วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ถ้าอย่านั้นผมจะลองตอบปัญหาบางเรื่องที่ท่านถามมาดูนะครับ


    เรื่องของกายในกายนั้น กายมนุษย์หยาบมี ใจ จิต วิญญาณ เห็น จำ คิด รู้ อย่างไรกายละเอียดเขาก็มีอย่างนั้นเช่นกัน มิใช่เพียงแค่รูปนิมิต กายในกายมีดังนี้นะครับ กายมนุษย์หยาบ(ที่นั่งอ่านอยู่นี่) กายมนุษย์ละเอียด(กายฝัน) กายทิพย์(หยาบ-ละเอียด) กายพรหม(หยาบ-ละเอียด) กายอรูปพรหม(หยาบ-ละเอียด) กายธรรมโคตรภู(หยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระโสดา(หยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระสกิทาคามี(หยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระอนาคามี(หยาบ-ละเอียด) กายธรรมพระอรหัต(หยาบ-ละเอียด) แต่ละกายก็คือกายในกายของเรา มีใจ จิต วิญญาณ เห็น จำ คิด รู้ มีอายตนะละเอียดเข้าไปเป็นลำดับ ยกตัวอย่าง ขณะนี้เราเข้ากายในกายถึงกายทิพย์ เราก็เอาใจของเรา(กายมนุษย์หยาบ)ซ้อนลงไปในดวงธรรม(ใจ)ของกายทิพย์ หยุด นิ่ง ให้ได้จริง ตอนนี้ความรู้สึกคือเห็น จำ คิด รู้ ของเราก็แนบแน่นเป็นอันเดียวกับกายทิพย์ เราก็ใช้กายทิพย์นี้ไปดูภพเทวดา ไปพบปะพูดจาปราศัยกับเขาได้ กายในกายอื่นๆ ก็ทำได้เช่นกัน ถ้าเราจะไปภพพรหม ภพอรูปพรหม เราก็ใช้กายพรหม กายอรูปพรหมในการเป็นสื่อให้เห็นภพภูมิละเอียดเหล่านั้น กายในกายเหล่านี้มีความรู้สึกนึกคิดและมีคุณธรรมคุณสมบัติประจำกายนั้นๆ เช่นกายทิพย์ก็ต้องมีคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดาคือเบญจศีลเบญจธรรมแลหิริโอปตัปปะอยู่เป็นคุณสมบัติประจำกาย เมื่อเราหยุด นิ่ง ไปที่ดวงธรรม(ใจ)ของกายทิพย์เราก็รับรู้คุณธรรมเหล่านี้ได้ กายอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เรื่องเช่นนี้ท่านต้องปฏิบัติให้เข้าถึงเองความเข้าใจก็จักตรงกันได้ทุกคน เรื่องกายในกายนี้คนเรามีกายในกายซ้อนกันอยู่ 18 กายทุกคน เพียงแต่เราไม่สามารถไปรู้ไปเห็นได้ แต่มีทุกคน แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน กายนอกกายเดียวที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นสัตว์ กายในกายตั้งแต่กายฝันเขาเป็นคน เพียงแต่กายในกายเขาไม่ขาวไม่ใสขุ่นมัวด้วยอำนาจของอกุศลกรรมห่อหุ้มใจเท่านั้นเอง ผู้ฝึกธรรมกายเดินวิชชาจนชำนาญสามารถไปตรวจสอบเรื่องนี้ได้ทุกคน ดังนั้นเรื่องกายในกายนี้เป็นเรื่องผู้ฝึกผู้เข้าถึงได้จักเข้าใจได้ไม่ยากเลย ท่านที่ทำไม่ได้อาจจะยังสงสัยอยู่มาก เพราะเป็นเรื่องของการเข้าถึงนะครับ ที่เล่านี่โดยย่อเท่านั้น มิอาจกล่าวรายละเอียดได้ทั้งหมด


