วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้อ สำหรับคุณ โอม เราลืมไปเนาะ

    อะ ให้เพลงนี้เป็นของกำนัล

    [music]http://203.130.131.118/sound/ultimate.mp3[/music]

    ขออภัยท่านอื่น ที่ได้ยินเสียงเพลง เพราะเสียง เป็นภัยต่อสมาธิ

    แต่ในมุมผมนะ ผมชอบเสียงมาก เพราะมันทำให้ผมตั้งสมาธิได้เร็วมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2008
  2. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    เปิดตั้งนานแล้วครับพี่ ตรงจุดที่ผมยืนอยู่นี้ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก นะ


    หลวงปู่สด ท่านพาพระป่าสายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งมาให้รู้จัก ต่อมาก็ได้พบตัวจริงท่าน ได้ฟัง ได้รับการยืนยันหลายอย่าง

    ที่เราทราบแก่ใจดี ว่า เราไม่ได้ปรุงแต่ง


    หนทางที่ไปอีกยาวไกล หลายพุทธันดร หนักนะ


    ที่ผ่านมาหลายโพส ผมเข้าใจในสิ่งที่พี่และหลายท่านพยายามพูดนะ
     
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    ขอบพระคุณมากครับ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถ้าเป็นคำถามที่เกี่ยวกับธรรมกายนะ ผมสมมติคำถามต่อให้ ว่า แล้วทำไมผมจึงหยุด และ ไม่เลือกที่จะเดินต่อในสายนั้น

    ตอบว่า เพราะ ปัญญาบารมี พอมีอยู่และ เห็นว่า นี่ไม่ใช่ทางที่กำจัดกิเลสเลย ความทุกข์เรายังไม่หายไปเลย
    ความสมมติ เรายังมีอยู่ เต็มเปี่ยม ปัญญาไม่ได้เห็นจริงเลย เห็นแต่ ภาพ ด้วยความซื่อสัตย์ ต่อจิตใจตนเองประกอบกับ อ่านพระสูตรแล้ว เราบอกว่า เราจะไม่ตีความใดๆ เพื่อให้ตรงกับ ที่ตนเองรู้ แต่ จะต้อง รู้ก่อน แล้วจึงไปดูว่าตรงกันไม่มีผิดเพี้ยนไหม นั้นแหละ จึงได้เดิน ออกสู่ การทำอานาปานสติ ที่พระพุทธองค์ สรรเสริญ ก็ปรากฎว่า มีอยู่วันหนึ่ง หายใจ เข้าหายใจออกธรรมดา แล้วทำไมมันถึงสุขใจได้ ที่จริงมันไม่ได้มีปัญญาหรอก แต่ตัณหามันดับไป มันก็สบายใจ เราก็คอยประคับประคองใจ ให้อยู่กับ สุขนั้น
    โดยที่ไม่ได้รู้สัจธรรม ว่า เหตุแห่งทุกข์คืออะไร

    ก็ปฏิบัติเรื่อยมา พอมาอ่านหนังสือ เจอคำว่า มหาสติปัฎฐานสี่ เราก็รู้สึกรักและ ชอบกับคำนี้มากๆ ก็สงสัยว่าทำอย่างไร ท่านก็ว่า กิน เดิน ยืน นั่งนอน ให้มีสติ ก็นั่นแหละ ฝึกสติอยุ่ที่ฐานกายมาเป็นปี ไม่ได้ขยับภูมิรู้เลย

    จนวันหนึ่ง ลองรวบรวมกำลังใจ กำลังสมาธิ เห็นกาย ขยับทุกอริยาบท ทั้งกลืนน้ำลาย กระพริบตา แล้วจ่ออยู่กับอริยาบทเหล่านั้น อย่างเดียว ไม่ส่าย พักเดียวจิตมันสัมประยุต แจ้งไปเลยว่า นี่ดับทั้งหมด นี่สมมติทั้งหมด ก็เห็นธรรมตรงนั้น ทั้งๆ ลืมตานี่แหละ นั่งอยู่ธรรมดาด้วย ไม่ได้เข้าสมาธิ ก็จะบอกว่า แม้กายนุปัสสนา อย่างเดียวก็ทำให้สัมประยุตได้ เราหมดสงสัยตรงนั้นว่า พระพุทธองค์ ตรัสรู้อะไร

