วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ komodo ถ้าคุณ กล่าวว่าสองคนนั้นผมเห็นด้วย แต่ถ้ากล่าวว่า ผม ด้วย หรือ กล่าวว่า ทั้งคู่ผมไม่เห็นด้วย

    เพราะว่า สองคนเขามา กล่าวว่า ผม ผมก็ต้องพูด

    ดูต้นเรื่องสิ ผมถกกับ คนที่เชื่อธรรมกาย แต่พอไปๆ มาๆ สองคนนี้ เอาเหตุผล มาสองสามเหตุผล พูดแล้วพูดอีก อย่างกับคน หลงๆ ลืมๆ ไม่มีอะไรจะพูด

    นี่ผมอยากจะถกธรรม เรื่องธรรมกายจะแย่อยุ่แล้ว ไม่เห็นมีเหตุผลใหม่ๆ เลย มีแต่ ก๊อบปีี้มาแปะ ไม่มีใครรุ้จริงนี่
     
  2. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อริยะห้ามแตะ นะจ๊ะๆ

    ป้ายสีคนอื่นอีกแล้ว ตัวเองเที่ยวราวีเขาไปทั่ว ไม่ยักรู้เน้อ..
    ไปอ่านใหม่ นะ หลงลืม แบบนี้ ก็ดำน้ำไปเลย

    ว่าใครเขา เข้าตัวทุกทีนะ คุณขันธ์นะ

    (||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะให้ดู อะไรอย่างหนึ่ง ว่าคนเรานี่ตีความตามตรรกะตนไม่ได้

    เพราะเมื่อครั้งกระแสบอกว่า ผมสำเร็จธรรมแน่ คนก็แห่มาเชื่อ

    พอกระแส พวกมารมันแรง คนก็แห่ไม่เชื่อ

    ทีนี้ ความมั่นคง ความศรัทธาในพระธรรม ที่ผมพูด มันยังไม่หนักแน่นพอ

    ไม่ใช่ผมไม่หนักแน่นพอ แต่ ตรรกะในใจของ คนอ่านยังไม่ปักหลักถึง อจลศรัทธา

    เพราะหากว่า ปักหลักไปแล้ว รุ้แล้ว เห็นแล้ว ตามผม ก็จะไม่คลอน ไม่สนใจในการกระทำ
    แต่ ดูที่ธรรมเป็นหลัก

    จึงเรียกว่า มีศรัทธา

    นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า จะเกลียดจะชังอะไร อย่าไปดูที่ตัวบุคคล ให้ดูที่ พระธรรม
    พอดูที่พระธรรม แล้ว จึงลงได้ แต่ถ้าดูที่ตัวบุคคล มันก็ เพ่งว่า ทำไมเขาทำแบบนี้ พอชอบใจ ก็ ศรัทธาบ้าไปเลย
    พอไม่ชอบใจ ก็ไปด่าว่า ไอ้นี่จอมปลอม คนพูดเรื่องจริง ก็บอกว่า จอมปลอม แต่หัวใจตัวเองจอมปลอม โดนหลอกไปทางนั้นที ทางนี้ที ไม่เคยดู

    นี่โง่กัน ยังอวดฉลาด เอาหละ ผมจะไปทำธุระต่อ
     
  4. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    เวลาพูดดี จงทำให้ได้อย่างนั้น
    อย่ามัวแต่ขันธ์แตก
    จะเสียคำ

    ไม่ใช่ เดี๋ยวบอกคนนั้นอริยะ พอไม่ถูกใจ เรียกเขา ปุถุเน่า

    ;8
     
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ผมไม่ได้กล่าวว่าใครครับ แต่ขอเตือนสติทุกๆ รวมทั้งตัวผมเองครับว่า
    ทุกอย่าง คือ การทดลอง "ใจ" ของเราเองทั้งนั้น