    สำหรับเรื่องการฝึกเจริญสติปัฏฐาน ๔ พิจารณาพระไตรลักษณ์ และอริยสัจ นั้น เรื่องนี้ไม่ยาก พระไตรปิฎกอธิบายอย่างไรเราก็ฝึกตามนั้น แต่เราไม่ฝึกเฉพาะกายมนุษย์หยาบกายนี้กายเดียว เราฝึกไปทุกกายทั้ง 18 กายนั่นแหละ เราพิจารณาสติปัฏฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่ละเอียดเข้าไปนั้น เราจะทราบชัดถึงกิเลสและอารมณ์ต่างๆ ที่กายละเอียดเหล่านั้นรับเข้ามาทำให้เราทราบว่ากิเลสต่างๆ เขาทำงานอย่างไรในกายเหล่านั้น กายแต่ละกายมีกิเลสมากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วเราจะคอยระวังแก้ไขอย่างไร เรื่องสติปัฏฐาน ๔ นี้ผมได้นำเสนอให้อ่านแล้วในความเห็นข้างบนโปรดอ่านทวนเองเอง


    การพิจารณาพระไตรลักษณ์นั้นก็พิจารณาไปตามความรู้ในพระไตรปิฎก เพียงแต่เราจักทราบความละเอียดยิ่งขึ้นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาทำงานอย่างไร วิชชาธรรมกายสาวหาเหตุว่าทำไมกายในกายและสรรพสิ่งจึงตกอยู่ในสภาพของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตรงนี้ท่านที่ฝึกการพิจารณาพระไตรลักษณ์และพิจารณาขันธ์ ๕ จักทราบได้เป็นอย่างดี เมื่อพิจารณาพระไตรลักษณ์จนเบื่อหน่ายก็ยกอริยสัจขึ้นมาพิจารณาทบไปทวนมาจนเกิดปัญญา เห็นจริงไปตามสภาวธรรมเหล่านั้นตามแต่กำลังวาสนาบารมีและความเพียร


    วิชชาธรรมกายนั้นต้องฝึกแบบทั้งรู้ทั้งเห็น การเห็นนั้นต้องใช้ตาละเอียดไม่ใช่ตาเนื้อ หรือเรียกว่าญาณทัสสนะนั่นเอง อุปมาดังว่า เรามีอาการท้องอืด การฝึกแบบใช้ปัญญาพิจารณาก็อาจจะรับรู้อาการ สาวหาทางดับทุกข์คือท้องอืดนั้นไป คือดูเพียงอาการภายนอกและอารมณ์ใจที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับวิชชาธรรมกายเมื่อเรามีอาการเช่นนี้ ท่านให้เราไปเห็นถึงขบวนการนั้นๆ ให้เห็นชัดเจนว่าทำไมเราจึงท้องอืดมีอะไรอยู่ในท้องของเรา แล้วมันทำอย่างไรให้เราเกิดอาการเช่นนี้ แล้วจึงแก้ไขจัดการดับทุกข์นั้นๆ ต่อไป นั่นคือต้องรู้และเห็นไปพร้อมๆ กัน ความรู้แบบนี้เรียกว่าสาวเหตุในเหตุไปจนพบเหตุที่แท้จริงแล้วจึงไปดับทุกข์ที่เหตุนั้นๆ


    การเรียนวิชชาธรรมกายอย่างถูกต้อง จะต้องกำจัดทุกข์ กำจัดภัย กำจัดโรค และกำจัดอวิชชาได้จริงจึงจะตรงกับหลักความรู้ทางวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำนะครับ


    ที่กล่าวมานี่ไม่ใช่ต้องการอวดแต่อธิบายตามความที่ท่านตั้งคำถาม แต่ก็อธิบายแบบย่อๆ เท่านั้น เพราะเป็นเรื่องของภาคปฏิบัติท่านที่ไม่มีประสบการณ์ทางวิชชาธรรมกายอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย และถ้าอธิบายมากกว่านี้เกรงว่าท่านอาจไปตีความจนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ผมเองมีได้เก่งกาจอะไร เพียงแต่พอมีประสบการณ์และเรียนรู้แบบเดินหน้าต่อไปไม่ถอยหลังกลับ และโชคดีที่ได้รับรู้จากท่านผู้เชี่ยวชาญกว่าเราคอยแนะนำ เราจึงได้รับรู้มาบ้างตามสมควรนะครับ
     
  2. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715

    นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


    เกินไปแล้ว
     
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    ลงกรุงเทพฯคราวหน้า นัดเจอกันที่วัดปากน้ำนะครับ

    วงศกร 084 4838975 ไม่ต้องคุยมาก ลงภาคปฏิบัติกันเลย
    -
     
  4. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ที่ตอบมาอย่างนี้ก็สรุปว่าคุณขันธ์ก็ไม่ได้ผลอะไรจากการปฏิบัติมาใช่ มั๊ย ครับ
     
