กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
ติดตามกระทู้ท่าน kananun การนั่งสมาธิของผมยังไม่ไปถึงไหนเลย ผมภาวนาโดยจับลมหายใจเข้าออก พุธ โธ เวลานั่งไปสั่งพักรู้สึกว่าน้ำลายมันจะค่อยๆซึมออกมาทำให้ต้องคอยกลืนมันลงไป ทำให้จิตใจไม่เป็นสมาธิเลย และจะรู้สึกตรึงๆที่หน้า จะแก้ไขยังไงดีครับ ผมยังไม่ได้ยกครูจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรที่ผิดอ่ะเลยไม่กล้ายกครู เวลาผมนั่งสมาธิเสร็จผมก็จะนอนทำสมาธิต่อบางครั้งเหมือนจิตมันจะเข้าสู่ภวังค์พอรู้สึกตัวมันก็คลาย เคยปล่อยให้มันหลุดไปได้ครั้งนึงแต่แค่แปปเดียว เกิดความรู้สึกกลัวเลยรีบออกมา จะแก้ไขยังไงดีครับ.
ขออนุโมทนาบุญกับพี่ด้วยนะครับ
ขออนุญาตตอบคุณSurad ครับ
ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านก็ได้ครับ คิดว่าเราเอื้อเฟื้อในธรรมให้แก่กันแบ่งปันความดีในสังคมครับ
ก่อนอื่นขอแนะนำให้ทำพิธียกครูก่อนครับเพราะวิชชาที่ผมแนะนำนั้นเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่บูรพาจารย์อริยสงฆ์ท่านได้สืบทอดต่อกันมา การบูชาครูเป็นการแสดงความกตัญญูและแสดงความเคารพในท่านเหล่านั้นครับ เพื่อที่วิชชาความรู้ที่ได้จะได้ก้าวหน้า รักษาใจให้อยู่ในความดีครับ
--อาการที่มีน้ำลายไหลซึมออกมานั้นเป็นปรกติของหลายๆท่านครับ ถ้าคุณภาวนา พุทธโธอยู่แล้ว ก็ยิ่งง่ายๆครับ ให้ทำดังนี้ "ให้อธิฐาน น้ำลายให้เป็นน้ำมนต์ด้วยคำภาวนาพุทธโธ แล้วกลืนน้ำลายนั้นตามปรกติครับ ทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยได้แนะนำให้ลูกศิษย์ของท่านเสกทุกเช้าเป็นพุทธานุสติเป็นปรกติอยู่แล้ว " ส่วนในวิชาลมปราณของทางจีน การเกิดน้ำลายออกมามากในขณะฝึกท่านถือว่าเป็นน้ำทิพย์อยู่แล้วครับ ดังนั้นเมื่ออธิฐานเสกน้ำลายและกลืนลงไปแล้ว ก็อย่าไปสนใจกับมันอีก ให้จิตจับอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออกครับ
--ส่วนการที่รู้สึกตึงที่ใบหน้า เป็นปิติ ตัวที่ทำให้รู้สึกว่าตัวพองขยาย เป็นสิ่งที่ดีว่ามีผลในการปฏิบัติครับ ส่วนเมื่อเกิดอาการนี้อีกให้กำหนดรู้ว่า นี่คือปิติ ตัวหนึ่ง เมื่อกำหนดรู้แล้วก็จงอย่าได้สนใจกับอาการของปิตินี้อีก (รู้แล้วปล่อยวาง) เพื่อให้จิตเคลื่อนสู่ฌานสมาบัติที่สูงขึ้นครับ
---เมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้วนอนสมาธิต่อ จิตจะเข้าสู่ภวังค์ แสดงว่าเมื่อคุณมีการทำสมาธิแบบค่อนข้างเป็นรูปแบบแล้วคุณจะมีอาการเกร็งเล็กน้อย เพราะอาจตั้งใจเกินไปทำให้อารมณ์ใจหนัก เกินไป (นิดนึง) ดังนั้นเมื่อคุณนอน อารมณ์ก็จะเบาขึ้นสบายขึ้น จิตจึงเข้าสู่สมาธิ ได้ (กรณีนี้คล้ายกับสมัยที่พระอานนท์ที่ท่านบรรลุธรรมก่อนวันปฐมสังคายนา) ส่วนเมื่อรู้สึกตัวและเกิดกลัวทำให้จิตถอนขึ้นออกจากสมาธิครับ
วิธีการก็คือ
1. จำอารมณ์สบายขณะนอน เข้าสมาธิ และลองประคองจิตให้อยู่ในสมาธินั้นแต่ขยับกายเปลี่ยนอิริยาบทเป็นนั่ง โดยไม่ต้องสนใจกาย แต่ให้ความสนใจอยู่ที่การประคองจิตให้อยู่ในสมาธินั้น
2. อย่ากลัว โดยใช้ปัญญาพิจารณาว่า ขณะนี้เรากำลังทำความดีอยู่ ดังนั้นสิ่งที่กลัวนั้น แท้ที่จริงเรากลัวอะไร ความกลัวคือความไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงกลัว และพิจารณาต่อไปอีกว่าในขณะที่เราทำความดีอยู่นี้ ถ้าเราต้องตายจากความเป็นคน ถ้าจิตเราอยู่ในฌานหรือมีพรหมวิหารสี่ เราก็จะเกิดเป็นพรหม ถ้ากำลังใจต่ำลงมาอย่างน้อยที่สุดก็ไปเกิดกามาวจรสวรรค์ ดังนั้นในการทำความดีนี้เรามีแต่ได้กับได้เราจะไปกลัวอะไร
ลองหาอารมณ์ และลมหายใจที่ละเอียดปราณีตเบาสบายให้เจอครับ แล้วคุณจะก้าวหน้าในอานาปานสติกรรมฐานและการทำสมาธิครับ
ขอกราบโมทนาในความตั้งใจปฏิบัติเพื่อความดีของคุณ Surad ด้วยครับ
แท้ที่จริงนั้น แก่นแท้ของวิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติและการผ่านเข้าสู่ยุคทองของพระพุทธศาสนานั้น
ก็คือการสร้างคุณธรรมจริยธรรมให้ก่อเกิดในจิตใจของตัวเราเองก่อน เมื่อตนได้รู้คุณค่าแห่งความดีงามและความงดงามในจิตใจแห่งความรักความเมตตาด้วยตนเองแล้ว เราจึงช่วยกันถ่ายทอดส่งผ่าน ความดีงามนี้จากจิตสู่จิต ใจสู่ใจ ออกเป็นค่านิยมที่ถูกต้องงดงามสู่สังคมส่วนรวมจนเป็นกระแสหลัก เพื่อความสงบสุขร่มเย็นในทุกๆดินแดนทั่วโลก
จากความเสื่อมของศีลธรรมและความโลภของมนุษย์ในขณะนี้ กำลังทวีอัตตราเร่งไปสู่หายนะของมวลมนุษยชาติ ในเวลาอันรวดเร็ว
อีกห้าปีข้างหน้า จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป มีผลทำให้ระดับน้ำทะเลท่วมเมืองหลายๆแห่งบนโลก รวมทั้งบางประเทศได้หายไปจากแผ่นที่โลก จากการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก การสร้างก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานฟอสซิลอย่างไร้จิตสำนึก
อีกห้าปีข้างหน้า คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณต้องบอกให้ลูกสาววัยรุ่นของคุณอย่าลืมทานยาคุมกำเนิด และอย่าลืมพกถุงยางไปโรงเรียนด้วยทุกวัน
คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าคุณต้องพาลูกชายของคุณไปตรวจร่างกายเพื่อหาสารเสพติดทุกๆอาทิตย์ แทนที่จะพาลูกคุณไปเรียนดนตรีหรือเล่นกีฬา
สิ่งที่ผมได้กล่าวขั้นต้นนี้ มันใกล้มากแล้วและได้เกิดขึ้นแล้วเป็นปรกติในสังคมของประเทศตะวันตก และในประเทศญี่ปุ่น ถ้าพวกเราชาวธรรมไม่ร่วมมือร่วมใจกัน สร้างกระแสจริยธรรมคุณธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทยสังคมพุทธ ไม่ใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย เราก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ได้เพียงแต่เราจะเลือกอยู่แบบสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งหรือเลือกที่จะอยู่แบบ มนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ในสังคมที่สงบสันติสุขร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ ลองใช้ปัญญาของท่านไตร่ตรองดูครับ
คำทำนายเรื่องภัยพิบัติต่างๆจากทุกๆสายนั้น มีความเหมือนกันอยู่ในหลายสิ่ง ผมจะไม่บอกว่าของใครถูกของใครผิด แต่ผมจะขออนุญาตชี้ให้ทุกท่านได้เห็นว่า สิ่งที่ครูบาอาจารย์ทุกท่านได้พยายามบอกพยายามเตือนพวกเราชาวโลกในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะสายไหน ศาสนาใด มีความเหมือนกันคือ
--เมื่อมนุษย์เสื่อมจากศีลธรรมความดี จะเกิดภัยพิบัติขึ้นทั้งจากฝีมือของธรรมชาติ และจากฝีมือมนุษย์ด้วยกัน
--ภัยพิบัติจะทำลายล้างชีวิตมนุษย์และอารยธรรมไปเป็นจำนวนมาก
--ผู้ที่รอดจากภัยพิบัติ คือผู้ที่ตื่นขึ้น ระลึกรู้ กลับตัวกลับใจ เข้าสู่ศีลธรรมความดี ของศาสนานั้นๆ
--สำหรับประเทศไทย จะมีผู้ที่รอดชีวิตมากที่สุด (เนื่องจากไทยมีอัตราส่วนท่านผู้ปฏิบัติธรรม ต่อประชากรสูงที่สุด มีท่านผู้มีความบริสุทธิ์ของจิตเป็นจำนวนมากตลอดจน มีผู้ได้อภิญญาสมาบัติจำนวนมาก และที่สำคัญที่สุด เพราะประเทศไทยนี้เองเป็นสถานที่จารึกพระพุทธศาสนาจนครบ ห้าพันปี)
--หลังจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัตินี้ โลกนี้จะกลับคืนสู่ศีลธรรมและความสงบสุขเป็นเวลายาวนาน
หัวใจของเหตุการณ์ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับ ระดับคุณธรรมจริยธรรมในจิตใจของเราทุกคนบนโลกใบนี้ครับ
-สิ่งที่คุณทำได้คือการทำจิตใจของคุณให้บริสุทธิ์ที่สุด สะอาดที่สุด เท่าที่กำลังใจของคุณจะทำได้ แม้ระดับของอภิญญาสมาบัติก็ยังไม่สำคัญเท่ากับระดับของคุณธรรม ในจิตใจครับ ดีสำคัญเป้นประโยชน์ต่อโลกเรามากกว่าเก่งครับ แต่ถ้าทั้งดี ทั้งเก่ง ทั้งมีอภิญญา ทั้ง มีน้ำใจเป็น พระโพธิสัตว์ด้วย ยิ่งประเสริฐที่สุดครับ
-ช่วยกันส่งเสริมเผยแพร่ค่านิยมคุณธรรมนี้ให้เกิดขึ้น โดยเริ่มที่ครอบครัวคุณ เพื่อนของคุณ เพื่อนร่วมงานคุณ องค์กรธุรกิจของคุณ ภายในชุมชนของคุณ ให้ออกไปสู่สังคมโดยส่วนรวมครับ
-ช่วยกันสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบทั้งในมิติของ
ความเป็นมนุษย์ ด้วยการยกระดับจิตใจของตนเองด้วยคุณธรรมความดี
ความเป็นคนไทย ด้วยการรักษาความเป็นไท รักษาพระพุทธศาสนา และจงรักภักดีต่อองค์ในหลวงของเรา
ความเป็นพลเมืองโลก ด้วยการสร้างจิตสำนึกในการใช้ในการรักษาในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในฐานะที่เราอยู่ร่วมกัน แบ่งปันทรัพยากรบนโลกใบนี้ด้วยกัน จงอยู่บนโลกใบนี้แบบผีเสื้อ แต่จงอย่าอยู่บนโลกใบนี้แบบฝูงตั๊กแตน
-มีสติ อย่าตื่นตะหนก หรือหวาดกลัว ในทุกสิ่งทุกเหตุการณ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวัฏฏะ ของธรรมชาติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ทุกๆสิ่ง เมื่อมีเจริญก็ย่อมมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา มองทุกสิ่งด้วยใจที่นิ่งเป็นอุเบกขาธรรม
ขอให้จิตใจที่งดงามทุกดวงเป็นประดุจเทียนเล่มน้อย ที่จุดแสงสว่างขึ้นในหัวใจของคนทั้งโลกใบนี้ให้สว่างไสวไปด้วยแสงแห่งธรรมครับ
ขอกราบโมทนาในความตั้งใจดีของทุกๆท่านครับ
เมื่อท่านทั้งหลายมีดวงจิตที่ตั้งไว้ดีแล้วอันได้แก่
-มีสัมมาทิษฐิในจิต ในความคิด
มีสัมมาสมาธิ การเจริญฌานสมาบัติเพื่อความหลุดพ้นและประโยชน์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
มีสัมมาปัญญา อันประกอบไปด้วยญาณอันเป็นเครื่องรู้ ในเหตุและผลอันชอบเป็นที่ถูกที่ควร
มีสัมมาปฏิบัติ อยู่ในศีลในธรรม จากที่ต้องรักษาศีล จนถึงระดับที่ศีลรักษาเรา
-มีความเข้าใจในความเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม มีความเข้าใจในพุทธภูมิวิสัย และโพธิสัตว์วิสัย
