น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [​IMG]

    เมื่อท่านตายแล้วท่านจะไปไหน
    โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร


    พอเอ่ยถึงคำว่า “ความตาย” บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายต่างก็มีความเข้าใจกันเป็นอย่างดีว่า หมายความถึงอะไร เพราะเคยรู้เคยเห็นคนและสัตว์เดรัจฉานที่ตายมาแล้วมากต่อมาก

    ถ้าจะตั้งคำถามว่า “ความตายคืออะไร?” ผู้ตอบคำถามนี้ ก็จะตอบด้วยความลำบากใจเพราะจะหาคำตอบไม่ได้ง่ายนัก

    แต่ถ้าจะถามว่า “เหตุใดจึงต้องตาย” ผู้ตอบคำถามดังกล่าวก็จะตอบได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเห็นแต่เหตุตื้นๆเผินๆ เช่นป่วยไข้ หรือเชื้อโรคมาทำลาย
    ถ้าจะถามต่อไปว่า “ในขณะที่กำลังตายนั้น ร่างกายและจิตใจทำการงานอะไรบ้าง?” ผู้ตอบคำถามนี้ถ้ามิได้เคยศึกษาพระอภิธรรมให้เข้าใจดี ก็หมดปัญญาที่จะตอบคำถามอันเป็นปัญหาที่ลึกซึ้งดังกล่าวได้อย่างแน่นอน

    แม้คำว่า.. “ ความตายคืออะไร? ” ..ซึ่งดูเสมือนว่า เป็นคำถามที่จะตอบได้ง่ายๆหรือ ถึงจะเป็นคำถามที่พอจะตอบกันได้ ก็เป็นการตอบตามสามัญสำนึกของบุคคลทั้งหลาย หาได้เป็นไปตามหลักวิชาปรมัตถ์อันเป็นความจริงแท้ไม่ ด้วยเหตุดังนี้ จึงมิได้ถูกต้องสมบูรณ์จริงๆ

    สำหรับคำถามที่ว่า “เหตุใดจึงต้องตาย ?” ผู้ตอบคำถามนี้ ก็มักจะเอาเหตุที่ห่างไกลเกินไปมาอ้าง เช่นว่า เพราะต้องอาวุธ ของมีคม อวัยวะในส่วนสำคัญเสียหายหรือเลือดออกไม่หยุด กินอาหารไมได้ หรือเพราะว่าเชื้อโรคร้ายแรงมาทำให้ร่างกายทำงานต่อไปไม่ไหว

    เมื่อฟังดูแล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตายซึ่งน่าจะถูกต้องดีแล้ว แต่ถ้าว่าตามหลักของสภาวธรรม ....คำตอบนี้ยังเป็นเหตุที่ห่างไกลต่อความจริงอยู่มาก เพราะตัวการที่ทำให้ต้องตายอย่างสำคัญ หรือเหตุใกล้ชิดติดกันของความตายนั้นยังมีอีกต่างหาก ซึ่งผู้ปรารถนาที่จะหาความรู้ในเรื่องนี้ให้เข้าใจจริงๆก็จะต้องศึกษา และจะต้องศึกษาจากพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งมีคำอธิบายในเรื่องนี้อย่างละเอียดลออพิสดาร

    ส่วนคำถามที่ว่า “ในขณะที่ตายนั้น มันมีการงานอะไรกันบ้าง ในขณะที่กำลังตายนั้น ผู้ตายมีความเจ็บปวดหรือหาไม่ มีความรู้สึกสำนึกตัวเพียงใด ”
    คำอธิบายในเรื่องนี้ วิทยาการทางโลกโดยทั่วไปยังไม่มี นอกจากจะนึกค้นเดาเอา แล้วแต่ผู้ใดจะได้อบรมมาจากทางไหน ก็ตอบไปตามสายทางนั้น เช่นตอบว่าผู้ที่จะถึงแก่ความตายย่อมจะเจ็บปวดสาหัส จิตหรือวิญญาณซึ่งเป็นดวงๆ หรือเป็นควันออกจากร่างกายของคนตายแล้ว ก็จะไปสิงอยู่ในรูปที่ๆชีวิตอื่นต่อไป หรือมิฉะนั้นก็ว่า วิญญาณดับสูญไปเลย เกิดอีไม่ได้ เป็นต้น
    นอกจากนั้น ยังมีเรื่องที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถที่จะตัดสินชี้ขาดเอาเป็นยุติได้

    ..นั่นก็คือ.. เรื่องของความเชื่อในบุคคล ๒ ฝ่าย

    คือฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่า คนเรานั้นถึงที่แล้วก็ต้องตายไม่มีใครจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้

