กลับหน้า วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานครั้งนี้ของคุณ kananun คะ
เป็นการให้ทานที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ทำให้ดิฉันเข้าใจการฝึกวิปัสนากรรมฐาน และเรื่องที่มีประโยชน์อื่นๆมากขึ้นคะ
มาฝึกกันต่อสำหรับวันนี้ครับ
ในภาคนี้เราจะมาเข้าการฝึกสมาธิในแบบของมโนมยิทธิครับ โดยในช่วงที่หนึ่งจะเหมือนกันทุกวันคือการเริ่มด้วยสมถะจนถึงเมื่อความเป็นทิพย์ของจิตปรากฏชัด ผมขออนุญาตตัดแปะนะครับ ไม่อยากว่าข้ามๆผ่านๆไปเพราะอารมณ์ผู้ปฏิบัติจะไม่ละเอียด ในส่วนที่สองจะเป็นส่วนของการเจริญวิปัสนาญาณในอารมณ์นิพพานครับ ตรงจุดนี้จะช่วยให้อารมณ์ใจเกิดนิพพิทาญาณได้ง่ายขึ้น ลึกในจิตมากขึ้นครับ ตรงจุดนี้พระท่านให้เน้นให้ทำทุกวัน แต่จะมีลีลา หรือกองในการตัดแตกต่างไปในแต่ละวันครับ แต่ก็เพื่อความเบาบางของกิเลสและเพื่อความบริสุทธ์ของจิตที่ยิ่งขึ้นไปครับ อย่างเมื่อวานเป็นการพิจารณาความเป็นจริงเรื่องความสกปรกของร่างกายขันธ์ห้าครับ ในส่วนที่สามจึงจะเป็นตัววิชชาหรือความรู้พิเศษตามชื่อของกระทู้นี้ ตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนท่านจะส่งมอบให้ตามที่ท่านจะเห็นสมควรครับ
---ท่านที่ปฏิบัติตามแล้วมีผลจะพบว่า เรารู้สึกว่าใจเราสบายขึ้น นิ่งขึ้น สงบขึ้น จนใจอยากเข้าสู่สมาธิเสมอ ส่วนความเป็นทิพย์ของจิตที่ปรากฏจะมีผลทำให้มีลางสังหรณ์ หรือ ซิกเซนท์ มากขึ้นบ่อยขึ้น บางทีนึกอยากได้อะไรก็มีคนเอามาให้ หาให้เองโดยไม่ต้องบอก เริ่มได้ยินหรือรู้สึกได้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรมีการตัดสินใจที่นิ่งขึ้น แม่นยำขึ้น เมื่อมีปรากฏการณ์เช่นนี้ให้ทำใจเป็นอุเบกขาอย่ายินดียินร้าย หรือทะนงตนว่าเราเก่งเราวิเศษเด็ดขาด เพราะจะทำให้ธรรมมะและคุณธรรมที่ได้เสื่อมลง ให้วางกำลังใจว่าเพราะจิตใจเราที่เป็นกุศล มุ่งทำความดี สิ่งศักดิ์สิทธ์ท่านจึงคุ้มครองและส่งผลให้ คุณธรรมเหล่านี้ปรากฏ และเราจะใช้ปรากฏการณ์พิเศษเหล่านี้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดี ยิ่งๆขึ้นไปจนกว่าเราจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---ขอบารมีพระท่านให้สงเคราะห์เราให้ปรากฏ "ดวงจิตเป็นแก้วใส"อันเป็นดวงจิตของเราพร้อม "ตัวรู้" ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของอาทิสมานกายด้วยเถิด เมื่อดวงจิตของเราปรากฏขึ้นลองเคลื่อนย้ายดวงจิตขึ้น ลง ไปซ้าย ไปขวา ให้ได้ดังใจนึก จากนั้นบังคับดวงจิตให้ลอย อยู่เหนือ อาทิสมานกายที่นั่งอยู่บนพระนิพพาน จากนั้น ใช้ตัวรู้ในดวงจิตรับภาพที่ปรากฏอยู่โดยรอบของพระนิพพาน จะรู้สึกว่าตัวรู้ของจิตนั้นเห็นสัมผัสได้โดยรอบไม่มีหน้าไม่มีหลัง ด้วยความเป็นทิพย์ ลองเคลื่อนดวงจิตลงมาจากพระนิพพานโดยยังคงอาทิสมานกายอยู่ข้างบน ให้ดวงจิตเลื่อนลงมาอยู่ใน ศีรษะของกายเนื้อบนโลกมนุษย์ เปลี่ยน อายตนะ จากการรับรู้ด้วยตาเนื้อ มาเป็นการสัมผัสและการรับรู้ได้ด้วยใจ ด้วยความรู้สึกที่เป็นทิพย์ ลองใช้ความรู้สึกที่ไม่ใช่ตา มองหรือสัมผัสภาพด้วยใจ ท่านที่ทำได้จะเห็นได้รอบทิศทางเช่นเดียวกับที่อยู่บนนิพพาน เมื่อฝึกใช้ใจสัมผัสจนคล่องแล้วต่อไปจะเข้าสู่ วิปัสนาญาณในเรื่องอาหาเรปฏิกูลสัญญา หรือการพิจารณาอาหารที่เราเห็นว่าเอร็จอร่อย หอมหวล สวยงามนั้น แท้ที่จริงมีสภาวะเป็นอย่างไร การพิจารณานี้เป็นไปเพื่อการคลายกำหนัดยินดีและหลงติดในรสชาดอาหาร อันจะช่วยทำให้กิเลสเบาบางลง
---อธิฐานขอให้ดวงจิตพร้อมตัวรู้ของเรา เป็นลูกแก้วใส ขนาดเท่าประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง ให้จิตเรามีตัวรู้และอายตนะรู้เห็นสัมผัส ได้กลิ่นได้ยินเสียง เป็นปกติ จากนั้นเริ่มพิจารณาว่า อาหาร อันมีหมูเห็ดเป็ดไก่กุ้ง และอาหารอันปราณีตโอชะทั้งหลาย ล้วนชวนให้เราบุกบั่น ไปชิมไปกิน ไปซื้อหามา ไม่ว่าจะแพงเพียงไร แต่แท้ที่จริงแล้ว เมื่อล่วงเข้าสู่ปากจะมีสภาวะเช่นไร จากนั้นให้ดวงจิตพร้อมตัวรู้ของเราลอยเข้าไปในปากของเราพร้อมกับให้ตัวรู้ในจิตได้รับทราบว่าในขณะที่อาหารที่อยู่ในปากถูกบดเคี้ยวอยู่ คลุกเคล้ากับน้ำลายมีสภาวะเป็นเช่นไร ใช้จิตสัมผัสรับรู้พิจารณาด้วยใจเป็นอุเบกขา จนจิตมีความเข้าใจ จากนั้นเลื่อนดวงจิตของเราลงไปพร้อมกับอาหารผ่านลำคอลงไปสังเกตุว่ามีเมือกไคลอยู่ในลำคอ ใช้จิตสัมผัสว่ามีความสะอาดหรือสกปรก มีกลิ่นหอมหรือเหม็น อธิฐานขอว่าให้การพิจารณานี้ด้วยสติและใจที่เป็นอุเบกขา ขออย่าให้เกิดอาการกระอักกระอ่วนหรือคลื่นไส้ ใดๆปรากฏขึ้นกับร่างกายทั้งสิ้น ซ้ำยังขอให้ลูกแก้วนี้ผ่านลงไปชำระธาตุในร่างกายให้สะอาดบริสุทธ์แข็งแรงขึ้นประหนึ่งโอสถทิพย์ด้วยเถิด จากนั้นเคลื่อนดวงจิตลงไปยังกระเพาะอาหาร ใช้จิตสัมผัสดูภายในว่ามีอาหารเก่า อาหารใหม่เป็นเช่นไร สภาพกรดในกระเพาะมีอาการกัดย่อยอย่างไร ใช้จิตดูว่าน่ากินน่าสัมผัสหรือไม่ มีกลิ่นหอมหรือเหม็น สัมผัสอาการบีบรัดตัวของกระเพาะอาหารดู ไหนๆมาแล้วใช้จิตสำรวจดูว่ามีรอยแผลในกระเพาะหรือไม่ สภาพกรดเข้มไปไม๊ จิตจะมีตัวรู้รับรู้ได้เอง
---เมื่อผ่านลงมาด้านล่างของกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก เคลื่อนจิตไปตามลำไส้ จะพบคราบเมือก คราบอาหาร เกรอะกรัง ใช้จิตสัมผัสดูว่า สีสรรเป็นอย่างไร สะอาดหรือสกปรก มีกลิ่น หอมหรือเหม็น เคลื่อนผ่านไปจนเกือบถึงลำไส้ใหญ่ สังเกตุดูว่ามีพยาธิ ชนิดต่างๆ อยู่มากน้อยเพียงไร มีสภาพอย่างไร ถ้ามีก็จงไปถ่ายยา ถ้าไม่มีก็ดีแล้ว จากนั้น เคลื่อนจิตต่อไปจนถึงลำไส้ใหญ่ ที่ซึ่งเราจะมาเจอของจริงคือ อาหารเก่าหรือที่เรียกกันว่าอุจจาระนั่นเอง ลองใช้จิตเกลือกดูว่าอุจจาระมีสภาพสภาวะอย่างไร แล้วน้อมจิตตริตรองว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อันร่างกายขันธ์ห้าไม่ว่าคนว่าสัตว์นั้น เปรียบประดุจดังถุงหนังที่ดูสวยงามแต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความโสโครกมีอุจารระปัสสาวะเป็นต้น บัดนี้ดวงจิตของข้าพเจ้าได้เข้าใจอย่างซาบซึ้งในดวงจิตขณะนี้แล้วว่า เป็นจริงตามพระพุทธวจนะทุกอย่าง ทุกประการ เมื่อจิตสัมผัส จนจิตเกิดเห็นจริงและเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายแล้วจึงเคลื่อนดวงจิตผ่านออกมาทางทวาร และดูความสว่างของจิต พิจารณาว่าจิตดวงนี้อยากอยู่ในร่างกายร่วมกับอุจจาระ หรืออยากยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน เมื่อตัดสินใจได้แล้ว สำหรับท่านที่อยู่บนพระนิพพานแล้ว ถ้าวิสัยสาวกภูมิ ขอนิพพานชาตินี้ ขอให้อธิฐานว่า ร่างกายอันเป็นของไม่สะอาดสกปรกนี้เราขอใช้เพียงชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ที่เดียว จุดเดียวที่เราต้องการคือพระนิพพาน
---ส่วนท่านที่เป็นพุทธภูมิอธิฐานว่าขอให้วิปัสนาญาณนี้เราได้ทำให้แจ้ง ทั้ง อัตถะ พยัญชนะโดยพิสดาร ติดตัวไปทุกภพชาติเพื่อใช้สร้างบารมีสั่งสอนเวไนยสัตว์ตราบจนบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ
---ส่วนท่านที่ตัดสินใจอยู่กับกายเนื้อให้พิจารณาใหม่เข้าไปในปากอีกรอบ จนจิตเห็นจริงและเข้าใจในอาหาเรปฏิกูลสัญญา อย่างแท้จริง
--- ที่ได้ฝึกไปนี้ได้ทั้ง วิปัสนา ในอาหาเรฯ ทั้งการเปิดจิตให้ปรากฏอายตนะห้า ทั้งการใช้จิตสแกนดูร่างกายเพื่อใช้ประกอบการรักษาโรคซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมพิสดารต่อไป ส่วนท่านที่มีความเพียรสูง หรือวสัยพุทธภูมิ ให้ลองใช้ดวงจิตแยกกองและเข้าไปสัผัส ในอาการ สามสิบสองดูทีละกองจนครบดูครับ จะพบความก้าวหน้าของจิตที่เข้าใจในวิปัสนาญาณอย่างมากขึ้นครับ
---เมื่อจิตคลายตัวจากการยึดมั่นถือมั่นลงแล้ว ให้ใช้อาทิสมานกาย กราบขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอได้โปรดเชิญ ท่านพระยายมราช ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย พ่อแม่ในอดีตชาติ เทพพรหมเทวาที่ท่านมีพระคุณ คอยปกปักรักษาดูแลข้าพเจ้า และครอบครัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ขอให้ท่านเมตตามาปรากฏเบื้องหน้าอาทิสมานกายของข้าพเจ้าด้วยเทอญ จากนั้นแยกอาทิสมานกายพร้อมดอกบัวแก้วน้อมถวายทุกท่านและกราบลงที่เท้าของทุกท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ
---จากนั้นอธิฐาน ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำมานับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ขอให้มารวมตัวกัน ณบัดนี้ และขอน้อมถวาย บูชาแก่ทุกๆท่านเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที และนับแต่นี้เป็นต้นไปจนข้าพเจ้าถึงซึ่งพระนิพพาน ขอให้ทุกๆท่านได้โมทนาและมีส่วนร่มในบุญในกุศลทุกอย่างทุกครั้งไปด้วยเทอญ ขอให้ท่านพระยายมราช และแม่พระธรณีได้เป็นพยานบุญในการทำความดี ทำกุศลของข้าพเจ้าทุกอย่างทุกครั้ง หากแม้นข้าพเจ้าพลาดพลั้งในการวางอารมณ์ใจก่อนตาย ก็ขอให้พระยายมราชท่านได้ เป็นพยานบุญให้ข้าพเจ้าเพื่อการจุติไปในที่สุขติด้วยเทอญ
หากแม้นมีหมู่มาร คิดร้ายทำลายการสร้างบารมีของข้าพเจ้า ก็ขอให้แม่พระธรณีท่านได้มาช่วยเป็นพยานเฉกเช่นที่เคยปรากฏกับพระพิชิตมารมาในอดีตด้วยเทอญ
หากแม้นมีภัยอัตรายใดก็ขอให้ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านเมตตาคุ้มครองข้าพเจ้าจากภัยอันตรายทั้งปวงทั้งสี่ทิศด้วยเทอญ
ขอแม่พระธรณีรักษาอย่าให้ข้าพเจ้าผจญกับภัยธรณีพิบัติ
ขอแม่พระคงคารักษาอย่าให้ข้าพเจ้าผจญกับภัยทางน้ำ
ขอแม่พระเพลิงรักษาอย่าให้ข้าพเจ้าผจญกับภัยแห่งไฟ ระเบิด รังสี ทั้งปวง
ขอแม่พระพายรักษาอย่าให้ข้าพเจ้าผจญกับภัยจากลม จากพายุ
และขอหมู่มวลเทวาปกปักรักษาข้าพเจ้าทั้งยามหลับยามตื่น ให้เจริญทั้งทางโลกทางธรรม ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติด้วยเทอญ
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
--- ขอกราบ โมทนาบุญทุกๆท่านที่ทำได้ครับ ที่ผ่านไป เปรียบเหมือกับพิธีมอบตัวให้ เทวดาผู้ใหญ่ท่านได้รู้จักและคุ้มครองรักษา ซึ่งจะช่วย และบรรเทาอันตรายให้ท่านได้อีกส่วนหนึ่งครับ ถ้าไม่เกินอำนาจกฏของกรรม
เข้ามาดึกหน่อยครับ . วันนี้เราคุยเบาๆฝึกเบาๆนะครับจะได้เป็นการผ่อนอารมณ์ไม่ให้หนักเกินไปครับ แต่สำหรับท่านที่อารมณ์ยังเข้มข้นก็ลองทบทวนของ วัน สองวันก่อนซ้ำได้ครับ
---วันนี้เป็นวันแม่ ผมขอให้ทุกคนคิดถึงพระคุณของแม่ของเราครับ ถ้าไม่มีแม่เราทุกคนคงไม่มีวันนี้ และเราควรระลึกถึงพระคุณของท่านไว้เสมอครับ พระคุณของแม่นั้นเป็นเหมือนพรหมของลูก นั่นคือ มีแต่ความเมตตา ปราณีต่อบุตรโดยไม่หวังผลตอบแทน หวังเพียงให้บุตรของเราได้ดีมีความสุขความเจริญ เราสามารถนำอารมณ์ใจนี้ไปใช้ในการปฏิบัติได้เช่นกันในการทำความดี เราทำจิตใจ เราให้เหมือนเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุคคลที่เราสงเคราะห์สั่งสอนช่วยเหลือ โดยเฉพาะท่านที่มีอาชีพเป็น แพทย์พยาบาล ครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ขอให้ท่านตั้งกำลังใจไว้ว่า เราจะรักษา พยาบาล ผู้ป่วยไข้ ด้วยความเมตตา เช่นเดียวกับที่เราพึงทำให้บุตรของเรา ส่วนท่านที่เป็นครูก็จงตั้งกำลังใจว่า เราจะพึงดูแลสั่งสอนศิษย์ ด้วยความรักความเมตตาเช่นเดียวกับการอบรมสั่งสอนบุตรของเรา ความเจริญรุ่งเรืองของศิษย์คือความสุข ความภูมิใจของเรา เมื่อนั้นท่านได้ทรงกำลังใจของพรหมในการประกอบวิชาชีพ และอานิสงค์นี้จะทำให้ท่านเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน และเป็นที่รัก ที่เคารพ ของหมู่คนทั้งหลาย
---นอกจากนี้เราจะมาคุญถึงการตอบแทนพระคุณต่อบิดามารดา
1.อย่าทำให้ท่านทุกข์ใจ ไม่สบายใจ อย่าดุด่าท่าน ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจท่าน เพราะ กรรมเหล่านี้เป็นกรรมหนัก ในสาย อนันตริยกรรม อันมีผลห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ทำบิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าพ่อฆ่าแม่ เป็นกรรมหนัก ยิ่งนักกรรมในสายนี้พึงหลีกเลี่ยงเพราะ ถึงท่านจะทำความดีมามากแค่ไหน แต่ถ้าท่านปฏิบัติต่อบิดามารดาด้วยความหยาบช้า ย่อมเป็นที่ติเตียนของทั้ง มนุษย์และเทวดา ส่วนท่านที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความเคารพ ทุกคนย่อมสรรเสริญและค้มครอง
2. ดูแล ปรนนิบัติท่านให้สุขสบาย เลี้ยงดูรักษาพยาบาลท่านยามแก่ชรา
3.ทำตนให้เป็นคนดี ไม่ให้ท่านต้องกังวลใจ
4.เมื่อเห็นท่านทำผิดพลาดในทำนองคลองธรรม ก็พึงตักเตือนอย่างรักษาน้ำใจท่าน
5.ชักจูงท่านให้มีจิตน้อมเข้ามาในทางบุญ ทางกุศล
6.พยายามให้ท่านเข้าถึง สัมมาทิษฐิ ไตรสรณคมม์ และ องค์แห่งพระโสดาบัน
7.หากเป็นชายมี โอกาสได้บวชเรียน ก็จงตั้งใจบวชเรียนให้จริงเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน
8.ทำสิ่งดีๆให้ท่าน ได้สุขใจชื่นใจตั้งแต่ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
9.จงจำไว้ว่าสิ่งที่คุณทำเพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้น พ่อแม่เคยได้ทำให้คุณมากกว่าเป็น สิบเป็นร้อยเท่า
หวังว่าทุกคนจะมีความสุข ความอบอุ่นกับคุณแม่และครอบครัวในวันแม่ปีนี้ครับ
ต่อไปเป็นการแบ่งความเข้มข้น ของอารมณ์ใจในการปฏิบัติครับ จะได้ใช้พิจารณาและปรับให้เหมาะสมครับ
1. สภาวะที่ใจยังข้องอยู่กับทางโลก ช่วงนี้จะไม่ค่อยสนใจธรรมมะเท่าไร คนมาพูดมาเล่าให้ฟังก็สนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง ถ้าใจหันไปในทางบาปทางชั่ว ก็จะห่างจากธรรมไปเรื่อยๆ แต่ถ้าคนที่มีบารมีเก่ามาหนุนเนื่อง จะมีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ หรืออยู่ๆเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้เอง หรือมีเหตุการณ์ อัศจรรย์ที่มาเปลี่ยนชีวิตให้หักเหเข้าสู่ทางธรรม
2.มีความสนใจในธรรม ช่วงนี้ จะเริ่มอยากอ่านหนังสือ หาความรู้ เริ่มรู้จักทำบุญ ไปไหว้ครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่เข้าใจการปฏิบัติ จริงๆว่ามีอารมณ์อย่างไร วิปัสนาญาณยังไม่เข้าเนื้อจิต คือรู้ตามประโยคในหนังสือ รู้สักแต่ว่ารู้ ยังไม่ใช่รู้ซึ้งเต็มหัวใจ ช่วงนี้ยังมีความสงสัย และสับสนในการปฏิบัติอยู่ ว่าทางไหนถูก วิธีไหนเหมาะ สำนักไหนดี จุดนี้ถ้าผ่านได้เร็วก็ดี แต่บางท่านก็ไม่ผ่านติดอยู่ตรงจุดนี้ตลอดชีวิตเลยก็มี จึงทำให้สับสน และวิจารณ์สำนักนั้นสำนักนี้อยู่ แต่การปฏิบัติของตนไม่ก้าวหน้า วิธีผ่านจุดนี้คือ ตั้งจิต อธิฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้พบได้เจอ ครูบาอาจารย์ที่ตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ และได้มาแนะนำสั่งสอน ข้าพเจ้าให้มีความเจริญก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ " บางท่านก็จะมีเหตุให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่มีกายเนื้อ หรือบางท่านก็อาจได้พบ กับครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อ มาโปรด มีหลายท่านที่มีมาโปรดในรูปกายหยาบ และบางท่านมาโปรดในนิมิตรก็มาก
3.สภาวะที่เริ่มสัมผัสธรรม เหมือนจิตได้รับรู้รสพระธรรม ได้รู้จักความสุขจากความสงบ ความสุขจากการให้ การแผ่เมตตา ความสุข จากการปล่อยวางจากร่างกายและวัตถุ ช่วงนี้จะมีความก้าวหน้าทางจิตใจ และจะอยาก บอก อยากสอน อยากให้ธรรมมะกับคนอื่นๆและคนใกล้ตัวมากๆ ซึ่งเป็นความดีครับ แต่ต้องพิจารณาผู้รับด้วยว่าเขาหิวหรือไม่ ท่านที่ได้ทิพยจักษุญาณ หรือมโนมยิทธิช่วงนี้ก็ถือว่าซนที่สุด เที่ยวแหลก ไปดูนั่นดูนี่ อยากรู้อยากเห็นเพราะเป็นของแปลกของใหม่ เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเกือบทุกคน แต่ควรดูความเหมาะสมและระวังเรื่องการปรามาสพระรัตนไตยอย่างยิ่ง
4.สภาวะใจที่เบื่อๆ อยากๆ ช่วงนี้ ถ้าอยู่ในช่วงการปฏิบัติก็จะตัดกิเลสได้ แต่พอ มีสิ่งเร้าทางโลกมากระตุ้นก็จะหันมาทางโลก ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะที่พอไปปฏิบัติธรรมที่วัด ก็ทำได้ดี ก้าวหน้า แต่พอกลับบ้านก็คืนพระท่านไว้ที่วัดหมด วิธีแก้คือ เก็บกับมาบ้านบ้างเช่น ตั้งใจรักษาศีลให้ได้ และหมั่นไปชาจจ์แบตตารี่โดย ไปถือศีลปฏิบัติที่วัดให้ได้สักปีละครั้งเพื่อฟื้นอารมณ์จิตให้สะอาด