-มีความเข้าใจและความจำเป็น ในการฟื้นฟูศีลธรรม คุณธรรมให้กลับมาสู่สังคม
-มีพื้นฐานของสมาธิ และอภิญญาสมาบัติในระดับที่ดี
ต่อไป ผมขออนุญาต แนะนำการฝึกจิตเข้าสู่ดินแดนแห่งความรู้ ที่มิติของพระพรหมท่านครับ
ที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมแห่งความรู้และอารยธรรมทั้งหลายที่ปรากฏมาในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ของทั้งจักรวาล หลายๆท่านที่สามารถเข้ามาถึง ศูนย์ข้อมูล ณ จุดนี้ได้ จะมีผลทำให้ ท่านผู้นั้นมีภูมิปัญญา เป็นพหูสูตร มีความรอบรู้ในสรรพศาสตร์ทั้งปวง แต่ท่านทั้งหลายได้โปรดอย่าได้ลืมว่าศาสตร์ทุกสิ่ง รวมทั้งทุกสรรพสิ่ง ย่อมอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของกฏไตรลักษณ์ คือความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
ดังนั้นความรู้และสรรพศาสตร์ทั้งหลายนั้น ขอให้ท่านเข้าถึงและนำไปใช้แต่ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ ต่อ
-ความหลุดพ้นของตนเอง การแก้ทุกข์ การดับทุกข์ การแก้ปัญหาในชาติปัจจุบัน
-ประโยชน์ของพระพุทธศาสนา
-ประโยชน์ของปวงชนชาวไทย
-ประโยชน์ต่อโลก
-ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
-ประโยชน์ต่อสรรพสัตว์
ส่วนการเข้าถึงข้อมูลทางสรรพศาสตร์เหล่านี้นั้น มีระดับชั้นของข้อมูล โดยขึ้นอยู่กับ ระดับความสะอาด บริสุทธิ์ของจิต เจตนาความตั้งใจในการนำความรู้ไปใช้ และหน้าที่ที่ต้องรู้ในสิ่งที่สมควรรู้ เห็นในสิ่งที่สมควรเห็น รวมถึงเพื่อให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้นำข้อมูลความรู้จากสรรพศาสตร์เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ในการสร้างในการบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป
ตัวอย่างของท่านผู้ที่เข้าถึงข้อมูลตรงจุดนี้ได้ นั้น มีหลวงพ่อฤาษีลิงดำแน่นอนครับ นอกเหนือจากปฏิสัมภิทาญาณที่ปรากฏแล้วท่านยังมีความรอบรู้ในศาสตร์และเรื่องราวทั้งปวง โดยท่านมักจะกล่าวอ้างถึง ว่าความรู้ต่างๆที่ท่านทราบนั้น มี "ท่านสรรพศาสตร์" เป็นคนมาบอกมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ทราบทราบเสมอ ท่านจึงทรงภูมิความรู้สูงในทุกๆด้าน เป็นการยังศรัทธาของสานุศิษย์ทั้งหลายให้ยิ่งเพิ่มความเคารพนับถือในภูมิความรู้ของท่าน ซึ่งท่านรู้ไปถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องราวของหลุมดำ ความเป็นไปในมิติและจักรวาลอื่นๆ
ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ท่านรู้วิธีใช้ฌานสมาธิเพื่อ เข้าถึงแหล่งความรู้เหล่านี้ ในยุคปัจจุบันคือ อ. ดร. อาจอง ชุมสาย ณอยุธยา ครับ จากความรู้ที่ท่านได้คิดค้น ขาของยานอุปกรณ์ลงจอดของยานไวกิ้ง โดยอาจารย์ได้เล่าว่า ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการขึ้นในจิต จากนั้นก็เข้าสมาธิ หลังจากนั้น ก็จะปรากฏภาพจำลองของอุปกรณ์ชิ้นนั้นขึ้นมาในจิต และเมื่อนำไปส่งประกวดที่นาซ่า ผลก็คือสามารถใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องร่างแบบ ในคอมก่อน แล้วสร้างแบบจำลองต้นแบบ เพื่อทดลองใช้งาน ว่าใช้งานจริงได้หรือไม่ จะเห็นได้ว่า การเข้าถึง แหล่งความรู้แห่งจักรวาลนี้ สามมารถนำไปใช้ในการประดิษฐ์คิดค้น นวัตกรรมต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติได้อย่างมากมาย โดยสามารถช่วยประหยัดต้นทุนในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาลงได้เป็นจำนวนมาก ถ้านำความรู้เหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างจริงจัง จะเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะเป็นผู้นำเทคโนโลยี่ของโลก แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตของเทคโนโลยี่ที่สร้างสรรค์ด้วยนะครับ
นอกจากนี้ความรู้นี้ยังนำไปใช้ในงานสร้างสรรค์ศิลปะได้อีกด้วย ตัวอย่างคือ บุษบกที่เป็นที่เก็บสรีระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านนั้น เป็นการสร้างขึ้นเลยด้วยฝีมือช่าง ไม่มีการเขียนแบบ ร่างแบบก่อน
เป็นการดาวน์โหลด แปลนจากข้างบนเข้ามาในจิตโดยตรง แล้วช่างจึงลงมือแกะสลักทันที ประหยัดเวลาลงไปได้มาก
จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการประยุกต์ใช้ องค์ความรู้จากสรรพวิชาเหล่านี้ ร่วมกับคุณธรรม จริยธรรม แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่มนุษย์โลกเรา จะมีความสมดุลในความเจริญทั้งทางวัตถุและความเจริญทางด้านจิตใจ การใช้วิทยาการเพื่อการพัฒนาอย่างสร้างสรค์ ย่อมมีประโยชน์กว่าการใช้เทคโนโลยี่เพื่อการทำลายล้างครับ
หลายๆคนพอจะเห็นภาพรวมของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ฌานสมาบัติเพื่อเข้าถึงแหล่งความรู้ของจักรวาลแล้วนะครับ เราจะได้เริ่มเข้าเนื้อหาการฝึกการปฏิบัติกันต่อไปครับ
มาฝึกกันเลยครับ
เริ่มต้นก็ใช้วิชาพื้นฐานครับ
จับลมสบาย จนใจเราสงบสบาย เป็นลมตลอดสายจนจิตนิ่งเหลือลมหายใจสั้นเท่าเมล็ดถั่ว
จากนั้นตั้งจิตว่า ขณะที่เรากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่นี้ ศีลของเราบริสุทธิ์ จิตของเราเป็นสัมมาทิษฐิ เรามีความมั่นคงในพระรัตนไตร ต่อไปพิจารณาความไม่เที่ยงในสังขารร่างกาย อันมีความเสื่อมความตายในที่สุด ปล่อยวางจากขันธุ์ห้า นี้
จากนั้นจับภาพพระพุทธเจ้าท่านให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก ยกจิตอาทิสมานกายขึ้นสู่พระนิพพานกราบพระพุทธเจ้าท่านและท่านผุ้มีพระคุณที่ท่านมาโปรด ในสมาธิขณะนี้ จากนั้นตั้งจิตอธิฐานว่า
"ด้วยบารมีของพระพุทธองค์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาลขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงความรู้ญาณทัศนะแห่งพรหมศาสตร์อันเป็นแหล่งความรู้ของจักรวาล ในความรู้อันเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา เพื่อ ประโยชน์แห่งตัวข้าพเจ้า ส่วนรวม พระพุทธศาสนาและมวลมนุษยชาติอีกทั้งสรรพสัตว์ด้วยเทอญ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าสมควรรู้ก็ขอให้ได้รู้ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าสมควรเห็นก็ขอให้ได้เห็น หากความรู้ใดจักเกิดโทษต่อข้าพก็ดี ต่อส่วนรวมก็ดี ต่อพระศาสนา ต่อมนุษยชาติและสรรพสัตว์ก็ดี ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้รู้ อย่าได้เห็น อย่าได้ทราบ เลย"
จากนั้นวางใจให้สบาย ท่านที่ได้วิชามโนมยิทธิ ท่านก็จะสามารถไปที่พรหมสถาน และกราบขอความรู้จากท่านท้าวสหัมบดีพรหม ในสรรพวิชาที่ท่านจะได้ใช้สร้างบุญสร้างบารมีบนโลกมนุษย์ในชาตินี้
ส่วนท่านที่ไม่ได้มโน ขอให้ท่านทำใจให้สบาย โล่ง โปร่ง เบา และตั้งคำถามขึ้นในจิตในเรื่องหรือปัญหาที่ท่านอยากรู้ อยากทราบ อยากหาคำตอบ จะปรากฏเป็นเสียงตอบขึ้นมาในจิตบ้าง เห็นภาพปรากฏขึ้นมาในจิตบ้าง เมื่อรู้เมื่อเห็นเมื่อทราบแล้ว ขอจงอย่าได้เชื่อแต่แรก ให้ตั้งคำถามในจิตต่อไป ถึงเหตุ ถึงผล เพื่อประกอบการตัดสินใจ แล้วจึงใช้ปัญญาไตร่ตรองดูด้วยความรอบคอบ ว่ามีเหตุมีผลมีความเป็นไปได้สมควรเชื่อถือได้จริงหรือไม่ ถ้า เห็นสมควรจึงเชื่อและทดลองดูว่าจริงหรือไม่
เมื่อฝึกบ่อยเข้าทำบ่อยเข้าไม่ช้า จิตจะเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ เมื่อมีคำถามเกิดขึ้นในจิต ญาณเครื่องรู้ ตัวรู้ จะมีคำตอบให้โดยไม่ต้องคิด และข้อมูลข่าวสารที่รู้นั้นมีปริมาณ รวมทั้งความรวดเร็วในการส่งต่อเข้าสู่จิตสูงกว่าการคิดมากๆ เมื่อท่านทำได้แล้วจะเข้าใจเอง ครับ
เมื่อได้เข้าถึงแหล่งสรรพวิชาเหล่านี้ได้แล้ว และได้ความรู้จนเป็นที่พอใจ ก็จงยกจิตอาทิสมานกายกลับไปยังพระนิพพาน กราบลาสมเด็จพระจอมไตรพิชิตมารที่พระนิพพานพร้อมทั้งทุกๆท่านผู้มีพระคุณ แล้วทิ้งอาทิสมานกายของตนให้สถิตอยู่บนวิมานของตนเองบนพระนิพพานครับ
ขอให้ทุกท่านใช้สรรพศาสตร์นี้ในทางสร้างสรรค์เพื่อการสร้างบารมีของท่านเองครับ ความรู้ของแต่ละท่านอาจรู้เห็นไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ตามบารมีตามหน้าที่ครับ ผมเองก็ยังรู้ไม่มากครับ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เรียนรู้ครับ
วิชานี้จะเป็นประโยชน์นอกเหนือจากการที่ท่านจะใช้กำลังใจถามพระเบื้องบนท่านครับ ซึ่งเน้นวิชาทางธรรม ส่วนวิชชานี้เหมาะกับการถามสรรพวิชาที่เราจะนำไปใช้ทางโลกครับ
ขอกราบโมทนาในผลแห่งการปฏิบัติและการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของทุกๆท่านครับ
ติดตามอ่านงานของคุณคนานันท์เสมอ อ่านแล้วรู้สึกเป็นประโยชน์มากและทำให้จิตใจสบายมากขึ้นค่ะ แต่ทีนี้ดิฉันมีปัญหาในการปฏิบัติสมาธิภาวนาตามแบบที่คุณคนานันท์สอนไว้ในนี้ ปัญหาที่พบตามที่คุณสุรัดถามดิฉันก็เคยประสบกับเหตุการณ์นั้นแต่เดี๋ยวนี้รู้สึกเป็นน้อยลงกว่าเดิม ส่วนใหญ่ดิฉันจะทำสมาธิก่อนนอนทุกคืน ยอมรับตามตรงว่าทำบ้างไม่ทำบ้าง การปฏิบัติของดิฉันมาจากศึกษาเองจากตำราหลากหลายแหล่งแต่จะเน้นเรื่องอานาปานสติดูลมหายใจเข้าออกเพื่อให้เกิดสติรู้ตัวเป็นหลัก แล้วทำให้ความรู้สึกมันว่างๆพูดไม่ค่อยถูกคะแต่ประมาณนี้คะ รู้สึกจิตใจสงบดีคะ ถ้าดิฉันจะใช้วิธีนี้ฝึกนั่งสมาธิไปเรื่อยๆจะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนคะ ความจริงดิฉันก็พยายามฝึกตามที่คุณคนานันท์เข้ามาสอนแต่ไม่ค่อยถนัดค่ะ ดิฉันไม่ชินกับการจินตนาการภาพพระเป็นพระใสแล้วยกอาทิสมานกายเราไปบนนิพพาน ถ้าดิฉันใช้วิธีฝึกที่ใช้อยู่ร่วมกับวิธีฝึกของคุณคนานันท์จะมีผลอะไรหรือเปล่าคะ? (ทำให้ได้ญาณช้ากว่าที่ควรหรือเปล่าคะ)
