กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
เข้าสู่การปฏิบัติกันต่อเลยครับ ติดหนี้ท่านทั้งหลายมานานเลยทีเดียว
ความก้าวหน้าในธรรมนั้น ท่านผู้ปฏิบัติ พึงต้องพิจารณา ใคร่ครวญในข้อธรรมการปฏิบัติที่เรียกว่า "ธรรมมะวิจะยะ" ว่า
-ธรรมใดที่ทำให้เจริญ (จากความดี จากกุศล จากฌาน จากญาณทัศนะ จากคุณธรรม) ธรรมข้อนั้นพึงทำให้เจิญยิ่งขึ้นไป
-ธรรมใดที่ทำให้เสื่อม (จากความดี จากกุศล จากฌาน จากญาณทัศนะ จากคุณธรรม ) ธรรมข้อนั้น พึงละ พึงเว้น พึงหลีกเลี่ยง
-ข้อปฏิบัติ ปฏิปทาใดทำให้เจริญ( ในการทำความดี ในการการสร้างกุศล ในสามัคคีธรรม ในการทำฌาน ในการก่อให้เกิดญาณทัศนะ ในความสิ้นอาสวะ ในการสร้างบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ) พึงปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป
- ข้อปฏิบัติ ปฏิปทา ใดที่ทำให้เสื่อม ( ในการทำความดี ในการสร้างกุศล ในสามัคคีธรรม ในการทำฌาน ในการก่อให้เกิดญาณทัศนะ ในความสิ้นอาสวะ ในการสร้างบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ) ปฏิปทานั้น พึงละ พึงเว้น พึงหลีกเลี่ยง
-ค่อยๆขัดเกลา กิเลส เครื่องเศร้าหมอง ออกไปจากจิตใจทีละน้อย ทีละน้อย จนปรากฏ ดวงจิตที่ประภัสสร พึงติโทษโจษตนเองไว้เสมอ สิ่งใดที่ทำให้ใจเราบริสุทธ์ขึ้นได้ก็พึงทำ เมื่อใดที่เราหยุดโจษโทษตัวเองก็เหมือนเราหยุดทำความบริสุทธ์ของใจให้ปรากฏ ปล่อยให้กิเลสเครื่องเศร้าหมองให้มาจับมาเกาะพอกพูนเข้าไปอีก เรามีใจเป็นแก้วแล้วก็ควร หมั่นเช็ดถู ดูแลใจเราให้สะอาด สว่าง แพรวพราว
- อย่าได้ไปสนจริยาของผู้อื่น ว่า เขาจะดี จะเลวอย่างไร ความดีความเลวของเขา ไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ไปได้ ยิ่งเราไปติเตียนผู้อื่นมากเท่าไร ใจเราก็ยิ่งเศร้าหมอง ยิ่งมันปาก มันอารมณ์ แต่ถ้าเราดูใจของเราเองในขณะนั้น เราจะเห็นว่าสีของจิตเราหมองคล้ำด้วยกิเลส
-อย่าได้ไปดูเยี่ยงอย่างผู้อื่นที่เขาทำบาปอกุศล แล้ว มาให้เหตุผลกับตนเองว่า "ทำไมทีผู้อื่นยังทำได้ " "เขาก็ทำอย่างนี้เป็นปรกติ"
ขอยกตัวอย่างว่า ถ้ามีผู้คน เห็นหมามันกินอุจจาระได้ เราจะอ้างว่า เราก็กินได้เช่นกันหรือไม่ ดังนั้นเมื่อกระแสโลกเชี่ยวกรากในบาป อกุศล เราชาวธรรม ไม่จำเป็นที่จะต้อง เลวไปตามกระแส ทางโลก
ถ้าใจเรา"ฝืนกระแส" ว่าทำไมอย่างโน้นอย่างนี้ ใจเราจะเหนื่อย กับการต้าน การทวน กระแสที่เชี่ยวบ่า
การสู้กับกระแสทางโลกที่ดีที่สุด คือ "การอยู่เหนือกระแส " อยู่ในสังคมที่มากด้วยคนหลากหลายทั้งชั่วทั้งดี แต่เราไม่ยอมให้ตัวเราชั่วไปได้ อยู่ในทุกข์โดยไม่ทุกข์
การอยู่ในหมู่ สหธรรมมิกผู้มีคุณธรรมความดี มีความเอื้อเฟื้อในธรรม อยู่ในสามัคคีธรรม ยินดีในความดี ความเจริญในหมู่เพื่อน ย่อมเป็นสิ่งประเสริฐที่จะทำให้ก้าวหน้าในธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป
พวกเราทั้งหลาย การที่ได้มาประสบพบกันแม้จาก หลายที่ หลายแห่ง ต่างวัย ต่างกรรม ต่างวาระ แต่กลับมาได้พานพบกันได้นี้ นับว่าเป็นบุญที่เกื้อหนุนมาให้พบ มาให้ช่วยเหลือ มาให้สงเคราะห์กันในความดี
ขอกราบโมทนาในความดี ความงาม ในการปฏิบัติของทุกท่านด้วย
ขอความเจริญไพบูลย์ในธรรมจงบังเกิดมีแด่ทุกๆท่านด้วยเทอญ.......
การสู้กับกระแสทางโลกที่ดีที่สุด คือ "การอยู่เหนือกระแส "
ขออนุโมทนาและชื่นชมคุณคนานันท์ด้วยใจจริงครับ ที่ตั้งมั่นในกระแสธรรมแล้วนำธรรมะมามอบให้ทุกๆคนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ได้มุมมอง+แง่คิด+และเป็นตัวอย่างที่ดีๆให้เห็นอยู่เสมอ..จะพยายามนำไปปฎิบัติและทำให้ดีที่สุดเช่นกันครับ
คุณmead ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามเสมอมา ครับ คุณก็เสียสละหลายๆอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ อย่างเต็มที่มาตลอดครับ
ขอกราบโมทนาบุญของคุณ Mead ด้วยเช่นกันครับ
โมทนาสาธุครับ
คุณmead ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจดีงามเสมอมา ครับ คุณก็เสียสละหลายๆอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ อย่างเต็มที่มาตลอดครับ
ขอกราบโมทนาบุญของคุณ Mead ด้วยเช่นกันครับ
เห็นด้วย กับอนุโมทนากับคุณ Mead ด้วย :cool:
ขออนุญาตลง การตอบพีเอ็มของคุณคำแปง เป็นการ ขัดตาทัพชั่วคราวก่อนจะมาลงการปฏิบัติเพิ่มเติมครับ
kumpeang
Re: `สวัสดีครับ
ปลื้มปิติ ได้รับข้อความแล้ว ขอขอบพระคุณพี่มากครับ ผมจะนำไปปฎิบัติแล้วอย่างไรผมติดขัดเหตุตรงไหน จะรบกวนพี่นะครับ
ขออายุ วรรณะ สุขพละ จงมีแด่พี่ครับ
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
คำแปง
ปล. ชื่อพี่ออกเสียงภาษาไทยอย่างไรคับ ด้วยว่ากลัวโทรไปจะออกเสียงชื่อผิดครับ
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kananun
ขออนุญาตตอบคุณคำแปง