5.สภาวะที่อารมณ์แนบในธรรมมะ ช่วงนี้มักเป็นกำลังในสติปัฐฐานสี่เข้ามาส่งผล จะมีอารมณ์ที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เป็นวิปัสนาญาณอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต มีสติเต็มรอบเต็มที่ กำหนดเวลาได้เป็นวินาที่ ช่วงนี้ต้องระวังอารมณ์ใจอย่าให้อารมณ์หนักไป ตึงไปเด็ดขาด และห้ามปฏิบัติอุกฤษจนเกินทางสายกลางของตนเอง เพราะจะทำให้อาจเกิดวิปปราสเอาได้ ต้องรักษาใจให้สบายเบาโปร่ง มีความสุขเสมอ ใช้สติกำกับในนิมิตรที่ปรากฏไว้เสมอ ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ ท่านจะก้าวหน้าในธรรมมะอย่างมากๆ โดยเฉพาะท่านที่มีวิสัยสาวกภูมิ ถ้าตั้งใจตัดสังโยชน์ สิบด้วยอารมญ์ที่ถูกต้อง ในสภาวะนี้ จิตจะยกขึ้นสู่โลกุตรภูมิได้ไม่ยากอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สามารถบรรลุธรรมได้ ใน 7 วัน อย่างเร็ว 7 เดือน อย่างกลาง 7 ปี อย่างช้า ได้จริงๆ แต่อย่าไปหลงว่าเราบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้เด็ดขาด เพราะจะเป็นวิปัสนูปกิเลส ให้หมั่นติเตียนเพื่อปรับปรุงใจเราให้ก้าวหน้าในคุณธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไปอีก
6.สภาวะเห็นธรรมดาในธรรมดาสังขาร จิตเต็มไปด้วยความเป็นอุเบกขา เห็นธรรมดาในทุกสิ่ง เห็นธรรมดาในสังขารร่างกาย จิตใจนิ่งไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว เห็นเหตุการณ์อัศจรรย์ ก็เห็นว่าเป็นธรรมดาในเหตุ ในปัจจัย มีความเข้าใจในทุกคนทุกสิ่ง ใจสบาย มีความสุขที่สุด ไม่เดือดเนื้อร้อนใจใด ไม่มีความสงสัยใดๆ
ก็ได้อธิบายให้ฟังแล้วขอให้ทุกๆท่านได้ใช้ปัญญาพิจารณาเปรียบเทียบ และปรับแก้ไขการปฏิบัติ เพื่อความก้าวหน้าในธรรมของทุกท่าน ครับ ผมขอกราบโมทนาในความดีความก้าวหน้าด้วยครับ
สำหรับวันนี้เรามาเข้าเรื่องการฝึกภาคปฏิบัติของเราต่อครับ ก่อนลงผมจะสวดมนต์นั่งสมาธิกราบถามพระท่านก่อนแนะนำการปฏิบัติครับ ช่วงนี้ในภาคของวิปัสนาญาณถามพระท่านว่าทำไมเน้น กายคตา และอสุภกรรมฐานจังเลย ท่านบอกว่า จะได้ใช้เยอะ เลยอยากให้ชินให้ชำนาญในการพิจารณาให้เห็นสังขารเป็นธรรมดาครับ
---ขอทบทวนในสิ่งที่ท่านได้ฝึกฝนกันมาครับ ขอตั้งเป็นคำถามให้ท่านตอบเองในจิตของตัวเอง ถ้ายังทำไม่ได้ ตอบไม่ได้ให้ลองกลับไปทบทวนใหม่ครับ
1. อารมณ์ใจสบายมีความสำคัญอย่างไร และท่านทำได้เป็นปกติแล้วหรือยัง
2. สัมมาทิษฐิ ประกอบไปด้วยความเชื่อ ความรู้อะไรบ้าง ถ้าใจเราเป็นมิจฉาทิษฐิจะเกิดผลอะไรในการปฏิบัติ
3. เหตุใดการได้ไตรสรณะคมม์จึงเป็นคุณธรรมในการตัดสังโยชน์สิบ
4. อารมณ์ใจหรือผลของวิปัสนาญาณที่เราต้องการในการปฏิบัติ คืออารมณ์เช่นใดที่ใช่ และอารมณ์เช่นไรที่ไม่ใช่ และเกิดโทษเช่นไร
5. ความสำคัญของการอธิฐานคืออะไร ทำไมจึงต้องมีการฉลาดในการอธิฐาน
6. จิตใจที่ดีงามบริสุทธิ์เป็นเช่นไร ทำได้หรือยัง
7. แยกความคิดกับญาณทัศนะที่ผุดรู้ขึ้นเองในจิตได้หรือไม่ บอกข้อแตกต่างออกไม๊
---ขอ 7 ข้อก่อนครับ ไม่ค่อยทำการบ้านหรือ ยกมือถาม ตอบเลยต้องให้ทบทวนเพื่อให้เกิดความรู้ในใจของตนเองครับ
เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---ขอบารมีพระท่านให้ทรงสงเคราะห์ ปรากฏกายเนื้อของข้าพเจ้าอยู่บนพระนิพพาน พร้อมกับอาทิสมานกายที่สว่างไสวแพรวพราว จากนั้นใช้จิตอันเป็นตัวรู้ออกมาพิจารณา กายเนื้อและอาทิสมานกายว่ามีความหยาบความละเอียด หรือสวยงามน่าดูกว่ากัน กายไหนหอมกว่า สะอาดกว่า จากนั้นกำหนดให้กายเนื้อนั้น นอนลงบนแท่น อธิฐานว่ากายเนื้อที่ปรากฏนี้เป็นนิมิตรเพื่อพิจารณาในสังขารร่างกาย ขออย่าได้มีโทษอันใดต่อกายเนื้อจริงๆ แต่หากแม้เราได้มีโรคภัยไข้เจ็บผิดปกติ ณ อวัยวะส่วนใด ระบบ ใด ขอให้ ได้พบ เจอก่อน และมีผลในการรักษาผ่านกายนี้ด้วยเทอญ
--- จากนั้นอธิฐานให้ปรากฏมีดผ่าตัด ขึ้นในมือของอาทิสมานกาย และพิจารณาให้เห็นร่างกายเนื้อที่ทอดกายอยู่นี้เสมือนเป็นซากศพเมื่อ เราได้ตายลงสิ้นลมหายใจ และมองดูประหนึ่งเป็นสรีระร่างกายของบุคคลอื่น
---เมื่อพิจารณาแล้วให้ใช้มีดในมือ ค่อยกรีดข้ามศีรษะจากยอดหูขวาข้ามไปยังยอดหูซ้าย ลึกถึงผิวกระโหลก จากนั้นถลกหนังหัวขึ้นมาปิดหน้า ด้านหนึ่งถลกกลับมาปิดท้าทอยด้านหนึ่ง จนมองเห็นหัวกระโหลกขาว ช้ำเลือด ใช้มีดกรีดกระโหลก โดยรอบเหนือหูกรีดผ่านหน้าผากอ้อมรอบศีรษะจนรอยผ่ามาบรรจบกัน จากนั้น ใช้สองมือดึงกระโหลกออกมาวางจะปรากฏมันสมองอยู่ภายใน พิจารณาว่าสิ่งที่อยู่ภายใน นี้มีลักษณะสีสรร อย่างไร กลิ่นอย่างไร ในกาย ในกระโหลกของเรานี้ สะอาด หรือสวยงามหรือไม่ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้นจริงหรือไม่ จากนั้น ใช้สองมือประคองเอามันสมองออกมากองอยู่ใกล้ๆกายเนื้อ พิจารณาในอาการ 32 ว่ามีสภาวะเช่นไร
---เมื่ออารมณ์ใจเห็นธรรมดาในสังขารแล้ว ขยับมีดมากรีดตั้งแต่ ยอดอกใต้ลำคอลงมาถึง ท้องน้อยแหวก ซี่โครงออกทั้งสองข้างให้แบะออก จนมองเห็นปอด ตับไต ไส้พุงที่อยู่ในกายนี้ ใช้มือประคองปอดออกมาอยู่ทั้งทางด้านซ้ายด้านขวา เอากระเพาะลำไส้ออกมากองไว้ข้างๆกายจนหมด ในขณะที่มือของอาทิสมานกายได้สัมผัสอวัยวะก็ให้ใช้ใจและความรู้สึกสัมผัสเหมือนได้สัมผัสจริงด้วย ใช้อาทิสมานกายมาพิจารณาให้เห็นร่างกาย และสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายให้ละเอียด พิจารณาอวัยวะ ส่วนต่างๆในอาการ 32 ให้ละเอียดทีละชิ้น และให้เห็นแต่ละชิ้นค่อยๆเน่าเปื่อยผุพัง ไปจนหมด พิจารณาให้เห็นว่านี่คือสภาพและความเป็นจริงของร่างกายเรานี้ เมื่อเราตายลงเมื่อไหร่ เราก็จะไม่พ้นสภาวะเช่นนี้ และถึงแม้ร่างกายของบุคคลอื่นก็เช่นกัน ที่ว่ามีความสวยสดงดงาม แต่เมื่อตายลงก็ไม่พ้นสภาพนี้ เราเห็นจริงในสังขารและจะคลายความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น กายที่เราต้องการคืออาทิสมานกายกายนิพพาน ที่ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอาศัยอยู่ในร่างกายอันสกปรกเน่าเหม็นนี้อีก
---จากนั้น อธิฐานให้ซากอสุภะ ของกายเนื้อนั้นกลับมารวมกันดีดังเดิม จากนั้นอธิฐาน ประกอบร่างรวมธาตุใหม่ว่า ธาตุทุกธาตุ อวัยวะทุกส่วน อณูทุกอณูในร่างกายเนื้อของเรานี้ขอให้กลับมารวมกันด้วยความสมบูรณ์แข็งแรง ที่ไม่ปรกติก็ขอให้ปรกติ ไม่สมดุลก็ขอให้สมดุล ให้ข้าพเจ้านี้ได้อาศัยใช้ร่างกายเนื้อนี้สร้างบุญ สร้างบารมี สร้างความดี รักษาพระพุทธศาสนาสืบต่อไปด้วยเทอญ
---แล้วกราบขอฉัพพรรณรังสีจากพระพุทธองค์ ส่องลงมาฉาบทา กายเนื้อให้ใสเป็นแก้วระยิบระยับแพรวพราว กำหนดจิตว่าขอให้กระแสแห่งพระนิพพานนี้ฟอกล้างธาตุหยาบคือกายของข้าพเจ้านี้ให้ มีความสะอาด บริสุทธ์ทั้งกายวาจาใจด้วยเทอญ
---จากนั้นกำหนดจิตขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ขอเรียนวิชาแพทย์ ขอให้จิตเราได้เห็น ภาพของระบบทางเดินหายใจและการทำงานทั้งหมดด้วยเทอญ ใช้จิตสแกนดูการทำงานทุกส่วนอย่างละเอียด ตัวรู้จะทำให้เข้าใจทุกอย่างเอง
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบทางเดินอาหาร
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบหัวใจและหลอดเลือด
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบการทำงานของตับและไต
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบสมองและระบบประสาท
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบกล้ามเนื้อ
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบกระดูกและเส้นเอ็น
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบต่อมไร้ท่อและจักรทั้งเจ็ด อธิฐานเปิดจักระ
--จากนั้นขอดู ภาพ ระบบทางเดินลมปราณ อธิฐานทะลวงจุดลมปราณ เปิดจุดฝังเข็ม
ซึมซับความรู้ เหล่านี้ไว้ในจิตของเรา เพื่อไว้ใช้รักษาดูแลตัวเรา และเพื่อช่วยเหลือคนอื่นต่อไป
อธิฐานขอให้ญาณความรู้นี้ ติดตัวท่านที่มีวาสนาและหน้าที่สร้างบารมีต่อไปครับ
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
--- ขอกราบ โมทนาบุญทุกๆท่านที่ทำได้ครับ
