วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ตรงนี้เขียนได้ดีนะครับ ประสบการณ์ตรงเลยที่เดียว แม้ฐานกาย ก็พาข้ามฝั่งได้
    ผมมาได้เพราะ เกิดทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส พลัดพรากในสิ่งที่รัก ประสบกับการได้รับในสิ่งที่ไม่ชอบ เลยต้องดิ้นร้นหาทางพ้นทุกข์อย่างมาก ต้องพิจารณาลงไปถึง ขันธ์ และ พิจารณาสาวไปถึงเหตุแห่งทุกข์เลย ( ปฏิจจสมุปบาท ) กว่าจะพ้นมาได้ก็ปางตายเลยทีเดียวครับ

    ส่วนธรรมกาย ผมก็ให้ความเห็นไว้เหมือนเดิมนะครับ ว่าเป็นบาทฐานที่ดี เมื่อ ประสบทุกข์แล้ว มีความดิ้นรนอยากที่จะพ้นทุกข์ จะทำให้เข้าวิปัสสนาได้ง่าย(y)
     
  2. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    จริงๆแล้วเริ่มตั้งแต่คุณโอมถามคุณขันธ์นั่นแหละครับว่า
    แล้วธรรมกายที่ท่านเคยฝึก เคยได้ เป็นอย่างไรบ้างครับ
    พอผมบอกว่าคุณขันธ์ได้ฟังมาแบบผ่านๆคุณขันธ์ก็ตอบว่า

    คุณทราบได้อย่างไรว่า การฝึกของผมไม่จริงจัง คนอย่างผมทำอะไร ต้องรู้แน่ ไม่ใช่ฟังผ่านๆ แล้วเอามาคุย

    ผมผ่านมาจนทราบดีว่า การเดินไปนั้นผิดทางแล้วผมจะมานั่งหลอกตัวเองอยู่ได้อย่างไร ฝึกไปแบบไม่รุ้เรื่องราว แล้วมันจะไปได้อย่างไร ถึงแม้ ว่า ได้กายพระอรหันต์ มาอย่างที่เขาพูดกัน ผมก็หลอกตัวเองไม่ได้หรอก ว่ากิเลสมันหมดไปแล้วด้วยการได้กายพระอรหันต์ กิเลสมันอยู่ที่ใจนี่ ไม่ใช่อยู่ที่รูป

    นี่เวลาฝึกเห็น กายทิพย์ เราก็ว่า นี่มันไม่ใช่ทาง พระพุทธองค์ ท่านไม่เคยบอกทางแบบนี้เลย อีกอย่างหนึ่งคือ หลักสำคัญแห่งพระศาสนาที่ท่านว่า เรื่องของขันธ์ นี่มันไม่ชัดแจ้งเลย ถ้าเราไม่หลอกตัวเองเสียอย่างเดียว เราก็จะเห็น ความคลุมเครือของ วิถีแห่งธรรมกาย ที่ ไม่ชัดเจนทุกๆ เรื่อง แต่ดันไปพ้องเข้ากับ วิถีของพราห์มณ์ อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของการเดินจักระ การเดินจิตกำหนดนั่งลง

    ไงครับผมเลยถามต่อว่าตกลงตอนคุณขันธ์ฝึกธรรมกายอย่างจริงจังหนะ
    ได้ถึงกายทิพย์ตามที่เขียนไว้ตามนั้นหรือครับผม
    นั่นแหละครับคำถามผมครับพี่
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณอัปปัญญา คุณต้องตั้งคำถามใหม่ เพราะคำถามแบบนั้นผมตอบอย่างไรก็ได้ จริงไหม

    ผมจะตอบว่า ผมได้กายพระอรหันต์ ก็ได้ คุณจะมารู้กับผมหรือ

    คุณ ต้องตั้งคำถาม ในเชิงที่แคบลงกว่านี้ อัน เกิดจากการปฏิบัติของคุณเอง แล้ว คุณไปถึงตรงไหน คุณก็ยกสิ่งที่คุณรุ้ ขึ้นมาถาม แล้ว ดูสภาวะนั้นเหมือนกันหรือไม่ คุณก็จะได้ทราบว่าผมรู้หรือไม่

    ทีนี้ ปัญหามันก็คือ ว่า เรื่องของธรรมกาย นั้น มันเป็นนิมิต มันก็เห็นไม่ตรงกัน แต่วิธีการ เขาระบุมาแล้ว คนที่ฝึกเขาก็น้อมเอานิมิต เช่นนั้น ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่เห็นนั้น อาจจะไม่เหมือนกัน

    นี่คือ เหตุผลว่าทำไมผมไม่ตอบคุณ ว่าผมได้อะไร
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ผมขอถามก่อนดีกว่า

