วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ยอมรับเถิดครับคุณขันธ์ว่าพี่ไม่มีภูมิ พอจะมาวิพากวิจารณ์การปฏิบัติสายธรรมกายหรอกครับ ยอมรับตัวเอง

    คนพูดไม่รู้เรื่อง คุณ ไม่มีภูมิรู้ แล้วคุณจะมารู้ได้อย่างไรว่า ผมรู้หรือไม่รู้ ก็บอกให้ถามเฉพาะจุดมาว่า คุณได้ถึงไหนอย่างไร คุณก็จะรู้ว่าผมรู้หรือไม่รู้

    ผมว่า คุณต่างหากที่ ไม่มีภูมิรู้อะไรเลย พอที่จะมาเถียง วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติสายธรรมกาย ว่า ถูกตามที่คุณพูดได้หรอก เพราะตัวคุณเองยังคลุมเครือไม่รู้ทิศทางเลยว่า ธรรมกาย ทำได้ถึงไหน
    และแต่ละขั้นตอนทำอย่างไร

    สำหรับ คุณวิมุตติ คุณอย่ามาเพ้อเจ้อแถวนี้ จะพูดอะไรก็พูดมา เอาให้มันมีธรรมหน่อย
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    บุรุษเปล่าเรียนธรรม****
    [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษเปล่า บางพวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ

    ****บุรุษเปล่าเหล่านั้น เล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วย ปัญญา ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความด้วย ปัญญา

    ****บุรุษเปล่าเหล่านั้นเป็นผู้มีความข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ ย่อมเล่าเรียนธรรม ก็กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด

    ****บุรุษเปล่าเหล่านั้น ย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้น อันบุรุษเปล่าเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร?

    ****เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียนไม่ดีแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน

    ****บุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ เสาะหางูพิษ เที่ยวแสวงหางูพิษเขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษ นั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่ข้อมือ ที่แขน หรือที่อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ่งเขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีการกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้นเป็นเหตุเพราะอะไร?

    ****เพราะงูพิษตนจับไม่ดีแล้ว แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกบุรุษเปล่า บางพวกในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ... อัพภูตธรรม เวทัลละ บุรุษเปล่าเหล่านั้นเล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรซึ่ง การเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความด้วยปัญญา

    ***บุรุษเปล่าเหล่านั้นเป็นผู้มีการข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ ย่อม
    เล่าเรียนธรรม ก็กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด บุรุษเปล่าเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้น อันบุรุษเปล่าเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะธรรมทั้งหลาย อันตนเรียนไม่ดีแล้ว.


    ที่มา :พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ปัญหาของวัดพระธรรมกาย
    ส่วนที่กระทบต่อพระธรรมวินัย