หวังว่าท่านที่ทำได้จะปรากฏนิพพิทาญาณขึ้นในจิตไม่มากก็น้อยนะครับ ครับจิตปล่อยวางจากร่างกายได้มากเท่าไร จิตก็จะมีความสอาดและบริสุทธ์เพิ่มขึ้นตามไปด้วยตามลำดับ จะเห็นได้ว่าการฝึกที่ผ่านมานี้กับการอ่านหนังสือแล้วคิดตามจะมีการปรากฏเข้าใจและการฝังลึกในจิตแตกต่างกันอย่างมาก การรู้แต่เพียงในตำราจึงเป็นการรู้สักแต่ว่ารู้ ส่วนความรู้จากการปฏิบัตินี้จะเป็นความรู้จากญาณทัศนะ ทำได้แล้วฝังในจิตไปทุกภพชาติจนถึงพระนิพพานไม่มีทางสูญเปล่าครับ ในความรู้จากญาณทัศนะที่เกิดจากความบริสุทธ์ของจิตที่สูงนั้น เมื่อปรากฏขึ้นจะพบว่าในขณะจิตเดียวความรู้ในสิ่งต่างๆปรากฏขึ้นในจิตเราพร้อมกันมากมาย อุปมาเหมือนได้อ่านหนังสือเล่มใหญ่ๆจบทั้งเล่มในพริบตาเดียวครับ ความรู้ทั่วไปจากการเรียนรู้ เหมือนอ่านหนังสือทีละวรรค สิ่งที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ไม่ช้าท่านที่ตั้งใจปฏิบัติ จะได้รู้ได้เห็นได้ทราบประจักษ์ด้วยตัวท่านเองครับ ตอนนี้ก็มีคนทำได้หลายคนแล้วครับจากที่ได้เล่าให้ผมฟัง ก็ขอโมทนาบุญด้วยครับ
เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---น้อมจิตในอาทิสมานกายพิจารณา ในมรณานุสติกรรมฐาน ในอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาว่า "เรานี้ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ แต่เรารู้ว่าเราตายแน่นอนที่สุด เราไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้ แต่เราเชื่อและเคารพในพระรัตนไตยและคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราตายเราจะเลือกไปในสุขคติภูมิ และ ณ บัดนี้เราได้รู้จักและเห็นสภาวะของพระนิพพานแล้ว จุดสูงสุดที่เราจะไปคือพระนิพพาน ไม่ว่าเราจะปรารถนาพุทธภูมิ หรืออยู่ในวิสัยของ สาวกภูมิก็ดี ท้ายที่สุด ก็ต้องเข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทั้งหมด บัดนี้เราขอบารมีของพระพุทธเจ้าได้โปรดเมตตา สงเคราะห์ขอให้ข้าพเจ้าเมื่อตายก็ขอให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ สำหรับสาวกภูมิ ส่วนพุทธภูมิว่าเรานี้เมื่อตายจากอัตภาพนี้แล้วขอได้จุติใน สวรรค์ชั้นดุสิต หรือ พรหม ตามบารมีที่ได้บำเพ็ญมาด้วยเทอญ ขออย่าได้พลาดพลั้งตกสู่อบายภูมิเลย เพราะจะทำให้การบำเพ็ญของเราเนิ่นช้าออกไป และขอให้ความรู้และอารมณ์ใจในพระนิพพานที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นในชาตินี้ได้โปรด ติดตรึงในจิตของข้าพเจ้าต่อไปทุกภพชาติตราบเท่าเข้าสู่ พระปรินิพพาน ในชาติที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
---จากนั้น พิจารณาต่อไปว่า บัดนี้ เรา ได้แจ้งในจิตของเราแล้วว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราตั้งกำลังใจไว้ว่าจะไปที่ไหน ลองตรองดูว่าถ้าในขณะจิตที่เรากำลังพิจารณาอยู่นี้หากเราได้ตายลงไป เราจะมีความกลัวหรือไม่ เราได้สร้างบุญสร้างความดีไว้เพียงพอแล้วหรือยัง มีบุญกุศลความดีที่ยิ่งกว่าที่เราควรทำควรปฏิบัติหรือไม่ นำพระวจนะสุดท้ายของพระพุทธองค์ท่านมาพิจารณาเพิ่มที่ว่า จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ว่าถ้าเราคิดว่าเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ยังไม่ตายง่ายๆหรอก เป็นความประมาท บุญทาน การปฏิบัติ ไว้วันหลังบ้าง ไว้ตอนแก่บ้าง ก็เป็นความประมาท คิดว่าเราจะไม่ตาย ก็เป็นความประมาท เราลองพิจารณาว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเรานี้ ถ้า เราต้องตายในวินาทีนี้ เราสร้างบุญทำความดีมาพอแล้วหรือยัง และเราพร้อมที่จะเผชิญความตายนั้นได้อย่างมีสติหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วก็ขอให้เร่งทำความดี ไม่ประมาทว่าแม้จะเป็น ความดีเพียงเล็กน้อยก็ตาม และทำความดีให้ได้ทุกวันเป็นปกติ เหมือนเรากินข้าว อาบน้ำ และทำกำลังใจให้มีความกล้าหาญในการเผชิญกับความตายอย่างมีสติ
---พิจารณาว่าเมื่อเรารู้ว่าตายแล้วเราจะไปที่ไหนแล้ว ไม่ประมาทในชีวิตและการทำความดีแล้ว ลองย้อนพิจารณาถึงร่างกายของเรา และทรัพย์สินเงินทองของเราหรือไม่ เมื่อเราตายไปร่างกายเราก็ผุพังเน่าเปื่อยตามธรรมชาติ ทรัพย์สินเงินทองที่เคยสมมติกันว่าเป็นของเราก็เปลี่ยนสมมติไปเป็นของๆคนอื่นจนหมดสิ้น เราจะไปอาลัยอาวรณ์ด้วยเหตุใด ให้กลายมาเป็นการยึดติดในชาติภพสังสารวัฏไปด้วย ปล่อยวางว่า ทรัพย์สินเบื้องหลังนี้เราขอยกให้ลูกให้หลาน เป็นมรดกตกทอด ให้ลูกหลานได้ใช้กินใช้อยู่มีความสุขตามอัตภาพด้วยเถิด ส่วนซากสังขารร่างกายนั้น ขอให้เป็นธาตุทั้งสี่หล่อเลี้ยงกลับคืนสู่โลกใบนี้ด้วยเทอญ
---ส่วนท่านที่ได้บริจาคร่างกายให้กับโรงเรียนแพทย์ให้อธิฐานว่า "ขอให้ร่างกายสังขารของข้าพเจ้าได้เป็นครูสอนในกรรมฐานและเป็นความรู้ให้กับนักเรียนแพทย์ที่มีใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อคนไข้ขอให้เขาได้สร้างบารมีความดีในการรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเทอญ"
---ส่วนท่านที่ได้บริจาคดวงตาที่สภากาชาดไทย ให้อธิฐานว่า "ขอให้ผู้ที่ได้รับบริจาคดวงตาของข้าพเจ้าไปนั้น เป็นผู้ปฏิบัติในความดีและขอให้ ท่านผู้นั้นได้ดวงตาเห็นธรรมด้วยเทอญ"
---ส่วนท่านที่บริจาคอวัยวะ เช่นไต หัวใจ อธิฐานว่า "ขอให้อวัยวะของข้าพเจ้าช่วยต่อชีวิต ท่านผู้มีจิตใจดีงามอยู่ในศีลในธรรม ขอให้ชีวิตที่ได้รับของเขา ขอให้ทำแต่บุญแต่กุศลต่อสรรพสัตว์และเพื่อนมนุษย์ด้วยเทอญ"
---ส่วนผมนั้นอธิฐานว่า "มื่อข้าพจ้าได้ละสังขารจากร่างกายนี้แล้ว ก็ขอให้ซากสังขารของข้าพเจ้าได้สร้างบารมีต่อไปไม่มีที่สุดเเม้ในร่างผู้อื่นก็ตาม ขอให้ดวงตาของข้าพเจ้าได้เป็นดวงตาส่องทางให้ผู้ปฏิบัติจนได้รู้ได้เห็นจนถึงสภาพพระนิพพานด้วยเถิด ขอให้อวัยวะของข้าพเจ้าได้ใช้ต่ออายุของท่านผู้มีคุณความดี และได้ให้ท่านเหล่านั้นได้ใช้อวัยวะนี้สร้างบุญสร้างบารมีตราบจนสิ้นอายุขัย ส่วนซากร่างกายที่เหลือของข้าพเจ้าขอให้ได้เป็นอาจารย์สอนแพทย์ผู้มีจิตเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ที่จะรักษาคนไข้ และขอให้การปลง ศพครั้งสุดท้ายของร่างกายนี้ได้มีผลให้พระภิกษุที่ได้มาพิจารณา เกิดนิพพิทาญาณจนถึงอรหันตผลด้วยเทอญ ซากสุดท้ายที่ทำการกลบฝังก็ขอให้เป็นทาน แก่สัตว์มดแมลง ได้ดื่มกินเป็นภักษาหาร มังสาหาร ต่อชีวิตตนเป็นทานด้วยเทอญ
---ท่านผู้ใดจะไปบริจาคและอธิฐานตามอย่างนี้ก็ได้นะครับ และขอกราบโมทนาด้วยครับ
---เมื่อพิจารณาความตาย จนจิตเกิดความเห็นจริงในความปกติของความตายแล้ว ใจของเราจะเด็ดเดี่ยวตั้งมั่น ไม่กลัวความตาย และยิ่งทำให้มั่นคงในความดียิ่งๆขึ้นไปอีก
---เมื่อพิจารณาความตายแล้วขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขอให้ได้เห็นวิมานของข้าพเจ้าบนสถานที่นั้นๆด้วยเทอญ จากนั้นนำอาทิสมานกายไปนั่งในวิมานของจนให้จิตมีความชิน แล้วอธิฐานว่า "เมื่อข้าพเจ้าตายลงเมื่อไร ขอให้อาทิสมานกายของข้าพเจ้ามาที่จุดนี้ด้วยเทอญ" ขอให้จำอารมณ์และสถานที่นี้ไว้และมาให้บ่อยๆ ทุกครั้งที่ต้องการ
---จากนั้นกราบพระพุทธเจ้าและทุกๆท่านที่มีพระคุณ
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
--- ขอกราบ โมทนาบุญทุกๆท่านที่ทำได้ครับ
วันนี้ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องเบาๆแต่มีความสำคัญมากๆ ก่อนครับ