ขอถามเพิ่มเติมเรื่องปิติคะ ก่อนหน้านี้ประมาณสิบปีมีวันหนึ่งตอนฝึกนั่งสมาธิอยู่รู้สึกวันนั้นนั่งได้นานประมาณชั่วโมงหนึ่งจำไม่ค่อยจะได้แล้วคะ รู้สึกอยู่ๆจิตก็วูบแล้วปรากฏว่าในจิตขณะนั้นเห็นเป็นแต่ความสว่างทั่วไปหมดแล้วจิตใจก็มีความสุขมาก พูดไม่ถูกคะเป็นความสุขที่ไม่เคยเจอที่ใดเลย ในใจไม่อยากออกจากความสุขนั้นแต่สุดท้ายทั้งความสว่างและความรู้สึกเป็นสุขนั้นก็ค่อยๆหายไปคะ อยากถามคุณคนานันท์ว่า สิ่งที่ดิฉันประสบเมื่อสิบปีก่อนไม่ทราบว่าใช่ปิติหรือไม่คะ แล้วถือว่าได้ฌานแล้วหรือยังคะ?
ดิฉันนั่งสมาธิแล้วเกิดเหตุการณ์แบบนั้นแค่ครั้งเดียวหลังจากนั้นไม่เกิดอีกเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะแล้วควรจะทำยังไงให้เกิดปิติแบบนั้นได้อีก
หลังจากนั้นประมาณ 2-3 ปี (มั้งคะ) ดิฉันนั่งอ่านเรื่องปฎิจสมุปบาทของท่านพุทธทาสอยู่ในห้องนอน พออ่านถึงช่วงที่อธิบายเกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด และ ปฏิจจสมุปบาทสายดับ มันเกิดความรู้สึกแปลกๆคะ มันเหมือนมีแสงสว่างแวบคล้ายสายฟ้าผ่าแต่ไม่มีเสียงเข้ามาในจิตเรา แล้วน้ำตาก็ไหลคะ มันเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีแต่ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันซาบซึ้งกับคำอธิบายนั้นมากจนช๊อคไปชั่วครู่เลยคะ ไม่ทราบว่านี่ก็ใช่ปิติเหมือนกันหรือเปล่าคะ?
คำถามสุดท้ายคะถ้าคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวกับสิ่งรอบตัวมากเป็นพิเศษมาฝึกจิตปฏิบัติสมาธิวิสสนาควรวางจิตในการฝึกอย่างไรคะ
ขออนุโมทนาในบุญที่คุณคนานันท์ได้ช่วยเหลือเผยแพร่วิธีการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้กับคนทั้งหลายได้รู้ด้วยคะ ขอให้คุณคนานันท์ทำสำเร็จสมดั่งใจหวังนะคะ
ขอบคุณคุณคณานันท์มากเลยนะครับสำหรับกระทู้
วันนี้ผมคิดที่จะเริ่มฝึกสมาธิจริงๆจังๆเป็นวันแรกหลังจากที่เคยฝึกมาตอนสมัยเด็กๆ พอโตเป็นผู้ใหญ่ก้ไม่เคยฝึกเลยก็ไม่รุ้ว่าจะเริ่งตรงไหนดี จะปราวณาอธิฐานอย่างไร นึกขึ้นได้ว่าเคยเซฟกระทู้นี้เก็บไว้รู้สึกจะประมาณ 85 หน้าได้ ผมก็ไปเปิดอ่านดูเปิดไปเปิดมาไม่เห็นสักที แต่อยู่ดีๆหน้าจอมันก็เลื่อนขึ้นไปเองไม่ยอมหยุดสักทีไม่ว่าผมจะคลิกเมาท์ซ้ายขาวกี่ครั้งก็ไม่หาย กดคีย์ลูกศรขึ้นลงซ้ำหลายๆ นึกว่าคีย์มันจะค้างก็ไม่หาย แต่อยู่ๆหน้าจอมันก็หยุดเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าที่คำว่า "ด้วยกำลังใจของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ขอให้พระพุทธเจ้าโปรดเมตตารักษากำลังใจของข้าพเจ้า ให้มั่นคงใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ และสามารถยกจิตขึ้นมาสู่พระนิพพานได้ทุกขณะจิตที่ข้าพเจ้าต้องการขอให้ข้าพเจ้าได้ทรงอารมณ์นิพพาน รักในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน " พอดีเลยครับ ผมก็ลงมือนั่งสมาธิและอธิฐานตามเลย นั่งไปได้สักพักก็รู้สึกว่าหัวผมส่ายไปมาๆยิ่งพอผมจับที่อาการหัวส่ายเท่าไรหัวผมยิ่งส่ายมากขึ้นไปด้วยเป็นอย่างนี้อยู่สักพักผมเริ่มไม่สนใจอยากส่ายก้ส่ายไป กลับมาจับที่ลมหายใจ พุธ-โธ อาการส่ายกลับน้อยลงจนเกือบจะหยุดสนิท อาการอย่างนี้เป็นปกติสำหรับคนที่นั่งสมาธิหรือครับ
ขออนุญาตตอบคุณ Ice Jade ครับ
หลักของการฝึกสมาธิที่สำคัญที่สุดก็คือ เลือก แนวทางการทำสมาธิที่ทำให้ใจเรารู้สึกใจสงบ ใจสบาย ครับ จึงจะเหมาะสมกับจริต นิสัยของคุณ คุณสามารถใช้พื้นฐานของสมาธิที่คุณฝึกอยู่เดิมนั้นร่วมกับการอธิฐาน จนไปถึงการถอดอาทิสมานกายได้ครับ
สำหรับอาการที่คุณเล่าให้ฟังนั้น ผมขอโมทนาด้วยครับ อาการที่ได้เป็นอาการของฌานสี่ละเอียด ที่จิตสว่างจนเหลือเพียงสุขที่สุด สุดที่จะบรรยายได้ ไม่อาจอธิบายเป็นภาษาที่มนุษย์บรรญัติได้ และทำให้เราเห็นคุณค่าแห่งการทำสมาธิได้อย่างลึกซึ้งครับ การที่คุณจะได้หรือเข้าถึงอารมณ์นั้นได้อีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคุณจำอารมณ์สมาธินั้นได้หรือไม่ครับ สำหรับคำแนะนำของผมนั้น การที่คุณทำได้นั้นมีความโชคดี สองประการครับ คือ
1.ประสบการณ์นี้จะทำให้คุณซาบซึ้งถึงประโยชน์แห่งการทำสมาธิ อย่างลึกซึ้งไปตลอดชีวิตและทำให้เกิดความพากเพียรในการปฏิบัติให้สูงยิ่งขึ้นไป และสิ่งที่คุณได้พบนี้ไม่ใช่ได้กันง่ายๆ หรือในทุกคนที่ปฏิบัตินะครับ บางท่านฝึกสมาธิมาตลอดชีวิต จิตยังไม่สามารถเข้าถึงจุดนี้ได้เลยครับ ที่คุณทำได้ส่วนหนึ่งเป็นบุพเพกตบุญญตา คือกรรมดีที่คุณเคยได้มาในอดีตชาติครับ
2.คุณโชคดีที่ไม่หลงตรงจุดนี้ว่าคุณบรรลุธรรมไปแล้ว ครับ เพราะมีหลายท่านทั้งที่เป็นพระและฆราวาส ที่มีประสบการณ์ ณ จุดนี้แล้วเกิด วิปัสนูปกิเลส เข้าใจว่าตนเอง บรรลุธรรม แล้ว แต่ในความเป็นจริง จุดนี้ ยังอยู่ในเขตของโลกียฌานครับจึงมีการได้ การเสื่อม ไม่เที่ยงเหมือน ฌานของพระอริยเจ้าครับ
ดังนั้น คุณมีโอกาสที่จะสัมผัสในประสบการณ์นั้นได้อีก และยังมีโอกาสที่จะได้ธรรมที่ไม่เสื่อมอีกด้วยผมขอให้คุณลองศึกษา เรื่องอารมณ์พระโสดาบัน ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับควบคู่กับการฝึกสมาธิในแนวทาง ที่คุณเคยฝึกและทำได้ดีอยู่แล้วครับ
ส่วนที่อ่านหนังสือธรรมมะแล้วเกิดอาการคล้ายกันนั้น เป็นอาการของธรรมปิติ จากวิปัสนาญาณครับ เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะจะทำให้ ธรรมมะที่ศึกษาซึมซับลงสู่จิตได้ลึกขึ้นครับ
คำแนะนำสำหรับคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวมากเป็นพิเศษนั้น จะทำให้เป็นผู้ที่เกิดปิติ ได้ค่อนข้างง่าย อุปนิสัยเป็นศรัทธาจริต ควรที่จะฝึกจิตให้เป็นอุเบกขาคือการวางเฉยให้มากขึ้น เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในสายกลางไม่ โอนเอียงไปในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง และใช้วิปัสนาญาณในเรื่องความไม่เที่ยงในสิ่งทั้งปวงเพื่อ ให้จิตได้เข้าถึงความเป็นธรรมดาในทุกสรรพสิ่งครับ
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ ส่วนผมก็ขอให้คุณ ได้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
ขอกราบโมทนาในการปฏิบัติและผลแห่งการปฏิบัติของคุณ Ice Jade ด้วยครับ
ขออนุญาตตอบคุณ Ice Jade ครับ
หลักของการฝึกสมาธิที่สำคัญที่สุดก็คือ เลือก แนวทางการทำสมาธิที่ทำให้ใจเรารู้สึกใจสงบ ใจสบาย ครับ จึงจะเหมาะสมกับจริต นิสัยของคุณ คุณสามารถใช้พื้นฐานของสมาธิที่คุณฝึกอยู่เดิมนั้นร่วมกับการอธิฐาน จนไปถึงการถอดอาทิสมานกายได้ครับ
สำหรับอาการที่คุณเล่าให้ฟังนั้น ผมขอโมทนาด้วยครับ อาการที่ได้เป็นอาการของฌานสี่ละเอียด ที่จิตสว่างจนเหลือเพียงสุขที่สุด สุดที่จะบรรยายได้ ไม่อาจอธิบายเป็นภาษาที่มนุษย์บรรญัติได้ และทำให้เราเห็นคุณค่าแห่งการทำสมาธิได้อย่างลึกซึ้งครับ การที่คุณจะได้หรือเข้าถึงอารมณ์นั้นได้อีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคุณจำอารมณ์สมาธินั้นได้หรือไม่ครับ สำหรับคำแนะนำของผมนั้น การที่คุณทำได้นั้นมีความโชคดี สองประการครับ คือ
1.ประสบการณ์นี้จะทำให้คุณซาบซึ้งถึงประโยชน์แห่งการทำสมาธิ อย่างลึกซึ้งไปตลอดชีวิตและทำให้เกิดความพากเพียรในการปฏิบัติให้สูงยิ่งขึ้นไป และสิ่งที่คุณได้พบนี้ไม่ใช่ได้กันง่ายๆ หรือในทุกคนที่ปฏิบัตินะครับ บางท่านฝึกสมาธิมาตลอดชีวิต จิตยังไม่สามารถเข้าถึงจุดนี้ได้เลยครับ ที่คุณทำได้ส่วนหนึ่งเป็นบุพเพกตบุญญตา คือกรรมดีที่คุณเคยได้มาในอดีตชาติครับ
2.คุณโชคดีที่ไม่หลงตรงจุดนี้ว่าคุณบรรลุธรรมไปแล้ว ครับ เพราะมีหลายท่านทั้งที่เป็นพระและฆราวาส ที่มีประสบการณ์ ณ จุดนี้แล้วเกิด วิปัสนูปกิเลส เข้าใจว่าตนเอง บรรลุธรรม แล้ว แต่ในความเป็นจริง จุดนี้ ยังอยู่ในเขตของโลกียฌานครับจึงมีการได้ การเสื่อม ไม่เที่ยงเหมือน ฌานของพระอริยเจ้าครับ
ดังนั้น คุณมีโอกาสที่จะสัมผัสในประสบการณ์นั้นได้อีก และยังมีโอกาสที่จะได้ธรรมที่ไม่เสื่อมอีกด้วยผมขอให้คุณลองศึกษา เรื่องอารมณ์พระโสดาบัน ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับควบคู่กับการฝึกสมาธิในแนวทาง ที่คุณเคยฝึกและทำได้ดีอยู่แล้วครับ
ส่วนที่อ่านหนังสือธรรมมะแล้วเกิดอาการคล้ายกันนั้น เป็นอาการของธรรมปิติ จากวิปัสนาญาณครับ เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะจะทำให้ ธรรมมะที่ศึกษาซึมซับลงสู่จิตได้ลึกขึ้นครับ
คำแนะนำสำหรับคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัวมากเป็นพิเศษนั้น จะทำให้เป็นผู้ที่เกิดปิติ ได้ค่อนข้างง่าย อุปนิสัยเป็นศรัทธาจริต ควรที่จะฝึกจิตให้เป็นอุเบกขาคือการวางเฉยให้มากขึ้น เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในสายกลางไม่ โอนเอียงไปในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง และใช้วิปัสนาญาณในเรื่องความไม่เที่ยงในสิ่งทั้งปวงเพื่อ ให้จิตได้เข้าถึงความเป็นธรรมดาในทุกสรรพสิ่งครับ
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ ส่วนผมก็ขอให้คุณ ได้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
ขอกราบโมทนาในการปฏิบัติและผลแห่งการปฏิบัติของคุณ Ice Jade ด้วยครับ
ขอโมทนาบุญและขอขอบคุณคุณคนานันท์มากที่สละเวลาเข้ามาตอบข้อข้องใจเมื่อสิบปีก่อนให้คะ
ตอนนี้ดิฉันได้ฝึกปฏิบัติสมาธิโดยใช้วิธีการทั้งสองอย่างควบคู่กันคะ เพราะคิดว่าถ้าสามารถฝึกตามวิธีการที่คุณคนานันท์สอนไว้ได้แล้ว น่าจะได้ผลดีมากขึ้นคะ
ดีใจคะที่รู้ว่าตอนนั้นฝึกได้ฌานสี่ละเอียด แต่จำไม่ได้แล้วว่าฌานมีได้ถึงกี่ระดับ เคยอ่านเจอจากในเว็บนี้คะแต่ลืมไปแล้วจะไปค้นหาดูอีกที ส่วนอารมณ์ของฌานมาถึงตอนนี้จำได้นิดหน่อยคะแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งเหมือนตอนที่ทำได้
