Wicha for surviving part16

กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ


kananun 13-04-2007, 09:13 PM

การทรงอารมณ์นิพพานด้วยกำลังของอรูปฌานหรือสมาบัติแปด

ก่อนอื่นขอให้จับลมสบายให้ใจเราชุ่มเย็นสดชื่นก่อน
จากนั้นระลึกถึง บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ระลึกถึงศีลห้า พรหมวิหารสี่
จับวิปัสนาญาณพิจารณาความไม่เที่ยง มีความตายเป็นอารมณ์ เห็นความเป็นจริงในสังขารร่างกาย ว่าเป็นทุกข์


kananun 13-04-2007, 09:36 PM

ทรงพุทธนิมิตร เป็นองค์แห่งพุทธานุสติเต็มกำลังสมาธิ จนทรงพุทธนิมิตรสว่างไสว แพรวพราว เปล่งฉัพพรรณรังสี สวยงามระยิบระยับ จนใจเราสบาย

กราบขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ให้เราเข้าถึงอารมณ์แห่งสมาบัติแปด

จากนั้นพิจารณา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆพุทธนิมิตรในจิตเรา สลายไปกลายเป็นอากาศ ขาว เว้งว้างว่างเปล่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีผนังไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน เว้งว้างไปหมด พิจารณาว่าทุกสิ่งไม่ใช่แก่นสาร ไม่ช้าก็สลายตัวหมด ไม่เที่ยง ไม่จีรัง

จากนั้นทรงอารมณ์ พิจารณาให้เห็น บ้านเมือง อาคาร วัตถุ โลก จักรวาล หรือแม้แต่ตัวเรา ร่างกายเรา แตกสลายผุพังไปกลายเป็นความเว้งว้างว่างเปล่าอีก ทรงอยู่แต่พุทธนิมิตรในจิตของเรา
พิจารณาว่า ร่างกายเราก็ดี ร่างกายบุคคลอื่นก็ดี วัตถุสิ่งของใดก็ดีล้วนแต่ ผุ พัง ไปตามกาลเวลาไร้แก่นสารใดๆทั้งสิ้น ให้ยึดมั่นถือมั่น


kananun 13-04-2007, 09:47 PM

ทรงพุทธนิมิตรไว้ในจิตให้ทรงตัว ต่อไป พิจารณา เพิก สัมผัสและการปรุงแต่ง ความยินดี ยินร้าย ทางอายตนะ ทั้งปวงออกไปจากจิต

เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ใจเฉย ๆ ไม่รับรู้
ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน ใครชมก็เฉย ใครด่าก็เฉย
ได้กลิ่น ก็ไม่ไปปรุงแต่ง ไปยึดถือ ว่าหอม ว่าเหม็น
ได้รับรส ก็เฉย ไม่สนใจว่าอร่อย ไม่อร่อย
รับสัมผัสทางกาย ก็ไม่ไปปรุงแต่ง ว่านิ่ม ว่าแข็ง
มีอารมณ์ภายนอกมากระทบ ก็เฉย ไม่รับ ไม่รู้ ไม่สนใจ

ใจเราพิจารณาว่า สัมผัสทั้งปวงไม่เที่ยง การปรุงแต่งในสัมผัสแห่งอายตนะทั้งปวงเป็นทุกข์ ไม่ช้าแค่วูบเดียวสัมผัสนั้นก็หายไป ไยต้องไปยึดถือ ใจเราตั้งมั่นแต่พุทธนิมิตรที่สว่างไสว อย่างเดียว


kananun 13-04-2007, 10:01 PM

ทรงพุทธนิมิตร ที่ส่องสว่างเปล่งฉัพพรรณรังสีไว้ ให้ใจเราสบาย จากนั้นพิจารณา ว่า อันสัญญา ความจำ ได้หมายรู้นั้น ไม่เที่ยง