    สำนักวัดพระธรรมกาย เผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น
    1. สอนว่านิพพานเป็นอัตตา
    2. สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามาก
    มายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตน-นิพพาน
    3. สอนเรื่องอายตนนิพพาน ให้เข้าใจผิดต่อนิพพาน เหมือนเป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    ได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น
    คำสอนเหล่านี้ ทางสำนักสายวัดพระธรรมกายคิดขึ้นใหม่ เป็นของนอกธรรมนอกวินัยของพระพุทธเจ้า
    แต่แทนที่จะสอนไปตามตรงว่าเป็นลัทธิของครูอาจารย์ ทางวัดพระธรรมกายกลับพยายามนำเอาคำสอนใหม่ของ
    ตนเข้าใส่แทนที่หลักคำสอนเดิมที่แท้ของพระพุทธศาสนา
    ยิ่งกว่านั้น เพื่อหาทางให้ลัทธิของตนเข้าแทนที่พระธรรมวินัยได้สำเร็จ สำนักวัดพระธรรมกายยังได้เผย
    แพร่เอกสาร ที่จ้วงจาบพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฎกบาลี ที่เป็นหลัก
    ของพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น
    - ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฎกบาลี บันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เชื่อ
    ถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้
    - ให้นำเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ เช่น พระไตรปิฎกภาษาจีน และคำสอนอื่นๆ ภายนอกมาร่วมวินิจฉัย
    พระพุทธศาสนาเถรวาท
    - ให้เข้าใจเขวไปว่าหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องอภิปรัชญา ขึ้นต่อการตีความ และความคิดเห็น
    ตลอดจนการถกเถียงทางวิชาการ
    - อ้างนักวิชาการต่างประเทศ และการปฏิบัติของตน ดังว่าจะใช้วินิจฉัยหลักพระพุทธศาสนาได้
    ฯลฯ
    อีกทั้งสิ่งที่ยกมาอ้าง เช่น คัมภีร์ของมหายาน และทัศนะของนักวิชาการตะวันตก ก็ไม่ตรงตามความ
    เป็นจริง หรือไม่ก็เลื่อนลอย
    นอกจากนั้น ยังนำคำว่า "บุญ" มาใช้ในลักษณะที่ชักจูงประชาชนให้วนเวียนจมอยู่กับการบริจาค
    ทรัพย์ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ชนิดที่ส่งเสริมความยึดติดถือมั่นในตัวตนและในตัวบุคคล อันอาจกลายเป็นแนว
    โน้มที่บั่นรอนสังคมไทยในระยะยาว พร้อมทั้งทำพระธรรมวินัยให้ลางเลือนไปด้วย
    พฤติการณ์ของสำนักวัดพระธรรมกายอย่างนี้ เป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ ย่ำยีพระธรรมวินัย สร้างความ
    สับสนไขว้เขวและความหลงผิดแก่ประชาชน
    ข้อความบรรยายต่อไปนี้ ได้เขียนไว้เพื่อเป็นทางแห่งการศึกษา ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
    พร้อมทั้งเป็นเหมือนคำขอร้องต่อชาววัดพระธรรมกาย ผู้ยังเห็นแก่พระพุทธศาสนา เมื่อรู้เข้าใจแล้ว จะได้หันมา
    ร่วมกันทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และสนองพระคุณบรรพบุรุษไทย ด้วยการรักษาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์สืบไป

    ที่มา พระธรรมปิฎก ปอ ปยุตโต จาก กรณีพระธรรมกาย
     
  4. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [​IMG]
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เรื่องเล่า เกี่ยวกับหลวงปู่สด
    เมื่อครั้งหลวงปู่ปาน ให้หลวงพ่อฤาษีฯท่านไปเรียนกับหลวงปู่สด


    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์

    วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ

    ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่

    ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด

    แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์และอีกประการหนึ่ง

    ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ

    ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง

    แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไรต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท

    พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท


    เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริง

    อย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด



    ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม6


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอน ให้เห็นด้วยการถ่อมตัวท่านลง

    ท่านคงทราบว่า

    ในโลกนี้พวกที่หลงความรู้ยังมีอีกมาก

    พวกที่หลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองดี ตัวเองเก่ง

    มีอัตตาแห่งพระอริยะจอมปลอม หรือ

    นักบุญใจบาป นั้นมาก


    ท่านจึงสละ ถ่อมตัว ละอัตตาตนเองลงให้เห็นกัน

    ทั้งที่ระดับท่าน นั้น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ บารมีพุทธภูมิเต็มแต่ลา


    ( พวกเราเชื่อเช่นนั้น / ....ไม่ทราบว่า เดี๋ยวจะมีคนบางกลุ่มในกระทู้นี้ มาแย้งด้วยธรรมตามแบบของเขาอีกหรือเปล่า )



    แต่ท่านทำเช่นนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า " ระวัง อย่าพลาดนะ ฉันพลาดมาแล้ว "<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ปัญหา อันวิกฤติคือ ธรรมกาย ทำลายพระศาสนาอย่างแท้จริง

    ชาวพุทธทั้งหลาย ถ้าท่านเป็นผู้ เข้าข้างธรรมกาย ท่านคือ ผู้มีส่วนร่วม ในการทำให้สัจธรรมแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บิดเบือน

