วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    อ่านซิ ตั้งแต่ต้นกระทู้แหละ
    ข้าพเจ้ายังอ่านเลย จะได้แก้ความสงสัยตัวเอง

    คุณว่าเวลามีพระอรหันต์มาสอนธรรมคุณ เป็นกายอะไร
    นิมิตพระพุทธองค์ มาปรากฏกฏโดยไม่สร้างเอง มาแบบไม่รู้ตัวไม่เข้าสมาธิ แต่เจอ โช๊ะเช๊ะ เป็นนิมิตอะไร เจอแรงสมาธิของท่นใดมาข่ม แล้วขันธ์ที่มาเป็นอะไร

    ห้าม หุหุ นะเฟ้ย
    เด๊ยวโดนจ.คุณ มิใช่น้อย

    (||) คำถามเเจ่ม!!!
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ตอบโง้ว โง้ว อีกละ

    อันนี้ ตอบเเบบ วิทยาศาสตร์ เลยนะ

    อากาศ เบา กว่า น้ำ
     
  3. Angel_Of_Dream

    Angel_Of_Dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +134
    ผู้ยิ่งปฏิบัติมาก
    ยิ่งเงียบยิ่งสงบ
    ผู้ที่มีปัญญามาก
    ย่อมใช้คำที่สุภาพ
    ในการสื่อสาร
    กับบุคคนอื่นงับ
    หุหุหุหุ
    ที่เห็นๆปากดีๆ
    ของปลอมท้างน้าน
    ฟันธง
     
  4. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    (||) สงสัยฝึกเจโต มา
     
  5. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [MUSIC]http://www.dhammakaya.org/wmp.asx[/MUSIC]
     
  6. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO
     
  7. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
    oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo
     
  8. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [​IMG]

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เรื่องเล่า เกี่ยวกับหลวงปู่สด
    เมื่อครั้งหลวงปู่ปาน ให้หลวงพ่อฤาษีฯท่านไปเรียนกับหลวงปู่สด


    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์

    วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ

    ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้วแต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด)ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่

    ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด

    แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมากรวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ

    เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้

    ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์และอีกประการหนึ่ง

    ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ

    ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง

    แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไรต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย สมเด็จพระจอมไตรถามว่า ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่ ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท

    พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไปองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท


    เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริง

    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""''

    ที่มา หนังสืออ่านเล่นเล่ม6


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอน ให้เห็นด้วยการถ่อมตัวท่านลง

    ท่านคงทราบว่า

    ในโลกนี้พวกที่หลงความรู้ยังมีอีกมาก

    พวกที่หลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองดี ตัวเองเก่ง

    มีอัตตาแห่งพระอริยะจอมปลอม หรือ

    นักบุญใจบาป นั้นมาก


    ท่านจึงสละ ถ่อมตัว ละอัตตาตนเองลงให้เห็นกัน

    ทั้งที่ระดับท่าน นั้น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ บารมีพุทธภูมิเต็มแต่ลา


    ( พวกเราเชื่อเช่นนั้น / )



    แต่ท่านทำเช่นนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า " ระวัง อย่าพลาดนะ ฉันพลาดมาแล้ว "<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2008
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 6 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ฐาณัฏฐ์, ขออภัยในบางลีลา </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870


    สงสัย พระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์

    สันโดษ ต้อง กลับมาพิจารณา

    ว่า ทำมา ทำไม นะเอย นะเอย
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870



    ยกมาทำไมคะ เนี๊ย ต้องเอา คนอื่น มาพูดเเทน

    ปัญญา ตัวเอง หรือ จิตผู้รู้ นะ มี ไหมคะ ?
     
  12. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ถ้าจะพิจารณาหมดตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ถ้าเราอาศัยหรือฌานคุณธรรมที่บริสุทธิ์คือ ธรรมกาย
    พิจารณาเห็นอดีตก็เห็นได้ เช่น พระพุทธองค์เจริญบุพเพนิวาสานุสติญาณ
    ในยามต้นแห่งราตรี และจะเห็นอนาคตก็เห็นได้ เช่นเดียวกัน
    ที่พระพุทธองค์ทรงเห็นสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมด้วยจุตูปญาณ
    คือถ้าเราเห็นอดีตเห็นอนาคตได้ เราก็เห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา



    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจริญติลักขณานุปัสสนานั้น
    เราจะเห็นด้วยปัญญา สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ปญฺญายปสฺสติ
    อถนิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอสมคฺโค วิสุทฺธิยา