ในการที่เราเป็นเราอยู่ในทุกวันนี้นั้น สิ่งที่ประกอบกันเป็นเรา นอกเหนือจากร่างกายแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดคือจิตครับ จิตนั้นแตกต่างกันในแต่ละบุคคลอย่างสิ้นเชิง แต่ในความเป็นจริงนั้น จิตทุกๆดวงมีสภาวะเหมือนกันหมด คือจิตที่ประภัทสรครับ ได้แก่จิตที่ปราศจากกิเลส สะอาดบริสุทธิ์งดงาม แต่เมื่อมีสิ่งเร้า แรงกระตุ้น จะด้วย กิเลส สัญชาติญาณ ธรรมชาติก็ตาม ก็เป็นตัวฟอกย้อมให้จิตใจของเราปนเปื้อน หม่นหมองทุกข์ใจ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีของวิเศษ และงดงาม อยู่กับตัวเองอยู่แล้วแท้ๆ และ จิตดวงนี้ก็มีพลานุภาพมากมายมหาศาลครับถ้าเราใช้พลังงานของมันในเชิงสร้างสรรค์ครับ แต่การจะใช้พลังแห่งจิตนี้ได้เราต้องทำให้มันบริสุทธิ์ที่สุดซะก่อน โดยการชะล้างจิตให้เบาบางปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองไปทีละน้อย และเติมพลังงานให้แก่จิตใจด้วยความเมตตา ข้อพิสูจน์นี้ก็คือเมื่อไรที่เราแผ่เมตตาเราจะรู้สึกสัมผัสได้เลยว่า จิตเรามีพลังและขยายกว้างใหญ่จนสุดจักรวาล แต่เมื่อไรที่เรารู้สึกเห็นแก่ตัวจิตของเราจะหดเล็กเหมือนถูกขังอยู่ในกล่องเล็กๆ แคบๆมืดๆ เมื่อเราได้รู้จักแล้วว่า แท้ที่จริงเรามีจิตใจที่งดงาม และทรงพลานุภาพ อยู่อันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา แต่เรานั้นจะรู้จักคุณค่าของมันอย่างแท้จริงได้หรือไม่ เราใช้เวลาในการเรียนรู้ในบางสิ่งบางอย่างมาตลอดชีวิตแต่เมื่อตายไปความรู้นั้นก็ดับสูญไปพร้อมๆกับร่างกายของเรา แต่ ความรู้ในการทำจิตใจให้บริสุทธิ์นั้นกลับติดตัวเราไป ทุกภพชาติ ตลอดการเดินทางอันนานแสนนานในสังสารวัฏอันยาวไกลไม่สิ้นสุด
---ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าใน จิตใจที่ดีงาม ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่เลวร้าย มีคนที่มาทำร้ายจิตใจเราให้ชอกช้ำ เจ็บช้ำ เพียงไร เราก็จะไม่ยอมสูญเสียจิตใจที่ดีงามของเราไปเด็ดขาด เราจะรักษามันไว้และดูแลมันอย่างดีที่สุด เพราะมันคือจิตวิญญานที่เป็นหนึ่งเดียวกับเรานั่นเอง ความงดงามของจิตใจ จะดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตของเราเสมอ สำหรับผม แล้ว มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นกับตัวผมเองและคนที่เชื่อมั่นในจิตใจที่ดีงามในทุกๆวันครับ และผมไม่เคยแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าสิ่งมหัศจรรย์ทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นกับผมนั้นเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ การที่ครูบาอาจารย์ท่านมาเมตตาสงเคราะห์ การที่ผมได้มีจิตเข้าใจในธรรมเพียงเล็กน้อยขนาดนี้ ในทุกๆความสุขที่เกิดขึ้นกับผมในทุกเวลา ทุกนาที ทุกสถานที่ นั้นเป็นเพราะจิตใจที่ดีงามที่ผมเชื่อมั่นและศรัทธาครับ
---และ ณ บัดนี้ ผมขออธิฐานให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักความเมตตาของจิตใจที่งดงามนี้ ได้งอกงามในจิตใจของท่านทุกคน และค่อยๆผลิดอกใบอันงดงามในไม่ช้าครับ
ar nu mo tha na sa too(verygood)
ขอโทษที่หายไปวันหนึ่งครับ บังเอิญติดงานครับผม
มาฝึกกันต่อเลยดีกว่าครับ วันนี้พระท่านให้ฝึกทบทวนอารมณ์พระโสดาบันด้วยอาทิสมานกายบนพระนิพพานครับ เพราะอารมณ์ใจที่ได้จะแนบสนิทและฝังในจิตได้มากกว่าการพิจารณาจากสภาวะสมาธิของกายเนื้อครับ อารมณ์พระโสดาบันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า องค์หลวงพ่อ และพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านมุ่งเน้น ให้เราเหล่าพุทธบริษัทสี่ได้เข้าใจและเข้าถึงซึ่งความดีนี้เพราะเป็น การก้าวข้ามจากโลกียะเข้าสู่โลกุตตระ ความเป็นพระอริยเจ้า เป็นการก้าวสู่ความดียิ่งๆขึ้นไปไม่มีเสื่อมถอย เป็นการปิดอบายภูมิทั้งปวง เป็นความไม่คลาดจากพระนิพพานไม่เกิน 1ชาติ 3 ชาติ 7 ชาติ รายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ ศึกษาหาข้อมูลเรื่องอารมณ์พระโสดาบันได้จากคำสอนพระราชพรหมยาน ในเวปนี้ได้ครับมีทั้ง บทความและไฟล์เสียงที่ท่านเทศน์โดยตรงครับ เป็นข้อมูลเพิ่มเติมครับ นอกจากนี้ให้ไปหาข้อมูลเพิ่มในเรื่องสังโยชน์สิบครับ ท่านที่ เคยทราบแล้วก็ขอให้ลองกลับไปทบทวนและพิจารณาตนในอารมณ์การตัดสังโยชน์สิบใหม่ดูว่า คุณธรรมข้อไหนมีแล้ว ก็ควรให้เจริญก้าวหน้าขึ้น คุณธรรมข้อไหนเรายังขาด ก็เสริมเพิ่มให้มี สังโยชน์ข้อไหนตัดได้ สังโยชน์ข้อไหนยังตัดไม่ได้ ถ้าตัดได้แล้วเข้าถึงความเป็นธรรมดาปรกติ แล้วหรือยัง (อยู่ในเนื้อจิตเหมือนเป็นเรื่องปรกตินิสัย) หรือยังต้องวิรัติ ยังต้องระมัดระวังใน ศีล และสังโยชน์ ทั้งสิบประการ
---หมั่นศึกษา พิจารณาให้เป็นปรกติทีละเล็กทีละน้อยด้วยอารมณ์ สงบ สบาย แล้วท่านจะมีความก้าวหน้าในธรรมครับ
เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของเราได้เข้าถึงสภาวะแห่งอารมณ์ในองค์ของพระโสดาบันด้วยเทอญ
---จากนั้นน้อมจิตพิจารณาในคุณธรรมแห่งพระโสดาบันโดย พิจารณาใน สักกายทิฏฐิ ว่าเรามีความมัวเมาในร่างกายและประมาทในความตายอยู่หรือไม่ ใช้จิตอันเป็นทิพย์ของเราพิจารณา ความเป็นไปในร่างกายของเรา นี้ว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมีความป่วยไข้ไม่สบาย ตามไปด้วยความตายในที่สุด ร่างกายนี้ภายในประกอบไปด้วยสิ่งปฏิกูลของสกปรก ร่างกายนี้เป็นรังของโรค พิจารณาให้ละเอียดไปทีละเรื่องทีละส่วน จนได้อารมณ์ใจที่ต้องการคือ การยอมรับความเป็นจริง ความเป็นไปในร่างกายนี้และการยอมรับว่าเรานี้ต้องถึงแก่ความตายในที่สุด เมื่อนั้นเราก็จะสิ้นสมมติจากโลกและภพภูมินี้ จิตของเราเข้าใจในสภาพที่เป็นกฏของธรรมชาตินี้ จนรู้สึกในจิตว่าความตายนั้นเป็นเรื่องปรกติ เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องประสบไม่ช้าก็เร็ว เราไม่รู้สึก ทุกข์ หรือหวาดกลัวใดๆในความตายเพราะจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในความดีมีสุขคติเป็นที่ไป
---พิจารณาต่อไป ในข้อวิจิกิจฉา ว่าการขึ้นมา ด้วยมโนมยิทธิของเราจนถึงซึ่งพระนิพพานนี้ ใจเรายังมีความลังเลสงสัยในคุณแห่งพระรัตนไตย อยู่หรือไม่ มีความลังเลสงสัยในผลแห่งการปฏิบัติอยู่หรือไม่ ยังมีความสงสัยในมรรคผลนิพพานอยู่หรือไม่ มีความสงสัยในสภาวะของพระนิพพานอยู่หรือไม่ มีความคิดความเห็นเป็นมิจฉาทิษฐิอยู่หรือไม่
ให้กลับมาย้อนคิดทำกำลังใจว่า ณ บัดนี้ อาทิสมานกายของเราได้มาปรากฏอยู่บนพระนิพพาน ด้วยอำนาจของพระพุทธบารมีของพระพุทธองค์อันเป็นผลแห่งการปฏิบัติที่พระองค์ท่านได้สั่งสอนเรามาให้เราได้พบเห็นพระพุทธองค์ และพระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้ให้เราได้สัมผัสกับสภาวะแห่งพระนิพพานว่ามีสภาวะอย่างไร ดังนั้น ณ บัดนี้ เราได้สิ้นสงสัยในคุณแห่งพระรัตนไตยและสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายแล้ว เราจะมีจิตที่มั่นคงในไตรสรณะคมม์ และมีสัมมาทิษฐิ ตลอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
---พิจารณา ต่อไปในข้อ สีลัพพตปรามาส ว่าในขณะนี้เรารักษาศีลตามสภาวะรูปของเราได้แค่ไหนเพียงไร ใจเราต้องรักษาศีล หรือว่าศีลรักษาใจเรา ให้ใช้กำลังแห่งมโนมยิทธิ ขอบารมีพระท่านให้ปรากฏสภาพ ของ นรกของผู้ละเมิด ศีล และพระธรรมวินัยทั้งของ พระและฆราวาส ด้วยเถิด กำหนดจิตให้เห็น ในการละเมิด ในศีลแต่ละข้อ แต่ละสิกขาบท ไปเรื่อยๆ ใช้จิตลองติดตามผลของกฏแห่งกรรมที่มีต่อเนื่องมาอีกหลายภพหลายชาติไม่สิ้นสุด น้อมใจมาเปรียบเทียบกับตัวเราว่าถ้าต้องเสวยผลกรรมชั่ว แบบนั้น เยี่ยงนั้นบ้างเรา จะทุกข์เพียงไร เช่นไร วางอารมณ์ใจ ให้จิตมีความ สลดใจ เข็ดหลาบ กลัวเกรง ละอายใจใน อกุศลกรรม และตั้งกำลังใจใหม่ว่า นับแต่นี้ไม่ว่าจะเป็นบาปอกุศลอัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงห้ามทรงบอกไว้ ในศีล เรานี้จะขอไม่ล่วงละเมิดในศีลนั้นด้วยตนเองก็ตาม ใช้ให้ผู้อื่นละเมิดก็ตาม หรือ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ทำผิดศีลข้อนั้นก็ตาม และขอให้ศีลนั้นรักษาใจเราให้ระลึกถึงแต่ความดี กุศลผลบุญตลอดไป ให้มีสติระลึกรู้ไม่เผลอกาย วาจา ใจ ไปในบาป อกุศลทั้งปวง ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
---ทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
--- ขอกราบ โมทนาบุญทุกๆท่านที่ทำได้ครับ ขอให้จิตใจที่ดีงามทุกดวงได้เข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยเจ้า ในพระพุทธศาสนาโดยเร็วครับ
ขอโทษครับช่วงนี้ติดงาน จะมาใหม่ประมาณวันพุธครับผม ช่วงนี้ ทบทวนของเดิมไปพลางๆก่อนครับ ขอให้ก้าวหน้าและรุ่งเรืองในธรรมด้วยกันทุกคนนะครับ
ถ้ามีเรารอดอยู่คนเดียว ไม่เหงาแย่หรือครับ
ไม่รู้อะไรมาก
รู้แต่เพียงว่า.......
