สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,809
    ขอบคุณครับพี่นพและอนุโมทนาที่พี่นพกรุณาแนะนำและตอบข้อสงสัยครับ ผมจะลองไปปฏิบัติตามที่พี่นพแนะนำครับ
     
  2. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    ถามเพิ่มเติมครับ

    1. กสิณสีขาว/แสงสว่าง เวลาเพ่งไปสักพักแล้วมันจะแสงขาวๆ นวลๆ มาบังตัวกสิณหมดเลย เลยต้องพยายามนึกใหม่ตลอด ตรงนี้แก้ยังไงครับ? ประมาณเรามองดวงจันทร์เจอเมฆบางๆมาบัง ทำให้ตัวกสิณโดนปิด ทำให้มองไม่เห็น ประมาณนี้

    2. ผมพยายามฝึกถอดกาย แต่เหมือนยังวางอุเบกขา หรือตัดอาการทางกายได้ไม่หมดสักที ประมาณ 80% เมื่อนั่งไปประมาณสัก 2 ชั่วโมง แล้วจะเจ็บบริเวณก้นด้านขวา ทำให้ปวดจนนั่งต่อไม่ได้ครับ กำลังหาทางแก้อยู่ ไม่งั้นคงนั่งต่อได้ยาวๆ เพราะจิตนิ่งมากแล้ว สักพักเหนื่อยแล้วหลับไป เหมือนฝันถึงหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกให้ฝึกทิพจักขุญาณก่อน แล้วค่อยไปฝึกถอดกาย - ทิพจักขุญาณที่ง่ายกว่าเหรอครับ? เอาจริงๆผมเคยฝึกแล้วทำได้ครั้งนึง แต่ไม่ฝึกต่อ แต่คิดว่าไม่ใช่กำลังของตัวเอง เป็นกำลังของท่านอื่นช่วยด้วยส่วนนึงครับ แต่กำลังสมาธิในช่วงนั้นน่าจะอยู่แค่อุปจารสมาธิครับ ผมไม่แน่ใจว่ามันคือมโนมยิทธิครึ่งกำลัง หรือ ทิพจักขุญาณ แล้วไม่รู้ด้วยว่ามันต่างกันยังไง 555 ผมใช้พุทธานุสติกรรมฐานนะครับ เพ่งภาพสมเด็จโต

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2020
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ๑ ข้อแรก เรื่องปกติที่จะเจอนิมิตขวางแบบนั้นก่อนที่จะปั่นปฎิภาคนิมิตได้ แสดงว่าใกล้แล้วหละ วิธี ให้ถอยกำลังลงมาด้วยการกลับมาตามระลึกลมหายใจ แล้วค่อยกลับเข้าไปใหม่ ทำแบบนี้เรื่อยไป และในระหว่างวันให้มาเพิ่ม การทำสมาธิบ่อยๆ เอาแค่ติตสงบพอ ครั้งละ ๑ ถึง ๒ นาทีพอ แต่ทำบ่อยๆ เข้าใจนะ
    อนาคต ในบางจังหวะมันจะพรวดพลาดไปปฏิภาคนิมิตได้เอง ที่นี้แระจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูด ๕๕

    ๒ ลพ ท่านแนะถูกแล้วถ้าเราชอบทางนั้นนะ เพราะ ท่านที่เก่งๆ ยกกาย แล้วแหวกอากาศไปหาลูกศิษย์ทั้งหลาย ส่วนลูกศิษย์จะเห็นเหมือนท่านผ่านประตูวงกลมออกมา ท่านก็สอน ให้ออกทาง เหนือระหว่างคิ้วนั้นเอง และจุดเหนือระหว่างคิ้วมันมีฐานมาจากทิพยจักขุนั่นแระ
    ประเภทๆนั่งแล้วลุกออก จะเป็นในหนัง
    ยกเว้นจะมีภพภูมิ พาเราออกถึงจะเหมือนเราค่อยๆลุกขึ้น
    เกทไหม
     
  4. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    แล้วควรใช้วิธีไหนครับ ระหว่างเพ่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว หรือใช้การกำหนดภาพขึ้นมา หรือมีวิธีอื่นอีกครับ? อันนี้หมายถึงการถอดกายที่ออกทางระหว่างคิ้วนะครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ลำดับนะ
    ๑. สร้างภาพด้วยจิต ผ่านเหนือคิ้ว จะเกิด
    ๒. ทิพยคิกขุ ,,! ทิพย์จักขุ
    หากชำนาญ แล้ว

    จะเกิด ๓ คือ ออกไป 11 รด
    เข้าใจเนาะ
     
  6. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    OK ขอบคุณครับ

    ปกติถ้าจะฝึกถอดกาย ผมฝึกโดยใช้ความรู้สึกทั่วตัวมาตลอด มันจะค่อยๆละเอียดเข้าไปทีละนิดๆ แต่มันไม่หลุดออกมาซะที

    งั้นเดี๋ยวผมกลับไปฝึกอีกแบบที่คุณนพฯบอกลองดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2020
  7. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    วันนี้ลองทำแบบเกือบทั้งวัน เดินไปกินข้าวก็กำหนดภาพกสิณขึ้น ตอนลืมตานั่นแหละ เดินไปนั่น นี่ หรือตอนนั่งอยู่ก็กำหนดขึ้นมาแบบลืมตาเลย โดยกำหนดเป็นแสงสว่างวงกลมหนาทึบขึ้นมา แต่ยังทรงได้ไม่นานเท่าไรครับ

    แต่พอจังหวะเพ่งแล้วจะมี 3 อย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน 1. อาการตรงหัวคือ ปวดหัวนิดหน่อย + 2. ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้ว + 3. ตรงหูเหมือนจะเงียบสงัดลง ได้เสียงภายนอกเบาลง