    ท่านมีส่วนทำลายให้ พระศาสนาอายุสั้นลง ผลกรรมอันนี้ จะทำให้ท่านห่างออกจากความถูกต้องแห่งพระศาสนาจนไปถึง สุญกัลป และ จิตนี้วิ่งไปอยู่ในภพที่ไม่ได้สัมผัสพระธรรมแท้เลย

    นี่ผมเตือนให้เอาบุญ ยังจะไม่รู้ชะตาตัวเองกันอีก โง่แล้วอวดฉลาดกันจริงๆ
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณโอม คุณไม่ได้อ่านเหตุผลอะไรเลยหรือ อ่านก่อน พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน อย่าไปเอาคำครูบาอาจารย์ บางช่วงบางตอนมาพูด สนับสนุนคำโกหก ของตนเองและธรรมกาย

    ตัวเองเห็นอย่างไร แน่จริงเอาคำพูดตัวเองมา อย่าไปเอาคำคนอื่นมา ที่มันไม่ชัดเจน อย่าเอามาเพียงให้คนอ่านตีความด้วย นัยยะ แต่มันต้องชัดเจน เข้าใจไหม
     
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [MUSIC]http://www.dhammakaya.org/wmp.asx[/MUSIC]
     
  8. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [​IMG]
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เรื่องเล่า เกี่ยวกับหลวงปู่สด
    เมื่อครั้งหลวงปู่ปาน ให้หลวงพ่อฤาษีฯท่านไปเรียนกับหลวงปู่สด


    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์

    วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ

    ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่

    ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด

    แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์และอีกประการหนึ่ง

    ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ

    ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง

    แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไรต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท

    พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท


    เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริง

    อย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้วก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด



    ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม6


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอน ให้เห็นด้วยการถ่อมตัวท่านลง

    ท่านคงทราบว่า

    ในโลกนี้พวกที่หลงความรู้ยังมีอีกมาก

    พวกที่หลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองดี ตัวเองเก่ง

    มีอัตตาแห่งพระอริยะจอมปลอม หรือ

    นักบุญใจบาป นั้นมาก


    ท่านจึงสละ ถ่อมตัว ละอัตตาตนเองลงให้เห็นกัน

    ทั้งที่ระดับท่าน นั้น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ บารมีพุทธภูมิเต็มแต่ลา


    ( พวกเราเชื่อเช่นนั้น / ....ไม่ทราบว่า เดี๋ยวจะมีคนบางกลุ่มในกระทู้นี้ มาแย้งด้วยธรรมตามแบบของเขาอีกหรือเปล่า )



    แต่ท่านทำเช่นนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า " ระวัง อย่าพลาดนะ ฉันพลาดมาแล้ว "<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [​IMG] OOอบรมวิป้สสนาจารย์ ตามแนววิชชาธรรมกาย วัดหลวงพ่อสดฯOO
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]
    อบรมพระวิปัสสนาจารย์ (รุ่นกลางปี )
    เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



    ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี (แห่งที่ ๑)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    ๑ - ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
    โครงการ | หลักสูตร/กิจกรรม | ตารางกิจกรรม | ไฟล์เสียง | รายชื่อผู้เข้าอบรม ​