สำหรับความโชคดี 2 ประการตามที่คุณคนานันท์ว่าไว้นั้น
1.เป็นความจริงอย่างที่สุดเลยคะเพราะผลจากการได้ฌานครั้งนั้นเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ดิฉันมีกำลังใจในการทำสมาธิวิปัสสนาเพื่อเข้าถึงมรรคผลให้ได้ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคมาตัดทอนกำลังใจแค่ไหน เพราะดิฉันรู้สึกได้เลยว่าเพิ่งเริ่มทำสมาธิได้ไม่นานแต่สามารถพบความสุขที่ไม่เคยได้พบที่ไหนมาก่อนในชีวิตได้ ดิฉันเลยมั่นใจว่าธรรมสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงบอกกล่าวไว้นั้นต้องมีอยู่จริงแท้แน่นอน และกำลังรอให้ดิฉันไปพบอยู่ และคงเป็นเพราะบุญเก่าอย่างที่คุณคนานันท์ว่าด้วยคะ แต่คงเป็นบุญที่เจือกรรม เพราะดิฉันต้องพบอุปสรรคเป็นทุกข์แทบจะตลอดเวลาคะ
2.ดิฉันก็เกือบหลงเข้าใจไปเองหลายครั้งคะว่าเราได้ธรรมวิเศษสุดหรือยัง แต่ดิฉันพยายามถามตัวเองอยู่เสมอว่าเราได้แล้วจริงเหรอเราวิเศษแล้วเหรอและลองเผชิญกับกิเลสรูปแบบต่างๆเพื่อทดสอบว่าเราวิเศษจริงหรือไม่ และพบว่าดิฉันยังมีความทุกข์อยู่มาก พบว่าแท้จริงแล้วจิตใจเรายังมีความต้องการอยู่เพียงแต่มันหลอกตัวเองแล้วแอบไปซ่อนตัวทำให้หาพบลำบาก ดิฉันต้องคิดๆๆลองๆๆๆกับจิตใจตัวเองจนกระทั่งจิตมันค่อยๆคลายความยึดติดนั้นไปได้คะ ตามความรู้สึกส่วนตัวนะคะ กิเลสยังมีอยู่แต่ถ้าเทียบกับหลายปีก่อนลดลงกว่าเดิมและยึดติดน้อยลงคะ
อารมณ์พระโสดาบันของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำดิฉันได้อ่านและเซฟเก็บไว้เรียบร้อยแล้วคะ ขอบคุณมากคะ
ตอนนี้ดิฉันก็เน้นการฝึกอุเบกขาด้วยคะ เพราะแต่ก่อนเป็นคนยึดติดมากในเรื่องของตัวเองรวมไปถึงเอาเรื่องคนอื่นมายึดติดด้วยทำให้เป็นทุกข์มากคะ เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นตัวทุกข์ของเรา ก็พยายามใช้อุเบกขาไม่ยึดติดกับมันมากเหมือนก่อนคะ
ขอกราบโมทนาบุญในความดีของคุณคนานันท์อีกครั้ง และขออวยพรให้คุณคนานันท์สามารถเข้าถึงธรรมวิเศษตามที่ปรารถนาได้โดยทุกประการ และขอให้มีความสุขมากๆด้วยคะ
ขออนุญาตตอบคุณ Tony ครับ
ก่อนอื่นขอโมทนาในความตั้งใจที่คุณกลับมาทำสมาธิเพื่อความเข้าถึงความดีครับ
ส่วนปรากฏการณ์ที่ ข้อความได้เลื่อนจนถึง ข้อความที่คุณตั้งใจอยากที่จะอธิฐานนั้น เป็นความเมตตา การสงเคราะห์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนครับ ที่ท่านมักจะมาช่วย ส่งเสริมบุคคลที่ตั้งใจที่จะทำความดีให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปในธรรมครับ เคยมีกรณีอื่นๆ ทั้งที่ผมได้ประสบและที่ได้ยินมา ที่มีลักษณะคล้ายๆกันดังนี้ครับ ขอเล่าให้ฟังเพื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆด้วยครับ
เคยมีผู้ปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง ชอบฟังเทปธรรมมะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน ฟังซ้ำๆกันหลายรอบจนแทบจะจำได้หมด แต่ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่งครับ มีเทปอยู่หน้าหนึ่งที่แปลกออกไป คำสอนที่เป็นเสียงหลวงพ่อนั้น เนื้อหาเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับที่เคยได้ฟัง กลับเหมือนเป็นการเทศน์สอน ของหลวงพ่อท่านพูดสอนผู้ฟังคนนั้นโดยตรง และมีเนื้อหาที่จี้ตรง ในการปฏิบัติของคนๆนั้นจริงๆ เมื่อได้ฟังจบลงแล้วกรอเทปกลับไปฟังใหม่ เนื้อหาในเทปกลับเป็นปรกติไม่เหมือนกับที่ฟังจบครับ ผลก็คือ ขนลุกครับ เพราะตอนที่ฟังหลวงพ่อท่านมรณะภาพไปแล้วครับ สิ่งที่จะชี้คือเบื้องบนท่านเมตตาและให้กำลังใจกับท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติเสมอครับ และเมื่อผมสอบถามเรื่องนี้ในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อท่านหลายๆคน ก็พบว่ามีท่านผู้มีประสบการณ์แบบนี้หลายรายเป็นเรื่องปรกติครับ
อีกเรื่องเป็นเรื่องราวของผมเอง ตอนนั้น ยังไม่ได้ วิชามโนมยิทธิ แต่ได้อ่านหนังสือเจอ และมีความสนใจอยากฝึก มาวันหนึ่งผมไปที่ศูนย์หนังสือจุฬา ยืนอยู่หน้าแผนกหนังสือธรรมมะ มีขณะจิตหนึ่งผมคิดขึ้นมาว่า ถ้าได้ฝึกวิชามโนมยิทธินี้ก็ดีสิ แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสันหนังสือเกลี้ยงๆสีชมพูไม่เขียนอะไรบนสันเลย มือก็เอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดู หนังสือเล่มนั้น มีชื่อว่า"วิธีฝึกวิชามโนมยิทธิ" ของสำนักพิมพ์โลกทิพย์ ใจผมขณะนั้นรู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นเหตุการณ์ไม่ธรรมดา เพราะไม่น่าที่จะบังเอิญได้ขนาดนั้น ผมจึงซื้อไปอ่าน ท้ายเล่มมีกำหนดการฝึกมโนเต็มกำลังรวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ของทางบ้านสายลมด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผมได้ไปฝึกมโนมยิทธิครับ
ส่วนที่คุณ Tony มีอาการ ส่ายหัว นั้นเป็นอาการของฌานหยาบ เป็นปรกติของหลายๆคนในการฝึกสมาธิครับ โดยเฉพาะเวลาที่ท่านไปฝึกมโนเต็มกำลังที่วัดท่าซุงในช่วงปลายปีกัน สั่นกันเยอะครับจนเป็นการเข้าใจผิดไปเลยในหลายๆท่านว่าต้องสั่นจึงจะไปมโนเต็มกำลังได้ ที่จริงแล้ว หลวงพ่อท่านบอกว่าอาการทางกายนั้นไม่ต้องไปสนใจครับเพราะเรานั้นปฏิบัติจิตฝึกกันที่จิตครับ ยิ่งไปสนใจมัน มันก็จะยิ่งสั่น พอยิ่งสั่น การดูจิตก็เลยพลอยหายไปครับเพราะจิตมันมาจับอยู่ที่อาการสั่น ดังนั้นการที่คุณมีความฉลาดไม่สนใจ ในการสั่น การสั่นก็จะหายไปครับ ทำให้จิตเข้าถึงอารมณ์ที่สงบขึ้น ละเอียดขึ้น ปราณีตขึ้น ครับ พยายามจับลมหายใจต่อไปจนใจเราสบายขึ้นไปอีกครับ คุณมีของเก่า เคยทำบารมีมาอยู่แต่เดิมแล้วครับ
ขอกราบโมทนาในความดี ในการปฏิบัติรวมทั้งความตั้งใจดีของคุณ Tonyด้วยครับ ขอให้การปฏิบัติก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปนะครับ
ดีใจนะครับ ที่มีหลายๆท่านมีกำลังใจในการเข้าถึงซึ่งความดี ความบริสุทธิ์ของจิตใจครับ ยังมีอีกหลายๆท่านที่ได้ติดตามอ่านกระทู้นี้อยู่ตลอด และมีอีกหลายท่านที่ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ในการเผยแพร่การปฏิบัติ นี้ได้นำจัดรวบรวมพิพม์ บ้าง ถ่ายเอกสารบ้าง จ่ายแจกกันออกไป ก็ถือว่าเป็นการให้ธรรมทาน เป็นการให้ความดีสู่สังคม ผมก็ขอกราบโมทนาในความตั้งใจดีของท่านทั้งหลายมา ณ ที่นี้ด้วยครับ บุญกุศลทั้งหลายที่จะพึงมี พึงเกิดขึ้นนั้น คงเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ท่านทั้งหลายได้เคยร่วมสร้างบุญสร้างบารมีร่วมกันมาในอดีตชาติในเขตของพระพุทธศาสนาครับ
"ขอพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อันมีสมเด็จองค์ปฐมท่านเป็นประธาน ขอบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคตกาล ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล สมาธิ สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตลอดจนบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ขอให้ ได้มารวมตัวกันส่งผลดลบันดาลประทานพรให้ท่านทั้งหลาย เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป ทั้งในทางโลกและทางธรรม อย่างฉับพลันทันใด ให้ได้ซึ่งพระนิพพาน ด้วยเทอญ"
อนุโมทนา สาธุบุญ ในความอนุเคราะห์ช่วยไขข้อสงสัยให้แจ้งครับ
ผมนั้นคงจะต้องหมั่นฝึกอีกมากครับ เพราะอารมณ์ผมมักอ่อนไหวหลงตามใจตัวเองง่ายมากๆ และหุนหันพลันแล่นฉุนเฉียวเอาง่ายๆ อีกทั้งมีสมาธิสั้นทำงานก้ไม่ค่อยจะสำเร็จเรียบร้อยดี ก็อยากจะใช้การฝึกสมาธินี้ ช่วยเป็นเครื่องเตือนสติในการใช้ชีวิตไม่ประมาณครับ บางครั้งและบ่อยๆ เวลาผมนั่งเดินนอนหรือทำอะไรก็ตามหากนึกขึ้นได้ผมมักจะภาวนา พุท-โธ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติกิจวัฒน์ประจำวันไปด้วยอยู่เปนประจำ ก็พอช่วยทุเลาอารมณ์ร้อนของผมไปได้บางไม่มากก็น้อยจนบางครั้งทำให้เราใจเย็นมากๆได้อย่างน่าแปลกใจจนคนใกล้ชิดมักจะบอกว่า "เย็นจนเปนน้ำแข็ง" ก็มี
ขออนุโมทนา สาธุบุญ อนิสงแห่งกุศลผลบุญที่ผมมีให้คุณคณานันท์บรรลุจุดหมายที่ตั้งใจและชี้ทางแห่งปัญญาแจ้งแก่ดวงตาเห็นธรรมต่อผู้คนทั้งหลายให้ได้มากๆ ทบทวีเท่ายิ่งๆขึ้นไปด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
เรียนถามคุณคนานันท์ค่ะ
ก่อนหน้านี้ช่วงที่โคชิกะหัดทำสมาธิแรกๆมีปีติตัวโคลงแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวพอง และมือลอยออกจากกัน ต่อมาก็มีนิวรณ์ คือนั่งทำสมาธิแล้วง่วงนอนค่ะ
หลังๆมาไม่มีอาการอะไร ล่าสุดเมื่อวานนี้รู้สึกว่าตัวเองมีลมหายใจละเอียดมาก แต่ยังรับรู้ได้นะคะเพราะแม้จะรับรู้ลมที่ผ่านจมูกได้ยากแต่ก็สามารถรับรู้จากการยุบพองของท้องได้ วั้นนี้จิตสงบดีมากสามารถระลึกรู้ลมหายใจได้นานโดยที่จิตไม่ซนไปคิดเรื่องอื่นเสียก่อน แล้วก็มีก่อนหน้านี้วันนึงจำได้ว่าจิตมักเผลอคิดนู่นคิดนี่ แต่ทุกทีก็ไม่มีอะไรแต่วันนั้นพอใจเผลอคิดไปเรื่องอื่นก็รู้สึกเหมือนมีใครมาจับแขนขวาเขย่าให้รู้สึกตัว ไม่รู้ว่าโคชิกะคิดมากไปเองไม๊คะ เป็นอยู่ 2-3 ครั้งในวันนั้น แล้วก็เป็นแค่วันเดียว
แล้วเพื่อให้ก้าวหน้าในการนั่งทำสมาธิ โคชิกะจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไปบ้างคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ และขออนุโมทนาคุณคนานันท์นะคะที่มาช่วยไขปัญหาให้แก่ญาติธรรมในเวบนี้ให้รู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้น
โมทนากับทุกคนที่ตั้งใจมั่นในการปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ สาธุ
เรียนถามคุณคนานันท์ค่ะ
