จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปี 2551 บ้าง

กลับหน้าแรก

จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปี 2551 บ้าง

มีคำถามที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 2551หลั่งไหลเข้ามาหาผู้เขียนค่อนข้างมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 อันเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น ขยับตัว และซ้อนเกยกันบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศไทยประมาณ 400 กิโลเมตร มีอัตราการสั่นไหว 9 ริกเตอร์ เป็นเหตุให้ประเทศไทยได้รับความสูญเสีย โดยได้คร่าชีวิตผู้คนที่พักอยู่อาศัย และมาท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยพบศากศพมากกว่า 5,000 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายอีกมากกว่า 3,000 คน โดยมีผู้คนของประเทศต่างๆอีกหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล เมื่อนับจำนวนซากศพผู้ที่เสียชีวิตในคราวเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนี้ ก็มีจำนวนมากกว่า 220,000 ศพ

ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2534 ผู้เขียนเคยเขียนเตือนเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ซูนามิ ที่จะเกิดขึ้นโดยมีผลกระทบต่อประเทศไทย ( คำที่ถูกต้องในปัจจุบัน เรียกว่า สึนามิ) และได้เขียนบทความอีกครั้งในต้นปี2539 รวมทั้งผู้เขียนได้เคยออกรายการให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น ที่ itv 2 เสาร์ติดกันในรายการ " น้ำท่วมโลก "ในปลายปี 2539 ซึ่งมีผู้เคยอ่านบทความ ในปี 2534 แจ้งว่าผู้เขียนเคยเขียนเตือนให้ระวังซูนามิที่จะเกิดในปี 2547 , 2551 หรือ 2560 ในประเทศไทยมาก่อนแล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปลายปี 2547 นี้ หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า " อภิมหามหันตวิปโยคสุดแสนโศกสลด" ทั้งนี้ เพราะจะมีผู้คนเสียชีวิตมากกว่าเหตุการณ์ช่วงปลายปี 2547 ประมาณ 1,000 เท่า หรือถ้าจะพูดให้ชัดมากขึ้นคือ มีคนตายมากกว่าเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกของช่วงปลายปี 2547 นี้ถึง 1,000 เท่าทีเดียว

เหตุการณ์อะไรเล่า ที่ทำให้มีคนตายประมาณ 220 ล้านคน ในปี 2551 (ปลายปี 2547 เหตุจากคลื่นสึนามิได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายประเทศรวมกัน มากกว่า 220,000 คน)เหตุการณ์ในปี 2551 หรือ ปี 2560 มิได้มาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เดียว แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในปีเดียว คือปี 2551 หรือ ปี 2560 ตลอดทั้งปี เสมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกถูกถล่มด้วยพระราหู

ทั้งนี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เปลือกโลกหลายแผ่นมีการขยับเคลื่อนตัว และเกยทับกัน (การเกยทับกันเพียงเล็กน้อยของชั้นเปลือกโลก 
บริเวณเหนือเกาะสุมาตราเพียงจุดเดียว เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 เป็นเหตุให้เกิดการไหวของแผ่นดินถึง 9 ริกเตอร์ 
ทำให้เกิดคลื่นยักษ์วิ่งไปถึงชายฝั่งอัฟริกา ซึ่งมีระยะห่างกันหลายพันกิโลเมตรได้) ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะมีการเกยทับกัน
ทั้งในบริเวณใต้ทะเลลึก และบริเวณที่เป็นพื้นแผ่นดินในหลายทวีป ความรุนแรงมีขนาดตั้งแต่ 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป (ปกติถ้ามีการไหว
ของแผ่นดินเพียง 6.5 ริกเตอร์ ก็เป็นเหตุให้อาคารบ้านเรือน ตึกรามอาคารบ้านช่อง ถนนหนทางถล่มทลาย สามารถสร้างความเสียหาย
ได้แล้ว แต่ถ้าเกิดการไหวของเปลือกโลกบริเวณใต้ทะเลลึก ประมาณ 7.5 ริกเตอร์ จะเกิดคลื่นสึนามิ (คลื่นยักษ์) ซึ่งในปี 2551 
หรือ ปี 2560 จะมีการเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีขนาด 9.5 ริกเตอร์ขึ้นไป)