ก่อนอื่น ต้องกราบขอโทษเป็นอย่างสูงที่ตอบช้าครับ เนื่องจากเดินทางไปทริปเชียงใหม่เชียงรายครับผม ในทริปผมเพิ่งพูดถึงคุณอยู่พอดี เพราะเห็นหายไปนับจากที่น้ำท่วมทางภาคเหนือ
สำหรับการปฏิบัติที่ขออนุญาตแนะนำเบื้องต้นคือ
1. การทรงศีล หรือพยายามให้ศีลทรงตัว โดยพยายาม ตั้งใจที่จะรักษาศีลให้ได้ ไม่ได้ทั้งห้า ได้ซัก หนึ่งข้อก็ยังดี ไม่ได้ทั้งวัน ให้ได้ชั่วขณะก็ยังดี แต่ขอให้มี"จิตเจตนาที่จะรักษาศีล"ให้ยิ่งขึ้นไปจนเป็นปรกติ
2. ให้วางกำลังใจในความเคารพในพระรัตนไตร ตลอดชีวิต
3.มีความเข้าใจในวิปัสนาญาณ ว่า ชีวิตเราไม่เที่ยง มีความตายเป็นที่สุดทุกคน แต่หากเราตายเมื่อไร เราขอไป สุคติภูมิ มีสวรรค์ พรหม และนิพพานเป็นที่สุด
จากนั้นให้อธิฐานขอพระพุทธเจ้าท่านว่า
"ขอถวายชีวิตบูชาความดีของพระพุทธเจ้า ขอให้บารมีธรรมแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดคุ้มครองรักษากาย วาจา ใจ ของข้าพเจ้าให้ ตั้งมั่น ดำเนินอยู่ใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ได้มีผู้แนะนำในแนวทางที่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้าทุกประการ ด้วยเทอญ"
จากนั้นเริ่มเรียนรู้การฝึก"ลมสบาย" จากกระทู้วิชชาที่ทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ จนกระทั่งปรากฏลมละเอียด และลมหายใจหายไป จับลมสบายนี้ให้เป็นปรกติ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าหลับตาลืมตา ทุกอิริยาบท จนใจเราสงบสบาย
แล้วจึงเริ่ม จับภาพพระพุทธรูป ในใจให้ทรงตัว
ในเบื้องต้นขอแค่นี้ก่อนครับ
มีอะไรโทรมาสอบถามเป็นการส่วนตัวได้ครับ
081-209-9151
ขอกราบโมทนาในความตั้งใจปฏิบัติของคุณคำแปงด้วยครับ
หวังว่าคำตอบนี้จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติของเพื่อนๆอีกหลายท่านด้วยครับ
ในช่วงเวลานี้ เท่าที่ผมได้พบเห็นธรรมมะปฏิบัติของพวกเราหลายๆท่านก็อดที่จะแสดงความยินดีด้วยไม่ได้ เนื่องจาก
หลายคนได้ก้าวหน้าในธรรมอย่างก้าวกระโดด
มีเพื่อนท่านหนึ่งที่ผมได้พบกับเขาครั้งแรกก็มีความรู้สึกว่า เขาเองเต็มไปด้วยความสงสัยในการปฏิบัติและการค้นหาแนวทางธรรมของตัวเขาเองอยู่มาก จนกระทั่งเขาได้ตัดสินใจอธิฐานขอให้ได้พบครูบาอาจารย์ผู้แนะนำตัวเขาเองได้ และแล้วเขาก็ได้พบท่านผู้นั้นจริงๆ
ณ. วันนี้ที่ผมไปเดินทางไปทริปร่วมกับเขา เขาได้เปลี่ยนไปในทางธรรมมากๆ ทุกครั้งที่ว่างแค่หย่อนตัวนั่ง เขาจะเข้าสมาธิทันที สามารถนั่งสมาธิได้นานมากๆเป็นชั่วโมงๆ ตอนนอนก็เข้าฌานอีก เห็นได้จากการที่ได้นอนติดๆกันในห้องพระ เพื่อนๆโดนยุงหามกันหมด มีเพื่อนท่านนี้ที่ยุงไม่กินอยู่คนเดียว นอนนิ่งในท่าเดียว ไม่ดิ้นไม่ขยับ ถ้าเอาเกณฑ์ที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ ว่ายุงไม่กัดผู้ที่เข้าฌานสามละเอียดขึ้นไป ผมดูจากปฏิปทาและอารมณ์ใจแล้ว เพื่อนท่านนี้น่าจะเกินไปถึงกว่านั้นเพราะลมหายใจหายไป เหลือเพียงลมละเอียดเท่านั้น มิหนำซำ คำพูดคำจา ที่เพื่อนท่านนี้ได้กล่าวออกมา ล้วนเป็นอรรถเป็นธรรม ที่เข้าถึงจิตตรงอารมณ์ใจของผู้สนทนาอย่างน่าแปลกใจ
ก็ต้องขอกราบโมทนาในความมุ่งมั่นในการปฏิบัติและผลที่ได้รับจากการปฏิบัติของเพื่อนผู้นี้ด้วยครับ และขอให้พวกเราได้ดูเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติว่า แม้เบื้องต้น เราอาจไม่มีความรู้ทางธรรมเท่าไรนัก แต่ความวิริยะตั้งใจจริงในความพยายามเข้าถึงซึ่งความดีสามารถที่จะทำให้การปฏิบัติธรรมก้าวรุดหน้า อย่างน่าอัศจรรย์ใจได้ เราก็ขอให้อย่าได้ดูถูกตนเองว่าเอาดีไม่ได้ และขณะเดียวกันก็จงอย่าได้ อยากได้ อยากเป็น อยากบรรลุ กันจนเกินไป
สำหรับอารมณ์ใจที่อ.ของเพื่อนท่านนี้ได้แนะนำการปฏิบัติไว้ก็คือ
-อย่าได้ลืมลมหายใจ
-ทรงภาพพระไว้ควบในความรู้สึกในลมหายใจไว้ตลอดเวลา
-แผ่เมตตาพรหมวิหารสี่แก่ทุกดวงจิต ตลอดเวลาทุกก้าวย่าง ให้จิตเหล่านั้นไปจุติสู่สุคติภูมิ
-ก่อนนอน จงนอนท่าสีหไสยาศน์สักครู่ก่อนขยับกายนอนเป็นปรกติ
ข้อไหนที่กำลังใจของเราทำได้ก็จงทรงไว้ให้ได้ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกลมหายใจ ไม่ช้าจิตจะทรงตัวอยู่ในความดีนี้ ที่สำคัญรักษาใจเราให้สบาย อย่าเครียดหรือตึงไป ให้รู้จักผ่อนอารมณ์ ใจให้เบาสบาย เพื่อให้ปรากฏความเป็นทิพย์ของจิต
ขอกราบโมทนาบุญในกุศลของทั้งอาจารย์ผู้แนะนำให้เข้าสู่ความดี และเพื่อนผู้ได้เข้าถึงซึ่งความดีในการปฏิบัติ รวมทั้งผู้ที่เล็งเห็นถึงผลและได้ปฏิบัติในธรรมเสมอมา ขอให้ทุกๆท่านเจริญรุ่งเรืองในธรรม เป็นกำลังของพระบวรพุทธศาสนาสืบต่อไปด้วยเทอญ......
ไม่ว่าเราจะทำอะไร....ความตั้งใจอย่างแท้จริง เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะ... "สัจจะ" คือ หัวใจของการปฏิบัติทั้งปวง !!!!
"สัจจะ" เป็นทางตรงที่สุด...ที่จะทำความดี
อย่า...หลงสิ่งอื่นอยู่เลย....จะเสียเวลาปฏิบัติ
จะถือ ศีล ....ถ้าไม่มี "สัจจะ" ก็ไม่สำเร้จ !!!
