่ผู้อื่นจะจินตนาการถึงและเข้าใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเจ้าของชีวิตไม่อับปางลงไปได้ ก็ด้วยเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ "ความดี"ครับ ที่เปรียบเหมือน เข็มทิศนำทางชีวิตออกจากมรสุมแห่งอุปสรรคทั้งปวง กลับมายืนหยัด สร้างชีวิตให้รุ่งเรืองงดงามขึ้นใหม่ได้
สำหรับท่านที่พบเจอกับอุปสรรคในชีวิตจนท้อแท้ รู้สึกว่าตัวเองเจอมาหนักแล้ว ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูครับ แล้วคุณจะรู้สึกว่าชีวิตของคุณยังโชคดีกว่า เจออุปสรรคน้อยกว่าท่านเจ้าของหนังสือนี้อีกมากครับ
ที่สำคัญก็คือนอกจากจะพลิกกลับมาชนะชีวิตทางโลกอย่างสูงแล้ว ยังหันกลับมาทางธรรม ช่วยสร้างคุณประโยชน์คืนให้กับสังคมอีกด้วยครับ
บางคนเมื่อเจอกับจุดหักเหในชีวิต ก็กลับประชดชีวิต ทำลายชีวิต ทำลายอนาคตของตนเองและผู้อื่น
ส่วนผู้ที่ตั้งมั่นในคุณธรรมและความดี กลับใช้จุดหักเหนั้นให้เป็นโอกาส ให้เป็นแรงผลักดันตนเองขึ้นสู่ความดี ความเจริญ ไม่ว่าด้านใด ด้านหนึ่ง หรือในทุกด้านครับ
ต่อมาเรามาคุยกันในเรื่องธรรมมะปฏิบัติกันเพื่อ ความก้าวหน้าในธรรมครับ
จุดสะดุดหรือข้อติดขัดในการปฏิบัติ
ผมจะขออนุญาตแนะนำจากประสบการณ์จริงที่ผมได้ประสบมาด้วยตัวเองและจากที่ได้พบเห็นมาในการแนะนำการปฏิบัติของหลายๆท่านนะครับ โดยจะขอเริ่มตั้งแต่ เบื้องต้นไปจนถึงในระดับสูงครับ
1. จุดแรกสำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มฝึกสมาธิ ก็คือ อารมณ์ฟุ้ง จิตคิดไปเรื่อย ของมัน ไปเรื่องนี้ ต่อเรื่องนั้น
อุบายในการแก้คือ ขีด วงกลมให้ความคิด ตีกรอบให้คิดแต่สิ่งที่เป็นกุศล จากนั้นใช้เทคนิค อัดลมหายใจเพื่อล้างลมหยาบจนเหลือลมละเอียด ย้ายจิตมาจับอยู่กับลมหายใจละเอียด ในอานาปาณสติ ก็จะก้าวเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้นได้
2. เมื่อจิตเป็นสมาธิ กลับมาติด เรื่องปวดเมื่อยร่างกาย (ขันธมาร) บ้าง มดแมลงไต่ตอม ตามตัวตามหน้า ตัวพอง ตัวขยาย ตัวลอย ขนลุก เหล่านี้เป็นปิติห้าประการ บางคนอาจเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง บางคนเกิดครบทุกอย่าง บางคนไม่เกิดขึ้นเลย
สำหรับคนที่เพิ่งเคยทำสมาธิ ยังไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ จะรู้สึกรำคาญบ้าง ตื่นเต้นบ้าง กลัวบ้าง ตกใจบ้าง จนทำให้ไม่สามารถเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้นได้
อุบายแก้ไข ทำได้โดย การกำหนดรู้ด้วยสติว่า ขณะนี้อาการที่เกิดขึ้นคืออาการของปิติ เราทำสมาธิเพื่อดูจิต เราไม่สนใจอาการทางกาย แล้วปล่อยวางเสียไม่ต้องไปสนใจ อาการต่างๆจะหายไป จิตจะเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้นได้
3.เมื่อได้วิชามโนมยิทธิ หรือญาณ ต่างๆแล้วเกิดความสงสัย(วิจิกิจฉา) ว่า จริงหรือไม่จริง บ้าง คิดไปเองหรือเปล่าบ้าง ทำให้ความดีที่ได้เสียไป ที่เรียกกันว่า "มโนหาย" เพราะเมื่อสงสัยเสียแล้ว ไม่มั่นใจเสียแล้ว คราวนี้สิ่งที่ดูก็จะผิดพลาด
อุบายการแก้ไข คือใช้ปัญญาไตร่ตรอง แยกแยะว่า
"ความคิดเกิดขึ้นจากเราคิด แต่ญาณทัศนะจะมี อาการผุดรู้ปรากฏขึ้นเองในจิตโดยที่เราไม่ต้องคิด " นี้เป็นประการที่หนึ่ง
อีกประการคือ
ทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของท่านเจ้าของวิชชา นั่นคือพระพุทธเจ้าว่า ท่านต้องการให้นำวิชามโนมยิทธินี้มาใช้เพื่อ
-พิสูจน์เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ว่ามีจริงหนึ่ง มีสภาพใดหนึ่ง
-เห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อการเบื่อเกิด
-เห็นเหตุของกรรมในอดีตชาติ และผลของกรรมที่ส่งผลต่อเนื่องมาไม่สิ้นสุด
-เพื่อให้หมดสงสัยในธรรมทั้งปวง(เปลื้องอวิชชาลงได้)
-ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อทำให้ง่ายในการบรรลุธรรม สิ้นกิเลส เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย
ดังนั้นถ้าเราใช้วิชาไปดูนั่นดูนี่บ้าง เพื่อให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเราเก่งบ้าง ให้ผู้อื่นสรรเสริญบ้าง วิชชาย่อมหายไปเสื่อมไปเพราะจิตเราไปประกอบด้วยกิเลสละเอียดเสียแล้วนั่นเอง
ให้กำหนดว่าเราจะใช้วิชานี้เพื่อการตัดกิเลสหนึ่ง
เพื่อประโยชน์ส่วนรวม อันมีชาติ พระพุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้ง
เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ตามปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ โดยใจเราเป็นอุเบกขา ไม่ยินดียินร้าย ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
ถ้าวางจิตได้ดังนี้วิชามโนมยิทธิจะยิ่งก้าวหน้าขึ้นครับ
4.เมื่อการปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นสู่ภาควิปัสนาญาณที่เข้มข้นขึ้น จะมี อารมณ์ใจที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ กล่าวคือ
-อารมณ์ใจหนักเกินไป เครียดเกินไป ถ้าตึงเกินไปจนขาด จะทำให้สัญญาวิปลาสได้ ต้องรู้จักผ่อนจิตให้เบา ผ่อนอารมณ์ให้เบา ผ่อนอิริยาบทบ้าง จะช่วยได้ ที่สำคัญ เรียนรู้เรื่อง "ลมสบาย"และการวางจิตในอารมณ์ที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น อย่าลืมว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อความสุข จิตเป็นสุข ไม่ใช่ปฏิบัติให้ทุกข์ครับ
-อารมณ์ธรรมมะหลั่งไหล ช่วงที่ก้าวหน้ามากๆ นั้นใจเราจะสุขอย่างมาก อย่างไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต และจะมีความอยากเล่า อยากถ่ายทอด อยากให้ผู้อื่น โดยทั่วไปอารมณ์นี้ไม่เป็นพิษภัยกับใคร แต่จะมามีผลกระทบถ้า ไปบอกไปเล่าให้กับผู้ที่ไม่เข้าใจในธรรม ซึ่งจะมีผลตามมาคือ
-เขาปรามาสเป็นโทษกับเขา
-เขามาว่าเรา แล้วเราอารมณ์ตีกลับ
วิธีแก้คือ เลือกผู้ที่เราจะสนทนาด้วยหนึ่ง
มีสติกำกับการพูด การสอน การแนะนำ พิจารณาก่อนว่าควรไม่ควรแล้วจึงทำ
-อารมณ์ริษยาที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อเห็นคนอื่นเก่งกว่าดีกว่า ก้าวหน้ากว่า เกิดไปหมั่นไส้เขาโดยไม่มีสาเหตุ ตรงนี้อันตรายสุดๆเลย โดยให้ลองดูกรณีของพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง ท่านเริ่มสร้างบารมีมาพร้อมๆกับพระพุทธเจ้า แต่เกิดไปริษยาพระพุทธเจ้าและโกรธอาฆาตในชาติที่เป็นพ่อค้าถาดทองคำ ส่งผลให้บั้นปลายท่านต้องลงอเวจีมหานรก ทั้งๆที่สร้างบารมีมาก็ไม่น้อย
สังเกตุตัวเราดูว่า เห็นผู้อื่นทำความดีเราหมั่นไส้เขาแล้วหาเหตุว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ นี้เป็นขั้นแรกของอารมณ์ชั่ว ขั้นต่อมาเห็นเขาดี ทำดีเราไปจ้องทำลาย ถ้าอย่างนี้นรกแค่เอื้อมครับ
วิธีแก้ไขคือ การอธิฐานให้จิตใจเราเป็นสัมมาทิษฐิไว้เสมอ หนึ่ง
ฝึกมองแต่คุณความดีของท่านผู้อื่นไว้เป็นครูเราเสมอหนึ่ง
โมทนาบุญ มีจิตยินดีในกุศลความดีของผู้อื่นไว้เสมอหนึ่ง
คิดว่ามีคนดีเกิดขึ้นหนึ่งคน มีความดีเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง โลกก็จะดีขึ้นอีกพันเท่า
-อารมณ์เกลียด ได้แก่ การรังเกียจนั่นบ้าง นี่บ้าง เป็นอคติที่เกิดขึ้นจนทำให้ความตั้งมั่นในคุณธรรมสั่นคลอนลงไป