    พอเลิกเพ่งแล้วมีอาการปวดหัว + ระหว่างคิ้วนิดหน่อยครับ

    เดี๋ยวฝึกต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2020
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ส่วนนี้เล่าให้ฟังเล่นๆนะ
    ถ้าถึงจุดที่ เราฝึกกรรมฐานกองนั้นได้สำเร็จ
    ผลที่ตามมาคือ กำลังจิต และความสามารถ
    ในการนำไปใช้งานได้ในชีวิตปกติประจำวันนี่หละ
    ต่อไปแทบจะไม่ได้ถามใครนะช่วงเวลานั้น
    แต่พึ่งระลึกไว้เสมอว่า ความสามารถใช้งานได้ปกติ
    ในชีวิตประจำวันนั้น มันคือการเริ่มต้นทำงานได้จริงของจิต
    (หลายคนพลาดตั้งแต่ยังใช้งานไม่ได้ เพราะยึดติดกับนามธรรมต่างๆระหว่างทาง
    หลายคนก็พลาดเมื่อเริ่มต้นทำงานของจิต เพราะไปติดในลาภ ยศ
    สุข สรรเสริญก่อน กลายเป็น ชอบกับชื่อ ที่ตามด้วยคนอ่านแล้ว
    เข้าใจว่า บุคคลนั้นเป็นผู้เศษ)

    เพราะว่า การพัฒนามันจะมาตอนที่เรานำไปใช้งาน
    ในทางที่มีประโยชน์นั้นแระ ยกเว้นว่า พอใช้งานไประดับหนึ่ง
    แล้วเราต้องการยกระดับ ความสามารถในการใช้งานนั้นหละ
    ตอนนั้นs]t ที่จะต้องหาพระเกจิ ให้ถูกท่านด้วย


    มันจะไม่เหมือนความเข้าใจ ของผู้ปฏิบัติส่วนมากนะ
    ที่ไปอ่านตำรามานะ แล้วอาจจะเข้าใจว่า พอฝึกกรรมฐานกองนั้นได้สำเร็จ
    จะมีความสามารถ อย่างที่ครูบาร์อาจารย์ท่านกล่าวไว้ในตำราเลย
    เพราะว่า สิ่งที่ท่านกล่าว จะเป็นผลปลายๆแล้ว
    ซึ่งเป็นปลายในชนิดที่ว่า บุคคลนั้นแทบจะไม่มีกิเลสแล้ว
    และท่านจะไม่ได้พูดในระหว่างทาง ว่าผู้ฝึกต้องพบเจออะไรบ้าง
    แต่พูดเกี่ยวกับหลักการฝึกไว้แต่เป็นแบบหยาบๆ
    แต่มักจะแผลงไปด้วย เทคนิค ตัวอย่างเรื่องกสิณ
    (ท่านกล่าวว่า ในระหว่างทาง ไม่ว่าจะพบเห็นอะไรก็ตาม
    ที่พิศดารมากน้อยแค่ไหนก็ตามหรือเกิดความสามารถ
    อะไรก็ตามขึ้นมา ท่านบอกว่า ห้ามสนใจเด็ดขาด
    จนกว่า จะฝึกกรรมฐานกองนั้นสำเร็จและใช้งานได้ก่อน)
    หรือท่านไม่ได้บอกว่า การพัฒนาความสามารถนั้นทำอย่างไร
    (ท่านกล่าว อย่างนี้ ก่อนที่เราจะฝึกสำเร็จ ท่านว่าตั้งเป้าใช้งาน
    เพื่อประโยชน์ผู้อื่นและสาธารณะ แต่หลังใช้งานไปซักพัก
    พอสมควรแล้ว ท่านจะกล่าวว่า ให้นำมันมาใช้เพื่อลดกิเลส
    เพื่อให้จิตเรามันสะอาดบริสุทธิขึ้น นั่นหมายความว่า
    เราต้องทิ้งความสามารถนั้นไป แล้วมาเน้นด้านปัญญาแทน
    พวกความสามารถมันจะแปลกอย่างหนึ่งนะ
    '' ยิ้งทิ้งยิ่งอัตโนมัติของมันเอง'')
    ตรงนี้นี้หละ ที่ผู้ปฏิบัติ จะต้องผ่านด่านต่างๆเหล่านี้ด้วยตนเองก่อน
    แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น หากเจตนาตั้งต้น และวัตถุประสงค์ในการ
    นำไปใช้งานเราดีอยู่แล้ว เมื่อๆใกล้ถึงจุดที่จะพัฒนาในขั้นตอน
    ระหว่างการฝึก ท่านก็จะมาแนะทริคต่างๆให้เองเสมอ

    ด่านที่สำคัญที่สุด ก่อนที่จะมีความสามารถใช้งานได้ในชีวิตปกติประจำวัน
    มีอยู่ ๓ ด่านหลักๆ คือ
    ๑. ด่านเรื่องเมตตา (ตย. ใช้งานในการป้องกันตัวแบบมีผลให้บุคคลอื่นๆเจ็บ หรือ ใช้ ทำร้าย คือ สอบตก)
    ๒. ด่านเรื่องความกลัวตายหรือด่านเรื่องการยึดกายอยู่(วิ่งหนี ตั้งใจนำมาใช้งานเพื่อป้องกันตัวเองเพราะกลัวตาย คือ สอบตก)
    และ ๓. ความเฉลียวในการนำไปใช้งาน
    (จะมีบททดสอบ ด่านหนึ่ง ที่เราจะต้องใช้ความสามารถของกรรมฐาน
    เพื่อผ่านด่านนี้ให้ได้ ) ผ่านข้อ นี้ได้
    ตื่นมา เราจะมีความสามารถนำไปใช้งานได้ในชีวิตปกติประจำวันทันที
    ส่วนมาก ด่าน ๑ และ ๒ จะตกเป็นเรื่องธรรมดาทุกคน
    ไม่มีใครไม่เคยสอบตก และตกหลายสิบครั้งด้วย
    แม้แต่ พระเกจิท่านเอง ก็ล้วนแล้วเคยสอบตกมาแล้วทั้งนั้น
    (บางท่าน เผาวินาศสันตะโลก็มี บางท่านเจอเทวดาปลอมมาทดสอบก็มี
    เคยสอบตกมาแล้วทั้งนั้น)