" หลักสัจจะธรรม" จึงเป็นหลักเดียวที่ยิ่งใหญ่...คือ ธรรมเที่ยง
"สัจจะ" จึงเป็น ผู้นำเที่ยง...ให้กับตัวเราเอง
กรรม ที่เกิดขึ้น จึงเป็น "กรรมเที่ยง"
- " หนุมาน ผู้นำสาร "
สาธุๆ
ศีลสำคัญที่สุดเน้อ ศีลไม่มีเอาชีวิตไม่รอดแน่ๆ
ถูกต้องที่สุดแล้วครับ "ศีล"เป็นพื้นฐานของใจที่สำคัญที่สุดที่ไม่อาจละเลยได้ ต้องทรงศีลให้เป็นปกติของใจ
ไล่ความละเอียดของศีลขึ้นไปนับแต่
-ไม่มีศีลครบทั้งห้าข้อ ขอให้ได้สัจจะรักษาไว้ให้ได้สักข้อก็ยังดี ขอให้ตั้งใจที่จะรักษาศีล ทรงศีลไว้
-รักษาศีลไม่ได้ในทุกเวลาทั้งวัน ขอให้กำหนดรักษาให้ได้ในช่วงกาลหนึ่งเวลาหนึ่งก็ยังดี
-รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ตลอด แต่ พยายามสำรวมระวังให้ศีลบริสุทธิ์สะอาดยิ่งขึ้น ไม่เลิกกลางครันก็ยังดี
เหล่านี้เป็นเบื้องต้นแห่งการรักษาศีล เพราะกำลังใจคนเราไม่เท่ากัน
สิ่งสำคัญอยู่ที่ "เจตนาการตั้งใจที่จะรักษาศีล เจตนาที่จะ ละ เลิก การเบียดเบียน ผู้อื่นและตนเอง เป็นสำคัญ"
เมื่อรักษาศีลได้ ผ่านมาในตอนต้น เราต้องระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราให้ รักษาศีล ไม่ละเมิดศีล แต่ไม่ช้า ศีลจะรักษาตัวเรา ใจเรา ไม่ให้ทำชั่วเอง พอขยับใจแค่คิดก็จะมีตัวสติมาเตือนเอง โดยอัตโนมัติไม่ให้ละเมิดศีล จึงได้ชื่อว่า "ศีลรักษาเรา"
ส่วนระดับขั้นความละเอียดของศีลก็ตามที่หลวงพ่อท่านได้สอนไว้ว่า
-ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง
-ไม่ใช้ ไหว้วานให้ผู้อื่นล่วงละเมิดศีล
-ไม่ยินดี เมื่อมีผู้อื่นล่วงละเมิดศีล
ถ้าจะกำกับให้ ศีลทรงตัวก็ควรควบกรรมบทสิบไว้ด้วย
ส่วนการทรงพรหมวิหารสี่เป็นปกติของใจไว้เสมอ ย่อมเป็นเครื่องเลี้ยงศีลให้เจริญงอกงาม ด้วยเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจเราให้เมตตา รักเอ็นดู ในหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ปรารถนาให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์ เราจึงไม่อยากเบียดเบียนเขาด้วยทั้งกาย วาจา ใจ เหตุนี้ การรักษาศีล จึงมีสุคติภูมิมีสวรรค์เป็นที่ไป ส่วนการทรงพรหมวิหารสี่ จึงมีสุคติภูมิมีพรหมเป็นที่ไปฉะนี้
ส่วนศีลของโลกียชน ยังไม่ทรงตัวมีขึ้นมีลง เป็นธรรมดา
ส่วนศีลโลกุตรของพระอริยเจ้านับแต่พระโสดาบันขึ้นไปนั้นจะทรงตัวเป็นปกติ และมีความละเอียดถี่ถ้วนในศีลสูงกว่าปุถุชนคนธรรมดาเป็นอย่างมาก
ขอให้ทุกท่านเข้าเขตความดีของ ศีลทุกคนทุกท่านให้เป็นปกติของใจ ทุกวัน ทุกเวลา ด้วยเทอญ....
เข้าสู่การปฏิบัติกันต่อเลยครับ ติดหนี้ท่านทั้งหลายมานานเลยทีเดียว
ความก้าวหน้าในธรรมนั้น ท่านผู้ปฏิบัติ พึงต้องพิจารณา ใคร่ครวญในข้อธรรมการปฏิบัติที่เรียกว่า "ธรรมมะวิจะยะ" ว่า
-ธรรมใดที่ทำให้เจริญ (จากความดี จากกุศล จากฌาน จากญาณทัศนะ จากคุณธรรม) ธรรมข้อนั้นพึงทำให้เจิญยิ่งขึ้นไป
-ธรรมใดที่ทำให้เสื่อม (จากความดี จากกุศล จากฌาน จากญาณทัศนะ จากคุณธรรม ) ธรรมข้อนั้น พึงละ พึงเว้น พึงหลีกเลี่ยง
-ข้อปฏิบัติ ปฏิปทาใดทำให้เจริญ( ในการทำความดี ในการการสร้างกุศล ในสามัคคีธรรม ในการทำฌาน ในการก่อให้เกิดญาณทัศนะ ในความสิ้นอาสวะ ในการสร้างบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ) พึงปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป
- ข้อปฏิบัติ ปฏิปทา ใดที่ทำให้เสื่อม ( ในการทำความดี ในการสร้างกุศล ในสามัคคีธรรม ในการทำฌาน ในการก่อให้เกิดญาณทัศนะ ในความสิ้นอาสวะ ในการสร้างบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ) ปฏิปทานั้น พึงละ พึงเว้น พึงหลีกเลี่ยง
-ค่อยๆขัดเกลา กิเลส เครื่องเศร้าหมอง ออกไปจากจิตใจทีละน้อย ทีละน้อย จนปรากฏ ดวงจิตที่ประภัสสร พึงติโทษโจษตนเองไว้เสมอ สิ่งใดที่ทำให้ใจเราบริสุทธ์ขึ้นได้ก็พึงทำ เมื่อใดที่เราหยุดโจษโทษตัวเองก็เหมือนเราหยุดทำความบริสุทธ์ของใจให้ปรากฏ ปล่อยให้กิเลสเครื่องเศร้าหมองให้มาจับมาเกาะพอกพูนเข้าไปอีก เรามีใจเป็นแก้วแล้วก็ควร หมั่นเช็ดถู ดูแลใจเราให้สะอาด สว่าง แพรวพราว
- อย่าได้ไปสนจริยาของผู้อื่น ว่า เขาจะดี จะเลวอย่างไร ความดีความเลวของเขา ไม่ได้ทำให้เราพ้นทุกข์ไปได้ ยิ่งเราไปติเตียนผู้อื่นมากเท่าไร ใจเราก็ยิ่งเศร้าหมอง ยิ่งมันปาก มันอารมณ์ แต่ถ้าเราดูใจของเราเองในขณะนั้น เราจะเห็นว่าสีของจิตเราหมองคล้ำด้วยกิเลส
-อย่าได้ไปดูเยี่ยงอย่างผู้อื่นที่เขาทำบาปอกุศล แล้ว มาให้เหตุผลกับตนเองว่า "ทำไมทีผู้อื่นยังทำได้ " "เขาก็ทำอย่างนี้เป็นปรกติ"
ขอยกตัวอย่างว่า ถ้ามีผู้คน เห็นหมามันกินอุจจาระได้ เราจะอ้างว่า เราก็กินได้เช่นกันหรือไม่ ดังนั้นเมื่อกระแสโลกเชี่ยวกรากในบาป อกุศล เราชาวธรรม ไม่จำเป็นที่จะต้อง เลวไปตามกระแส ทางโลก
ถ้าใจเรา"ฝืนกระแส" ว่าทำไมอย่างโน้นอย่างนี้ ใจเราจะเหนื่อย กับการต้าน การทวน กระแสที่เชี่ยวบ่า
การสู้กับกระแสทางโลกที่ดีที่สุด คือ "การอยู่เหนือกระแส " อยู่ในสังคมที่มากด้วยคนหลากหลายทั้งชั่วทั้งดี แต่เราไม่ยอมให้ตัวเราชั่วไปได้ อยู่ในทุกข์โดยไม่ทุกข์
การอยู่ในหมู่ สหธรรมมิกผู้มีคุณธรรมความดี มีความเอื้อเฟื้อในธรรม อยู่ในสามัคคีธรรม ยินดีในความดี ความเจริญในหมู่เพื่อน ย่อมเป็นสิ่งประเสริฐที่จะทำให้ก้าวหน้าในธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป
พวกเราทั้งหลาย การที่ได้มาประสบพบกันแม้จาก หลายที่ หลายแห่ง ต่างวัย ต่างกรรม ต่างวาระ แต่กลับมาได้พานพบกันได้นี้ นับว่าเป็นบุญที่เกื้อหนุนมาให้พบ มาให้ช่วยเหลือ มาให้สงเคราะห์กันในความดี
ขอกราบโมทนาในความดี ความงาม ในการปฏิบัติของทุกท่านด้วย
ขอความเจริญไพบูลย์ในธรรมจงบังเกิดมีแด่ทุกๆท่านด้วยเทอญ.......