สำหรับในประเทศไทยเอง ผลกระทบจากการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น จะเกิดบนพื้นแผ่นดินประมาณ 
3 - 4 จุด ซึ่งในทะเลก็มีทั้งบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา และบริเวณใกล้เกาะบอร์เนีย และอีก 2 รอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก 
ซึ่งจะมีผลทำให้เขื่อนใหญ่ 2 เขื่อนแตก และ ตึกราม บ้านเรือน สะพานและถนนหนทางพังพินาศทลายลงเป็นจำนวนมาก สำหรับจังหวัด
ชายฝั่งทะเล ก็จะได้พบกับสึนามิ หรือคลื่นยักษ์อีกครั้ง ด้วยความรุนแรงของการเกยทับของแผ่นเปลือกโลกอีกครั้งด้วยความแรงมาก
กว่าเดิม คือ ขนาด 9.5 ริกเตอร์ ขึ้นไป 

แม้ระบบเตือนภัยจะทำงานในอนาคต แต่ความเร็วของคลื่นสึนามิใช้ความเร็วในทะเลประมาณ 500 กม./ ชั่วโมง นักวิชาการบางท่านบอกว่ามีความเร็วระหว่าง 600 - 800 กม./ ชั่วโมง ผู้คนจำนวนมากยังไม่ใส่ใจคำเตือน คนจำนวนมากหนีไม่รอด ศพตายเป็นเบือ โผล่ให้เห็นในน้ำยิ่งกว่าดอกเห็ด แม้จะได้ทราบคำเตือน

แต่ความประมาทของประชาชนที่ไม่ติดตามข่าวสารก็คงยากที่จะป้องกันความเสียหายชีวิตของผู้คนและทรัพย์สินที่อยู่ชายฝั่งทะเล ยกเว้นท่านต้องร่นให้อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลให้มากหน่อย โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นกำแพงกั้น หรือภูเขาสูงบังไว้ ( ความจริงตามกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน บริเวณชายฝั่งทะเล บริเวณเกาะ บริเวณภูเขา จะต้องเป็นที่สาธารณะเท่านั้น จะไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้

แต่ด้วยความฉ้อฉล ฉ้อโกง ของบุคคลผู้มีความละโมบโลภมาก ร่วมกับข้าราชการที่มีหน้าที่ออกหลักฐานกรรมสิทธิ์ ( โฉนด) ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส. 1,2,3) ออกหนังสือแสดงสิทธิครอบครอง (ส.ค.) กลับกระทำละเมิดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน ออกหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ผิดกฎหมาย จึงทำให้ข้าราชการ นักการเมืองและผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ได้สิทธิ์ที่ผิดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน กลายเป็นเจ้าของเกาะ เจ้าของภูเขา เจ้าของชายฝั่งทะเล ซึ่งตามกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินจริงๆนั้น ต้องเป็นที่สาธารณะ กลายเป็นสถานที่ส่วนบุคคล หากว่ากันตามกฎหมายทรัพย์สินจริงๆทุกสถานที่ดังกล่าวข้างต้น คือ ชายฝั่งทะเล บริเวณที่เป็นเกาะ บริเวณที่เป็นภูเขา เป็นสถานที่ที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทรัพย์สิน)

สิ่งสำคัญที่ทุกคนที่อยู่ริมฝั่งทะเลต้องรับทราบ คือ เมื่อใดมีเหตุการณ์ขึ้นลงของน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว ต้องรีบหนี 2 วิธี คือ วิ่งเรือออกสู่กลางทะเลลึก ถ้าขณะนั้นอยู่บนเรือในทะเล ห้ามกลับเข้าชายฝั่งทะเลเป็นอันขาด อีกวิธี คือให้วิ่ง หรือขับรถขึ้นที่สูงที่มีความมั่นคงแข็งแรงโดยเร็ว ซึ่งถ้ามีภูเขา ขึ้นเขาให้เร็วที่สุด ถ้ามีตึกที่มั่นคงแข็งแรง ต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง ต้องอาศัยเป็นที่ยึดไว้ก่อน อาคารที่บอบบาง ที่ไม่มั่นคงแข็งแรง ห้ามเข้าไปอาศัยในช่วงขณะนั้น เพราะตัวอาคารอาจพังทลายได้แม้จะขึ้นบนชั้นสูง แต่ถ้าฐานรากไม่ดี อาคารพังทลายลงมาได้ง่าย ผู้หนีไปอยู่ชั้นบนของอาคาร ก็ไม่รอดเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อใดที่อยู่บริเวณชายทะเลในปี 2551 หรือ ปี 2560 กรุณามองทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าก็มีส่วนช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง

กรณีที่พึงต้องระวังเพิ่มขึ้นก็คือ ระดับน้ำในแม่น้ำลำคลองโดยเฉพาะแม่น้ำสายใหญ่ๆทุกสาย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำตาปี แม่น้ำโขง ฯลฯ ถ้ามีลักษณะขึ้นลงเร็วผิดปกติ ผิดธรรมชาติที่เคยมีเคยเป็น โปรดเตรียมการอพยพขนย้ายหาที่อยู่อาศัยพักพิงใหม่โดยเร็ว

และอีกเรื่องหนึ่ง โปรดศึกษาและสังเกตคำเตือนของคนโบราณที่ให้สังเกตดูลม ฟ้า อากาศ และอาการของสัตว์ต่างๆที่แสดงออกก่อนที่จะเกิดภยันตรายต่างๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเพียงพอ จึงขอบอกกล่าวประชาสัมพันธ์ท่านผู้รู้ที่มีโอกาสอ่านสารชมรมฯฉบับนี้ว่า " ถ้าท่านทราบคำบอกเล่า หรือคำสอนสั่งของปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา คุณพ่อคุณแม่ หรือครูบาอาจารย์ พี่น้องลูกหลาน ญาติสนิทมิตรสหาย หรืออ่านพบจากหนังสือใดๆ ที่บอกกล่าวในเรื่องดังกล่าว

กรุณาช่วย E- mail แจ้งมาให้ผู้เขียนได้ทราบที่ mkrichti @ ktb.co.th ด้วย จักขอบคุณยิ่ง หรือส่งทางโทรสารที่หมายเลข 
0 - 2256 - 8320 ก็ได้ หรือส่งทางไปรษณีย์ที่ตู้ ปณ. 1234 นานา กรุงเทพฯ 10112 ซึ่งเป็นตู้ไปรษณีย์ของชมรมศาสนาและ
การกุศลได้เช่าไว้เป็นเวลา 3 ปี ( พศ. 2548 - 2550 ) ด้วย ก็จักขอบคุณยิ่ง

ในปี 2551 หรือ ปี 2560 นั้น นอกจากจะมีแผ่นดินไหวบนพื้นดิน และใต้ทะเลลึกแล้ว ปัญหาที่เกิดจากฝนตกหนัก โคลนถล่ม น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุโซนร้อน ดีเปรสชั่น ทอนาโด และเฮอริเคน ต่างก็มาเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้นบางประเทศแอบทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ระเบิดไฮโดรเจน อาวุธเชื้อโรคและอาวุธสารเคมี (เป็นปีที่มีการทดลองอาวุธร้ายแรงมากที่สุดในรอบพันปี) จนปรากฏความเปลี่ยนแปลงของพื้นเปลือกโลกหลายชิ้น ก่อให้เกิดแผ่นดินยุบ ธรณีสูบ เกาะแก่งสูญหาย แผ่นดินโผล่ขึ้นมาใหม่ และเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ไปทั่ว มีคนตายมากกว่า 220 ล้านคน แต่บางท่านว่าอาจถึง 1,000 ล้านคน (ผู้เขียนไม่ยืนยันตัวเลข เพราะไม่สนใจจะไปนับซากศพที่ตายเกลื่อนกลาด)

ข่าวดี ขณะนี้ มีแนวโน้มว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดในปี 2551 (คศ. 2008) อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไปเกิดในปี 2560 (คศ. 2017) แต่ยังไม่มีผู้ใดกล้ายืนยันฟันธง ประการสำคัญ คือ ต้องไม่ประมาท ถ้าเหตุการณ์เลวร้ายระดับ " อภิมหามหันตวิปโยคสุดแสนโศกสลด " ถ้าเกิดในปี 2551 โดยไม่เปลี่ยนกำหนดการล่ะ ท่านควรประพฤติปฎิบัติตนในปัจจุบันอย่างไร ? ท่านวางแผนจะทำอะไรบ้าง หากท่านมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 ปี (2548 - 2550)