    โมทนาครับ
     
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ตามอ่านตั้งแต่เช้า กว่าจะทัน
    ดูเหมือนมันปิดไปหมดเลย แทงไม่ทะลุสักที เพราะจิตส่งออก จี้ไปที่คน
    ส่วนผู้มีธรรมทั้งหลาย ยังไม่เห็นแย้งด้วยเหตุด้วยผลได้เลย
    ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามตัณหาของตนได้อย่างไร
    เจริญสติ ดูจิตตนเองสักนิด ว่าสภาวะจิตของเราเป็นเช่นไร
    ถ้ามีโทสะ โมหะอยู่ ใจไม่เป็นกลาง มันจะเห็นธรรมไปได้อย่างไร
    มาจนถึงหน้า 38 ก็ยังยึดกับการเพ่งไปที่บุคคล เหมือนเดิม
    ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
    สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากเหตุการณ์นี้ คือ ความล้ำลึกสุดหยั่งของกิเลสทั้งหลาย ที่ปิดกั้นปัญญาอยู่
    นับว่าเพิ่มพูนปัญญาได้มากทีเดียว
    ขอเอ่ยถึงสุดที่รักหน่อย
    คุณสันโดษ โผล่มาทีแรกดูเพื้ยนๆ
    แต่ตอนนี้กลับเห็นธรรมมากกว่าผู้ทรงธรรมหลายๆ ท่าน
    การสนับสนุนสัทธรรมปฏิรูป ดูเหมือนจะจัดกลุ่มได้กับสังฆเภทนะ
    บรรดาผู้ทรงธรรมคงทราบดีว่า สังฆเภทนี้ ร้ายแรงแค่ไหน ทำไมมองไม่เห็นกัน...
     
  7. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    ทำไมเกริ่นยาว เพื่อด่าตนเองในตอนท้าย
    ยกธรรมของปู่มั่นมา ไปอ่านหน่อย จะได้รู้ว่าคุณแอบอ้างผิดอย่างไร

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  8. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    อริยะ ไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่เป็นผู้ละสังโยชน์ ย่อมทำจิตตนให้เบาจากทุกข์ลงได้ตามกำลัง
    เป็นผู้มีศีล และพรหมวิหาร จึงไม่ใช่คนที่จะกล่าวเท็จได้ หรือกล่าวพล่อยไป ..

    .
     
  9. taengmostudio

    taengmostudio สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +17
    ขอย้ำยืนยันเลยว่าการปฏิบัติแบบสายธรรมกายไม่มีทางที่จะบรรลุแน่นอนแม้แต่โสดาบัน...เพราะเป็นการปฏิบัติในนิมิตไม่ใช่การปฏิบัติบนโลกของความเป็นจริงที่มีการกระทบผัสสะของอายตนะทั้ง 6 ซึ่งทางสายธรรมกายไม่ว่าจะมาจากที่ใดๆ ก็จะปิดการรับรู้ของทวารทั้ง 6 ในโลกชีวิตปัจจุบัน

    การทำทาน ผู้ที่ทำทานกับวัดธรรมกายไม่ได้บุญเลยและไม่เกิดอานิสงค์ด้วยเพราะทางธรรมกายสอนว่า "ทำไมคนถึงจนถึงรวยไม่เท่ากันเพราะทำทานมาไม่เท่ากันมิใช่หรอ" นี่เป็นคำที่ผิดทางพุทธ เป็นการลวงโลก การทำทานของพุทธนั้นเป็นไปเพื่อการลดละความตระหนี่ถี่เหนียว หรือลดละกิเลส เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง การเสียสละหรือการจาคะมีแต่จะหมดไปไม่มีได้คืนมา ให้ไปเรื่อยๆจนกว่ากิเลสตัวความโลภจะหมดไป นี่เป็นความหมายการทำทานของพุทธ
    แต่การทำทานของธรรมกายเป็นการหลอกชาวบ้านว่าถ้าคุณทำทานแล้วชาติต่อไปคุณจะร่ำรวยกว่าชาตินี้ เหมือนการซื้อหวยหรือถูกหวย หรือใส่บาตรข้าว 1 ช้อนและก็อธิฐานสาธุให้ถูกหวยรางวัลที่ 1 หรือไม่ก็ทำทานเพือจะได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ได้สอนให้คนลดละกิเลสตรงใหนเลยมีแต่เพิ่มความอยากได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
    เพราะเหตุนี้เลยยืนยันอย่างที่สุดเลยว่าคนที่ไปทำทานกับวัดธรรมกายไม่ได้เกิดการลดละความโลภออกจากจิตใจเลยแม้แต่คนเดียว หรือไม่ได้บุญนั้นเอง

    ย้ำอีกครั้ง บุญ คือการชำระกิเลส หรือได้ลดกิเลสนั่งเอง

    :love::love::love::love::love::love::love::love::love::love::love:
     
  10. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ชื่อกระทู้ ... วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

    หลังจากนั้น ก็เป็นการสอนธรรมกายจากปู่สด ที่ยกมาค่ะ

    .
     