ถึงผมกับพ่อ เราจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันนัก แต่ผมยังจำได้และจำไว้ตลอด พ่อสอนผมเสมอว่า " เห็นคนอื่นเค้าทำไม่ดี ก็ดูไว้ รู้แล้วก็อย่าไปทำตามเค้า "
ผมอยากให้พ่อผมเลิกตกปลาจังเลยครับ แต่อะไรมันจะเกิด ก็คงต้องเกิด ถ้าใครได้คิดจากข้อความนี้ แล้วอนุโมทนา ผมขอยกเครดิตให้พ่อผมนะครับ (b-oneeye)
ขอเพิ่มเติมเรื่องของ "ศีล" จากคำชี้แนะของคุณอักขรสัญจรครับ
หากยังไม่อาจรักษาศีลให้บริสุทธิ์สะอาดได้ครบทั้งห้าข้อ ก็ขอจงให้รักษาศีล ให้ได้ สักหนึ่งข้ออย่างเข้มข้น เรียกว่า"การถือศีลปรมัตถ์ " รักษาศีลยิ่งชีวิต ถึงตายก็ไม่ยอมขาดจากศีลข้อนี้ เป็นความดีที่มั่นคง
ศีลข้อที่แนะนำได้แก่ศีลข้อ ห้า เนื่องจากเมื่อขาดจากศีลข้อนี้จะพาลให้ขาดสติสัมปชัญญะจนทำให้ละเมิดศีลได้ทุกข้อตามไปด้วย
และจะยิ่งดี ขึ้นไปอีกหากได้รักษาศีลปรมัตถ์จนครบ บริสุทธิ์ ทั้งห้าข้อ สามระดับความละเอียด ควบกรรมบทสิบ ด้วยกำลังใจสูงสุดรักษาศีลยิ่งชีวิต
หากแม้ท่านผู้ใด เริ่มคิด เริ่มระลึกว่าจะเริ่มรักษาศีลก็ดี ตั้งสัจจะในศีลปรมัตถ์ก็ดี รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ได้ก็ดี รักษาศีลห้าละเอียดได้ทุกระดับก็ดี ควบกรรมบทก็ดี ผมขอกราบโมทนาในความดี ในเจตนาในการรักษาศีลของทุกๆท่านด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะศีลเป็นพื้นฐานในการละความชั่ว เพื่อการก้าวไปสู่ความดีครับ
ขอให้ความเจริญงอกงามในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านด้วยเทอญ....
ตอนนี้พระท่านได้สั่งลงมาว่า ให้ผม รวบรวม การแนะนำในการปฏิบัติในส่วนของกระทู้นี้ไว้ ให้สมบูรณ์เพื่อให้เสร็จงานในส่วนนี้ที่ท่านได้มอบหมายมา เพื่อการทำงานในภาระกิจอื่นต่อๆไป
หากแต่การปฏิบัตินั้น เป็นงาน เป็นสิ่งที่เราต้องทำต้องบำเพ็ญไปตลอดชีวิต ตราบเท่า เสร็จกิจ เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อมีกายอยู่ เราต้องกินข้าว อาบน้ำ ยังต้องหายใจฉันใด เราก็ต้องประพฤติธรรม ทุกวัน ทุกเวลาทุกลมหายใจ ฉันนั้น
ตอนนี้พระท่านได้สั่งลงมาว่า ให้ผม รวบรวม การแนะนำในการปฏิบัติในส่วนของกระทู้นี้ไว้ ให้สมบูรณ์เพื่อให้เสร็จงานในส่วนนี้ที่ท่านได้มอบหมายมา เพื่อการทำงานในภาระกิจอื่นต่อๆไป
หากแต่การปฏิบัตินั้น เป็นงาน เป็นสิ่งที่เราต้องทำต้องบำเพ็ญไปตลอดชีวิต ตราบเท่า เสร็จกิจ เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อมีกายอยู่ เราต้องกินข้าว อาบน้ำ ยังต้องหายใจฉันใด เราก็ต้องประพฤติธรรม ทุกวัน ทุกเวลาทุกลมหายใจ ฉันนั้น
เยี่ยมเลยครับ รวมเล่มจะได้อ่านได้ง่ายๆหน่อย (verygood)
เรื่องที่พระท่านฝากมาบอก แต่ผมยังติดค้างทุกๆท่านอยู่ มีดังนี้
-เมื่อได้ อธิฐาน" รักษาศีลปรมัตถ์ ไว้ยิ่งชีวิต" ได้ข้อหนึ่งแล้ว กำลังใจจะเต็ม(ศีลบารมี) จะดึงให้ศีลข้ออื่นๆอีกสี่ข้อพลอยเต็มสมบูรณ์ไปด้วย
เพราะแต่เดิม ถือ ศีล รักษาศีล เหยาะๆแหยะๆ พอได้ทำอารมณ์ใจ ที่รักษาศีลยิ่งชีวิตได้ซักข้อก็จะทำให้ การรักษาศีลข้ออื่นๆง่ายตามไปด้วย
พอเพิ่มศีล ปรมัตถ์อีกข้อก็ดึงใจให้รักษาศีลข้ออื่นๆต่อจน บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ครบทั้งห้าข้อ ในแบบปรมัตถ์
-การนอนสีหไสยาสน์ นั้น ไม่เพียงต้องกำหนดกาย กำหนดอิริยาบท เพื่อการนอนอย่างมีสติเท่านั้น
ให้พิจารณาต่อไปว่า การนอนในท่าสีหไสยาสน์นั้น พระพุทธองค์ท่านทรงได้ประทับท่านี้บรรทม ตลอดกาล ของท่าน อีกทั้งแม้เมื่อพระองค์ได้ทรงปรินิพพาน ก็ทรงเสด็จสู่พระนิพพานในอิริยาบทนี้ ดังนั้นเมื่อเราทำตอนนอน ก็ขอให้ระลึกถึงความตาย หรือ มรณานุสติเป็นอารมณ์ ว่า หากแม้นเราเอนกายนอนอยู่นี้ แล้วตายลง เราขอตามเสด็จ พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานด้วย เทอญ
หากกำหนดการพิจารณาได้ดังนี้ ก็จะได้อานิสงค์ในการปฏิบัติ
...นอนอย่างมีสติ
...เจริญมรณานุสติ
...เจริญพุทธานุสติ
...เจริญอุปมานุสติ(อารมณ์นิพพาน)
ดังนั้นก่อนนอน ก็จงนอนท่าสีหไสยาสน์ตามคำแนะนำของพี่คลิกสักครู่และพิจารณาตามอารมณ์ข้างต้น จากนั้นก็สลับมานอในอิริยาบทที่สะบายแล้วจับลมสะบายภาวนาไปจนหลับ
ส่วนสำคัญที่พระท่านได้ให้ผมสรุปรวม รวบยอดก็คือ
การเข้าถึงอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังในแนวปฏิบัติ ของ
การเข้าถึงอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังของการพิจารณา (สุขวิปัสโก)
การเข้าถึงอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังของ อภิญญา (เตวิชโชและฉฬภิญโญ)
การเข้าถึงอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังของสมาบัติแปด (ปฏิสัมภิทาญาณ)
การทรงอารมณ์พระนิพพานของพระโพธิสัตว์