คลื่นสึนามิ หรือคลื่นยักษ์ที่ได้ถล่มภาคใต้ 6 จังหวัด เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 มีคนตายไปมากกว่า 5,000 คน บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายมากกว่า 3,000 คน หากรวมกับประเทศที่อยู่ริมทะเลหลายประเทศ ปรากฏว่าคนตายรวมกันมากกว่า 220,000 คน ซึ่งทุกคนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นมหันตภัยใหญ่ ที่ไม่มีคนไทยคนใดได้เคยพบเห็นมาก่อน แต่ถ้าเทียบกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 (ค.ศ.2008) แล้ว จะเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะจะมีชีวิตชาวโลกเสียชีวิตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในปี 2551 นั้น มากกว่าเหตุการณ์สึนามิครั้งนี้ประมาณ 1,000 เท่า มีหลายเสียงให้ความเห็นมาว่า น่าจะมากกว่า 1,000 เท่า แต่ผู้เขียนขอเพียงตัวเลข 1,000 เท่าก่อน จึงไม่อยากให้เป็น 1,000 ล้านคน ขอเพียงตัวเลข 220 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องสังเวยชีวิตในปี 2551 ก็น่าจะมากพอแล้ว โปรดเก็บบทความนี้ไว้ตรวจสอบ เพราะอีก 3 ปีเศษเท่านั้น เราจะได้รู้เห็นกัน แต่ถ้าโชคดีขยับเคลื่อนไปอีก 9 ปี จากปี 2557 เป็นปี 2560 (ค.ศ.2017) ก็จะมีเวลาวางแผนป้องกันมากขึ้น แต่ไม่ยืนยัน เนื่องจาก ณ ขณะนี้ (มกราคม 2548) โอกาสเกิดมหันตภัยในปี 2551 มีโอกาสมากกว่าปี 2560 อยู่

สำหรับจังหวัดใดอยู่ จังหวัดใดหาย ผู้เขียนเคยนำแผนที่ออกแสดงทาง itv. ในรายการ "น้ำท่วมโลก" ซึ่งผู้เขียนได้ยืนยันว่า ไม่มีน้ำท่วมโลก มีแต่น้ำท่วมในบางพื้นที่ของโลกเท่านั้น บางพื้นที่อาจเปลี่ยนจากพื้นดินเป็นผืนน้ำถาวรแทน เป็นการออกรายการทีวี ประมาณปลายปี 2539 โดยให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น 2 เสาร์ติดกัน โดยมีนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นฝ่ายโต้แย้ง เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่อง "ซูนามิ" ที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึง

ท่านที่ไม่เชื่อ ผู้เขียนไม่ว่า เพราะผู้เขียนไม่มีวัตถุมงคลมาบอกขาย ไม่มีที่ดินมาบอกขาย ไม่มีการเรี่ยไรขอบริจาคสิ่งใดจากท่านผู้อ่าน หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สิ่งใดจากท่านผู้อ่าน เป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านจะใช้ดุลพินิจและตัดสินใจดำเนินชีวิตของท่านเอง

แต่ถ้าท่านติดตามข่าวสารของสื่อมวลชนต่าง ๆ ในช่วงเกิดคลื่นสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ท่านคงได้ยินข่าวต่างประเทศ รายงานข่าวให้ทราบว่า มีเกาะหลายเกาะของประเทศอินเดีย ปัจจุบันสูญหายไปจากที่ตั้งเดิม บางเกาะเหลือเพียงเสาสูงโผล่ให้เห็นเท่านั้น แต่ไม่เห็นบ้านเรือนของประชาชน บางพื้นที่ในภาคใต้ของเราเอง ก็มีพื้นดินยุบตัวเป็นหลุมใหญ่มีการเคลื่อนตัวของเกาะภูเก็ตไป 15 ซ.ม. จากพิกัดละติจูดและลองติจูดเดิม (ปกติจะมีการเคลื่อนตัวประมาณปีละ 1 มม.เท่านั้น แต่ครั้งนี้เคลื่อนตัวเท่ากับ 150 มม.) เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มิใช่เหตุการณ์ใหญ่โตอะไร ถ้าเทียบกับสิ่งที่จะปรากฏในปี 2551 แม้จะเป็นเหตุการณ์วิปโยคที่คนตายไปมากกว่า 220,000 คน ตามที่ทุกคนได้ทราบกันดีแล้วก็ตาม

กรุณาอย่าประมาท การเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ มีการบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า ธรณีพิบัติภัย ซึ่งปกติน่าจะเป็นเพียง ธรณีภัย ซึ่งจะสอดคล้องภัยที่เกิดจาก อุทก (น้ำ) วาตะ (ลม) อัคคี (ไฟ) โดยเรียกว่า อุทกภัย วาตภัย และอัคคีภัย ภัยที่เกิดจากแผ่นดิน ก็ควรเป็นธรณีภัย คำว่า ภัย : ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ปี 2542 ให้ความหมายคำว่า "ภัย คือ สิ่งที่น่ากลัว หรือ อันตราย" โดยมีการเติมคำว่า พิบัติเข้าแทรกกลาง คำว่า "พิบัติ แปลว่า ความฉิบหาย ความหายนะ หรือความอัปมงคล"