  11. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ท่านยกคำหลวงปู่มากล่าวอ้างก่อน มิใช่หรือ
    ผมก็บอกว่า ท่านเข้าใจความหมายผิดนะ
    และผมยังช่วยรับรองให้ด้วยว่า หลวงปู่กล่าวไว้จริง เคยอ่านหลายรอบแล้ว
    แต่ก่อนก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้เข้าใจชัดแล้ว
    การตำหนิติเตียนผู้อื่นไม่สมควรจริงๆ
    แต่ท่านต้องมองให้ลึกเข้าอีกนิดว่า มีประโยคนี้ การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง
    ชี้ให้เห็นว่า การกล่าวโทษที่เกิดขึ้นจากกิเลส เช่น ความหมั่นไส้ ความพยาบาท นั้นมิบังควรเลย
    ส่วนการตำหนิกล่าวโทษในสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือ ไตร่ตรองไว้แล้ว สมควรยิ่ง
    เพราะนั่นอาจช่วยให้ผู้ฟังได้เกิดปัญญาขึ้นมาบ้าง และเป็นการดำรงพุทธแท้ให้มีอายุยืนนานขึ้น

    มีอยู่กรณีหนึ่ง ที่หลวงตาพวง มาหาหลวงปู่ดูลย์ บอกว่าตนเองสำเร็จอรหันต์แล้ว ให้หลวงปู่ดูลย์ออกมากราบ
    หลวงปู่ก็เมตตา เห็นว่านี่มันติดวิปัสสนูปกิเลส จึงเห็นผิดเป็นชอบ
    หลวงปู่ก็สอนสั่งว่านี่ไม่ใช่นะ
    หลวงตาก็ไม่ยอมฟัง
    หลวงปู่ถึงต้องใช้วิธี ด่าเข้าไปแรงๆ
    หลวงตาพวงโกรธจัด เดินหายไปเลย
    สักพักนึกขึ้นได้ว่า ลืมบาตร และเครื่องอัตถบริขารต่างๆไว้ที่กุฏิหลวงปู่ดูลย์
    จึงฉุกคิดได้ว่า นี่หรือ จิตพระอรหันต์ โดนกิเลสมันเล่นงานเสียแล้ว
    หลวงตาจึงกลับไปขอขมาหลวงปู่เป็นการใหญ่

    กรณีศึกษานี้สอนให้รู้ว่า สัมมาวาจา ใช่ว่าจะต้องหมายถึงคำสุภาพเท่านั้น
    คำหยาบคายก็เป็นสัมมาวาจาได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เจตนาที่เป็นกุศลในการเปล่งวาจานั้นออกไป
    การที่เราฟังคำหยาบคาย แล้วใจขุ่มมั่ว นั่นเพราะเรามีจิตที่เป็นอกุศลปรุงจากสมมตินั้น มิใช่หรือ
    ภาษาในโลกนี้มีมากมาย หากผมด่าฝรั่งว่า ไอ้หน้าโง่
    ฝรั่งจะไม่โกรธเลย ถ้าเค้าไม่เข้าใจความหมายนั้น
    ในทางกลับกัน ถ้าด่าคนไทย ไอ้หน้าโง่
    นี่ มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เพราะอะไรล่ะ
    ก็เพราะติดในสมมติบัญญัติอยู่ไง กิเลสตนเองมันปรุงไปไง

    เต้าเจี้ยว ผมไม่เหมือนหลายๆ ท่าน เช่น ท่านบุคคล3 ที่จะเสียเวลามากมายกับการอธิบายให้ใครถึงธรรม
    จริตผมนิยมสอนผู้ที่ว่าง่ายเสียมากกว่า เพราะเล็งเห็นว่า ไม่คุ้มที่จะเสียเวลากับการฝึกม้าผยศ
     