    อีกฝ่ายหนึ่งกลับมีความเห็นว่า ไม่มีขอบเขตของเวลาตาย ถึงที่แล้วต้องตายนั้น ไม่เป็นความจริง จะถึงที่หรือไม่ถึงที่ ถ้ามีเหตุมาทำให้ตายแล้วก็จะต้องตายอย่างแน่นอนทั้งนั้น

    อย่าว่าแต่เรื่องตายแล้วไปเกิดได้อย่างไรเลย... แม้ความตายจะต้องเกิดขึ้นกับใครๆทุกคน ไม่ช้าก็เร็วก็จริง หรือแม้ความตายนั้นเราจะเห็นอยู่ต่อหน้า ...คือในความตายของคนหรือของสัตว์อยู่เสมอ

    และแม้ว่าเราได้เผชิญหน้ากับความตายหลังจากได้เกิดมีชีวิตขึ้นมาแล้วจนนับชาติไม่ไหว แต่เราก็มิได้เข้าใจความตายเลยแม้แต่น้อย

    ทำไมวิทยาการในโลกนี้ก็มีมากมาย ถึงจะลึกซึ้งประการใดนักปราชญ์ราชบันฑิตทั้งหลายผู้มีความสามารถก็ค้นคว้าขึ้นมาได้เป็นส่วนมาก แต่เรื่องของความตายที่อยู่ใกล้ๆแค่เอื้อม ค้นคว้าเท่าใดก็ได้ แต่คว้าน้ำเหลว ทั้งนี้ก็เพราะใช่วิสัยของปุถุชนผู้ซึ่งหนาไปด้วยกิเลส

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงเรื่องของความตายไว้อย่างละเอียดลออพิสดารมาก ผู้ศึกษาจะต้องอดทนค่อยๆศึกษาไปตามลำดับแล้วจะหายสงสัยได้
    ความตายคืออะไร.. เหตุใดจึงต้องตาย... ในขณะกำลังตายมีความเจ็บปวดบ้างหรือไม่มี...ความสำนึกรู้สึกตัวได้เพียงใด.... และถึงที่แล้วจึงต้องตายนั้นจริงหรือเปล่า?

    เรื่องเหล่านี้จะต้องอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และโดยการศึกษาจากพระธรรมที่พระองค์ท่านตรัสรู้

    เฉพาะอย่างยิ่งในพระอภิธรรมปิฎกท่านผู้ใดค่อยๆศึกษาไปจนมีความเข้าใจโดยมิได้ท้อถอยแล้ว ก็จะได้ความละเอียด ทั้งจะได้พบความเร้นลับพิสดารเป็นอย่างยิ่งในเรื่องต่างๆของชีวิต
     
  3. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอบพระคุณค่ะ แต่ตอนนี้ยิ้มจะกลับบ้านไปรับภาระหน้าที่แม่ของบุตรแล้วค่ะ
    ท่านตอบเรื่องพระญวนที่ท่านยอมสละขันธ์ที่ปกติที่คนจะหวงแหนให้ยิ้มก่อนนะค่ะ แล้วพรุ่งนี้จะจิ๊กเวลางานมาเสียเวลากับท่านใหม่ค่ะ ขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านไว้
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขณะตายมีความเจ็บปวดบ้างหรือไม่

    ยังมีคนที่เข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย ที่เข้าใจว่า ในเวลาตายคงจะเจ็บปวดแสนสาหัส ดังนั้น จึงมักจะพูดอยู่เสมอหรืออธิษฐานอยู่บ่อยๆว่า ขอให้กุศลผลบุญช่วยให้ตายสะดวกๆ อย่าต้องทรมานเลย

    ในเรื่องนี้บางคนเชื่อเอาจริงๆ เพราะเคยเห็นคนใกล้จะตายร้องครวญครางและดิ้นรนกระวนกระวายกระสับกระส่ายอยู่เป็นเวลานานแล้วจึงได้ตาย
    ในบางคนเท่านั้น ที่มีความเข้าใจว่า ความเจ็บปวดทรมานนั้นเกิดขึ้นเมื่อยังมิได้ตาย แต่ในขณะกำลังตายจะเจ็บปวดหรือไม่นั้นไม่ทราบ

    การที่จะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ก็จะต้องทำความเข้าใจในเรื่อวิถีจิต... คือการทำงานของจิตว่าจิตใจมีการงานทำอย่างไร

    แต่การทำงานของจิตนั้นมีมากมายด้วยกัน วิถีหรือการทำงานของจิตหลายประเภท ทำการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกถูกต้องทางกาย และมีความคิดนึกในเรื่องราวต่างๆ

    วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท ทำงานในเรื่องสมาธิจนกระทั่งได้ถึงฌาน เรียกว่า.. ปฐมฌาน.. ทุติยฌาน ตติยฌาน.. จตุตถฌาน.. ปัญจมฌาน.. ไปจนถึงอรูปฌานอีก ๔ ฌาน

    วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท.. ทำกำลังอำนาจของจิต ที่เรียกว่า “อภิญญาจิต” สามารถทำอิทธิฤทธิ์ได้ต่างๆ เช่น....การระลึกชาติได้เป็นต้น

    วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท ทำงานในเรื่องของการทำลายกิเลส ออกจากจิตใจได้โดยเด็ดขาด เรียกจิตประเภทนี้ว่า โลกุตรจิต คือมีนิพพานเป็นอารมณ์ เรียกว่า อริยมรรค อริยผล เป็นอริยบุคคล เริ่มตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ไปจนถึงอรหัตมรรค อรหัตผล

    วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท เช่นในขณะที่นอนหลับแล้วฝันไปในเรื่องราวต่างๆ ..มีฝันดีบ้าง... ฝันร้ายบ้าง ฝันแล้วก็เป็นจริงบ้าง... และไม่เป็นจริงบ้าง

    วิถีหรือการทำงานของจิตในขณะตาย ...ในขณะเกิดในภพชาติใหม่.. และในขณะที่กำลังนอนหลับ

    จุติ คือ ความตาย ปฏิสนธิ คือความเกิดในภพชาติใหม่ และภวังค์ คือการรักษาภพชาติ เช่นการนอนหลับ เป็นต้นนั้น <ถึงจะมีความแตกต่างกันอยู่ก็จริง.. แต่ก็เหมือนกันในบางประการ.... จำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่อง ทวาร เสียก่อน

    ทวารก็ได้แก่ประตู ..ประตูก็ได้แก่.... ช่องทางเข้าออกของบุคคลทั้งหลาย เรามีประตูสำหรับเข้าไปทำงาน เช่น ประตูของกระทรวงทบวงกรม ไม่ใช่เข้าไปทำงานทางหน้าต่าง แต่ประตูก็มีหลายประตู บางคนก็เข้าประตูหนึ่ง และ บางคนก็เข้าอีกประตูหนึ่งเพื่อทำงาน

    ถ้าไม่มีประตูเราก็เข้าไปทำงานไม่ได้ นอกจากบางคน ถึงจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม ก็มีอยู่ที่ไม่ต้องเข้าประตูเลยก็ทำงานได้

    ท่านทั้งหลายว่าผู้ใดเล่าที่ไม่ต้องเข้าประตูเลยก็ทำงานได้... ถ้าท่านคิดยังไม่ออกผมจะขอบอกให้ว่า..... ผู้ที่ไม่ต้องเข้าประตูเลยก็ทำงานได้ คนนั้นก็ได้แก่ ภารโรงนั่นเอง เพราะภารโรงอาศัยกินอยู่หลับนอนภายในกระทรวงนั้น ตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดประตูหน้าต่างและทำความสะอาดเลยทีเดียว

    จิตใจของสัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกัน มีจิตมากประเภททีเดียวที่ต้องทำงานทางทวารคือ ประตู.. แต่จิตที่ไม่ทำงานทางประตูก็มี แม้ว่าจะน้อยประเภทก็ตาม
    จิตที่ต้องทำงานทางทวาร ในทางธรรมะ เรียกว่า ทวาริกจิต จิตที่ไม่ได้ทำงานทางทวาร ในทางธรรมะ เรียกว่า ทวารวิมุตจิต

    จิตที่ทำงานทางทวาร บางทีก็ทำงานได้ทวารเดียวเรียกว่า.. เอกทวาริกจิต ก็มีทำงานได้หลายทวาร เรียกว่า ปัญจทวาริกจิตก็มี แล้วยังมีอื่นๆอีก ซึ่งเต็มไปด้วยตัวเลขควบคุมทั้งนั้น

    แม้ทวารวิมุตจิตก็ดี บางประเภททำงานทางทวาร คือเป็นทวาริกจิต และบางประเภททำงานที่ไม่ต้องอาศัยทวารเลย.

    ทวาริกจิต เป็นจิตที่ต้องทำงานทางทวารทั้ง ๖ คือ.. จักขุทวาร.. โสตทวาร ...ฆานทวาร... ชิวหาทวาร กายทวาร.. และมโนทวาร...