    จากนั้นมา วิปัสสนาญาณแจ้งมาก รู้ธรรมทั้งหมด ก็เผลอว่า เรานี่พ้นแล้ว สบายแล้ว จิตสบายเป็นหลายเดือน เพราะอวิชชา ที่เคยมีมันดับไป ทำอะไรก็ไม่ทุกข์ เบิกบาน จนมาถึงวันหนึ่งมันก็เริ่มทุกข์อีก คราวนี้รู้เลยว่า อุปกิเลสนั้นเป็นอย่างไร ก็เดินหน้าพิจารณาต่อ เห็น การเกิดดับ ในใจ ประจักษ์ชัดว่า นี่แหละ คือ การเกิดดับแห่งรูปนาม เห็น ทั้งการดับไปๆ ใจมันเห็นเองว่า ดับไปแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้ไปอ่านหนังสือที่ไหนนะ

    ก็เห็นสัจธรรมตรงนั้น อบรมมาเรื่อยๆ จนแคล่วคล่อง ในการมองเห็นสัจธรรม ค่อยๆ อบรมมาจนถึง วันที่แจ้งว่า เมื่อเรา เข้าไปหลง ไปสังเกตุ นั้นแหละ คือ ตัวอวิชชา ยึดติด เพราะหลงไป รู้ทางเดินทันที นั้นแหละ มรรคญาณ อบรมจนเป็น ญาณเต็มภูมิ ว่า สิ่งนี้คือ การยึดอยู่ สิ่งนี้คือ การเดินออกจากการยึด

    เอาเท่านี้แล้วกัน เล่าให้ฟังเป็น ตัวอย่าง ในการพิจารณา
     
  5. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    เข้ามาอ่านดูอีกครั้ง ขอกลับมาดูคนพยายามหักล้างวิชชาธรรมกาย ผมดูว่าคุณขันธ์นี่เหมือนใครบางคนที่ผมเคยคุยในเว็ปพันธุ์ทิพย์เมื่อนานมาแล้ว ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยด้วย


    คุณโอมครับ...อย่าเสียเวลาคุยกับท่านเหล่านี้เลย เพราะเขาจะพยายามพูดกดให้เราดูว่าต่ำกว่าแย่กว่าเขาตลอดเวลา ความจริงเขาคิดเองเออเองทั้งนั้นนะครับ


    ที่ผมกล่าวอำลาคุณขันธ์ไปเมื่อช่วงบ่ายเพราะเห็นว่าเขาอ้างว่ารู้แต่รู้เพื่ออ้างมากกว่า เพราะยิ่งรู้มากยิ่งห่มเหงคนอื่นมาก นั่นไม่ใช่วิธีการของคนที่รู้รูป-นามตามเป็นจริงดอกครับ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าฝึกมาสายไหนอย่างไร สำนักเรียนใด ถ้านำมาอ้างเพื่อข่มเพื่อกดให้คนอื่นต่ำกว่าโดยใช้อารมณ์ตนเองเป็นใหญ่เช่นนี้ เสียเวลาคุยด้วยนะครับคุณโอม


    ผมออกความเห็นอีกครั้งเพื่อคุยกับคุณโอมโดยเฉพาะมิได้มุ่งหวังคุยกับคุณขันธ์และหางเครื่องของคุณขันธ์แต่ประการใด ถ้าคุณคิดว่าคุณดีจริงก็ตามสบายเถิดครับ แต่ถ้าฝึกอย่างคุณแล้วมีนิสัยแบบนี้ผมไม่ขอไปฝึกปฏิบัติด้วยดอกครับ คุณโอมครับคนแบบนี้เราไปต่อล้อต่อเถียงเขา เขายิ่งได้ใจเพราะเขาจะคุยไม่หยุด แต่เราควรหยุด หยุดเป็นตัวสำเร็จครับคุณโอม