ดังนั้น คำที่ถูกต้องในการเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ (เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547) ซึ่งมีคนตายในเหตุการณ์เดียวกันนี้มากกว่า 220,000 คน คือ ธรณีพิบัติภัย ซึ่งแปลว่า สิ่งที่น่ากลัวจากความหายนะของแผ่นดิน โดยในปี 2551 จะมีคำที่เรียกเกี่ยวกับสิ่งที่น่ากลัวจากน้ำ ลม และไฟ เปลี่ยนไป โดยเรียกว่า อุทกพิบัติภัย / วาตะพิบัติภัย และอัคคีพิบัติภัย ทั้งนี้เพราะจะมีเหตุให้มีคนตายในแต่ละเรื่อง ในแต่ละคราว ไม่น้อยกว่าครั้งละพันคน หมื่นคนทีเดียว

ผู้ใดใครเชื่อ ก็เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องเชื่อ เพราะผลคงไม่แตกต่างกันมากนัก ถ้าสภาพจิตใจของท่านยังไม่พัฒนา ท่านยังไม่ฝึกเตรียมตายก่อนตายจริง ท่านอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียสิ่งที่เรารักที่สุด หวงที่สุดทั้งด้านทรัพย์สินเงินทองและบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เกียรติยศและชื่อเสียง รวมตลอดถึงบิดามารดา คู่สมรส และบุตรหลานที่รักยิ่งของเรา ที่ต้องฉับพลันสูญหาย หรือตายลงต่อหน้าต่อตา ถ้าท่านยังยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู หลงติดอยู่ในโลกียสมบัติ จิตใจไม่สอดรับความจริงตามธรรมชาติที่เป็นลักษณะสามัญ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ซึ่งหมายความว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทนอยู่สภาพเดิมตลอดเวลามิได้ และแท้จริง ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตน เนื่องจากเกิดจากการผสม หรือรวมตัวของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมิได้หมายความว่า ท่านต้องละทิ้งครอบครัว ละทิ้งสังคม ออกบวช การบวชที่กาย แต่ใจมิได้บวช หาประโยชน์ไม่ได้ ภิกษุในพระพุทธศาสนา แม้จะมีมากกว่า 400,000 รูป ในประเทศไทย แต่ที่มีศีลาจานุวัตร และเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เป็นบุคคล 4 จำพวก ตามคำสรรเสริญพระสงฆ์นั้นน่าจะมีในประเทศไทยไม่เกิน 400 องค์ หรือภิกษุ 1,000 รูป ที่เป็นพระแท้ หรือพระสงฆ์จริง ๆ นั้นอาจจะมีเพียง 1 รูป เท่านั้น หรือ 0.001% แม้จะมีวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยมากกว่า 30,000 วัด ซึ่งก็แปลว่า เจ้าอาวาสวัดมากกว่า 29,000 วัด มิใช่พระสงฆ์แท้ ตามบทสวดพระสังฆคุณ เพราะบุคคล 4 จำพวก ในคำสรรเสริญพระสงฆ์นั้น คือ เป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งผู้เขียนมิได้ปรามาส พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่ปรามาสลูกชาวบ้านที่มาบวชในพระพุทธศาสนา แต่มิได้ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งเป็นได้อย่างมากก็เพียง "ภิกษุ" ในพระพุทธศาสนา ยังไม่ถึงระดับนักบวช ยังไม่ถึงระดับสมณะ และยังไม่ถึงระดับ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่เป็นพระอริยบุคคล

ความหมายของผู้เขียน คือ ท่านจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นภิกษุ นักบวช สมณะ พระหรืออุบาสก หรือฆราวาสก็ตาม จะต้องลดความโลภ ความโกรธ ความหลง มีเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ผู้อื่น

มีความกตัญญูกตเวที / มีกรุณา(ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ไม่เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ทุกข์ยากลำบาก)

มีมุทิตา (ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี) และอุเบกขา (วางตัวเป็นกลาง / รักษาความเป็นธรรม / ไม่ลำเอียง / ไม่ปรุงแต่งอารมณ์) มากขึ้น