" สัจจะ "
เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน
เป็นแก่นสาร
พระพุทธเจ้า ใช้ หลัก ๓ ประการ
๑. ไม่เอาวัตถุ
๒. ไม่ใช้ความเห็น
๓. วิญญาณ การกระทำ
สัจจะ เป็นผู้นำเที่ยง
สัจจะ เป็นผู้นำให้หลุดพ้น
สัจจะ เป็นแก่นสาร
นอกนี้นไม่ใช่แก่นสารในศาสนา
สุดท้าย...ทุกคนในโลกต้องหันมาพึ่ง "หลักสัจจะธรรม"
สิ่งที่ "โลกุตตระ" ส่งมอบให้มนุษย์ได้ปฏิบัติกัน
เพื่อให้ก้าวพ้นจากบ่วงกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กรรมที่เกิดจากนิสัยสันดานเดิมที่ยังแก้ไม่ได้
รีบค้นหา หลักสัจจะธรรม
เวลาปลอดภัยลดลงเรื่อย.......
- " หนุมาน ผู้นำสาร "
กลับมาแล้วครับ ขอโทษทีเพราะ งานยุ่งครับ
---ที่ผ่านมาหวังว่าทุกท่านจะประคองรักษาอารมณ์ใจ ที่ดีงาม บริสุทธิ์ และปราศจากกิเลสไว้ได้เป็นปรกติทุกท่านนะครับ
---วันนี้เราจะมาเริ่มกันที่ เรื่องเบาๆกันก่อนครับ เป็นเรื่องของความดีงามที่เข้าถึงเนื้อจิตหรือเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญานของเราครับ
เราจะเห็นว่า มนุษย์เรา คนเรา ทุกคนล้วนแต่มีความรู้จากการอ่าน การฟัง การถูกสอนว่า จงเป็นคนดี ต้องเป็นคนดี ความดีย่อมชนะความชั่ว ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด หรือจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ทุกคนรู้หมดว่า ความดีนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ ควรปฏิบัติ เพื่อให้โลกนี้มีสันติสุข สงบ ร่มเย็น แต่ทำไมจึงยังมีคนชั่ว คนเลว ทำสิ่งที่เลวร้ายต่อเพื่อนมนุษย์และโลกใบนี้ แม้ว่าบางคนนั้นจะอยู่ในเพศของนักบวชต้องสัมผัสและสั่งสอนธรรมมะทุกวัน สวดมนต์ทุกวันก็ตาม เหตุผลของเรื่องนี้ เป็นเพราะ ความรู้ในเรื่องธรรมมะ ความดีงาม ที่รู้ ที่พูด ที่สนทนา ที่สั่งสอนนั้น เป็นความรู้ที่สักแต่ว่ารู้ ไม่ได้ ซึมซับเข้าไปในดวงจิตของผู้นั้นเลยแม้แต่น้อยนิด ผู้นั้นไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาในธรรมมะหรือความดีงามแห่งจิตใจเลย จนบางครั้งบางท่านเป็น มิจฉาทิษฐิไปเลยด้วยซ้ำไป อีกประการหนึ่งนั้น สภาพสังคม สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสื่อนั้น ล้วนแต่นำเสนอแต่ในสิ่ง ที่โหดร้ายรุนแรง จนจิตใจของผู้คนในสังคมโลกด้านชา ชินชากับความชั่วความเลวร้าย จนรู้สึกเป็นเรื่องปรกติ จิตใจชินชาต่อความชั่ว จนเป็นปรกติ แทนที่สิ่งที่ควรเป็นคือ จิตใจที่ชินกับการทำบุญทำกุศล คิดแต่กุศลกรรมเป็นปรกติธรรมดา คนไทยเองนั้น ในยุคสมัย 70-80 ปีก่อนนั้น มีจิตใจที่ดีงามกว่านี้มากๆ แค่ ในตอนเช้าตื่นนอนขึ้นมาก็ตั้งกำลังใจไว้ว่า ถ้าเช้านี้ยังไม่ได้ทำบุญใส่บาตร จะยังไม่ยอมกินข้าวเช้า ไม่ว่าจะยากดีมีจน แค่ไหน ขอได้ใส่บาตร ข้าวช้อนแกงช้อนก็ยังดี การทำดีสร้างบุญสร้างกุศลเป็นเรื่องปรกติ เศรษฐีมีเงิน มีเงินหลือก็นำเงินมาสร้างวัดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศูนย์กลางและแหล่งความรู้ แหล่งรวมศีลธรรมของสังคม ชุมชน แต่ในยุคปัจจุบันนี้ บทบาทของวัดถูกเปลี่ยนและปรับลดบทบาทลง โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาที่เปลี่ยนบทบาทการเป็นแหล่งศูนย์กลางสรรพวิชา การเรียนรู้และที่อบรมศีลธรรม ออกไปเป็นโรงเรียนประชาบาล ทั้งยังลดเกียรติ และศักดิ์ศรีให้โรงเรียนวัดโรงเรียน ประชาบาลเหล่านี้ให้ด้อยค่ากว่า โรงเรียนวัดฝรั่งเอกชนอีกด้วย ประชาชน และเหล่าเยาวชนของชาติจึงห่างจากธรรมมะและความดีงามของจิตใจออกไปเรื่อยๆ ท่านลองสำรวจตนเองดูว่า เราเองนั้น ได้ทำบุญสร้างกุศล ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เราทำบุญสร้างกุศลเป็นปรกติของใจ เป็นอาจิณกรรมหรือไม่ จิตใจเราคิดแต่สิ่งที่ดีงามเป็นปรกติหรือไม่ ลองฝึกพิจารณาให้เป็นปรกติ เหมือนกับ จิตใจของเราเป็นร่างกายที่เราต้อง อาบน้ำทุกวันให้ หอม สะอาด เมื่อร่างกายเราสกปรกไปเปื้อนอะไรมา เราก็ล้าง ก็เช็ดทำความสะอาด หิวเราก็ให้อาหาร แต่ทำไมจิตใจของตัวเราเองอันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเรากลับละเลย กับมัน เมื่อเรามีจิตเป็นอกุศลคิดชั่วคิดร้ายเมื่อนั้นจิตใจของเราก็เปรียบเหมือนร่างกายที่สกปรก รุงรังมีกลิ่นเหม็น เป็นที่รังเกียจของเทวดา พรหม ที่ท่านคุ้มครองและในปรกติท่านจะเมตตาช่วยเหลือสงเคราะห์เราอยู่ แม้เราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ตาม ดังนั้นเราจึงควรรักษาดวงจิตของเราให้สะอาด เสมอด้วยการคิดแต่สิ่งที่ดีงาม ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อส่วนรวม ต่อเพื่อนสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อจิตคิดอกุศลก็หมั่นเช็ดถูจิตใจเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก ด้วยกุศล องค์ธรรมและวิปัสนาญาณ เมื่อจิตใจเราโหยหาว่างเปล่าซึมเซา ก็ให้อาหารแก่จิตใจของเราด้วย เมตตาอัปปันณานญาณ เพื่อให้จิตใจของเรามีพลัง อิ่มเอม ปลื้มปิติ จนเต็มหัวใจ เมื่อเราหมั่นคอยดูแลจิตใจของเราอย่างนี้อยู่เสมอ เป็นปรกติ ก็นับเป็นการปฏิบัติ ในมหาสติปักฐานสี่ใน จิตตาวิปัสนาสติปัฏฐาน โดยอัตโนมัติทั้งยังทำให้ จิตใจเรามีศีล มีพรหมวิหารสี่ มีกุศล มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เป็นปรกติอีกด้วย
---ขอให้ทุกๆท่านมีจิตใจที่ดีงาม รู้คุณค่าของจิตใจที่ดีงาม และรักษาจิตใจที่ดีงามนี้ไว้ให้เป็นปรกติจนเป็น แก่นแท้ของดวงจิตของเราเอง เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญานของเราทุกท่านด้วยเทอญ .....