    1.แล้วจำเป็นไหมครับที่ต้องเห็นกายทิพย์ ?
    2.การที่เห็นรูปๆ หนึ่งเกิดขึ้น สภาวะจิตนั้นมีเจตสิกที่มีหน้าที่ "น้อมเพื่อดู" หรือไม่ ?
    3.เจกสิกที่ทำหน้าที่น้อมเพื่อดู เพื่อเห็น เป็นเจกสิกในข่าย ความชอบใจหรือไม่ ?
    4.หากไม่ใช่ความชอบใจแล้ว ทำไมยังเห็นรูปได้ ทั้งๆที่ควรเห็นความว่าง ?
    5.หรือ จิตว่างจากการเห็นรูป ?
    6.หากตอบว่า จิตว่างจากการเห็นรูป คือ ไม่ได้ชอบใจในการเห็นรูป ดังนั้น ถามว่า
    จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเห็นรูปกายทิพย์ เห็น อย่างอื่นแทนได้หรือไม่ เพราะเห็นแล้ว
    ก็ว่างจากรูปใดๆได้เหมือนกัน เสมอกันด้วยสภาวะธรรมที่ ว่างจากรูป ไม่ใช่ การมีรูป
     
  5. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ไม่ได้เลี่ยงครับเพราะประเด็นตอนนี้คือผมสงสัยจังที่คุณบอกว่า
    สิ่งหนึ่งนี่น่าสนในคือ ผู้ปฏิบัติสายนี้ มีผู้สำเร็จบ้างไหมหรือมีแต่ผู้ที่คิดค้นวิชานี้เท่านั้น
    ถ้ามีมากมาย ก็แล้วไป นับว่าทางสายนี้เดินต่อได้
    ถ้าไม่มี ก็ต้องถามต่อว่า เพราะเหตุใด?


    เพราะผมได้ยินประโยคนี้จากคุณครั้งนี้ครั้งที่สองแล้ว
    ผมจึงอยากรู้ว่าคุณตัดสินว่าใครสำเร็จขั้นไหนได้ไง
    เลยถามตามที่ผ่านมาลองย้อนไปอ่านดูครับ
    ไม่ได้เลี่ยง ครับ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    1) จำเป็นไหมที่ต้องเห็นกายทิพย์

    ตอบว่า ไม่จำเป็นเลย เพราะ ภาพนั้นไม่ได้เป็นตัวบอกถึงสภาพกิเลสที่แท้จริง เพราะทุกวันนี้ผมจะนิมิตให้เห็นกาย แก้วของผมเองใสเท่าไรก็ได้ สว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ก้ได้

    2)การที่เห็นรูปๆ หนึ่งเกิดขึ้น สภาวะจิตนั้นมีเจตสิกที่มีหน้าที่ "น้อมเพื่อดู" หรือไม่ ?
    ตอบว่า ถูกต้อง ต้องน้อมไปเพื่อดู

    3)เจกสิกที่ทำหน้าที่น้อมเพื่อดู เพื่อเห็น เป็นเจกสิกในข่าย ความชอบใจหรือไม่ ?

    ตอบว่า ถูกต้อง เพราะชอบใจ จึงอยากดู แต่ธรรมจริงๆ มันต้องน้อมไปดู อสุภ คือ ความไม่สวยงามมันจึงจะเห็นว่า กิเลส และความหลงไหลเป็นอย่างไร

    4)หากไม่ใช่ความชอบใจแล้ว ทำไมยังเห็นรูปได้ ทั้งๆที่ควรเห็นความว่าง ?

    ตอบว่า ก็เพราะว่าเป็นความชอบใจ จึงเห็น

    5)หรือ จิตว่างจากการเห็นรูป ?

    ตอบว่า จิตว่างจากการเห็นรูป ได้ แต่ต้องว่างแล้ว จึงมองรูป แบบไม่ยึดติดด้วยอารมณ์
    แต่หากว่า กำหนดรูป เพื่อทำให้จิตว่างแล้ว เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า นามที่อยุ่ในใจนั้น เราไม่เคยเห็น และ ไม่เคยวาง

    6หากตอบว่า จิตว่างจากการเห็นรูป คือ ไม่ได้ชอบใจในการเห็นรูป ดังนั้น ถามว่า
    จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเห็นรูปกายทิพย์ เห็น อย่างอื่นแทนได้หรือไม่ เพราะเห็นแล้ว
    ก็ว่างจากรูปใดๆได้เหมือนกัน เสมอกันด้วยสภาวะธรรมที่ ว่างจากรูป ไม่ใช่ การมีรูป