    ผมเคยปฏิบัติมาอย่างไร ผมไม่แสดงอวดภูมิตนเองก็มิได้แปลว่าผมไม่เคยปฏิบัติหรือไม่เคยได้รับรู้ใดๆ มาก่อนอย่างที่พยายามยัดเยียดให้ผมเป็นนั่นเป็นนี่ แค่นี้เราก็รู้แล้วว่า เขาชอบพูดข่มคนอื่นเพื่อยกตนเองให้สูงกว่าอยู่ร่ำไป ยิ่งประพฤติตนเช่นนี้เขามีแต่จะต่ำลงเพราะใช้วิธีการผิด คุณโอมครับอโหสิกรรมให้เขาเถิด ยอมแพ้เขาเถิด เอาชนะคนเช่นนี้ไปก็เท่านั้น เรายอมแพ้เขาไปเลย ยอมแพ้ก็คือไม่คุยด้วย ไม่ถือสาเอาความด้วย ไม่ต่อสู้กับเขา ให้เขาคิดว่าเขาวิเศษกว่าใครไปเถิด คนเช่นนี้มีแต่คำพูดอ้างเพื่อข่มผู้อื่นหาความจริงมิได้ดอกครับ


    ใครจะชอบแบบใดเป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา จะหักหานน้ำใจกันเพื่ออะไรล่ะครับ การฝึกปฏิบัติวิชชาธรรมกายผู้ที่ผ่านประสบการณ์ฝึกจริงย่อมทราบชัดว่ามีการพิจารณารูปนามอย่างไร ผมมีข้อมูลนำเสนอมากมาย เพียงแต่เห็นว่าไม่สมควรที่จะเอามากล่าวในที่นี้ เพราะบรรยากาศไม่ใช่คุยกันอย่างบัณฑิต ผู้ฝึกปฏิบัติให้ถึงธรรมกายมีมากมาย และนับวันก็จะยิ่งมีผู้สนใจมากขึ้น เราจงภูมิใจเถิด ธรรมกายฝึกได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาตรงนี้ผู้ฝึกธรรมกายอย่างถูกต้องย่อมทราบความชัดแล้ว


    เอาล่ะครับผมเองเห็นว่าควรคุยเพิ่มเติมเท่านี้ก็แล้วกัน คุยกับคุณโอมนะครับ ถ้าพาดพิงท่านอื่นก็ต้องขออภัยด้วย
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เออ สมถะ นี่โดนเข้าไปทีเดียวเลย ไปไม่เป็นขบวนเลย กลายไปโน่น ไปขุมไหนแล้วนั่น

    ผมพูดตรงๆ ไปยกตนข่มท่านเสียเมื่อไร แล้ว ตอนนี้ ผมกับ คุณโอม ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร แล้ว เขาเดินตามทาง จะดีหรือไม่ ก็แค่โต้แย้งกัน

    ถ้าคุณจะโต้ เรื่อง ธรรมกายกับผม ก็เอาเหตุผลมาโต้ ไม่ใช่มาบอกว่า ผมเลวอย่างนั้นอย่างนี้ มันคนละเรื่องกัน

    คุณนี่ต้องเข้ามาที่นี่ บ่อยๆ จะได้เห็นของจริงมากกว่านี้ จะได้รู้ว่า ธรรมของจริงเป็นอย่างไร

    แล้วค่อยมาโต้กับผม
     
  7. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ไม่เข้ามาดูแป๊บเดียว มาตั้งหลายหน้าเลย
    อ่านไปอ่านมาได้ความรู้เพื่มอีกมากมาย ขอบคุณครับที่มาสนทนากันในเรื่องนี้

    คุณโอมมีความรู้มากจริงอย่างที่ผมคิดเลย
    คุณสมถะก็ใช่ย่อย
    คุณขันธ์ กับคุณเอกก็มาก

    นับถือทุกท่านครับ
     
  8. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    คุณสมถะ กล่าวถูกต้องครับ

    สายคุณขันธ์มองว่าการเห็นเป็นการติดนิมิตร
    เลยปฏิเสธการเห็นทั้งหมดไป

    พอเห็นปุ๊บก็ปรุงแต่งทันที ว่ามันไม่ใช่ของจริง



    "เมื่อใดธรรมปรากฎแก่พราหมณ์ผู้เพียรเพ่งอยู่ ความลังเลสงสัยย่อมหายไป"
     
  9. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697


    ขอบคุณที่มาเล่าอาการดับขณะนั่งลืมตา

    .. ก็เห็นอวดมาหลายเม้นท์นะ ตั้งแต่เริ่มเข้าบอร์ด แล้วก็ราวีเขาดะไปทั่ว
    แต่พอคนไปจี้ว่า คุณว่าตัวเป็นอริยะหรือ ก็ปฏิเสธ
    แล้วก็กลับมาแบบนี้อีก วนไปวนมา