    [​IMG]
    โครงการอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์


    ระหว่างวันที่ ๑ - ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
    ๑. ชื่อโครงการ
    โครงการอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    หน่วยงานรับผิดชอบ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
    ลักษณะโครงการ โครงการต่อเนื่อง
    ระยะเวลาดำเนินการ ระหว่างวันที่ ๑ - ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
    ๒. หลักการและเหตุผล
    หน้าที่อันสำคัญของพระภิกษุผู้เป็นศาสนทายาท มี ๒ ประการ หนึ่งคือ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย เรียกว่า คันถธุระ และสอง คือ การอบรมกาย วาจา ใจ ตามแนวแห่งไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสสนาธุระ ในส่วนของการเล่าเรียนพระธรรมวินัย คณะสงฆ์ได้ดำเนินการส่งเสริมให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและบาลี แต่ในทางปฏิบัติวิปัสสนาธุระ ยังขาดการส่งเสริมอย่างจริงจัง
    ดังนั้น วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญของวิปัสสนาธุระ จึงได้ร่วมกันจัดโครงการอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ ระหว่างวันที่ ๑ -๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมระยะเวลาดำเนินการ ๑๔ วัน เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ภิกษุบริษัท ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เป็นประโยชน์ทางการปฏิบัติส่วนตัวและเป็นที่ศรัทธานำพาพุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในทีฆนิกาย มหาวรรค ว่า
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    บ้าไปแล้วหรือโอม ไปดูรูปนี้ ที่หลวงพ่อสดเองยืนยันใน คำสอนแห่ง มหาสติปัฎฐาน 4

    [​IMG]
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    คุณโอมเล่าเรื่องหลวงปู่สด ก็อ่านกันไปนะครับ จิตก็แช่มชื่น เพราะส่งจิตไปจับ
    กับสิ่งที่มีคุณ ก็ย่อมให้ความสุข ตั้งมั่น ของจิตใจ เหตุที่จิตมีความสุขกับการได้
    อ่าน หรือสดับ หรือ นั่งมอง สิ่งที่มีคุณ ที่อยู่นอกกาย นอกใจเรานั้น จะให้ผลอย่าง
    หนึ่งคือ จิตธาตุรู้นั้นไหลไปอยู่ข้างนอก ทำให้ลืมกายลืมใจตัวเอง ทำให้เผิกเฉย
    สิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ สิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ก็ไม่ใช่อะไร มันคือ ทุกข์ล้วนๆ

    เราจึงพยายามหนีทุกข์ด้วยกลวิธีง่ายๆ คือ ส่งจิตออกนอก ไปจับอะไรก็ได้ข้างนอก
    เช่น ป่วยอยู่ มีคนเอาดอกไม้มาวาง แค่นี้จิตก็จับที่ดอกไม้ ก็สดชื่น ลืมกายที่กำลัง
    ป่วยรอการผ่าตัดได้ ถ้าเอารูปพระมาวาง ก็ยิ่งดีใหญ่ จิตจะจับอยู่แต่ตรงนั้น แต่
    ไม่ได้จับที่ตัววัตถุหลอกนะ แค่อยู่ระหว่างกลาง อยู่ตรงกลาง เพราะจริงแล้วมันสัด
    ส่ายเข้าและออกเสมอๆ ภาวะตรงกลางจึงเป็นที่ประชุมของจิตเป็นจำนวนมาก ทำให้
    ว่างแบบอากาสานัญจายตนะ(เพราะดับปฏิฆะสัญญาได้) พอดูดอกไม้ไปเรื่อยๆ หรือ
    ดูรูปพระไปเรื่อยๆ ก็จะหลุดเข้าภวังค์ไป คนในโรงพยาบาลที่รอการผ่าตัดบางคน
    ถึงได้หลุดออกมาเป็นผู้ดูการผ่าตัดได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2008
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขอเอาหลักฐาน ที่เป็นคำพูดของพระรูปหนึ่ง แต่ไม่ยืนยันความชัดเจนประกอบการพิจารณา อันเกี่ยวกับวัดมหาธาตุที่ หลวงพ่อสดไปปฏิบัติ
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ที่มาฟังเรื่องคุณ upanya ดีกว่า

    ทราบว่าฝึกมาทางธรรมกาย ทำมาได้มากแล้ว มากกว่า อ.ขันธ์ แน่ เพราะมอง
    ออกว่า อ.ขันธ์ ไม่ได้ทำมา การฝึกธรรมกายมีการกำหนดลูกแก้วไปตามฐานใน
    กาย จนกว่าจะเด่นดวงเห็นเป็นลูกแก้วจริงๆจัง ถ้ายังไม่เห็นจะจับได้แค่อาการ
    ไหลไปไหลมา หรือ อาการกระทบ หรือ สัมผัสภายใน ณ ฐานต่างๆ