    ตอบว่า ถ้าว่างจากการเห็นรูปแล้ว จะเห็นอะไรก็ว่าง ไม่จำเป็นต้องกายทิพย์
     
  7. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ผมตั้งคำถามถูกแล้วครับพี่เพราะผมอยากรู้ว่าที่คุณพี่เอามาอ้างว่าปฏิบัติมานั้นมันได้ผลตามที่ครูสอนจริง หรือคุณขันธ์ฝึกยังไม่ได้อะไรก็สรุปเอาเองแล้วมา
    บอกว่าฉันฝึกมาแล้ว มันไม่ดี ทั้งที่จริงๆแล้วทำยังไม่ได้ตามครูบอกแล้วรีบบอกว่ามันไม่ไช่กันแน่ไงครับพี่
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เดี๋ยวผมไปอ่าน กูเกิ้ลก่อนแล้ว สรุปมาให้ฟัง มีคนรู้มากมายเลย ไม่ยากนี่
    หรือว่า จะเอาตอนนี้หละ จะได้เขียนให้อ่านว่า แต่ละลำดับเป็นอย่างไร
    มันจะไปยากอะไร ก็วิธีธรรมกาย เขาก็บอกขั้นตอนมาให้ครบแล้ว จริงไหม
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    คุณ upanya ตอบคำถามใน #323 ของผมดีกว่า

    เผอิญ คุณขันธ์ ตอบมาก่อนแล้ว ก็มาดูกันว่า ผลจะแตกต่างอย่างไร

    ถ้าไม่แตกต่าง ก็เสมอกันด้วยธรรม

    ถ้าแตกต่างก็แปลว่าคุณ upanya มีอะไรที่เลิศกว่า

    * * * *
    คุณ สมถะ ก็ร่วมตอบได้นะครับ มาแสดงการพิจารณากัน ไม่เสียหาย นี้คือการแลกธรรม
    กัน เป็นการฝุ้งธรรม เสียหายก็จริงแต่ดีกว่าฝุ้งอย่างอื่น

    และคนที่วางตัวตนได้แล้วเท่านั้น ที่จะตอบได้ตรงความเป็นจริงจากใจ

    หากผู้ใดวางตัวตนไม่ได้ จะอายในการแสดงธรรมเท่าที่มี จะไม่มีความกล้าหาญทางธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2008
  10. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ผมประกาศไปแล้วว่า ผมยกเหตุผลได้ไม่ดี จึงไม่ต้องการสานต่อเรื่องนี้ เพราะมันไม่ใช่ธรรม
    คุณก็ตามจี้ผมอยู่ได้
    ถ้าผมบอกว่า พระธาตุที่เกิดจากพระอรหันต์จะมีพลังงานบางอย่างอยู่
    ถ้าเป็นของปลอมหรือของปุถุชนทั่วๆไปจะไม่มี
    แล้วพลังงานนั้นสามารถสัมผัสได้ คุณจะเชื่อไหม
    นี่คือเหตุผลที่ผมขี้เกียจแจงเรื่องนี้ต่อ มันไม่เกิดประโยชน์ในทางธรรม

    อีกประการหนึ่งคือ ครูบาอาจารย์เช่น หลวงตามหาบัว ท่านได้กล่าวรับรองว่าใครสำเร็จ เราควรเชื่อหลวงตาได้ไหม
    ประเด็นนี้เป็นเรื่องของศรัทธา
    ผมจึงไม่ต้องการสานต่อเรื่องนี้

    วกกลับมาทางธรรมดีกว่า
    กลับมาที่ประเด็นหลักของเราดีกว่า
    ว่า
    การปฏิบัติสายธรรมกาย บรรลุธรรม ได้อย่างไร
    คุณก็ตอบไม่ได้ แถไปเรื่อย พยายามมาจี้เรื่องพระธาตุ ใช้ปัญญาหน่อยสิท่าน
    คุณสรุปการปฏิบัติมาได้ไหมว่า วิปัสสนาแบบธรรมกาย ทำอย่างไร
    ละกิเลสได้อย่างไร
    อย่าโยนไปที่พระไตรปิฎก เพราะคำว่า ธรรมกายในพระไตรปิฎก มันต่างความหมายกับที่คุณคิดว่าเป็น
    ก่อนได้กายธรรม ต้องผ่านกายอรูปหรหมก่อนใช่ไหม เรื่องนี้หลวงพี่วัดพระธรรมกายบอกผมมา
    แต่ในตำราเน้นย้ำเสมอว่า รูปฌาณที่4 ก็เพียงพอแล้วสำหรับอรหัตตผล
    ไม่ต้องอุตริไปถึงอรูปพรหม

    แล้วนี่คุณจะกลับมาเข้าประเด็นได้หรือยังว่า
    วิปัสสนาแบบธรรมกายของคุณ ทำอย่าไง ละกิเลสได้อย่างไร
    ถ้าเป็นธรรมแท้ มันก็เห็นเหมือนกันนั่นแหล่ะ...
     