    นั้นเห็นความไม่เที่ยง ก็ต้องเห็นลักษณะที่แสดงความเป็นของไม่เที่ยงนั้นด้วย เรียกว่า

    วิภาค 6 คือ เมื่อจะพิจารณาเห็นอนิจจัง ก็ต้องเห็นอนิจจลักขณะ ว่ามีอย่างไร ในขณะเดียวกัน
    เห็นความเป็นทุกขตา ก็ต้องเห็นทุกขลักขณัง อันนี้จะไม่ขอกล่าวมาก



    จะเห็นอนัตตาได้ชัดเจน ก็ต้องอนัตตลักขณังคือ ต้องเห็น
    ต้องรู้อนัตตลักษณะ ว่ามีอย่างไร อนัตตลักขณะ
    คือเป็นธรรมชาติที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง
    เราก็ทราบดีว่าเพราะเบญจขันธ์ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง
    อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม เป็นปัจจัยปรุงแต่ง
    รูป อวิชชา ตัณหา อุปทาน และกรรม
    และผัสสะเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดนามขันธ์ 3 คือ
    สัญญา เวทนา และสังขาร และอวิชชา ตัณหา อุปาทานและนามรูป นั่นเอง



    เป็นปัจจัยให้เกิดนามขันธ์ที่ 4 คือ วิญญาณขันธ์ เมื่อเห็นตรงนี้
    เห็นเหตุปัจจัยให้เกิดแล้ว ย่อมเห็นว่านี่เป็นสภาวะที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง
    และย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย และเมื่อเปลี่ยนแปลงไป
    ตามเหตุปัจจัยแล้วเข้าสู่ลักษณะที่บ่งบอกความเป็นอนัตตา



    คือ เป็นต้นว่า เป็นไปตามเหตุปัจจัยหนึ่ง เป็นสภาวะหรือธรรมชาติที่สูญคือ ว่างเปล่า คือ มีแล้วกลับไม่มี นั่นอย่างหนึ่งหรือเป็นสภาพที่ไม่มีเจ้าของ อันนี้เราทราบได้ เป็นต้น



    แท้จริงแล้ว อนิจฺจลักฺขณํ ทุกฺขลกฺขณํ และ อนติลกฺขนํ นั้นมีถึง 40 ข้อ
    ในปฏิสัมภิทามัคค์ ตรงนี้นำไปสู่อาการตรัสรู้และบรรลุมรรคผลเห็นอนัตตาลักษณะต่าง ๆ กัน เป็นเครื่องชี้ให้เห็นความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ของอุปาทินกสังขาร



    ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัส

    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ สพฺเพสงฺขาราทุกฺขาติ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ


    โดยยกเบญจขันธ์ขึ้นพิจารณา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอน ติลักขณคตา นี้เป็น

    วิปัสสนาวิธี ในระดับติลักขณานุปัสสนา ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา โดย
    ยกเบญจขันธ์ขึ้นพิจารณาทีละอย่างแล้วตรัสรวมให้เห็นว่า สัพเพสังขารา แล้วลงท้ายว่า
    สัพเพธัมมา และจะพิจารณาพระพุทธดำรัสที่ว่า ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถนิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
    เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา



    ที่พระองค์สอนตรงนี้ ทรงสอนในขั้นนิพพทายานเป็นอารมณ์
    เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้เป็นส่วนของสังขารทั้งปวงหรือความเป็นไปในภพ 3 ทั้งสิ้น
    หมดทั่วทั้งจักรวาฬ หากสงสัยว่า ทำไมถึงทรงใช้ สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    ก็ไปดูได้ คณะฉันท์ ถ้าทรงใช้ว่า สพฺเพ สงฺขารา อนตฺตา คณะฉันท์จะเป็น 9
    ไม่ใช่ 8 แต่ว่า อย่างไรก็ตาม สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
    ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นเธอเบื่อหน่ายในทุกข์
    นี้เป็นขั้นที่จะเจริญวิปัสสนาญาณในส่วนของนิพพิทาญาณ
    และที่ว่า อถนิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา
    เบื้องต้นอย่างนี้ การเจริญภาวนาที่เรากล่าวนี้ รู้อย่างนี้


    เห็นอย่างนี้ ต่อเมื่อพิจารณาสภาวธรรมในส่วนของติลักขณานุปัสสนา
    เห็นความเห็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาอยู่อย่างนี้
    เธอผู้ปฏิบัตินั้นย่อมได้อนุโลมขันติ นี้มีปรากฎอยู่ในปฏิสัมภิทามรรค
    ตรงนี้สำคัญมาก พระโยคาวจรนั้น เมื่อเจริญติลักขณานุปัสสนา
    เห็นความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของสังขารธรรมทั้งหลาย