  12. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถึงคุณโอม

    เรื่อง กระจกส่องตัวเองไม่ได้

    ตอนแรกคุณยกคำนี้มา ผมก็คิดว่า คุณยกวิปัสสนาญาณ ได้ ถึงได้ใช้คำนี้

    แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไมคุยกับเราไม่รู้เรื่อง เพราะคุณยกเพียงแค่เป็นสำนวน

    ไม่ใช่ยกเพื่อชี้สภาวะธรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่

    * * * * *

    จริงๆ วิธีการใช้คำไม่สุภาพที่ อ.ขันธ์ ใช้ ก็เพื่อ ทำให้สักกายทิฏฐิ มันผุดออกมา
    คนที่เรียนทางธรรมกับ อ.ขันธ์ จะเข้าใจจุดนี้ดี และทีนี้ อ.ขันธ์ เหมือนรับ ธุระ
    ในส่วนนี้เวลาเสวนา ถ้า อ.ขันธ์ ไม่ทำ ผมก็จะเป็นคนทำเอง แต่การชี้จะผิดไป
    คือ จะพูดตัวกิเลส ไปเลย ไม่ได้ตรงไปตรงมาแต่ซ่อนเงื่อนงำไว้

    การชี้ตัวกิเลสลงไปเลย ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผล สำหรับคนที่มีสักกายทิฏฐิอยู่ ยังชื่น
    ชมในการมีกิเลสนั้นๆ เวลาที่ชี้จึงร้อนใจ แต่ถ้า ใครภาวนาวิปัสนาอยู่ แล้วมีคน
    ชี้ดูตัวกิเลสให้ จะต่างกัน จะเหมือนเห็นขุมทรัพย์

    ทำไม ถึงเห็นขุมทรัพย์ แทนที่จะด่ากลับ ว่าหักดูตัวเองก่อน

    ก็เพราะ คนที่กำลังยกวิปัสสนาญาณนั้น จะมี คติประจำใจ คือ
    กิเลสไม่ใช่เรา การพูดว่า กิเลสไม่ใช่เรา ไม่ใช่พูดเพื่อปฏิเสธการ
    กระทำ แต่พูดเพื่อให้เป็นทัศนะอำนวยในการแยกเป็นผู้ดู ผู้เห็นกิเลส
    โดยที่ความเป็นจริงนั้น จะรู้ลึกๆอยู่ว่า กิเลสอาศัยจิต และกายเราเกิด

    ดังนั้น การพูดว่า กิเลสไม่ใช่เรา ก็เพื่อเอื้อต่อทัศนะในการดู ไม่ใช่การ
    เป็นคนที่ปฏิเสธกิเลสไม่ใช่เรา ถ้าเข้าใจ จิตใจก็จะตั้งมั่นยอมรับในการ
    ดูกิเลส ดังนั้น เมื่อใครมาชี้ จะถูกจะผิด จะยินดีน้อมรับฟังไว้ก่อน

    และนี้คือ กระจกส่องตัวเองไม่ได้ ในสภาวะของนักปฏิบัติวิปัสสนา

    ดังนั้น ไม่จำเป็นเลย ที่จะยก สำนวน กระจกส่องตัวเองไม่ได้ มาพูด
    กับนักวิปัสสนายานิก เพราะภาวะนี้ น้อมอยู่ในใจตลอดอยู่แล้ว ดังนั้น
    เราจะไม่สงสัยกันและกันระหว่างนักวิปัสสนา เมื่อชี้กิเลสกัน ก็จะรู้ว่า
    เป็นไปด้วยความ เมตตา และ กรุณา เพราะห่วงว่าอีกคนจะไม่เห็น

    เมื่อชี้แล้ว อีกคนย่อมมองอยู่ดูอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องออกตอบรับ เพราะ
    มันเป็นเรื่องปรกติที่จะชี้กันไปชี้กันมา เหมือนเราเจอกันก็ยกมือไหว้ ในวัน
    หนึ่งเจอกันอีก ก็ไม่ต้องยกมือไหว้แล้ว เพราะรู้กันว่าเคารพกันและกัน