  11. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    การปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ เพื่อให้สิ้นชาติภพ ก็นับว่าประเสริฐ น่าสรรเสริญ ทางสายตรงเพื่อหลุดพ้น พุทธองค์กล่าวไว้ ก็มีสติฐาน 4 อันเป็นทางเดียว หลายท่านก็ทราบ ตำราก็ว่าไว้อย่างนั้น

    ส่วนการปฎิบัติทางอื่น ก็ดับทุกข์ได้ แต่เป็นแบบชั่วคราว และเป็นไปเพื่อสร้างชาติภพใหม่ เป็นทางเดินที่ล้าช้า

    มันขึ้นอยู่ว่า คุณอยากที่จะพ้นทุกข์อย่างจริงจังแค่ไหน ขึ้นกับว่าคุณเห็นภัยของวัฏสงสารแค่ไหน ขึ้นกับว่าคุณยังมีสิ่งร้อยรัดอยู่แค่ไหน ^-^
     
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แจ่มเลยคุณ จินนี่

    ก็ ตัวอยาก นั้นแหละ ที่จะยกเป็นองค์ธรรมขึ้นดู

    - การที่เราอยาก จนกระทั่งสามารถทำให้เกิดนิมิต ที่เหนือรูปธรรมดา เหตุนั้นเอง
    มันจึงมีกำลังมาก เพราะความยากตัวนี้ มีคุณกว่าความอยากมีอยากได้แบบคน
    ธรรมดาทั่วไป ทำให้ คนที่สร้างนิมิตหนึ่งขึ้นได้ ไม่ว่าจะฌาณชั้นไหน ก็ล้วนแต่
    มีคุณสมบัติประกอบผลของความอยาก มากกว่าความอยากของปุถุชน

    ดังนั้น เมื่อยกองค์ธรรมความอยากขึ้นพิจารณาว่า มีในเจตสิกเมื่อไหร่ ก็จะเห็น
    ว่าแท้จริงเป็นเพราะอำนาจตัณหา และอวิชชาที่ละเอียดกว่าบุคคลธรรมดานั่นเอง
    ที่เป็นเหตุปรุงเหล่านั้น

    พอละอยากตัวนั้น ก็จะเห็นว่า ทนไม่ได้ มันจะดึงเข้าไปทำสมาธิ ให้เห็นนิมิตนั้น
    อีก ก็จะเห็นอาการของจิตที่ควบคุมไม่ได้ จะละวางการเห็นนิมิตไม่ได้ จิตมันไม่
    ยอม ใจมันไม่ยอม คนที่ปฏิบัติจะเชื่อตามมัน แล้วยอมมัน แล้วนั่งลงเพื่อเห็นนิมิต

    บางคนก็นั่งจนเห็นนิมิตจนบ่อย แล้วก็พบว่าวันหนึ่ง หากไม่ได้ทำสมาธิเข้าฌาณไว้
    เป็นกำลังไว้บ่อยๆ นิมิตที่ชอบใจนั้นก็จะไม่ปรากฏ นี่ถ้าเท่าทันใจตัวเอง จะเห็นความ
    ขัดเคืองเกิดขึ้น พระพุทธองค์ก็ให้ดูตัวนี้ เพราะตัวนี้จะชี้ว่า มัตัณหาที่ละเอียดมาก
    ที่ยังดูไม่ทัน ฌาณ 4 ยังไม่สมบูรณ์นั่นเอง

    ฌาณ 4 ที่สมบูรณ์ คือ สภาวะจิตที่ปราศจากราคะทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปฌาณและอรูป
    ฌาณ เมื่อ ฌาณ 4 บริสุทธิถึงขีดสุด ไม่มีอะไรผลักดันให้เกิดราคะขึ้นแล้ว ก็พร้อมที่
    จะตัดละสังโยชน์ทั้งหมด เพราะนิพพาน ก็เข้าด้วยภาวะ ฌาณ 4

    ดังนั้น ไม่จำเป็นเท่าไหร่ ที่จะต้องไปดูรูป อรูป เพราะ รูป อรูป ในสภาะของคนธรรมดา
    ก็มีให้ดู ให้เป็น ดังนั้น สาวกส่วนมากก็เข้าถึงธรรมโดยที่อยู่ในภพมนุษย์ตลอดสายการ
    ปฏิบัติ อันนี้คือข้อเท็จจริงทั่วไป ไม่ใช่กล่าวขึ้นเพื่อให้โต้ว่า เพราะพวกเขาไม่รู้จักอยาก
    การมีคุณวิเศษ และที่เขาไม่ได้อยากมีคุณวิเศษ ก็เพราะศรัทธาเขาแน่วแน่กว่า (คือละ
    สงสัยว่าการเข้าถึงอรหัตถ์ผลนั้น ต้องมีคุณวิเศษหรือไม่ )
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แล้วการ พิจารณา ตัณหา ความอยาก อยู่ในบรรพไหนของสติปัฏฐานสูตร