    กรรมฐานกสิณมันแปลกอยู่อย่างนะ
    ทำได้กองเดียว มันจะสามารถใช้กองอื่นๆ
    ในหมวดเดียวกันได้ของมันเองเลยนะ
    โดยที่ไม่ต้องฝึก เพราะฐานกำลังเริ่มต้นใช้งานได้มันเท่ากัน
    พอไปฝึก กรรมฐานอื่นๆ ที่กำลังต่ำกว่า
    เราทำแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำได้เลยนะ
    อย่างว่า ด้วยความสามารถทำงานได้มัน
    กสิณบางกองมันก็เป็นดาษสองคมได้
    หากไปใช้ในทางที่เป็นอกุศล
    ดังนั้น ภูมิต้านทานทางด้านจิตใจเราจะต้องสูงพอตัว
    ต่อการถูกดูถูก เยียดหยาบ ท้าทาย เยาะเย้ย ทับถม ถูกท้าให้ทดสอบ
    ที่จะระงับยับยั้ง ไม่นำไปใช้ในทางอกุศลต่างๆเหล่านั้น
    ให้เราอดทนไว้ เราเน้นเฉพาะความสามารถที่จะเกิดขึ้น
    ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆและสาธารณะอย่างเดียวพอ
    ตย.นะ กำลังใช้งานระดับฌาน ๒ ของกสินดิน
    มันย้ายเส้นและเพิ่มมวลกระดูกได้แบบปกติเลยนะ
    พูดแค่นี้ พอมองเห็นการนำไปใช้ในทางอกุศลออกไหม ...
    นี่หละ เรื่องสำคัญของภูมิต้านทานทางจิตที่จะต้องมีสูงพอตัว...

    จบเรื่องเล่าให้ฟังเล่นๆก่อนนอน


     
  9. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,809
    ผมชอบคำพูดของพี่นพใน Quote ที่พี่นพกล่าวถึงความอดทน และ ภูมิต้านทานทางจิตครับ ผมเคยสงสัยว่าทำไมในบทสวดมนต์ โอวาทปาฏิโมกขคาถา ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่สำคัญบทหนึ่งของพระพุทธองค์ มีอยู่ท่อนหนึ่งกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของความอดทนขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา แปลว่า “ขันติ คือความอดทนอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างดียิ่ง” อย่างนักปฏิบัติธรรมอย่างเราๆโดยมากก็จะถูกเรียกว่า “โยคี” ซึ่งหมายถึง ผู้เพียรเพ่งเผากิเลสให้หมดไป สรุปคือ ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญมากครับ … ผมจะรอติดตามอ่านเรื่องเล่าของพี่ต่อไปด้วยใจระทึกครับ … อนุโมทนาครับพี่นพ สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2020
  10. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    วันนี้ทำสมาธิช่วงหนึ่งจนถึงตี 4 แล้วนอนไปสักพัก เกือบจะหลับ เกิดอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น มีวิญญาณ ผญ คนหนึ่ง นั่งอยู่ทางด้านซ้าย บริเวณแขน-ไหล่ ด้านซ้าย แล้วเหมือนตั้งใจมานอนทับผมเพื่อจะกระซิบหูขวา ประมาณว่านอนแบบขวางลำตัวอ่ะครับ แล้วกระซิบอะไรไม่รู้ แล้วเหมือนใช้มือมาแงะๆอะไรที่ฟันผม = =' ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่เหมือนผมไม่ได้ตั้งใจฟังเขาด้วยแหละ คำพูดแรกที่เขาบอกคือ "เราเป็นนางฟ้า" อะไรประมาณนี้ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดต่อ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง เสียงที่ได้ยินคล้ายเสียงคนอายุสัก 20 ต้นๆได้ เสียงน่ารักเหมือนกัน แต่อาจจะโดนหลอกได้ เลยไม่ได้เชื่อว่าเป็นนางฟ้า หรืออะไร แต่พยายามลืมตาแล้วสังเกตไปที่เสื้อ (เป็นไม่กี่ครั้งที่ผมลืมตาได้ช่วงนี้ อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฝึกทิพจักขุญาณหรือเปล่าไม่แน่ใจ) เป็นเสื้อสีขาว คล้ายๆเสื้อขาวแบบราชประแตน หลังจากเขาพูดเสร็จได้ยินเสียงหัวเราะคล้ายๆเสียงมาร หรือปีศาจ ผมเลยรู้สักว่ามันดูย้อนแย้งแหะ เสียงหัวเราะกับเสื้อที่ผมเห็น - -" หลังจากนั้นผมก็ตื่นขึ้น แล้วพยายามคิดดู

    หลังจากนั้นผมคิดถึงหลวงพ่อฤาษีฯ และพระพุทธเจ้า ว่าหากวันนึงต้องไปเกิดในโลกมารพวกนี้ ขอให้ได้จิตที่ดีของผมไปด้วย วันนึงหากเขาให้ผมเกิดเป็นมาร หรือโลกปีศาจผมจะพาเขาไปนิพพานให้หมด อะไรประมาณนี้ครับ

