พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=127353&page=12
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead"> ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, jirautes, noolegza, shashu, Tackled</td></tr></tbody></table>

    <table id="post1187693" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">วันนี้, 09:44 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #224 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> มันตรัย <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1187693", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:54 AM
    วันที่สมัคร: Oct 2006
    ข้อความ: 1,223 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,679 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 6,752 ครั้ง ใน 1,181 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 435 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1187693" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> เสี่ยครับ เสี่ยก็เป็นอีกคนนะครับที่ผมคงจะไม่ให้ความสนใจเพราะว่าจะทำให้กระทู้เยิ่นเย้อและไม่ก่อให้เกิดประโยชกับผู้ที่ต้องการศึกษาพระแท้สากลนิยม เสี่ยชอบพระเก๊มือผีนอกระบบแบบที่เสี่ยกับพวกชอบกันนั้นเสี่ยก็กลับไปอยู่ในที่ๆของเสี่ยเถอะครับ อย่าออกมาข้างนอกเลย สร้างอณาจักรของเสี่ยไปเถอะครับ ผมเองไม่ได้ต้องการตั้งตัวจากเรื่องพระเครื่อเก๊มือผีนอกสารบบ หรือแม้แต่พระแท้สากลนิยม แต่สิ่งที่ทำนี่เพียงเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงวงการพระเกีมือผี ว่ามันเป็นยังไงเท่านั้นเอง และอย่าพยายามอ้างการทำบุญ แยกแยะให้ออก ถ้าพวกคุณเอาพระแท้ๆแม้จะไม่มีราคาค่างวด แต่มีพุทธคุณและไม่ใช่พระเก๊มือผี
    ดูอย่างพระพลังจิตของทางเวป ยังสามารถช่วยคนได้ ช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แล้วพระเก๊ของพวกคุณทำอะไรได้บ้าง ไปละครับ ผมมีหน้าที่ที่จะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับพระเก๊มือผีต่อไป จะไม่ให้ราคาใดๆกับพวกคุณเด็ดขาดครับ และขอความกรุณาคุณและสาวกของคุณอย่าไปกล่าวคำผสุรวาส ลบหลู่ดูหมิ่นผู้ที่ไม่เห้นด้วยกับพระเก๊มือผีนะครับ เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามในกระทู้ของคุณเลย เขามาแสดงความคิดเห็นผ่านกระทู้ของผู้ที่เห็นด้วยเท่านั้น ขอเถอะนะครับคุณเสี่ยสิทธิพง
    <!-- / message --> <!-- sig --> </td></tr></tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มันตรัย [​IMG]
    เสี่ยครับ เสี่ยก็เป็นอีกคนนะครับที่ผมคงจะไม่ให้ความสนใจเพราะว่าจะทำให้กระทู้เยิ่นเย้อและไม่ก่อให้เกิดประโยชกับผู้ที่ต้องการศึกษาพระแท้สากลนิยม เสี่ยชอบพระเก๊มือผีนอกระบบแบบที่เสี่ยกับพวกชอบกันนั้นเสี่ยก็กลับไปอยู่ในที่ๆของเสี่ยเถอะครับ อย่าออกมาข้างนอกเลย สร้างอณาจักรของเสี่ยไปเถอะครับ ผมเองไม่ได้ต้องการตั้งตัวจากเรื่องพระเครื่อเก๊มือผีนอกสารบบ หรือแม้แต่พระแท้สากลนิยม แต่สิ่งที่ทำนี่เพียงเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงวงการพระเกีมือผี ว่ามันเป็นยังไงเท่านั้นเอง และอย่าพยายามอ้างการทำบุญ แยกแยะให้ออก ถ้าพวกคุณเอาพระแท้ๆแม้จะไม่มีราคาค่างวด แต่มีพุทธคุณและไม่ใช่พระเก๊มือผี
    ดูอย่างพระพลังจิตของทางเวป ยังสามารถช่วยคนได้ ช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แล้วพระเก๊ของพวกคุณทำอะไรได้บ้าง ไปละครับ ผมมีหน้าที่ที่จะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับพระเก๊มือผีต่อไป จะไม่ให้ราคาใดๆกับพวกคุณเด็ดขาดครับ และขอความกรุณาคุณและสาวกของคุณอย่าไปกล่าวคำผสุรวาส ลบหลู่ดูหมิ่นผู้ที่ไม่เห้นด้วยกับพระเก๊มือผีนะครับ เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามในกระทู้ของคุณเลย เขามาแสดงความคิดเห็นผ่านกระทู้ของผู้ที่เห็นด้วยเท่านั้น ขอเถอะนะครับคุณเสี่ยสิทธิพง
    </td> </tr> </tbody></table>
    มันตรัย เป็นไง ไม่กล้าเหรอ
    ปัญญามันตรัย มีแค่นี้เองเหรอ ปากบอกว่า พระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้ว เป็นพระเก๊มือผี แต่เวลาให้สาบาน กลับไม่กล้า แสดงความกล้า แสดงว่าข้าเป็นลูกผู้่ชายตัวจริง กล้าทำ กล้ารับผิด-ชอบ


    ไม่เห็นยากอะไรเลย โธ่ มันตรัย

    ตามนี้เลย


    *********************************************

    บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ sithiphong กับบุคคลใช้ชื่อในเว็บพลังจิตชื่อ มันตรัย ขอตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ และทั้ง 16 ชั้นฟ้าว่า พระพิมพ์กรุวัดพระแก้วมีจริง ขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ sithiphong จงประสบกับความสำเร็จตลอดกาล และขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อมันตรัย ขอให้ประสบกับความวิบัติตลอดกาลและต่อไปถ้ายังคงเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ ขอให้เกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนาและเป็นยุคที่มีภัยภิบัติตลอดกาล แต่ถ้าพระพิมพ์กรุวัดพระแก้วไม่มีจริง ขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ sithiphong ขอให้ประสบกับความวิบัติตลอดกาลและต่อไปถ้ายังคงเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ ขอให้เกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนาและเป็นยุคที่มีภัยภิบัติตลอดกาล และขอให้้ บุคคลใช้ชื่อในเว็บพลังจิตชื่อ มันตรัย จงประสบกับความสำเร็จตลอดกาล
    การถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบานดังกล่าวนี้ ต้องให้อีกฝ่ายยินยอมให้ถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบานนี้ จึงจะมีผลในการถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบาน แต่หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมให้ถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบาน ก็ให้มีผลตลอดกาล และทุกๆคนไม่มีเวรกรรมและไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกันตลอดไป
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=35

    <table border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td>" กรรมเก่า "<hr color="#dddddd" size="1" width="100%"></td></tr> <tr><td bgcolor="#ffffff">
    ธรรมะไทย โดย นายภัครวัฒน์ ดวงงาม
    </td></tr><tr><td bgcolor="#ffffff">
    <table border="0" width="100%"><tbody><tr><td>
    [​IMG]

    สวัสดีครับท่าน ๆ ผู้ชื่นชอบเรื่องเวร เรื่องกรรม ทุกท่าน สัปดาห์นี้ก็เช่นเคย คิดว่าทุกท่านคงมีความสุขสบายดีตามกฎเกณฑ์แห่งกรรมของแต่ละคนกันนะครับ เพราะผมเชื่อแน่ว่าคนเราไม่ว่าจะยากดี มีจน เด็กเล็ก ชายหญิง ผู้แก่ชรา สรรพสัตว์ทุกชีวิต จะอยู่ในฐานะเช่นไร ? ล้วนมีชีวิตหมุนไปตามพลังอำนาจของกรรมทั้งนั้น

    แค่ชื่อเรื่องถึงไม่บอกก็รู้แล้วว่า “กรรม” และเพื่อมิให้เสียท่าต่อกรรม จึงอยากเชิญทุกท่านให้ดูแลตัวเองให้ดีเพื่อความปลอดภัย และในวันนี้ กระผมมีของมาฝากอีกตามปกติ ซึ่งเป็นสมบัติที่ได้รับมาจากพระพุทธองค์ ๆ ก็ได้มอบให้กับทุก ๆ คนนั่นแหละ ต่างแต่ว่าใครจะน้อมรับหรือไม่ ?

    นั่นก็คือ เรื่องกรรมเก่าของพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า “พระอุตตระ”

    ในอดีตนานมาแล้ว พระอุตตระ ท่านทำคุณงามความดี และสั่งสมบารมีไว้เยอะมากพร้อมที่จะบรรลุอรหันต์ ต่อมาได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า “สุเมธ” เป็นคนที่สำเร็จวิทยาอาคมมีฤทธิ์มาก ไปไหน ? ใช้การเหาะอย่างเดียว

    มีอยู่วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าคิดจะอนุเคราะห์เขา (พระอุตตระ) พระองค์ทรงฉายรังสีจากร่างของพระองค์มีถึง 6 สี ประจวบกับพระอุตตระกำลังเหาะอยู่ ได้เห็นพระรังสี ก็เกิดการเลื่อมใส ลงจากอากาศแล้วเก็บดอกกรรณิการ์เข้าไปกราบบูชาพระองค์ เมื่อตายจากภพนั้นแล้วท่านไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งท่านได้ตายเกิด ๆ ระหว่างเทวดาและมนุษย์ อย่างนี้เป็นเวลานาน

    ในชาติสุดท้ายท่านได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่เป็นมหาเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์ มีชื่อว่า อุตตระ เมื่อเจริญวัยท่านเป็นคนมีรูปร่างหล่อ เรียนก็เก่ง เป็นคนเจ้าระเบียบเรียบร้อย ใครเห็นใครรัก

    อยู่มาวันหนึ่ง มีมหาอำมาตย์แห่งแคว้นมคธ ชื่อว่า “วัสสการะ” เห็นบุคคลิกเข้า ก็ชอบใจมากจึงคิดจะยกลูกสาวให้เป็นเมีย ….แต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยจาก นายอุตตระ ทั้งนี้เพราะนายอุตตระมีใจมุ่งไปในทางบวชเพื่อมุ่งพระนิพพาน

    ต่อมานายอุตตระเข้าไปฟังธรรมะที่สำนัก(วัด) ของพระสารีบุตร เมื่อฟังแล้วเกิดศรัทธาขอบวชเป็นสามเณร (อายุไม่ครบบวชพระ) …บังเอิญในวันนั้นพระอาจารย์(สารีบุตร)เกิดไม่สบายหนัก สามเณรอุตตระ ตระเตรียมจัดยาไว้ให้พระอาจารย์ตัวเองได้ฉัน แต่ด้วยพระอาจารย์ยังไม่ได้ฉันอาหาร(ไม่มีอาหารรองท้อง) สามเณรจึงหุ่มจีวร แล้วถือบาตรพร้อมเดินออกบิณฑบาตแต่เช้ามืด แต่ด้วยสามเณรยังไม่ได้ล้างหน้าจึงวางบาตรไว้ที่ริมบึงฝั่งทะเลสาบ เพื่อจะเดินไปล้างหน้า

    ในลำดับนั้นเอง ได้มีโจรผู้ร้ายที่ทำลายอุโมงค์คนหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่วิ่งไล่กวดมา ได้หนีออกจากพระนคร วิ่งหน้าตั้งมาทางสามเณรวางบาตรไว้ โจรได้โอกาสเหมาะจึงเอาห่อรัตนะที่ลักขโมยมาใส่ไว้ในบาตรของสามเณร เสร็จแล้วรีบหนีต่อไป

    ฝ่ายสามเณรเมื่อเสร็จจากการล้างหน้าจึงขึ้นมาที่ริมทะเลสาป เดินไปใกล้บาตร ก็พอดิบพอดีกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง(ตำรวจ) ที่วิ่งไล่ตามโจรมา เห็นห่อรัตนะอยู่ในบาตรของสามเณร จึงพูดว่า “สามเณรรูปนี้เป็นโจร มีความประพฤติเยี่ยงโจร” จึงตรงเข้าจับสามเณรมัดมือไพล่หลัง นำตัวไปส่งให้มหาอำมาตย์วัสสการพราหมณ์ตัดสินคดี

    ในสมัยนั้น วัสสการพราหมณ์เป็นผู้วินิจฉัยตัดสินคดีความแทนพระราชา ส่วนมหาอำมาตย์ไม่สอบสวนทวนความเลย เพราะเคยผูกอาฆาตในครั้งก่อนเมื่อยกลูกสาวให้กลับไม่เอา ดันหนีไปบวชในลัทธินอกศาสนาดั้งเดิมของตน อำมาตย์จึงสั่งให้เอาหลาวแหลมเสียบสามเณรประจานทั้ง ๆ ที่สามเณรยังเป็น ๆ อยู่

    ธรรมดาของพระพุทธเจ้าเมื่อจะเสด็จออกโปรดสัตว์โลก พระองค์จะตรวจดูสัตว์โลกว่าใครควรที่จะโปรดก่อน หลัง …แล้วเหตุการณ์ของสามเณรก็อยู่ในข่ายแห่งพระญาณของพระพุทธองค์ ๆ จึงได้เสด็จไป(โดยพระญาณ) สู่ที่สามเณรถูกเสียบ แล้วพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ ที่มีพระองคุลียาวอ่อนนุ่มแผ่พระฉัพพรรณรังสี คุลมด้วยเปลวรัศมีบนศีรษะของสามเณรอุตตระ แล้วพระองค์ตรัสว่า

    “ดูก่อนอุตตระ นี้เป็นผลกรรมเก่า เกิดขึ้นแล้วแก่เธอ ๆ จงทำความอดกลั้น ด้วยกำลังแห่งความดี แล้วพิจารณาในผลของกรรมนั้น”

    จากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมให้สามเณรได้ฟังตามอัธยาศัย สามเณรเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วเกิดความสุขปีติโสมนัส ที่เกิดจากการสัมผัสด้วยพระหัตถ์ของพระพุทธองค์ คล้ายกับทรงราดด้วยน้ำอมฤต ..สามเณรยกระดับขึ้นสู่ทางวิปัสสนา ตามนิสัยที่ได้สั่งสมอบรมไว้ ทำลายกิเลสอย่างหมดสิ้นด้วยความแก่กล้าแห่งญาณ

    สามเณรอุตตระได้อภิญญา 6 ลุกขึ้นจากหลาวแล้วยืนอยู่กลางอากาศแสดงปาฏิหาริย์ เพื่ออนุเคราะห์แก่หาชน ๆ ต่างมหัศจรรย์ใจว่าปรากฏการณ์อย่างนี้ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนเลย

    สามเณรอุตตระได้บรรลุพระอรหันต์ ณ ที่ตรงนั้น พร้อมกับกล่าวว่า…
    "ภพอะไรที่เที่ยงไม่มี แม้สังขารที่เที่ยงก็ไม่มี ขันธ์(5) เหล่านั้นย่อมเวียนเกิด และเวียนตายไป เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มีความต้องการด้วยภพ เราสลัดตัวออกจากกามทั้งปวง บรรลุถึงความสิ้นอาสวะกิเลสแล้ว" (เล่ม 51 หน้า2)