สำหรับการฝึกการปฏิบัติของวันนี้เรามาฝึกการใช้กำลังสมาธิของวิชามโนมยิทธิมาใช้ในการพิจารณาการตัดสังโยชน์สิบครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของเราได้เข้าถึงสภาวะแห่งอารมณ์ในการตัดสังโยชน์สิบด้วยกำลังของมโนมยิทธิด้วยเทอญ
---จากนั้นน้อมจิตพิจารณาในความไม่เที่ยงแห่งสังขารร่างกาย
อันมีความไม่สะอาด
ความทุกข์ ในการดำรงหล่อเลี้ยงร่างกาย ขันธ์ห้าของเราและของบุคคลอื่น
ความเป็นรังแห่งโรคในทุกอวัยวะ
และความตายในที่สุด
ค่อยๆพิจารณาให้ละเอียดในแต่ละหัวข้อ จนจิตใจเราคลายตัวจากการยึดถือในร่างร่างกายว่าเป็นตัวเราของเรา จากนั้นยกกายเนื้อนี้มาเปรียบเทียบกับอาทิสมานกายที่อยู่บนพระนิพพานนี้ดูและกำหนดว่า เรานี้ไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เรานี้ แท้ที่จริงคืออาทิสมานกาย ที่มาอาศัยร่างกายเนื้อนี้อยู่เพียงชั่วเวลาหนึ่ง ในชาตินี้เท่านั้น จากนั้นทำกำลังใจว่า บัดนี้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในการเป็นเจ้าของร่างกายเนื้อนี้แล้ว สักกายทิษฐิของเราได้ถูกทำให้สลายลงแล้ว
---จากนั้นน้อมใจเข้าสู่ ความเป็นสัมมาทิษฐิ พิจารณาพระคุณแห่งพระรัตนไตยให้จิตใจ ศ รัทธา ตั้งมั่นหมดความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนไตย และยึดเป็นหลักชัยในดวงจิตเป็นที่พึ่งที่อาศัยตลอดไปจนถึงซึ่งพระนิพพานโดยปราศจากความลังเลสงสัยใดๆทั้งสิ้น กำหนดจิตเราต่อหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพานว่า เราสิ้นสงสัยในพระรัตนไตยแล้วว่า มีอยู่จริง มีพระคุณต่อสรรพสัตว์จริงและเป็นที่พึ่งที่อาศัยของจิตใจเราจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้จริง วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยของเราถูกทำให้สลายลงแล้ว
---จากนั้น น้อมจิตระลึกถึงศีลตามที่เรารักษาว่าเรารักษาศีลเพื่อความดีงามของจิตใจ เรารักษาศีลเพราะความละอายและกลัวเกรงต่อบาปอกุศลกรรม เรารักษาศีลเพื่อเป็นเครื่องกั้นอบายภูมิ เรามีศีลเป็นปรกติ ของนิสัย และอารมณ์ ไม่ละเมิดศีลประดุจที่เราไม่เอามือไปแหย่ ในกองไฟ ฉันใด ไม่เอากายไปเคล้ากับของเหม็นสิ่งปฏิกูลฉันนั้นเช่นกัน กำหนดจิตว่า อันสีลัพพตปรามาส อันความประมาทพลาดพลั้งในศีลของเราสลายตัวลงแล้ว
---น้อมจิตเราต่อไปในกายคตานุสติว่าร่างกายของเราและของบุคคลอื่น ก็ตามเป็นของไม่สะอาดน่ารังเกียจ ทุกสิ่งที่หลุดออกจากร่างกายนี้เป็นสิ่งปฏิกูลสกปรกโสโครก ความพึงพอใจ ความใคร่ความหลงมัวเมาในร่างกายของเราและของบุคลอื่นนั้นเป็นความโง่ ความหลง การใช้มโนมยิทธิเพื่อให้เห็นความจริงในร่างกายขันธ์ห้านี้ ว่ามีความสกปรกน่ารังเกียจโดยเฉพาะเมื่อมาเปรียบเทียบกับอาทิสมานกายอันมีความสว่างสะอาดบริสุทธ์ กำหนดจิตว่ากามฉันทะของเราได้คลายและสลายตัวไป
---น้อมใจของเราเข้าสู่ เมตตาอัปปันณานฌาน ด้วยกำลังของอาทิสมานกายบนพระนิพพานนี้ และกำหนดจิตของเราว่าเราจะมีจิตที่ผ่องใสเต็มไปด้วยความเมตตาพรหมวิหารสี่ อันความขัดเคืองใจ ความคับข้องใจ ความ หงุดหงิดใจเราไม่ต้องการให้เข้ามาปรากฏในจิตของเราแม้แต่น้อย กำหนดจิตใช้เมตตาอัปปันณานฌานตัดปฏิฆะ ความหงุดหงิดขัดเคืองใจออกไปจากจิตใจให้หมดสิ้น
---ต่อไปใช้กำลังของมโนมยิทธิ ขอบารมีพระท่านให้เมตตาขอให้เห็นภพภูมิแห่ง พรหมและอรูปพรหม ให้ปรากฏและขอให้ได้เห็นการจุติและหมดบุญของพรหมและอรูปพรหม จากนั้นกำหนดจิตพิจารณาว่า แม้ พรหม และอรูปพรหม ว่าเลิศแล้วเสวยความสุขเนิ่นนาน ชั่วกัลป์ แต่ เมื่อหมดบุญก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏหาที่สิ้นสุดไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเราไม่พอใจว่าพรมและอรูปพรหมเป็นที่สุดแห่งทุก ที่เดียวที่เราปรารถนาคือพระนิพพานอันเป็นบรมสุขเท่านั้น บัดนี้ขอให้ รูปราคะ และอรูปราคะ ได้สลายตัวไปด้วยเถิด
---น้อมจิตมาพิจารณาว่าเราเองหรือสรรพสัตว์ทั้งหลายมีสภาพเหมือนกัน รักสุขเกลียดทุกข์เมือนกัน ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเหมือนกัน บางชาติ เขาสูงกว่าเรา บางชาติเราสูงกว่าเขา เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงสมมติในชาตินั้นๆเท่านั้นเราจะไม่ไปเปรียบเทียบว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราจะดูแต่จิตใจของเราว่าตั้งมั่นอยู่ในความดีแต่จะไม่เห่อเหิมโอ้อวดความดีนั้นๆ หรือภูมิธรรมใดๆ เพื่อข่มผู้อื่น เราจะเตือนตนเองเสมอว่า เรายังไม่ดีจนถึงที่สุดถ้ายังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานจริงๆ กำหนดจิตว่าเราตัดความมานะทิษฐิที่มีในตนให้หมดสิ้นแล้ว
---กำหนดจิตต่อไปว่าขณะนี้อาทิสมานกายของเราอยู่บนพระนิพพาน ความพอใจอื่นของเราไม่มีเท่านิพพานนี้อีกแล้ว ไม่ว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็เต็มไปด้วยทุกข์มีขันธ์ห้าร่างกายที่สกปรกไม่สะอาด สวรรค์เมื่อหมดบุญก็ต้องลงมาใช้กรรม ก็ทำให้วนกลับมาเกิดความทุกข์อีก พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี หมดบุญอันยาวนานก็ต้องกลับมาเสวยความทุกข์อยู่ดี ดังนั้นเราพอใจจุดเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น อวิชชา ความหลงผิดในทุกภพภูมิต่างๆว่าเป็นของสนุก ว่าเป็นสุข ว่าเป็นที่พอใจ ณบัดนี้ อวิชชานี้ได้ถูกปลดเปลื้องออกไปจากจิตของข้าพเจ้าแล้ว
---บัดนี้ขอให้สังโยชน์สิบอันเป็นเครื่องร้อยรัดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลงอยู่ในวัฏฏสงสารไม่มีวันสิ้นสุดนี้ จงขาดสะบั้นออกจากจิตใจของข้าพเจ้านับตั้งเเต่บัดนี้และขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ (ขอให้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของพระนิพพาน และอาการตัดสังโยชน์ทั้งสิบนี้ได้ทุกชาติไปตราบได้บรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณอันมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ)
---ทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
--- ขอกราบ โมทนาบุญทุกๆท่านที่ทำได้ครับ ขอให้จิตใจที่ดีงามทุกดวงได้เข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยเจ้า ในพระพุทธศาสนาโดยเร็วครับ
อิสราเอลขอให้อิตาลีนำกองกำลังรักษาสันติภาพยูเอ็น |
เยรูซาเล็ม 21 ส.ค. - นายกรัฐมนตรีเอฮุด โอลเมิร์ต ของอิสราเอล ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้อิตาลีเป็นผู้นำกองกำลังรักษาสันติภาพสหประชาชาติในเลบานอน ข้อเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นในการโทรศัพท์หารือระหว่างผู้นำอิสราเอลกับ นายโรมาโน โปรดี นายกรัฐมนตรีอิตาลี โดยระบุว่าโอกาสของอิตาลีที่จะได้เป็นผู้นำกองกำลังดังกล่าวมีมากขึ้น หลังจากที่ฝรั่งเศสมีท่าทีลังเลในการส่งทหารกว่า 200 นาย มายังเลบานอน |
ขอโมทนาสาธุ กับ คุณ tananun ครับ กับธรรมทาน ที่ได้ยกมาเพื่อประโยชน์ส่วนรวมครับ ขอให้ความปารถนาสมหวังครับ สาธุๆ
กลับมาทบทวนของเดิมที่ได้ฝึกฝนกันมาครับ ลองค่อยๆทบทวนอารมณ์ในแต่ละส่วนไปทีละน้อย ทีละน้อย ให้ความรู้ กำลังและอารมณ์ อยู่ตัว ทรงตัวไว้ได้เป็นปรกติครับ
---ลมสบาย และอารมณ์ใจสบาย
---การตั้งกำลังใจในการทำความดี สัมมาทิษฐิ
---จิตใจที่ดีงาม ดวงจิตที่ใสสะอาดเป็นแก้วประกายพรึก
---เมตตาอัปปันณานฌาน พรหมวิหารสี่ พลังงานแห่งจิตใจที่ไร้ขอบเขต
---การอธิฐาน การวางกำลังใจ ความตั้งมั่นแห่งจิตใจ
---จิตใจที่บริสุทธ์ ปราศจากกิเลส กำลังวิปัสนาญาณในการตัดสังโยชน์สิบ
---ความบริสุทธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาน ความดีงามที่ซึมซับเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อจิต
---การเข้าถึงในความเป็นธรรมดาของทุกสรรพสิ่ง ความเป็นอุเบกขาในสังขารร่างกาย
หลายท่านที่ทำได้แล้วทั้งหมด บางท่านทำได้ในบางส่วน บางข้อ ส่วนบางท่าน ก็ได้ประสบกับความมหัศจรย์ ทางจิต ที่ได้รู้เห็นเฉพาะตนบ้าง และคนรอบข้างบ้าง หลายท่านที่ได้รู้หน้าที่ที่ตนเองได้อธิฐานก่อนลงมาเกิดในชาตินี้
---ขอให้ทุกท่านได้ ทำให้ธรรมมะ และคุณธรรมเหล่านี้ให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป เพื่อประโยชน์แห่งการหลุดพ้นของตัวท่านเอง และเพื่อประโยชน์แห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สืบต่อไปครับ
---ขอกราบโมทนาในความดี ความตั้งใจที่ดี ของทุกท่านด้วยครับ
เมื่อทุกๆท่านได้ปูพื้นฐานแห่งจิต คุณธรรมและสัมมาทิษฐิ ไว้ดีแล้ว มั่นคงแล้ว ต่อไป ก็จะเริ่ม เข้าสู่การฝึกในภาคของอภิญญา ต่อไป
---องค์ประกอบของความสำเร็จของอภิญญาประกอบไปด้วย