    เธอย่อมได้อนุโลมขันติ และเมื่อเธอพิจารณาเห็นความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานที่ตรงกันข้ามกัน มีสภาวะตรงกันข้ามกัน เธอย่อมหยั่งลึกลงสู่สัมมัตถนิยาม คือหยั่งลงมรรคและผล เพราะฉะนั้น อาการตรัสรู้และบรรลุมรรคผลนั้น


    เริ่มตั้งแต่อนุโลมขันติ คือ การเห็นแจ้งแทงตลอดในพระไตรลักษณ์แล้ว
    เมื่อพิจารณาอริยสัจ 4 เห็นแจ้งแทงตลอดในทุกขสัจจ์ สมุทัย 3
    และนิโรธสัจจ์ นั้นแหละเข้าสู่มรรคผล นิโรธสัจจ์และมรรคสัจจ์
    ซึ่งเป็นไปพร้อมกัน เธอย่อมเห็นธรรมชาติตางกันข้ามกัน
    นี้มีปรากฎอยู่ในปฏิสัมภิทามรรค 40 ข้อตรงกันข้ามกันหมด


    แล้วเมื่อนั้นเธอจึงหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยามคือ เที่ยงต่อมรรคญาณผลญาณ
    อันนี้มีอยู่ในปฏิสัมภิทามรรค ปฏิบัติตามแบบของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น
    ก็เป็นไปตามนี้ คือ เมื่อจิตสงบสูงสุด ด้วยคุณธรรมระดับใดก็แล้วแต่
    เข้าสู่กาย เวทนา จิต ธรรม ในระดับโลกียธรรมไปจนถึงโลกุตรธรรม
    หรือโลกุตรกุศล คือ โคตรภูจิตหรือโคตรภูญาณ
    เมื่อถึงจุดนั้นจิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์
    (พระนิพพานเห็นได้และเมื่อมรรคจิตมรรคปัญญาหรือพลังสมาธิ
    และวิปัสสนาทำหน้าที่เสมอกัน อีกด้านหนึ่งท่านเรียกว่ามรรคจิต
    มรรคปัญญาอันเห็นแจ้งในไตรลักษณ์และในขณะที่โคตรจิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์ย่อมเห็นธรรมชาติที่ตรงกันข้าม ตรงนี้แหละ
    เมื่อมรรครวมกันเป็นเอกสมังคีปรากฏธรรมกาย มรรค เป็นต้นว่า พระโสดามรรค ปรากฏขึ้นปหารสังโยชน์ได้ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้
    เช่นพระโสตาปฏิมรรคประหารหรือละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรมาสได้แล้ว ธรรมกายผลก็จะปรากฏนั่นแหละผลสมาบัติ เข้าผลสมาบัติเท่านั้นเอง ปัจจเวขณญาณจะทำหน้าที่บรรลุและพิจารณา
    พระนิพพานให้เห็นแจ้งด้วยตน การเห็นพระนิพพานในส่วนของโคตรภูจิต
    หรือโคตรภูญาณที่ยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์แต่ว่าโคตรภูจิต
    ของพระโยคาวจรเอาพระนิพพานมาเป็นอารมณ์ที่เอาได้เพราะต้องรู้ต้องเห็น


    ต้องเห็นด้วย รู้ด้วย ต้องได้สัมผัส
    ในขณะนั้นเองมรรคจิตมรรคปัญญาทำหน้าที่ทั้งสมาธิ
    และปัญญาได้อนุโลมขันติแล้วเห็นแจ้งในอริยสัจจ์เป็นไปใยญาณ 3 คือ
    สัจจญาณ กำหนดรู้ว่าแต่ละสัจจ์ที่พ้นนั้นมีอะไรบ้าง


    แล้วกิจจญาณแต่ละสัจจ์นั้นควรทำอย่างไร
    คือ ทุกข์ควรรู้จัก สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง
    มรรคควรทำให้เกิดและเจริญขึ้นและทำได้แล้วเพียงไร
    นั้นเป็นกตญาณ ช่วยนี้เห็นแจ้งตลอดในพระอริยสัจจ์โดยญาณ 3 คือ
    สัจจญาณ กตญาณ และกิจญาณ