    เอาให้เที่ยงหน่อย ให้มันเหมือนกันไปทุกคราว กลับไปกลับมา มิดี
    แต่ช่วงนี้ ท่าจะโชว์จ้าดดดดด




    ;37 แล้วเรื่องกรรมฐานนี่เขามีอีกมาก เขามาอธิบาย ก็อ่านบ้าง
    มัวแต่จะโชว์นั่นแหละ ค้านดะไป ทำไม่ได้ คนอื่นเขาทำได้ มี..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2008
  10. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ตรงสีแดงนี่ท่านรู้เองหรือรู้มาจากใหนครับ
     
  11. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    อ้าว...แล้วกันคุณขันธ์ไหนว่าฝึกสายธรรมกายมาก่อน นึกว่าฝึกจริงจัง

    ก็แค่ฟังผ่านๆมานี่ครับ แล้วกัน


    ไล่อ่านเอาหนะครับเลยกระโดดไปมาบ้างไม่ว่ากันนะครับ
     
  12. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    จริงๆ ไม่ต้องธรรมกายหรอก กรรมฐานไหนก็ดี
    ถ้าปัญญามันไม่ทันสมาธิ นี่ก็เรื่องใหญ่ หลงได้ เพราะสมาธิมีกำลังมากก็จะเกิดปาฏิหาริย์มาก หลายที่เขาเลยเอาสมาธิมาต้มคน

    ส่วนไม่มีสมาธิเป็นฐาน ปัญญาฟุ้งกระจุย มันก็ยังปัญญาเทียม ไม่ใช่ปัญญาญาณ
    โยนิโส แล้วเป็นปัญญาจริงนี่ ปัญญาตัวนี้เอง สัมมาปัญญา (เห็นชอบ คิดชอบ)
    คือเห็นธรรมชาติความคิด คิดแล้ววางความคิดนั่นได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    แบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้ เพราะวางของตื้นไปสู่ของลึก
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็ไม่จำเป็นนะ ที่ว่าถ้าไม่เอาสมาธิเป็นฐานแล้ว แล้วฝุ้งเกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องไม่ดี

    ก็อย่างที่ทราบ ถ้ามาสายวิปัสสนา หรือ สายปัญญากล้า การที่จิตมันฝุ้งนั้น กลับ
    อยู่ภายใต้การดู รู้ตัวตลอด เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะว่า ปัญญากล้าพอที่จะดำ
    ลงไปในความฝุ้งของจิต โดยมีความเป็นกลาง อุเบกขาอยู่ ดังนั้น สายวิปัสสนา
    จึงมีข้อขัดแย้งอีกข้อหนึ่งกับสายสมถะ คือ กิเลส ฝ่ายวิปัสสนาจะกล้าพอที่จะปล่อย
    ให้มันเกิด เพราะว่า มันเกิดในมโนจิต มันจึงเป็นแค่สภาวะ ไม่ได้ปล่อยมันออกมา
    ทางกาย วาจา จึงไม่มีปัญหาอะไรเลย
     
  14. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>วิมุตติ, เต้าเจี้ยว, khajonsak9999, upanya, กรุงเก่า, บุคคลทั่วไป 3 คน </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->
    <!-- popup menu contents -->ตามอ่านซะนาน รสชาติเข้มข้ม สาระแน่นเปรี๊ย
    ออกมาเป็นคนดู เห็นอะไรมากกว่าอยู่ในสนามเยอะเลย
    การแสดงธรรมที่เกิดจากความรู้แจ้งนี่ก็ลำบากจังเนอะ
    คนที่อ่านก็อดไม่ได้จริงๆที่จะเพ่งไปที่คนพูดว่านี่มันอัตตาหรือเปล่า
    การสอนที่นิ่มนวมก็มักไม่ค่อยได้ผลเสียด้วยสิ
    กลืนไม่เข้า คายไม่ออกจริงๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2008
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็อย่างที่ทราบ สมาธิที่ทำไปเพื่อให้ถึงสภาวะที่สุดของกรรมฐานตัวนั้น ทำไปก็เพื่อ
    ให้เกิดความเคยชินในการเกิดขึ้น และดับไป ทำบ่อยๆ ก็คือ ทำได้ แต่ทำได้แล้วก็
    แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจึงมีสภาพไม่ต่างจากสภาวะธรรมอื่นๆ