ทั้งหมดนี้เมื่อถึงแล้วมีอารมณ์ใจเสมอกัน แต่อารมณ์นิพพานของพระโพธิสัตว์จะมีความเข้มข้น มุ่งมั่น ในพระนิพพาน หย่อนกว่าพระอริยเจ้า อยู่บ้าง แต่จะเข้มข้นอย่างมากในพรหมวิหารสี่
วิธีการทั้งหมด แตกต่างกัน ตามวิสัย ตามการอธิฐานของแต่ละบุคคล แต่ที่สุดแล้วโดยปรมัตถ์ ย่อมถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกัน ทั้งสิ้น แตกต่างกันที่ เร็วช้า คุณธรรมวิเศษ และประโยชน์ต่อหมู่สรรพสัตว์ที่ต่างกันออกไป ดังนั้น ไม่ว่าการปรารถนาสิ่งใด ล้วนดีทั้งหมด เกิดคุณประโยชน์ต่อตนเอง และต่อส่วนรวมทั้งหมดเช่นกัน
ดังนั้นขอให้ชาวธรรมทั้งหลายจงได้มีความเข้าใจและกราบโมทนาในความดี ในการปฏิบัติของผู้อื่นที่อยู่ในแนวทางสัมมาทิษฐิ
จงอย่าได้ ถือว่าอย่างนั้นถูก อย่างนี้ผิด ต้องอย่างนั้นฝึกตามแบบตนจึงถูก คนอื่นปฏิบัติผิดหมด สิ่งเหล่านี้ขออย่าได้มีในใจเรา เพราะจะเป็นเครื่องบั่นทอนการบรรลุธรรมของตนเองให้ ช้าลงไป
การเข้าถึงอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังของการพิจารณานั้น
ก่อนอื่นเราจับลมหายใจสบาย นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และต้องระลึกถึง ศีล ก่อนเป็นอันดับแรก ใคร่ครวญในศีล ในความบริสุทธิ์ของศีล ลำดับความละเอียดในศีล
จากนั้น พิจารณาในพรหมวิหารสี่ โดยใคร่ครวญว่า เราเป็นผู้ปรารถนาดี ต่อทุกสรรพชชีวิต ไม่เป็นศัตรูของผู้ใด เพราะทุกคนก็ล้วนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมด เราปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พ้นจากความทุกข์ อยากให้เขาได้ถึงซึ่งพระนิพพาน
จากนั้นพิจารณาสังขารร่างกาย ให้เห็นทุกข์ ในการเกิด ความแก่ชรา ความเจ็บป่วยและความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวง
พิจารณา กายในความเป็น ธาตุ
พิจารณากายในอาการ สามสิบสอง
พิจารณากายในอสุภ ความเป็นซากศพ
พิจารณากายในความเป็น รังของโรค
พิจารณากายในความเป็น สิ่งปฏิกูล ในทุกส่วน ทุกทวาร
เพื่อให้จิตคลายตัวเกิดความเบื่อหน่าย เห็นจริงในกองสังขาร ร่างกายว่าเป็นทุกข์ไม่เที่ยง มีความเสื่อม และสลายตัวไปในที่สุด
พอเกิดความเบื่อหน่าย นิพพิทาญาณในร่างกายแล้ว
จากนั้นพิจารณาต่อไปว่า พอตายแล้ว ก็ต้องเกิดอีก ตายอีก เกิดอีก ตายอีก ไม่มีที่สิ้นสุด หากเกิดมาเท่าเดิมก็ทุกข์อีก ถ้าอกุศลส่งผลไปเกิด ที่เลวกว่านี้มี ทุกคติภูมิมีนรกเป็นต้น จะยิ่งทุกข์เข้าไปมากกว่านี้อีกแค่ไหน แล้วกว่าจะได้มาพบพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาอีกเล่า หาก พลาดไป ไม่พบ ก็ยิ่งจมดิ่งสู่ความเป็นมิจฉาทิษฐิยิ่งเข้าไปอีก จนหาจุดจบไม่ได้
จนใจกลัว การเกิด เห็นโทษภัยในวัฏฏะสงสาร และใจเริ่มต้องการพระนิพพาน เพื่อการไม่เกิดอีก
ขอบอกไว้ตรงนี้ว่า"ความรัก ความต้องการในพระนิพพานนั้น ที่จริงไม่ใช่ เพราะความเป็นวิมานบนพระนิพพาน แต่ความรักในพระนิพพาน เพราะไม่ต้องการ เกิดอีก ต่างหาก"
เมื่อใจน้อมได้ดังนี้แล้ว ก็ทำกำลังใจว่า "พระนิพพานจะมีสภาวะ มีสภาพเป็นประการใดนั้นไม่สำคัญสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือความไม่เกิดอีก ดังนั้น องค์พระพุทธศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า และหมู่พระอรหันต์ ท่านได้ เสด็จเข้าสู่พระนิพพานด้วยสภาวะใด ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระนิพพานด้วยเช่นนั้นด้วยเทอญ"
ใจของเราจะมีอารมณ์ใจที่
เบื่อร่างกาย
ไม่อยากเกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ พรหม อรูปพรหม
มีความมั่นคงและเชื่อมั่นในพระรัตนไตร
สิ้นสงสัยในการปฏิบัติว่ามีผลหรือไม่
เห็นธรรมดาในทุกๆ สรรพสิ่ง
ทำทุกสิ่งเพื่อความดี เพื่อถึงซึ่งพระนิพพาน เพราะ
จิตต้องการจุดเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น
อารมณ์นี้เป็นอารมณ์ของพระนิพพานโดยอาศัย การพิจารณา ผู้ปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา หรือมโนมยิทธิ ก็เข้าถึงอารมณ์นี้ได้ เมื่อบรรลุแล้วไม่มีความสามารถพิเศษทางด้านอภิญญา นอกจากการตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาร
การพิจารณาต้องเจริญใคร่ครวญอย่างละเอียด หลายข้อ ทวนไปมา อนุโลม ปฏิโลม ต้องใช้เวลาบ้าง
แต่หากเข้าใจหัวใจและวัตตถุประสงค์ในแต่ละขั้นตอนก็จะเร็วขึ้น
-พิจารณาพระพุทธเมตตาคุณของพระพุทธเจ้า เพื่อตัดสงสัยในคำสอน ถ้าสงสัยก็จะติดอยู่
-พิจารณาในกาย ในสังขาร เพื่อความเบื่อหน่ายในร่างกายสังขารของเราและของผู้อื่น
ถ้ายังไม่เกิดนิพพิทาญาณก็จะติดอยู่
-พิจารณาในภัยในสังสารวัฏฏ์ เพื่อความไม่อยากเกิด เบื่อเกิด
ถ้ายังไม่เบื่อเกิด ก็จะติดอยู่
-พิจารณาให้เห็นพระคุณแห่งพระพุทธเจ้าและพระนิพพาน เพื่อความรักในพระนิพพาน ความพอใจในพระนิพพาน และ ความต้องการในพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องการทั้งสิ้น