    เพื่อทำงาน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสทางกาย และคิดนึก
    ผู้ใดจะรู้อารมณ์ทั้ง ๖ นี้ โดยไม่มีทวารย่อมจะเป็นไปไม่ได้ เช่น เห็น ก็จะต้องอาศัยจักขุทวาร.. ได้ยินก็ต้องอาศัยโสตทวาร ได้กลิ่น ก็ต้องอาศัยฆานทวาร..... รู้รสก็ต้องอาศัยชิวหาทวาร... รู้ถูกต้องก็ต้องอาศัยกายทวาร ....รู้คิดนึกก็ต้องอาศัยมโนทวาร

    ๑. จักขุทวาร องค์ธรรมได้แก่ จักขุปสาท = ประสาทตา
    ๒. โสตทวาร องค์ธรรมได้แก่ โสตปสาท = ประสาทหู
    ๓. ฆานทวาร องค์ธรรมได้แก่ ฆานปสาท = ประสาทจมูก
    ๔. ชิวหาทวาร องค์ธรรมได้แก่ ชิวหาปสาท = ประสาทลิ้น
    ๕. กายทวาร องค์ธรรมได้แก่ กายปสาท = ประสาทกาย
    ๖. มโนทวาร องค์ธรรมได้แก่ ภวังคจิต ๑๙

    รวมได้รูปทวาร ๕ และนามทวาร ๑ สำหรับภวังค์ก็ได้แก่ มโนทวาร เฉพาะทวารวิมุติจิต ซึ่งเป็นจิตที่ไม่ออกประตูทำงาน มี ๑๙ ประเภท คือ

    อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ (เป็นบาป ๑ เป็นบุญ ๑)
    มหาวิบากจิต ๘
    มหัคคตวิบากจิต ๙

    จิตเหล่านี้ เป็นจิตที่เป็นผลของกรรมทั้งบาปและบุญที่ได้ทำเอาไว้
    จิตที่เป็นวิบาก คือเป็นผลของกรรมเหล่านี้ กระทำงานพ้นจากการนับเป็นทวาร โดยมีหน้าที่การงาน ๓ อย่าง ทั้ง ๑๙ ประเภท... คือทำงานปฏิสนธิ.... ภวังค์ ....และจุติ

    ปฏิสนธิได้แก่ทำหน้าที่เกิดในภพชาติใหม่
    ภวังค์ซึ่งได้แก่องค์แห่งภพ รักษาภพชาติเอาไว้ เช่นในเวลานอนหลับ เป็นต้น

    และจุติ คือ ดับหรือตายไปจากภพชาตินั้นๆ
    จิตใดที่เป็นทวาริก ก็ย่อมจะแสดงออกซึ่งความรู้สึกต่างๆ เช่น เห็น ได้ยิน และคิดนึก ... จิตใดที่เป็นทวารวิมุติ พ้นจากการนับเป็นทวาร ย่อมจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรทั้งสิ้น

    ด้วยเหตุนี้อย่าว่าแต่ จุติ คือความตายเลย แม้ปฏิสนธิ กับภวังค์ ก็หาได้มีความรู้สึกนึกคิดมิได้

    ท่านอาจจะสงสัยว่า เหตุใดจิตเกิดขึ้นมาทำงานแล้ว ไฉนมิได้มีความรู้สึกนึกคิดหรือรู้สึกสำนึกตัว

    ผมก็จะถามท่านว่า ....
    ในเวลานอนหลับสนิท จิตมิได้เกิดขึ้นมาหรือ ในเวลานอนหลับก็มิได้ตาย จิตก็เกิดขึ้นมาทำงาน แต่คนนอนหลับสนิท รู้สึกนึกคิด หรือรู้สึกสำนึกตัวบ้างหรือเปล่า

    ปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ มิได้มีความรู้สึกสำนึกตัวดังนี้
    จึงตอบคำถามได้ว่า ในขณะกำลังตายมิได้มีความเจ็บปวดแต่ประการใด เหมือนผู้ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่นั่นเอง

    แต่อย่างไรก็ดี.. ในตอนก่อนที่จะถึงความตาย... ก็อาจจะมีความรู้สึกสำนึกตัว โดยมีความสุขความสบายอย่างเหลือแสน........ หรืออาจเกิดความทุกข์ทรมานประการใดก็ได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่อำนาจของกรรมที่ผู้นั้นได้กระทำมาเป็นสำคัญ

    http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/where.doc
     
  5. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    สร้างกรรมมาเยอะแล้ววันนนนี้ ... ฝากถามท่านหน่อยว่า

    พิธีสืบชะตาหลวง คืออะไรค่ะท่าน และสวดมนต์ไหว้พระและอุทิศส่วนกุศลให้ใครกันค่ะ ...ท่านได้ทำบ้างไหมค่ะ