วิธีแก้คือ วางจิตให้สะอาด ปราศจาก อคติทั้งปวงอันได้แก่
ความรัก
ความเกลียด
ความกลัว
ความเกรง
ให้ยึดมั่นเอาธรรมเป็นใหญ่ คุณธรรมเป็นใหญ่
5.ฝึกจิตสูงขึ้นไปจนกิเลสเบาบาง ปรากฏว่ามี พระพุทธเจ้าบ้าง เทวดาบ้างมาบอกว่า เราบรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ ให้ระวังอย่างยิ่งตั้งแต่แรกครับ ส่วนใหญ่เจอเกือบทุกคน เป็นวิปัสนูปกิเลส แน่นอนครับ
วิธีแก้ก็คือว่า อย่าไปสนใจว่าเราจะต้องบรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ ทำเหตุให้ดี ผลเกิดเอง สิ้นสังโยชน์ที่เราตัดละได้ขั้นใด ก็ขั้นนั้นครับ ญาณทั้งหลายก็ดี ภูมิธรรมทั้งหลายก็ดีไม่มีรอยต่อแบบขั้นบรรไดครับ เรียบเนียน ลื่นไหล บางทีเราเข้าญาณไปจากญาณหนึ่งไปถึงญาณสี่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวก็มีครับเพราะจิตเราตั้งมั่นอยู่ในองค์ญาณ การบรรลุธรรมก็เช่นกันครับ เราตั้งมั่นอยู่ในสัมมาปฏิบัติจะบรรลุธรรมเมื่อไหร่ขั้นไหนไม่สำคัญครับ สำคัญว่าเมื่อเราละจากร่างกายนี้แล้วเราไปนิพพานครับ การบรลุธรรมของเราใครจะรู้ไม่รู้ เพียงใดไม่สำคัญ อย่าลืมว่าเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพานครับไม่ได้ทำเพื่ออวดใครหรือให้ใครยกย่อง คิดได้อย่างนี้ไม่เกิดวิปัสนูปกิเลสแน่ครับ
ก็เป็นเบื้องต้นในการสังเกตุอารมณ์ใจและการปฏิบัติให้ก้าวผ่าน ข้อสอบที่มักจะพบเจอกันในการปฏิบัติครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอให้รุ่งเรืองในธรรมทุกท่านครับ สาธุ
สวัสดีครับผมไม่ได้เข้ามาดูตั้งนาน
เห็นพี่ เขียนเรื่องสมาธิเยอะมาก
คือ เวลาผมนั่งสมาธิน่ะ ครับ ผมเกิดจุดปวดเสียวที่ บริเวณหน้าผาก
ผมอยากรู้ว่า มันเป็นอาการของอะไรครับ
ขอบคุณครับ
เห็นพี่โคชิกะ เปลี่ยนรูปเป็นแมว อะไรก็ไม่รู้ ผอมๆ น่ากลัว จริงๆ
ขออนุญาตตอบน้องอุ้มครับ
อาการปวดเสียวที่หน้าผากนั้น เป็นไปได้ที่น้องกำลังฝึกสมาธิ กระตุ้นตาที่สามอยู่ เป็นเหตุผลประการแรก
ประการต่อมาก็คือเวลาที่ฝึกสมาธิ บางคนจะมีผลความเชื่อมโยงกับร่างกายทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน(ที่ดี เช่น โกรธ์ทฮอร์โมน และเซราโนลิน) ออกมา ทำให้ร่างกายเกิดอาการตึงเสียว ที่หน้าผาก
คำแนะนำก็คือต้องการฝึกไปในแนวทางนี้ หรือต้องการฌานสมาบัติ หรือต้องการทำสมาธิเพื่อการตัดกิเลส จะมีเส้นทางตามแบบที่จะแยกกันออกไปครับ
ในช่วงอาทิตย์นี้ ผมมีภาระกิจที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด หลายแห่งในภาคอีสานครับ คงหายหน้าไปนานสักหน่อย ต้องขอกราบอภัยด้วยครับ
ท่านที่มีข้อสงสัย หรือข้อติดขัดในการปฏิบัติประการใด เขียนมาสอบถามได้นะครับ เมื่อกลับมาแล้วจะรีบตอบให้ครับผม
สวัสดีครับทุกท่าน ก่อนอื่นผมต้องกราบขอโทษก่อนที่หายไปนานครับ
ที่ผ่านมาผมติดภาระกิจทางโลกต้องไปต่างจังหวัดหลายแห่ง ทางภาคอีสานครับ
ก็เกือบจะไม่ได้กลับมาเจอพวกเราแล้ว เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ รถที่ไปเกิดยางระเบิดบนเทือกเขาภูพานครับ แถมไหล่ทางก็แคบ เลยต้องบดยางลงมาจากเขาโดยค่อยๆประคองรถลงมาครับ แล้วค่อยเปลี่ยนยาง พอถึงขอนแก่น ไปซื้อยางเส้นใหม่ คนในร้านยางมาเห็นแล้วบอกว่า ไม่น่าจะรอดได้ ก็ต้องนับว่าคุณพระคุณเจ้าท่านยังดูแลเราอยู่ เรายังมีภาระกิจหน้าที่ในพระพุทธศาสนาอยู่ บุญจึงรักษาครับ
เป็นปรกติของผมที่เมื่อเดินทางไปต่างจังหวัดเมื่อไร ไม่ว่าจะไปเที่ยวก็ดี ไปเรื่องการงานภาระกิจอื่นก็ดี ผมมักจะหาโอกาส ทำบุญตามสถานที่ต่างๆ จุดต่างๆตามที่สถานการณ์จะเอื้ออำนวยครับ
ครั้งนี้ก็เช่นกันครับ ผมได้เดินทางไปที่จังหวัดเลย จึงได้ไปกราบนมัสการที่พระธาตุศรีสองรัก อันเป็นพระธาตุเจดีย์อธิฐาน ของพระโพธิสัตว์สองพระองค์คือ "พระมหาจักรพรรดิ์(ลูกศิษย์หลวงพ่อน่าจะพอทราบ)แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระไชยเชษฐา แห่งอาณาจักรล้านช้าง " ซึ่งทั้งสองพระองค์ท่านได้อธิฐานร่วมกันว่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันและร่วมทำนุบำรุงคุ้มครองพระพุทธศาสนา (เป็นเหตุผลให้การขึ้นไปกราบพระธาตุแห่งนี้ห้ามใส่สีแดง เนื่องจากเป็นสัญญลักษณ์ของสีเลือด การฆ่าฟัน ---คณานันท์) เลยได้ทำบุญและอธิฐานเผื่อพวกเราชาวเวบพลังจิตด้วย ณ โอกาสนี้ครับ
จากนั้นผมได้เดินทางต่อไปที่ ภูหลวง จ.เลย แวะไปที่วัดเล็กๆแห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัดโนนสว่าง ที่นั่นมีพระจำพรรษาอยู่ สอง- สามองค์ เจ้าอาวาสชื่อ หลวงพี่ สุวัฒน์ ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำเช่นกัน โดยท่านนับถือกัน กับพระอาจารย์องอาจ แห่งวัดกะทุ่มเสือปลา (ปัจจุบันย้ายไปวัดศรีเอี่ยม) ที่วัดแห่งนี้ ไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร มีเพียงศาลาเอนกประสงค์ เป็นไม้หลังหนึ่ง และกุฏิไม้สองชั้นเก่าๆอีกหลังหนึ่ง ซึ่ง พื้นผุจนมองเห็น ทะลุกันได้ทั้งชั้นหนึ่งชั้นสอง
แต่สิ่งที่งดงามที่สุดของวัดนี้ และเป็นพลังดึงดูดให้ผมเดินทางมาที่นี่ ก็คือ หลวงพี่ท่านได้สร้างสมเด็จองค์ปฐมไว้ได้อย่างสวยงามที่สุด เกินฝีมือช่างท้องถิ่นแถบนั้น ที่ท่านสร้างได้เกิดจากแรงศรัทธาของหลวงพี่ท่านที่มีต่อสมเด็จองค์ปฐมท่านล้วนๆ องค์พระมีหน้าตักประมาณ วาเศษตั้งอยู่บนฐานสูง เป็นเนินบันไดอีกเมตรเศษ ตอนที่ผมไปถึงท่านกำลังจะดำเนินการสร้างฉัตรเพื่อบูชา และการที่องค์พระอยู่กลางแจ้งนั้น ผมได้แจ้งให้หลวงพี่ท่านทราบแล้ว ท่านก็ได้แต่บอกว่า ท่านก็มีโครงการจะสร้าง วิหารครอบองค์พระไว้เช่นกันแต่ตอนนี้ท่านไม่มีปัจจัยจะสร้างจะทำต่อเลย มีแต่หนี้ท่วมอยู่ เพราะวัดนี้มีแต่ปัจจัยจากญาติโยมในพื้นที่เท่านั้น มีไม่มากมายอะไร ผมจึงได้ขอบัญชี ธ. ของท่านเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับพวกเราที่ศรัทธาในองค์สมเด็จองค์ปฐมท่าน
ธ. กสิกรไทยสาขา วังสะพุง จ. เลย เลขที่ 189-2-42037-4 ชื่อเจ้าของบัญชี พระสุวัฒน์ เสลากาย
ปัจจุบันท่านมีเงินติดบัญชี อยู่ 213.80 บาท เนื่องจากสร้างพระจนหมด
ผมจึงได้ถวายปัจจัยส่วนหนึ่งให้ท่านไว้สร้างฉัตรบูชาสมเด็จองค์ปฐม และถวาย แหนบหลวงพ่อ หนังสือธรรมมะของหลวงพ่อ เนื่องจากวัดนี้เป็นที่ห่างไกลไม่อาจหาหนังสือหรือสิ่งอื่นได้ จากนั้น ผมได้สอบถามว่าท่านมีเครื่องเล่น ซีดี เอ็มพีสามหรือไม่เนื่องจากจะถวายซีดีหลวงพ่อให้หลวงพี่ท่านฟังเพื่อการก้าวหน้าในธรรมมะปฏิบัติ ก็ปรากฏว่าท่านมีแต่เทปเท่านั้น ดังนั้นเที่ยวหน้าที่ผมต้องขึ้นไปที่ จ.เลย ( 7-8 ธันวาคมนี้) ผมจะนำเทปธรรมมะหลวงพ่อขึ้นไปถวายท่านด้วย
จากนั้นเราก็ได้สนทนากันต่อเล็กน้อยเนื่องจากผมต้องมีธุระไปอีกหลายแห่ง จึงพยายามช่วยถวายกำลังใจให้ท่านอย่าได้ท้อถอยในการบำเพ็ญบารมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เบื้องบนท่านรู้ท่านเห็น จึงได้ดลใจให้ผมได้มาพบมารู้จักกับท่าน ขอให้ท่านมุ่งหน้าบำเพ็ญบารมีต่อไป (หลวงพี่ท่านเป็นพุทธภูมิครับ)