ก่อนหน้านี้ช่วงที่โคชิกะหัดทำสมาธิแรกๆมีปีติตัวโคลงแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวพอง และมือลอยออกจากกัน ต่อมาก็มีนิวรณ์ คือนั่งทำสมาธิแล้วง่วงนอนค่ะ
หลังๆมาไม่มีอาการอะไร ล่าสุดเมื่อวานนี้รู้สึกว่าตัวเองมีลมหายใจละเอียดมาก แต่ยังรับรู้ได้นะคะเพราะแม้จะรับรู้ลมที่ผ่านจมูกได้ยากแต่ก็สามารถรับรู้จากการยุบพองของท้องได้ วั้นนี้จิตสงบดีมากสามารถระลึกรู้ลมหายใจได้นานโดยที่จิตไม่ซนไปคิดเรื่องอื่นเสียก่อน แล้วก็มีก่อนหน้านี้วันนึงจำได้ว่าจิตมักเผลอคิดนู่นคิดนี่ แต่ทุกทีก็ไม่มีอะไรแต่วันนั้นพอใจเผลอคิดไปเรื่องอื่นก็รู้สึกเหมือนมีใครมาจับแขนขวาเขย่าให้รู้สึกตัว ไม่รู้ว่าโคชิกะคิดมากไปเองไม๊คะ เป็นอยู่ 2-3 ครั้งในวันนั้น แล้วก็เป็นแค่วันเดียว
แล้วเพื่อให้ก้าวหน้าในการนั่งทำสมาธิ โคชิกะจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไปบ้างคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ และขออนุโมทนาคุณคนานันท์นะคะที่มาช่วยไขปัญหาให้แก่ญาติธรรมในเวบนี้ให้รู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้น
โมทนากับทุกคนที่ตั้งใจมั่นในการปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ สาธุ
ขออนุญาตตอบคุณ โคชิกะครับ
การที่จิตซัดส่ายไปกับอาการฟุ้งบ้างเป็นเรื่องปรกติครับ วิธีแก้ไขคือเมื่อมีสติรู้ตัวก็จงรีบดึงจิตกลับมาสู่ ลมหายใจที่สงบสบาย (ลมสบาย)ครับ ส่วนอาการง่วงนอนนั้นถ้าง่วงนอนมากก็ไม่ต้องไปฝืนครับ
พระท่านสอนไว้ว่า ก่อนหลับให้เข้าฌาน (สมาธิ) แล้วหลับ ท่านว่าตลอดเวลาที่เราหลับจนตื่นนั้นนับรวมเป็น เวลาการทำสมาธิทั้งหมดครับ
ส่วนท่านที่เข้าจนถึงอารมณ์นิพพานก็เช่นกันครับนับรวมว่าท่านทำสมาธิจนถึงอารมณ์นิพพานตั้งแต่หลับจนตื่นครับ
การที่ลมหายใจละเอียดมากๆจนแทบไม่หายใจ และใจสบายมาก จิตสงบมาก เป็นพิเศษนั้น เพราะคุณได้เข้าถึง ลมสบาย ซึ่งคือฌานในสมาธิครับ ก็ขอแสดงความยินดีในผลแห่งการปฏิบัติของคุณด้วยครับ ขอให้จำอารมณ์ใจนี้ไว้ให้ได้และเข้าอารมณ์นี้ให้ได้ทุกครั้งที่ต้องการครับ ทำได้แล้วจะมีกำลังใจในการทำความดีต่อไปครับ
ส่วนที่รู้สึกว่ามีคนมาเขย่าแขนขวาให้รู้สึกตัวเวลาฟุ้งนั้น ไม่ต้องไปกลัวหรือตกใจครับ เป็นครูบาอาจารย์ท่านที่คอยดูแลการปฏิบัติของคุณท่านมาเมตตาคอยเตือนครับ เวลาที่คุณทำสมาธิเสร็จก็จงได้แผ่เมตตาถวายบุญกับท่านด้วย การมีครูบาอาจารย์ดูแลเป็นสิ่งที่ดีครับ ท่านจะคอยกันไม่ให้คุณไปในทางที่ผิด และจะทำให้คุณก้าวหน้าในการปฏิบัติครับ ยังไงก็อธิฐานบอกท่าน ขอบคุณท่านและขอให้ท่านช่วยคุ้มครองคุณให้ตั้งมั่นอยู่ใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติครับ
ขอกราบโมทนาในความดีและผลแห่งการปฏิบัติธรรมของคุณครับ ขอให้ก้าวหน้าในธรรมมะยิ่งๆขึ้นไปครับ
การสร้างจริยธรรมในสังคมและสร้างสรรค์สังคมคุณธรรมนั้นทำได้โดย
1.ต้องเริ่มต้นกันที่ตัวเราเองทุกคนครับ ไม่ต้องไปเรียกร้องจริยธรรมที่คนอื่นครับ ถ้าเราเข้าใจในความสำคัญของจริยธรรมที่มีต่อตัวเราเองและต่อสังคม ได้ดีพอ ลงมือปฏิบัติเลยครับ
2. สร้างค่านิยมที่ยั่งยืนของสังคมคุณธรรมและกระแสการทำความดีในสังคมครับ
3. สร้างวัฒนธรรมองค์กรทั้งใน ระดับ บรรษัทขนาดใหญ่ บริษัทขนาด ใหญ่ กลาง ย่อม รวมทั้ง SME ให้เป็นองค์กรคุณธรรมทั้งในด้าน
-จริยธรรมของCeo
-การดำเนินธุรกิจการเป็นพันธมิตรกับองค์กรธุรกิจคุณธรรมอื่นๆ
-ความรับผิดชอบต่อการพัฒนาระดับจริยธรรมและสวัสดิการที่ดีบุคคลากรในองค์กร
-ความรับผิดชอบต่อสังคม
-และท้ายที่สุดคือตั้งเป้าหมายสูงสุดของธุรกิจที่ไม่ใช่ กำไรสูงสุด แต่เป็นการเป็นตัวจักรขับเคลื่อนสังคมไปสู่สังคมแห่งความสุขและความดีงามครับ
4.การผลักดันสื่อให้นำเสนอ รายการที่ส่งเสริมจริธรรมคุณธรรมทางสังคม เช่น รายการเรื่องกฏแห่งกรรม การ์ตูนสำหรับเด็กเรื่องพระเจ้าห้าร้อยชาติ เกมโชว์รายการตอบปัญหาธรรมมะ เรียลลิตี้เซอร์ไวเวอร์ การออกไปปฏิบัติธรรมในถ้ำบนเขาสูง รายการเรียลลิตี้ การทดสอบจิตใจของคนที่มีต่อการยั่วยุทางด้านคุณธรรมโดยผู้ชนะคือผู้ที่มีคุณธรรมสูงสุด แทนที่รายการที่มุ่งผลกำไรสูงสุดและตอบสนองกิเลสของมนุษย์ ดึงกิเลสตัณหาให้ออกมาปรากฏโดยอ้างว่าเพื่อการตีแผ่ ความจริงจน เรื่องราวความเลวร้ายในจิตใจเหล่านี้กลายเป็นสิ่งปรกติธรรมดาของสังคม ใจชินชาด้านชากับความชั่ว การทำความดีเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ซึ่งการที่จะทำได้ต้องเริ่มต้นที่การให้องค์กรธุรกิจคุณธรรม ช่วยให้สปอนเซอร์รายการในเชิงสร้างสรรค์เหล่านี้ก่อนครับ ในลักษณะของการตลาดในเชิงคุณธรรม ( Moral Maketting) เพราะลึกๆแล้วมนุษย์เราโหยหาความดีงามของจิตใจ ความอิ่มเอมทางจิตวิญญานครับ เพียงแต่กระแสวัตถุนิยมมันเชี่ยวกรากเกินไปครับ
5.อย่าเห็นกับคุณค่าทางวัตถุสูงเกินคุณค่าของความงดงามของจิตใจครับ อย่าให้ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ สำคัญกว่าดัชนีชี้วัดความสุขของมวลชนครับ
6.อย่าใช้รูปลักษณะภายนอกมาตัดสินความเป็นมนุษย์ของเขา เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏแก่สายตานั้นปรุงแต่งได้ ทำให้ดูดีได้ สร้างภาพได้ แต่ การสัมผัสความดีของจิตใจนั้นต้องสัมผัสด้วยจิตใจเช่นกันและการกระทำของคนๆนั้นครับ
7.เรียนรู้ที่จะมีความสุขจากความสงบ (การค้นหาความสุขจากความสงบภายในจิต ในสมาธิ ) ว่ามีคุณค่ากว่าความสุขจากวัตถุ ที่ดิ้นรนไม่มีที่สิ้นสุด
8.เรียนรู้ที่จะมีความสุขจากการให้ (สุขจากใจที่มีเมตตา การแผ่เมตตา การแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน) ว่ามีความปลื้มปิติอิ่มเอมใจสูงกว่าสุขกว่า จากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอันเหมือนนรกเผาใจอยู่ตลอดเวลา
9.เรียนรู้ที่จะยินดีในความดีของผู้อื่น คอยให้กำลังใจในการทำความดีของผู้อื่น สรรเสริญและประกาศคุณงามความดีของผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ใดๆ
10. ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งด้วยตัวเอง ส่งเสริมเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ทราบและตระหนักรู้ถึงความสำคัญของจริยธรรมคุณธรรม ท้ายที่สุดคือ การยินดีและโมทนาในการทำความดีงามทุกสิ่งในโลก ในจักรวาล คอยมองความดีงามที่บังเกิดขึ้นในสังคมด้วยจิตใจที่มีความสุขครับ
__________________
เรียนถามคุณคณานันท์อีกรอบค่ะ
อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้วแต่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
มีวันนึงโคชิกะนั่งทำสมาธิอยู่ค่ะแต่ไม่ได้ปิดเสียงโทรศัพท์
แล้วก็วางไว้ซะใกล้เชียว ทีนี้พอโทรศัพท์เข้าก็ตกใจสะดุ้งเลยค่ะ
ตอนนั้นหลับตาจำได้ว่าเห็นเป็นเส้นคลื่นเลย เหมือนกับที่
เวลาเราเอาโทรศัพท์ไว้ใกล้จอคอมพอโทรศัพท์เข้าแล้วภาพในจอมันสั่นเป็นคลื่นน่ะค่ะ
แล้วตั้งแต่วันนั้นมา ตัวขอโคชิกะก็สะดุ้งน้อยๆอาการเหมือนกับที่สะดุ้งวันนั้น(จำอาการได้)เป็นทุกวันวันละหลายๆหนเกือบจะตลอดเวลา ไม่หายเลยค่ะ จะต้องทำไงดีคะ ถึงจะหาย
ขอโมทนาค่ะ และขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมค่ะ
ขออนุญาตตอบคุณโคชิกะครับ
อาการที่ว่าเป็นอาการสะเทือนของกายทิพย์ครับ เป็นเหตุผลที่ว่า เวลาที่เรานั่งสมาธิหรือเข้าฌานอยู่จึงห้ามคนอื่นมา เรียกเสียงดังหรือมาเขย่าตัว แรงๆ บางท่านเวลานั่งสมาธิใช้วิธี เข้าห้องปิดประตูล็อคกลอน แถมติดป้ายห้ามรบกวนหน้าห้องด้วย
อาการที่เกิดขึ้นกับคุณยังติดตามมาหลายๆครั้งเวลา เข้าสมาธินั้น มีวิธีแก้ไขไม่ยากครับ วิธีแก้คือ เข้าสมาธิจนถึงอารมณ์สบาย ใจสบาย จากนั้นอธิฐานจิต ขอบารมีพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเมตตา ปรับ กายทิพย์และร่างกายให้กลับมาสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง แล้วใช้อารมณ์ใจที่สบายเป็นคลื่นสลาย คลื่นรบกวนที่ปรากฏขึ้นมาในจิตให้หมดไปครับ ลองไปทำดูนะครับ
ส่วนอีกวิธี ก็คือ การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ก็ช่วยได้ครับ
ยังไงก็หายเป็นปรกติครับ
"ขวัญเอ้ย ขวัญมานะ"
เวปล่มอีกแล้วครับ ทำให้เข้าเวบได้ยากมาก แต่ไม่เป็นไรครับ อุปสรรคช่วยให้เรามีกำลังใจที่เข้มแข็งและอดทนขึ้น
ที่หายไปหลายวันนี่ เพราะไปงานบุญกฐินที่วัดปากน้ำภาษีเจริญครับ ปีนี้คนมากเป็นพิเศษจนทำให้วัดดูแคบไปถนัดใจเลยครับ มีพวกเราหลายๆท่านก็ได้ไปร่วมกันเป็นเจ้าภาพร่วมในกองกฐินด้วย และที่ผมได้ยินชื่อที่พระท่านประกาศก็มี ชื่อคุณดังกฤณ ด้วยท่านหนึ่งละครับ จึงขอเอาบุญมาฝากทุกๆท่าน ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
วันนี้เรามาฝึกกันต่อในเรื่องของการอธิฐานครับ
ผมจะขออนุญาตแนะนำการอธิฐานสำหรับท่านผู้มีวิสัยต่างๆกัน เพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัวท่าน เพื่อความก้าวหน้าในธรรมมะปฏิบัติ และเพื่อความรุ่งเรืองทั้งในทางโลกและทางธรรมครับ
วิธีการในการอธิฐานนั้น สมควรกระทำอย่างเป็นทางการและเป็นพิธีการสักหน่อยเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ของคำอธิฐาน ครับ เพราะการอธิฐานนั้นให้ผลติดตัวเราไปหลายภพหลายชาติครับ ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเราอธิฐานดีอธิฐานชอบ เป็นสัมมาทิษฐิ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ถ้าคำอธิฐานของเราทำไปด้วยจิตที่เป็นอกุศลเป็นข้าศึกต่อความดี ด้วยกิเลส อันมีความโกรธ โลภ หลง เป็นต้น มันก็จะส่งผลติดตามเราไปในทุกชาติภพเช่นกันครับ ดังนั้นเราจึงควรตั้งจิต ถอนคำอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิให้หมดไปจากจิตใจของเราก่อนครับ จากนั้นจึงค่อยทำการตั้งสัจจาอธิฐานในความเป็นสัมมาทิษฐิครับ