  5. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ผมจะชี้ให้ดูแบบที่คุณอับปัญญาจี้ผมนะ

    คุณโอมรู้ได้ยังไงว่าของจริง ไม่ใช่ของเก๊

    เห็นไหมว่า มันสรุปไม่ลง

    ดังนั้น เราจึงควรสนทนาไปที่สภาวะธรรมโดยตรง
    ว่าพิจารณาธรรมอย่างไร ละกิเลสอย่างไร มันถึงจะเกิดประโยชน์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2008
  6. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697


    พอกันจริงๆ ศิษย์จารย์คู่นี้ เหอๆๆๆ
    แล้วก็ขยันชมกันเองอยู่นั่น ยางอาย.. ฝึกไว้บ้าง
    แล้วนี่ คราวก่อน บอกเราเป็นอริยะ เปลี่ยนใจอีกแล้วเหรอ !!


    denceedenceedencee
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2008
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


    • ทราบแล้วต้องตอบแบบนี้ ถึงบอกว่า พูดไปก็ไม่จบ
    ผมจบที่ตัวผมเอง ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ



    มีอะไรต้องทำอีกมากครับ
     
  8. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ถ้าท่านจะถามเรื่องของการฝึกวิชชาธรรมกาย ก็ตั้งคำถามทีละข้อทีละเรื่อง การตอบนั้นจะตอบเท่าที่ควรตอบเท่านั้น เพราะวิชชาธรรมกายเป็นการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติแล้วไปรู้ไปเห็นเองจะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ยังมีเรื่องมากมายที่เขาไม่พูดคุยกันเพราะท่านที่ไม่เคยได้ฝึกวิชชาธรรมของจริงหรือบางท่านเพียงแค่เคยฝึกเบื้องต้นได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างก็ไม่อาจจะเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายได้ ดังนั้นท่านต้องเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมและผลของการปฏิบัติธรรมนั้นเขาไม่เอามาอวดกัน ผมยืนยันได้ว่า ในยุคหลวงพ่อสดท่านเก่งอย่างไร ลูกศิษย์เก่งอย่างไร ยุคนี้ก็ยังมีผู้เข้าถึงวิชชาธรรมกายจริงทำได้อยู่ทุกหลักสูตรความรู้ตามนั้น เพียงแต่ยุคนี้เขาไม่เปิดเผยกันมากนัก แต่ความรู้ภาคปริยัติของวิชชาธรรมกายเขาเปิดเผยมากมายแล้วนะครับ


     
  9. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ข้ออื่นๆนั้นจะมีผู้รู้มาตอบให้ครับแต่ผู้ไม่รู้อย่างผมอยากทราบเท่านั้นว่า
    คุณเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินความเป็นอริยะบุคคล

    ที่บอกเรื่องพลังงานนั่นหรือครับ แล้วพลังงานที่ว่ามันถูกปรุงแต่งได้ไม่ใช่หรือ
    ทำไมคุณถึงเชื่อได้

    คุณก็ใช้ศรัทธาในการเชื่อเช่นกันนี่ครับ
     
  10. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    อธิบายไปคุณวิมุตติจะเข้าใจหรือครับ ผมว่าไม่นะ เพราะพื้นฐานต่างกัน

    เหมือนโจทย์คณิตศาตร์ วิธีการแก้โจทย์มีหลายวิธี
    แต่จะอธิบายการแก้ด้วยการใช้สูตรอินทิเกรท ให้กับคนที่เพิ่งเรียนเรื่องลิมิตฟัง
    มันก็ฟังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะลิมิตจะเป็นขั้นตอน แต่อินทิเกรทจะเป็นอีกอย่าง
    ได้แต่บอกว่าทำได้แล้วกัน ได้คำตอบเหมือนกันด้วย
     
  11. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณสมถะอธิบายได้ดีตามหลักของธรรมกาย ก็ขอชื่นชมในความพยายาม