จากนั้นผมได้เดินทางไปทำธุระ ที่อ.วังสะพุง แล้วจึงมุ่งหน้าต่อไปยังจ. สกลนคร โดย ตั้งใจ ไปกราบนมัสการ พระอาจารย์หนุน (ท่านเป็นพระธรรมยุติ ที่เคารพหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปัจจุบันท่านเป็นศูนย์รวมของพระป่าทางภาคอีสานที่ปฏิบัติตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อีกทั้งท่านก็เป็นพุทธภูมิเช่นกัน) แห่งสำนักปฏิบัติธรรม พุทธโมกข์ อ. โพนนาแก้ว จ. สกลนคร (ที่นี่ เป็นศูนย์สร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ถวายไปยังวัดต่างๆทางภาคอีสาน ที่เคารพศรัทธา หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน โดยมีแม่พิมพ์พระ เวียนให้ยืมไปยังวัดต่างๆที่ประสงค์จะสร้างพระพุทธรูป )
ไปถึงก็ค่ำพอควรแล้ว จึงได้ถวาย หนังสือหลวงพ่อ รูปรวมพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ รวมทั้งซีดีเอ็มพีสามของหลวงพ่อครบชุด ตอนถวายซีดี ได้เรียนท่านว่า "เผื่อท่านจะได้ใช้ทำ สถานีวิทยุชุมชน รายการธรรมมะ " ท่านก็สะดุ้งเล็กน้อย แล้วตอบว่า "ใช่ ตอนนี้มีคนชวนให้ท่านทำอยู่พอดี " จากนั้นผมก็ลากลับเพื่อเดินทางต่อไปยัง จ. นครพนมในค่ำคืนนั้น
`เมื่อถึงนครพนมแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ออกเดินทางแต่เช้าไปทำบุญห่มผ้าองค์พระธาตุพนม และอธิฐานให้การการห่มผ้าถวายพระธาตุนี้เป็นเสมือนการโอบอุ้ม ปกป้องพระพุทธศาสนาให้เจริญจนครบห้าพันปี
จากนั้นได้เดินทางไปที่พระธาตุศรีโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของอาณาจักรโบราณ ศรีโคตรบูรณ์ อันมีความเจริญพร้อมๆกันกับอาณาจักรศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ที่นั่นผมได้ทำบุญห่มผ้าบูชาพระธาตุ ด้วยเช่นกัน พระที่นั่นท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ที่วัดแห่งนี้ เป็นวังพญานาค และมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้เสมอ หลังจากทำบุญกรวดน้ำเสร็จแล้ว ผมก็ได้ออกเดินทางต่อจากนครพนมเพื่อมุ่งหน้าไปที่ จ. ขอนแก่น ระหว่างทางต้องผ่าน จ.สกลนครอีกครั้ง และต้องข้ามเทือกเขาภูพาน ช่วงจะขึ้นถึงยอดเขา ภูพาน ยางรถ ด้านซ้ายก็เกิดระเบิดขึ้น น้องชายผมต้องประคองรถลงเขามาเรื่อยๆ เพื่อหาที่เหมาะๆในการเปลี่ยนยางรถ เพราะไหล่ทางบนเขาแคบมาก แถมยังมีรถพ่วงมาเป็นระยะๆ ยอมบดยางดีกว่าโดน สิบแปดล้อซัดท้าย กว่าจะหาที่เหมาะๆได้ ยางรถก็ยับเยิน ขอบลวดออกมายิ้มข้างนอก โชคดีที่แม็กยังมีสภาพดีอยู่ พอเปลี่ยนยางได้ก็ขับต่อไปจนถึง ที่พักในจ.ขอนแก่น
ที่จ.ขอนแก่นนี้ มีเรื่องน่ายินดีมากๆในวิสัยทัศน์ของพ่อเมืองขอนแก่น ที่มีการรณรงค์ให้ชาวขอนแก่นขี่จักรยานไปทำงานกันทั้งจังหวัด นอกจากนี้ยังมีโครงการ นำน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหารมาใช้ทำน้ำมันไบโอดีเซลกันอีกด้วย ซึ่งถ้า ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย มีโครงการดีๆแบบนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อนลงไปได้มากๆ
จากนั้นวันรุ่งขึ้นผมก็ออกเดินทางต่อไปยังจ.โคราช เพื่อเยี่ยมสหายธรรมท่านหนึ่ง ระหว่างทางก่อนเข้าโคราช ผมสังเกตุเห็น สถานปฏิบัติธรรมหลวงปู่เทพโลกอุดร ทางด้านซ้ายมือ จึงได้แวะเข้าไป พบว่าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเอกชน ภายในมีพระพุทธรูป พระธาตุต่างๆทั้งที่เป้นพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระอรหันต์และพระสุปฏิปันโน เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมี "มัคลีผล"อีกสองตน แร่เหล็กไหลและธาตุกายสิทธ์อีกจำนวนมาก รวมทั้งรูปหล่อและหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เทพโลกอุดรด้วย ท่านที่ผ่านไปแถวนั้น เชิญแวะไปเยี่ยมชม และร่วมทำบุญได้ ครับ
หลังจากถึงโคราชพบปะกับสหายธรรมแล้วก็เดินทางกลับ กรุงเทพโดยสวัสดิภาพครับ
ที่นำมาเล่าให้ฟังนั้น เพราะต้องการให้พวกเราได้โมทนาบุญที่ผมและน้องชายได้ไปทำมาครับ ส่วนเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ อยากจะบอกว่า บางครั้งตัวเราเอง ก็สามารถทำความดีสร้างบารมีได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินใช้ปัจจัยเป็นตัวตั้ง หรือเป็นข้อจำกัดกับตัวเองว่าต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้ มีเงินเท่านั้นเท่านี้แล้วเราจึงจะทำ ขอให้ท่านดูตัวอย่างจากหลวงพี่สุวัฒน์ ท่านไม่มีปัจจัยมากเท่าไร แต่ท่านก็มีบารมี(กำลังใจ) ที่จะสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม องค์ใหญ่ขนาดนั้น ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนบาทได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างบารมีตอนไม่มีนั่นล่ะที่เป็นปรมัตถบารมี เพราะต้องใช้บารมี (กำลังใจ)สูงกว่ามากๆ
ดังนั้นไม่ว่าท่านจะประสพกับอุปสรรคใดๆก็ตาม ขอจงอย่าได้ท้อถอยในการทำความดี จงคิดดี พูดดี ทำดี อยู่เสมอจนเป็นเนื้อแท้ของจิต เป็นอุปนิสัยแท้จริงที่ออกมาจากหัวใจที่บริสุทธ์
ขอให้ทุกท่านเจริญทั้งทางโลกทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
ขออนุโมทนาสาธุกับพี่คณานันท์นะคะ
พระพุทธองค์ ทรง ทดลองปฏิบัติหลากหลายวิชาในโลก เพื่อหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเกิดใหม่ เพื่อมุ่งสู่นิพพาน...
จนสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงค้นพบ "หลักสัจจะธรรม " ว่า...
ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน....
คือ ผลจากการกระทำไม่ตาย ไม่สูญสลาย และติดตัวเราตลอดกาล
จึงพบว่า...หนทางการจะหลุดพ้น อยู่ที่...การกระทำ
จึงมุ่งปฏิบัติตน ด้วย "สัจจะ"
เพื่อทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
เพื่อทำในสิ่งที่ยังทำไม่ได้
เพื่อให้เกิดการกระทำใหม่
เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป
พระพุทธองค์ จึงสั่งสอนให้สาวก
นำ "สัจจะ" ปฏิบัตินำชีวิตตนเอง
เพื่อลดนิสัยที่ไม่ดีของตน
วันละอย่าง วันละข้อ
ทำเป็น "ประจำวัน"
ในที่สุด...สาวกของพระพุทธองค์ทุกท่าน
จึงสามารถลดนิสัยของตนเองได้จนหมดสิ้น
จึง บรรลุเป็นอรหันต์
คือ สามารถปฏิบัติตนเป็นปกติ ได้ตาม ศีลห้า
ศีล หัวข้อปฏิบัติที่พราหมณ์ได้ใช้ปฏิบัติกันมาก่อนมีพระพุทธเจ้านานแล้ว
- " หนุมาน ผู้นำสาร "
ขอคำแนะนำค่ะ
เมื่อวานนี้ไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลมมา ก็เห็นบ้างไม่เห็นบ้างเป็นช่วง ๆ แล้ววันนี้ อ.ไก่ (คนเมืองบัว) มีสอนก็เลยลองไปดู ในส่วนของเต็มกำลังนี่ยังไม่ได้เลย ส่วนครึ่งกำลังพอภาวนา นะมะพะธะ มันมีแต่แสงสว่างมาก ๆ ยิ่งพออาจารย์ไก่มาถามยิ่งสว่างมาก อาจารย์ไก่เลยบอกให้ภาวนา อาโลกสิณัง สรุปก็คือไม่เห็นอะไรเลยนอกจากแสง อ.ไก่บอกว่าอยากมากเลยไม่ได้...ไม่เป็นไรค่ะกะว่าเดือนหน้าจะไปใหม่
แต่สงสัยตรงที่แสงที่เห็นมันสว่างไปหมดเลยไม่ได้เป็นดวงเหมือนดวงกสิน แล้วก็ไม่เคยเห็นแสงแบบนี้มาก่อน แบบนี้แสดงว่าเราเคยได้กรรมฐานกองนี้มาก่อนรึเปล่า และควรจะฝึกต่อยังไงค่ะ
แล้วในตอนที่เห็นแสงรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วมากเหมือนตอนตื่นเต้นและร่างกายมีเกร็งนิดหน่อย ไม่รู้เกี่ยวกันรึเปล่า