เรามาเริ่มกันเลยครับ
เริ่มต้นให้ทุกท่านอาบน้ำให้สะอาด และเข้าห้องพระสวดมนต์ หรือจะเข้าไปอธิฐานต่อพระประธานในโบสถ์ก็ได้ครับ
เมื่อสวดมนต์ไหว้พระจนจิตใจเราสงบดีแล้ว ก็เริ่มเข้าสมาธิ ภาวนา
จับลมสบายจนใจสงบ พบลมหายใจละเอียด ใจสบาย
จากนั้นวางกำลังใจว่า ขณะนี้เราตั้งใจอยู่ในความดี ขณะนี้ ศีลของเราบริสุทธิ์ เรามีความเคารพในพระรัตนไตร เรามีความเข้าใจในความไม่เที่ยงของขันธุ์ห้าไม่ประมาทในความตาย เรามีพรมวิหารสี่มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
จากนั้นให้เข้าอารมณ์ใจที่สบายสูงสุด ตามที่กำลังใจเราของเราจะพึงทำได้
ท่านที่ได้มโนมยิทธิ ก็จงขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน
ส่วนท่านที่ไม่ได้มโนก็ขอได้ทำกำลังใจต่อหน้าพระพุทธรูปประหนึ่งอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธองค์เช่นกัน
จากนั้นตั้งจิตถอนคำอธิฐานในมิจฉาทิษฐิออกไปจากจิตใจของเรา โดยเข้าอารมณ์ใจที่สบาย เปล่งวาจาว่า
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตถอนคำอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิ อันข้าพเจ้าได้ทำไปด้วยอำนาจกิเลสอันมีความโลภ ความโกรธ อาฆาต พยาบาทจองเวรแก่ท่านผู้ใดก็ดี ความหลงในสังสารวัฏภพภูมิต่างๆก็ดี ความยึดติดในบุคคลด้วยความรักความหลงก็ดี ที่หลงผิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี การตั้งจิตอธิฐานเหล่านี้จะด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยอารมณ์ชั่ววูบก็ดี และล้วนแล้วที่ได้อธิฐาน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี
ข้าพเจ้านี้ขอถอนคำอธิฐานเหล่านี้ออกไปจากดวงจิตของข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กรรมใดที่บังเกิดจากการอธิฐานเหล่านั้นข้าพเจ้าขอกราบขอขมาในอกุศลกรรมความพลั้งพลาด ต่อท่านทั้งหลายด้วยเทอญ
และข้าพเจ้าขอน้อมจิตอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา นับแต่อดีตชาติอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย พรหมเทวดาที่ประจำรักษาข้าพเจ้า ขอให้ได้อโหสิกรรม เลิกแล้วต่อกัน เป็นโมฆะกรรมตราบเท่าที่ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
จากนั้นทำกำลังใจให้ถึงอารมณ์ใจสบาย ลมหายใจหายไปได้ยิ่งดี ท่านที่ได้สมาบัติแปด ก็เข้าให้ถึงความว่างสลายคำอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิออกไปจากจิตใจให้หมดสิ้น จนใจเข้าถึงความสุข ความปลอดโปร่ง แล้วจึงแผ่เมตตาอัปปันนาณฌานออกไปยังทิศทั้งปวงทั้ง สามไตรภูมิ หนึ่งนิพพาน จนใจสบาย ในปิติสุข
เป็นอันจบพิธีการถอนอธิฐาน
ทรงอารมณ์ใจในฌานสมาธิสูงสุดเท่าที่ทำได้จากนั้นเลือกคำอธิฐานตามวิสัยที่ตนเองพอใจ ที่ตนรู้เองเห็นเองเป็นปัตจัตตัง
(คำอธิฐานสำหรับท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมในสาวกภูมิวิสัยแต่ยังไม่ปรารถนาไปพระนิพพานชาตินี้)
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานขอให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตอันใกล้นี้ หากแม้นยังต้องเกิดอยู่ฉันใด ก็ขอให้มาบังเกิดเป็นมนุษย์มีอาการครบ 32 มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีรูปเป็นทรัพย์ เกิดมาในสกุลสูงสกุลสัมมาทิษฐิ ได้พบพระพุทธศาสนา และได้เข้าถึงซึ่งธรรมมะอย่างลึกซึ้ง ทรงความดีทรงคุณธรรมประจำจิต มีคู่บุญคู่บารมี มีมิตรที่มีศรัทธามีคุณธรรมเสมอกัน ได้ช่วยพิทักษ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาด้วยดังนี้ทุกชาติไป ครั้นถึงวาระแห่งการบรรลุธรรมก็ขอให้ได้มีพระอริยเจ้าผู้ทรงคุณธรรมได้โปรดมาสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมได้อย่างฉับพลันทันใดด้วย เทอญ สาธุ "
(คำอธิฐานสำหรับท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมในสาวกภูมิวิสัย และปรารถนาให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้)
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐาน ขอให้ข้าพเจ้าได้มีกำลังใจให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าเคยบำเพ็ญมาในอดีตชาติจวบจนปัจจุบันชาตินี้ได้กลับมารวมตัวกัน ส่งผลให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญ รุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรม ให้ข้าพเจ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาทิษฐิช่วยชี้แนะทางธรรม ทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ของจิต ให้มีปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาร และบรรลุธรรมได้อย่างฉับพลันทันใด เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ สาธุ"
(คำอธิฐานสำหรับท่านผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมีในพุทธภูมิวิสัย)
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานตั้งความปรารถนาบำเพ็ญบารมีทั้งสามสิบทัศน์ เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาลให้พ้นจากภัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในสังวัฏฏ และณบัดนี้ขอให้บุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต จงมารวมตัวกัน ส่งผลดลบันดาลประทานพรให้ดวงจิตของข้าพเจ้าได้รู้ ได้ตื่นขึ้น สู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ หากแม้ตื่นรู้ในความเป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็ขอให้จิตข้าพเจ้ายกขึ้นสู่ความเป็นอริยโพธิสัตว์ด้วยเถิด ขอปัญญาบารมีทั้งทางโลกและทางธรรมส่งผลให้ข้าพเจ้าได้ใช้ความสามารถและบารมีทั้งสามสิบทัศน์มาช่วยเหลือบบรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้รักษาชาติไทยแผ่นดินไทย ได้ทำนุบำรุงยอยกพระพุทธศาสนาขององค์พระพิชิตมารให้รุ่งเรืองตราบ ห้าพันวัสสา ได้พิทักษ์รักษาองค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นธรรมมิกราชให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทย
และหากแม้นข้าพเจ้าสิ้นอายุขัยจากชาติภพนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้จุติ อยู่ในเฉพาะสุขคติภูมิ เท่านั้น หากแม้นเมื่อลงมาบำเพ็ญบุญญาบารมีในโลกมนุษย์ก็ขอให้จุติมีสกุล วรรณณะสูง เป็นสัมมาทิษฐิ มีรูปอันเป็นมหาปุริสลักษณะปรากฏเพื่อสร้างศรัทธาให้บังเกิดในหมู่ชน ให้มีบารมีราศรีเป้นที่ประจักษ์ ให้เหล่าสรรพวิชาทั้งทางโลกและทางธรรมที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วกลับระลึกขึ้นได้ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ อีกทั้งสมาบัติแปด อภิญญาจงกลับมาใช้ได้ทุกๆชาติ และขออย่าได้คลาดจากอารมณ์พระนิพพานและวิชชามโนมยิทธิด้วยเช่นกัน อีกทั้งไตรสรณคมภ์ วิปัสณาญาณกรรมฐานทั้งสี่สิบกอง มหาสติปัฐฐานสี่ พรหมวิหารสี่ อัปปันนาณฌานจงเจนจบครบทุกอารมณ์ใจ
ขอให้ได้สงเคราะห์บูชาสร้างบุญบารมีกับ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระอริยเจ้าทั้งหลาย เทพพรหมเทวาสัมมาทิษฐิทั้งหลาย ตลอดจนคุณความดีแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยเทอญ
ครั้นถึงวาระแห่งการบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ขอให้การบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณนั้นเป็นไปได้โดยง่าย ฉับพลันทันใดเพียงชั่วหย่อนกายนั่งขัดบัลลังค์ก็บรรลุ การเผยแผ่ธรรมในศาสนาของข้าพเจ้าก็ขอจงเป็นไปด้วยความอัศจรรย์ ทุกดวงจิตบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วด้วยบารมีที่ถึงพร้อม ศาสนาสะอาดปราศจากอลัชชี มีแต่ความพร้อมในความสมบูรณ์ทุกสิ่ง ทุกองค์ประกอบแห่งธรรม ในทุกประการด้วยเทอญ สาธุ "
ติดตามอ่าน ของพี่คณานันท์ แล้ว ผมเลื่อมใส พี่ มาก ครับ ผมขอเรียกพี่ ว่า พี่ นะครับ
ถ้า ไม่มีการ แยกศาสนา ผมขอโพส บทเทศน์ บทหนึ่งของ พระเยซู ผมไปเจอมา เห็นว่า มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง กับ วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภับภิบัติ เหมือน กัน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน นะครับ เพราะว่า เป็น คนละความเชื่อกัน
บทเทศน์บนภูเขา
ความสุขแท้จริง
5 1พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับนั่งแล้วบรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ 2พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนเขาว่า
3ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
4ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
5ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
6ผู้หิวกระหายความยุติธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
7ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
8ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า
10ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
11'ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกเขาดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา 12จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
เกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลก
13'ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน
ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทอดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ
14'ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง 15ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
พระเยซูเจ้าทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์
17'จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ 18เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่พินทุอิหรือขีดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป 19ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์
มาตรฐานใหม่ สูงกว่ามาตรฐานเดิม
20'เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี แล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย
21'ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล 22แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ไอ้โง่' ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า 'ไอ้โง่บัดซบ' ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก 23ดังนั้น ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว
24จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น 25จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก 26เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกมาไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย
27'ท่านได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี 28แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว 29ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก 30ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดตกนรก
31'มีคำกล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำหนังสือหย่ามอบให้นาง
32แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดที่หย่ากับภรรยาของตน ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับว่าทำให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่แต่งกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย
33'ท่านยังได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้สาบานไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า 34แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า 35อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของพระองค์
อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ 36อย่าอ้างถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำเป็นขาวได้ 37ท่านจงกล่าวเพียงว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ที่เกินไปนั้นมาจากปิศาจ
38'ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน 39แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย 40ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จงแถมเสื้อคลุมให้เขาด้วย 41ผู้ใดจะเกณฑ์ให้ท่านเดินไปกับเขาหนึ่งหลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด 42ผู้ใดขออะไรจากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน
43'ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู 44แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จงภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน 45เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นทั้งเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม 46ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ? 47ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำอะไรพิเศษเล่า? คนต่างศาสนามิได้ทำเช่นนี้ดอกหรือ? 48ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดีบริบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีบริบูรณ์เถิด'
การให้ทาน
6 1'จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อโอ้อวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ 2ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคดมักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว 3ส่วนท่านเมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำอะไร เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย 4แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน
การอธิษฐานภาวนา
5'เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา ก็อย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใครๆเห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว 6ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน
วิธีอธิษฐานภาวนา บทภาวนาของพระเยซูเจ้า
7'เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา อย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงสดับฟังเพราะเขาพูดมาก 8อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก 9เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้
ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์
พระนามของพระองค์จงเป็นที่สักการะ
10พระอาณาจักรจงมาถึง
พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์
11โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
12โปรดให้อภัยความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เหมือนที่ข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
13อย่านำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการถูกผจญ
แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วเทอญ
14'เพราะว่า ถ้าท่านให้อภัยความผิดแก่ผู้อื่น พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะทรงให้อภัยความผิดของท่านด้วย 15แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยความผิดแก่ผู้อื่น พระบิดาของท่านก็จะไม่ทรงให้อภัยความผิดของท่านเช่นกัน
การจำศีลอดอาหาร
16'เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว 17ส่วนท่านเมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า เอาน้ำมันหอมเจิมศีรษะ 18เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน
สมบัติแท้
19'ท่านทั้งหลายอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและขมวนกัดกิน และขโมยเจาะช่องลงมาล้วงลักเอาไปได้ 20แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด ที่นั่น ไม่มีสนิมหรือขมวนกัดกิน และขโมยก็ไม่เจาะช่องมาล้วงลักเอาไปได้ 21เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
ประทีปของร่างกาย
22'ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไปด้วย 23แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี สรรพางค์กายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืดจะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด!
พระเจ้าและเงินทอง
24'ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายหนึ่งและจะรักอีกนายหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายหนึ่งและจะดูหมิ่นอีกนายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้
ความวางใจในพระเจ้า
25'ฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ! 26จงดูนกในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ? 27ท่านใดที่กังวลแล้วสามารถต่อชีวิตของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้? 28ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม? จงพิจารณาดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 30ถ้าหญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ และรุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้ายังทรงตกแต่งเช่นนี้แล้ว พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านั้นหรือ? ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง 31ดังนั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า "เราจะกินอะไร? หรือจะดื่มอะไร? หรือเราจะนุ่งห่มอะไร?" 32เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ 33จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้
34เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว'
อย่าตัดสินผู้อื่น
7 1'อย่าตัดสินเขา และท่านจะไม่ถูกพระเจ้าตัดสิน 2ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน 3ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเองเลย? 4ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า "ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด" ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่านเอง 5ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัด ไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง
อย่าเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์
6'อย่าให้ของศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกรเกรงว่ามันจะเหยียบย่ำทำให้เสียของ และหันมากัดท่านอีกด้วย'
คำภาวนาที่ได้ผล
7'จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน
8เพราะว่าทุกคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมจะพบ คนที่เคาะประตูย่อมจะมีผู้เปิดให้ 9ท่านใดที่ลูกขออาหารจะให้ก้อนหินหรือ? 10ถ้าลูกขอปลา จะให้งูหรือ? 11ถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักเอาของดีๆให้ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะมิยิ่งประทานของดีแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ?