    และไม่ว่าการทำกรรมฐานตัวใด จะให้ความสงบ ความว่าง เป็นวิบากเหมือนกันหมด
    แตกต่างในรสธรรมของความว่าง แต่ว่าความว่างเหล่านั้น ล้วนว่างไม่แท้ทั้งนั้น ดัง
    นั้น เมื่อยกองค์ธรรมในสายกรรมฐานใดแล้ว ก็ต้องไปดูตัว อยาก ตัณหา เพื่อรู้ทันใจ
    ที่อาจชอบใจผล วิบาก วาสนา นั้นที่ได้รับจากกรรมฐาน เพื่ออะไร ก็เพื่อถอดถอน
    เหมือนกันหมด
     
  16. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ท่านผู้มีปัญญาสายธรรมกายทั้งหลาย
    เมื่อท่านปฏิบัติไปนานๆ โปรดระลึกไว้เสมอว่า
    กิเลสของเราได้เบาบางลงบ้างหรือไม่
    ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นหรือยัง
    การจะละอะไรได้สักอย่าง เราต้องมองเห็นมันก่อนใช่ไหม
    สิ่งที่เห็นนั้น ให้ความสุขกับเราได้ไหม
    แล้วสิ่งที่คิดว่าเป็นทุกขสัจ มันใช่ทุกขสัจจริงไหม
    ห้ามหลอกตัวเองเด็ดขาด เพราะนั่นคือการทำงานของกิเลส
    สิ่งหนึ่งนี่น่าสนในคือ ผู้ปฏิบัติสายนี้ มีผู้สำเร็จบ้างไหม
    หรือมีแต่ผู้ที่คิดค้นวิชานี้เท่านั้น
    ถ้ามีมากมาย ก็แล้วไป นับว่าทางสายนี้เดินต่อได้
    ถ้าไม่มี ก็ต้องถามต่อว่า เพราะเหตุใด?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2008
  17. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ความเคยชินที่ได้เห็นมันบ่อยๆ ถ้าผลของกรรมฐานใดเกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วไม่ได้
    ดูไตรลักษณประกอบ ก็ยากมากที่จะยืนยันว่า นั้นกำลังดำเนินการศึกษาแบบพุทธะ

    เพราะทางแห่งพุทธะต้องเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด โชคร้ายที่สายธรรม
    กายในหลายๆวัดนั้น เริ่มด้วยการจมดิ่งไปกับภาพนิมิต เมื่อไปฟังสำนักไหน ก็มีแต่สาร
    ที่สื่อเน้นไปให้จมกับนิมิต โดยเฉพาะ DMC ถึงกับทำสื่อออกในเคเบิ้ลทีวี ทำเป็นรูป
    พระซ้อนลูกแก้ว ลูกแก้วซ้อนพระ แล้วเปิดให้ดูอยู่อย่างนั้น เพื่อให้ติดตา ก็เหมือนเด็ก
    นั่งเล่นเกมส์ เล่นจนเพลิน มีความสุขใจ ก็จะจำภาพนั้นได้ แม้ยามหลับก็จะเห็นตัวละคร
    ของเกมส์เล่น กระโดดได้ดังใจนึก ดังนั้น ภาพนิมิตนั้นก็สถิตย์เข้าภวังค์จิตได้เป็นธรรมดา

    เพราะ ภวังคจิต นั้น โดยนักอภิธรรมรู้กันโดยทั่วไปว่า คือ ส่วนบันทึกกรรมที่ข้ามภพข้ามชาติได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2008
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    กลไก การอัดภาพเข้าสู่ภวังคจิต จึงเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง เป็นเรื่องที่เป็นภัยได้
    เพราะมันเป็นส่วนของสัญญาที่ข้ามภพข้ามชาติได้ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