ตอนนั่งสมาธิบางครั้งจะรู้สึกเหมือนร่างกายมันหนัก ขยับไม่ได้ สติแจ่มใสแต่ก็มีฟุ้งบ้างนี่คืออะไรค่ะ
ขอบคุณนะคะ
ขออนุญาตตอบตรงนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ เป็นธรรมทานต่อเพื่อนๆท่านอื่นครับ ใกล้จะฝึกมโนใหญ่อีกไม่กี่วันแล้วครับ
`สวัสดีครับ
ระดับกำลังสมาธิของคุณตามอาการดังกล่าวมานี้ อยู่ในขั้นที่เกือบจะออก(อาทิสมานกาย) เป็นมโนเต็มกำลังอยู่แล้วครับ แต่ที่ยังไปไม่ได้ยังไม่เห็น อะไรนั้น เป็นเพราะยังไม่เข้าใจว่าไปอย่างไร อะไรไป อาการที่เขาว่าเห็น นั้นเห็นได้อย่างไร สรุปรวมคือยังไม่รู้(อวิชชา)วิธีจริงๆว่าเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด อะไร เพราะคนเราไม่รู้ไม่ทราบก็ต้องเรียนรู้เพื่อสลายอวิชชา (ความไม่รู้) ไม่ต้องอะไรหรอกครับ ครั้งแรกที่ผมฝึกมโนก็มีอาการเช่นเดียวกับคุณครับ คือไม่รู้ว่าเอาอะไร ส่วนไหนออก แล้วจะออกทางไหน ออกอย่างไร
ตอนที่ทำได้จริงๆนั้น เป็นเพราะครูพักลักจำ มีป้าคนหนึ่งแกแนะนำลุงคนหนึ่งอยู่ ผมไปนั่งฟังใกล้ๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร ปรากฏว่าทำได้ตอนนั้นเป็นครั้งแรกนั่นเอง ส่วนคุณลุงที่รับการฝึกโดยตรงกลับทำไม่ได้ หลังจากนั้นผม ก็ทำได้เป็นปรกติ เหตุที่ฝึกได้สำเร็จกับคุณป้าท่านนี้ ปรากฏว่าคุณป้าท่านเล่าให้ฟังว่าป้าท่านปรารถนาเป็นพระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าในอนาคตครับ จึงอยู่ในวิสัยที่มาช่วยเหลือสงเคราะห์กันได้
ผมขออนุญาตแนะนำการฝึกมโนมยิทธิให้กับคุณ Taewy ทางเมล์นี้นะครับ
ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า "มโนมยิทธิ"แปลว่าฤทธิ์ทางใจ ฝึกกันที่ใจ ใช้ใจเป็นใหญ่
การที่อาทิสมานกายออก จากร่างกายนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกำหนดกะเกณฑ์ว่า อาทิสมานกายมันจะออกทาง หัวบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางตาที่สามบ้าง ทางปลายเท้าบ้าง สวมทับออกจากกายเนื้อบ้าง
อันที่จริงเมื่อ จิตเราปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย (ละสักกายทิษฐิให้คลายตัวลง ) จิตก็จะเป็นอิสระจากกาย จะออกทางไหนจุดไหนก็ได้ครับ สิ่งสำคัญที่จริงอยู่ที่จุดหมายคือเราจะให้อาทิสมานกายไปที่ไหนครับ ดังนั้นถ้าเรามาห่วงว่าจิตมันจะออกทางไหน ออกอย่างไร จิตก็จะยิ่งกลับถูกความห่วง ความกังวลนี้ผูกให้ติดกับกายไม่อาจไปไหนได้ครับ
ประการต่อไป ก็คือ อยากให้ทำความเข้าใจก่อนว่าการใช้มโนมยิทธินั้น สำหรับครึ่งกำลังแล้ว สิ่งที่ปรากฏในจิตนั้น จะ"คล้าย"กับภาพของความคิด ดังนั้นจึงอยากให้ทำความเข้าใจ และแยกแยะ ใน "ความคิด"กับ "ญาณทัศนะ"ก่อนครับ
"ความคิด "คือ สิ่งที่สมองของเราประมวลผลขึ้น สร้างขึ้น จินตนาการเองขึ้นแต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องใช้ความคิดตรงจุดนี้เพื่อเป็นอุบายให้จิตเกิดพลังสมาธิ ภาษาการปฏิบัติเราจะเรียกความคิด การสร้างภาพแบบนี้ว่า "การกำหนดจิต" "นิมิตรกสิณต้น"บ้าง การนำไปใช้จริงก็อย่างเช่น "การกำหนดจิตเป็นภาพของพระพุทธเจ้า" หรือ "พุทธนิมิตร" ในตอนต้นๆของการฝึกมโนมยิทธิครับ
"ญาณทัศนะ"หรือมโนที่ได้นั้น เป็นผลจาก "กำลังสมาธิของเรา บวกกับ กำลังวิปัสสนาญาณที่ปล่อยวางร่างกายขันธุ์ห้า ที่ได้รับการสงเคราะห์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนอันมีพระพุทธองค์ หลวงพ่อ และท่านอื่นๆ มาช่วยสงเคราะห์ให้ปรากฏภาพขึ้นในจิตของเรา " มีผลทำให้เราเห็นนรก สวรรค์พรหม นิพพานได้ ถูกต้องตามความเป็นจริง ในจิตของเรา
ความแตกต่างระหว่างความคิด กับ ญาณ ก็คือ ความคิด เราต้องคิดก่อน แต่ญาณทัศนะนั้น เราไม่ต้องคิด (ไม่ผ่านการประมวลผลจากระบบสมอง) จะปรากฏภาพผุดรู้ขึ้นมาในจิตของเรา เหมือนอาการปิ๊งขึ้นมาเอง ประมาณนั้น
และมีอาการความรู้สึกเหมือนกับ เราไปปรากฏในสถานที่นั้นๆเลยจริงๆ โดยไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งทางความคิด เนื่องจากเป็นการใช้จิตเดินทางไปที่นั้นจริงๆ เหมือนกับเราเดินทางไปที่สักแห่งหนึ่งเมื่อเห็นอะไร เราก็สามารถพูดบรรยายได้ตามท่เห็นได้เลยโดยไม่ต้องคิดก่อน
จุดสำคัญอีกจุดคือ อย่าไปลังเลสงสัยว่าสิ่งที่เห็นนั้นจริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ ให้ซื่อๆไว้ เห็นอะไรว่าไปตามนั้น เชื่อ อารมณ์แรก ความรู้สึกแรกที่ปรากฏขึ้นมาในจิตของเรา เห็นอะไรก็พูดออกไป ยิ่งบรรยายมาก ภาพจะยิ่งชัดเพราะจิตใจจดจ่อ เป็นสมาธิ ถ้ายิ่งสงสัย ภาพยิ่งมืด เนื่องจากเป็นความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา นิวรณ์ห้า เครื่องกั้นความดี)
สำหรับคุณในตอนนี้เมื่อ คุณทำได้ ถึงขั้นที่มีแสงสว่างจัดขนาดนี้ สิ่งที่คุณควรทำต่อไปคือ
1. ทำกำลังใจว่าเราจะปล่อยวางจากร่างกายนี้เพื่อเข้าถึงความดีในพระพุทธศาสนาเราจะไม่สนใจร่างกายต่อไป
2.ขณะที่เราทำความดีอยู่นี้ ศีลห้าของเราบริสุทธ์ จิตเราเป็นสมาธิ เรามีความเคารพ ในพระรัตนไตย เราปล่อยวางจากร่างกาย
3.จากนั้นทำกำลังใจว่า "ไม่ว่าพระพุทธองค์ท่านจะอยู่ณ ที่ใดก็ตามเราจะใช้กายทิพย์ของเราไปกราบพระองค์บนพระนิพพานด้วยเทอญ"
ลองไปทำดูครับ จากนั้นกราบท่านที่ตัก ใช้จิตสัมผัสรัศมีแห่งความเมตตาของท่านให้มากที่สุดครับ ใช้ใจสัมผัส
ก้าวหน้าอย่างไรส่งข่าวมานะครับ ถ้า อยู่ในกรุงเทพ ไม่ไกลไป ผมช่วยแนะนำให้ก็ได้ครับ ของกรณีคุณ ที่จริงท่านมาปรากฏต่อหน้าแล้วครับ แต่คุณไม่เห็นท่านเอง
ขอให้ก้าวหน้าในธรรมและได้มโนและทิพย์จักษุญาณสมดังปรารถนาครับ
(verygood)
____________________________________________________________
12.ถ้ามีทุนเพิ่มก่อสร้างที่พักเป็น ดินจากอิฐประสานวท.ครับ ผมมี vcd วิธีก่อสร้าง ติดต่อมาได้ครับ ข้อดีคือแข็งแรงค่อนข้างมากครับทนความเร็วลมระดับพายุได้สบายผมสนใจอยากได้ vcd วิธีก่อสร้างจากอิฐประสานวท.ครับธนาชัย พรยิ่งวานิช 24 หมู่ 4 ต.ปลวกแดง อ.ปลวกแดง จ.ระยอง 21140
ขอโมทนากับความตั้งใจอันเป็นกุศลของคุณธนชัยด้วยครับ
เมื่อวานนี้ผมได้ไปร่วมงานวิทยาศาตร์ทางจิต และร่วมทำบุญถวายชุดสังฆทานยาจำนวน 89 ชุดที่คุณจ้อน คุณฝนและน้องๆอีกสามคนจากตรีนิตี้เป็นผู้จัดทำโดยปราณีตและเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาครับ รวมทั้งได้ทำบุญตักบาตรพระ กรรมฐาน จำนวน113 รูปที่ทาง ดร. คะนอง เนินอุไร ท่านเป็นผู้จัดงานตลอดจนการนิมนต์พระครับ
งานบุญช่วงเช้านี้ เป็นที่น่าสังเกตุและน่าชื่นใจที่คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว มาร่วมทำบุญสร้างกุศลเป็นจำนวนมากครับ เป็นการสืบทอดสายบุญโดยไม่ขาดช่วงครับ แม้สังคมปัจจุบัน นี้จะวุ่นวายสับสน มากด้วยสิ่งเร้าทางโลก แต่ก็ยังมีชาวธรรมผู้ตั้งมั่นในความดีอยู่ ดังนั้นท่านผู้ที่สร้างบารมีธำรงความดีงามของจิตใจอยู่ได้ในยุคสมัยนี้นับว่าเป็นปรมัตถบารมีครับ