    ก็อยู่ในขั้น ดูธรรม

    ดังนั้น หากผู้ใดยังไม่ได้ยก ตัณหา ความอยาก ขึ้นมาพิจารณา ก็อย่าพึ่ง
    กล่าวอ้างว่า ดูธรรมอยู่ ดูธรรมเป็น

    หากยังไม่เคยพิจารณาองค์ธรรม แล้วจะกล่าววาจาใดออกไปได้ว่า เห็นธรรม
     
  14. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อ้างอิงบุคคลสาม

    ผมขอถามก่อนดีกว่า

    1.แล้วจำเป็นไหมครับที่ต้องเห็นกายทิพย์ ?
    ตอบ ไม่จำเป็น แต่สามารถเห็นได้ด้วยสมาธิ ส่วนการฝึกให้เกิดนิมิตที่ต้องการนั้น บางครั้งต้องฝึกฝน ต้องแรกอาจเป็นการสร้าง แต่เมื่อมีการวางจิตได้ย่อมเข้าสู่นิมิตที่เป็นอัปนา คราวนี่นึกอยากจเห็นจึงทำได้ เหมือนกายหยาบจะเปิดตาดูถึงเห็นได้ ถ้าฝึกไม่ได้ ก็แค่คิดไปเอง

    2.การที่เห็นรูปๆ หนึ่งเกิดขึ้น สภาวะจิตนั้นมีเจตสิกที่มีหน้าที่ "น้อมเพื่อดู" หรือไม่ ?
    ตอบ น้อมไปดูอย่างไร เจตสิกที่ปรุงแต่งเพราะอยากดูอยากเห็น หรือน้อมดูด้วยความรู้สึกอยากเห็นอย่างไรเฉยๆ หรือมีรูปผ่านมาให้เห็นตามที่เขาสื่อกับคลื่นของเราได้ เหมือนคุณลืมตาอยู่ มีคนอยากให้เห็นก็มาปรากฏก็ได้

    3.เจกสิกที่ทำหน้าที่น้อมเพื่อดู เพื่อเห็น เป็นเจกสิกในข่าย ความชอบใจหรือไม่ ?
    ตอบ การเห็นมีหลายแบบ เพราะจิตต่างจากกายหยาบ การเห็นแบบนี้ไม่ได้ตีความว่าเห็นแบบตาคน จิตคิดสงสัย การเข้าไปเห้นด้วยนิมิตทางรูปมี แม้นแต่การคิดอะไรออก นั่นก็เรียกว่านิมิตทางนาม พวกวิปัสนาแบบฟุ้งซ่าน คิดนั่นนี่แบบนี้ก็เรียกนิมิต แต่เป้นนิมติทางนาม พวกติดนิมิตทางความคิดมี ฟุ้งซ่านน่ะ แต่โยนิโส นี่จะเป็นปัญญา นิมิตทางรูปก็ไม่ต่าง ของจริงมานี่คือจิตต้องว่าง เพราะมาอย่างปัญญา

    4.หากไม่ใช่ความชอบใจแล้ว ทำไมยังเห็นรูปได้ ทั้งๆที่ควรเห็นความว่าง ?
    ตอบ เพราะจิตเป็นตัวรู้ ต้องการความรู้ เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีกำลังมาก ไม่ว่าจะนิมิตรูป หรือนิมตนามเกิดขึ้นเพื่อจะหาความรู้

    5.หรือ จิตว่างจากการเห็นรูป ?
    ตอบ นิมิตนี่นอกจากทางรูปาทางนามแล้ว ยังมีนิมิตที่สร้างขึ้น และนิมิตที่เกิดขึ้นเอง การเห็นนิมิตที่เกิดขึ้นเอง มีหลากหลายมาก อธิบายคงไม่จบ ลองค้นดู

    6.หากตอบว่า จิตว่างจากการเห็นรูป คือ ไม่ได้ชอบใจในการเห็นรูป ดังนั้น ถามว่า
    จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเห็นรูปกายทิพย์ เห็น อย่างอื่นแทนได้หรือไม่ เพราะเห็นแล้ว
    ก็ว่างจากรูปใดๆได้เหมือนกัน เสมอกันด้วยสภาวะธรรมที่ ว่างจากรูป ไม่ใช่ การมีรูป
    ตอบ ได้ กายคตาสติ เป็นนิมิตที่เข้าไปเห็น ภายในร่างกายหลายระดับ แล้วแต่กำลังของจิต ธรรมกายก็เช่นกัน หากยังเป็นนิมิตที่สร้างขึ้น เห้นแบบข่มกิเลส ก็เห็นนิพพานพรหมได้ เพราะกิเลสข่ม คือเห้นกายอรหันต์แบบข่ม แต่ถ้าเป้นจริง กายอรหันต์จริง ก็ต้องเห้นจากพระอรหันต์จริงๆ หากไม่อยากเห็นอะไร ก็ตัดนิมิตไปให้หมด