    สาระจากเรื่องนี้ ให้ข้อคิดต่อชาวพุทธหลายประการ ดังนี้

    1. กรรมเป็นนิจจัง ผู้ทำกรรมใดไว้ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมนั้นซึ่งเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน
    จะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็แต่ว่าจะให้ผลช้า หรือเร็ว หนักหรือเบา ต่างกันเท่านั้นเอง
    2. บางกรรมก็ไม่ให้ผล โดยปกติกรรมที่เราทำย่อมจะให้ผลเสมอไป แต่มีบางกรรมอาจจะ
    ไม่ให้ผล เพราะกรรมตามไม่ทัน หรือเพราะผู้ทำนั้นทำให้กรรมชั่วนั้นอ่อนกำลังลงด้วยกรรมดี
    3.ไม่มีใครโกงกรรม กรรมทำได้ 3 ทางคือ ทางกาย ทางวาจาและใจ จะมีใครเห็นหรือไม่เห็น รู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญ ขอแต่ว่าให้มีตัวเจตนา คือตั้งใจทำ กรรมก็ย่อมจะเกิดขึ้นแล้วในทันทีทันใด

    ดังนั้น ผู้ที่กำลังทำกรรมชั่วอยู่ แล้วยังไม่ได้รับผลบาป ก็อย่าเพิ่งหลงระเริงว่ากรรมชั่วไม่ผล นั่นเพราะกรรมชั่วยังตามไม่ทันแต่กำลังตามอยู่เหมือนหมาไล่เนื้อ แต่ในวันหนึ่งมันก็ต้องตามทัน อยู่ดี ยกเว้นเสียแต่ว่าเราจะบรรลุพระนิพพานเสียก่อน


    ในทางตรงกันข้าม ท่านผู้ใดที่กำลังทำกรรมดีอยู่ แล้วได้รับความทุกข์ ก็ไม่ควรจะท้อแท้ใจ วันหนึ่งกรรมดีจะต้องให้ผลอย่างแน่นอน จงเชื่อในอำนาจกรรมก็แล้วเถอะ สำคัญอยู่ว่า จงทำความดีเข้าไว้เรื่อยๆ พอผลแห่งบาปจากความชั่วเบาบาง หรือหมดไป คราวนี้เป็นโอกาสความดีบ้างแล้วหล่ะ
    ความดีจะได้แสดงบทบาทหน้าที่ด้วยการให้ผลอย่างเต็มที่

    หน้าที่ของเราทุกคน คือ อย่าได้สงสัยเลย ขอให้เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าเถิด ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วในทันที แต่ส่วนผลของกรรมดี หรือกรรมชั่วอันเป็นรูปธรรมก็ย่อมจะขึ้นอยู่กับตัวแปรด้วยนะ

    กระผมขอถามหน่อยเถอะว่า ในโลกกลม ๆ ใบนี้ มีใครน่าเคารพ น่าเชื่อถือ น่ากราบไหว้ มากกว่าพระพุทธเจ้ามีบ้างไหม? ครับ.. ถ้าไม่มีก็จงหันหน้ามาดู หูฟัง สมองคิด แล้วเร่งพิชิตความชั่วให้หมดนะครับ จึงจะถือว่ารักกันจริง </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=123360

    <table id="post1111171" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">13-04-2008, 01:15 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #1 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> teporrarit <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1111171", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 05:47 PM
    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: สมุทปราการ
    อายุ: 21 ปี
    ข้อความ: 246 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 64 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,213 ครั้ง ใน 231 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 43 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1111171" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> หลวงพ่อเล่าเรื่อง.........กรรมที่นำไปสู่นรก
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message -->
    [​IMG]




    กรรมที่นำไปสู่นรก


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้อาตมามีโอกาสพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ เอายังงี้ก็แล้วกันนะ คือว่าเราพูดกันถึงเหตุมานานแล้ว การที่นำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อปานและคณะศิษยานุศิษย์ก็ดี หรือว่าพระรุ่นท่าน พระเพื่อนท่านก็ตาม เอามาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง อันนี้เป็นเหตุ เหตุที่บอกก็บอกว่าถ้าใครทำความดีแบบนั้น ใครทำความชั่วแบบนั้นจะไปสู่อบายภูมิ หรือว่าไปสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมไ ปสู่นิพพาน นี่เรียกว่าเราเล่าต้นทาง แล้วก็พาดพิงไปถึงปลายทางว่า ถ้าทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรก หรือว่าไปสวรรค์ ไปทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรก หรือว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน ตอนต้นเรากล่าวกันอย่างนั้น
    ต่อจากนี้ไป จะขอให้เรื่องที่พูดนี้ เรียกกันว่าเรื่อง "ไตรภูมิ"

    ไตรภูมแปลว่า ภูมิสาม ภูมิ ก็แปลว่า แผ่นดินหรือสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่กัน เราเรียกกันว่าภูมิ สำหรับภูมิในที่นี้ จะกล่าวถึงอบายภูมิ แล้วก็สวรรค์ พรหมโลก ดีไม่ดี ก็จะย่องพูดถึงเรื่องนิพพานสักนิดหนึ่ง เพราะกันตัวอาตมาเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ สำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว อาตมาน่ะเป็นห่วงตัวเอง ห่วงความเป็นมิจฉาทิฏฐิของตัวเอง ที่เทศน์ว่าพระนิพพานสูญมานาน ใครเขาจะถามถึงพระนิพพานก็บอกเลย บอกว่าพระนิพพานนี่มีสภาพสูญ มีอุปมาดุจหนึ่งว่าควันไฟที่ลอยไปในอากาศ จะมีที่เกาะที่พักมันก็ไม่มีฉันใด แม้พระที่เข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน มีสภาพเหมือนควันไฟ นี่ไปค้านกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้า เพราะว่าไปค้นในพระไตรปิฎก ไปพบเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานท้าวผกาพรหมที่ท้าผกาพรหมท่านบอกว่า พรหมเท่านั้นแหละเป็นความสุขสูงสุด และพรหมไม่เป็นอนัตตา พรหมเป็นอัตตาไม่มีการสลายตัว
    ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาศัยพวกระฆังเล็ก ๆ ทั้งหลายสนับสนุนยุยงส่งเสริม เห็นว่าท่านผกาพรหมเป็นพรหมที่มีวาสนาบารมีมากก็เลยยุท่านส่งเดชเข้าให้ ท่านผกาพรหมก็เมามัน ไอ้เสียงคนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทกรอกหูนาน ๆ มันอดจะเขวไม่ได้หรอก เป็นเรื่องธรรมดา
    ทีนี้ในเมื่อท่านผกาพรหมท่านมาเข้าแล้วท่านก็เลยคิดว่าในเมื่อพรหมเป็นอมตะ เป็นแดนไม่ตาย เป็นแดนที่มีความสุขมากที่สุด เวลานี้พระสมณโคดมออกจากตระกูลศากยราชมาบวชแล้วก็ประกาศว่า สิ่งที่สูงสุดยิ่งกว่านั้นมีอยู่ คือ พระนิพพาน ยิ่งกว่าพรหม สูงกว่าพรหมมีพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็เป็นแดนสูงสุด มันจะจริงหรือไม่จริงเราไม่เชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิตของ ท่านผกาพรหมก็เสด็จไปสู่พรหม ท้าทายกันด้วยเรื่องฤทธิ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการทรมาน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็บอกว่า หากว่าท่านเก่งจริงละก้อ เล่นซ่อนหากับเรา พระพุทธเจ้าให้ท้าวผกาพรหมซ่อนก่อน จะซ่อนที่ไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าก็มองเห็น ในที่สุดหมดท่า ก็ให้พระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ซ่อน ท่านประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่เห็น พระองค์ก็ทรงแสดงเสียงให้ ปรากฏท้าวผกาพรหมก็มองไม่เห็นว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตรงไหน เป็นอันว่าท้าวผกาพรหมยอมแพ้พระพุทธเจ้า
    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า ผกาพรหมเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะคำป้อยอของคนอื่น บรรดามารทั้งหลาย คำว่า มารในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ยักษ์ มาร แปลว่า ผู้ฆ่า คือ ความเห็นที่ไม่ถูกทางของบุคคลผู้ยุยงส่งเสริม พยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงเธอให้เห็นผิด เธอเกิดเป็นพรหมชั้นสูงแล้วมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำแล้วก็ต่ำลงมา อาศัยที่เธอบำเพ็ญบารมีมามาก ไปเป็นพรหมเสียหลายร้อยกัปหลายพันกัปจึงลืมสภาวะเดิม ลืมเรื่องของการจุติ การเกิดการตายในแดนที่ไม่ใช่พระนิพพาน ต่อจากนี้ไปเธอจงเป็นผู้เห็นถูก
    ในที่สุดท้าวผกาพรหมก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงตรัสว่า ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่ นั่นคือ พระนิพพาน
    เห็นไหมเล่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันพระนิพพานว่าเป็นดินแดนพิเศษ เป็นทิพย์พิเศษสูงยิ่งกว่าพรหม คราวนี้เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องพระนิพพานนี่ ถ้าเรายังไม่เห็น เราก็อย่าพึ่งรับรองกันนักว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ถ้าใครเขาถามขึ้นก็บอกว่าพูดตามตำรากันไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราเข้าถึงทิพจักขุญาณ แล้วก็สามารถเจริญวิปัสสนาถึงระดับพอที่จะเห็นพระนิพพานได้ ตอนนั้นเราค่อยพูดกันเรื่องพระนิพพาน จะพูดกันได้ตอนไหน ก็ตอนที่ท่านทั้งหลายเจริญสมถะพอสมควรจนได้ทิพจักขุญาณแล้ว แล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ โคตรภู รู้จักไหม? ถ้าไม่รู้จักก็จะบอกว่า อยู่ระหว่าง โลกียะกับโลกุตตระ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตตรชน จะเป็นพระโสดาบัน ตอนนั้นแหละท่านทั้งหลายจะอาศัยทิพจักขุญาณเห็นพระนิพพานได้แบบสบาย ๆ ตอนนั้นแหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เราพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน
    เวลานี้ท่านเห็นเปรตบ้างไหม? เปรตมีสภาพหยาบที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถจะเห็นเปรตก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องของพระนิพพาน ถ้าพูดแล้วมันผิด ที่นี้เรื่องของพระกรรมฐานนี่นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีหลวงพี่องค์หนึ่งท่านสอนมาทางอากาศ ว่าอย่าเที่ยวนำพูดเพ้อเจ้อไปนะ เรื่องกรรมฐานนี่ ต้องพูดเฉพาะในเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรมาพูดละ ดีไม่ดีเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม ตีความหมายเป็นอย่างงั้นนะ
    อาตมาฟังแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่าพระอะไร ได้ยินแต่เสียง ก็อยากจะถามท่านเสียตอนนี้เลยว่า ไอ้ "เวลาสมควร" น่ะ มันตรงไหนเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจึงจะสมควร เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเขาเจริญพระกรรมฐานกัน มีหลายท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปนั่งอายเขามานี่หลายคนแล้วนะ จะบอกให้ ผู้หญิงบางทีเรียนนอกเรียนนามาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ๗ ขวบ กว่าจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ ๓๐ ปีเศษ เขาได้ทิพจักขุญาณ เขาสามารถใช้กำลังจิตรักษาโรคก็ได้
    นี่อำนาจพระกรรมฐานเข้าไปถึงฆราวาสแล้วหลวงพี่ แล้วถ้าหล่วงพี่ยังจะมรานั่งคอยเวลา "สมควร" น่ะ นี่ถามจริง ๆ เถอะพ่อคุณ บวชเข้ารมาเวลานี้น่ะ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า?
    ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า การบวชจะต้องถือกฎ ๓ อย่าง เป็นสำคัญ
    ๑. อธิศีลสิกขารักษาศีลยิ่งกว่าฆราวาส
    ๒. อธิจิตสิกขา ทำจิตให้มั่นคงในสมาธิที่เรียกกันว่า ได้ฌาน
    ๓. อธิปัญญาสิกขา ทำจิตใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลส
    นี่คงจะบวชเข้ามาแล้วก็ทำตัวเป็นฆราวาสเอาเอ่น แล้วเวลาพูดก็เห็น อ้างพระอาจารย์อะไรต่อพระอาจารย์อะไร พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นยังเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตามธรรมดาน่ะ พระที่บวชเข้ามาน่ะ เขาเกาะพระพุทธเจ้ากันนะ เขาไม่ได้เกาะพระที่มีกิเลส ก็หลวงพี่ไปเกาะพระที่มีกิเลสเป็นสรณะ แล้วกิเลสมันจะหมดหัวได้ยังไง แสดงว่า กิเลสยังเต็มหัวอยู่
    เรื่องของพระกรรมฐานเป็นเรื่องธรรมดาที่พุทธบริษัทควรรู้ ถ้าเราไม่พูดเมื่อไรเขาจะรู้ จะมานั่งหลอกลวงเขากินอยู่ หรือว่าเราบวชเข้ามาแล้วน่ะ ดียังงั้นดียังงี้ ควรแก่การไหว้ สักการะของบรรดาพุทธบริษัท แต่ความจริงแล้วจะพูดเรื่องพระกรรมฐานก็บอกไม่สมควร นีมันดีหรือหลวงพี่?
    จำไว้นะ จำไว้ให้ดีว่า เราบวชเข้ามาแล้ว จงเอาสวรรค์ เอาพรหมโลก เอาพระนิพพานเป็นปัจจัยของเรา เอาสิ่งทั้งสามประการเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เราจะบวช เวลานี้นักปรูดทั้งหลาย ( ไม่ใช่นักปราชญ์ ) ตัดความสำคัญออก
    เมื่อก่อนนี้เวลาเขาจะบวชกับอุปัชฌาย์ว่า
    "นิพพานนัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
    แต่เวลานี้นักปรูดทั้งหลายตัดทิ้งไป ใช้อะไรเสียก็ไม่ทราบ ไปขึ้น เอสาหัง ก็ปรารภพระนิพพานในเบื้องต้นเหมือนกัน ในเมื่อเราบวชเข้ามาปรารภพระนิพพาน แล้วเวลาเราบวชเข้าแล้วจริง ๆ เราจะมาปรารภ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพื่อประโยชน์อะไร
    เป็นอันว่า หลวงพี่เข้าใจผิดเสียแล้วนะ หลวงพี่นะดีไม่ดี ผมจะบอกว่า หลวงพี่นั่นแหละ เวลานี้กำลังใจยังทรามกว่าฆราวาสที่เป็นผู้หญิงหลายคนที่เขาปฏิบัติตนได้ดีกว่าหลวงพี่นะ เพราะเห็นว่าควรแล้ว
    เวลานี้กรรมฐานตั้งสำนักกันอย่างกับดอกเห็ด มีทั่วประเทศ มีกระทั่งนอกประเทศ ถ้าเวลานี้ยังไม่สมควรพูดเรื่องกรรมฐาน เวลาไหนมันจะควร หรือว่าจะรอให้กิเลสมันเลยหัวไปสักหน่อยแล้วจึงจะควร อันนี้เราฟังกันไว้แล้วก็คิดด้วยนะ ถ้าหลวงพี่องค์นั้นรับฟังละก้อเอาไปคิดด้วย แล้วก็จงรู้ตัวเสียด้วยว่าเราทำเราพูดน่ะมันไม่ควร
    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนปากเสียเป็นปกติ แต่เสียแบบนี้เสียในฐานะเพื่อจะตักเตือนเพื่อนพระด้วยกัน ให้บวชให้เป็นพระ ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ว แล้วก็จะเอาปฏิปทาอย่างอื่นมาใช้ ประเดี๋ยวจะพูดให้ฟัง เรื่องทะเลาะกันแล้วนะ หลวงพี่องค์นั้นก็เหมือนกัน ทีหลังจะทะเลาะกับผลละก้อ ฟังเรื่องต่อไปว่าท่านชอบอะไร
    วันนี้ เรามาเริ่มเรื่องไตรภูมิกัน แล้วเราจะไปไหนกันก่อนล่ะ มีอบายภูมิสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน นี่จัดเป็นภูมิที่หนึ่ง ภูมิที่สองก็ได้แก่ สวรรค์ชั้นกามาวจรสวรรค์ ภูมิที่สามก็ได้แก่ พรหม พระนิพพานยังไม่เกี่ยว สามภูมินี่เราจะไปไหนกันก่อน ขอชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปเที่ยวนรกกันก่อนดีกว่า
    ต่อจากนี้ไป เราไปทัศนาจรนรกกัน แน่ะ พูดทันสมัยเสียด้วย ไอ้ทัศนาจรนี่น่ะ มันเป็นศัพท์บาลีแกมไทย ทัศนะ จระ จระเป็นภาษาบาลี ไทยล่อจรเข้าให้ ก็เรียกว่าเที่ยวไปดูนรก ทัศนาจร แปลว่า เที่ยวดู ดูอะไร ดูนรก ตานี้เราจะไปนรก เราก็มาคิดดูว่า เราจะไปอยู่เลยหรือว่าเราจะไปเที่ยว ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสมัครใจจะอยู่นรกขุมไหน ตามอาตมาไปแล้วก็สมัครใจอยู่ได้เลย อาตมาจะบอกปฏิปทาให้ว่า เขาบำเพ็ญบารมีอะไร? จึงจะอยู่ขุมนรกนั้นได้ แต่ใครไม่อยากอยู่ก็ไปเที่ยวเฉย ๆ ก็แล้วกัน เวลากลับก็กลับด้วยกัน
    ทีนี้เวลานำเที่ยวเวลานี้ใช้ยานอะไรเป็นพิเศษ? ไม่ยาก ใช้ยานหนังสือ เรียกว่าใช้ยานหนังสือเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก นี่.. คนชั้นดีเขาต้องทำยังงี้นะ นี่..ไม่มีใครเขายกก็ยกมันเองละ ไปมัวคอยชาวบ้านยกย่องสรรเสริญ เมื่อไรเขาจะยก ก็เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วก็เอาเรื่องที่พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ทรงฌาน ทรงญาณพิเศษ อย่างพระโมคคัลลาน์ไปพบเห็นมา เอามาพูดต่อ รวมกันเข้าไป ญาติโยมทั้งหลายจะได้ทราบว่าตอนนี้ ที่นี้นรกชั้นนี้ สวรรค์ชั้นนี้ วิมานแบบนั้น เขาบำเพ็ญบารมีอะไรเข้าไว้ จึงจะได้อยู่อย่างนั้น นี่เป็นอันว่าเข้าใจ
    ทีนี้ต่อจากนี้ไป ก่อนที่จะเดินทางไปนรก เราก็มาหาทุนกันก่อน ไปไหนไม่มีทุนนั้นไม่ได้ ทุนในทสี่นี้ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง แต่ว่าเป็นทุนการบำเพ็ญบารมี เรามาพูดกันเสียก่อนว่า บารมีทสี่จะทำให้คนลงนรกน่ะ มันมียังไง เขาจึงได้ลงกันได้