จากนั้นก็ได้เที่ยวชมงาน ที่ประทับใจเห็นจะได้แก่ ห้องนิทรรศการ ของชมรมรักษ์พระธาตุแห่งประเทศไทยครับ ที่ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุมาให้สาธุชนได้กราบเคารพสักการะครับ ตัวผมใส่เสื้อเวบพลังจิตไปในงานนี้ด้วย ทางเจ้าหน้าที่ของชมรม ได้ทักว่า เธอก็ติดตามเข้าเวบนี้เป็นประจำ แถมยังบอกอีกด้วยว่า ทีมงานของทางชมรมเองก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านทั้งคณะ ว่าแล้วเธอก็บอกว่าพูดแล้วขนลุก ที่ลูกศิษย์หลวงพ่อได้มาพบกัน ส่วนตัวผมเองนั้นก็รู้สึกยินดีที่งานสำคัญๆในพระพุทธศาสนาหลายๆด้าน ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านลงมือ ลงแรงกาย แรงใจ แรงสติปัญญาทำถวายพระพุทธศาสนา อย่างสุดความสามารถโดยไม่ต้องให้ใครบอกใครสั่ง ซึ่งหากเป็นดังนี้พระพุทธศาสนาย่อมดำรงได้จนครบ ห้าพันปีแน่นอนครับ ผมขอกราบโมทนาบุญของคณะท่านด้วยอย่างยิ่งครับ
นอกจากนี้ผมก็ได้ แนะนำการฝึกสมาธิให้กับน้องที่ทำงานสามคนของคุณจ้อนครับ ก็เริ่มตั้งแต่พื้นฐานที่น้องยังไม่เคยฝึก ก็ให้ฝึกอาณาปานสติ จนทั้งสามคนได้ลมสบาย ลมหายใจหายไปจนแทบหยุดหายใจ เพื่อให้ได้รู้จัก "ความสุขจากความสงบภายในจิต" จากนั้นก็ต่อกันด้วย การเจริญเมตตาอัปปันนาณฌาน การแผ่เมตตาจากจิต ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ เพื่อให้ได้รู้จักกับ "ความสุขจากการให้ ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความสุขทางวัตถุที่เข้าใจว่าการรับ การเอา การแก่งแย่ง การกอบโกย เป็นปัจจัยของความสุข" น้องทั้งสามคน ต่างก็ทำได้สำเร็จได้ดีทุกคน แถมยังไม่ค่อยอยากจะออกจากฌานซะอีก
ผมก็ขอโมทนาในบุญของน้องๆที่บำเพ็ญมาดี เป็นปุพเพกัตตบุญญตามีนิสัยมาในชาติปางก่อน
และขอโมทนาบุญในความเป็นพี่ชายใจดีของคุณจ้อนที่หวังให้น้องๆที่ทำงานเข้าสู่ทางบุญทางกุศลได้สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญาครับ
ต่อไปผมขออนุญาตเล่าเรื่อง "นางฟ้าหนูแมวครับ" เพื่อเป็นแบบอย่าง แนวทางในการปฏิบัติครับ
เรื่องที่เล่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านผมในวันนี้เองครับ
ที่บ้านผมมีหนูแมวอยู่ สามตัว ตัวเจ้าของเรื่องนี้เป็นแมวสีสวาท ที่ผมขอจากพระที่วัดมาเลี้ยงครับ เจ้าเหมียวอยู่กับเรามาเกือบสิบปี ถ้านับอายุขัยของมนุษย์ ก็น่าจะเหยียบร้อยปี เห็นจะได้ ประมาณปีนี้เองที่ผมสังเกตุเห็นว่าเล็บของเจ้าเหมียว เริ่มหลุดออก เป็นเล็บๆ นอกจากนั้นยังเหนื่อยง่ายมีอาการหอบบ่อยๆ "แสดงอาการของความแก่"ให้ได้เห็น
ประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมาเจ้าเหมียวมีอาการหอบรุนแรงทุรนทุราย ผมและน้องก็มีธุระที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดด้วย ทางที่บ้านเลยให้พาเจ้าเหมียวไปไว้ที่โรงพยาบาล เพื่อยืดอายุพอให้น้องผมกลับทันมาดูใจ พอกลับจาก ตจว. เช้าไปทำบุญ พอบ่ายก็ไปรับเจ้าเหมียวกลับมาที่บ้าน อาการมันก็ไม่ดีเท่าไหร่ ตอนนั่งสมาธิอยู่ก็ทราบขึ้นว่าเจ้าเหมียวอยู่ได้อีกไม่เกินสองวัน ตอนกลางคืนเมื่อวานนั่งสมาธิ ก็เห็นกายทิพย์ของเจ้าเหมียวปรากฏออกมาหาในห้องพระในสภาวะของแมว ก็จึงได้รู้ว่า จิตได้ออกจากร่างแล้ว ซึ่งในสภาวะนี้จิตย่อมไม่อยากไปเสวยทุกขเวทนาในร่างที่เจ็บป่วยอีกแน่
จากนั้นที่บ้านจึงเอาเทปธรรมมะของหลวงพ่อเปิดให้เจ้าเหมียวได้ฟังเป็นธรรมมานุสติ โดยเลือกเอาเรื่องที่สุนัขไปเกิดเป็นเทวดาที่ชั้นดาวดึงส์ เปิดวนให้เจ้าเหมียวฟังไปเรื่อยๆ
พอตอนเย็นประมาณห้าโมงครึ่งวันนี้ เดินออกมาเจอเจ้าเหมียวนอนประงาบๆ อาการตรีทูต ซะแล้ว จึงได้นำรูปสมเด็จองค์ปัจจุบันมาวางไว้ให้ดูเป็นพุทธานุสติ แล้วก็ตามดูจิตเจ้าเหมียว รวมทั้งเรียนสภาวะการตาย อารมณ์ใจขณะตาย โดยให้เจ้าเหมียวเป็นครูไปในตัว ขณะเดียวกันก็แผ่เมตตาส่งกระแสจิตที่ดีพร้อมกับลูบหัวเจ้าเหมียวไปด้วย
จนกระทั่ง....................
ลมหายใจสุดท้ายขาดห้วงพร้อมๆกับจิตที่ดับไปของเจ้าเหมียว ประดุจเปลวเทียนที่หรี่ลงไปและดับไปในที่สุด
เจ้าเหมียวจากไปอย่างสงบ ที่บ้านเริ่มคุยกันว่าจะจัดการกับร่างของเจ้าเหมียวอย่างไร จะฝังตรงไหนดี
จากนั้นผมก็ขึ้นไปอาบน้ำ สวดมนต์ ตามปรกติ ปรากฏว่า พอเริ่มสวดมนต์ปุ๊ป เจ้าเหมียวก็มาปรากฏให้เห็นปั๊ปเดินมาเคลียคลอ จากนั้นก็แสดงร่างให้เห็น เป็นนางฟ้า ผมก็ได้แต่บอกในสมาธิว่า"เดี๋ยวขอสวดมนต์ให้เสร็จก่อน" พอสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็ได้คุยกับนางฟ้าท่าน ท่านก็ได้พาไปที่วิมานของท่านและได้ขอบใจที่เราได้ช่วยกันทำให้เจ้าเหมียวได้เลื่อนภพภูมิขึ้นสู่ สวรรค์ จุติขึ้นเป็นนางฟ้า อันเป็นภพภูมิที่ดีขึ้น แล้วผมก็ขอกราบขมาลาโทษนางฟ้าที่ผมได้เคยทำในชาติที่นางฟ้าท่านนี้ยังเป็นแมวอยู่ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา พร้อมทั้งให้นางฟ้าได้มหาโมทนาบุญทั้งปวงของผม และขอให้นางฟ้าได้ช่วยคุ้มครองสงเคราะห์ ผมและครอบครัว ก่อนกลับนางฟ้าหนูแมวได้ขอว่าให้ฝังร่างหนูแมวไว้ใต้ต้นมะลิ เมื่อมะลิออกดอกช่วยนำไปถวายพระบูชาพระแทนนางฟ้าหนูแมวด้วย นางฟ้าหนูแมวจะคอยโมทนา(ฉลาดใช่เล่น)
จากนั้นผมก็ทำสมาธิต่อ พอลงมาคุยกับคุณแม่ข้างล่าง น้องชายผม (นั่งสมาธิด้วยกัน) ก็กล่าวยืนยันตรงกันว่า พอนั่งสวดมนต์ปั๊ป เจ้าเหมียวมาปรากฏให้เห็น ทันทีเช่นกัน และปรากฏแสดงให้เห็นว่าได้ไปจุติขึ้นเป็นนางฟ้าตรงกันแถมยังคุยกันต่ออีกยาว ไม่ยอมออกจากสมาธิซะด้วยเพราะน้องชายผมรักเจ้าเหมียวนี้มาก
เรื่องราวของนางฟ้าหนูแมวนี้ คงเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่เป็นนักปฏิบัติ เพื่อความดี รวมทั้งเป็นกำลังใจว่า
1.เราเองก็ทำบุญมาก็มาก หากพ้นจากอันตภาพนี้แล้ว เราจะมุ่งสู่สุขคติภูมิที่ดีกว่ามีพระนิพพานเป็นที่สุด
2.เจ้าเหมียวแสดงอาการของความแก่ ความเจ็บ และความตาย อันเป็นเทวทูตทั้งสี่ ที่มาเตือนสติเรา
-ไม่ให้ประมาทในความตายหนึ่ง
-ไม่ประมาทในการทำความดีกุศลธรรมหนึ่ง
-ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นหนึ่ง
3. เจ้าเหมียวแสดงอารมณ์ใจก่อนตาย เป็นการยืนยันสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนเรื่องอารมณ์จิตก่อนตาย ย่อมนำพาไปยังภพภูมิแห่งอารมณ์จิตนั้น
4. เจ้าเหมียวได้มายืนยันว่าภพภูมิอื่นมีจริง สวรรค์มีจริง เทวดา นางฟ้ามีจริง และผลกรรมมีจริงผลบุญ ผลบาป มีจริง
สรุปแล้วเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้ขอให้ท่านทั้งหลายได้ใช้ปัญญาวิเคราะห์ไตร่ตรองดูหากสิ่งใดเป็นประโยชน์ก็พึงนำไปใช้ เพราะไม่ว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ต่างกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของขันธุ์ห้าเท่านั้น แต่จิตนั้นไม่ได้แตกต่างกัน อยู่ภายใต้ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นเดียวกันทุกดวงจิตครับ ตอนนี้นางฟ้าหนูแมวก็สบายเสวยสุขอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว ตอนนี้เรากลับยังอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยความทุกข์แถมยังมีการเบียดเบียนกันและกันไม่สิ้นสุดอีก หากโลกเต็มไปด้วยความเมตตาต่อกัน ช่วยเหลือกัน หวังดีต่อกัน โลกเราคงงดงามกว่านี้ครับ
ขอให้ทุกๆท่านได้เกิดปัญญาในธรรมจากการรับฟังเรื่องราวของ"นางฟ้าหนูแมว" ได้ด้วยดีทุกท่านด้วยครับ..