    ไปแล้วจริง ๆ ค่ะ
     
  6. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ***อาตมาบอกว่า มันไม่มีทั้งโจรและเศรษฐี**

    ข้าพเจ้ากลับว่ามีทั้งโจรและเศรษฐีค่ะ เพราะพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ปฏิเสธสิ่งที่มีว่าไม่มี พระพุทธท่านสอนว่า รูป สักแต่ว่า รูป นั่นคือมีรูป อยู่ค่ะ แต่ไม่ให้ยึดว่ารูปเป็นตัวตนเพราะรูปนามเกิดดับตามเหตุปัจจัย
    ***มันไม่มีใครทำร้ายใครจริง มันเป็นแค่ความยึดถือว่ามี***
    ผิดแล้วค่ะ เพราะในขณะที่ใจคิดจะทำร้ายเขา ความรู้สึกแบ่งเราแบ่งเขา ยึดว่าเรามีตัวตนเกิดขึ้นแล้วนะค่ะ เมื่อเป็นอย่างนี้ กรรมย่อมเกิดวิบากย่อมเกิดเพราะจิตเกาะอวิชชาที่เรียกว่าตัวเราของเรา
    ***คนที่ไปทำร้ายคนอื่นก็เพราะความโง่ไปถือว่ามีตนเอง***
    ตรงนี้ถูกครึ่งเดียวค่ะ รูปกับนามยังคงมีอยู่ เกิดดับตามสภาพแต่ไม่ควรยึดรูปนามนั้นว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาค่ะ
    **ถ้าเข้าใจว่าไม่มีตนเองเสียแล้ว ก็จะไม่ไปทำร้ายผู้อื่น***
    ตรงนี้ก็ครึ่งเดียวเหมือนกัน ที่จริงคือยังมีสภาวะเกิดดับของนามรูปอยู่ แต่ไม่ควรยึดว่ารูปนามนั้นเป็นเรา
    สิ่งที่ท่านยังมืด คือพระพุทธท่านว่าธรรมะมีสองระดับ เมื่อใดที่เรายังไม่ถึงปรมัตถ์เพียงใดก็คืออวิชชายังไม่สิ้นเชื้อยังมีอุปาทานว่าขัณฑ์ทั้ง๕ เป็นตัวตนบุคคลเรา เขา เมื่อนั้นเราย่อมว่ายอยู่ในวัฏฏะที่มีกรรมดี กรรมชั่ว พาไปและวนอยู่ในภพภูมิอันมี นรก สวรรค์ พรหมเป็นที่รองรับ เมื่อใดบุคคลตัดอาสวะทั้งปวงสิ้นแล้ว ย่อมมีนิพพานเป็นที่หมายค่ะ ถ้าท่านเตชะปัญโญไม่เชื่อก็ลองฆ่าตัวตายซิค่ะท่านจะกลัวทำไมในเมื่อท่านว่าความตายของท่านเท่ากับสูญ

    เพิ่ม ท้ายนี้ ขอพระบารมีอันไม่มีประมาณของพระไตรรัตน์โปรดดลให้ท่านเตชะปัญโญและคนไทยทุกๆคน สัตว์โลกทุกผู้ทุกนามทุกหมู่เหล่าจงมีสัมมาทิฏฐิธรรมตามพระพุทธศาดาตรัสไว้ดีแล้วตรงแล้วและถูกต้องเสมอตลอดกาลเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    (good)
     
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอบพระคุณค่ะ แต่ตอนนี้ยิ้มจะกลับบ้านไปรับภาระหน้าที่แม่ของบุตรแล้วค่ะ
    ท่านตอบเรื่องพระญวนที่ท่านยอมสละขันธ์ที่ปกติที่คนจะหวงแหนให้ยิ้มก่อนนะค่ะ แล้วพรุ่งนี้จะจิ๊กเวลางานมาเสียเวลากับท่านใหม่ค่ะ ขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านไว้
    *****************

    ***อันนี้คุณโยมไม่ต้องกังวล อาตมาไม่โกรธคุณโยมหรอก อาตมาเข้าใจดี***

    **ว่าคุณโยมมีความปรารถนาดีต่ออาตมา เหมือนมีความปรารถนาดีต่อลูก***

    ***ของคุณโยม ที่เมื่อคุณโยมเห็นว่าสอนดีไม่เชื่อก็ต้องดุด่าว่ากล่าว ***

    ***หรือตีบ้าง แต่ทำด้วยความหวังดี***

    ***อาตมาขอตอบเรื่องพระญวนท่านเผาตัวเองประท้วงสักนิด***

    **คือท่านทำด้วยความห่วงใยศาสนามากเกินไปหน่อย แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำเช่นนี้เลย***

    ***พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ใช้เหตุ ใช้ผล มาแก้ปัญหา หรือแก้วาทะ หรือทำให้คนฉลาดมานับถือก่อน แล้วคนโง่จะตามมาเอง***