    นรกน่ะ แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ นรกขุมใหญ่ และ ยมโลกียนรก
    แล้วก็เฉพาะนรกขุมใหญ่แต่ละขุมกันมีนรกบริวารด้านละ ๔ ขุม ๔ ด้าน เป็นอันว่านรกขุมใหญ่ ๑ ขุม มีนรกบริวาร ๑๖ ขุม แต่ว่าสัตว์นรกที่จะผ่านนรกบริวารก็ผ่านแต่เพียง ๔ ขุม เพราะออกด้านใดด้านหนึ่งก็ผ่านสี่ขุม นรกขุมใหญ่นี่เราเรียกกันว่า นรกแป๊ะเจี๊ยะ หมายความว่า ลงโทษไม่จำกัดโทษ ไม่ใช่แยกประเภท
    สำหรับยมโลกียนรกนั่นแยกประเภท คือ หมายความว่า ถ้าคนใดทำกรรมชั่วไปลงนรกขุมใหญ่ก่อน ลงขุมนี้เวลาจะออกจากขุมนี้ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม ถ้ากรรมชั่วอย่างหนักยังไม่หมดก็ไปลงขุมโน้นต่อไป ออกจากขุมนั้นก็ผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม นรกขุมใหญ่นี้ เรียกกันว่า นรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่จำกัดโทษ ตรงกันข้ามกับยมโลกียนรก เขาแยกโทษเข้าไว้
    ทีนี้มาว่ากันไป นรกขุมใหญ่มีโทษอะไร นี่ศึกษาบารมีการลงนรกเสียก่อน คนที่จะลงนรกต้องสร้างบารมี ต้องบำเพ็ญบารมี ถ้าบารมีไม่ถึงเขาก็ขับไปสวรรค์บ้าง ขับไปพรหมโลกบ้าง ขับมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดียรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เขาไม่ยอมให้ลง แต่ถ้าหากว่ามีบารมีสมควร เขาก็ยินดีรับเอาไว้ในนรก นี่เฉพาะนรกขุมใหญ่นะ
    บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง และ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จะพูดให้ฟังว่านรกขุมใหญ่มีอะไรบ้างที่เราจะได้ไปน่ะ ต้องสร้างบารมีอะไร บารมีที่จะลงนรกขุมใหญ่นั้น ท่านกล่าวว่า ต้องสร้างบารมี ๑๐ อย่างครบถ้วน สุดแล้วแต่หนักเบา ถ้าสร้างเบาหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๑ หนักลงไปอีกนิดก็ลงนรกขุมที่ ๒ หนักลงไปอีกหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๓ หนักไปตามลำดับ ถ้าหนักเต็มที่ลงนรกขุมที่ ๘ เรียกว่า อเวจีมหานรก แล้วก็มีนรกพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหนักล้นเกินไปละก้อ ลงโลกันตนรก แล้วจึงจะถอยมาสู่อเวจีมหานรก
    บารมีที่เขาปฏิบัติ ๑๐ อย่าง ก็คือ กรรมบถ ๑๐ ใครไม่เคารพกรรมบถ ๑๐ ต้องลงนรกขุมใหญ่ ๑๐ หรือเรียกว่า ใครไม่เคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีโอกาสได้อยู่นรกขุมใหญ่สบาย ๆ มีวาสนาบารมีมาก
    กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ที่ควรเว้นมีอะไร คือ
    ๑.เราต้องไม่ฆ่าสัตว์ ถ้าเราฆ่าสัตว์ ก็เรียกว่า เราไม่เคารพในกรรมบถข้อนี้
    ๒.การลักทรัพย์
    ๓.การประพฤติผิดในกาม ทั้งเมียเขา ทั้งลูกเขา ทั้งผัวเขา ทั้งลูกจ้างของเขา ขี้ข้าเขา ทาสเขา ทั้งนั้น จิปาถะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐
    ๔.ไม่พูดโกหกมดเท็จ
    ๕.ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน
    ๖.ไม่พูดคำหยาบ
    ๗.ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ เลอะเทอะหาประโยชน์มิได้
    ๘.ไม่เพ่งเล็งอยากจะลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งทรัพย์ คดโกงทรัพย์ของบุคคลอื่น
    ๙.ไม่จองล้างจองผลาญ ที่เรียกกันว่า ความพยาบาท
    ๑๐.ไม่มีความเห็นไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ไอ้ส่วนที่เลวคิดว่าดี ส่วนที่ดีคิดว่าเลว ที่พระพุทธเจ้าตักเตือนแล้วไม่เอา


    นี่การบำเพ็ญบารมีเพื่อจะอยู่ในนรกขุมใหญ่ บำเพ็ญกันให้ครบ ๑๐ อย่างดีไหม บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
    เอ๊ะ..๑๐ อย่างนี่ ไม่มีน้ำเมาไว้ด้วยนะ น่ากลัวนรกขุมใหญ่นี่เขาไม่รับคนชอบดื่มเหล้า คนชอบดื่มเหล้านี่ควรจะดีใจนะ นรกขุมใหญ่เขาไม่รับแล้ว มันดีไม่พอ อย่าลืมนะบรรดาท่านผู้ฟัง และญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังรับฟัง และพระคุณเจ้าที่เคารพ อยากจะไปนรกท่องให้ดีนะ เฉพาะนรกขุมใหญ่
    ๑. พยายามฆ่าสัตว์เข้า
    ๒. ลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งชิงทรัพย์ คดโกงทรัพย์ ใครเขามาทำบุญสุนทาน กันเข้ากระเป๋าไว้บ้าง
    ๓. ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร เหมาะเมื่อไรว่าเมื่อนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเลือกจะเป็นลูกใคร เมียใคร ขี้ข้าใคร คนรับใช้ใคร ลูกจ้างใคร ไม่เกี่ยว มีโอกาสจัดการเรื่อยไป แล้วผัวใครด้วยนะ
    ๔. เรื่องความจริงไม่ต้องพูดกัน โกหกมันดะ
    ๕. ยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกันเสีย มันสนุกดี มันทะเลาะกันได้ มันตีกันได้ มันฆ่ากันได้ เราสบายใจ
    ๖. เรื่องวาจาสุภาพอย่าไปพูดมัน พูดหยาบ ๆ คาย ๆ มึงวาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ได้ตามอัธยาศัย
    ๗. เรื่องที่เป็นเรื่องอย่าพูด พูดมันแต่เรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
    ๘. ทรัพย์สินของใครมีอยู่ ถ้าชอบใจ ตั้งใจเลยว่า เราจะขโมยของเขา
    ๙. จองล้างจองผลาญ จ้องประหัตประหารมันเรื่อยไปไม่ว่าใคร
    ๑๐. คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมาย เราไม่เชื่อ มาพูดอะไรกัน เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไรไม่เห็นมีความหมาย เราไม่เชื่อ
    เอาละ บำเพ็ญบารมี ๑๐ อย่าง อย่างนี้พอ พอที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้แบบสบาย ๆ พระยายมไม่รังเกียจ
    ตานี้ มานรกขุมเล็กอีก ๑๐ ขุม เรียกกันว่า ยมโลกียนรก ทำรับเฉพาะ เรียกว่ารับเฉพาะ ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๑ ได้ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๒ได้ เขาเรียกกันว่าอะไร จะพูดบารมีให้ฟัง เวลามันใกล้จะหมด
    ถ้าอยากจะอยู่นรกขุมที่ ๑ ฆ่าสัตว์ให้หนัก
    อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๒ เจ้าชู้ให้หนัก
    อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๓ ลักขโมยให้หนัก คดโกงเขาให้หนัก
    ขุมที่ ๔ ดื่มน้ำเมาให้หนัก
    ขุมที่ ๕ โกงเงินทำบุญให้หนัก ทายกกับพระนี่ระวังนะ ระวัง ถ้าชอบใจอยู่ ขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก โกงให้หนัก
    ขุมที่ ๖ เป็นข้าราชการ โกงให้หนัก
    ขุมที่ ๗ เรื่องซื่อตรงไม่มีสำหรับเขา
    ขุมที่ ๘ เรื่องเมตตาปรานี ไม่มีสำหรับเขา
    ขุมที่ ๙ ด่าดะไม่เลือกว่าใคร
    ขุมที่ ๑๐ ซ้อมคู่ครองให้หนัก
    นี่เป็นบารมีสำหรับยมโลกียนรกส่วนใหญ่ คนฆ่าสัตว์แล้วก็เลยลงนรกขุมใหญ่มาก่อน พ้นจากนรกขุมใหญ่แล้วเข้านรกบริวาร ๔ ขุม แล้วจึงมาเข้าขุมที่ ๑

    นี่เขามาคิดบัญชีกันต่างหากเฉพาะอย่าง สำหรับนรกขุมใหญ่น่ะ เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่ยอมคิดบัญชีให้ เรียกว่าอะไร ๆ ก็ไปรวมอยู่ก่อน เสร็จจากนรกขุมใหญ่ ก็มาไล่เบี้ยกันทีหลังว่าแกมีโทษอะไรบ้าง ฉันจะจัดการกับแกตามโทษนั้น
    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน นี่พูดไปพูดมา พูดมาพูดไป ก็เห็นว่าจะหมดเวลา ๓๐ นาทีเสียแล้วกระมัง เพราะดูเวลามันก็หมดแล้วนี่ เมื่อหมดแล้วสำหรับพุธนี้ ก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ได้อารัมภบทมาบำเพ็ญบารมีลงนรกกัน เมื่อรู้บารมีแล้ว ก็ตั้งใจไว้จะไปนรกขุมไหน
    เอาละ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว อาตมาก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    </td></tr></tbody></table>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table id="post1187743" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;">วันนี้, 10:05 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #226 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> noolegza <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1187743", true); </script>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 10:06 AM
    วันที่สมัคร: Dec 2007
    ข้อความ: 143 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 223 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 439 ครั้ง ใน 100 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 19 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1187743" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> -*- อ่านตั้งแต่หน้าแรกยันหน้านี้ แรงกันจังเลย ผมเดาว่าคุณมัณตรัยน่าจะเพีียงยกเอาข้อความจากคอลัมนิสมาให้ทราบเท่านั้นเ่อง ซึ่งเราก็ไมู่รู้ว่าคนเขียนเนี่ยรู้จริงหรือปล่าว ซึ่งบุคคลที่กล่าวว่ามีจริง ก็น่าจะเอาของจริง ประวัติคร่าวๆ ( ลงไปบ้างแล้ว ) และที่มาที่ไปของวัตถุมงคลที่มีอยู่ แจ้งให้ผู้ที่บูชาทราบว่ามาจากไหน ใครให้มา ซึ่งก็อาจจะมีจริงๆ ก็ได้( ตามพระศาสดาฯ ไม่เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้เอง ) แต่ที่นี้คนที่ผ่านมาอย่างผมยังสงสัยเลยว่ามาจากไหน คุณเล่นอ้างบารมี วาระที่มาถึง แล้วคนบุญน้อยอย่งผมจะได้ทราบเมื่อไหร่ล่ะครับ
    .... แล้วคุณมันตรัยล่ะครับ คุณโทรหาคุณยายผีป่าหรือยัง สงสัยก็ถามเขาสิครับว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ไม่ใช่มาแย้งๆว่าไม่มีจริง เรามาหาบรรทัดฐาน ที่หนีจากข้อสรุปเซียนลวงโลก เพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนรุ่นหลังกันดีไหม....
    ข้อขัดแย้งเกิดขึ้นได้ในสังคมมนุษย์ เพียงแต่มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่ ยอมรับในข้อเท็จริงนั้น....
    </td></tr></tbody></table>
    <table id="post1187774" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;" id="currentPost">วันนี้, 10:19 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #227 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> sithiphong <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1187774", true); </script>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 10:20 AM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 21,924 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 5,321 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 132,120 ครั้ง ใน 17,978 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 13775 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1187774" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> กฎกติกาสากล ที่มันตรัยกล่าวถึง เป็นกติกาที่คนซื้อ-ขายพระ ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ไว้ เพื่อซื้อ-ขายพระเครื่อง คนที่ตั้งกติกา ก็เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาชีพค้า-ขายพระ และไม่เสียภาษีอากรให้กับรัฐบาล ในการพัฒนาประเทศชาติ กติกานี้ เป็นกติกาที่ต้องทำให้พระเครื่อง มีน้อย สร้างดีมาน และสร้างซับพลาย ให้ดีๆ กลุ่มไหนมีพิมพ์ไหนหรือรุ่นไหน ก็ต้องโปรโมทว่า พิมพ์นี้หรือองค์นี้แท้ ถ้าไม่มี ตีเก๊ไว้ ลองไปคิดเล่นๆกันดู