ไปซะ แล้ว แมว พี่ แต่ก็ดี ได้ เป็น นางฟ้า ใจดี โมทนา ครับ
การใช้ฟืนดับไฟ ไม่เข้าการ
ถูกเผาผลาญจนสิ้น มีขึ้นใหม่
จะเกิดโจรราวี อัคคีภัย
การแก้ไขให้พากเพียร บำเพ็ญธรรม
สวัสดีครับ ช่วงนี้หายไปบ้างเนื่องจากกิจในพระพุทธศาสนาครับ
เมื่อวานนี้ผมได้เดินทางไปดูที่ดินที่ อ. ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรีกับหลวงพ่อวิชญ์จุฑา แห่งโครงการพระซ่อมพระ(พุทธรูป) ซึ่งมีแม่ชีท่านหนึ่งใน จ.ชลบุรีท่านมีศรัทธาจะถวายหลวงพ่อวิชญ์จุฑา เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานซ่อมแซมพระพุทธรูปชำรุดทั่วพุทธอาณาจักรครับ แต่เมื่อไปดู ที่ๆดินแล้ว ยังไม่สะดวกในการเดินทางเนื่องจากไม่มีถนนเข้า ต้องใช้รถออฟโรดวิ่งเข้าไปจากถนนลาดยางอีกร่วม สิบกิโล และเดินเท้าขึ้นภูเขาไปอีก ร่วมกิโล หากมีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปขนาดใหญ่อาจสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นให้กับองค์พระพุทธรูปที่นำมาซ่อมได้ ดังนั้นน่าจะยังไม่ใช่ที่เหมาะสมกับการทำงานของหลวงพ่อท่านครับ
ช่วงนี้ผมรู้สึกลึกๆว่า ตนเองคงจะต้อง เดินทางไปต่างจังหวัดค่อนข้างบ่อย โดยไม่ได้ตั้งใจจะไป แต่มีเหตุให้ต้องเดินทางไปอยู่เสมอ ทั้งนี้เนื่องจากข้างบนท่านเร่งรัดมา ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นงานในพระพุทธศาสนา เพื่อสงเคราะห์และให้กำลังใจในการสร้างบารมีของพุทธภูมิท่านอื่นบ้าง เป็นงานในส่วนเพื่อการเผยแผ่ให้ผู้คนได้มีธรรมมะในจิตใจ เข้าถึงซึ่งความดีในพระพุทธศาสนาบ้าง งานร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมบ้าง
จนตอนนี้ผมเริ่มที่จะตัดสินใจ ถวายชีวิตไว้เพื่อที่จะทำงานพระพุทธศาสนาเต็มตัวแล้วด้วยเพศฆราวาส เพราะเมื่อมาพิจารณาดูแล้วชีวิตที่ผ่านๆมาของผมในทางโลกนั้น ก็ได้เห็นทั้งในจุดที่สูงที่สุด จุดต่ำที่สุด ความแปรปรวนไม่เที่ยงใน โลกธรรมทั้งแปด ทั้ง สุข ทุกข์ การสรรเสริญ การถูกนินทาว่าร้าย การมีลาภ การเสื่อมจากลาภ การมียศ การเสื่อมจากยศ จนไม่รู้จะดิ้นรนไปเพื่ออะไร "แสวงหาเพื่อความว่างเปล่ากระนั้นหรือ "
พอมาย้อนดูอารมณ์ใจของตนเอง ที่มีความสุขจากอะไรก็ได้ค้นพบว่า
"เรามีความสุขที่ ได้เห็น ได้ทำใ ห้ท่านผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดีในพระพุทธศาสนาอันสมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ ทรงสั่งสอนไว้" พอพิจารณาได้แล้วก็มานั่งระลึกดูว่าทำไมประสพการณ์และการดำเนินชีวิตทางโลกของเราจึงได้แตกต่างจากบุคคลอื่นรวมทั้งเพื่อนๆในรุ่นๆเดียวกันมากนัก ต้องไปธุดงค์ ไปอยู่ในป่าในเขาในถ้ำ ไปเจอท่านผู้มีอภิญญาหลายๆท่าน ไปเจอฤาษีในป่า ไปฝึกวิชาต่างๆมากมาย ทั้งๆที่โดยฐานะทางสังคมมันไม่น่าที่จะเป็นอย่างนั้น เอาเวลาของชีวิตไปใช้ในทางธรรมเสียนับสิบๆปี โดยที่อยู่ในสภาวะของฆราวาสนี่ล่ะ
จนมาถึงวันนี้ ชีวิตของเราก็นับว่าจะเหลือน้อยลงไปทุกนาที เราควรที่จะถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมของเราให้ ผู้อื่นสืบต่อไปเพื่อการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา รวมทั้งอุทิศเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของเราให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติ
ดังนั้นนับตั้งแต่บัดนี้ไป ผมจะอุทิศเวลาเพื่อการกุศลให้เพิ่มมากขึ้น ช่วยแนะนำธรรมปฏิบัติทั้งทางสื่อต่างๆและแนะนำกลุ่มย่อยให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาญาณช่วยโครงการการกุศลอื่นๆเพิ่มขึ้นครับ
แต่จุดสำคัญที่เป็นตัวเร่งการสร้างบารมีของผมนั้น เป็นเพราะสัญญานเตือน เรื่องภัยพิบัติเริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจแล้วครับ ดังนั้นขอให้ทุกท่านอย่าได้ประมาทในการทำความดี การพัฒนาจิต การปฏิบัติธรรมรักษาศีล และที่สำคัญคืออย่าได้ประมาทในชีวิตครับ
ขอความเจริญรุ่งเรืองในธรรมจงมีในดวงจิตที่ดีงามของทุกๆท่านด้วยครับ
เนื่องจากเค้าลางแห่งการเกิดภัยพิบัติ ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆครับ ดังนั้นผมขออนุญาติพระท่านเพื่อที่จะเริ่มแนะนำสมาธิปฏิบัติกลุ่มย่อย ไม่เกิน สิบท่านครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ท่านที่จะฝึกต้องเตรียมของไหว้ครูมาเองและนำเงินบูชาครูไปทำบุญไว้ในพระพุทธศาสนาครับ
ในเบื้องต้น ผมขออนุญาตเปิดการฝึกที่กรุงเทพก่อนครับ คาดว่าจะจัดในสถานที่เปิด คือที่สวนลุมในช่วงบ่าย ประมาณเดือนละครั้งครับ ท่านที่สนใจให้ช่วยโพสเข้ามาที่เมล์ของผมในเวบพลังจิตนี้ครับ หลังการฝึกอาจมีการพูดคุยเรื่อง ภัยพิบัติด้วยครับ
เนื้อหาการฝึก จะเริ่มตั้งแต่การฝึกสมาธิ เบสิคพื้นฐาน จนถึงอาณาปานสติในระดับที่ถึงลมสบาย
การแผ่เมตตาแบบอัปปัณนาณญาณ
การตั้งกสิณพุทธนิมิตร สามฐาน
การเตรียมความพร้อมก่อนการไปฝึกมโนมยิทธิ
การฝึกวิปัสนาญาณควบมโนมยิทธิ
การฝึกกรรมฐานสี่สิบกองไล่จนถึงฌานสี่ ไปสมาบัติแปด จนสุดอารมณ์พระนิพพาน จนครบทุกกองครับ
ที่วางไว้เคร่าๆนี่อาจปรับเปลี่ยนได้ตามกำลังใจของท่านผู้มาฝึกครับ
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของท่านผู้มาฝึกเอง ถ้าเป็นไปได้ช่วย อ่านกระทู้ในช่วงต้นๆของกระทู้นี้มาด้วยเพื่อเป็นการปูพื้นฐานนะครับจะได้ไปได้เร็ว รวมไปถึงการอธิฐานก่อนขอเรียนวิชชาด้วยครับ จะได้มีแรงครูช่วยส่งเสริม
ผมอยากให้ทุกๆท่านทั้งเป็นคนดีและเป็นคนเก่งครับ จะได้ช่วยกันช่วยเหลือประเทศชาติ ส่วนรวม โดยเฉพาะถ้าท่านสามารถจะช่วยกันชักจูงให้บุคคลอื่นทั้งในครอบครัวและคนรอบข้างได้มีสัมมาทิษฐิ มีจิตใจที่งดงามเป็นบุญเป็นกุศลได้ด้วยก็จะยิ่งเป็นประโยชน์อย่างมากๆ
สาเหตุแห่งภัยพิบัติทั้งปวงล้วนมีจุดเริ่มต้นจากจิตใจที่ไร้จริยธรรม คุณธรรม ละโมบโลภมากในวัตถุนิยมครับ ดังนั้น เราทุกคนที่เป็นชาวธรรมจะต้องมีความเข้าใจตรงจุดนี้อย่างกระจ่างแจ้งก่อน และเตรียมสร้างจิตใจที่งดงาม มีศีล มีธรรม เปี่ยมด้วยรักและเมตตาต่อส่วนรวมครับ เพื่ออนาคตของทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ครับ
สิ่งใดที่พระท่านถ่ายทอดมาให้ผม ผมยินดีถ่ายทอดให้ทุกท่านที่มีความตั้งใจเป็นกุศลและอธิฐานจิตมาเพื่อการเป็นพุทธภูมิก็ดี ไปนิพพานก็ดี เพื่อช่วยรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปีก็ดีครับ
ขอกราบโมทนาบุญในดวงจิตที่เป็นกุศลธรรมอันงดงามทุกดวงจิตครับ
วันนี้ตอนสวดมนต์ ได้กราบถามพระท่านว่า
"พระพุทธเจ้าท่านทรงปรากฏขึ้นบนโลกเพื่อยังประโยชน์อันใด"
พระท่านตอบอย่างสั้นที่สุดว่า
"เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งความดี"
จากนั้นท่านก็ได้ขยายความต่ออีกว่าความหมายนี้ตีคลุมลงในความดีในทุกระดับ แห่งการปฏิบัติ (การทำทาน การรักษาศีล การทำสมาธิ การทำวิปัสนา การสร้างบารมี)
และตีคลุมลงไปถึงผลอานิสงค์แห่งความดีทุกระดับ (การได้ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ จนถึงสัมมาสัมโพธิญาณ)