    มีอยู่หลายประเด็นที่ขัดแย้ง
    เช่น กายในกาย
    ถ้ามองตามหลักของสติปัฏฐาน กายในกาย ไม่ใช่กายที่ซ้อนๆ กันเป็นชั้นๆ แบบนั้น
    แต่เป็นการเอาสติวางไว้ที่ฐานกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น เอาสติไปกำกับอยู่ที่ลมหายใจ
    หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ หายใจยาวรู้ หายใจสั้นรู้
    นี่คือการพิจารณากายในกายตามหลักของสติปัฏฐาน ซึ่ง กายลมก็คือกาย ที่อยู่ในกายใหญ่คือร่างกายทั้งหมด
    ในทำนองเดียวกัน จะเป็นกายอื่นๆ ก็ได้ เช่น มือ เท้า แต่ทั้งหมด ก็คือ กายย่อย ในกายใหญ่ หรือ กายในกาย
    ส่วน เวทนา จิต ธรรม ก็ทำนองเดียวกัน คือสติตามรู้ ส่วนย่อยในส่วนใหญ่
    เมื่อกำลังสติมาก ก็รู้ไปทั้งหมดพร้อมๆกันก็ได้ แล้วแต่ภูมิจิต

    เรื่องพิจารณาไตรลักษณ์ยังไม่ชัดนะ

    เรื่องการฝึกทั้งรู้ทั้งเห็น ในส่วนที่เห็น ต้องเห็นอะไรหรือ?
    ผมอ่านแล้วรู้สึกว่า คุณให้ใช้ตาละเอียดหรือตาทิพย์เห็น
    แต่ในการเห็นธรรม มันไม่ต้องมีตาอะไรไปเห็น มันเป็นความรู้สึกที่รู้ นั่นคือการเห็นด้วยตาธรรม
    การสาวหาเหตุ ยังดูเหมือนว่า สาวไม่ถึงตัณหานะ

    พอดีรีบ ขอตัวก่อน...ไว้ว่างๆ ค่อยมาต่อ
     
  12. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    โอเคครับ
    ผมคงเพิ่งเริ่มเรียนเรื่อง Limit
    ส่วนคุณกำลังจะจบเรื่อง Partial Integration แล้ว
    แถไปแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วครับท่าน...;k03
     
  13. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ดับกิเลส ในความหมายใด
    ดับตัวนี้ ไม่ใช่ดับอย่างประหาร เป็นดับด้วยสติปัญญาเท่าทัน


    ......ในการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายสมัยหลวงพ่อสด ฯ ท่านยังครองกายเนื้ออยู่นั้น ....

    บางท่านแม้นเป็น ธรรมกาย แล้ว หลวงพ่อสดฯ ท่านก็ไม่ถ่ายทอดวิชชาฯให้


    ท่านอาจทราบว่า บางคนถ่ายทอดให้ไปแล้ว แทนที่จะเป็นผลดี ก็อาจไม่ดี คือ

    ภายนอกอาจขาว แต่ภายในไม่ขาวใส (.......)สิ่งไม่ดี จำแลง หรือส่งสายของเขามา

    หรือไม่ก็ถูกหลอกให้เป็นฐานของภาคอกุศลไป

    ...............ลูกศิษย์แต่ละกันในสมัยนั้น บารมีระดับไม่ธรรมดา เก่งกันคนละด้าน

    การสืบทอดจะรับได้ต่างกันบางจุด...

    ดังนั้น จึงต้องเจริญมหาสติปัฏฐาน 4 ให้แก่กล้าก่อน จึงก้าวขึ้นสูงต่อไป

    ต้องรู้ทันกิเลสก่อน ดับกิเลสได้ก่อน


    จะได้ไม่ไปเป็นฐานให้ภาคอกุศล ในภายหลัง
     
  14. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    เฮ้อ... เรื่องกายในกายเหรอ มีมากมายเกินพรรณนา

    อานาปนสติ จะละเอียดกายลม
    ธรรมกาย จะละเอียดกายใน
    จตุธาตุวัฏฐานสี่ ก็ธาตุสี่

    ฯลฯ

    ไปละนะ
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตอบแบบสอบถามของผมดีกว่า

    1. เอาอติตังคญาณ ไปทำนาย พี่จอร์จบุช

    ก. จอร์จบุชเชื่อ ยอมเป็นศิษย์ ข. จอร์จบุชงง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ปล่อยไป
    ค. จอร์จบุชเชื่อ เชิญให้อยู่ต่อ ง. จอร์จบุชเชื่อสนิทใจ ไม่กล้าฆ่า เชิญไปนอนคุกใต้ดิน
    ( ผู้แสดงย่อมพ้น ไม่กลัวตาย จึงไม่ขัด และยอมอยู่คุกจนตาย )