    มีอาการ 12 ตรงนี้ มรรคจิตมรรคปัญญาทำหน้าที่เต็มรูป
    เป็นเอกสมังคี ประหารสังโยชน์ เมื่อประหารสังโยชน์นี่แหละที่หลวงพ่อท่านสอนว่า


    ธรรมกายมรรคปรากฏขึ้นเหมือนกับดวงอาทิตย์อุทัยรุ่งขึ้นสว่างกำจัดความมืดฉันใดฉันนั้นคือ กำจัดสังโยชน์ทันที แล้วตกศูนย์เข้าผลสมาบัติ เป็นธรรมกายผลปรากฏขึ้น แล้วพิจารณาปัจเวกขณ์ นี่เป็นตามแนวของหลวงพ่อท่านสอนละเอียดลึกซึ้งลงไป
    นี้เป็นการกล่าวโดยย่อ

    <!--MsgFile=2-->

    *********************************************************
    คัดมาจากคำเทศน์ของท่านเจ้าคุณเสริมชัยนะครับ
    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/11/Y6049805/Y6049805.html
     
  13. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    สมถะวิปัสสนาตามแนววิชชาธรรมกาย


    <!--MsgIDBody=0-->สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทานหลัก คือ ธรรมเป็นอารมณ์ของสมถกัมมัฏฐาน อันเป็นพื้นฐานสำคัญให้ถึงธรรมอันเป็นรากเหง้าให้วิปัสสนาเกิด เจริญขึ้น และตั้งอยู่ เพื่อเจริญปัญญาจากการที่ได้เห็นแจ้งและรู้แจ้ง ในสภาวะของสังขารธรรม และวิสังขารธรรมคือ พระนิพพาน โดยปรมัตถ์ และในพระอริยสัจ ๔ ตาม ที่เป็นจริง ไว้หลายวิธี อันผู้เจริญภาวนาพึงเลือกปฏิบัติให้ ถูกจริตอัธยาศัยของตน


    ข้าพเจ้าจึงขอเสนอวิธีเจริญทั้งสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่ให้ผลดีมีประสิทธิภาพสูง ตามหลักปฏิบัติพระสัทธรรมเพื่อทำนิพพานให้แจ้ง ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว คือ วิธีเจริญสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานให้ถึงธรรมกายมรรคผลนิพพาน ตามรอยบาทพระพุทธองค์ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านปฏิบัติได้เข้าถึง ได้รู้เห็นและเป็นธรรมกายแล้ว จึงได้สั่งสอนศิษยานุศิษย์จนตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน และได้ถ่ายทอดสืบต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏผลดีเป็นอย่างสูงแก่ผู้ปฏิบัติด้วยอิทธิบาทธรรม


    โดยมี หลักปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ถึงธรรมกาย ให้เกิดอภิญญา และ วิชชา คือ ความรู้ความสามารถพิเศษ ได้แก่ วิชชา ๓ วิชชา ๘ (รวมอภิญญา) ชื่อว่า
     
  14. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo


    การที่คุณทำอย่างนี้ เป็นการทำด้วยปัญญา และ จิตผู้รู้ หรือ
     
  15. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    [MUSIC]http://www.oknation.net/blog/home/video_data/824/8824/video/5968/5968.mp3[/MUSIC]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2008
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    รู้

    ว่า

    หายใจด้วยตัวเอง
     
  17. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    ดีครับ
     
  18. Angel_Of_Dream

    Angel_Of_Dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +134
    มิน่าเชื่อ
    อุปนิสัย
    มิน่าใช่
    พระธรรม
    ทุกพระธรรม
    ไม่ใช่ว่า
    ฟังรอบเดียว
    อ่านรอบเดียว
    ก็เข้าใจ
    นะเอย นะเอย
    ใช้เวลาหลายภพ
    หลายชาติ
    นะเอย นะเอย
    แน่ใจแล้วหรือ
    ว่าเข้าใจแล้ว
    ธรรมะของ
    พระพุทธเจ้า
    เป็นธรรมะ
    ที่เป็นไปเพื่อ
    ประโยชน์
    สุขสงบ
    โดยส่วนรวม
    มิได้เป็นไปเพื่อ
    ความสนุกสนาน
    เพื่อความสะใจ
    หรือสร้างความ
    แตกแยก
    ในหมู่คณะ
    นะเอย นะเอย

    หุหุหุหุ
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870


    เเล้วเมื่อไร จะเลิกยืม จมูกคนอื่นหายใจ

    ถ้ารู้ ว่า ดี;8
     
  20. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    แก้จิตให้
     

แชร์หน้านี้

Loading...