หากยังไม่เข้าใจก็ติดอยู่
ทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายอย่างย่อลัด การปฏิบัติต้องบำเพ็ญตามวิสัยที่เหมาะสมของตนเอง
ขอความก้าวหน้าในธรรมความดี ตลอดจน การเข้าถึงซึ่งพระนิพพานจงมีแด่ทุกๆท่าน ผู้ใฝ่ใจในธรรม และการปฏิบัติด้วยเทอญ
ขอกราบโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ในธรรมที่ได้ปฏิบัติดีด้วยกาย วาจา ใจ ทุกอย่างทุกประการด้วย เทอญ.........สาธุ
การเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานด้วยกำลังของอภิญญา
ก่อนอื่นเราจับลมหายใจสบาย นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และต้องระลึกถึง ศีล ก่อนเป็นอันดับแรก ใคร่ครวญในศีล ในความบริสุทธิ์ของศีล ลำดับความละเอียดในศีล
จากนั้น พิจารณาในพรหมวิหารสี่ โดยใคร่ครวญว่า เราเป็นผู้ปรารถนาดี ต่อทุกสรรพชชีวิต ไม่เป็นศัตรูของผู้ใด เพราะทุกคนก็ล้วนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมด เราปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พ้นจากความทุกข์ อยากให้เขาได้ถึงซึ่งพระนิพพาน
จากนั้นพิจารณาสังขารร่างกาย ให้เห็นทุกข์ ในการเกิด ความแก่ชรา ความเจ็บป่วยและความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวง
พิจารณา กายในความเป็น ธาตุ
พิจารณากายในอาการ สามสิบสอง
พิจารณากายในอสุภ ความเป็นซากศพ
พิจารณากายในความเป็น รังของโรค
พิจารณากายในความเป็น สิ่งปฏิกูล ในทุกส่วน ทุกทวาร
เพื่อให้จิตคลายตัวเกิดความเบื่อหน่าย เห็นจริงในกองสังขาร ร่างกายว่าเป็นทุกข์ไม่เที่ยง มีความเสื่อม และสลายตัวไปในที่สุด
พอเกิดความเบื่อหน่าย นิพพิทาญาณในร่างกายแล้ว
จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า ด้วยกำลังของมโนมยิทธิ
ให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
เปิดโลกธาตุให้เห็นในภพภูมิต่างๆทั้ง สามภพ ใช้ความเป็นทิพย์ของจิต เข้าไปพิจารณา ดูให้เห็น ความเบื่อหน่ายในการเกิด
ไล่ตั้งแต่ภพภูมิที่ต่ำที่สุด นับแต่โลกันตะนรก พิจารณาดูด้วยอตีตังสญาณว่า
-ว่าเคยเกิดที่นี่แล้วมาในกาลก่อนหรือไม่
-หลุดขึ้นไปจากการเสวยทุกข์นี้ได้อย่างไร
-ใช้เวลานานแค่ไหน
-ให้กลับมาเกิดที่นี่อีกเอาไหม
จากนั้นให้พิจารณาไล่ภพภูมิโดยละเอียด เช่นนี้ขึ้นไปเป็น
อเวจีมหานรก
มหานรกขุมต่างๆ
นรกขุมรอง
ไล่ขึ้นไปเป็นภพของเปรต
อสุรกาย
สัตว์เดรัจฉาน
จนถึงภพแห่งมนุษย์ ที่เป็น
คนพิการ
คนเข็ญใจ
คนขี้โรค
คนธรรมดา
คหบดี
เศรษฐี
กษัตริย์
พระเจ้าจักพรรดิ์
พิจารณาดูว่า ทุกชาติที่เกิดเป็นทุกข์ ทั้งสิ้น ล้วนแต่พลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งหลายทั้งปวง
จากนั้นพิจารณาขึ้นสู่ความเป็น
เทวดา
ไล่จาก
ภุมเทวดา
รุกขเทวดา
อากาศเทวดา
พรหม
อรูปพรหม
พิจารณาดูว่าถึงเป็นสุข ก็สุขแค่ชั่วคราว แต่ก็ยังไม่เที่ยง ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จัก หมด จากสิ้น ตามพลัดพรากจากทิพยสมบัติก็ต้องไปเสวยทุกข์แสนสาหัส หากพลัดลงสู่นรกอันเต็มไปด้วยทุกข์กว่าจะกลับขึ้นมา ก็ยาก แสนยาก
พิจารณาในความเป็นไปในภพภูมิต่างๆด้วยความเป็นทิพย์ของจิต จนจิตของเราเห็นโทษในสังสารวัฏฏ์ได้อย่างชัดเจน กระจ่างแก่ใจของเรา จนใจของเราเกิดความเบื่อหน่ายใน การเกิดอย่างที่สุด การเกิดแม้เพียงชาติเดียว แม้เกิดเป็นพระจักรพรรดิราชก็ไม่เป็นที่ต้องการของเรา จุดเดียวที่เราต้องการก็คือพระนิพพาน เท่านั้น
จากนั้นยกจิตของเราขึ้นสู่พระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิฐานจิต ตั้งมั่นไว้บนพระนิพพานเป็นอารมณ์
"ขอบารมีแห่งพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดแผ่ ฉัพพรรณรังสี คลุมกาย คลุมจิตของเราให้สะอาด สว่าง สงบเย็นเช่นเดียวกับ อารมณ์ใจของพระพุทธองค์ท่านด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
จากนั้นกำหนดความเป็นทิพย์ของจิตซึมซับอารมณ์ใจที่เราสัมผัสได้นี้เข้าให้เต็มล้นดวงใจของเรา อธิฐานย้ำว่า
"ขอให้ ข้าพเจ้า สามารถเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานนี้ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการ หากแม้นเราได้ละจากร่างกายนี้แล้ว จุดเดียวที่เราต้องการก็คือพระนิพพาน เป็นที่สุด ขอพระพุทธองค์ได้โปรด คุมกาย วาจา ใจของเรา ในทุกวัน ทุกเวลา ทุกลมหายใจ ให้มุ่งลัดตัดตรงสู่พระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"
ขอกราบโมทนาในบุญของทุกๆท่านที่ทำได้ และได้ทำความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนา ด้วยการทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ทุกลมหายใจ เข้าออก ด้วยเทอญ ....สาธุ.......