    ***ส่วนเรื่องการไม่รับรู้ความรู้สึกทางกายนั้นก็ขอตอบว่า***

    ***การที่คนเราจะไม่รับรู้ความรู้สึกทางกายได้นั้น ก็อาจเป็นได้ว่า**

    *** ๑. จิตเข้าสู่นิโรธสมาบัติ คือดับเวทนาเสียได้***

    *** ๒. หมดสติ หรือตาย****

    ***๓. ได้รับยาระงับประสาทอย่างแรง***

    ***แล้วพระญวนท่านั้นไม่ทราบว่าท่านเป็นอย่างไร เพราะเราไม่รู้วาระจิตท่าน***

    ***เราก็เพียงคาดคะเน(เดา)เอาเท่านั่น***

    ***ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย คือไม่ควรสนใจ เพราะไม่เป็นประโยชน์***

    ***เรื่องที่ควรสนใจก็คือ "มันมีเราอยู่จริงหรือไม่?***

    **อย่าเพ่งโกรธวว่ากลับมาเรื่องเดิม***

    ***ถ้าเราไม่กระจ่างเรื่องนี้ ถึงศึกษาเรื่องอื่นต่อไปมากสักเท่าใด ก็ไม่มีทางเข้าใจชีวิตได้อย่างแท้จริง เพราะยังไม่รู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง***

    *** www.whatami.net ***

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    สร้างกรรมมาเยอะแล้ววันนนนี้ ... ฝากถามท่านหน่อยว่า

    พิธีสืบชะตาหลวง คืออะไรค่ะท่าน และสวดมนต์ไหว้พระและอุทิศส่วนกุศลให้ใครกันค่ะ ...ท่านได้ทำบ้างไหมค่ะ

    ไปแล้วจริง ๆ ค่ะ

    **********

    ***ไม่อยากตอบเรื่องนี้ เดี๋ยวคุณโยมก็โกรธเอาอีก (อย่าโกรธให้ลูกเห็น เดี๋ยวลูกเอาอย่าง)***

    ***เรื่องสืบดวงชะตานั้นเป็นความเชื่อทางพราหมณ์ ที่เชื่อเรื่องดวงชะตาราศี**

    ***พระพุทธเจ้าสอนว่า ฤกษ์จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่เราทำดีหรือชั่วต่างหากดวงดาวจักมาทำอะไรได้***

    ***ส่วการสวดมนต์ไหว้พระหรือการอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นนั้น ไม่มีสอนอยู่ในพุทธศาสนาอีกเหมือนกัน***

    ***คำว่าอุทิศ หมายถึง การทำความดียกย่องเชิดชูคนที่ทำความดีที่ล่วงลับไปแล้วต่างหาก***

    ***เป็นกุศลโลบายให้คนรุ่นหลังทำความดีตาม***

    ***ส่วนคำว่าพิธีสืบชะตาหลวงนี้ไม่เข้าใจว่าหมายถึงใครหรืออะไร?*****

    ***แต่สิ่งใดจะเจริญหรือเสื่อมนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำพิธี แต่มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยภายในของสิ่งนั้น***

    ***ถ้าเหตุปัจจัยเป็นอย่าไร แล้วจะมาทำพิธีสักเท่าใด มันก็ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้***

    ***พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ถ้าการสวดมนต์อ้อนวอนจะมีผลให้คนพ้นทุกข์ได้จริงแล้ว ***

    ***ใครๆก็จะไม่มีทุกข์เลย เพราะใครๆเขาก็อ้อนวอนเป็น***

    **ทำดี ดีกว่าขอพร**

    *** www.whatami.net ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008
  10. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    เลิกอีกประการหนึ่ง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานเป็นของจริงค่ะ ท่านเคยเห็น สมการ
    E = mc^2 ไหมค่ะ ขนาด ไอสไตน์ยังยอมรับเลย ว่าพลังงานทั้งมวลมีอยู่แล้วไม่หายไป ไม่มีวันหาย แต่เปลี่ยนรูปได้ ถ้าเทียบจิต เป็นก้อนธาตุหรือพลังงานไปจับรวมเข้ากับกระแสประสาทรูป คือวิญญาณ เพื่อไปรับ อารมณ์ทางอายนะ ๖ ต่อให้รับเสร็จกลุ่มวิญญาณนั้นๆก็ดับทั้งหมดแต่อย่าลืมนะค่ะ ว่าพลังงานก็ยังอยู่แล้วพลังงานตัวนี้เองที่วิ่งไปจับตัวอื่นต่อจนเกิดเป็นสายสันตติเกิดดับๆๆจนเราคิดว่าขัณฑ์ ๕ เป็นตน ต่อให้ขัณฑ์แตกไม่สืบต่อ พลังงานก็หายไปไม่ได้ค่ะแต่เปลี่ยนรูปได้