    นิมิตทางนาม ก็นิมิตเหมือนกัน พวกปัญญา นี่ก็จะคิดจะนึกอะไรไปเรื่อย ถ้าเข้าทางมีประโยชน์มาก เพราะเป็นสัมมาปัญญา ถ้าไม่เข้าทาง ก็หลง ไม่ต่างจากนิมิตทางรูป

    ลองไปค้นวิปัสสนูกิเลส จะเข้าใจมากขึ้น

    denceedenceedencee
     
  15. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    ทำเลย อย่ามัวโม้

    denceedenceedencee
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ขอบพระคุณ ผู้หญิงนามแฝง เต้าเจี้ยว ที่กล้าตอบคำถาม
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ข้อนี้ ขอเสริมท่านเอกวีร์นิดหนึ่ง เพื่อความตรงและ คนอ่านจะได้ไม่เข้าใจผิด คือ เมื่อระลึกรู้ว่า จิตนั้นมีตัณหา จิตนั้นมีกิเลส
    นั้นคือ ขั้น จิตตานุปัสสนา บรรพที่3

    แต่ ถ้ายกตัณหา ยกกิเลสนั้นขึ้นมาพิจารณา อัน เห็นไตรลักษณ์ปรากฎ เห็นสมุทัยหรือ เหตุตัณหา นั้นแล้ว เรียกว่า ธรรมเกิด เป็น ธรรมนุปัสสนา

    คือ ธรรมปรากฎเมื่อใด ความเป็นจริง ปรากฎขึ้นในใจเมื่อใด นั่นคือ ธรรมานุปัสสนา

    ท่านเอกวีร์กล่าวชอบแล้ว
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เจ๊ เต้าเจี้ยว อยากมีส่วนร่วม ว่าอย่างนั้นเถอะ
    ทำเลยอย่ามัวโม้ ทำให้ได้เมื่อไร แล้ว ค่อยมาเถียงกับผมแล้วเมื่อนั้นผมจะ เต็มที่กับคุณอีกที
    เขาจึงเรียกว่า มวยถูกคู่ ถ้าัยังปฏิบัติไม่ได้ นี่ผมยังไม่อยากจะเถียงด้วย

    ไป ดำเนินการ เรื่อง มหาสติปัฎฐานให้ผ่าน แล้ว เกิดธรรมใดๆ ปรากฎในใจตน ไม่ใช่เข้าใจนะ เอาให้เห็นปรากฎกับตนแล้ว เอามาเผื่อแผ่คนอื่น ให้ได้ นั้นแหละ จึงจะเรียกว่า นักปฏิบัติธรรม
    แต่ถ้าเข้าใจอย่างเดียว นี่ไม่พอ
     
  19. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ธรรมกายไม่ใช่ กรรมฐานที่ง่าย
    ต้องใช้กำลังสมาธิขั้นอัปนา พวกปัญญาไม่กำกับให้ดี ก็หลงได้
    ผู้ทำได้ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา กราบหลวงปู่สด มา ณ ที่นี้ ...
     
  20. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    เชิญที่วัดหลวงพ่อสดฯ ตอนนี้หลวงพ่อวีระ ผู้รับถ่ายทอดวิชชาทั้งหมดจากหลวงปู่สดท่านชราภาพมากแล้ว ไม่สะดวกคุย นอกจากใครที่ได้แล้วท่านอาจสงเคราะห์ให้


    ผมกล่าวมามากแล้ว หลายปีแล้ว ไม่ว่าแบบสั้นๆ ยาวๆ แบบไม่ต้องคัดลอกของใครมา ไม่มีเวลา และไม่อยู่ในโอกาสที่จะสนทนามาก

    เมื่อครูท่านสั่งให้ระงับยับยั้งตัวเองไว้ก่อน ผมก็ไม่ควรฝืน


    หากอยากทราบต้องทำเอง ไม่ใช่อยากทราบเพื่อหาข้อแย้ง เอาชนะตามทัศนะคติตน โดยยังไม่ลองทำ


    ผมแค่ปลายแถว อย่ามาถามผมเลย ไปเจอของจริงเลยครับ

    หลวงป๋า วัดหลวงพ่อสดฯ ท่านเมตตา และไม่ถือตัว เชิญโดยตรงครับ

    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    หัวข้อสำรวจตนเอง
    สำหรับผู้ถึงธรรมกายแล้ว


    เป็นเพียง หัวข้อ เบื้องต้น และ เบื้องกลาง คือ คือมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนววิชชาธรรมกายเท่านั้น

    ยังมีข้อมูลสำรวจอีกมาก จะแจกแก่ผู้ไปต่อวิชชาขั้นสูงกับ พระราชพรหมเถระ ( วีระ คณุตตโม ) ผู้สืบทอดวิชชาธรรมกายตรงจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ ) และ
    เป็น อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ฯ หรือ ต่อวิชชาฯกับท่านเจ้าอาวาส วัดหลวงพ่อสดฯ ราชบุรี
    หรือ โครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย วัดสระเกศ(ภูเขาทอง) โดยตรง