กฎทางปฏิบัติ
12'ท่านอยากให้เขากระทำกับท่านอย่างไร ก็จงกระทำกับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก
ทางสองแพร่ง
13'จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก 14แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย
ประกาศกเทียม
15'จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาหาท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย 16ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม? 17ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์เลวย่อมเกิดผลเลว 18ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลเลวมิได้ และต้นไม้พันธุ์เลวก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ 19ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ
20เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลของเขา
ศิษย์แท้
21'มิใช่ทุกคนที่กล่าวแก่เราว่า "พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า" จะเข้าพระอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าได้ 22ในวันนั้น หลายคนจะกล่าวแก่เราว่า "พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปิศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการอัศจรรย์มากมายในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ?" 23เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา'
24'ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน 25ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน 26ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย 27เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายและความเสียหายของมันใหญ่ยิ่ง!'
ความพิศวงของประชาชน
28เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ประชาชนพากันพิศวงในคำสั่งสอนของพระองค์ 29เพราะว่าพระองค์ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำนาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา
(พี่โคชิกะ รูปแมวน่ารักนะครับ แมวพี่ หรือเปล่า)
ยินดีอย่างยิ่งครับน้องอุ้ม ก็ขอให้คิดว่าพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่งครับ
ส่วนที่น้องนำคำสอนของพระเยซูมาลงไว้นั้น นับเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เราได้เปิดใจให้กว้าง ขึ้นครับ ขึ้นชื่อว่าความดีนั้นมีความเป็นสากลไม่แบ่งแยกด้วยความเชื่อ เชื้อชาติ ศาสนา และผิวพรรณวรรณณะครับ สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่ รักสุข เกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้นครับ ความสุข ความดีงามนั้นเราไม่ต้องไปเสาะแสวงหาให้ไกลครับ อยู่ภายในจิตใจของเรานั้นเอง เปรียบเหมือน "ไกลสุดขอบฟ้าใกล้อยู่เพียงตา" ครับ
น้องอุ้มมีวิสัยมาในทางธรรม ว่างๆ มีโอกาสลองจัดกิจกรรมชวนเพื่อนไปเที่ยววัดทำบุญดูสิครับ ถ้าอยู่ในกรุงเทพ กลางเมือง พี่แนะนำ วัดปทุมวนาราม ใกล้ สยามแค่นิดเดียว แต่มีสิ่งอัศจรรย์ซ่อนเร้นไว้มากมาย
มีพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า
มีพระพุทธรูปที่ในหลวงท่านได้มาสร้างไว้และจะจัดถวายไปยังพุทธคยา
มีหลวงพ่อพระอาจารย์ถาวรซึ่งเป็นพระสุปัฏฏิบันโนให้กราบไหว้ สนทนาธรรม
มีมักคะลีผลอยู่ สี่ องค์ให้ลองไปชมกัน
มีเรื่องราวของหลวงพ่อยี พระอภิญญาให้ศึกษา ครับ
ค่อยๆสร้างบารมีไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงค่อยๆใหญ่ขึ้นครับ
ขอกราบโมทนาในกุศลจิตและความตั้งใจที่ดีของน้องด้วยครับ
ยินดีอย่างยิ่งครับน้องอุ้ม ก็ขอให้คิดว่าพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่งครับ
ส่วนที่น้องนำคำสอนของพระเยซูมาลงไว้นั้น นับเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เราได้เปิดใจให้กว้าง ขึ้นครับ ขึ้นชื่อว่าความดีนั้นมีความเป็นสากลไม่แบ่งแยกด้วยความเชื่อ เชื้อชาติ ศาสนา และผิวพรรณวรรณณะครับ สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่ รักสุข เกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้นครับ ความสุข ความดีงามนั้นเราไม่ต้องไปเสาะแสวงหาให้ไกลครับ อยู่ภายในจิตใจของเรานั้นเอง เปรียบเหมือน "ไกลสุดขอบฟ้าใกล้อยู่เพียงตา" ครับ
น้องอุ้มมีวิสัยมาในทางธรรม ว่างๆ มีโอกาสลองจัดกิจกรรมชวนเพื่อนไปเที่ยววัดทำบุญดูสิครับ ถ้าอยู่ในกรุงเทพ กลางเมือง พี่แนะนำ วัดปทุมวนาราม ใกล้ สยามแค่นิดเดียว แต่มีสิ่งอัศจรรย์ซ่อนเร้นไว้มากมาย
มีพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า
มีพระพุทธรูปที่ในหลวงท่านได้มาสร้างไว้และจะจัดถวายไปยังพุทธคยา
มีหลวงพ่อพระอาจารย์ถาวรซึ่งเป็นพระสุปัฏฏิบันโนให้กราบไหว้ สนทนาธรรม
มีมักคะลีผลอยู่ สี่ องค์ให้ลองไปชมกัน
มีเรื่องราวของหลวงพ่อยี พระอภิญญาให้ศึกษา ครับ
ค่อยๆสร้างบารมีไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงค่อยๆใหญ่ขึ้นครับ
ขอกราบโมทนาในกุศลจิตและความตั้งใจที่ดีของน้องด้วยครับ
ขอบคุณ ครับ พี่ ผมจะลองไปเที่ยว วัดปทุมดู ผมชอบไปวัดอยู่แล้ว ครับ
พี่ คณานันท์ ครับ ผมชื่อ อุ้ม นะครับ เขียนภาษาอังกฤษ อาจอ่าน เพี้ยนไปไม่เป็นไรครับ
ขอบคุณพี่คณานันท์มากๆค่ะ (ขออนุญาติเรียกพี่เหมือนน้องอุ้มนะคะ แต่ใจจริงๆอยากเรียกอาจารย์เลยค่ะ) ที่ให้ความเมตตาตอบข้อสงสัย พร้อมให้คำแนะนำต่างๆ โคชิกะเพิ่งอ่านความรู้ที่คุณคณานันท์โพสไว้ก่อนหน้านี้ มีประโยชน์มากๆเลยค่ะ ดีจริงๆ อ่านไปแล้วเหมือนทำสมาธิไปด้วย ขออนุโมทนาในความดีงามของการเผยแพร่ความรู้ทางศาสนาและการปฏิบัติธรรมของพี่คณานันท์นะคะ ส่วนเรื่องร่างอาการสะเทือนของกายทิพย์ สังเกตุจากเมื่อวานหลังจากที่โพสคำถามไป จนมาอ่านคำตอบในวันนี้รู้สึกว่าอาการแทบจะไม่เกิดเลยค่ะ (ถ้าจำไม่ผิดสะดุ้งครั้งเดียว) โคชิกะกล่าวคำอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์ ก่อนทำสมาธิตามที่คุณคณานันท์บอกแล้วค่ะ ส่วนเรื่องแผ่เมตตาถวายบุญให้ครูบาอาจารย์ทำเป็นประจำอยู่แล้วค่ะ
ส่วนน้องอุ้ม แมวตัวนี้ไม่ใช่ของเราค่ะ จริงๆเรามีแมวอยู่ 6 ตัว แต่ตอนสมัครสมาชิกนี่ยังไม่ได้สแกนรูปน้องแมวที่บ้านเอาไว้ คือรูปที่ถ่ายจากกล้องดิจิตอลหรือมือถือมันไม่น่ารักเท่ารูปที่เคยถ่ายเก็บไว้ที่เป็นฟิล์มน่ะค่ะ ก็เลยเอารูปนี้ลง ตอนนี้ภาพน้องแมวที่บ้านสแกนไว้แล้ว แต่คงใช้รูปเดิมรูปนี้ต่อไปเรื่อยๆค่ะ (แน่นอนว่าแมวตัวนี้น่ารักสู้แมวที่บ้านไม่ได้เลย..ในสายตาพี่นะคะ ... อิอิ)
ขอโมทนา สาธุ กับน้องอุ้มที่สนใจธรรมมะตั้งแต่เด็กๆค่ะ
ก็ขอให้ก้าวหน้าในธรรมกันทุกๆคนครับ
ขอให้ทุกๆท่านคิดเหมือนว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องที่มีแต่ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ให้กันและกันเสมอ ยินดีในความเจริญรุ่งเรืองของทุกคนทุกท่านครับ ถ้าคิดกันได้แบบนี้ทุกคนในสังคมจะมีความสุขขึ้นครับ
ดูเหมือนมี"ชมรมคนรักแมว" แล้วนะครับ บ้านพี่ก็มีน้องแมวอยู่สามตัวครับ
คุณคนานันท์ เป็นศิษย์วัดปทุมฯเหรอครับ
เมื่อกลางปี ผมลงไปทำธุระที่กรุงเทพฯ มีโอกาสได้ไปกราบพระที่วัดปทุม
เหมือนกัน คืนก่อนไปแปลกใจที่เห็นตัวเองนุ่งขาวแบบพราหมณ์(อีกแล้ว)
นั่งแถวหลังสุดเลย ในศาลากว้างๆ แล้วจีบมือทำมุทธรา และก็ฯลฯ.....
การไปวันนั้นได้มีโอกาสทำสังฆทาน หลวงพ่อถาวรท่านนั่งเขียนหนังสืออยู่
ขณะเราถวายกับพระรูปอื่น จู่ๆท่านก็พูดเรื่องเราขึ้นมา (แบบว่า เทศน์สอนเรื่องที่ติดขัดอยู่นั่นเอง ) ครูอาจารย์เราท่านบอกว่า หลวงพ่อถาวรท่าน
มีภูมิธรรมในชั้นนี้ๆ แล้วนะ เราจึงหายสงสัยในสิ่งที่ท่านสอนเรา
ที่มาเฉลยนิมิตก็คือ เพื่อนพาเราไปสวนป่าด้านหลัง พอเห็นพระพุทธรูปสีขาวที่จีบพระหัตถ์ปางธรรมจักร์ ก็เข้าใจเลย และศาลาที่เห็นมาก่อน ก็คือศาลาที่นี่เอง.....
" สุปฏิปันโณ สาวกสังโฆ สังฆังนมามิ "....
ผมนับถือในปฏิปทาของพระสุปัฏฏิบันโนทุกๆองค์ทุกๆท่านครับผม
ที่มีโอกาสไปวัดปทุมเพราะไปแถวนั้นบ่อยครับเลยมีโอกาสได้ไปทำสมาธิที่ศาลาพระราชศรัทธา ซึ่งในหลวงเราท่านสร้างถวายในพระศาสนาไว้เพื่อให้ประชาชนได้มีที่ปฏิบัติธรรมกลางกรุงครับ
หลวงพ่อถาวรท่านมีเจโตครับ เป็นธรรมดา ที่ท่านเมตตาคุณคงเพราะเคยมีวาสนาผูกพันกันมาในอดีต
ส่วนพระพุทธรูปสีขาวที่เห็น เป็นพระพุทธรูปที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านสร้างถวายเพื่อนำไปประดิฐฐานที่วัดถาวรพุทธคยา ประเทศอินเดียครับ เป็นบุญที่ได้ไปสักการะครับ
คณานันท์