    ก็เผอิญไปตรงกับการฝึกพลังจิต ยูเรอัส ก็เลยได้ฝึกทั้งธรรมกาย และแส่ส่ายไป
    พลังจิต ยูเรอัสได้ เห็นว่า เรียนระดับห้า สามารถส่งพลังไปช่วยอะไรต่อมิอะไร
    ได้ทั่วโลกแล้ว ไม่ต้องบินไป

    ก็อยากจะให้พี่ upanya เล่าถึงการผสานของวิชาทั้งสองเป็นธรรมทานอีกทางหนึ่ง
    ถ้าจะกรุณา ไม่ขัดเคืองใจที่เรากล่าวโดยไม่รู้เสียก่อน

    แต่ในทางของเรา จะกล่าวว่าไม่รู้ก็ไม่ได เพราะการทำวิปัสสนา เมื่อดูเฉยๆ ดูไปเรื่อยๆ
    โดยไม่มีการนั่งลงทำสมาธิเลย เดินเหินทำงานทำการตามปรกติ แต่ตามรู้ ตามดู กาย
    จิต เวทนา ไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นอาการไหลของจิต เป็นอาการของจิตไหลไปไหลมา ทั่ว
    ทั้งกาย ไม่จำเพาะเฉพาะจุด จะจำเพาะเฉพาะจุดก็ทำได้ แค่ตั้งฐานกำหนดเวลามัน
    ไหลผ่านก็รู้สึกตรงนั้น แต่แบบนี้เราเรียกว่าเพ่ง ส่งจิตเข้าใน ไม่ถูกต้อง ต้องปล่อยไป
    แล้วให้รู้สึก มันไปไหนอยู่ตรงไหนก็รู้สึก ถ้ามันรู้สึกอยู่ทีเดียว ก็ให้รู้ว่าเพ่ง ส่งจิตเข้า
    ใน ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ญาณความรู้จะผุดขึ้น ถึงความไม่เที่ยงของอาการของจิต เมื่อ
    นั้นจิตจะรวมตัวเองที่ฐานที่ถูกต้อง พอรวมได้ตรงฐานที่ถูกต้อง จะสามารถเห็นกิเลสได้
    อย่างตั้งมั่น ที่นี้ก็ขึ้นกับการรวมตัวได้นานแค่ไหน ก็จะมีผลต่อการประหารกิเลส ตัดตรง
    ลัดสั้นกันไปเลย ไม่ต้องเนิ่นช้า

    ประหารกิเลสกันจริงๆ จังๆ ไม่ใช่ปอกลอกเอา ซึ่งทำไปก็ไม่ได้อะไร มีแต่ไหลไปไหล
    มาตามวิชา นี่ถ้าฝึกไปอีก คงไปอยู่ดาวพฤหัส เพราะพลังนั้นรวมศูนย์อยู่ที่นั้น ก็แปลก
    ดีสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างผม

    ยังไงพี่ upanya ก็กรุณา แสดงธรรม เป็นธรรมทานโปรดคนไม่รู้อย่างเราก็จะดี เผื่อมี
    อะไรที่ไม่รู้ ยังคลาดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2008
  14. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แล้วในพระสูตรที่เกี่ยวกับ ฌาณ ทั้งหลาย จะมีสำนวนว่า

    ให้กำหนดรู้ เพื่อละ

    หมายถึง เมื่อเข้าไปสู่ฌาณใดๆแล้วนั้น อย่าอยู่ตรงนั้น อย่าเพลิน หรือ จม
    เอาจิตจมอยู่ตรงนั้น ซึ่งจะมีพุทธพจน์กำหนดไว้ว่า อย่าประมาท ก็คือ อย่า
    จมอยู่ ให้กำหนดรู้ ก็หมายถึงให้น้อมว่านั้นคือสภาวะที่ถูกรู้ เมื่อกำหนดสภาวะ
    เป็นเพียงของถูกรู้ หรือ กำหนดรู้ ก็จะเห็นเป็นเพียงของนอกกายนอกจิตที่ถูกรู้ถูกดู
    อยู่ จิตก็จะละ ตรงจิตจะละออกมานั้น ก็คือ คำว่า เพื่อละ