เพิกความทรงจำ ความคิดในอดีตกาลก็ดี อดีตชาติก็ดี ความยึดมั่นถือมั่น ทิษฐิต่างๆก็ดี ทั้งหมด ออกจากจิตใจ เห็น สัญญาความทรงจำในทุกสิ่งมีความไม่เที่ยงเมื่อยึดถือก็ย่อมเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความทรงจำ ความยึดมั่นก่อให้เกิดชาติ เกิดภพ เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ในสังสารวัฏ เราเห็นโทษภัยในสัญญา พึงลบ พึงสลายสัญญาทั้งหลายออกไปจากดวงจิตของเรา เหลือเพียงความเว้งว้างว่างเปล่ามีเพียงพุทธนิมิตรที่สว่างไสวลอยเด่นอยู่ ท่ามกลางความเว้งว้างว่างเปล่านี้


kananun 13-04-2007, 10:16 PM

จากนั้นพิจารณาว่า อันอารมณ์แห่งฌานสี่มีองค์แห่งสมาธิอันเป็นสุข ฉะนี้ก็ดี อัน อรูปฌาน มีอารมณ์อันละเอียดปราณีต ดั่งนี้ก็ดี พระพุทธองค์ท่านยังทรง ตรัสว่า ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ ยังมีธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า รูปพรหม อรูปพรหมก็ดี ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกเมื่อหมดกำลังบุญ ดังนั้นพรหมก็ดี อรูปพรหม ก็ดีเราไม่ต้องการ เพราะเราไม่ต้องการเกิดอีก จุดเดียวที่เราต้องการคือ พระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

"ตัด"สังโยชน์ทั้งสิบประการ ด้วยกำลังแห่งสมาบัติแปด เห็นทุกสิ่งล้วนเว้งว้างว่างเปล่าไปหมด

ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้เราทรงอารมณ์พระนิพพานด้วยกำลังแห่งสมาบัติแปดนี้ และขอให้กำลังของสมาบัติแปดนี้จงตัดสรรพกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาร ลง ณ บัดนี้ด้วยเทอญ

ทรงอารมณ์ใจพระนิพพาน ไว้ให้เป็นปรกติของจิต

ขอกราบโมทนาบุญในการปฏิบัติของทุกๆท่านด้วย เทอญ ขอให้ทุกท่านได้ทรงอารมณ์พระนิพพานได้ จนเป็นธรรมดาของจิต พูดถึงพระนิพพานจนติดปาก ติดใจ ไม่ไกลตัว กันอีกต่อไป


Falkman 17-04-2007, 01:31 PM

เล่าความฝันนิด

ฝันเห็นพระพุทธรูปปางใหม่ มือซ้าย นิ้วชี้แตะหน้าผากระหว่างคิ้ว มือขวาแตะอยู่ที่พื้นดิน

(เอามาเล่าเฉยๆ)


KEN_BP 27-04-2007, 10:27 AM

ทุกสรรพสิ่ง มีเกิดขึ้นก็ดี ตั้งอยู่ก็ดี ดับไปก็ดี
เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็ต้องมีดับลงไปเป็นธรรมดา


kananun 27-04-2007, 07:50 PM

ท่านที่ตั้งจิตไปนิพพานชาตินี้ก็จงเร่ง มรณานุสติ และอุปมานุสติ มีนิพพานเป็นอารมณ์เข้าไว้ มองเห็นทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นธรรมดาโลก เป็นธรรมดาธรรม ที่มีเกิด มีเจริญ มีเสื่อม เป็นธรรมดา

เราไปยึด ไปหลงเอาเองว่า โลกนี้เที่ยง ตึกรามบ้านช่อง บ้านเมืองมันจะคงอยู่อย่างนี้ไปตลอดกาล ตลอดสมัย ที่จริงมันก็พัง ร่างกายเราก็พัง เป็นธรรมดา

รักษาใจของเราให้ใส สะอาด เปล่งประกายของพรหมวิหารสี่ให้เต็มหัวจิตหัวใจเข้าไว้ เป็นปกติ มีพระรัตนไตร เป็นหลักยึดเป็นที่พึ่งอาศัยของใจไว้ให้มั่นคง อย่าให้จิตเศร้าหมอง

ไม่ยากเกินกำลังใจของพวกเราครับ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

ยามใดที่เราพบทุกข์ เห็นทุกข์ รู้สึกทุกข์ ก็ขอให้เราหลบออกจากความทุกข์โดยนำจิตของเราจับอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์

อุปมาดั่งเราเดินอยู่กลางทะเลทราย (แห่งทุกข์) ย่อมอยากหลบแดด(ทุกข์) ที่แผดเผากาย(ใจ) ของเราให้เร้าร้อน เราย่อมอยากที่จะหลีกออกจากสถานที่นั้น เข้าสู่หมู่แมกไม้ลำธารอันสงบชุ่มเย็นกาย(ใจ) ฉันใด เราเองเมือ่สัมผัสกับความทุกข์ก็จงปลีกใจของเราไม่เสวยอารมณ์ความรู้สึกในทุกข์เหล่านั้น โดยพุ่งจิตจับอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์ฉันนั้น