    จริงๆวิญญาณปีศาจ หรือมาร พวกนี้ผมเจอบ่อยมากจนผมชินไปกับมันแล้ว เหมือนมันเป็นบททดสอบหรือโชคชะตาอะไรที่ต้องเจอมั้ง หากมันจะต้องเจอจริงๆก็ให้มันเจอเหอะ เพราะผมเองก็ไม่ได้กลัวอะไรแล้ว เพราะความเคยชิน 555
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    น่าจะโดน ผี ญ กำลังเทียบเท่าระดับเจ้าที่หยอกเล่นแล้วหละ ๕๕๕ พวกนี้เค้ามาจากระดับกำลังต่ำมาก่อนนะจนกระทั่ง ได้รับบุญแล้วพัฒนาเป็นปัจจุบัน แต่กำลังเค้าจริงๆ ยังไม่สามารถปรากฏได้เลยทางด้านขวา เพราะว่า เค้าจะถูกดูด จากสนามแม่เหล็ก ที่มาแร่เหล็กเราทางเส้นเลือดดำด้านหลังเราเอง ดีแล้วแระที่รู้สึกย้อนแย้งได้
    และไม่ใช่เจ้าที่บ้านเราด้วย ดูแล้วคงมาทดสอบ
    กำลังใจเราด้วยหละนะ

    ส่วนนี้เล่าให้ฟังเล่นๆนะ
    พวกระดับ นางฟ้านะ เวลาปรากฏตัว จะอยู่ตำแหน่งทางด้านปลายเท้าเรา แต่งชุด ทรงเครื่อง สีสดใส สวยงาม เต็มยศ ที่สำคัญเค้าจะมีประกาย ระยิบระยับ รอบๆตัวเค้าด้วย หน้าจะยิ้มๆหน่อย คือยังรูู้สึกได้ว่า มีอารมณ์แบบสาวชอบหนุ่ม และสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ

    แต่ถ้าสูงกว่านี้ ปรากฏตำแหน่งคล้ายกัน
    ชุดแต่งคล้ายกัน สีออกเรียบๆ แต่จะต่างกัน
    ที่ความนิ่ง และความสงบ หน้านิ่ง แต่เหมือนยิ้ม ความรู้สึกจะแบบออกแนวเมตตา นี่ก็เห็นได้ด้วยเปล่า

    และทั้งสองแบบที่เล่ามา จะไม่มาเกาะแกะอะไร
    ที่ร่างกายเราเลย


    พวกนี้เค้ามีความสามารถเชิญเราไปยังวิมานเค้าได้ด้วย แต่จะไม่มาเกาะแกะ ที่ตัวเรา

    พวกที่ชอบถึงตัวนะ ต้องระวังพวกผิวขาว มีออร่าเหมือนพวกกินยาเสริม ผอม หน้าคม ตาเล็ก ตาดำออกเขียว ผมเส้นเล็กตรงยาว
    ให้ระวังเลย เราจะถูกล่วงเกินไป 555
     
  12. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    โดนล่วงเกินไปหลายรอบแล้วครับ ทั้งกอด หอมแก้ม มากกว่านั้นก็มี -.-"

    ไม่แน่ใจว่าใช่วิญญาณ ผญ ที่มาดูดเอาพลังบุญจากการนั่งสมาธิหรือเปล่า อาจจะใช่ก็ได้ แต่ก็ให้เขาไปเถอะ ถ้าอยากได้

    จริงๆผมไม่สนหรอกว่าเป็นผี ปีศาจ มาร นางฟ้า เพราะภพภูมิเป็นเรื่องชั่วคราว หมดอายุเกิดใหม่ก็เป็นแบบอื่น แค่เขาไม่มีเจตนาร้ายกับเราก็พอละครับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เล่าสู่กันฟัง

    เรื่องภพภูมิ ไม่สนใจได้ก็ดีแล้ว
    ส่วนตัวก็ชอบเขียนนะ ให้ห้องผีๆ
    ประมาณเพื่อความบันเทิง หรือ พอมีประโยชน์บ้าง
    ไม่สนใจ คือ ถ้าไม่มีคนถามก็ไม่พูด
    หรือ พูดเอาฮาๆพอได้ หรือ พูดกรณี
    ที่พอมีประโยชน์บ้าง ไม่ว่าในทางศรัทธา
    ในทางช่วยเหลือ อะไรประมานนี้
    แต่ถ้าจะพูด ควรบอกอะไรได้บ้าง
    ในสิ่งที่ตนเองได้เห็นบ้าง


    ส่วนกรณี
    เรื่อง ผี สาว มาลวนลาม ปกติทั่วไป
    คนพอเห็นผีได้ หรือ เคยเห็นผีได้
    ถ้าได้มาถือ ศีล ๕ ซักช่วงก็มีโอกาสจะเจอได้
    สำคัญว่า เราจะไม่ยึดได้จริงๆหรือเปล่า
    แต่กรณีถ้าเป็นบททดสอบจิตใจ
    จะมาในรูปแบบคนที่เรารู้จักแทน
    ส่วนการเห็นนั้น ถ้าเราไม่ยึดจริงๆได้

    ต่อไปมันก็จะพัฒนาการเห็นได้
    แบบตาเปล่าๆได้ ถ้าเค้าหรือท่านๆ
    จะทำให้เราเห็นนะ
    และการเห็น มันก็จะพัฒนาการเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    ด้วยการเห็นระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
    จนถึงระดับที่สูงที่สุด หรือระดับ
    แบบที่ไม่สามารถ
    เล่าออกสื่อได้ในลำดับต่อมา


    ในส่วนเรื่องภพภูมิ ถ้ามองเป็นพลังงาน
    ยังไงก็มีอยู่ปกติ
    แต่ถ้า กรณีที่เราต้องการที่จะนำความสามารถที่มี
    เพื่อไปใช้ประโยชน์ สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือ
    การสร้างพันธมิตร ทางภพภูมิ
    ส่วนนี้ต้องสร้างเอาเอง