มีหิริ โอตตัปปะมีความละอายชั่ว กลัวบาป ยอมรับกฎแห่งกรรมว่าเป็นความจริงแท้ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จะต้องได้รับผลกรรมหรือการกระทำของตน ผู้ใดทำดี ย่อมได้รับผลดีในสัมปรายภพ หรือโลกหน้า ผู้ใดทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ทุกขเวทนาในสัมปรายภพ หรือโลกหน้า

ต้องยอมรับความจริงว่า ทุกอย่างล้วนแต่ไม่เที่ยงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ตลอดไป และไม่มีตัวตนที่แน่นอน ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้น เป็นส่วนประกอบของธาตุต่าง ๆ มารวมกัน เป็นวัตถุสิ่งของตัวตนบุคคลล้วนแต่เป็นสมมุติบัญญัติทั้งสิ้น ในที่สุดก็ต้องแปรเปลี่ยนและแตกสลายไป

การหลงเรื่องตัวกู ของกู แท้จริงก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมมิให้มีสภาพแก่ มิให้เจ็บและมิให้ตายไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องทิ้งร่างกายของตนจากไป นั่นก็แปลว่า ตัวกู ก็มิใช่ของกู สิ่งอื่น ๆ ของอื่น ๆ ย่อมต้องมิใช่ของกูใช่ไหม เพราะตัวกู ยังมิใช่ของกู คิดดูให้ดี เพื่อพวกเราจะได้รู้จักปล่อยวางบ้าง ลดแสวงหาโลกียทรัพย์ หันมาสะสมอริยทรัพย์มากขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าในช่วง 3 ปีสุดท้ายที่เหลือ หรืออาจกล่าวโดยสรุป คือ ในช่วง 3 ปีสุดท้ายนี้ ท่านจะต้องสร้างเสริมและถือปฏิบัติอย่างจริงจังให้มี 5 มี 5 ให้ และหนึ่งทำ

มี 5 มี ได้แก่

1. มีสติสัมปชัญญะ - ในการทำหน้าที่ของตนจะต้องทำทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด คิดก่อนพูด / ก่อนทำเสมอ ไม่ปล่อยชีวิตให้หมดไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ทุกวัน ต้องพยายามทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด

2. มีความกตัญญูกตเวที - รู้บุญคุณคนและรู้จักตอบแทนคุณทุกคน ตั้งแต่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ลุง ป้า น้า อา และผู้มีพระคุณทุกคน

3. มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา - มีความต้องการให้คนอื่นมีสุข พ้น ทุกข์ และได้ดีก็ยินดีด้วย ไม่อิจฉาริษยาใคร มีใจเป็นธรรมช่วยใครมิได้ก็ทำใจเป็นกลาง

4. มีน้ำใจ - ช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้ออาทรคนอื่นเสมอ

5. มีศีล 5 - ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเมียคนอื่น ไม่พูดปดหลอกลวง ไม่ดื่มสุรา

มี 5 ให้ ได้แก่

1. ให้อภัย - ไม่ว่าใครจะทำอะไรให้ไม่พอใจ จะต้องให้อภัยเสมอ

2. ให้ความรัก - ให้ความเอาใจใส่ ให้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

3. ให้ความจริงใจ - ไม่หลอกลวง ไม่เบียดเบียนคนอื่น

4. ให้เกียรติผู้อื่น - ให้เกียรติในความเป็นคนของคนอื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยามคน

5. ให้การเสียสละ - ยิ่งให้ จะยิ่งได้ ไม่มีหมดในสิ่งที่ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือ แก่คนอื่น

1 ทำ ได้แก่

- ทำความดี ทุกเวลา ทุกโอกาส และทุกสถานที่

- ทำให้ทุกคน และทุกชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดมีความสุข และได้ประโยชน์จากตัวของเรา โดยเริ่มจากคนในครอบครัวเป็นลำดับแรก คนในที่ทำงานเป็นลำดับที่สอง คนในสังคมเป็นลำดับที่สาม

- ทำการฝึกอบรมพัฒนาจิตใจโดยการวิปัสสนากรรมฐานให้มากขึ้น พิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเห็นชัดในดวงจิต

หวังว่าในวันที่โลกเข้าสู่วิกฤติ ท่านคงจะได้สะสมคุณสมบัติ 5 มี 5 ให้ และ 1 ทำ ที่มีปริมาณมากเพียงพอให้ชีวิตของท่าน และครอบครัวอยู่รอดและปลอดภัย

เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น ผู้เขียนแนะนำแนวทางที่เคยชี้แนะไว้ ในสารชมรมศาสนาและการกุศลที่ผู้เขียนได้พิมพ์แจกเผยแพร่ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2540 โดยได้ประมวลข้อมูลจากบางตอน ในบทความเก่าที่เคยพิมพ์เผยแพร่แล้ว โดยได้ข้อมูลจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือศีลที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ บางท่านเป็นพระธุดงค์ที่เคร่ง บางท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมมานานหลายปี

ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ปฏิบัติในสายพุทธธรรมนั้น ส่วนใหญ่ท่านไม่ตอบปัญหาที่ถามตรง ๆ เกี่ยวกับ "อันตรายที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้" ท่านมักจะพูดในทำนองว่า "โยมจะรู้ไปทำไม โยมรู้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก เพราะผู้ที่ไม่เชื่อนั้นมีมาก ระวังเขาจะกล่าวหาโยมว่า เพี้ยน หรือเพ้อเจ้อ เลื่อนลอย ไร้แก่นสาร และที่สำคัญ คือ ถ้าอาตมาพูดออกไป ก็จะเป็นเรื่อง "อุตริมุนษย์ธรรม"...

โยมต้องเข้าใจนะว่า เมื่อความเจริญได้เดินทางมาถึงที่สุด ความเสื่อมก็จะต้องติดตามมา และในช่วงเวลานับแต่นี้ไป จะเข้าสู่เวลาแห่งการนับถอยหลังเข้าไปสู่ความเสื่อม ความหายนะแล้ว มันเป็นวัฏจักรของโลก เหตุการณ์อย่างนี้ เคยเกิดขึ้นมาในโลกนับเป็นแสนปี ล้านปีมาแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย และมิใช่เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในโลกของเรา...

ความทุกข์ยากลำบาก ทุพภิกขภัยต่าง ๆ โยมคงจะได้เห็นกันในช่วงชีวิตของโยมนี่แหละ เพราะเท่าที่ดูมารดำ หรือความชั่วร้าย แผ่คลุมโลกมากขึ้นทุกที กฎหมู่จะมีอำนาจเหนือกฎหมาย คนดีจะถูกย่ำยีมากขึ้น คนโดยทั่วไปจะขาดสติในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ฝูงชนจะถูกชักนำให้ร่วมขบวนการในการทำลายล้างมากขึ้น

คนส่วนใหญ่จะถูกชักนำและจูงใจให้ทำสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้นจะสนุกกับการทำลาย บางครั้งทำเหมือนคนบ้าคลั่ง ที่เจ็บแค้นมานานปี ทั้ง ๆ ที่มิได้มีเหตุที่ควรเจ็บแค้นเช่นนั้นเลยก็ตาม เหมือนเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมารดำเข้าสิงจิตใจผู้คน เมื่อไรก็ตามที่คนขาดสติกำกับการคิด การพูด และการทำ มารดำจะสิงสู่ทันที และมีอิทธิพลครอบงำจิตใจให้ทำในสิ่งที่เป็นภัยต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง...

ความรุนแรง ความเดือดร้อน อันตรายต่าง ๆ จะลดลงได้อย่างมาก ถ้าบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้...จะหันมาปฏิบัติสิ่งที่ดีให้มากขึ้น ให้ความดีงามช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย ความรุนแรงก็จะลดลงได้

สิ่งที่ดี หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นมีหลายระดับ ในระดับของคนทีเป็นฆราวาสที่ยังต้องเกี่ยวพันกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มากมายนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงประโยชน์ในชาติไหน ๆ เอากันในชาตินี้ก็พอ พยามยามละเว้นการทำความชั่ว พยายามทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส มารร้าย มารดำ ย่อมครอบงำเราไม่ได้

แต่ถ้าตรงกันข้าม คือ ทำแต่ความชั่ว ละเว้นทำกรรมดี และทำจิตใจให้เศร้าหมอง การกระทำดังกล่าวจะเป็นแรงเสริมมารดำ มารร้าย ให้มีพละกำลังเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ปัญหาความเดือดร้อนก็จะมีไปทั่ว และรุนแรง ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในปี 2551

การละเว้นทำชั่ว นั้น ในเบื้องต้นขอให้ละเว้นการทำผิดศีล 5 ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

ละเว้นการฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนสัตว์และการสนับสนุนให้เกิดการฆ่าและเบียดเบียน สัตว์ด้วย แม้จะไม่ได้ลงมือกระทำ แต้ถ้าเป็นเหตุให้เกิดการกระทำดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีควรละเว้น ควรลด และเลิกเสีย