-ระดับของสมาธิ
-ระดับของคุณธรรม
-ความบริสุทธิ์ของจิตที่ปราศจากกิเลส และนิวรณ์ห้าประการ
-จุดมุ่งหมายแห่งการใช้อภิญญา
-ความศรัทธา ความเชื่อมั่น ในคุณแห่งพระรัตนไตย ในพุทธานุภาพ ในฤทธิ์ และปาฏิหาริย์
-ความฉลาดในการอธิฐานฤทธิ์
---องค์ประกอบทั้งหมดนี้ ผมจะค่อยๆอธิบายไปเป็นข้อๆไป ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆหาอ่านได้จาก เรื่องกสิณสิบ อภิญญา ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่าน และหนังสือชื่อ ทิพยอำนาจ ของพระอริยะธาร เส็ง หนังสือ วิทยาศาสตร์ทางจิต ของพ.อ.ชม สุคันธรัต ครับ เป็นหนังสือและข้อมูลที่เขียนจากท่านที่ได้อภิญญาจริงๆ ตามอารมณ์ใจที่ได้ ดังนั้นจะแตกต่างจาก หนังสือหรือตำราที่ว่ากันด้วยทฤษฏีครับ
---แต่อย่างไรก็ตาม ทุกท่านอย่าได้ลืมข้อกำหนดของวิชาครูที่ได้เคยให้สัจจะไว้นะครับ ว่าจะใช้วิชาความรู้เหล่านี้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเท่านั้น เพราะอภิญญา ก็เหมือนดาบสองคม ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดตัวผู้ใช้เองก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เวลาลงนรกก็ลงลึกกว่าชาวบ้านธรรมดาเขาในโทษเดียวกัน แถมเวลา ที่วิชาเสื่อมหรือถูกสูบกลับก็มัก เป็นเวลาที่คับขัน จะเป็นจะตาย ช่วงๆนั้น ดังนั้นขอให้ทุกๆท่านมั่นคงในความดี และให้มีความงดงามเป็นเนื้อเดียวกับจิตใจไว้เสมอเป็นปรกติ ก็จะไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องเหล่านี้ ทุกสิ่งที่พระท่านจัดท่านบอกแนะนำมาให้มี เหตุมีผลรองรับในตัวเองเสมอครับ ว่าทำไมต้องทำอย่านี้ ทำไมต้องได้อย่างนี้ก่อนจึงไปขั้นต่อไป ดังนั้นการฝึกข้ามขั้นตอนถึงแม้จะเกิดผลสำเร็จ แต่ก็อาจเกิดผลเสียติดตามมาในภายหลังได้เช่นกัน เช่นถ้ามีความรู้แต่ไม่มีคุณธรรมกำกับ ก็อาจเป็นโจรไปในภายหลังได้ จิตถ้าไม่ตั้งไว้ในสัมมาทิษฐิตั้งแต่ต้น ก็อาจทำให้กลับกลายเป็น มิจฉาทิษฐิได้ ถ้าไม่รู้จักลมสบาย อารมณ์สบาย ภายหลังหากเร่งการปฏิบัติก็อาจทำให้ วิกลจริตได้ พระท่านและครูบาอาจารย์นับแต่โบราณกาลนั้นท่านมีความฉลาดลึกซึ้งถี่ถ้วน ในเหตุในผลแห่งการปฏิบัติ เสมอดังนั้นธรรมมะอันบริสุทธิ์จึงได้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อการดำรงอยู่ของพระพทธศาสนาจนถึงทุกวันนี้
ไปตอบกระทู้อื่นมา เรื่องความเสื่อมและความเจริญในพุทธานุสติกรรมฐาน เลยขออนุญาตนำมาลงซ้ำให้ทุกๆท่านได้อ่านครับผม
เหตุเสื่อมจากพุทธานุสติกรรมฐานคือ
1. จิตเกิดความวิจิกิจฉา ควาลังเลสังสัยในพระคุณของพระพุทธเจ้า
2. จิตเกิดความเป็นมิจฉาทิษฐิ เห็นว่ามี บารมีอื่น ความบริสุทธ์อื่นเหนือกว่าพระพุทธเจ้า
3. จิตเกิดวิปัสนูปปะกิเลส เห็นผิดในการบรรลุธรรม
4. จิตเกิด อกุศลกรรมเข้าสิงจิตให้กล่าวโทษต่อ พระพุทธเจ้า
5. จิตเกิดความสับสนไม่กระจ่างในสภาวะแห่งพระนิพพาน จึงปรากฏความไม่มั่นคงในพุทธะขึ้นในจิต
ส่วนการทำให้ พุทธานุสติกรรมฐานเจริญขึ้น ก็ดังที่หลายๆท่านได้ตอบไว้ข้างต้น ผมขออนุญาต รวบรวมเรียบเรียงให้ครบถ้วนครับ
1.หมั่นเจริญในพุทธนิมิตรให้สม่ำเสมอ ถ้าทรงไว้ได้ตลอดวัน ตลอดเวลาได้ยิ่งดี
2. หมั่นใช้อารมณ์พิจารณา ใน พระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระวิสุทธิคุณ ของพระพุทธเจ้าไว้ให้สม่ำเสมอ
3. หมั่นใช้ปัญญาไตร่ตรองในธรรมว่าธรรมอันใดที่เราเจริญแล้วทำให้ยิ่งๆขึ้นไป ธรรมใดที่ยังไม่ปรากฏจงทำให้ปรากฏ
4. หมั่นขอขมาพระรัตนไตยในสิ่งที่เราพลาดพลั้งไป ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา
5. ตั้งใจปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสั่งสอนเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เมื่อนั้นจิตจะกระจ่างแจ้งสิ้นสงสัยใดๆและปรากฏความศรัทธา ที่สิ้นสงสัยและตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า
6. ทำจิตให้เข้าถึงซึ่งไตรสรณคมถ์
ขอโมทนาบุญในความตั้งใจปฏิบัติ และขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
__________________
เวปรวบรวมสถานที่ฝึกมโนมยิทธิครับ
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=14215
เมื่อวานนี้ได้คุญกับน้องคนหนึ่งเรื่องการปฏิบัติของเขา และก็ได้ใช้มโนขึ้นไปถามพระท่านด้วยกัน พระท่านเมตตาบอก เรื่องการฝึกอภิญญาว่า ที่จริงแล้วเป็นเรื่องไม่ยาก ถ้าวางกำลังใจถูก มันก็ได้ของมันเอง แต่จุดสำคัญท่านเน้น เรื่องสัมมาทิษฐิครับซึ่งก็ตรงกันกับที่ผมพยายามเน้นอยู่เสมอ และอีกเรื่องก็คือให้หมั่นทบทวนของเก่า วิชาเก่าที่ได้ศึกษามาเพราะยังต้องใช้ร่วมกันเป็นพื้นฐานอยู่เสมอส่วนการแนะนำความรู้ต่างๆ ที่ผมได้ทำอยู่ พระท่านบอกว่าให้ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะกำลังใจคนไม่เสมอกัน ถ้าเร่งมากไป จะเป็นการหนักเกินกำลังใจของบางท่าน ดังนั้นผมขออนุญาต ปรับสปีดตามที่พระท่านบอกนะครับ และถ้าเป็นไปได้ อาจมีการเปิดสอนสมาธิโดยตรงเป็นกลุ่มย่อย ประมาณไม่เกิน 10คน ในกรุงเทพ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เน้นเป็นธรรมทานครับ จะได้เป็นการสร้างพลังแห่งความดีให้แก่โลกใบนี้ครับ รายละเอียดติดตามกันต่อไปครับ
"โลกคือเรา เราคือโลก" คำสอนของพระศาสดามีความหมายแฝงอยู่
ดีครับมาสอนเทคนิคสมาธิ โดยมีผู้นำปฎิบัติที่สอบถามได้โดยตรง ช่วงเวลาที่จิตว่างและสงบจะเกิดพลังต่อพื้นที่บริเวณนั้นๆ ด้วยจำนวนคนมากหรือน้อยก็แล้วแต่ จะแปรค่าเป็นผลรวมของพลังงานด้านบวกออกมาจำนวนหนึ่ง โลกใบนี้จะได้รับพลังด้านบวกเพื่มมากขึ้น (ทุกวันนี้โลกขาดแคลน จึงส่งผลแบบที่เห็นกันอยู๋ แกนโลกส่ายเพราะแรงจะหมด) แม้แต่การทำความดีแต่ละกรณีในทุกๆวันโลกก็ได้พลังงานตรงนี้เอาไว้ขับเคลื่อนหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง เรากำลังทำงานร่วมกับโลกไม่ต่างกับ Generator ทีเดียวนะครับอย่าลืมหน้าที่ตรงนี้ เราทำอะไรสิ่งใดไว้ทั้งดีและไม่ดีต่างๆ ย่อมมีผลกับโลกใบนี้ในทั้งในทางตรงและทางอ้อมแน่นอนครับ...
พิมพ์เสร็จไปกระทู้นึงแล้ว หายเกลี้ยงเลยครับ แทบเป็นลม แต่ไม่เป็นไรครับ บางอย่างก็เป็นความลับสวรรค์ เรารู้มากได้ แต่พูดมากไม่ได้ครับ สรุปว่าเรียนรู้ฝึกฝนไปตามที่พระท่านวางแนวทางและกำหนดไว้ไปเรื่อยๆแล้วกันครับ
ฝึกกันต่อเลยครับ วันนี้เราย้อนมาฝึก กสิณให้คล่องกันนะครับ แต่จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นจากการฝึกมาตราฐานครับ
---เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ
--- เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น
--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.
---จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน
---กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ
---ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ
---1. เราเริ่มกันที่กสิณสีขาว จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพวงกลมสีขาว หนึ่งวง จิตนิ่งสนิทอยู่กับวงกลม สีขาวนั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ วงกสิณสีขาวนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
---2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน วงกสิณสีขาวในจิตค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น ใจเราสบายขึ้น
---3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น วงกสิณสีขาวใสขึ้นเป็นแก้ว มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ
---4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ
---5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป
---6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป
---7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป
---อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญกสิณสีขาวควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด เป็นองค์พระพุทธรูปหยกขาวเป็นปางใดก็ได้ที่เราชอบ เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเราสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น ใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิมตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ
---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ
---จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก
---จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้
---ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