    ตัวจิตเราเป็นแบบไหน พันธมิตรเราก็จะเป็นแบบนั้น
    พันธมิตร เปรียบเหมือน คนคอยดูแลเราในขณะ
    ที่เรากำลังอยู่บนเรือ และกำลังช่วยคนกำลังจมน้ำ
    พันธมิตร นี่แระจะคอยดูแล ระวังหน้าหลังให้เรา
    ไม่ได้รับอันตราย


    และระดับภูมิจิตเรา จะเป็นตัววัดคุณภาพทางจิตเราเอง
    สังเกตุจากอะไร ให้สังเกตุจาก
    เวลาเราไปที่ไหนก็ตาม
    ให้ดูว่า ระดับไหนที่ให้เคารพเรา
    ระดับไหนที่มองเราเป็นมิตร

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พวกนี้ก็ถือว่า นามธรรมอยู่
    ซึ่งก็ยึดไม่ได้เหมือนเดิม
    สำคัญที่ว่า

    แค่เราเห็นเงาดำๆ ที่ปรากฏให้เห็นต่อหน้า
    ตัวจิต จะสามารถย้อนรู้ต้นตอแห่งการเห็น
    ณ ปัจจุบันได้ไหม คือ ต้องตอบได้ว่า
    ทำไม ณ ปัจจุบันเราถึงเห็นแบบนี้

    มันจะทำให้เราเข้าใจกระบวณการเกิด
    จนเห็นเป็นภาพต่างๆขึ้นมาได้ ณ ปัจจุบัน
    ไม่ว่าจะเห็นระดับไหน แบบใดก็ตาม


    เริ่มต้นการจะรู้ในสิ่งที่เห็นได้
    หรือเข้าใจวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เห็นจะ
    อาศัยกำลังสติทางธรรมล้วนๆ
    ในการเข้าใจวัตถุประสงค์ของการเห็น
    มากกว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
    และระดับปัญญาญาน
    (ซึ่งต้องทิ้งรูป และไม่ยึดนาม
    และมาสังเกตุสาเหตุที่จิตเกิด
    มาสังเกตุว่าจิตดับเพราะอะไร ดับเวลาไหน )

    ซึ่ง มันจะกลายมาเป็นตัวบอกให้ทราบว่า
    ณ ปัจจุบันนี้ ทำไมเราถึงเห็นแบบนี้ แบบนั้น
    ตัวจิตเมื่อมันย้อนรู้เหตุได้ มันถึงจะไม่ยึดได้จริงๆ
    ตรงนี้ ถึงถือว่า อยู่ในทางพุทธศาสนาอยู่
    และตรงนี้ ก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิเข้ามาเสริม
    เพราะการย้อนรู้ลึกถึงต้นตอได้ระดับไหน
    มันอาศัยกำลังสมาธิเข้ามาหนุน



    ''กายกับจิตประสานสัมพันธ์เชื่อมทุกสรรพสิ่ง
    กายนิ่ง จิตนิ่ง ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ
    จิตสงบ หมดนิวรณ์ มีสติทางธรรมคอบกำกับ
    ยังเหตุภพภูมิแตดไตรภูมิเปิด
    เป็นจุดกำเนิด ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    หากดับซึ่ง สัญญาความจำได้แล้วไซร์
    ปัญญาพึ่งบังเกิดขึ้นได้เอง

    ที่ไม่ใช่ว่า ว่างและไม่ว่าง นั่นหละว่าง
    ยิ่งทิ้งยิ่งอัตโนมัติ มันจะค่อยๆกลับคืนสู่เนื่อหา
    เดิมแท้ได้ของมันเอง

    กายอยู่อย่างไร จิตอยู่อย่างนั้น
    ไม่ใช้ทั้งกาย ไม่ใช้ทั้งจิต
    นั่นหละสภาวะดับ''


    ราตรีสวัสดิ์
     
  14. volvo16738

    volvo16738 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +234
    ผมเริ่มลองปั่นกสิณไปทิศทวนเข็มนาฬิกาแล้ว ช่วงนั้นกสิณเริ่มทรงตัว หลังจากพยายามให้มันนิ่งสักพักใหญ่ๆ น่าจะเป็นอุคคหนิมิตมั้ง เพราะถ้าเป็นปฏิภาคนิมิตจะต้องได้ยินเสียง และเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ โชคดีที่มันเกิดเองตอนนั้นทำให้รู้ว่าต่างกันยังไง

    พอเพ่งไปที่ตัวกสิณเหมือนความรู้สึกมันไปรวมที่ตรงนั้น หลังจากนั้นเริ่มฝึกปั่นไปทางซ้ายมีความรู้สึกว่าจิตสั่นสะเทือนนิดหน่อย หลังจากนั้นลองหยุดดูปรากฏว่าไม่สั่น ลองปั่นอีกครั้ง เกิดอาการสั่นเล็กน้อยเหมือนเดิม และปั่นช้า สั่นช้า ปั่นเร็ว สั่นเร็ว เหมือนควบคุมได้ แต่อาการสั่นแบบนี้จะเกิดเฉพาะในตอนที่จิตเริ่มทรงตัว เพราะตอนขึ้นภาพมาแรกๆมันไม่รู้สึก เหมือนไม่มีกำลังมากพอให้มันสั่น ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิตคงรับรู้อาการมากกว่านี้มั้งครับ

    มาเล่าให้ฟังเล่นๆ...
     
  15. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,809
    “การสร้างพันธมิตรทางภพภูมิ… ส่วนนี้ต้องสร้างเอาเอง” ที่พี่นพกล่าวถึงนี่เราทำได้โดยการแผ่เมตตาไปให้ภพภูมิที่เป็นโอปปาติกะ (ผู้ที่เกิดผุดขึ้นเองโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ และโตเต็มตัวเต็มวัยได้ในทันทีทันใด ตามแต่อดีตกรรม ได้แก่ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสูรกาย) ให้หมั่นคอยแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ภพภูมิที่เป็นโอปปาติกะบ่อยๆ ใช่หรือไม่ครับ?