    ไม่เชื่อ ไ่ม่ว่ากัน แล้วแต่ใครจะิคิดอย่างไร

    .
    </td></tr></tbody></table>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?p=1181479#post1181479

    <table id="post1181479" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;" id="currentPost">09-05-2008, 03:16 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #1 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> [​IMG] WebSnow <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1181479", true); </script>
    เว็บมาสเตอร์ (วีระชัย)
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:47 AM
    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: London, England
    ข้อความ: 6,341 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,226 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 38,783 ครั้ง ใน 4,030 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 50000 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1181479" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> กฎกติกา ของเว็บบอร์ดพลังจิต
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> กฎกติกาของเว็บบอร์ดพลังจิต

    ขอความกรุณาช่วยกันรักษากฎกติกามารยาทที่ให้ไว้ข้างล่างเพื่อความสงบสุขของตัวเองและสังคม

    ขอให้สมาชิก ตกลงที่จะทำตามกฎกติกามารยาท

    1) ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดปด ไม่หลอกลวง ไม่พูดวาจาทำให้แตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์
    2) ไม่โพส ใส่ร้ายป้ายสี เสียดสี ในสิ่งไม่เป็นความจริง บิดเบือน ตำหนิติเตียน จาบจ้วงพระรัตนตรัย หรือ บุคคลใดๆ ในทางเสียหาย
    3) ไม่โพสหรือสื่ออะไรต่างๆที่ ละเมิดต่อ กฎหมายบ้านเมือง ศีลธรรม ประเพณี
    4) ไม่โพส รูป วิดีโอคลิป โป๊ ล่อแหลม ขัดต่อศีลธรรม ลงในกระทู้และในรูปแทนตัว
    5) ไม่ก่อกวนสมาชิกและ ไม่ก่อกวนระบบของเว็บพลังจิต


    ทีมงานผู้ดูแล palungjit.org ขอสงวนสิทธิ์
    ที่จะ ลบ แก้ไข เคลื่อนย้าย หรือปิดกระทู้ที่ไม่เหมาะสม โดยเหตุผลใดๆก็ตาม โดยมิต้องบอกกล่าวแก่สมาชิกก่อน

    ถึงแม้ว่าผู้ดูแลระบบและผู้คุมห้องของ palungjit.org จะพยายามไม่ให้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมอยู่ในบอร์ดนี้
    เป็นไปไม่ได้ที่เราจะดูแลได้อย่างทั่วถึงทั้งหมด


    ข้อความทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนและไม่ใช่ของผู้ดูแล palungjit.org ทั้งหมด
    และผู้จัดทำเว็บบอร์ดแห่งนี้จะไม่มีการรับผิดชอบต่อเนื้อหาใดๆ

    สมาชิกสามารถร่วมดูแลเว็บบอร์ดได้ ถ้าเห็นอะไรไม่สมควร กรุณาการกดปุ่มแจ้ง เพื่อทางทีมงานจะได้นำไปพิจารณาต่อไป
    </td></tr></tbody></table>
    <table id="post1181486" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;"> 09-05-2008, 03:27 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #2 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> [​IMG] WebSnow <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1181486", true); </script>
    เว็บมาสเตอร์ (วีระชัย)
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:47 AM
    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: London, England
    ข้อความ: 6,341 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,226 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 38,783 ครั้ง ใน 4,030 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 50000 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1181486" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> ระบบแจ้งเตือนและระงับการเป็นสมาชิก

    ทีมผู้ดูแลบอร์ด จะทำการแจ้งเตือน ในกระทู้ที่สมาชิกทำผิดกฏ ผู้ดูแลจะกดแจ้งเตือนหรือกดหัก point
    แล้วผู้ถูกแจ้ง จะได้รับ PM และจะมีรายชื่อในห้องใหม่

    ------------------------------
    สมาชิกทำผิดกฏ
    แจ้งเตือนสมาชิกที่ทำผิดกฏของเว็บ กระทู้จะตั้งโดยอัตโนมัต..
    -----------------------------


    ระบบนี้จะแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ

    1. การแจ้งเตือน ( ใบเหลือง )
    คือคำเตือน...จะไม่้โดนหัก point..
    จะเป็นการแจ้งเตือนเพื่อให้สมาชิกได้ทราบว่าทำผิด...
    ถ้าเกิดว่ายังทำผิดบ่อยๆ จะโดยแจ้งหัก point

    2. ทำผิดกฏ ( ใบแดง )
    ถูกแจ้ง 1 ครั้ง จะถูกหัก 1 point ...

    ระยะ ภายใน 10 วันถ้าสมาชิก ทำผิด 3 point จะถูกระบบ แบนเป็นเวลา 2 อาทิตย์ โดยอัตโนมัติ..
    หรือสมาชิกที่ทำผิดกฏบ่อยๆทีมงานสามารถพิจารณาแบนได้ถาวร

    ถ้าใครโดนหัก point ไป แล้วไม่ได้ทำผิดอีก ในระยะเวลาเกิน 10 วัน
    point ที่ถูกหักไป จะถูกลบออกไปเท่ากับ 0....


    <table id="table7" border="1" bordercolor="#ffffff" cellpadding="0" cellspacing="3" width="48%"><tbody><tr><td width="56%"> เหตุผล</td><td align="center" width="8%">Points</td><td align="center" width="15%">หมดอายุ</td><td nowrap="nowrap" width="7%">เตือน</td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_1"><input id="il_1" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid1" type="radio">Spammed โฆษณา</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[1]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_2"><input id="il_2" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid2" type="radio">ก่อกวนเพื่อนสมาชิกหรือทีมงาน</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[2]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_3"><input id="il_3" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid3" type="radio">ใช้ลายเซ็นไม่เหมาะสม</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[3]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_4"><input id="il_4" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid4" type="radio">ใช้ภาษาไม่เหมาะสม</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[4]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_6"><input id="il_6" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid5" type="radio">ตั้งชื่อกระทู้ไม่เหมาะสม</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[6]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_7"><input id="il_7" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid6" type="radio">เนื้อหาไม่เหมาะสม</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[7]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_8"><input id="il_8" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid7" type="radio">รูปภาพหรือวิดีโอไม่เหมาะสม</label></td><td>1</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[8]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_5"><input id="il_5" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid8" type="radio">ตั้งกระทู้หรือโพสเดียวกันในหลายห้อง(Spammed)</label></td><td>3</td><td>10 Day(s)</td><td align="left"><input tabindex="1" value="1" name="warning[5]" type="checkbox"></td></tr><tr align="center"><td align="left"><label for="il_9"><input id="il_9" tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid9" type="radio">User name ไม่เหมาะสม</label></td><td>3</td><td>ไม่</td><td align="left">
    </td></tr><tr><td colspan="4">
    อื่นๆที่นอกเหนือ
    จากข้างบน</td></tr><tr><td colspan="4"><table id="table8" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="75%"><tbody><tr><td valign="top"><input tabindex="1" value="V1" name="infractionlevelid" type="radio"></td><td>เหตุผล
    <input class="bginput" tabindex="1" size="40" name="customreason"></td><td style="padding-left: 5px;" align="center" valign="top">Points
    <input class="bginput" style="width: 1.5em;" tabindex="1" size="1" name="points"></td><td style="padding-left: 5px;" nowrap="nowrap" valign="top">Expires
    <input class="bginput" style="width: 1.5em;" tabindex="1" size="1" name="expires"> </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://thassanasr.spaces.live.com/blog/cns!311D6AFF8953209C!402.entry


    11 กุมภาพันธ์
    นันทยักษ์

    นันทยักษ์
    ..... นันทยักษ์ ตนนี้ เพื่อนมีกระบองวิเศษเป็นอาวุธประจำตัว คืนหนึ่ง เป็นวันเพ็ญเดือนหงายแจ่มกระจ่างฟ้า นันทยักษ์ เหาะล่องลอยมาบนนภากาศ พร้อมกับสหายตนหนึ่ง ขณะที่กำลังเดินทางมาโดยนภากาศเบื้องบนอย่างสำราญใจนั้น สายตาเหลือบลงมาข้างล่าง แลเห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง กำลังนั่งนิ่ง ศรีษะมีรัศมีเป็นมันละเลื่อม รับกับแสงจันทร์วันเพ็ญ เพราะ เพิ่งปลงผมใหม่ ๆ นันทยักษ์เกิดความคิดวิตถารด้วยความคึกคะนองใจ ใคร่จะลองกระบองอันเรืองฤทธิ์ของตนให้เพื่อนชม แม้เพื่อนจะห้ามปราม ก็ไม่เชื่อฟัง เหาะลอยลิ่วลงมาพอดีได้ระดับ ได้ท่าถนัดดีแล้ว ก็หวดกระบองวิเศษลงไปบนศรีษะ ของภิกษุรูปนั้นสุดแรงเกิด คราทีนั้น ด้วยอำนาจครุกรรม อันแรงกล้า นันทยักษ์ก็ถูกธรณีสูบ ขาดใจตายลงไปเกิดในอเวจีมหานรกนี้ เพราะ กรรมที่ตนทำด้วยความคึกคะนองใจนั้น เป็นกรรมหนักมาก โดยที่ตนหาทราบไม่ว่า พระภิกษุรูปนั้น คือ พระสารีบุตรมหาเถระ องค์อัครสาวกผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ท่านกำลังเข้านิโรธสมบัติ ซึ่งตามธรรมดา ท่านเป็นพระอรหันต์ ใครทำร้ายก็มีโทษหนักอยู่แล้ว ยิ่งท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ใครประทุษร้าย ก็ยิ่งมีโทษหนักขึ้น แท้จริงพระอริยเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั้น แม้ใครจะฟันด้วยดาบ จะแทงด้วยหอกแหลนหลาว หรือ ยิงด้วยปืนด้วยธนู และ จะทำร้ายด้วยศาสตราวุธใด ๆ ก็ดี สรีระอินทรีย์ จะได้ทำลายแตกพังไปก็หามิได้ และ จะได้รับความเจ็บปวดร่างกาย มาตรว่า เล็กน้อยเพียงเส้นโลมา ก็หามิได้เลย แต่ถ้าใครประทุษร้ายในขณะนั้น ย่อมมีโทษมาก ไม่ว่าผู้ทำร้ายจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม
    กาพาล
    ..... ยังมีนางภิกษุณีรูปหนึ่ง ทรงคุณประเสริฐเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่มาวันหนึ่ง ท่านหลีกเร้นออกจากหมู่เข้าไปในป่า เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีกิ่งก้านสาขาใบดกหนาร่มรื่นดี จึงเข้าไปนั่งเข้านิโรธสมาบัติภายใต้ต้นไม้นั้น ตามวิสัยของพระอริยเจ้าทั้งหลาย กาตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ที่กิ่งไม้เบื้องบน แลลงมาข้างล่าง เห็นภิกษุณีนั่งนิ่ง ก็เกิดความคิดสกปรกขึ้นว่า "เราจักแกล้งถ่ายอุจจาระรดศรีษะของคนคนนี้" แล้วพยายามถ่ายอุจจาระก้อนแล้วก้อนเล่าจนถูกศรีษะของท่านจนได้ พออุจจาระของกาถูกศรีษะ บังเอิญท่านออกจากนิโรธสมบัติพอดี จึงแหงนขึ้นไปดูก็รู้ว่า "กาตัวนี้แกล้งถ่ายอุจจาระรดศรีษะเรา" คิดแล้ว ท่านก็ลุกเดินจากไป พอท่านไปคล้อยหลังเท่านั้น กาโง่ตัวคิดวิตถาร ก็มีอันตกลงมาขาดใจตายไปเกิดในอเวจีมหานรกทันที ที่กล่าวมานี้เพื่อแสดงว่า บาปกรรมที่ทำแก่พระอรหันต์ ผู้กำลังเข้านิโรธสมาบัตินั้น มีผลรุนแรงร้ายกาจเพียงใด
    ..... ผู้ที่ประกอบครุกรรมอันเป็นกรรมหนัก ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ลักขโมยของ หรือ ปล้นของสงฆ์ ของเจดีย์ ของพระพุทธ ทำลายโบสถ์วิหาร ศาลา กุฏิที่อยู่ของสงฆ์ ทุบตีผู้มีศีล ปู่ย่าตายาย พูดส่อเสียดยุยงสงฆ์ให้วิวาทกัน บุกรุกที่นา ที่ไร่สวน ที่บ้านของผู้อื่น เอามาเป็นของตน ฆ่าผู้มีศีล ฆ่าสัตว์ใหญ่ ติเตียน ด่าว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตีด่าท่านผู้มีคุณ คือ พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ เหล่านี้จัดเป็นครุกรรม โทษถึงตกนรกอเวจี แต่ว่า ไม่เที่ยงแท้เหมือนอนันตรียกรรม
    ..... อนึ่ง ผู้ที่แสดงตนเป้นทายก เที่ยวเรี่ยไรบอกบุญหลอกเอาทรัพย์เขามาว่า จะทำกุศล แต่ไม่ทำ ไม่สร้าง กลับเอามาแบ่งปันกันเลี้ยงตน เลี้ยงบุตรภรรยา มีโลภเจตนาคิดแต่จะได้ บาปกรรมเหล่านี้ ก็จัดเป็นครุกรรม นำให้มาเกิดในอเวจีมหานรกนี้ได้ อนึ่ง คนโฉดเขลา มีโทสะ ประพฤติตนเป็นโจรเป็นเสือ คอยปล้นทรัพย์ผู้อื่นเอามาเลี้ยงชีวิต ทำทุจริตผิดศีลธรรม เพราะ ใจชั่วช้าลามก เป็นคนรกโลก อย่างนี้ก็จัดเป็นครุกรรม ทำให้มาเกิดในอเวจีนี้เช่นเดียวกัน
    ..... นอกจากนั้น ยังมีกรรมอีกประเภทหนึ่ง คือ อาจิณกรรม หรือ บาปกรรม ที่ทำอยู่เนืองนิตย์ ก็อาจผลิตผลส่งให้คนทำลงมาเกิดในอเวจีมหานรกได้ เช่นอย่างไร? เช่นว่า ประพฤติตนเป็นคนทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์อยู่เสมอทุก ๆ วัน อทินนาทาน การลักทรัพย์ ก็ลักเป็นอาชีพ ลักขโมยเขาอยู่แทบทุกวัน กาเมสุมิจฉาจาร ทำผิดประเวณี ร่วมเมียผัวผู้อื่น ก็ทำอยู่เป็นนิตย์ มุสาวาท มีสันดานโกหกมุสาหลอกลวงไม่ว่างเว้น ทำเป็นอาจิณกรรมอยู่เสมอ อย่างนี้ พอแตกกายทำลายขันธ์ กรรมชั่วเหล่านี้ ก็บันดาลให้มาบังเกิดทนทุกขเวทนาอยู่ในอเวจีมหานรกนี้ จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.mazdaclub.net/module_view.php?mod=webboard&fn=view&cid=27474