    เบื้องต้น

    1. ปั่จจุบันนี้ ท่านเห็นธรรมกายใสและชัดเจนเพียงใด?
    ( ) ใสชัดดีมาก ( ) ใสชัดพอประมาณ
    ( ) ใสชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ( ) ไม่ชัดเลย

    2. เคยได้รับการต่อ 18 กาย เมื่อใด

    ( ) วันที่........................ ( ) ไม่เคย

    3. เคยรับการฝึกพิสดารกาย ซ้อนสับทับทวี แล้วหรือยัง ?

    ( ) เคยแล้วทำตามทันได้หมด ( ) เคยแล้ว แต่ทำตามไม่คล่อง

    ( ) ยังไม่เคย หรือเคยแล้วแต่ทำตามไม่ได้

    4. เคยฝึก พิสดารกายสุดหยาบสุดละเอียด เป็น เถา ชุด ชั้น
    ตอน ภาค พืด แล้วหรือยัง ?

    ( ) เคยแล้ว ทำตามได้หมด ( ) เคยแล้ว ทำตามได้บ้าง
    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแล้วแต่ทำตามไม่ได้

    5. เคยฝึกพิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา

    เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เป็นณ ภายในและภายนอกโดยส่วนรวม โดยน้อมเข้าสู่ " อตีตังสญาณ" ดูขันธ์ของตนเองและผู้อื่นในอดีต และ น้อมเข้าสู่ อนาคตังสญาณ ดูขันธ์ของตนเองและผู้อื่นไปจนถึงวันตาย เพื่อให้เห็น " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา "
    และเป็น มรณัสสติ เครื่องเตือนใจหรือยัง ?

    ( ) เคยแล้วเห็นตามทันหมด ( ) เคยแล้วเห็นตามทันบ้าง

    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแต่ยังตามไม่ทัน


    7. เคยฝึกพิจารณาเห็นธรรมในธรรมต่อไปนี้หรือไม่ ( กาตรงที่เคย)


    ( ) ขันธ์ 5 ( ) อายตนะ 12 ( ) ธาตุ 18 ( ) อินทรีย์ 22

    ( ) อริยสัจจ์ 4 ( ) ปฏิจจสมุปบาทธรรม 12


    8. เคยฝึก " เจริญฌาณสมาบัติพิจารณาอริยสัจจ์ 4 " แล้วหรือยัง?
    ( ) เคยแล้ว ทำตามทันหมด ( ) เคยแล้วทำตามทันบ้างไม่ทันบ้าง

    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแต่ทำไม่ได้


    9. ท่านทราบพระประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้เจริญภาวนา อบรมมหาสติปัฏฐาน 4 แล้วหรือยัง ?

    ( ) ทราบ คือ.......................................................

    ( ) พอทราบ คือ.....................................................

    ( ) ไม่ทราบ






    ************จบการสำรวจเบื้องต้น*******
    <!-- / message -->


    เบื้องกลาง




    1 . เคยฝึก เห็นจิตในจิต ( ว่ามีสมาธิหรือไม่มี ) และ

    เห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ 5 แล้วเจริญ
    ภาวนาสมาธิเพื่อยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ วิตก วิจาร ปิติ
    สุข และ เอกกัคคตารมณ์ เพื่อกำจัดนิวรณ์อันเป็นเบื้องต้น
    ของรูปฌาณ หรือยัง?

    ( ) เคยแล้วเห็นตามได้หมด
    ( ) เคยแล้วเห็นตามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
    ( ) ยังไม่เคยหรือเคยแต่ยังตามไม่ทัน

    2. เคยฝึกพิจารณาเห็น " ธาตุ " ละเอียดทั้ง 6
    และ " ธรรม " ( กลาง ขาว ดำ ) และ ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด
    ดวง รู้

    และฝึกพิจารณาเห็นกิเลส ( ธรรมภาคขาว และภาคดำ )

    ที่เข้ามาผสมให้สีน้ำเลี้ยงของจิตขุ่นมัวอย่างไรหรือยัง?

    3. เคยฝึกพิจารณา เห็นกายในกาย ในส่วนที่เป็น กายคตาสติ

    เพื่อพิจารณาเห็นส่วนต่างๆของรางกาย (ธาตุหยาบ) ทั้ง ณ ภายใน (ของตนเอง) และภายนอก(คนอื่น) ให้เห็นตามสภาพที่เป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่ไม่งาม ( อสุภะกรรมฐาน ) หรือยัง?