    ผมชอบคำพูดในส่วนนี้ของพี่มากครับ แต่ผมยังทำไม่ได้ถึงในระดับ “จิตที่ว่าง” นั้นครับพี่ จิตที่ว่างนี่คือ จิตที่ไม่คิดปรุงแต่งไปกับกิเลส จิตที่ไม่มีตัณหาและอุปาทาน ไม่ไหลไปตามกระแสของความโลภ โกรธ หลง จิตที่ว่างจากสิ่งเหล่านั้นคือจิตที่ไม่มีทุกข์ ยิ่งละกิเลส ว่างจากกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ได้มากเท่าไร ยิ่งทุกข์น้อยลงเท่านั้น มันเป็นอีกระดับหนึ่ง อีกขั้นหนึ่งที่ definitely far more advanced ครับ ผมยังทำไม่ได้ครับ ตอนนี้ผมทำได้แค่พยายามรู้เท่าความคิด อารมณ์ และ ความรู้สึกของตนเองตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะตามแนวทางสติปัฏฐาน 4 ครับ คือ กายไหวรู้กาย … ใจไหวรู้ใจ ผมพยายามกำหนดให้รู้เท่าทันตามสภาวธรรมเหล่านั้นครับ ผมทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างครับ เช่น ผมโกรธก็รู้ว่าโกรธ คือ รู้ว่าโกรธ รู้ว่าไม่พอใจครับ จากนั้นพยายามดึงสติกลับมาแล้วพิจารณาที่ความรู้สึกโกรธนั้นตามกฎไตรลักษณ์ แล้วมันก็ดับไปครับ… ผมเห็นผู้หญิงสาวสวยน่ารัก… มองดูแล้วเกิดความรู้สึกหื่น ดึ๋งดั๋ง ขึ้นมาทันที… หื่นก็รู้ว่าหื่นจากนั้นดึงสติกลับมาแล้วพิจารณาความเป็นอสุภะ คือความไม่งามของร่างกาย… จากนั้นจิตก็สงบลง มันสงบลงและหดเข้าฝักไป ไม่ดึ๋งดั๋งอีกต่อไป… สติผมยังทำได้ไม่ถึงขั้น กระทบแล้วดับไป กระทบแล้วจบไป คือสติผมยังไม่เฉียบคมถึงขนาดนั้นครับพี่นพ อันนี้นี่ผมขออนุญาตกระซิบเบาๆเล่าสู่กันฟังตามประสาพี่น้องให้พี่นพและกัลยาณมิตรท่านอื่นๆได้รับทราบครับ

    ถ้าพี่นพสะดวกหรือมีเวลาว่าง ผมรบกวนพี่นพช่วยกรุณามาแสดงทรรศนะเพิ่มเติมด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

    ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
    รชฏ, your short, poor, almost handsome, humble, BIG FAN
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2020
  16. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,342
    ค่าพลัง:
    +4,818
    แหมถ้าเป็นผม ผมจะใช้ลมปราณภูตอุดรโคจรดูดพลังกลับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    ประมาณนั้น
    ทริค นะ
    อุคหนิมิต ถ้าเห็นตาเปล่า เอาไว้สำหรับซ้อม
    ถ้าเห็นตอนทำสมาธิ เอาไว้สำหรับเข้าๆออกๆ
    ไม่ใช่รักษาไว้นะ

    ส่วนปฎิภาคนิมิต ถ้าปั่นวนซ้ายตอนทำสมาธิได้
    แม้เพียงไม่กี่วินาที ในเวลาใช้ชีวิตปกติ
    จิตจะสามารถเริ่ม เล่นกับกะแสพลังงานได้
    ทั้งภายนอกและภายใน
    แม้ในเวลาลืมตาใช้ชีวิตปกติทั่วไป
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    เรื่องสร้างพันธมิตร คือ ให้ความเคารพนับถือ
    เหมือนๆกันหมดไม่ว่าระดับภพภูมิใดๆ ชาติใดๆก็ตาม แต่อย่ายึดถือ ส่วนเรื่องอุทิศส่วนกุศลให้ทุกภพภูมิ โดยไม่ต้องไปตามผล ว่าเค้าจะรับไม่รับ

    เรื่องปฎิบัติ
    Step แบบที่เราเล่ามานั่นแระ มันอยู่ในทางอยู่
    ช่วงที่ 1
    แนวทางมันจะเป็นประมานขั้นตอนต่อไปนี้
    ๑ ช่วงนี้กำลังสติทัน + อุบายต่างๆในการวาง
    ๒.วางเรื่องนี้ได้ เรื่องอื่นก็มาอีก
    ๓. สติมันมันอีก + อุบายต่างๆ ในการวางอีก (แต่เป็นเรื่องเดิมๆที่เคยวางไปแล้วในข้อ ๑)
    ๔.(เรื่องในข้อ ๑ )มันจะขึ้นมา ซ้าแล้วซ้ำเล่า เราก็ทันแล้วทันเล่า วางแล้ววางเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก บ่อยมาก
    ๕. ซักพัก เรื่องข้อ ๑ มันขึ้นมาอีก แต่เราจะเฉยๆ จะขึ้นมา จะรู้สึกอะไร ก็ช่างมัน
    ๖. พอเราทำเฉยๆไปเรื่องข้อ ๑ เรากลับลืมว่ามันวางไปตั้งแต่ตอนไหน ในขณะที่เราไปสนใจเรื่องอื่นไปอยู่
    ๗ พอเรื่อง ๑ ขึ้นมาอีก เราจะรู้สึกเฉยๆ รู้สึก ไม่สนใจเลย ซักพัก รู้สึกเบาๆ บริเวนลิ้นปี่
    ๘ ผ่านไปอีกหลายปี เจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่เคยทำให้เกิดเรื่อง ๑ แต่เราก็เฉยๆได้เอง รู้สึกอะไร
    ทุกเรื่องที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ step จะประมาณนี้ ช่วงที่ 1 เราจะได้ปัญญาทางธรรม
    และการรู้สึกเฉยๆ(สติมันคุมอยู่) มันคือ กระบวนการปล่อยให้ จิตรับรู้ตามความเป็นจริง
    ณ เวลาปัจจุบันนั่นเอง( ลองค่อยๆคิดดูนะ
    อนาคตจะเข้าใจ)