    ดังนั้น กำหนดรู้ เพื่อละ ไม่ได้แปลว่า ให้ทำ หรือ ให้อยู่ในฌาณนั้นมากๆ แต่แปล
    ว่าให้กำนหดสภาวะฌาณนั้นเป็นของถูกรู้ถูกดูให้ได้มากๆ ให้เนืองๆ จนกว่าจิตจะเข้า
    ใจในสภาวะแปรเปลี่ยนไป จิตเขาก็จะละการถือ เป็นไปเพื่อวิราคะ คือ ไม่เข้ามาอีก
    หรือ เข้ามาอีกก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ทั้งหมด ก็เพื่อ ละราคะ หรือ เห็นราคะมูล
    จิตที่นอนเนื่องอยู่ จิตก็จะมีฌาณนั้นๆได้ แต่ไม่สนใจ เมื่อจิตไม่สนใจ หรือ จมอยู่
    ในฌาณ หรือ เสพปุญญาภิสังขาร จิตก็จะหาอย่างอื่นมาเป็นจิตต่อไป ก็จะถึงความ
    บริสุทธิ์ที่ยิ่งกว่า ที่รอการรู้อยู่ได้

    หากไม่ละ ก็จะจับอยู่อย่างนั้น ก็อดเปิดจิตให้รับรู้สิ่งที่ยิ่งกว่า
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ที่นี้ก็จะเห็นว่า ไม่ว่าไปรู้อะไร ไปเห็นอะไร ก็เพื่อละทั้งนั้น ไม่ประมาทจมอยู่ใน
    สภาวะนั้นทั้งนั้น ให้กำหนดรู้ หรือกำหนดเป็นเพียงของนอกๆ ที่ถูกรู้ถูกดูทั้งนั้น
    ทั้งหมดก็เพื่อเอื้อต่อการ ละวาง การเบื่อหน่าย คลายกำหนัด

    คนมีปัญญามาก ก็จะรู้ว่า อะไรๆ ก็เหมือนกันหมด เป็นสภาวะธรรมเหมือนกันหมด
    คนมีปัญญามากจึงไม่เที่ยวเพลิดเพลินอยู่นาน ผู้มีปัญญามาก หรือตัดสินใจเลือก
    เอาทางปัญญา หรือน้อมปัญญานำหน้าจึงมีเยอะกว่า ได้เร็วกว่า

    ที่นี้หากไม่กล้าพอที่จะใช้ปัญญา ก็คงต้องน้อมศรัทธามาเชื่อ มาฟังพระธรรมของ
    พระพุทธองค์แทน เพื่อจะได้ไม่หลงไปกับวิชาใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ยอมใช้ศรัทธาน้อม
    ตัวปัญญาที่กล่าวไว้ข้างต้นมาเป็นตน ตนก็จะมีสภาพคล้ายคนมีปัญญา ก็จะสามารถ
    เข้าถึงได้

    ที่นี้ปัญญาก็ไม่มี ศรัทธาก็ไม่มี ก็เหลือทางเดียว มะงุมมะงาหราไป วิชาอะไรก็ได้
    ทำบุญสุนทานขนาดไหนก็ได้ ไปสร้างเจดีย์ ไปดูเจดีย์ ทำอะไรก็ได้ จะดูดพลังจาก
    จักรวาก็ได้ จะดูดพลังจากดาวพฤหัสก็ได้ เพื่อให้เกิดอะไร