ก็ขอให้ท่านทั้งหลายนำปฏิปทานี้ไปใช้ เป็นหลักแห่งความดีประจำใจประจำชีวิตของทุกคนทุกท่านในเป้าหมายแห่งการทำความดีเพื่อผู้อื่นครับ โดยเฉพาะท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ
ต่อไปเป็นการอธิบาย เรื่อง"ปรมัตถบารมี"
อย่างที่เราทุกท่านได้ทราบกันดีอยู่แล้วจากคำสอนของหลวงพ่อท่านที่ว่า บารมี ก็คือกำลังใจ
คำว่า"บารมีเต็มก็คือกำลังใจเต็ม"
เมื่อได้ถามพระท่านต่อไปว่า กำลังใจเต็มเป็นอย่างไร ท่านก็ได้ตอบว่า
"มีความเต็มใจในการทำความดีอยู่เสมอ"
เมื่อได้ถามท่านต่อไปถึง การปฏิบัติจริงในระดับที่เป็นปรมัตถบารมี
ท่านก็ตอบว่า "การทำความดีอะไรก็ตาม ที่มีอุปสรรค ต้องมีการแก้ปัญหา ต้องใช้ความพยายามสูง ชนิดที่บุคคลอื่นทั่วไปท้อบ้าง เลิกไปบ้าง ต้องใช้กำลังใจสูงกว่าในการทำความดีของบุคคลทั่วไป แต่ท่านผู้นั้น ไม่รู้สึกเป็นเรื่องยาก เรื่องหนัก อาจมีท้อบ้างแต่ไม่ถอยหลังในความดีที่ต้องการบำเพ็ญ เพียรสร้างความดีต่อไปไม่ท้อถอย เมื่อนั้นนับว่าเป็นปรมัตถบารมี ตรงนี้หมายรวมทั้งสาวกภูมิ และพุทธภูมิ ส่วนการบำเพ็ญปรมัตถบารมีสิบชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่จำเพาะเจาะจงลงในบารมีสิบแต่ละบารมีจนเต็มบริบูรณ์จริงๆจึงพร้อมที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้"
ดังนั้นท่านทั้งหลาย ที่ตั้งใจทำความดีไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หากแม้เจอกับอุปสรรคบ้าง ความรำคาญใจบ้าง ปัญหาด้านอื่นมาขวางบ้าง ก็ขอให้ทำความเข้าใจว่า "การสร้างบารมี(ความดี)นี้จะยิ่งมีอานิสงค์สูงขึ้น ไปอีกเนื่องจากเป็นปรมัตถบารมี " และจงอย่าได้ท้อถอยไปจากความดีที่ตั้งใจนั้น และพยายามใช้บารมีข้ออื่นมาช่วย มาประกอบให้การทำความดีนั้นสำเร็จไปให้ได้
ขอยกตัวอย่าง ในการทำทาน ถ้าท่านมีเงินอยู่ 1ล้านบาท ท่านทำทานโยนเศษตังค์ให้ขอทานไป 10 บาท ย่อมใช้กำลังใจไม่สูง สร้างบารมีได้ง่าย
แต่ถ้าท่านเหลือเงินติดตัวอยู่ 10บาท เป็นค่ารถกลับบ้าน เป็นเงินที่ท่านจำเป็นต้องใช้ แต่ท่านตัดใจให้เงิน10บาทนี้กับเด็กขอทานให้ไปซื้อข้าวกิน แล้วยอมเดินกลับบ้านแทนการขึ้นรถ โดยคิดว่ายังไงเขาก็ลำบากกว่าเรา การทำทานครั้งนี้ทำได้ยากกว่า แบบแรก อย่างมาก รวมทั้งต้องใช้กำลังใจสูงกว่าในการให้
และที่ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ จะมีหลายๆชาติที่ท่านได้ ใช้อวัยวะเป็นทานบ้าง ให้ชีวิตเป็นทานบ้าง ถวายบูชาพระคุณพระพุทธเจ้าบ้าง นี่เป็นกำลังใจสูงที่สุด ปรมัตถที่สุดแล้ว แต่เท่าที่ผมได้เคยไปดูมา ส่วนใหญ่ ในชาติที่พุทธภูมิจะบำเพ็ญบารมีแบบนี้มักมีการอธิฐานจิตก่อนลงมาเกิดในชาตินั้นก่อนแล้ว และที่ผมไปดูในขณะจิตที่มีการสร้างบารมีในลักษณะนี้ อารมณ์ใจของท่านเสวยธรรมปิติเต็มเปี่ยมในอานิสงค์แห่งการได้เข้าถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ท่านไม่รู้สึกเจ็บปวด เป็นประการแรก และเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านทั้งหลายเมื่อได้สร้างบารมีแบบนี้แล้วสิ้นชีพลงกลับไปจุติยังพรหมเกือบทั้งสิ้น ก็เนื่องจากธรรมปิติมีอานิสงค์เป็นฌาน นั่นเอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นในพระชาติที่พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธพยากรณ์ แล้วจึงบังเกิดธรรมปิติ ตัดสินใจถวายศรีษะเป็นพุทธบูชาบ้าง สละร่างต่างเทียนประทีปจุดบูชาพระพุทธองค์บ้าง การสร้างปรมัตถบารมีในแบบนี้ของพุทธภูมิเป็นเครื่องแสดงความเด็ดเดี่ยวตั้งมั่นในสัมมาสัมโพธิญาณของพุทธภูมิท่านนั้นๆ
ส่วนในยุคสมัยนี้ กำลังอยู่ในช่วงกึ่งพุทธกาล เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งกลียุค ศีลธรรมเสื่อมทรามลงจนน่าใจหาย วิทยาศาสตร์และความเจริญทางวัตถุถูกนำมาใช้ในการตอบสนองกิเลศแทนที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม จนนำพาโลกเข้าสู่ ภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากสงครามใหญ่
พุทธภูมิหลายๆท่านจึงได้อาสาลงมาจุติบนโลกเพื่อ ทำงานช่วยเหลือผู้คนในด้านต่างๆ เพื่อช่วยสืบต่อพระศาสนาให้ครบ ห้าพันปี เป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อส่วนรวม งานข้างหน้ามีความลำบากรออยู่แต่ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้ท้อถอย ขอจงได้ใช้บารมีทั้งสามสิบทัศน์ที่ได้บำเพ็ญมาทำคุณประโยชน์ถวายบูชาคุณพระพุทธองค์ด้วยเทอญ..
วันนี้หลายๆท่านคงจะยุ่งกันทั้งวันจากปัญหาทางตลาดหุ้นครับ
แต่ขอให้ทุกท่านได้เข้าใจว่า โลกก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงเป็นปรกติ เราพิจารณามองให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริงของโลก โดยที่ใจเราไม่ต้องไปยึดไปติดอยู่กับปัญหา เพราะถ้าจิตเราจมอยู่กับปัญหานั้นแล้ว เราย่อมถูกอวิชชาเข้าครอบงำให้หน้ามืดตามัว จนหาเหตุของปัญหาและวิธีแก้ไขปัญหานั้นๆไม่ได้
วิธีการคือ หยุดคิดถึงเรื่องนั้น ๆ แล้วเริ่มทำใจของเราให้สงบระงับ นิ่งอยู่จนใจสบาย เมื่อจิตเราอิ่ม จิตเราเต็ม ในความสงบแล้ว จึงค่อยตั้งคำถามขึ้นในจิตให้ จิตของเราตอบตัวเราด้วยญาณที่ผุดรู้ขึ้นมาเองในจิตที่เป็นอุเบกขาไม่ยินดียินร้ายนั้นๆ เมื่อนั้นคำตอบของปัญหาก็จะกระจ่างออกอย่างชัดแจ้งเอง
เป็นคำตอบของใครก็ไม่ทราบครับ พระท่านฝากผ่านผมมาบอก
ขอให้ผ่านโล่ง โปร่ง ใจเบา สบาย นะครับ
มากมายหลายกระแสทั้งผู้รู้จริงและผู้ที่คาดเดาเอาตามกระแส
จนถึงทุกวันนี้ก็มีเพียงกลุ่มคนเล็กๆเท่านั้นที่มีการเตรียมตัวกันอย่างจริงจัง
ลุงพบมีคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งมาตั้งหมู่บ้านเล็กๆของเขาในเขตชนบท ห่างจากหมู่บ้านอื่นๆพอสมควร
ช่วงรอยต่อของอำเภอสะเมิงกับอำเภอแม่ริม ใช้ชีวิตกันแบบพึ่งพาภายนอกชุมชนน้อยมาก
พื้นที่บริเวณหมู่บ้านมีการปลูกพืชอาหาร ที่เพียงพอกับคนในกลุ่มบ้านนั้น(ประมาณ 20 หลังคาเรือน)
เช่นพวกกันแกว มันฝรั่ง เผือก(เขาเน้นอาหารที่มีหัวในดิน คิดว่าเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นจะมีเพียงอาหารพวกนี้แหละที่ปลอดภัยอยู่ในดินไม่ต้องมาเก็บไว้ในบ้าน นานหลายเดือน)
ลุงไปเที่ยวพูดคุยกับเขา พบว่าเป็นช่วงที่เขากำลังจัดงานปิดไฟฟ้าไม่พึ่งพาอาหารนอกชุมชน
ประทับใจมากเพราะเขาสามารถอยู่กันได้โดยไม่ต้องอาศัยไฟฟ้า
และไม่ไปซื้ออาหารจากนอกชุมชน เลย เป็นเวลา 7 วัน (คงเป็นการทดสอบระบบ)
ทุกบ้านมีแท้งPVC ขนาดใหญ่ที่เก็บน้ำที่พอใช้บริโภคได้เป็นเดือน
รวมทั้งมีโรงพยาบาลเล็กๆในชุมชนที่มีความพร้อมขนาดที่ลุงเห็นแล้วตกใจ
บ้านเก็บทุกหลังสร้างจากไม้ หลังคามุงสังกะสีทับด้วยหญ้าคา
(คงป้องกันการพังทลายจากเหตุแผ่นดินไหว)
มีห้องประชุมกลางของหมู่บ้านที่ทำเป็นเหมือนหลุม ขนาดใหญ่และใช้ซุงทำเป็นคล้ายกระโจมร้อยด้วยเชือกสลิงทำเป็นหลังคา (คงเอาไว้หลบภัยถ้ามีอะไรตกจากท้องฟ้าลุงเดาเอา)
ทุกหลังคาเรือนมีระบบไฟสำรองคือแบตเตอรี่บ้านละ 5-10ลูกไม่นับไฟฉาย
มีถ่านฟื้นทุกบ้านกองเบ้อเริ่ม