    พอถึง ๗ ได้หลายไปเรื่อง
    ถึงจะมา ขั้นตอนว่าง
    ช่วงที่ 2
    ว่างที่ไม่ใช้ จากการใช้ความชำนาญ จาก กำลังสมาธิ ตบะ ญาณ ฌาน กำลังจิต อย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าไปทำให้ว่าง
    แต่มันจะเป็นไปแบบอัตโนมัติของมันเอง
    ในเวลาลืมตาใช้ชีวิตปกติ
    จากการ ไม่ยึด หรือ การไม่ออก คือไม่ ส่งโทสะ โมหะ โลภะ ในจิต ไปดึงเอาภายนอกเข้ามา
    มันก็จะวางและว่างได้ ตามธรรมชาติ
    ของมันเอง ถึงจะเรียกว่า สมาธิที่แท้จริง
    ช่วงที่ 2 คือ เอาปัญญาทางธรรม จากช่วงที่ 1 มาใช้นั่นเอง

    ส่วนปัญญาญาณทริคเขียนไว้ใน #rep ที่เราอ้างมานั่นแระ

    ปัญญาทางธรรม Vs ปัญญาญาณ
    ต่างตรง ปัญญา ทางธรรม เคยวางแล้ว
    อนาคตอีกนาน ก็ยังคงขึ้นมาได้
    แต่ไม่มีผลอะไร ไม่ปรุงแต่งอะไร
    แต่ขึ้นมาได้อยู่

    ส่วนปัญญาญาณ ไม่ขึ้นมาอีก ไม่มีผลอะไร
    ไม่ปรุงแต่งอะไร แต่จะมีองค์ความรู้
    ในส่วนที่้เกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมาแทน
    เป็นความรู้แบบพิเศษ ไม่มีในตำรา



    ส่วนที่ 3(สำหรับพวกใช้งานทางจิตได้เล่าให้ฟังเล่นๆ)
    ส่วนสภาวะดับ จะเกิดได้
    หลังจากที่ใช้งานทางจิต
    ในชีวิตประจำได้แล้ว
    มาแล้วซักระยะเวลาหนึ่ง
    แล้วมาทิ้งมัน จนจิต
    สามารถใช้งานได้แบบอัตโนมัติของมันเอง
    และมาเน้น
    เรื่องปัญญา บวกสร้างบารมีไปเรื่อยๆ
    และเน้นเรื่องการคลายตัวของจิต
    ที่ต่อจากช่วงที่ 2

    มันถึงจะเข้าสภาวะดับ ได้ของมันเอง
    สภาวะดับ คือ สภาวะ ที่ไม่ใช้ทั้งกาย
    (แต่ในกายจะมีการเกิดของพลังงานตามธรรมชาติมันอยู่ แต่นอกกายจะไม่มีการเกิดเลย
    คือไม่มีกะแสภายนอกเข้ามาเลย)
    และไม่ใช้ตัวจิต ในการเข้าเลยแม้แต่นิดเดียว
    เพราะมันจะเข้าได้ของมันเอง


    ปล การเริ่ม เข้าถึงผลทุกสภาวะ
    ไม่ว่า ช่วง 1 ,2 และ 3
    เริ่มจาก วินาทีเหมือนกันทุกดวงจิต นั่นแระ
    แล้วค่อยมาพัฒนาในเรื่องระยะเวลา
    ต่อมาตามลำดับ

    ตำรามักเขียนผลที่ทำได้
    แต่มันเป็นผล ของท่านที่ได้ปฏิสัมภิทาญาน
    ท่านที่บรรลุแล้ว
    เขียนให้เราทราบแบบอยาบๆ เท่านั้นเอง
    ถ้าเผลอไปยึดตาม เราจะเสร็จตั้งแต่
    การเข้าถึงได้ในเบื้อนต้นได้
    อย่างคาดไม่ถึง
     
  19. lordsir

    lordsir Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +76
    คาราวะอาจารย์ นพ สาธุ อนุโมทนา เป็นกำลังใจให้ศิษย์พี่ทุกท่านครับ บางครั้งสังเกตุเพลินๆนั่งมองพื้นขาว หรือพื้นที่สว่างโล่ง ถึงขึ้นนิมิต แต่พอมองเพลินๆน้ำกับไฟ กับไม่ขึ้นเลย นี่แปลว่ากองหลักในอดีต นี่ ขาว นำมาเลยใช่ไหมครับ อ.นพ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    อันดับแรก แยกดีๆนะ นิมิตที่ขึ้นในขณะที่ฝึก หรือ ตอนที่นั่งสมาธิ
    นิมิตพวกนี้ จะเห็นนิมิต ตรงๆ เช่น ฝึกน้ำ ก็เห็น น้ำจริง ๆ
    ฝึกไฟก็เห็นสีคล้ายไฟหรือเห็นไฟจริงๆ