    สิ่งที่วิเศษ ก็เพราะมันวิเศษในสายตาคนไม่รู้ แต่คิดว่านั้นวิเศษ

    สิ่งวิเศษ จะเป็นภัยของสังขาร อันมาจากอริยสัจจ 4 จึงไม่ควรแสดง

    หากงงว่า ทำไม่ถึงเป็นภัยจากสังขาร ก็ให้น้อมดูว่า เห็นเรา เห็นเขา ใช่ไหม
    ยังมีภาวะแยกเขาแยกเราใช่ไหม ถ้ายังแยก ย่อมเห็นสังขารคนอื่นเป็นของ
    คนอื่น เห็นสัญญาคนอื่นเป็นของคนอื่น

    หากว่าเห็นความเสมอกันด้วยจิต ด้วยขันธ์ ไม่มีเขา เรา ไม่มีขอบเขตแล้ว
    ก็จะเข้าใจว่า สัญญา เหล่านี้มีภัย ไม่ควรแสดง ไม่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งวิเศษ
    เสมอไป
     
  16. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ก็เหมือนที่คุณพี่อธิบายกายในกายข้างบนนั่นไงครับ
    มันเรียนไม่เหมือนกันอย่างนี้ จะอธิบายกันยังไง
    ไม่ได้แถ อย่างที่ว่าหรอกครับเพราะคนแถ ชัดๆมีให้ดูอยู่
    แตก็อย่างที่เห็นมันจะว่ากันไง
    กายในกายก็ไม่เหมือนกันแล้ว
     
  17. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    เรื่องการพิจารณาสติปัฏฐานผมกล่าวแล้วว่า พิจารณาไปตามพระไตรปิฎก แปลว่าเมื่อคุณจะพิจารณากายภายในแบบพิจารณาอวัยวะต่างๆนั้นสำหรับกายมนุษย์หยาบก็กระทำตามนั้น ส่วนกายอื่นๆ เราพิจารณาตามสภาวธรรมของกายนั้นๆ ผมกล่าวชัดแล้วว่าพิจารณาไปตามพระไตรปิฎกแปลว่า คุณพิจารณาอย่างไรล่ะวิชชาธรรมกายก็พิจารณาอย่างนั้น เพียงแต่มากกว่าหรือละเอียดกว่าในแง่ของพิจารณาทุกกายในกายและพิจารณาให้เกิดสติปัญญาและตามหลักสูตรที่พระไตรปิฎกท่านกล่าวไว้นั่นเอง