การที่อยู่ในทุกข์แต่ไม่รู้สึกทุกข์ อันเป็นวิสัยของพระขีนาสพท่าน หากแม้นเราปฏิบัติได้แม้สักนิด เพียงวันละครั้งต่อวันได้ ก็จะทำให้ใจเราชินกับพระนิพพานยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆจนจิตถอดถอนจากกิเลศเป็นสมุทเฉทประหารได้ในที่สุด

เห็นทุกข์ปุ๊ปจับนิพพาน
เจอคนเลวคนกลั่นแกล้งปุ๊บจับนิพพาน
เบื่อความทุกข์จับนิพพาน
กลัวความทุกข์จับนิพพาน
เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด จับนิพพาน
กลัวภัยในสังสารวัฏ จับนิพพาน

นิพพานนัง ปรมังสุขัง

พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

พระนิพพานมีสภาวะเช่นไร ไม่ต้องไปเถียงกันกับเขา เรารู้แต่เพียง เราตามเบื้องพระบาทพระศาสดาเข้าสู่พระนิพพาน "อันเป็นสถานที่ ที่ไม่ต้องเกิด" อีก เท่านั้นพอแล้ว

ก็ขอกราบโมทนาบุญในจิตอันเป็นมหากุศลของทุกๆท่านที่ได้ติดตาม อ่านและปฏิบัติธรรมมาด้วยความตั้งใจดีกันมาตลอด บุญ อานิสงค์อันใดที่พึงบังเกิดเป็นบารมีบุญ บารมีธรรมใน สามไตรภูมิ หนึ่งพระนิพพานนี้ ก็ขอพึงมี เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร งอกงามท่ามกลางดวงใจทุกๆดวง ให้ดำรงความเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ไว้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน ไม่ว่าจะโดย ฐานะแห่งพุทธภูมิก็ดี หรือ สาวกภูมิก็ดี ขอจงมีแต่ความรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกๆพระองค์ ทุกๆท่านด้วยเทอญ.........


MOUNTAIN 28-04-2007, 08:24 AM



นิพพานนัง ปรมังสุขัง

พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง


โมทนาสาธุ ครับ


นาคา 28-04-2007, 09:11 AM

ขออนุโมทนาบุญ ด้วยครับ

ร่างกาย นี้ ไม่ใช่ของเรา เราเช่ามา เมื่อถึงเวลา เราก้อ ต้องคืน เค้าไป ตาม...

ดิน น้ำ ลม ไฟ....ธาติ 4 ....มี แต่ จิต ...

....ที่ ...เวียนว่าย ตาม บุญ ...หรือ กรรม..

......นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง......สุขใดไหน... เท่าสุขจากหยุด...
...กระทำสิ่งใด จิต ตั้ง ..พระนิพพาน

นิพานนัง ปัจจโยโหตุ....


kananun 28-04-2007, 07:46 PM

อุปมานุสติกรรมฐาน คือการมีจิตจับ(ระลึกถึง) พระนิพพาน เป็นอารมณ์ ครับ แนวการปฏิบัติคือ

-พอจิตจับมรณานุสติได้ ก็ควบอุปมานุสติไปเลย โดยพิจารณาว่า "ตายเมื่อไหร่ ไปนิพพานดีกว่า " ในทุกๆครั้งที่เราระลึกได้ ในทุกๆวันจนจิตของเราชิน และจับพระนิพพานจนเป็นปรกติ

-พอจิตสัมผัสกับความทุกข์ (ทุกข์กระทบใจ) เมื่อไร ก็ให้ พิจารณาว่า "สถานที่ ซึ่งปราศจากทุกข์ ไม่พบไม่เจอกับความทุกข์อีก ก็คือการไม่เกิดอีก ซึ่งมีเพียงพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น "

ทุกข์เมื่อไหร่หนีเข้า(อารมณ์) พระนิพพาน(ด้วยอารมณ์ที่สะอาด สว่าง ปลอดโปร่ง สงบ )

อุปมานุสติกรรมฐาน คือ นิพพานนุสตินั่นเองครับ

วางอารมณ์ใจไว้อย่างนี้ทุกๆวันว่า

"รักในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน"

กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

กลับหน้าแรก