และอะไรๆอีกมากมายเล่าไม่จบ
สิ่งที่ทุกคนในชุมชนเล็กๆนี้ พูดคุยกันตลอดก็คือ
BEST PLACE หรือบ้านที่ปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ
เขาอนุญาตให้คนนอกชุมชนเข้าไปน้อยครั้งอย่างที่รู้เรื่องนะ
แต่เวลาขับรถผ่านถ้าไม่ลงไปถามลักษณะภายนอกก็ดูเหมือนชุมชนชนบทบ้านเราหมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้นเอง
ลุงไปเจอและรู้จักเขาเพราะบังเอิญเจอกันที่วัดเลย รู้เรื่องเอา(ขออนุญาตไม่ระบุที่ชัดเจนนะเพราะรับปากเขาไว้แล้ว เขาขี้เกียจมีคนไปรบกวนและตอบคำถามคนที่ไปเยาะเย้ยถางถางว่าบ้าอะไรพรรณ์นี้)
คนจากประเทศอื่นกว่าครึ่งร้อยกำลังมาเตรียมพร้อมในบ้านเรา
ลุงถามว่าทำไมเลือกตรงนี้ เขาตอบว่ามีคนคำนวนทั้งทางธรณีวิทยา และศาสตร์ต่างๆแล้วที่นี่ปลอดภัยที่สุดทั้งจากภัยทางธรรมชาติทางน้ำ ทางแผ่นดินไหว(อันนี้ไม่แน่ใจบ้านลุงไหวมา หลายครั้งแล้วในช่วงนี้แรงด้วย แต่คงน้อยกว่าที่ญี่ปุ่น ) และความมีน้ำใจของคนที่จะไม่ฆ่าฟันกันเองในขณะที่เกิดความอดอยาก เพราะมีทางเลือกด้านอาหารมากกว่าภาคอื่นๆ
ที่สำคัญคือ เขามีการเตรียมตัวกันอย่างจริงจัง และเป็นกลุ่มที่มีอะไรจะได้ช่วยกันได้เต็มที่
มากกว่าคนที่รู้แล้วต่างคนต่างเตรียม
ลุงอยากจะชวนให้มีกลุ่มคนที่มีความเชื่อมั่นและพร้อมที่จะเลือกชุมชนใหม่ด้วยกันมาคิดร่วงมกันมา
ทำชุมชนอย่างนี้ด้วยกันจะดีใหมครับ
มีใครสนใจบ้างครับ
เราลองมาจับกลุ่มใหญ่ๆคุยกันและหาหมู่บ้านเพื่อการอยู่รอดกันดีใหมครับ
น่านับถือยิ่ง
ขอกราบโมทนาในข่าวสารข้อมูล และความตั้งใจดีของคุณลุงคนเชียงใหม่ด้วยอย่างยิ่งครับ
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของผมที่เข้ามาลงกระทู้ต่างๆในเวปไซท์นี้ก็เพื่อที่จะให้ข่าวสารข้อมูลความรู้ และวิชชาต่างๆที่ผมได้รู้มา ก็เพื่อที่จะช่วยผู้คนจากภัยพิบัติครั้งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
ดังนั้นขอให้คุณลุงและบุคคลท่านอื่นที่มีความเข้าใจตรงกันตรงนี้ มาร่วมกันใช้พื้นที่ในกระทู้นี้เป็นศูนย์กลางการประชุมได้เลยครับ
ปัญหาที่แท้จริงของการเตรียมตัวเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัตินั้น มีดังนี้ครับ
1.ทุกคนไม่รู้กำหนดเวลาที่แน่นอนของภัยพิบัติ(เนื่องจากฝ่ายมาร ผู้มีหน้าที่กวาดล้างได้ปิดไว้ บังไว้ เพราะเขาก็ต้องการกวาดล้างให้มากที่สุด สะอาดที่สุด ฝ่ายเราก็อยากช่วยให้มากที่สุดเช่นกัน) ดังนั้นเหตุการณ์ที่เลื่อนออกไปทำให้หลายๆคนเสียความเชื่อมั่นและความเชื่อถือจากคนที่ได้ไปช่วยเตือน
2.การเตรียมการเรื่องนี้ขาดการประสานงานที่ดี ต่างกลุ่ม ต่างคนต่างทำ เตรียมตามกำลังของตัว ทำให้ขาดประสิทธิภาพ
3.หลายกลุ่มก็ปิดเป็นความลับไม่บอกใคร ว่าเตรียมอะไรไปแล้วบ้าง บางกลุ่มก็เปิดตัว
4.หลายๆคน รู้เชื่ออยากทำแต่ไม่มีทุนจะทำ ลำพังใช้ชีวิตปรกติก็ฝืดเต็มที
5.หลายคนอยาก ลงมือทำ ออกไปอยู่ต่างจังหวัดในจุดที่ปลอดภัย แต่ไม่สามารถ ไปอยู่ได้ เนื่องจากไม่สามารถปล่อยมือจากธุรกิจที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อไหร่ จะทิ้งไปตอนนี้เลยหรือ แล้วถ้าเหตุการณ์เลื่อนอีกจะทำอย่างไร
ถ้าพวกเราอยากช่วยกันทำงานตรงจุดนี้ ผมเองมีความเห็นว่า
1.ต้องมีการรวมกลุ่มกัน ให้มั่นคง และชัดเจน จากประสพการณ์ที่ผมเคยจัดประชุมเรื่องภัยพิบัติเมื่อหลายปีก่อน พบว่า จะมีบางคนที่อยากช่วยคนจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นประเภท อยากรู้ อยากฟังไว้เป็นข้อมูลสำหรับตัวเองและครอบครัว แถมมีอีกคน สองคน เป็นผู้เข้ามาทำลายงานซะอีก
ดังนั้นเมื่อมีการรวมกลุ่มกัน ควรมีการลงทะเบียนเพื่อเป็นที่อยู่อ้างอิงในการติดต่อกัน บอกความสามารถที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม บอกวัตถุประสงค์ที่ขอเข้าร่วมกลุ่ม ว่าต้องการมาช่วยทำงาน หรือ ต้องการข่าวสารข้อมูล หรือต้องการให้ข้อมูล จากนั้นเอารายละเอียดที่ได้มาแบ่งงานกระจายงานความรับผิดชอบกัน
2. รูปแบบของการประสานงานกันในแบบชุมชนย่อยแบบนี้ ให้ลองสอบถามจากสมาชิกของเวบนี้ที่สนใจ เชื่อ และกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เป็นแกนกลางในการประสานงานในแต่ละชุมชน
3.รูปแบบการดำเนินงานในช่วงต้นควรมี การทำงานชุดพิเศษคณะหนึ่ง ออกแบบ ชุดความรู้ (Packageknowlege) ไว้
เช่นการสร้างบ้านดิน สร้างบ้านด้วยอิฐประสาน วท.
การทำปุ๋ย EM. ใช้เอง
การดัดแปลงเครื่องปั่นไฟฟ้าขนาดเล็ก
ความรู้ในการทำเครืองกรองน้ำ
ความรู้ในการทำเครื่องกรองอากาศ
การทำเกษตรปลอดสารเคมี
การแปรรูปอาหาร
การดูแลปฐมพยาบาลผู้ป่วย
การปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัยพิบัติ แบบต่างๆ
ความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรเบื้องต้น
การฝึกสมาธิ การฝึกกาย
เหล่านี้เป็นต้นครับ ความรู้อื่นๆเพิ่มเติมขึ้นกันอยู่กับพื้นที่ นั้นๆครับ
4.จากนั้นก็ศึกษาพื้นที่ ดูลักษณะทางกายภาพ วิเคราะห์ด้านความเสี่ยงทางธรณีวิทยา ทั้งทางด้านแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วม
5.จากนั้นรวบรวมกลุ่มคนที่สนใจที่จะไปอยู่ที่นั่น โดยรวมตัวกันในรูปสหกรณ์นิคมเศรษฐกิจพอเพียง ใครที่จะไปอยู่ก็สมัครเป็นสมาชิก เจ้าของพื้นที่ก็เป็นผู้จัดการสหกรณ์ เสาร์อาทิตย์ก็ลงพื้นที่ไปช่วยกันทำช่วยกันสร้าง หรือจะจ้างแรงงานพื้นที่ก็ได้
ที่สำคัญ ควรจัดตั้งเป็นศูนย์สาธิต ถ่ายทอดระบบสังคมคุณธรรมและ เศรษฐกิจพอเพียงด้วย
เพื่อ ช่วยเหลือคนในพื้นที่ให้มีความรู้ และเป็นคนดี
เพื่อถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ และสามารถขอกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์อื่นๆได้
เพื่อเป็นการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างคุณธรรมในสังคมและพัฒนาประเทศไทย
ถ้าดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าวนี้ สามารถ ทำได้เลยทันที เนื่องจาก
ลงทุนน้อย หาแหล่งเงินทุนและความรู้อื่นมาช่วยได้ง่าย ที่สำคัญไม่ว่าเหตุการณ์ จะเลื่อนหรือไม่เลื่อนก็สามารถอยู่ได้ พึ่งตัวเองได้ เนื่องจากเป็น ที่หลบภัยที่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง
แถมยังมีรายได้เพื่อนำมาพัฒนาชุมชนที่สร้างนี้ให้ใหญ่ขึ้นครบถ้วนขึ้นจาก
1. ที่พักอาศัย บ้านดิน ในช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ ก็ทำเป็นลองสเตย์โฮมไปก่อน
2.การขายพืชผลปลอดสารพิษ
3.การขายปุ๋ย ขายกล้าไม้
ส่วนค่าใช้จ่ายในชุมชนแทบไม่มี
ถ้าวางระบบแบบนี้ถูกที่สุด และทำได้เลยครับ
มีอะไรเสริม ลงเพิ่มได้เลยครับ
ที่ผมได้นัดกับหลายๆท่านไว้แล้ว เพื่อการฝึกและแนะนำสมาธิ ในวันอาทิตย์ที่ 24 ธค. นี้ครับ เวลา 15.00น. ที่บริเวณ เกาะลอย สวนลุมพินี ครับ ช่วงแรกแนะนำสมาธิ และเตรียมความพร้อมสำหรับท่านที่จะไปฝึกมโนมยิทธิต่อที่บ้านสายลมในอาทิตย์ต้นเดือน หลังจากนั้นจะเป็นการเสวนา แลกเปลี่ยนความรู้เรื่อง ข้อมูลภัยพิบัติ ครับ ขอท่านสมาชิกที่สนใจเชิญมาได้ในเวลาดังกล่าวนะครับ