    จะให้กล่าวอย่างไรก็กล่าวชัดแล้วนะครับว่าเราพิจารณาเหมือนดังท่านอ้างนั่นแหละเพราะท่านพิจารณากายมนุษย์อย่างไรก็ผู้ฝึกธรรมกายก็พิจารณาอย่างนั้น ทีนี้บางท่านจะให้มองอนัตตาแบบไม่มีตัวไม่มีตน เห็นทุกอย่างว่างเปล่าแบบอันตรธานหายสูญ สำหรับวิชชาธรรมกายเมื่อเห็นว่าธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตนก็ปล่อยวางความยึดถือ โดยเข้าถึงสภาวะตามเป็นจริงว่าที่ว่าไม่ใช่ตนนั้นเพราะมิอาจบังคับบัญชาได้ตามแต่ใจต้องการยังมีอนิจจัง ทุกขัง อยู่ในความไม่ใช่ตนนั้น จะเห็นกายในกายหรือตนใดก็มองว่าไม่ควรยึดถือในกายหรือตนที่ตกอยู่ในกระแสโลกียะนั้นปล่อยความยึดถือเสีย พิจารณาให้เห็นจริง ทีนี้คนเห็นกับคนไม่เห็นจะให้คนเห็นบอกกับคนไม่เห็นก็อุปมาเหมือนคนตาบอดจะให้คนตาดีบอกว่าสีแดงเป็นอย่างนี้นะ คนตาบอดก็บอกว่าฉันนึกไม่ออกเพราะฉันไม่เคยเห็น ฉันได้แต่สัมผัสรับรู้ว่ามันมีความรู้สึกตามที่สัมผัสได้อย่างนั้นอย่างนี้ คนตาดีเขาทั้งสัมผัสได้และเห็นได้ด้วยนั่นเอง แปลว่าคุณพิจารณาด้วยปัญญาในภาควิปัสสนาอย่างไรวิชชาธรรมกายก็พิจารณาได้อย่างนั้นแต่ที่เพิ่มเติมคือ มันเห็นขบวนการเห็นภาพของสิ่งที่ละเอียดที่สุดจนเรากล่าวว่าเป็นนามธรรม ภาษาวิชชาธรรมกายเขาเรียกว่าอะไรที่เราเรียกว่านามธรรมเพราะมันละเอียดเกินประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ แต่มันหยาบเมื่อให้ธรรมจักษุคือตา(ญาณทัสสนะ)ธรรมกายรับรู้นั่นเอง คุณต้องเข้าใจว่าตาทิพย์รับรู้ได้เฉพาะของทิพย์ พุทธจักษุจึงจะเห็นรูปนามตามเป็นจริงได้ สมัยก่อนเวลาเราป่วยเรากล่าวว่าเราป่วยไข้เพราะลมเพราะฝน แต่พอยุคนี้เรามีกล้องขยายให้เห็นว่าที่เราป่วยเป็นไข้เพราะมันมีตัวเชื้อโรค หมอเขาก็เอายาไปจัดการที่ตัวเชื้อโรคนั้นเลย ถ้าเรายังเชื่อแบบเดิมเพราะเราไม่รู้ว่าป่วยเป็นไข้นี้มันมีตัวเชื้อไวรัสทำให้ป่วย เราก็คิดแต่ที่เราสัมผัสได้ว่า เพราะถูกลมหนาวแรงฝนตกหนักฉันหนาวฉันเปียกฝนฉันจึงป่วย แปลว่าสาวหาเหตุไม่ถึงต้นจริง จึงพอบรรเทาทุกข์ได้บ้างแต่ไม่เห็นตัวที่ทำให้ทุกข์ แต่วิชชาธรรมกายต้องเห็นถึงขั้นเหตุแห่งทุกข์ที่เป็นกระบวนการเช่นนี้ มันจึงดูพิสดารมากมายนักสำหรับนักวิปัสสนาที่คิดว่าตนป่วยเพราะลมเพราะฝนนั่นแหละครับ นี่ยกตัวอย่างอุปมาให้ฟังนะครับ


    ผมเองขอกล่าวเพิ่มเติมอีกนิด ท่านเห็นไหมครับ ยิ่งเราพูดกันท่านจะยิ่งไม่เข้าใจหรือมองไม่ออก เพราะท่านไม่เคยมีประสบการณ์ วิชชาธรรมกายไม่ใช่เรื่องนึกคิดเดาเอาเอง แต่เป็นเรื่องที่ต้องเห็นของจริงแล้วจึงรู้ แล้วรู้ตรงกันหมด เพราะเหตุในเหตุมันมีกระบวนการเช่นไรก็เห็นได้ตรงกันหมด ยกตัวอย่างอีกนิด สมมติว่าเรารับรู้มาว่าโรงงานทอผ้าแห่งนี้เขาทอผ้าส่งออกอย่างนั้นอย่างนี้ ใช้ผ้าแบบไหน ผลิตได้วันละเท่าไร หน้าตาโรงงานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เรารู้มาจากข้อมูลที่หามาได้ เช่นจากการอ่านหนังสือ จากผู้รู้อื่น หรือจากการหาข้อมูลอื่นๆ ของเรา และจากความรู้สึกของเรา แต่เราไม่เคยเข้าไปในโรงงานนั้นจริงๆ เลยสักครั้ง สิ่งที่เราคิดว่ารู้แล้วพอไปเห็นเข้าจริงความรู้นั้นอาจมีถูกสัก 20 % ที่เหลืออีก 80% เราต้องไปเห็นเอง นั่แหละเขาเรียกว่าเห็นแล้วจึงรู้แจ้ง ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าจะรู้แจ้งก็ต้อวงเห็นจริงด้วยนั่นเอง