    * * * *

    ปล. ผมยกสำนวนนี้ขึ้นมา ถ้าคุณโอมจะย้อนไปอ่าน จะเห็นว่า ผมไม่ได้ยกขึ้น
    มาเพื่อต่อว่า แต่ยกมาเพราะสงสัย เพราะคนที่ยกสำนวนนี้จะต้องทำวิปัสสนา
    เป็น แต่การที่ผม และ อ.ขันธ์ นำเสนอ การวิปัสสนาอยู่ แต่เหมือนไม่เข้าใจ
    และขัดขวาง ก็เลยทำให้สงสัย -- เป็นภาวะสงสัยเท่านั้น ไม่ได้คิดเกินเลยต่อว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ทำไม นักวิปัสสนายานิก ถึงเห็นกิเลสตัวเองเสมอ

    ก็เพราะ นักวิปัสสนายานิก จะปล่อยจิต และ กายไปตามธรรมชาติ
    เพื่อเอื้อให้กิเลสผุดออกมาให้เห็น ยิ่งเห็นมากยิ่งดี

    คนที่ไม่รู้ แล้วมาต่อว่านักวิปัสสนายานิก จึงเผยได้อย่างชัดเจนว่า

    ทำวิปัสสนายังไม่เป็น และปราศจากความเข้าใจโดยสิ้นเชิง
     
  14. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    ยกมาให้ครบ
    แล้วเอาคำดิฉันมาเทียบ อย่าตะแบง

    และควรทำเข้าใจให้ดี ไม่ใช่ยังแอบอ้างผิดอีก กรรมแท้ๆ


    ยกมาซ้ำนะ

    คติธรรมปู่มั่น

    การตำหนิติเตียนผู้อื่น

    ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วยความเดือดร้อน วุ่นวายใจที่คิดแต่ตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรมไม่มีดีเลยจะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

    ..การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรองเป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตนงดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัวแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง เมื่อเกิดมาอาภัพชาติแล้วอย่าให้ใจอาภัพอีก ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพคิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตน ให้ได้ทุกข์เป็นบาปกรรมอีกเลย คนชั่วทำชั่วได้ง่าย และติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขให้ดี คนดี ทำดีง่ายและติดใจกลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป



    ที่สำคัญ คุณมั่นใจว่าตำหนิกล่าวโทษในสิ่งที่ถุกต้อง ??
    ต้องระวังให้ดี ถ้าไม่ใช่อย่างที่คุณคิด เห็นพวกอวดตนมีไม่น้อยในเว็บนี้ <O:p</O:p

    (||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  15. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เอาเป็นว่า ผมมันโง่เขลาเบาปัญญา
    ไม่น่าสอนหนังสือสังฆราชเยี่ยงท่านเลย
    ขออภัยด้วยครับ...;8
     
  16. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    เจตนา นั้น เป็นตัวนำทางกรรม ..
    ไม่ว่าจะแสดงออกอย่างไรก็ตาม
    แต่ไม่พ้นกรรมไปจากความจริงในใจนั้นได้เลย

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  17. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถูกแล้ว เจตนา นั้นเป็นตัวนำการกระทำ

    แต่ เจตนา ก็ถูกปรุงขึ้นได้ สำหรับคนที่ไม่หลง

    ต่างกันอย่างไร ระหว่างคนหลงที่ใช้เจตนา กับ คนไม่หลงที่ใช้เจตนา

    คนหลงที่ใช้เจตนา จะมีอารมณ์ร่วมกับคำพูดนั้นจริงๆ เช่น ครูมีอารมณ์
    และตีนักเรียนด้วยแรงของอารมณ์ พ่อแม่ตีลูกด้วยความขุ่นใจ

    คนไม่หลงที่ใช้เจตนา จะไม่มีอามรณ์ร่วม แต่เป็นการใช้ทางเทคนิค
    เช่น ครูตีนักเรียน พ่อแม่ตีลูก