ขอโมทนาครับ ทุกๆคนโดยเฉพาะพี่kananun ผมเเละคนทั่วไปได้ประโยชน์จากธรรมทานไม่มากก็น้อย ผมเองสู้บากบั่นเเม้ผมเองมีความไม่ดีมาก รักนิวรณ์๕เปีนพิเศษ ตัวอย่างความเขลาของผม ผมไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง กับอจ. ไก่ มาหลายครั้ง ทุกครั้งไม่ระวังตัวจนเกิดอยากได้มากจนเกินไปจน จิตไม่มีความสบายใจท้อแท้มัวหมองเป็นอันมาก ผมก็ยังยืนยันคิดว่าดีว่าถูกจนวันหนึ่งห็นว่ามันให้แต่โทษ กว่าจะรู้ก็เกินคร่งปี
แต่ยังไงก็สู้ครับครับเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนสู้ครับ ปฎิบัติมาตอนนอนบ้างครั้งคล้ายว่ามีเราอยู่ในร่างครับตื่นในการนอนครั้งคราว ปัญหาเห็นภาพพระท่านไม่ค่อยแจ่มใสเท่าใด อาจจะเขียนไม่ค่อยดีตอนเขียนผมไม่ค่อยสบายมากครับ
ได้ไปกราบหลวงพี่อนันต์ ท่านได้เมตตาเล่าถึงการปฏิบัติในอารมณ์พระนิพพาน ท่านได้ เมตตาสอนว่า ถ้าใจเรารักเรามั่นคงในพระนิพพานเพียงจุดเดียว พระนิพพานติดอยู่ที่ปาก ที่ใจของเราแล้ว เราย่อมไม่คลาดจากพระนิพพาน นั่นเป็นอารมณ์ของพระอริยเจ้า
มาวันนี้ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับคุณ Jamrus ที่โทรทางไกลมาจากอังกฤษ เรื่องการปฏิบัติ และเรื่องภัยพิบัติ พอได้ยิน ว่าสิ่งที่ทางคุณJamrus กลัวมากที่สุด คืออะไร
คำตอบก็คือ "กลัวการเกิด "
ก็รู้สึกยินดีและโมทนากับคุณJamrus ด้วยเป็นอย่างที่สุด เนื่องจากเป็นการวางอารมณ์ใจไว้ถูกแล้วดี แล้ว เพียงแค่สั้นๆ แต่กินความหมายในการปฏิบัติได้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อกลัวการเกิด ก็ย่อมไม่อยากเกิดอีก เมื่อไม่อยากเกิดอีก ก็ดับอวิชชา เห็นแจ้งในทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร
เกิดความเบื่อหน่ายอันเป็นนิพพิทาญาณในการเกิด จิตจับอยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นอารมณ์
การรอดทางกายนั้น ยังไม่แน่เสมอไป ว่า รอดจากความตายครั้งนี้ เราจะไม่ตายเลย ก็หาไม่ได้ เพราะในที่สุดเราทุกๆคนก็ต้องตายอยู่ดี แต่ถ้าตายแล้วเราไปพระนิพพาน นั้นเป็นดีที่สุด ถือว่าเรารอดอย่างถาวร ไม่ต้องมาเกิด ไม่ต้องมาทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ดังนั้น การกลัวเกิด ก็คือใจที่มุ่งลัดตัดตรงสู่พระนิพพานนั่นเอง
ขอกราบโมทนาบุญกับกำลังใจของคุณ Jamrus ด้วย เป็นที่สุดครับ
ขอฝากข้อความและภาพเพื่อเผยแพร่ที่กระทู้นี้นะครับ
ภาพนี้สามารถพิมพ์ออกไปใช้ประโยชน์ได้นะครับ
ตรงกลางภาพให้หาปิรามิด มาวางไว้
แล้วตั้งจิตให้สงบนิ่ง ขอบารมี คุรุพุทธะแห่งจักรวาล
ส่งพลังอันบริสุทธิ์ เป็นลำแสงสีขาวสว่างไสว
ลงมาที่ผืนผ้ายันต์และปิรามิด
จากนั้นใช้มือสองข้าง กอบเอาพลังจากยันต์และปิรามิด
เข้ามาในศีรษะ ในตัวของเรา พร้อมสูดหายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ
สัก 5 ครั้ง.... แล้วหงายฝ่ามือทั้งสอง รับพลังจาก
เบื้องบนที่แผ่ลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ต่อจากนั้น.. ให้นำฝ่ามือทั้งสอง วางในท่าประนมมือ
แต่ไม่ต้องให้มือติดกัน... ให้แยกฝ่ามือเข้า-ออก ช้าๆ
สักพักจะรู้สึกถึงอำนาจพลังดึงดูดที่ฝ่ามือ
พลังที่เกิดขึ้นนี้ สามารถ นำไปรักษาโรคภัยในตัวของเราและผู้อื่นได้ครับ ลองดูนะครับ
ภาพนี้ ผมได้รับเป็นต้นฉบับ เขียนลงผ้า ของทิเบต
มีพลังดีมาก..ได้ทดลองมาแล้วครับ
คุณคณานันท์ ก็ได้แนะนำการฝึกสมาธิ เมื่อ 25/2/50
ที่เกาะลอย สวนลุมพินี
แบบให้ กำหนดรู้ และจดจำลมสบาย
เมื่อถึงคราวคับขัน ไม่ต้องมานั่งกำหนดกันเป็นชั่วโมงๆ
ทำถึงจุดนี้ได้ ทุกอย่างก็จะไปได้อย่างรวดเร็ว ใช้ได้ทันการ
เริ่มต้นจากการหายใจเข้าช้าๆให้ลึกเต็มเข้าไปในปอด
กำหนดในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตลอดเวลา
เมื่อสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ให้กลั้นไว้สักพัก
แล้วจึงผ่อนลมหายใจออก ใจยังคงกำหนด พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ตลอด เป็นการไล่ลมหยาบให้ออกไป จนเหลือแต่ลมละเอียด
ทำไปประมาณ 3- 5 นาที นั่งในท่าไหนก็ได้ตามสบาย
จะหลับตา หรือลืมตาก็ได้ แต่ผมว่าหลับตาจะดีกว่า
เพราะไม่มีอะไรมาวอกแวกให้ตา เห็นได้
จากนั้น ให้หายใจเป็นธรรมชาติ ตามปกติ
ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา ช้าลง ๆ จิตเริ่มสงบ
ช่วงนี้ไม่ต้องกำหนดคำภาวนาในใจ
ให้ตามรู้ลมหายใจ ไปเรื่อยๆ......
จนความรู้สึกหายใจ หายไป เหลือไว้แต่ความนิ่งสงบ
สบาย สงัดจากสิ่งกระทบภายนอก
บรรยากาศ บริเวณนั้น อบอวลไปด้วยพลังของต้นไม้ใหญ่
และพลังของผู้ที่มาฝึกลมปราณ..ไท้เก๊ก..