    <table id="Table_View" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="80%" width="780"><tbody><tr valign="top"><td background="./themes/rotary/images/set-0/main_02.jpg" height="80%" width="10">
    </td> <td style="background: white url(./themes/rotary/images/set-0/main_05-mod_01-view.jpg) repeat scroll 0% 50%; -moz-background-clip: -moz-initial; -moz-background-origin: -moz-initial; -moz-background-inline-policy: -moz-initial;" height="80%" width="766"> <!-- --> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="620"><tbody><tr><td class="STYLE_NORLINE" align="left">
    นรก สวรรค์<hr width="500"></td></tr></tbody></table> <table style="margin-left: 40px;" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="620"> <tbody><tr> <td colspan="2"> นรก คือ อะไร?
    ตายแล้วไปไหน? สถานที่ที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ 31 ภูมิ หาก อยากจะทราบว่าใครตายแล้วไปไหน หรือ อยากทราบว่า..ตัวเราเองเมื่อตายแล้วจะต้องไปอยู่ที่ใด ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เราชอบทำอย่างไร พอตายแล้ว ก็ต้องไปรับผลแห่งการกระทำ ของตนเองอย่างนั้น เรียกได้ว่า “ตายแล้ว ก็ไปสู่ที่ชอบ...ที่ชอบ” เช่น




    นรกขุมที่ 1 สัญชีวนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบบี้มดตบยุงเป็น ประจำ หรือฆ่ามนุษย์ด้วยกัน รวมทั้ง ฆ่าตัวตาย ด้วย ตายแล้วก็ต้องไปตก นรกขุม ที่ 1 ชื่อว่า สัญชีวนรก ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่ชอบการฆ่าโดยเฉพาะ

    นรก ขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบลักขโมย ฉ้อโกง ตายแล้วก็ ต้องไปตกนรกขุมที่ 2 ชื่อว่า กาฬสุตตนรก




    นรก ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบประพฤติผิดในกาม ตายแล้ว ก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 3 ชื่อว่า สังฆาฏนรก




    นรก ขุมที่ 4 โรรุวนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบพูดโกหก พูดคำหยาบ พูด ส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ตายแล้วก็ต้องไป ตกนรกขุมที่ 4 ชื่อว่า โรรุวนรก




    นรก ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบดื่มสุรา หรือเสพสิ่งมึนเมา ยาเสพติด ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 5 ชื่อว่า มหาโรรุวนรก


    นรก ขุมที่ 6 ตาปนนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเล่นการพนันทุกชนิด ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 6 ชื่อว่า ตาปนนรก




    นรก ขุมที่ 7 มหาตาปนนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเที่ยวกลางคืน มัวเมาในอบายมุข ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 7 ชื่อว่า มหาตาปนนรก




    นรก ขุมที่ 8 อเวจีนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ทำอนันตริยกรรม เช่น ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตก กัน หรือทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 8 มีชื่อว่า อเวจีนรก (ถึงแม้จะทำแค่เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็ถือเป็นกรรม ที่หนักมาก ต้องตกอเวจีมหานรก ได้รับ ทัณฑ์ทรมานที่แสนสาหัส มีอายุยาวนาน กว่านรกขุมอื่นๆ)



    ในทางตรงกันข้าม ถ้าชอบทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิเจริญภาวนา หรือชอบ บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ ก็จะมีสวรรค์ 6 ชั้น พรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น เป็นที่ไปเสวยผลบุญหลังจากละสังขารในโลกมนุษย์แล้ว

    สำหรับคนที่เป็นประเภทวัดก็เข้า เหล้าก็กิน บุญก็ทำบาปกรรมก็สร้าง อย่าง นี้ก็ต้องไปประเมินผลกันตอนใกล้จะละโลก อีกที ช่วงนั้นเรียกว่า “ศึกชิงภพ” ขึ้นอยู่ว่า บุคคลผู้นั้น มีจิตเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งที่เป็น บุญหรือเป็นบาป ถ้านึกถึงบุญได้ จิตผ่องใส ในขณะสิ้นลม ก็ได้ไปสู่สุคติภูมิก่อน (แล้ว บาปกรรมที่ทำไว้จะตามมาส่งผลในภายหลัง) แต่ถ้าช่วงนั้นใจนึกถึงสิ่งที่ทำไม่ดีไว้ จิตใจเศร้าหมองในขณะสิ้นลม ก็จะไปสู่ ทุคติภูมิก่อน (แล้วผลบุญตามมาส่งผลใน ภายหลัง)

    ยมโลก อุสสทนรก มหานรก ต่างกันอย่างไร ?



    *มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่ มี 8 ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับ จากขุมที่ 1 ซึ่งมีขนาดเล็กไปถึงขุมที่ 8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด

    อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆ มหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4 ทิศ มี 128 ขุม

    ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรก มี 320 ขุม รวมทั้งหมด นรกมี 456 ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุที่มีเขาตรีกูฏ 3 ลูก รองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศล




    สภาพของมหานรก
    มีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆ เท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์ คือ พอ มองออก แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรก ก็ ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบ กันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลกเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้นคือ ส่วนเต็มๆ ของกรรม



    ผู้ที่ตกไปอยู่ในมหานรก คืออดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่ทำ กรรมชั่วหนักๆ หรือทำกรรมชั่วอยู่เป็นประจำเมื่อตายแล้ว กระแสบาป จะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับตัวเหมือนไป ยมโลก สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ไม่มีชีวิตจิตใจ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของ บาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีสีผิวดำมืด เหมือนกับถ่าน คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้สักวินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น กว่าจะพ้นจากมหานรกได้ก็ยาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000 ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1 อันตรกัป* เลยทีเดียว ใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้ว ต้องไปรับ ผลกรรมต่อที่อุสสทนรกขุมบริวารอีก



    อุสสทนรก
    เป็นนรกขุมบริวารที่มีขนาดเล็กกว่ามหานรก และการทัณฑ์ทรมาน ก็เบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้ใบดาบ เป็นต้น สัตว์นรกที่นี่จะมีความทุกข์น้อยกว่าในมหานรก ไฟนรกร้อนแรงน้อยกว่า และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย ผู้ที่อยู่ในอุสสทนรก มาจากสัตว์นรกที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางแล้ว จึงมาใช้ เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานอยู่ในอุสสทนรกเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนกระทั่งกรรมเบาบาง ก็จะวิ่งหนีทะลุมิติไปเข้าสู่เขตของยมโลก เพื่อไปรับวินิจฉัยบุญบาปในยมโลกต่อไป








    ยมโลก
    เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอก อุสสทนรก นอกจากจะเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้วยังมีความพิเศษกว่าอุสสทนรกและมหานรก คือ

    1. เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก ว่าจะให้ไปรับทัณฑ์ทรมานที่นรกขุมไหนต่อ หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น

    2. เป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ ก็ไม่ผ่องใส เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น

    3. หากมีมนุษย์ผู้ใดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ใน ภพภูมิที่ไม่สามารถรับบุญได้ บุญนั้นจะมาคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผล โดยเฉพาะวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง หากมีคน ในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นจะถึงแก่สัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ ต้องได้รับทัณฑ์ทรมานสั้นลง หรืออาจพ้นกรรมไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดในภพภูมิอื่น เราอาจจะถือได้ว่า ยมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับ ภพภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก และรองรับกายละเอียด ที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ


    เมื่อมนุษย์ตายลง ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปที่ยมโลกทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปนั้น จะดึงดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญ ก็ทำบาปก็สร้างปะปนกันไป ในขณะใกล้ตายจิต ไม่ถึงกับเศร้าหมอง แต่ก็ไม่ผ่องใส หรือ ตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัว กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองเห็นตัวเอง พูดกับใคร ก็ไม่มีใครพูดด้วย เมื่อนั้นจึงรู้ว่าตัวเองตายแล้ว


    ในระหว่าง 7 วันนั้น ถ้ากาย ละเอียดของผู้ตายนึกถึงบุญที่ตนเคย ทำไว้ได้ ใจก็จะผ่องใสได้ไป เกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบ 7 วัน ก็จะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นกุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอก แหลมมารับเอาตัวไป ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีลากจูง พาเดินไปไม่กี่ก้าวก็ผ่านอุโมงค์ทะลุมิติไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปที่ลานตัดสิน ซึ่งมีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆ ร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าในอุสสทนรกและในมหานรกหลายล้านเท่า

    ทั้งสองข้างทางมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงรายถืออาวุธสลับกับประทีปโคมไฟที่ร้อนแรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่ และน่าสยดสยอง พอไปถึงโรงพิพากษา ก็ต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพญายมราช เพื่อทำการไต่ถาม ช่วยให้นึกถึงบุญ และถ้านึกถึงบุญที่เคยทำไว้ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึง บุญไม่ออกและมีบาปที่ตนเองเคยทำไว้ ก็ต้องถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกของยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ ลงทัณฑ์ทรมาน มีร่างกายสูงใหญ่ สูงยิ่งกว่าต้นยางนาสูงๆ สีผิวดำแดง ดำอมเขียวหรือ ดำอมม่วง น่ากลัวมาก แต่ยังดูดีกว่านายนิรยบาลในมหานรก กุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ ชนิดหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ


    ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น?
    *สวรรค์
    คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6 ชั้น

    เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์

    วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน

    การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้


    เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
    มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์




    เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ





    เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
    คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป




    เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป



    เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
    คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป




    เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป





    ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย


    สวรรค์ชั้นดุสิตหรือดุสิตบุรี ดีอย่างไร?

    ทำไมพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักสร้างบารมีทั้งหลายถึงเลือกที่จะอยู่ชั้นนี้ ?

    สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิต ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นผู้ปกครองภพ ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุ อยู่ในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา 42,000 โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์

    ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่าง นุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่ม เนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามองลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็น ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่า

    โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลาง ของสวรรค์ชั้นนี้ แล้วแบ่งออกเป็น 4 เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้

    เขตที่ 1 เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด

    เขตที่ 2 เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ให้หมดจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะอยู่ในเขตนี้ด้วย

    เขตที่ 3 เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับ พยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องสร้างบารมีอีกมาก

    เขตที่ 4 เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลมาก และมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไป นอกเหนือจาก 3 เขตแรก



    สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความ พิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต แล้วทำไมพระบรมโพธิสัตว์ หรือบัณฑิตทั้งหลายจึงปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทั้งที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ มีข้อสังเกตอย่างน้อย 3 ประการ คือ

    1. พระโพธิสัตว์สามารถจุติ ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความ ว่า โดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติ หลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี จุติเพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมา สร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิด ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของ ชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ

    2. เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ ล้วนแต่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ที่จะฝึกฝนตนเองและช่วยสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานไม่ประมาทในการดำรงชีวิตเหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ มักจะคบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความ เบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมาแสดงธรรมให้ฟัง

    3. ขนาดอายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ 4,000 ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามี อายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา
    </td> </tr> <tr bgcolor="#efefef"> <td align="left"> โดย: 22 วันที่: 20 Apr 2007 - 10:22
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่รู้ว่า การขโมยของในย่ามพระ หรือการบังคับขอของมาจากพระ มีกรรมยังไงบ้างเนี่ย

    ถ้าคนที่ขโมยของในย่ามพระ มันเลวระยำจริงๆ ที่บ้านมันไม่ได้สั่งสอนมา จึงประพฤติตนแบบนี้



    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    http://www.mazdaclub.net/module_view...view&cid=27474


    <table id="Table_View" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="80%" width="780"><tbody><tr valign="top"><td background="./themes/rotary/images/set-0/main_02.jpg" height="80%" width="10">
    </td> <td style="background: white url(./themes/rotary/images/set-0/main_05-mod_01-view.jpg) repeat scroll 0% 50%; -moz-background-clip: -moz-initial; -moz-background-origin: -moz-initial; -moz-background-inline-policy: -moz-initial;" height="80%" width="766"> <!-- --> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="620"><tbody><tr><td class="STYLE_NORLINE" align="left">
    นรก สวรรค์<hr width="500"></td></tr></tbody></table> <table style="margin-left: 40px;" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="620"> <tbody><tr> <td colspan="2"> นรก คือ อะไร?
    ตายแล้วไปไหน? สถานที่ที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ 31 ภูมิ หาก อยากจะทราบว่าใครตายแล้วไปไหน หรือ อยากทราบว่า..ตัวเราเองเมื่อตายแล้วจะต้องไปอยู่ที่ใด ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เราชอบทำอย่างไร พอตายแล้ว ก็ต้องไปรับผลแห่งการกระทำ ของตนเองอย่างนั้น เรียกได้ว่า “ตายแล้ว ก็ไปสู่ที่ชอบ...ที่ชอบ” เช่น




    นรกขุมที่ 1 สัญชีวนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบบี้มดตบยุงเป็น ประจำ หรือฆ่ามนุษย์ด้วยกัน รวมทั้ง ฆ่าตัวตาย ด้วย ตายแล้วก็ต้องไปตก นรกขุม ที่ 1 ชื่อว่า สัญชีวนรก ซึ่งเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่ชอบการฆ่าโดยเฉพาะ