    จะเห็นว่า จากตัวอย่าง อาการของกริยา ภายนอกเหมือนกัน แต่ต่าง
    กันที่การเสพอารมณ์ แต่กรณีที่ยกตัวอย่าง จะเห็นได้ หรือแยกได้
    จากทางสีหน้า แต่ทีนี้ กรณีของ อ.ขันธ์ เราไม่อาจเห็นได้ว่าสีหน้า
    เป็นอย่างไร ดังนั้น เราจึงต้องอนุมาน สร้างอารมณ์ร่วม เพื่อเสพ
    โดยดึงจากตัวหนังสือ แล้วหยั่งอารมณ์ พอหยั่งได้ ก็ปรุงโต้ตอบออก
    ไป

    ทีนี้ ถ้าเราอ่านอย่างไม่คาดเดาอารมณ์ ใช้เพียงทัศนะที่เป็นกลาง เรา
    จะอ่านตัวหนังสือของ อ.ขันธ์ โดยไม่มีอารมณ์เกิดขึ้น จะมีเพียงทัศนะ
    เท่านั้น หรือ เห็นแต่ข้อธรรมเท่านั้น ถ้าใครอ่านแล้วไม่เห็นเป็นข้อธรรม
    ถ้าเป็นสันโดษ จะใช้สำนวนว่า ดูคิด ทันที แต่ถ้าเป็นผม ผมจะชี้ตัวกิเลส
    หรือ วิถีจิตกลับไป ( ดังที่ผมขีดเส้นใต้ในวรรคก่อนหน้า )
     
  18. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    ครับผม
    พี่ขันธ์โม้ ผมก็บอกว่าพี่โม้
    พี่ขันธ์ไม่รู้จริง ผมก็บอกไม่รู้จริง
    พี่ขันธ์ไม่ควรมาวิจารณ์ ผมก็บอกไม่ควร

    นี่ก็ควร อนุโมทนาสาธุกับผมที่ผมพูด ควรยอมรับเสียด้วยซ้ำ
     
  19. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ดีแล้ว ถูกแล้ว ถ้าคิดเห็นอย่างไร ก็แสดงออกมา ในทางวิปัสสนายานิกแล้ว
    เราไม่ได้รังเกลียด ในการเห็นการโต้ตอบของอีกฝ่าย และก็ไม่รังเกลียดที่จะ
    ถูกชี้

    ในการยกวิปัสสนาญาณ จะไม่มีคำว่า ห้ามทำอย่างนู้น ห้ามทำอย่างนี้ มีแต่ให้
    รู้ ให้ดู จะรู้ จะดูได้ ก็ต้องแสดงออกมาตามความเป็นจริง

    ดังนั้น ครูที่สอนวิปัสสนายานิก จะดีใจมาก หากลูกศิษย์เป็นผู้ชี้กิเลสตัวเองเสียเอง

    ถ้าทำไม่ได้ ครูผู้สอนจะเป็นคนชี้ให้ จะเป็นคนกระชากหน้ากากให้ แต่ก็ควรทำกับ
    คนที่จิตใจเข้มแข็ง เพราะถ้าทำกับคนที่จิตใจไม่เข็มแข็งจะตกใจ ละอาย จนเกิด
    มานะข้างถ่อมตน แต่สำหรับคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง จะเกิดมานะข้างฟูขึ้น ดังนั้น
    ก็จะมีการโต้ธรรมกัน แต่ใช้สำนวนตามภาษาคนกันเองขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นว่า
    อีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ ก็จะหาทางเปลี่ยนอารมณ์ หรือเปลี่ยนเป้ากิเลสที่ชี้
    ก็จะต่อธรรมกันได้เรื่อยๆ

    แต่คนไม่รู้ ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร มักจะไม่เข้าใจ

    เหมือนเราเดินเข้าไปในตลาด เห็นแม่ค้าตะโกนเข้าหากัน ด่ากัน เราเห็นแล้ว
    ไม่เข้าใจ ก็งง และรังเกลียด แต่ขณะที่แม่ค้ารายรอบหัวเราะชอบใจ นั่น
    เพราะเขาต่อธรรมกันและกัน ตามประสา ภูมิธรรมของเขา
     
  20. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697

    รวมถึงคุณด้วยไหม

    คนอื่น เขามีวิจารณญาณพอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...