    อย่าลืมซิค่ะ E = mc^2

    http://palungjit.org/showthread.php?p=1013763#post1013763
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  11. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  13. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  14. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  15. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  16. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  17. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ทั้งหมดนี่มาจากแสงส่องใจที่สมเด็จพระสังฆราชทรงพระนิพนธืไว้เนื้อหาเกี่ยวกับพระนิพพานก็ขอผู้มีปัญญาดูเอานะครับจะเชื่อพระสังฆราชนักปฏิบัติและนักปริยัติ หรือ พระอลัชชีที่วันๆเอาแต่ยกตนว่าข้าเก่งข้าสุดยอดบวชมาเสียข้าวสุก ถ้าการอุทิศส่วนกุศลไม่มีทำไมพระพุทธเจ้าต้องให้พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย จะว่าพระพุทธเจ้าไม่สอนได้อย่างไร หรือว่าพระพุทธเจ้าโกหกให้พระเจ้าพิมพิสารสบายใจเท่านั้นหรือครับ งั้นจะทรงให้สวดอยัญจะโขเพื่ออุทิศให้ผีเปรตทำไม อลัชชีผู้นี้บวชกับศาสนาพระตถาคตไม่รู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนกลับมาสอนผิด ก็ดูเอาเองนะครับว่าพระชั่วๆแบบนีร้จะปล่ยให้ลอยหน้าในสังคมได้หรืออย่างไร
    ส่วการสวดมนต์ไหว้พระหรือการอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นนั้น ไม่มีสอนอยู่ในพุทธศาสนาอีกเหมือนกัน***

    ***คำว่าอุทิศ หมายถึง การทำความดียกย่องเชิดชูคนที่ทำความดีที่ล่วงลับไปแล้วต่างหาก***

    ***เป็นกุศลโลบายให้คนรุ่นหลังทำความดีตาม

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13034
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ตรงนี้ก็ครึ่งเดียวเหมือนกัน ที่จริงคือยังมีสภาวะเกิดดับของนามรูปอยู่ แต่ไม่ควรยึดว่ารูปนามนั้นเป็นเรา
    สิ่งที่ท่านยังมืด คือพระพุทธท่านว่าธรรมะมีสองระดับ เมื่อใดที่เรายังไม่ถึงปรมัตถ์เพียงใดก็คืออวิชชายังไม่สิ้นเชื้อยังมีอุปาทานว่าขัณฑ์ทั้ง๕ เป็นตัวตนบุคคลเรา เขา เมื่อนั้นเราย่อมว่ายอยู่ในวัฏฏะที่มีกรรมดี กรรมชั่ว พาไปและวนอยู่ในภพภูมิอันมี นรก สวรรค์ พรหมเป็นที่รองรับ เมื่อใดบุคคลตัดอาสวะทั้งปวงสิ้นแล้ว ย่อมมีนิพพานเป็นที่หมายค่ะ ถ้าท่านเตชะปัญโญไม่เชื่อก็ลองฆ่าตัวตายซิค่ะท่านจะกลัวทำไมในเมื่อท่านว่าความตายของท่านเท่ากับสูญ
    ***************

    ***อันนี้มาแรง ขอตอบหน่อยว่า***

    ***ธรรมะมีสองระดับ ระดับศีลธรรมนั้เอาไว้สอนเด็กโง่***

    ***ระดับปรมัตถ์ เอาไว้สอนคนมีปัญญา***

    ***แล้วเรายังเป็นเด็กโง่กันอยู่หรือ จึงยังต้องสอนว่ามีตัวตนบุคคลเราเขา**

    **ควมจริงของโลกมีสองอย่าง คือ จริงอย่างสมมติ กับจริงแท้สูงสุด**

    ***จริงแท้สูงสุดนั้นก้คือสภาวะที่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ คือไม่มีตัวตนใดๆ เป็นแต่เพียงสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้เอาไว้สอนคนมีปัญญา*/**

    **ส่วนจริงโดยสมมตินั้นก็เอาความจริงแท้สูงสุดนั้นมาสมมติว่าเป็นตัวตนเราเขา เพื่อเอาไว้สอนเด็กโง่เท่านั้น แต่ว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้มีจริงตามที่สมมติเรียกเลย***