    นรก ขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบลักขโมย ฉ้อโกง ตายแล้วก็ ต้องไปตกนรกขุมที่ 2 ชื่อว่า กาฬสุตตนรก




    นรก ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบประพฤติผิดในกาม ตายแล้ว ก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 3 ชื่อว่า สังฆาฏนรก




    นรก ขุมที่ 4 โรรุวนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบพูดโกหก พูดคำหยาบ พูด ส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ ตายแล้วก็ต้องไป ตกนรกขุมที่ 4 ชื่อว่า โรรุวนรก




    นรก ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบดื่มสุรา หรือเสพสิ่งมึนเมา ยาเสพติด ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 5 ชื่อว่า มหาโรรุวนรก


    นรก ขุมที่ 6 ตาปนนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเล่นการพนันทุกชนิด ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 6 ชื่อว่า ตาปนนรก




    นรก ขุมที่ 7 มหาตาปนนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ชอบเที่ยวกลางคืน มัวเมาในอบายมุข ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 7 ชื่อว่า มหาตาปนนรก




    นรก ขุมที่ 8 อเวจีนรก
    เป็นสถานที่สำหรับพวกที่ทำอนันตริยกรรม เช่น ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตก กัน หรือทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ตายแล้วก็ต้องไปตกนรกขุมที่ 8 มีชื่อว่า อเวจีนรก (ถึงแม้จะทำแค่เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็ถือเป็นกรรม ที่หนักมาก ต้องตกอเวจีมหานรก ได้รับ ทัณฑ์ทรมานที่แสนสาหัส มีอายุยาวนาน กว่านรกขุมอื่นๆ)



    ในทางตรงกันข้าม ถ้าชอบทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิเจริญภาวนา หรือชอบ บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ ก็จะมีสวรรค์ 6 ชั้น พรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4 ชั้น เป็นที่ไปเสวยผลบุญหลังจากละสังขารในโลกมนุษย์แล้ว

    สำหรับคนที่เป็นประเภทวัดก็เข้า เหล้าก็กิน บุญก็ทำบาปกรรมก็สร้าง อย่าง นี้ก็ต้องไปประเมินผลกันตอนใกล้จะละโลก อีกที ช่วงนั้นเรียกว่า “ศึกชิงภพ” ขึ้นอยู่ว่า บุคคลผู้นั้น มีจิตเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งที่เป็น บุญหรือเป็นบาป ถ้านึกถึงบุญได้ จิตผ่องใส ในขณะสิ้นลม ก็ได้ไปสู่สุคติภูมิก่อน (แล้ว บาปกรรมที่ทำไว้จะตามมาส่งผลในภายหลัง) แต่ถ้าช่วงนั้นใจนึกถึงสิ่งที่ทำไม่ดีไว้ จิตใจเศร้าหมองในขณะสิ้นลม ก็จะไปสู่ ทุคติภูมิก่อน (แล้วผลบุญตามมาส่งผลใน ภายหลัง)

    ยมโลก อุสสทนรก มหานรก ต่างกันอย่างไร ?



    *มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่ มี 8 ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับ จากขุมที่ 1 ซึ่งมีขนาดเล็กไปถึงขุมที่ 8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด

    อุสสทนรก เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆ มหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4 ทิศ มี 128 ขุม

    ยมโลก เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรก มี 320 ขุม รวมทั้งหมด นรกมี 456 ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุที่มีเขาตรีกูฏ 3 ลูก รองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศล




    สภาพของมหานรก
    มีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆ เท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์ คือ พอ มองออก แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรก ก็ ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบ กันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลกเป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้นคือ ส่วนเต็มๆ ของกรรม



    ผู้ที่ตกไปอยู่ในมหานรก คืออดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่ทำ กรรมชั่วหนักๆ หรือทำกรรมชั่วอยู่เป็นประจำเมื่อตายแล้ว กระแสบาป จะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับตัวเหมือนไป ยมโลก สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ไม่มีชีวิตจิตใจ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของ บาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีสีผิวดำมืด เหมือนกับถ่าน คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้สักวินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น กว่าจะพ้นจากมหานรกได้ก็ยาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000 ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1 อันตรกัป* เลยทีเดียว ใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้ว ต้องไปรับ ผลกรรมต่อที่อุสสทนรกขุมบริวารอีก



    อุสสทนรก
    เป็นนรกขุมบริวารที่มีขนาดเล็กกว่ามหานรก และการทัณฑ์ทรมาน ก็เบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้ใบดาบ เป็นต้น สัตว์นรกที่นี่จะมีความทุกข์น้อยกว่าในมหานรก ไฟนรกร้อนแรงน้อยกว่า และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย ผู้ที่อยู่ในอุสสทนรก มาจากสัตว์นรกที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางแล้ว จึงมาใช้ เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานอยู่ในอุสสทนรกเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนกระทั่งกรรมเบาบาง ก็จะวิ่งหนีทะลุมิติไปเข้าสู่เขตของยมโลก เพื่อไปรับวินิจฉัยบุญบาปในยมโลกต่อไป








    ยมโลก
    เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอก อุสสทนรก นอกจากจะเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้วยังมีความพิเศษกว่าอุสสทนรกและมหานรก คือ

    1. เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก ว่าจะให้ไปรับทัณฑ์ทรมานที่นรกขุมไหนต่อ หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น

    2. เป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ ก็ไม่ผ่องใส เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น

    3. หากมีมนุษย์ผู้ใดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ใน ภพภูมิที่ไม่สามารถรับบุญได้ บุญนั้นจะมาคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผล โดยเฉพาะวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง หากมีคน ในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นจะถึงแก่สัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ ต้องได้รับทัณฑ์ทรมานสั้นลง หรืออาจพ้นกรรมไปเกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดในภพภูมิอื่น เราอาจจะถือได้ว่า ยมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับ ภพภูมิอื่นๆ ก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก และรองรับกายละเอียด ที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ


    เมื่อมนุษย์ตายลง ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปที่ยมโลกทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปนั้น จะดึงดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญ ก็ทำบาปก็สร้างปะปนกันไป ในขณะใกล้ตายจิต ไม่ถึงกับเศร้าหมอง แต่ก็ไม่ผ่องใส หรือ ตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัว กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองเห็นตัวเอง พูดกับใคร ก็ไม่มีใครพูดด้วย เมื่อนั้นจึงรู้ว่าตัวเองตายแล้ว


    ในระหว่าง 7 วันนั้น ถ้ากาย ละเอียดของผู้ตายนึกถึงบุญที่ตนเคย ทำไว้ได้ ใจก็จะผ่องใสได้ไป เกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบ 7 วัน ก็จะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นกุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอก แหลมมารับเอาตัวไป ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีลากจูง พาเดินไปไม่กี่ก้าวก็ผ่านอุโมงค์ทะลุมิติไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปที่ลานตัดสิน ซึ่งมีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆ ร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าในอุสสทนรกและในมหานรกหลายล้านเท่า

    ทั้งสองข้างทางมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงรายถืออาวุธสลับกับประทีปโคมไฟที่ร้อนแรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่ และน่าสยดสยอง พอไปถึงโรงพิพากษา ก็ต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพญายมราช เพื่อทำการไต่ถาม ช่วยให้นึกถึงบุญ และถ้านึกถึงบุญที่เคยทำไว้ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึง บุญไม่ออกและมีบาปที่ตนเองเคยทำไว้ ก็ต้องถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกของยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ ลงทัณฑ์ทรมาน มีร่างกายสูงใหญ่ สูงยิ่งกว่าต้นยางนาสูงๆ สีผิวดำแดง ดำอมเขียวหรือ ดำอมม่วง น่ากลัวมาก แต่ยังดูดีกว่านายนิรยบาลในมหานรก กุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ ชนิดหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ


    ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น?
    *สวรรค์
    คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6 ชั้น

    เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์

    วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มี ความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิด ขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน

    การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้


    เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
    มีจาก หลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือ ทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์




    เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ





    เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
    คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไรก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็น ปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป




    เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต
    หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป



    เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
    คือ เมื่อ ครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับ การยกย่อง ส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้ว จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป




    เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป





    ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้นแต่อาจ จะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย


    สวรรค์ชั้นดุสิตหรือดุสิตบุรี ดีอย่างไร?

    ทำไมพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักสร้างบารมีทั้งหลายถึงเลือกที่จะอยู่ชั้นนี้ ?

    สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีท้าวสันดุสิต ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นผู้ปกครองภพ ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุ อยู่ในอากาศเหนือสวรรค์ชั้นยามา 42,000 โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์

    ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้น ยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่าง นุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่ม เนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามองลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็น ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่า

    โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิตเป็นศูนย์กลาง ของสวรรค์ชั้นนี้ แล้วแบ่งออกเป็น 4 เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้

    เขตที่ 1 เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด

    เขตที่ 2 เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธานจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ให้หมดจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะอยู่ในเขตนี้ด้วย

    เขตที่ 3 เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับ พยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องสร้างบารมีอีกมาก

    เขตที่ 4 เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลมาก และมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไป นอกเหนือจาก 3 เขตแรก



    สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความ พิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต แล้วทำไมพระบรมโพธิสัตว์ หรือบัณฑิตทั้งหลายจึงปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทั้งที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ มีข้อสังเกตอย่างน้อย 3 ประการ คือ

    1. พระโพธิสัตว์สามารถจุติ ลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความ ว่า โดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติ หลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี จุติเพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมา สร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิด ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของ ชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ

    2. เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ ล้วนแต่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ที่จะฝึกฝนตนเองและช่วยสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานไม่ประมาทในการดำรงชีวิตเหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ มักจะคบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความ เบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากมาแสดงธรรมให้ฟัง

    3. ขนาดอายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ 4,000 ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามี อายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา
    </td> </tr> <tr bgcolor="#efefef"> <td align="left"> โดย: 22 วันที่: 20 Apr 2007 - 10:22
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
    </td> </tr> </tbody></table>
    ไม่รู้ว่า การขโมยของในย่ามพระ หรือการบังคับขอของมาจากพระ มีกรรมยังไงบ้างเนี่ย

    ถ้าคนที่ขโมยของในย่ามพระ มันเลวระยำจริงๆ ที่บ้านมันไม่ได้สั่งสอนมา จึงประพฤติตนแบบนี้



    .
    </td> </tr> </tbody></table>
    ไม่รู้ว่า การแต่งเรื่องหลอกคนบนเว็บ หรือการโกหกพระอริยะสงฆ์ บาปหรือเปล่า มีกรรมอย่างไรบ้าง

    มีการกระทำหลายๆอย่าง จนพระอริยะสงฆ์ ท่านจึงต้องรีบมรณะภาพ


    เรื่องเหล่านี้ ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม ย่อมรู้ด้วยตัวของตัวเอง


    .
    <!-- / message --> <!-- sig -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของการตรวจสอบพลังอิทธิคุณ(ตามภาษานักซื้อ-ขายพระเรียกว่า พลังพุทธคุณ) ขององค์พระพิมพ์(พระเครื่อง) กับเรื่องที่ผมนำมาลงนี้ แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร

    http://palungjit.org/showthread.php?t=120179

    <table id="post1061296" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;"> 24-03-2008, 11:42 PM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #1 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> joni_buddhist <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1061296", true); </script>
    ทีม ผู้ดูแลเว็ปบอร์ด
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 10:30 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 27 ปี
    ข้อความ: 6,153 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 81 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 51,654 ครั้ง ใน 6,070 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 5208 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1061296" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> เมื่อหลวงปู่ชอบธุดงค์ไปพม่า
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> [​IMG] [​IMG]


    ธุดงค์เข้าเขตพม่าและจำพรรษาในพม่า


    ไม่เป็นการผิดเลยที่จะกล่าวว่า สำหรับหลวงปู่แล้ว “ป่าลึกและเขาสูง” นั่นเอง คือ “บ้านอันแสนผาสุก” ของท่าน เมื่อมีโอกาสท่านจะต้องเข้าฝ่าเข้าเขาไปตามนิสัย ได้ไปถึงใจกลางป่าลึก ถึงบนยอดดอยเขาสูงแล้ว ใจจึงจะมีความปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก

    การเที่ยวธุดงคกรรมฐานครั้งนี้ ท่านกำหนดจะเลยไปให้ถึงพม่า หมู่เพื่อนทราบข่าวต่างก็ทักท้วงว่า ได้ยินว่าทางที่ไปนั้นมีแต่ความทุรกันดาร เต็มไปด้วยป่าดิบดงร้าย ไม่มีบ้านคน มีแต่สัตว์ป่าซึ่งมักจะเป็นประเภทดุร้าย อย่างเสือ อย่างช้าง ท่านเล่าว่า เหมือนกับพม่านั้นมีมนต์เพรียกให้ไปเยี่ยม อันที่จริงคงเป็นความปรารถนาลึก ๆ ในหัวใจที่ท่านต้องการจะไปดูบ้านเกิดแต่อดีตชาติมากกว่า (ท่านเคยเกิดเป็นพม่า ชาติหนึ่ง)

    สุดท้ายท่านก็ได้กัลยาณมิตรคู่คิดที่ออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานไปพม่าด้วยกัน คือหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ซึ่งเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น รุ่นใกล้เคียงกับท่าน หลวงปู่พรหมต่างมีนิสัยอาจหาญ เด็ดเดี่ยว ใจเด็ดไม่กลัวตายเช่นเดียวกับท่าน จึงเดินทางฟันฝ่าความลำบากไปถึงเขตประเทศพม่าด้วยกันได้โดยผ่านทางแม่ฮ่องสอน

    [​IMG]

    ไปถึงพม่า แล้วก็แยกทางกัน หลวงปู่พรหมต้องการจะเที่ยวไปดูเมืองต่าง ๆ ด้วย แต่หลวงปู่ปรารถนาจะอยู่แต่ในป่า ไม่ต้องการเข้าเมืองเลย จึงตกลงแยกกัน โดยหลวงปู่คงอยู่ตามป่า...เขา เพื่อโปรดชาวบ้านอย่างพวกยาง พวกกระเหรี่ยง

    ท่านเอ็นดูชาวพม่ามาก ที่ส่วนใหญ่เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ลักขโมย ไม่ฉ้อโกงกัน ทั้งมีน้ำใจศรัทธาในพระศาสนาอย่างดียิ่ง พวกยาง พวกไทยใหญ่ที่อยู่ในป่าในเขา แม้จะจนยากลำบากตรากตรำอย่างไร ก็จะต้องหาอาหารมาใส่บาตรอย่างเหลือเฟือ ท่านชมว่าพวกเขามีจิตใจงาม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถือศีลห้าบริสุทธิ์ แม้เป็ดไก่หายาก ไม่มีคนเลี้ยงเพราะเขาต่างไม่ฆ่าสัตว์