    แต่กรณี นเวลาใช้ชีวิตลืมตาปกติ
    เราจะไม่ได้ ต้องไปเพ่งอะไรนะ ยกเว้นในช่วงแรกๆ
    และไม่ได้เพ่งนาน เพราะเราไม่ได้เน้นฝึกตบะ
    และการฝึก แบบจำภาพ แต่ถ้าระบบหายใจไม่ถูกหลัก
    มันจะกลายเป็นว่า จิตรวมกับความคิดเพื่อพยายามสร้างภาพ
    ดังนั้น คนที่ฝึกแบบนี้ ต่อมาถึงปวดศรีษะ ปวดคิ้ว
    และไม่พัฒนาต่อไป เพราะภาพที่สร้างจากความคิด
    มันจะดูสวยและชัดกว่า ไม่เหมือนภาพที่จิตสร้างเอง
    มันจะไม่ค่อยชัด แล้วจะค่อยๆพัฒนาขึ้นมาได้ตามลำดับภายหลัง

    ประเด็นมันจริงๆ เลย
    ก็คือให้ตัวจิต สามารถ สร้างเป็นภาพขึ้นมาได้
    ด้วยตัวมันเอง โดยผ่านทางเหนือระหว่างคิ้ว
    ให้ภาพไปปรากฏภายนอกอยู่บนอากาศ
    และภาพเหล่านี้จะเป็นลักษณะคล้ายๆพลังงาน
    สำหรับในกรณีที่ลืมตาใช้ชีวิตปกติประจำวันนะ


    ดังนั้นเวลาใช้ชีวิตปกติ เช่น ถ้าระลึกถึง น้ำ ก็จะเห็นเป็นสีใส
    แต่มีปรากฏการณ์ รูปร่างคล้ายๆน้ำ ทำให้เรารู้ว่า นี้คือน้ำ
    และมันจะไม่ค่อยชัดเจนอยู่แล้วเรื่องปกติ

    และไม่ว่า จะหลับตาฝึก หรือ ระลึกภาพในชีวิตประจำวัน
    นระดับตาฝึก อุคคนิมิต เป็นเพียงนิมิต ที่เราใช้สำหรับเข้าๆออก
    เพื่อเอากำลังสมาธิสะสมที่ได้จากการเข้าๆออก
    เพื่อยกขึ้นไปปฏิภาคนิมิต ไม่ใช่การไปพยายามรักษา
    ให้มันอยู่นานๆ จิตจะกลายเป็นไปจมไปแช่ ทำให้สมาธิไม่ก้าวหน้า
    หลายคน ที่พยายามไปรักษา พอนิมิต มันสร้างฟอร์มตัวขึ้นมาใหม่
    มันจะแสดงสิ่งที่พิศดารต่างๆนานาๆ และยิ่งตามไปดู
    จะกลายเป็นว่า หลงนิมิต ติดนิมิต อย่างไม่รู้ตัว


    ส่วนระลึกภาพชีวิตประจำวัน เราก็ใช้เพื่อตรวจสอบ
    ว่า ตัวจิต สามารถสร้างภาพให้ไปปรากฏบนอากาศได้หรือยัง
    หรือถ้าสร้างได้ เราก็เอาไว้ซ้อมปั่นนิมิต เล่นๆ
    เหมือนเป็นการฝึก เพราะตรงนี้ยังไม่ส่งผลต่อจิต จนเกิดกำลังจิต
    ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ




    ลำดับต่อมา เราไม่ใช่เอาได้ เอาการสะท้อนของตา
    เนื่องจากไปมองสี หรือ มองไฟ แล้วปรากฏภาพบนอากาศได้ไหม
    ในเวลาปกติมาเป็นตัวชี้วัด กรรมฐานที่เด่น
    แต่เราใช้ ใช้นิมิตในลักษณะที่มาเอง
    ที่สามารถเห็นได้ ขณะนอนหลับ หรือ ขณะนั่งสมาธิเฉยๆ
    แต่ไม่ได้ฝึกกสิณอยู่ หรือ นิมิตที่มาเองเฮยๆ
    แม้ว่าไม่เคยฝึกอะไร หรือความชอบเป็นพิเศษ มาเป็นตัวชี้วัดได้


    หรือ ใช้การวัดระดับความหนาของมวลพลังงานกสิณกองนั้น
    ในดวงจิตก็พอจะตรวจสอบได้ หรือ จะใช้ในเรื่องของญานวิถีก็ได้
    หากเด่นทางด้านสัมผัสภายในเป็นทุน



    ประเด็นเรา ตอนนี้ ให้มาเน้น การมองไปบนอากาศอย่างเดียว
    โดยไม่ต้องไปมองวัตถุก่อน
    แล้วให้ดูว่ามันสามารถสร้างเป็น ภาพที่มาจากพลังงานได้หรือยัง

    เพราะถ้าเราไปเน้นมองวัตถุที่มีสี มันจะทำให้เราเข้าใจว่า
    ภาพสะท้อนจากสายตาปกติ เป็นนิมิต ที่จิตมันสร้างได้
    หรือ ถ้าเราไปมองน้ำ แล้วเข้าใจว่า จะต้องเห็นเป็นน้ำในเวลาปกตินั้น
    มันจะทำให้เรา หลงประเด็นจริงๆ(ย้อนไปดูประโยคประเด็นจริงๆ)

    ปล. ของเราตอนนี้ ที่เด่น มันจะเป็น อากาศ กับ สีเหลือง
    ดังนั้น อย่าลืมว่า อากาศ ลม น้ำ พวกนี้ มันไม่มีสีหรือสีใส เวลาลืมตา
    เกิดเป็นพลังงานที่มาสร้างภาพ สีมันก็ต้องใสด้วย
    แต่ลักษณะต่างๆ ของนิมิต มันจะเป็นตัวแยกเองว่า เป็น กองไหน เข้าใจเนาะ
    ดังนั้นเราต้องมา เน้นประเด็นให้จิต สร้างภาพด้วยตัวเอง
    ให้ไปปรากฏบนอากาศก่อน ด้วยการแค่ระลึกเฉยๆ
    ไม่ต้องไปมองวัตถุอะไรแล้ว เครเนาะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...