    ดังนั้นการจะพูดกันในเรื่องการฝึกวิชชาธรรมกายให้ผู้มีอคติฟังก็ดี ผู้ไม่เคยฝึกฟังก็ดี ผู้ไม่ใส่ใจฟังก็ดี ท่านจะไม่มีทางเข้าใจได้ตรงตามความจริงที่ผมพยายามนำเสนอได้เลย แปลว่าเราไม่ควรพูดมากในจุดนี้อีก เพราะยิ่งพูดท่านก็ยิ่งไม่เข้าใจ ขอแต่ให้ท่านรับรู้ไว้ว่า วิชชาธรรมกายไม่ใช่เรื่องของติดนิมิต แต่เป็นเรื่องของกการเข้าถึงสื่อการเห็นการรู้ การเห็นกายในกายเพื่อเราจะได้เมีญาณทัสสนะที่ละเอียดไปตามลำดับตามความละเอียดของกายนั้นๆ ตามี 5 ตาละเอียดเข้าไป ไม่ใช่มีแค่ตาทิพย์ ถ้ามีแค่ตาทิพย์แปลว่าโลกของท่านมีเพียงโลกมนุษย์กับโลกทิพย์ นั่นมันเป็นการแบ่งที่หยาบเกินไป ภพภูมิมีความละเอียดมากกว่านั้น โกลียภูมิก็ใช้ญาณทัสสนนะอย่างหนึ่ง โลกุตตรภูมิต้องละเอียดกว่านั้น ปัญญาก็มีเป็นชั้นๆ เข้าไป สุดท้ายก็เอามากำจัดกิเลสนั่นแลเพียงแต่กำจัดให้ถึงเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงได้ระดับใดเท่านั้น


    เอาล่ะครับ ผมไม่ติดใจที่บางท่านยังไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจเพราะท่านฝึกมาอย่างหนึ่ง ซึ่งผมเองหรือแม้แต่เพื่อนๆ ก็เคยฝึกเคยปฏิบัติมาในสำนักอื่นๆ ก็เคยฝึกมาบ้างแล้ว ไม่ใช่เกิดมาก็มาฝึกธรรมกายเลย จึงพอเข้าใจได้ว่าท่านคิดอย่างไร และท่านจะเข้าใจที่ผมพูดได้แค่ไหน ผมเคารพในปัญญาและประสบการณ์ของท่าน แต่เรื่องของการปฏิบัติท่านโปรดถามตัวเองเถิดว่าท่านเห็นกระบวนการของกิเลสที่อุปมาดังตัวไวรัสที่ทำให้ท่านป่วยไข้ได้หรือยัง มันมีรูปร่างหน้าตาอย่าไร มันทำงานอยู่ในใจท่านอย่างไร ดูให้เห็นตัวมันกระบวนการของมัน ไม่ใช่ไปจับแค่ความรู้สึกว่าฉันป่วยเพราะลมแรงเพราะตากฝนเท่านั้นนะครับ


     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ฉลาดไปหมด ที่ถามแบบนี้
    ผมจะถามคุณกลับไปว่า จะเอาผลเรื่องอะไรหละครับ ถ้าจะเอาผลของธรรมกาย ผมก็ไม่มีให้ เพราะมันไม่มีผล
    แต่ถ้าจะเอาผล ด้าน วิปัสสนาผมมีผลให้

    ถ้าจะถามว่า ธรรมกาย ทำแล้วเป็นอย่างไร ผมก็บอกแล้วว่า ผมไปเสริชกูเกิ้ลมาให้ไง
    และถ้าจะถามว่า ผมปฏิบัติธรรมกายแล้ว ได้อะไร ผมก็จะตอบเหมือนกูเกิ้ลนั้น
    เพราะมันไม่ใช่ ธรรม เป็น ปฏิรูปธรรม

    การพิจารณา ไตรลักษณ์ในส่วนธรรมกาย อย่างไรเสีย ถ้าพูดมาว่า ดูดวงจำ ดวงคิด ก็ยังคงเปลี่ยนสภาวะนามให้เป็นรูป กิเลส หรือ ธรรมที่ปรากฎในใจ มันมีรูปเสียตรงไหน
    ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะเรียกว่า นามธรรมหรือ

    ขันธ์ 5 นั้นมีรูป 1 ส่วน นาม 4 ส่วน เอาง่ายๆ ว่า ดวงเวทนา เป็นอย่างไร ดวงคิด ดวงจำ นี่แท้จริงแล้ว คือ สังขารและ สัญญา ซึ่งมันไม่เป็นดวง จะไปเห็นเป็นดวง นี้ ต้องกำหนดนั่งกรรมฐานหรือ

    มันเกิดมันดับ ตลอดเวลา ตรงหน้านี้เห็นไหม จะไปเห็นให้มันเป็นดวงอย่างไร เพราะสภาวะว่างมันไม่มีตัวตน ถ้าจะให้มันเป็นดวง ก็เท่ากับ ปั้นรูป ขึ้นจากความไม่มีอะไร ให้มันมี แบบนี้ ก็เท่ากับ ค้านกับพุทธพจน์ คือ หลักอนัตตา สุญโตโลกัง จะไปสร้างให้มันมีอีกทำไม แทนที่จะให้เห็นว่า มันไม่มี
     