    ดังนั้นไม่แปลกเลยถ้าหากอีกชาติหนึ่งของคนที่ฝึกกรรมฐานแบบนี้จะเห็นภาพนี้เกิดขึ้น
    ในยามที่ใจเขาเข้าภวังค์ เสร็จแล้วถ้าในชาตินั้นไม่มีครูอยู่ ก็จะทึกทักว่า ได้เห็นพระ
    พุทธเจ้า เข้าถึงธรรมไปแล้ว โดยไม่มีใครชี้ได้เลยว่านั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของกรรม
    ธรรมดาที่เคยทำไว้
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การจะดูว่า การสอนกรรมฐานใดนั้นมีประโยชน์ และเลิศแค่ไหน ต้องมองไปใน
    อนาคตอันไกลโพ้น หากสายกรรมฐานนั้นเป็นไปแล้ว ถอนได้ยาก ชี้ได้ยาก
    โอกาสที่ผู้ได้รับการฝึกจะเกิดอุปาทานไม่อาจถอดถอนได้นั้นมีสูง เพราะโดยทั่ว
    ไปนอกจากวิธีฝึกกรรมฐานแล้ว ยังมีระบบการเน้นย้ำทิฏฐิสำทับไปด้วย ทำให้
    ยิ่งเป็นวิบากที่ถอดถอนได้ยาก

    การสอนธรรมที่เรียบง่าย ตามแบบของพระพุทธองค์จึงสมเหตุสมผลที่สุด ไม่ว่า
    ใครฝึกกรรมฐานใดอยู่ หากยอมหยุดแล้วทำกรรมฐานตามสติปัฏฐาน 4 แล้ว จะ
    เป็นเรื่องง่ายมากแก่เขาในภายภาคหน้าที่จะสำเร็จได้โดยง่าย เพราะสายสติปัฏฐาน 4
    นั้นตั้งแต่ต้นสาย จนปลายทาง ไม่มีตัวไหนเน้นการยึดติดเลย มีแต่รู้แล้วปล่อย เห็น
    อะไรก็ปล่อย เห็นเป็นเพียงสภาวะธรรม เป็นอาการของจิตเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่
    จะต้องให้ความสำคัญ เพียงแต่ต้องคอยดูมันโดยตลอด เห็นในอาการตั้งอยู่ดับไป

    เน้นนะครับว่าเห็นอาการตั้งอยู่ นั่นก็แปลว่า เราไม่เคยห้ามการทำ แต่ขอเพียงให้
    ระลึก มีสติระลึกเท่านั้นว่า นั่นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และต้องดับไปเป็นธรรมดาเมื่อหมด
    เหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2008
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณทราบได้อย่างไรว่า การฝึกของผมไม่จริงจัง คนอย่างผมทำอะไร ต้องรู้แน่ ไม่ใช่ฟังผ่านๆ แล้วเอามาคุย

    ผมผ่านมาจนทราบดีว่า การเดินไปนั้นผิดทางแล้วผมจะมานั่งหลอกตัวเองอยู่ได้อย่างไร ฝึกไปแบบไม่รุ้เรื่องราว แล้วมันจะไปได้อย่างไร ถึงแม้ ว่า ได้กายพระอรหันต์ มาอย่างที่เขาพูดกัน ผมก็หลอกตัวเองไม่ได้หรอก ว่ากิเลสมันหมดไปแล้วด้วยการได้กายพระอรหันต์ กิเลสมันอยู่ที่ใจนี่ ไม่ใช่อยู่ที่รูป

    นี่เวลาฝึกเห็น กายทิพย์ เราก็ว่า นี่มันไม่ใช่ทาง พระพุทธองค์ ท่านไม่เคยบอกทางแบบนี้เลย อีกอย่างหนึ่งคือ หลักสำคัญแห่งพระศาสนาที่ท่านว่า เรื่องของขันธ์ นี่มันไม่ชัดแจ้งเลย ถ้าเราไม่หลอกตัวเองเสียอย่างเดียว เราก็จะเห็น ความคลุมเครือของ วิถีแห่งธรรมกาย ที่ ไม่ชัดเจนทุกๆ เรื่อง แต่ดันไปพ้องเข้ากับ วิถีของพราห์มณ์ อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของการเดินจักระ การเดินจิตกำหนดนั่งลง

    ที่ถามว่า ทราบได้อย่างไร เรื่องโคตรภู ตอบว่า จิตที่่ละเอียดกว่า ก็รู้ จิตที่หมดสมมติไปก็รู้ นั้นแหละ ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนตามที่พระพุทธองค์็กล่าวไว้ จะไปถามอะไร คุณ upanya ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ไหม
    ต้องค่อยๆ ศึกษา อย่าสงสัยมาก ให้ดูจิตตน แล้วมันจะละเอียดขึ้นเองตามลำดับ แล้วจะรู้จะเห็นความเป็นไป ตามลำดับเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...