    ก็เพื่อให้เกิดศรัทธาพอ ที่จะน้อมเอาปัญญาที่กล่าวในวรรคแรกมาใช้ในที่สุด แต่ส่วน
    ใหญ่พวกใช้วิริยะเข้าว่านั้น จะเนิ่นช้า เพราะสำคัญผิด คิดว่าที่ตัวเองวิริยะขนาดนั้น
    เพราะมีศรัทธามาก หรือไม่ก็เพราะฉลาดมาก ถึงได้ทุ่มเท ทั้งๆที่คำว่า ศรัทธา และ
    ปัญญานั้น เป็นเรื่องของทางปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด คือ คิดเอาเอง ก็เลย
    เข้าใจคนละเรื่อง

    ศรัทธา และปัญญา เป็นเรื่องของการน้อมไป นมสิการไป ไม่ใช่คิดเอา การน้อมไป
    หมายถึงการน้อมนำความคิดของท่านมาเป็นเรา แต่ถ้าทำกลับกัน ไม่ใช่น้อมไป แต่
    คิดเอา มันก็เพี้ยน เพราะนั้นคือ การใช้สถิตย์ธรรมที่ปุถุชนแล้วแสดง ไม่ใช่การน้อมธรรม
    ที่สถิตย์อยู่กับพระมาที่ตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2008
  16. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [​IMG] [​IMG]


    ดาวน์โหลด

    ภาพขยาย
    ลิงก์ของตัวไฟล์: <INPUT class=common id=url value=http://gotoknow.org/file/truedhamma/sod2.jpg name=url>
    คำสำคัญ: สัทธรรมปฏิรูป หลวงพ่อสด เลิกฝึกวิชชาธรรมกาย
    โดย TrueDhamma ลิงก์ถาวร ความคิดเห็น (4)
    สร้าง: จ. 03 ธ.ค. 2550 @ 10:58 แก้ไข: จ. 03 ธ.ค. 2550 @ 10:58

    ความคิดเห็น
    [​IMG] 1. หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยเลิกฝึกธรรมกาย
    เมื่อ อ. 17 มิ.ย. 2551 @ 14:05
    704136 [ลบ]


    เหตุผลที่หลวงพ่อสดเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบหนอ ก็ เพราะว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถระ) เมื่อครั้งมีสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง (สมัยนั้นมีสังฆมนตรีเพียง๔ รูป) ผู้มีอำนาจมาก มีบารมีมาก มีบริวารมาก และมีสมณศักดิ์เกือบสูงสุด ท่านเจ้าประคุณ มีความดำริจะส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานให้เจริญแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะท่านเชื่อว่าการสอนวิปัสสนาธุระที่เป็นระบบถูกต้องมีเฉพาะในประเทศพม่าเท่านั้น ทั้งที่ตอนนั้นสายพระอาจารย์มั่นและสายวัดปากน้ำได้ปฏิบัติธรรมอย่างมีระบบแล้ว
    หลวงพ่อวัดปากน้ำและพระเถระผู้เชี่ยวชาญกรรมฐานฝ่ายมหานิกายจึงถูกเกณฑ์ให้เรียนกรรมฐานแบบหนอ
    สำหรับหลวงพ่อสดนั้นถูกขอร้องเป็นพิเศษ ด้วยหลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหามาก น่าจะมากที่สุดในประเทศไทยในสมัยนั้น ให้ช่วยเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุฯให้ด้วย ไม่ใช่เป็นอย่างคำบิดเบือน
     
  17. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715



    ดาวน์โหลด

    ภาพขยาย
    ลิงก์ของตัวไฟล์: <INPUT class=common id=url value=http://gotoknow.org/file/truedhamma/sod2.jpg name=url>
    คำสำคัญ: สัทธรรมปฏิรูป หลวงพ่อสด เลิกฝึกวิชชาธรรมกาย
    โดย TrueDhamma ลิงก์ถาวร ความคิดเห็น (4)
    สร้าง: จ. 03 ธ.ค. 2550 @ 10:58 แก้ไข: จ. 03 ธ.ค. 2550 @ 10:58