  19. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณสมถะพยายามได้ดี อธิบายเป็นหลักเป็นเกณฑ์ นับว่ามีเหตุมีผลมากทีเดียว

    เรื่องของญาณทัสนะ เป็นอย่างที่คุณกล่าวไว้จริงๆ คือ ต้องเห็นเองรู้เองเท่านั้น พูดอธิบายยังไงมันก็คลาดเคลื่อยอยู่ดี
    เรื่องนามธรรม
    เวทนา จิต ธรรม เป็นเรื่องของนามธรรมล้วนๆ เห็นได้ไม่ง่ายนัก ไม่ใช่สิ่งหยาบๆ ที่ท่านจะมองว่าเป็น
    ความละเอียดของมัน ล้ำลึกสุดหยั่งเลยทีเดียว
    ท่านใช้วิชชาธรรมกาย ดูกระบวนการของกิเลส มองไปถึงไวรัส ที่ท่านกล่าวว่า เป็นสาเหตุของกิเลสของความเจ็บป่วยทั้งหลาย
    สำหรับผม สาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นความมีตัวเราที่มีไวรัสต่างหาก ไม่ได้มองแค่เพราะตากฝนลมแรงอะไร มันลึกกว่าที่ท่านเข้าใจมากนัก

    เอาเป็นว่า ผมขอจบเพียงแค่นี้
    สติปัฏฐานสี่ เป็นวิธีที่พระพุทธองค์และพระอริยะสาวกสอนกันต่อๆมา
    มีหลักฐานชัดเจนในพระสูตรชื่อว่า มหาสติปัฏฐาน
    กล่าวไว้ชัดเจนว่า เป็นทางสายเอกและสายเดียว
    ไม่ได้ซับซ้อนอะไรในแง่ของการปฏิบัติ
    ไม่มีลำดับชั้นอะไรมากมายถึง 18 ชั้น
    ไม่จำเป็นต้องผ่านรูปพรหม อรูปพรหมก่อน ก็เข้าถึงธรรมได้
    แค่กายหยาบๆ เน่าๆ นี่ก็เข้าถึงธรรมได้แล้ว
    สมาธิก็ไม่ต้องมาก อุปจาระสมาธิ ก็เหลือเฟือแล้ว

    ผมเคารพในปัญญาของท่านเช่นกัน
    หวังว่าท่านคงบรรลุธรรมได้ด้วยวิชา ธรรมกาย นะครับ...

    ปล.คุณอับปัญญาส่งออกตลอดเลย เห็นชัดเลยครับท่านขันธ์...
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2008
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ วิมุตติ นี่เก่งนะ เก่งเฉพาะเวลาเถียงกับผม แต่เวลาเถียงกับธรรมกาย นี่ออกไม่ถูก สงบเรียบร้อย

    เวลา เถียงกับผม รู้ใจว่าผมคิดอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาเถียงกับธรรมกาย ไม่รู้

    เวลา เถียงกับผม นี่ผมมีอัตตามากอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาเถียงกับธรรมกาย ธรรมกาย นี่มีหลักเกณฑ์นะ

    เรื่องวิมุตติจบ ไปเรื่อง ธรรมกายต่อ

    สรุปนะครับ ธรรมกาย พยายาม สร้างสิ่งที่ไม่มี ให้มีจริง ผิดกับหลักพระพุทธศาสนา ที่พยายาม มองเห็นสิ่งที่เราคิดว่ามีอยู่ เป็นอยู่ของเรา ให้ไม่มี ให้เห็นจริงว่า ไม่มีอยู่จริง

    ข้อนี้ผม ปรับ คนที่สอนธรรมกาย ว่าบิดเบือนพุทธธรรม ไม่ได้เป็นไปเพื่อลดละกิเลส แต่ เป็นไปเพื่อความหลงอยู่กับ แสง สี เสียง ไม่ต่างอะไรกับ การเข้าดิสโก้เทค คือ นิยมในความจอมปลอมแห่งกาย อันไม่มีอยู่จริง นิยมอยู่กับ สถานที่อันไม่มีอยู่จริง นิยมอยู่กับจิตอันเป็น ดวงนั้นดวงนี้อันไม่มีอยู่จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...