ละเว้นการลักขโมย หรือการเอาทรัพย์สินบุคคลอื่นมาเป็นของตน การกระทำทุจริตต่อหน้าที่ หรือการขโมยผลงานคนอื่น แล้วอ้างว่าเป็นผลงานของตน ผู้ที่ถูกลักขโมยก็ย่อมเกิดความเสียดาย และเกิดอาฆาตแค้น ผูกใจเจ็บ

ละเว้นผิดลูกเมีย (สามี) คนอื่น คือ คนที่เขามีเจ้าของแล้ว ผู้ที่ได้ครอบครองก่อนหากถูกแย่งชิงไป ก็ย่อมโกรธแค้นและอาฆาตพยาบาทเป็นธรรมดา ปัญหาความไม่สงบก็จะเกิดขึ้นติดตามมา

ละเว้นการพูดโกหก หลอกลวง นินทาว่าร้าย ส่อเสียด ประชดประชัน กระทบกระแทกแดกดัน พูดแล้วเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเสียแก่ตนเอง เสียแก่ผู้ฟัง หรือเสียแก่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็ตาม ไม่ควรพูดออกไป

ละเว้นการเสพสิ่งเสพย์ติดให้โทษ ที่ก่อให้เกิดอาการมึนเมา ที่เป็นการเสียหายแก่สุขภาพของผู้เสพย์ ที่เป็นการทำลายทรัพย์สินที่ก่อให้บุคคลอื่นเดือดร้อน รำคาญจากการเสพย์ของตน บุคคลอื่นนั้น นับตั้งแต่บุคคลในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และสาธารณชนโดยทั่วไป

พยายามทำแต่ความดี นั้น หมายถึง การกระทำต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น

- มีเมตตา คือ มีความปรารถนาให้ทุกชีวิตมีความสุข

- ตั้งจิตด้วยความกรุณา คือ ปรารถนาให้ทุกข์ชีวิตพ้นจากทุกข์ รู้จักการให้อภัย และการอโหสิกรรม

- ตั้งจิตให้มีมุทิตา คือ แสดงความยินดีกับทุกชีวิตที่ได้ดีมีสุข ไม่อิจฉาริษยา เมื่อเห็นคนอื่นเขาได้ดีกว่า

- ในกรณีที่เราช่วยลดทุกข์ให้ผู้อื่นมิได้ หรือช่วยเพิ่มสุขให้ผู้อื่นมิได้ ก็จะต้องทำจิตวางเฉย ทำความเข้าใจว่า ทุกชีวิตต่างก็มีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นมรดก เมื่อกรรมนั้นตามทัน ใครก็ช่วยไม่ได้ เว้นแต่กรรมนั้นเบาบางหรือกรรมนั้นตามยังไม่ทัน แต่บุญนั้นฉุดขึ้นให้พ้นจากห้วงกรรมไปก่อน

ดังเช่น ท่านองคุลิมาร แม้จะได้ฆ่าฟันชีวิตไปถึง 999 ชีวิต แล้วก็ตาม แต่กุศลกรรมดีที่สั่งสมมามากได้ดึงท่านให้หลุดพ้นบ่วงกรรม ทำให้ท่านบรรลุเป็นอรหันต์ได้

ดังนั้น ใครก็ตามแม้เคยทำความชั่วมามาก หรือทำความชั่วมากกว่าทำดี ต้องเร่งทำกรรมดี เพื่อความดีจะได้ฉุดรั้ง ขึ้นก่อนที่กรรมชั่วจะตามทัน ก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น และเป็นไปได้ ความดีที่ได้ทำแล้ว ผลดีย่อมตอบสนอง

แต่ถ้าประมาทขาดความใส่ใจ โชคร้าย โรคภัยต่างๆ ย่อมเบียดเบียน หรืออาจเป็นโรครักษาไม่หายได้ ซึ่งเป็นกรรมที่ตามมาทัน หรือเป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นั่นเอง

ขอให้ทุกคนได้โปรดหันมาทำแต่กรรมดี ทั้งในด้านการคิด การพูด และการกระทำต่างๆ ความดี ทำได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกโอกาส และทุกหน้าที่ หากทุกคนทำดีกันมาก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดในปี 2551 อาจเลื่อนไปเกิดในปี 2560 แทน


ด้วยความปรารถนาดี

จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ


กลับหน้าแรก