    ( ) เคยแล้วเห็นตามได้หมด
    ( ) เคยแล้วเห็นตามได้บ้างไม่ได้บ้าง
    ( ) ยังไม่เคย หรือ เคยแต่ยังตามไม่ทัน


    4. เคยฝึกพิจารณา เห็นจิตในจิต เป็นทั้ง ณ ภายในและภายนอก กล่าวคือ พิจารณาเห็น " อนุสัยกิเลส" ( ปฏิฆานุสัย ) ในเห็น จำ คิด รู้ ของแต่ละกายโลกียะ
    แล้วพิสดารกายสุดหยาบสุดละเอียด เพื่อดับ(อนุสัยกิเลส) สมุทัยแล้วหรือยัง?
    ( ) เคยแล้วเห็นตามได้หมด
    ( ) เคยแล้วเห็น ตามได้บ้างไม่ได้บ้าง
    ( ) ยังไม่เคย หรือเคยแต่ยังตามไม่ทัน


    5. เคยฝึก ตรวจดูภพ ตรวจจักรวาล ( ดูอรูปพรหม รูปพรหม
    เทพยดา และเปรต สัตว์นรก อสุรกาย ถึงสัตว์ในโลกันตร์ ) เพื่อพิจารณาเห็น ................................ ความปรุงแต่งของสังขารชื่อว่า ปุญญาภิสังขาร - อปุญญาภิสังขาร และ อเนญชาภิสังขาร...............

    ของสัตว์โลกทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ทั้งหลาย

    แ ล้วพิจารณาเข้าสู่ " ไตรลักษณ์ " คือพิจารณาให้เห็นสภาวะของสังขารขันธ์ทั้งหลายในภพสามนี้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไร

    หรือยัง ?

    ( ) เคยแล้วแต่เห็นตามไม่หมด
    ( ) เคยแล้วแต่เห็นตามทันบ้างไม่ทันบ้าง

    ( ) ยังไม่เคยหรือเคยแต่ยังตามไม่ทัน


    ฯล ฯ


    ข้อมูลสำรวจตน ฯ มากกว่านี้จะแจกเพื่อสำรวจสำหรับผู้ไปต่อวิชชาฯ

    ซึ่งยังไม่อาจเปิดเผยมากกว่านี้

    นำมาเปิดเผยบางส่วน เพื่อให้ทราบว่า การเจริญธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกาย มีเนื้อหาที่เป็นทั้งสมถ-วิปัสสนา

    ..................................เจริญธรรมทุกท่าน..............................







    เด็ก เข้าถึงง่าย แต่ก็เสื่อมง่าย

    เด็ก มีสติ สัมปชัญญะอ่อน ถูกจูงรู้จูงญาณง่าย
    เมื่อเด็กยังไม่ได้ผ่านการอบรมฝึกฝนสติ-สัมปชัญญะให้กล้าแข็ง
    ด้วยการอบรมสติปัฏฐาน 4
    ถ้าใช้เด็กดูนอกลู่ นอกทางบ่อยเข้า......จิตจะค่อยๆออกศูนย์

    ถูกอกุศล ค่อยๆปนเป็นเข้ามา และธรรมกายที่บริสุทธิ์จะดับไป

    จะเหลือแต่ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา.......พึงระวัง








    ......ในการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายสมัยหลวงพ่อสด ฯ ท่านยังครองกายเนื้ออยู่นั้น ....

    บางท่านแม้นเป็น ธรรมกาย แล้ว หลวงพ่อสดฯ ท่านก็ไม่ถ่ายทอดวิชชาฯให้

    ท่านอาจทราบว่า บางคนถ่ายทอดให้ไปแล้ว แทนที่จะเป็นผลดี ก็อาจไม่ดี คือ

    ภายนอกอาจขาว แต่ภายในไม่ขาวใส (.......)สิ่งไม่ดี จำแลง หรือส่งสายของเขามา

    หรือไม่ก็ถูกหลอกให้เป็นฐานของภาคอกุศลไป

    ...............ลูกศิษย์แต่ละกันในสมัยนั้น บารมีระดับไม่ธรรมดา เก่งกันคนละด้าน

    การสืบทอดจะรับได้ต่างกันบางจุด...

    ดังนั้น จึงต้องเจริญมหาสติปัฏฐาน 4 ให้แก่กล้าก่อน จึงก้าวขึ้นสูงต่อไป

    ต้องรู้ทันกิเลสก่อน ดับกิเลสได้ก่อน


    จะได้ไม่ไปเป็นฐานให้ภาคอกุศล ในภายหลัง



    บางท่านเป็นผู้มุ่งโพธิญาณ.....วิชชาฯที่ทรง ยังเป็นโลกิยะ ยิ่งต้องระมัดระวัง

    ชำระจิตด้วยมหาสติปัฏฐาน 4 ให้มาก ....เพราะถ้าพลาดมา อาจนำพาผู้อื่น
    พลาดไปด้วย




    ขอบคุณที่ให้โอกาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...