    ท่านเล่าว่า ท่านไปพม่าสองครั้ง ครั้งแรกที่ไปพร้อมหลวงปู่พรหม อยู่ติดต่อกัน ๒ ปี โดยจำพรรษาที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่ บ้านยาง พรรษาที่ ๑๕ พ.ศ. ๒๔๘๒ จำพรรษาบน ดอยอีต่อ ซึ่งเป็นเขาอยู่บนดอยยางแดง

    จากนั้นท่านก็กลับเมืองไทย วิเวกอยู่แถวเชียงใหม่ ๓ ปี จึงหวนกลับไปพม่าอีกครั้งหนึ่ง เมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นแล้ว ในปลายปี ๒๔๘๕ พอปวารณาออกพรรษา ท่านก็เตรียมอัฐบริขารพร้อมเพื่อกลับไปโปรดชาวยาง ชาวพม่าอีกวาระหนึ่ง

    พรรษาที่ ๑๙ พ.ศ. ๒๔๘๖ จำพรรษา ณ บ้านคนดอย ที่อยู่บนเขาในเขตพม่า
    พรรษาที่ ๒๐ พ.ศ. ๒๔๘๗ จำพรรษาที่ ดอยเชียงตอง เขตไทยใหญ่
    พรรษาที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๔๘๘ จำพรรษาที่ ดอยเชียงคำ แดนพวกไทยใหญ่ เช่นกัน

    รวมเวลาที่ท่านเที่ยวธุดงค์ในพม่าสองครั้งสองหนนี้ เป็นเวลาเกือบ ๖ ปี ทำให้เทศน์เป็นภาษาพม่าได้อย่างคล่องแคล่ว

    ท่านชมผู้หญิงไทยใหญ่ว่า มีผิวขาวเหลือง งามทั้งรูปและงามจิตใจ ท่านว่าเป็นผลบุญของการที่เขายึดมั่นรักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อย ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทะลุ การอยู่โปรดพวกเขา เกือบจะไม่จำเป็นต้องพรรณนาคุณของศีล เพราะดูเขาจะซาบซึ้งรู้อานุภาพของศีลกันเป็นอย่างดีว่า


    ศีลเป็นกำลังอย่างไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธอันสูงสุด

    ศีลเป็นเครื่องประดับอันประเสริฐ ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์

    ศีลเป็นคุณรวมกำลังอย่างเลิศ ศีลเป็นเสบียงทางอย่างสูงสุด

    ศีลเป็นผู้นำทางอย่างประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องขจรไปทั่วทุกทิศ

    ศีลเท่านั้นเป็นเลิศในโลกนี้ ส่วนผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้สูงสุด

    ความชนะในหมู่มนุษย์และเทวดา ย่อมมีเพราะศีลและปัญญา
    หลวงปู่อธิบายว่า ใครอยากเกิดเป็นคนรูปงาม ผิวขาวสวย ต้องพยายามรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนสวยสมใจ

    ที่พม่านี้ หลวงปู่ได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓๐ ปี นำผ้าขาวมาทำบุญถวายท่านให้ทำเป็นผ้าอาบ หญิงคนนี้นุ่งขาวห่มขาว ถือเพียงศีลแปด แต่การทำสมาธิภาวนาเก่งมาก พระบางองค์ยังต้องอายเพราะเหาะได้ สามารถไปเที่ยวสวรรค์ตั้งแต่ยังไม่ตาย นางสร้างบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อนอย่างเต็มที่ และมาถึงชาตินี้ก็ได้ปฏิบัติเพิ่มเติมต่อเนื่อง...ทั้งทาน ศีล ภาวนา ก่อให้เกิดสมาธิและปัญญาเป็นที่สุด

    นับว่าเป็นคนที่เกิดมาอย่าง สุคโต และคงจะไปอย่าง สุคโต เช่นกัน
    ตลอดเวลาทั้งหมด ๕ ปีกว่าที่อยู่ที่พม่านั้น พ้นเวลาเข้าพรรษา หลวงปู่ก็จะเที่ยวรุกขมูลไปเรื่อย ๆ จากเขาลูกนี้ไปดอยโน้น...และดอยโน้น จากถ้ำหนึ่ง ต่อไปอีกถ้ำหนึ่ง... และอีกถ้ำหนึ่ง ที่ไหนสงบสงัดภาวนาดีก็อยู่แห่งละ ๖ คืนบ้าง ๗ คืนบ้าง ๑๐ คืนบ้าง หรือบางแห่ง ถ้าสัปปายะมากในการภาวนา ก็อาจจะอยู่ถึงเป็นเดือน เช่นที่ถ้ำผาแดง นาไหง่ ซึ่งเป็นถ้ำอยู่ระหว่างบ้านหนองคัน ในหมู่บ้านนี้มีเพียงสิบปาย (หลังคาเรือน) เท่านั้น แต่ชาวบ้านก็เคารพเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เป็นอย่างดี

    ที่ถ้ำผาแดง นาไหง่นี้ ท่านเล่าว่าศักดิ์สิทธิ์มาก มีเทพมีภุมเทวดารักษามาก ระหว่างท่านพำนักบำเพ็ญสมณธรรม เคยมีช้างเข้ามาในถ้ำ (เป็นถ้ำเปิด) มาร้อง แคว้...แคว้ อยู่ห่างจากหลวงปู่เพียงสี่ห้าวาเท่านั้น แต่เมื่อท่านแผ่เมตตาให้ มันก็ก็ยอมถอยห่างออกจากถ้ำแต่โดยดี

    ความจริงไม่แต่ที่ถ้ำผาแดง นาไหง่ นี่เท่านั้นที่มีเทพ มีภุมมเทวดารักษามาก ท่านว่า เกือบจะกล่าวได้ว่า ในป่า ในถ้ำ เกือบทุกถิ่น ทุกสถาน ล้วนศักดิ์สิทธิ์ มีเทพ มีภุมเทวดามากเช่นกัน เขามักมาอาราธนาท่าน ขอให้แสดงธรรมโปรดพวกเขาเกือบทุกคืน

    ณ ที่พม่านี้เอง ที่มีพระอรหันต์มาแสดงธรรมให้ท่านฟัง เช่น พระพากุละ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธะ ซึ่งจะได้แยกกล่าวโดยละเอียดต่อไปข้างหน้า
    และที่ในถ้ำ ตามท้องเถื่อนในถิ่นไพรพฤกษ์ ในเขตพม่านี้เอง ที่หลวงปู่ได้มีประสบการณ์รู้เห็นสิ่งลึกลับมากมาย....ได้เผชิญภัยจากสัตว์ป่าซึ่งถือกันเป็นเพศที่ดุร้ายเป็นภัยต่อมนุษย์...เผชิญภูตผีปีศาจ ซึ่งหมกไหม้อยู่ตามบาปกรรมที่เขาหลง... เผชิญงูพิษในถ้ำ ซึ่งลือชื่อกันว่าแสนดุ เป็นจ้าวถ้ำ ใครก็ตามไม่ว่าฆราวาสหรือพระที่ไปพักพำนักในนั้น มันจะต้องกัดทำอันตรายถึงชีวิตกันไปนักแล้ว แต่ท่านก็ขึ้นพักบำเพ็ญสมณธรรมโดยไม่หวั่นเกรงคำเตือน แต่ด้วยบารมีธรรมของท่าน ท่านได้แผ่เมตตาจนเจ้างูนั้นยอมสิโรราบ ซบหัวหมอบลงจนเหมือนจะคารวะท่าน แต่ท่านกับงูผู้ถูกทรมานดัดสันดาน ก็อยู่ร่วมกันในถ้ำนั้นได้ต่อไปอย่างสงบสันติ

    .....เผชิญเสือใหญ่ ตัวขนาดเท่าม้า มาดักหน้าดักหลังพร้อมกันถึง ๒ ตัวบ้าง ลำพังตัวเดียวบ้าง แต่ละครั้งมาใกล้เพียงสาม – สี่วาก็จะถึงองค์ท่าน และเช่นกันกับเรื่องงูพิษ อำนาจเมตตาธรรมที่แผ่ไป ก็ทำให้เสือร้ายเหล่านั้นเชื่องลงอย่างน่าอัศจรรย์

    ท่านเล่าว่า ตอนอยู่พม่า ท่านผจญกับเสือมากที่สุด แต่ก็ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้น ๆ มาได้เสมอ

    ...รวมทั้งเรื่องการที่มีผู้หญิงตายทั้งกลม ขอถวายไหเงิน ไหทอง เพื่อขอให้พระยอมเป็นสามีสมสู่อยู่กับนาง...
    ...ฯลฯ




    คงเป็นการยากที่ผู้เขียน ผู้มีปัญญาน้อย ด้อยความคิด จะสามารถเขียนความพิสดารเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะในการดำเนินเรื่องหลายแง่หลายตอน มีการบรรยายเนื้อธรรมขั้นสูงแทรกคละเคล้ากลมกลืนกันอยู่ จึงใคร่ขออภัยท่านผู้อ่าน โปรดกรุณาไปอ่านความโดยพิสดารในภาค “ธรรมอุโฆษ” ตอนที่ผู้เขียนได้อัญเชิญข้อความที่ พระคุณเจ้า ท่านพระอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เคยเขียนพรรณนาเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่ไว้ในหนังสือ “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ” และหนังสือ “ปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริมัตตเถระ”
    มาลงพิมพ์ซ้ำรวมไว้ด้วย ด้วยความเคารพรักเทิดทูนบูชาอย่างสูงสุด ทั้งองค์


    ท่านเจ้าของประวัติ และองค์ท่านผู้เรียบเรียง
    หลวงปู่อยู่ในพม่า โปรดทั้งมนุษย์ และพวกกายทิพย์อย่างเทวดา ภูตผีปีศาจ จนปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นที่มายึดครองพม่าแพ้สงคราม ทหารอังกฤษเข้ามารักษาการณ์และตรวจตรา พบท่านหลายครั้ง แม้ชาวบ้านญาติโยมจะระแวดระวังพาท่านไปแอบซ่อนตามที่ต่าง ๆ แต่ก็เป็นอันตรายอยู่ดี เพราะท่านเป็นชนต่างชาติ สงครามไม่เลือกว่าเป็นพระหรือเป็นคนธรรมดา เห็นว่าเป็นต่างชาติเขาก็จะต้องถือเป็นศัตรูต้องทำลาย และผู้ปกปิดรักษาท่านไว้ก็จะเป็นผิดด้วย เพื่อไม่ให้เป็นภาระความยุ่งยากแก่ญาติโยมเหล่านั้น ท่านจึงตกลงกลับเมืองไทย

    พวกญาติโยมชาวพม่า นำทางมาในป่าเปลี่ยว มาส่งหลวงปู่ครึ่งทาง พามาจนถึงริมแม่น้ำแล้วก็บอกลา มีเด็กคนหนึ่ง อายุ ๑๐ กว่าขวบติดตามมาด้วย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างร้องไห้อาลัยท่านอย่างไม่อับอายใคร น้ำตาไหลพราก ท่านแผ่เมตตาอวยชัยให้พร ให้เขามีแต่ความสุขสวัสดีแล้วก็จากมา เหลียวไปดู ก็ยังเห็นทั้งสองคนร้องไห้อยู่จนสุดสายตา

    สำหรับช่วงการเดินทางจากพม่ามาตามทางลัดในป่า เพื่อหลบหลีกทหารอังกฤษ รวมตลอดถึงเรื่องอัศจรรย์ที่ท่านต้องอดข้าว อดน้ำอยู่กลางป่าถึง ๓ วัน จนต้องปรารภถึงเทวดา และได้มีเทวดามาใส่บาตร...ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เลื่องลือกันมากนี้ ผู้เขียนก็ขอประทานอภัย ขอให้ท่านผู้อ่านกรุณาต่อไปอ่านความโดยละเอียดในภาค “ธรรมอุโฆษ” ท้ายเล่ม ตอนที่อัญเชิญข้อความมาจากหนังสือ “ประวัติท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ” ของ พระคุณเจ้าท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน



    ที่มา http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/d...ob-hist-16.htm
    <!-- / message --> <!-- sig --> </td></tr></tbody></table>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จะมีคนบางกลุ่มบางพวก พวกบัวใต้้น้ำ จะบอกว่า ไหนลองหาพระหรือฆารวาส เหาะให้ดูหน่อยซิ

    หรือว่า คนที่ับอก นั่งเทียนบอก

    หรือว่า คนเขียน นั่งเทียนเขียน


    ไม่รู้ว่า จะเหมือนหรือคล้ายกับ การที่ต้องตรวจสอบพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์(พระเครื่อง) ด้วยหรือเปล่า
    ผู้ีที่ทำได้ ตรวจได้ หรือทำเป็น ตรวจเป็น กลับมั่นใจว่า พระพิมพ์ที่ตนเองมีนั้น ดีหรือไม่ดี แรงหรือไม่แรง


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table id="post1188025" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;"> วันนี้, 11:55 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> #232 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> ringside <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1188025", true); </script>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:55 AM
    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 45 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 125 ครั้ง ใน 40 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_1188025" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> พระเก๊มาจากกไหน
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ขออนุญาตออกความเห็นและต้องขออนุญาตเอ่ยชื่อสมาชิกสองท่าน[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]ความเห็นของสมาชิกทั้งสองรายนี่ 180 องศาอยู่แล้วครับ[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์ มีข้อมูลอยู่ ถือเป็นตำรา ที่มั่นใจว่าถูกต้อง[/FONT] [FONT=&quot]เก่าจริง มีอิทธิคุณ<o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การนำพระเครื่องกรุวัดพระแก้ววังหน้ามาเผยแพร่ เจตนาเพื่อให้สมาชิกสะสมเก็บไว้[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือนำขึ้นแขวนคอ [/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนคุณมันตรัย เล่นหาสะสมแบบตลาดนิยม ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพระกรุวัดพระแก้ววังหน้า[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือมีก็แค่ข้อมูลขอคอลัมน์ลิสต์ ที่สามารถนำไปทิ่มแทงใครก็ได้ตลอดเวลา[/FONT]
    [FONT=&quot] ไม่สงสัยในพฤติกรรมของเซียนพระ เจตนาในการซื้อเพื่อขายเป็นหลัก[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็เลยโต้แย้งกันมาตลอด เกือบจะกลายเป็นคู่อาฆาตไป
    [/FONT]

    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์ บอกว่า ตนเองยังมีพระอยู่มากมาย[/FONT]
    [FONT=&quot]ในขณะที่คุณมันตรัยไม่เคยมี ไม่เคยเห็น ไม่เคยหยิบขึ้นมาส่อง[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์ น่าจะมีน้ำใจ ส่งพระกรุวังหน้า ไปให้คุณมันตรัยซักองค์ [/FONT]
    [FONT=&quot]เพื่อให้คุณมันตรัยได้ศึกษา จะนำไปคุ๊ยแคะแกเกาหรือหักดูเนื้อในเพื่อพิสูจน์[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือนำไปขึ้นคอแล้วแต่คุณมันตรัย ก็น่าจะดีไม่น้อย[/FONT] [FONT=&quot]เอาแบบไม่ต้องสวยมาก.....ก้อด้าย<o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อคุณมันตรัยได้รับพระไป ก็ให้เวลาสักสามเดือน หกเดือน เพื่อพิสูจน์ตามวิธีของคุณมันตรัย[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วค่อยมาลงความเห็นกันอีกที[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์กับคุณมันตรัยว่าไงครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]และคุณมันตรัยจะยอมเปิดเผยสถานที่เพื่อในการส่งพระเครื่องหรือไม่<o>:p></o>:p>[/FONT]
    </td></tr></tbody></table>