พลังเหล่านี้ จะเข้ามาซึมซับ ซึมสิง อยู่ในตัวเรา
นับว่าได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
สักพักใหญ่ คุณคณานันท์ ก็จะพูดนำ ให้พวกเรา
ถอนออกจากสมาธิ โดย หายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ
3 ครั้ง
ต่อไป ก็เป็นการเปิดจักระทั้ง 7
ทุกคนที่ไป จะได้รับการเปิดจักระ โดยคุณคณานันท์
และสามารถสัมผัสรู้ได้
แล้วก็มาถึงช่วง ขออำนาจแห่งคุณพระพุทธเจ้า
ประจุพลังศักดิ์สิทธิ์ลงในวัตถุมงคลที่วางอยู่บนฝ่ามือ
ทุกคนนึกอธิษฐาน อาราธนาตามคุณคณานันท์
เป็นที่สัมฤทธิ์ผลได้ทุกคนครับ ขอยืนยัน
สุดท้าย ก็จะเป็นการแผ่เมตตา ให้ครอบคลุม
จากจุดใกล้ตัว ขยายออกไป จนครอบคลุมอนันตจักรวาล
ขอกราบโมทนากับคุณคณานันท์ ที่เมตตาสอนแนะนำ
พวกเราที่ไปในครั้งนี้..
สำหรับผมก็ได้เติมเต็มในส่วนที่ยังขาดหายไปอยู่
ได้ตามเจตนาที่มุ่งหวัง
สาธุๆๆ
ผมก็ทำตามวิธีนี้ จิตเป็นสมาธิเร็วและออกจากสมาธิได้คล่องแคล้ว แต่ยังไม่รู้วิธีเปิดจักระทั้ง 7 ไว้เจอคุณคณานันท์ ต้องขอคำแนะนำ
ได้เสมอครับคุณพี่มารีน
และขอขอบคุณ ภาพของพี่เม้าและวิชชาที่นำมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมด้วยครับผม
เรียนคุณคณานันท์ กระทู้นี้มีประโยชน์มากครับตั้งแต่ขั้นพื้นฐานเลย
ทำให้ผมนึกไปถึงคำของหลวงพี่เล็ก ท่านกล่าวไว้ในเทปท่านเรื่องกรรมฐาน 40
สักม้วนนึงว่า ถ้านำเทปของหลวงพ่อฤาษีฯมาฟังใหม่ซ้ำๆ หรือว่าเทปของหลวงพ่อ
ที่เคยฟังไปแล้วนำมาฟังใหม่ เราจะพบว่ามันมีจุดที่เราเคยข้ามไปในตอนแรก หรือ
ที่เรายังไม่เข้าใจในตอนนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ ตอนแรกที่เราฟังเรายังปฏิบัติไป
ไม่ถึงจุดนั้นหรือยังไม่ไปติดที่จุดนั้น ซึ่งการกลับมาฟังใหม่ก็อาจจะมีบางจุดที่ตรง
กับใจเราพอดี ในเทปของหลวงพี่เล็กเองเมื่อนำมาฟังใหม่ก็จะพบอะไรแบบเดียวกัน
หรือแม้กระทู้นี้เมื่อกลับมาอ่านใหม่ก็จะได้อะไรใหม่ๆกลับไปเสมอ
ขอกราบโมทนาอย่างสูง และยังรออ่านสองตอนที่เหลือของ การเข้าถึงอารมณ์
พระนิพพาน อยู่ตลอดครับ
ทุกสิ่งบนโลก...เกิดจาก ...."จิตใจมนุษย์"
เพราะ.......มนุษย์ ขาดการพิจารณาตนเอง
หาก... มนุษย์ เริ่มรู้จัก....ฝึกพิจารณาตนเอง
การกระทำ....พฤติกรรม และ นิสัยมนุษย์...จะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เพื่อให้...มนุษย์ รู้จักพิจารณาตนเอง
มนุษย์ทั้งมวล....จึงต้องพึ่ง ..."สัจจะ"
การตั้งใจทำสิ่งที่ดี...ให้กับตนเองทุกวัน....อย่างน้อยวันละ ๑ ชั่วโมง
ผลการกระทำ...ของมนุษย์ทั้งมวล....จะไม่สูญสลาย
และ จะมีผลตอบแทน ต่อมนุษย์ และสภาพแวดล้อมของโลก
ที่มนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ ....ต้องอาศัยพึ่งพากัน
การให้มนุษย์ประพฤติตน...โดยมี "สัจจะ" นำชีวิต
คือ ... หนทางรอดพ้นสรรพภัยพิบัติทั้งปวง ....
ที่กำลังจะเกิดขึ้นตาม ทุกคำทำนาย ทุกคัมภีร์ ในทุกศาสนา
สัจจะ...คือ การปฏิบัติตาม ..."หลักสัจจะธรรม"
โฆโฆ. ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน .......
สัจจะ....จึง เป็นพรศักดิ์สิทธิ์ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด นั่นคือ พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระธรรมมารดา ฯลฯ ...
ซึ่ง หมายถึง สิ่งเดียวกัน.... คือ โลกุตตระ
เวลาปลอดภัยของมนุษย์ทั้งมวล... กำลังลดน้อยลง
ทุกชีวิต...ทุกดวงวิญญาณ กำลังรอคอย "สัจจะ" จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โฆ.แต่เขาและเธอ ยังไม่รู้
และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์.... กำลังรอคอย ให้มวลมนุษย์....มี "สัจจะ" นำชีวิต เช่นกัน
- " หนุมาน ผู้นำสาร "
ขออนุญาตตอบคุณ ตลับนาค
ตัวผมเองก็ได้ประโยชน์จากกระทู้นี้ด้วยเช่นกันครับ ทุกคนได้เรียนรู้ในธรรมปฏิบัติร่วมกัน เมื่อผมย้อนกลับมาอ่านกระทู้เก่าๆที่ตนเองได้ลงไว้ ก็มีแง่มุมต่างๆให้ตนเองฉุกคิด ด้วยเช่นกันครับ ธรรมมะเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติไปตลอดชีวิตและอาจยาวนานกว่านั้น ที่จริงจนสิ้น วัฏฏะสงสาร ไม่ว่าจะด้วยหนทางใด(พุทธภูมิหรือสาวกภูมิ) พระพุทธเจ้าท่านจึงใช้คำในการบรรลุธรรมว่า "การจบกิจ ไม่มีกิจใดอีกแล้ว"
ขออนุญาตตอบคุณแพ๊ทครับ ในยามที่กายป่วยนั้น ใจอาจทรงอารมย์ของสมาธิไม่ได้ก็จริง แต่จิตเราจะเข็ดจะเบื่อในร่างกายได้ง่ายกว่า พึงพิจารณาให้เห็นโทษภัยในกาย ทุกข์จากขันธ์ห้า จนใจเราเบื่อการมีกายเนื้อ เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดครับ จากนั้นตั้งกำลังใจไว้ว่า ร่างกายนี้เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุดเท่านั้นครับ ฝึกไว้ให้ยิ่งป่วย ยิ่งเจ็บ ยิ่งทรมานยิ่งทุกข์ ยิ่งอยากนิพพานครับ
ได้ติดค้างมานานครับ
ได้ติดค้างมานานครับ ต้องให้เพื่อนๆทวงการบ้านซะทุกที
ได้ติดค้างมานานครับ ต้องให้เพื่อนๆทวงการบ้านซะทุกที ต้องกราบขออภัยด้วยครับ
ขออนุญาตกุมขมับก่อนครับ พิมพ์จนเสร็จแล้วเด้งหายหมด ต้องพิมพ์ให้ใหม่ทั้งหมดเลยครับประมาณ เกือบชม.
นับว่าเป็นการทดสอบวิริยะบารมีกันจริงๆครับ
(verygood)