    ***ส่วนเรื่องให้ฆ่าตัวตายพิสูจน์นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา ใครเชื่อว่าตายแล้วยังเกิดใหม่ได้ ก็ต้องลองพิสูจน์เอาเอง***

    ***อย่าเพ่งโกรธซิจ๊ะคุณโยม มันจะเป็นนิวรณ์ครอบงำจิต ทำให้ฟังธรรมะไม่เข้าใจ เดี๋ยวตกนรกน๊ะจ๊ะ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เลิกอีกประการหนึ่ง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานเป็นของจริงค่ะ ท่านเคยเห็น สมการ
    E = mc^2 ไหมค่ะ ขนาด ไอสไตน์ยังยอมรับเลย ว่าพลังงานทั้งมวลมีอยู่แล้วไม่หายไป ไม่มีวันหาย แต่เปลี่ยนรูปได้ ถ้าเทียบจิต เป็นก้อนธาตุหรือพลังงานไปจับรวมเข้ากับกระแสประสาทรูป คือวิญญาณ เพื่อไปรับ อารมณ์ทางอายนะ ๖ ต่อให้รับเสร็จกลุ่มวิญญาณนั้นๆก็ดับทั้งหมดแต่อย่าลืมนะค่ะ ว่าพลังงานก็ยังอยู่แล้วพลังงานตัวนี้เองที่วิ่งไปจับตัวอื่นต่อจนเกิดเป็นสายสันตติเกิดดับๆๆจนเราคิดว่าขัณฑ์ ๕ เป็นตน ต่อให้ขัณฑ์แตกไม่สืบต่อ พลังงานก็หายไปไม่ได้ค่ะแต่เปลี่ยนรูปได้

    อย่าลืมซิค่ะ E = mc^2

    *****************

    ***เอ... เคยได้ยินแต่ว่า สสารเปลี่ยนรูปได้ และเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ตามที่ไอสตน์ว่าไว้ แต่ไม่เคยได้ยินว่าพลังงานก็มีอยู่ ไม่มีวันหายไป แต่เปลี่ยนรูปได้ อันนี้ถ้าคุณโยมพิมพ์ผิด ก็ช่วยแก้ไขด้วย***

    ***ส่วนที่ว่าพลังงานทั้งมวลมีอยู่ ไม่มีวันหายไปนั้น***

    ***พลังงานก็เป็นแค่พลังอย่างหนึ่งที่อิงวัตถุหรือรูปเพื่อเกิดขึ้น***

    ***เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันจะตั้งอยู่ได้ตลอดไปหรือ?***

    ***มันไม่ดับไปตามกฎ การเกิดและดับหรือ?***

    ***ก็พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นล้วนต้องดับไป***

    ***แล้วอย่างนี้มันมิขัดแย้งกันหรือ?***

    ***แล้วที่อ้างว่าพลังงานไม่หาย แต่เปลี่ยนรูปได้นั้น ไม่ทราบพลังงานอะไร***

    ***พลังงานไฟฟ้าก็เป็นเพียงการเคลื่อนที่ของอิเล็กครอน จากอะตอมหนึ่งไปอะตอมหนึ่งอย่างต่อเนื่องเท่านั้น มันไม่ได้มีตัวตนจริงเลย***

    ***ส่วนพลังงานความร้อนก็เป็นเพียงการสั่นสะเทือนของอะตอมในระดับความถี่สูงเท่านั้น มันก็ไม่ได้มีตัวตนอีกเหมือนกัน***

    ***ถ้าจะเอาพลังงานมาเป็นวิญญาณ มันก็ต้องมีการเกิดดับตามเหตุปัจจัยมิใช่หรือ ? ถ้ไม่มีเหตุปัจจัย มันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ จริงใหม? ***

    ***แล้วอย่างนี้มันจะมีตัวตนเป็ยของใครๆได้ เพราะแม้แต่ตัวของมันเองก็ยังต้องอาศัยสิ่งอื่นเพื่อเกิดขึ้นมา***

    ***ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย มันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ เพระมันไม่มีตัวตนของตนเอง***

    ***แล้วจะหาตัวตนจากรูปหรือพลังงานได้อย่างไร เพราะตัวของมันเองก็ยังไม่มี แล้วเราจะมีมาจากที่ไหน?***

    ***ค้นหาตัวเองจากความจริงในตัวเองซิจ๊ะคุณโยม แล้วจะพบว่า มันไม่มีสภาวะใดที่จะมาเป็นเราได้เลย ถ้ายังพบว่าจะมีตัวเราอยู่ จิตมันก็ไม่นิพพาน(ไม่พ้นทุกข์)***



    *** www.whatami.net ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...