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ringside [​IMG]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ขออนุญาตออกความเห็นและต้องขออนุญาตเอ่ยชื่อสมาชิกสองท่าน[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]ความเห็นของสมาชิกทั้งสองรายนี่ 180 องศาอยู่แล้วครับ[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์ มีข้อมูลอยู่ ถือเป็นตำรา ที่มั่นใจว่าถูกต้อง[/FONT] [FONT=&quot]เก่าจริง มีอิทธิคุณ<o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การนำพระเครื่องกรุวัดพระแก้ววังหน้ามาเผยแพร่ เจตนาเพื่อให้สมาชิกสะสมเก็บไว้[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือนำขึ้นแขวนคอ [/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนคุณมันตรัย เล่นหาสะสมแบบตลาดนิยม ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพระกรุวัดพระแก้ววังหน้า[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือมีก็แค่ข้อมูลขอคอลัมน์ลิสต์ ที่สามารถนำไปทิ่มแทงใครก็ได้ตลอดเวลา[/FONT]
    [FONT=&quot] ไม่สงสัยในพฤติกรรมของเซียนพระ เจตนาในการซื้อเพื่อขายเป็นหลัก[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็เลยโต้แย้งกันมาตลอด เกือบจะกลายเป็นคู่อาฆาตไป
    [/FONT]

    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์ บอกว่า ตนเองยังมีพระอยู่มากมาย[/FONT]
    [FONT=&quot]ในขณะที่คุณมันตรัยไม่เคยมี ไม่เคยเห็น ไม่เคยหยิบขึ้นมาส่อง[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์ น่าจะมีน้ำใจ ส่งพระกรุวังหน้า ไปให้คุณมันตรัยซักองค์ [/FONT]
    [FONT=&quot]เพื่อให้คุณมันตรัยได้ศึกษา จะนำไปคุ๊ยแคะแกเกาหรือหักดูเนื้อในเพื่อพิสูจน์[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือนำไปขึ้นคอแล้วแต่คุณมันตรัย ก็น่าจะดีไม่น้อย[/FONT] [FONT=&quot]เอาแบบไม่ต้องสวยมาก.....ก้อด้าย<o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อคุณมันตรัยได้รับพระไป ก็ให้เวลาสักสามเดือน หกเดือน เพื่อพิสูจน์ตามวิธีของคุณมันตรัย[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วค่อยมาลงความเห็นกันอีกที[/FONT]
    <o>:p> </o>:p>
    [FONT=&quot]คุณสิทธิพงศ์กับคุณมันตรัยว่าไงครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]และคุณมันตรัยจะยอมเปิดเผยสถานที่เพื่อในการส่งพระเครื่องหรือไม่<o>:p></o>:p>[/FONT]
    </td> </tr> </tbody></table>
    คุณยายผีป่า นัดมันตรัย และผมไปเจอกัน ยังไม่ไปเลย
    เรื่องที่ผมจะส่งไปให้ คงไม่ได้ แต่ถ้านัดไปเจอกัน แล้วพิสูจน์โดยให้มันตรัย หักพระพิมพ์(พระเครื่อง)กลางองค์ พอไหวครั


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมส่ง pm ไป 4 คน เมื่อวันศุกร์(9 พฤษภาคม 2551)

    <table class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="tcat" colspan="2">ข้อความส่วนตัว: "พระเก๊มาจากไหน"</td> </tr> <tr> <td class="alt1">Recipients: <!--มันตรัย--> มันตรัย, <!--เด็กวัดป่า--> เด็กวัดป่า, <!--อดุลย์ เมธีกุล--> อดุลย์ เมธีกุล, <!--ปทุมธานี--> ปทุมธานี
    Recipients (BCC): <!--:::เพชร:::--> :::เพชร:::, <!--nongnooo--> nongnooo, <!--ตั้งจิต--> ตั้งจิต</td> </tr> </tbody></table> <!-- post # --> <table id="post" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="thead" style="border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; font-weight: normal;"> <!-- status icon and date --> [​IMG] 09-05-2008, 07:46 PM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 1px 1px 1px 0px; font-weight: normal;" align="right"> </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px;" width="175"> sithiphong <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_", true); </script>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:07 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 21,940 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 5,326 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 132,149 ครั้ง ใน 17,983 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 13777 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- icon and title --> "พระเก๊มาจากไหน"
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> "พระเก๊มาจากไหน"

    "พระเก๊มาจากไหน"
    http://palungjit.org/showthrea...43#post1183843

    [​IMG]
    พระพิมพ์(พระเครื่อง)เป็นพระวังหน้า (ตามรูปนี้) ผมไม่ขอแจ้งว่า เดิมหลวงปู่องค์ไหนเป็นผู้อธิษฐานจิต แต่ปัจจุบัน ได้รับพระเมตตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กุกุกสันโธ อธิษฐานจิตครับ


    คุณมันตรัย ,คุณปทุมธานี ,คุณเด็กวัดป่า<script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1179325", true); </script> ,คุณอดุลย์ เมธีกุล และท่านอื่นๆ

    ช่วยดูให้หน่อยว่า พระพิมพ์(พระเครื่อง) ในรูปนี้ เป็นพระแท้หรือพระเก๊
    เมื่อตอบแล้ว ขอให้ผู้ที่ตอบและผม ไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันตลอดไป และไม่รู้จักกันตลอดไป

    .
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --> <!-- sig --> </td></tr></tbody></table>

    วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2551 มาตอบ 2 คน อีก 2 คนยังไม่ยอมมาดูให้เลย หุหุหุ

    .
     
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ขอคั่นรายการแบบสบายๆนะครับ แจ้งให้ทราบกันครับ พี่ไฟดูดได้นำพระพิมพ์ กรุเก่าที่ผมได้ลงไปแล้ว(ปัจจุบันพี่เค้าเก็บเงียบแล้วครับ) นำไปตรวจสอบพบว่าเป็นแสงออร่าสีขาวสะอาดสว่างจ้าครับ ส่วนอีกองค์ของพี่เค้าเองเป็น หลวงพ่อโต วัดป่ามะม่วงปรากฎเป็น ออร่าสีทองสว่างจ้าเช่นกันครับ ทราบแล้วเปลี่ยน....
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สืบเนื่องจากกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้ เป็นกระทู้หลักที่ผมได้บอกบุญกับสมาชิกเว็บพลังจิต โดยปัจจุบันนี้ ผมได้บอกบุญและช่วยเหลือ 2 สำนักสงฆ์คือ

    1.สำนักสงฆ์ผาผึ้ง ในการขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    2.สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง ในการบุญเรื่องต่างและกระทู้
    ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณร


    ส่วนในอนาคต ผมจะมอบพระพิมพ์ให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญกับสภากาชาดไทย ,มูลนิธิชัยพัฒนา ,มูลนิธิพระดาบส (โดยกฎเกณฑ์ที่ผมตั้งขึ้น ให้โอนเิงินเข้ามูลนิธิดังกล่าวโดยตรง และให้ท่านแสดงใบอนุโมทนาบัตร
    ผมจะจัดส่งพระพิมพ์ให้)

    หากกระทู้นี้ ถูกปิดโดยทีมงานเว็บพลังจิต ไม่ว่าในเรื่องใดๆก็ตาม ที่ผมไม่ผิด ผมจะยุติงานบุญในทุกๆงาน เนื่องจากผู้ที่ปิดกระทู้และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน เป็นผู้ที่ขวางงานบุญที่ผมทำในทุกๆงาน และเมื่อกระทู้นี้ถูกปิดแล้ว ผมจะโทรศัพท์แจ้งพระอาจารย์นิล (สนส.ผาผึ้ง) และ หลวงพ่อแผน (สนส.บ่อเงินบ่อทอง) แจ้งในรายละเีอียดทั้งหมดที่ผมทราบ

    ส่วนผู้ที่มีเจตนาในการต้องการปิดกระทู้นี้และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ผมเองก็ถือว่า บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่ขวางงานบุญในทุกๆงานเช่นกัน

    แต่สิ่งที่ผมได้บอกไปเรื่องการขวางบุญ จะถูกต้องตรงกับบัญชีของนายนิริยบาลและบัญชีของเบื้องบนหรือไม่ ผมไม่ทราบ ต้องไปพิสูจน์เองสำหรับผู้ที่ขวางบุญต่างๆ

    เมื่อกระทู้นี้ถูกปิดโดยทีมงานเว็บพลังจิตและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ผมขอไม่รู้จักกับทุกๆคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และขอไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกันตลอดไป

    ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มีหน้าที่เป็นผู้ทำหน้าที่่ต่างๆของท่านเอง

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองเป็นผู้ที่เชื่อในกฎแห่งกรรม พี่ใหญ่ที่ผมเองเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ผม ได้เตือนผมเรื่องของกรรมหลายๆเรื่อง ปัจจุบันในนรกมีสัตว์นรกอยู่เป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่หนทางที่ไปเป็นเทวดา พรหม หรือพระนิพพาน ไปได้น้อยคนมากเมื่อเทียบกับผู้ที่ไปนรก

    ผมจึงเกรงกลัวบาป กลัวกรรมเป็นอย่างยิ่ง ผมเชื่อว่า ใครทำอะไร ย่อมได้เช่นนั้นเสมอ ใครกินข้าวย่อมอิ่มอย่างมีความสุข ใครกินดินย่อมอิ่มอย่างมีความทุกข์ ลองเลือกกินดูนะครับว่า จะเลือกกินอะไรดี ถ้าหากว่าเราเลือกได้

    เมื่อกระทู้นี้ปิดแล้ว ผมจะไปปิดกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ด้วย หรืออาจจะลบกระทู้ทิ้งไป ถ้าท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ ต้องการเก็บเรื่องราวไว้ ขอได้โปรดไปเก็บไว้เอง ผมจะไม่เก็บอะไรไว้เลยครับ

    ส่วนกระทู้พระวังหน้าฯ เมื่อถูกปิดโดยทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ผมเองขอมาเปิดกระทู้นี้อีกครั้ง(ถ้าเปิดได้) เมื่อเปิดกระทู้นี้แล้ว ผมจะลบกระทู้นี้ทิ้งทันที โดยผลกรรมที่ผู้กระทำ ต้องรับผิดชอบเอง และไม่รู้จักกับผม และไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกับผมตลอดกาล

    ขอขอบคุณ คุณเว็บสโน ,คุณMBNY ,ทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญ ที่ สนส.บ่อเงินบ่อทอง ,สนส.ผาผึ้ง และทุกๆแห่ง

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  18. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    หากกระทู้พระวังหน้าฯ ถูกปิดโดยทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง และหากไม่มีกระทู้ทำบุญของคุณหนุ่มอีกผมก็จะเลิกลากับเว็บพลังจิตไม่เข้ามาดูอีกแล้ว เพราะมันไม่ได้เรื่อง
    โมทนาสาธุกับทุกบุญที่คุณหนุ่มได้ทำครับ
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    จะมีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นไปตามวาระครับ เพียงแต่ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ใช่หน้าม้า ลูกสมุนหรืออื่นใดๆที่จะตีความหมายในทางลบ ถ้าใครได้ติดตามอ่านกระทู้พระวังหน้ามาโดยตลอดจะทราบดีครับ ไม่ว่าจะเป็น ผม คุณตั้งจิต น้องเอ หรือพี่ pondkantana ล้วนแล้วแต่ ร่วมทำบุญกับคุณ sithiphong มาเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง และด้วยตัวเลขที่ค่อนข้างสูง นั่นแสดงว่าพวกเราย่อมมีความมั่นใจในพฤติกรรม ของเจ้าของกระทู้มากพอสมควร ผมอยากจะบอกสั้นๆว่าผมเชื่อว่า พวกเรามีสติปัญญา วิจารณญานในการพิจารณาเรื่องราวต่างๆได้เองว่าอะไรเป็นสิ่งที่จริงอันไหนที่หลอกลวง ผมก็ผ่านมามากพอสมควร จนเรียกว่าเอียนแล้วครับ เราทราบว่าไม่จริงแค่ครั้งเดียวก็คงเกินพอครับ แต่สำหรับ คุณsithiphong นั้น เท่าที่ผมได้รู้จักมากว่า1ปีนั้น ผมตอบได้เลยว่าความมีน้ำใจการเสียสละและมิตรภาพเกินร้อยเปอร์เซนต์ครับ ทุกคนย่อมมีส่วนไม่ดี ไม่มีใครสมบูรณ์ ทั้งหมด คุณsithiphong ก็เช่นกันครับ บ่อยครั้งความใจร้อนทำให้เกิดภาพที่ไม่ดีออกไป แต่เช่นกันครับ เพราะเขาไม่ใช่นักสร้างภาพ ได้รับเงินจากภาวะของมนุษย์เงินเดือนเท่านั้น ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากพระพิมพ์ทั้งสิ้น ผมกล้ารับรอง มีแต่จ่ายเงินออกไม่มีเข้า ผมได้คุยกับตัวผบ.ของเขายังบ่นให้ผมฟังเลย เพราะฉะนั้น คงใช้คำเรียกว่าเสี่ยไม่ได้หลอกครับ เอาเป็นสั้นๆเท่านี้ครับ ถ้าจะปิดกระทู้จริงก็ช่วยไม่ได้ครับ เราก็คงจะทำบุญเฉพาะพวกเรา องค์ความรู้ที่เราต้องการให้เผยแพร่ออกไปก็คงทราบกัน เท่านี้แค่ไหนแค่นั้นครับ
    จาก เพื่อนคนหนึ่งครับ(*)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาบุญทุกประการ

    ผมคงใกล้หมดเวลาสำหรับที่นี่แล้วครับคุณตั้งจิต ผมเหนื่อย ผมเริ่มท้อ ผมแพ้อำนาจของเงิน เดี๋ยวนี้คนเราทำอะไรก็ได้ ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะบาปแค่ไหน ก็เพื่อเงินตัวเดียว

    อย่างที่พี่ใหญ่บอก เมื่อไหรที่เราไม่ได้ไปนรก แต่เราไปเบื้องบน เพราะเนื่องจากบุญต่างๆ ซึ่งรวมทั้งบุญพระกรรมฐาน ทั้งเทวดา ทั้งพรหม ก็ยังแตกต่างกัน มีหัวแถว มีท้ายแถว ผู้ที่อยู่หัวแถว สามารถช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าผู้ที่อยู่ท้ายแถวครับ


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...