    ความคิดเห็น
    [​IMG] 1. หลวงพ่อวัดปากน้ำไม่เคยเลิกฝึกธรรมกาย
    เมื่อ อ. 17 มิ.ย. 2551 @ 14:05
    704136 [ลบ]


    เหตุผลที่หลวงพ่อสดเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบหนอ ก็ เพราะว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถระ) เมื่อครั้งมีสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง (สมัยนั้นมีสังฆมนตรีเพียง๔ รูป) ผู้มีอำนาจมาก มีบารมีมาก มีบริวารมาก และมีสมณศักดิ์เกือบสูงสุด ท่านเจ้าประคุณ มีความดำริจะส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานให้เจริญแพร่หลายในประเทศไทย โดยเฉพาะท่านเชื่อว่าการสอนวิปัสสนาธุระที่เป็นระบบถูกต้องมีเฉพาะในประเทศพม่าเท่านั้น ทั้งที่ตอนนั้นสายพระอาจารย์มั่นและสายวัดปากน้ำได้ปฏิบัติธรรมอย่างมีระบบแล้ว
    หลวงพ่อวัดปากน้ำและพระเถระผู้เชี่ยวชาญกรรมฐานฝ่ายมหานิกายจึงถูกเกณฑ์ให้เรียนกรรมฐานแบบหนอ
    สำหรับหลวงพ่อสดนั้นถูกขอร้องเป็นพิเศษ ด้วยหลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหามาก น่าจะมากที่สุดในประเทศไทยในสมัยนั้น ให้ช่วยเขียนรับรองการปฏิบัติกรรมฐานแบบวัดมหาธาตุฯให้ด้วย ไม่ใช่เป็นอย่างคำบิดเบือน
     
  18. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    <TABLE class=tborder id=post1343116 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ขันธ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1343116", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 12:02 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2006
    สถานที่: หาไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน
    ข้อความ: 2,694
    Groans: 289
    Groaned at 283 Times in 202 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,188
    ได้รับอนุโมทนา 7,783 ครั้ง ใน 2,119 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 562 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1343116 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">**อาตมาได้ฟังเทศน์ลำดับญาณ โดยอาจารย์พม่ามาเทศน์ และมีทูตมาแปลเป็นภาษาไทย ฟังพร้อมกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เดิมที อาตมาไม่ทราบว่าท่านมานั่งกรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ พอดีท่านเจ้าคุณอาจารย์ ไปสอบอารมณ์ อาตมาก็ตามไปฟัง หลวงพ่อสดบอกอาตมาว่า เราเป็นขี้ข้าเขามาหลายสิบปี มีแต่นิมิตเครื่องหมายมากมาย และติดนิมิต พอกำหนด เห็นหนอๆ นิมิตธรรมกายหายไป ปัญญาเกิด และเข้าผลสมาบัติได้ถึง 84 ชั่วโมง หลังจากนั้น ก็เข้านิโรธสมาบัติได้ด้วย อันนี้ขอเปิดเผย เพราะท่านมรณภาพไปแล้ว และท่านยังบอกอาตมาอีกว่า ถ้าเราอยู่ เราจะสอนอย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าเราจะหมดอายุ เราก็ขอแค่ตัวเราพ้นทุกข์..... </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอเอาหลักฐาน ที่เป็นคำพูดของพระรูปหนึ่ง แต่ไม่ยืนยันความชัดเจนประกอบการพิจารณา อันเกี่ยวกับวัดมหาธาตุที่ หลวงพ่อสดไปปฏิบัติ
    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



    ก็ เพราะคนตาย ลุกมาแก้ต่างไม่ได้หรือไม่.............
     
  19. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [MUSIC]http://www.dhammakaya.org/wmp.asx[/MUSIC]
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    การอธิบายของคุณสมถะยาวจัง
    จากการอ่าน การตีความของธรรมกายผิดไปนะ
    เช่น การเห็น
    เอาง่ายๆ สั้นๆ ก่อนนะ
    คุณสมถะคิดว่า การเห็น ในพระไตรปิฎก เห็นอย่างไร?
     

แชร์หน้านี้

Loading...