เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ลองลงโปรแกรมตัวนี้ดูครับ K-lite codec pack เปิดได้หมดแทบทุกภาพเคลื่อนไหวและเสียงครับ
    ฟังไป 3 บทแล้วเยี่ยมเลยครับ

    http://www.4shared.com/file/64658434/939ed465/klcodec310f.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2008
  2. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณครับ คุณ mead ฟังได้แล้ว เยี่ยมเลยครับ
    ใครต้องการอาบน้ำตก vibration ลองดาวน์โหลดฟังดูได้เลยครับ ;aa22
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    นำฝันของคุณเซลล์หลังห้องมาลงนะครับ เดี่ยวหน้าห้องจะเงียบไป
    ยิ่งคุณเดรดไปอียิปต์ด้วย ขาดลำโพงไปหนึ่งเสียงครับ

    คงฟัง Audio Book กันได้แล้วนะครับ
    ผมเพิ่งฟังบทที่สองกับบทที่สามไปเกี่ยวกับเรื่องผู้ถาม-ผู้ตอบที่อยู่ภายใน
    ขนาดว่าเคยอ่านไปแล้ว พอตั้งใจฟังก็ยังเก็บตกอะไรได้อีกมากมายเลยครับ

    คุณเซลล์ฝันเรื่องไดอารี่น่าสนุกดี
    ส่วนเรื่องของตัวเลขนี่ไม่มีอะไรตายตัวแต่ก็มีความสัมพันธ์กันอยู่นะครับ
    ในมิติขั้นสูงๆ จะมีเรื่องความสัมพันธ์ขององค์สามครับ (เลขฐาน3)
    คือสิ่งที่ก่อให้เกิด-สิ่งที่ถือกำเนิด-สิ่งที่เป็นครับ
    เช่น จิตเหนือสำนึก-จิตใต้สำนึก-จิตสำนึก
    จิตใจ-ร่างกาย-จิตวิญญาณ
    พลังงาน-สสาร-อีเธอร์
    ความคิด-ถ้อยคำ-การกระทำ
    อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
    ที่นี่-ที่นั่น-ที่ว่างระหว่างนั้น..ฯลฯ

    ถ้าเป็นเลขคู่ (เลขฐาน 2) ก็จะเป็นอีกระบบนึง..อาจไม่มีตรงกลางอยู่จริง
    ความสัมพันธ์ขั้นหยาบกว่าจะเป็นแบบคู่ครับ หรืออยู่ในมิติที่เรามองเห็นได้ง่ายกว่า
    เช่น ซ้าย-ขวา บน-ล่าง ร้อน-หนาว หญิง-ชาย ฯลฯ
    และเลขแต่ละระบบก็คงพัวพันกับมิติทับซ้อนอื่นๆจนเราคิดก็มึนล่ะครับ
    แต่ทั้งหมดแล้วก็คือหนึ่งเดียวกันทีไหลจากจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนะครับ
    เรื่องนี้อ่านมาจากสนทนากับพระเจ้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2008
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    บทส่งท้าย

    หลังการเรียนรู้อันหนักหน่วง ฉันเริ่มหยุดคิด และเลิกคร่ำครวญต่อว่าโชคชะตา ฟ้าดิน ที่ลิขิตชีวิตฉันมาได้มหารันทดขนาดนี้ ฉันเริ่มเรียนรู้ว่า สิ่งเหล่านี้ฉันเองเป็นคนเลือกมันมาสู่ชีวิตฉันเองไม่ใช่หรือ ถ้าฉันคิดจะตำหนิใครล่ะก็ ฉันก็กำลังตำหนิตัวเอง สิ่งที่ฉันรู้คือตัวตนภายในของฉันเขาฉลาดล้ำลึกกว่าฉันมากมายนัก จิตวิญญาณรู้ดีว่า ชีวิตที่สุขสบาย ปราศจากปัญหาและอุปสรรค จะไม่เอื้อต่อการพัฒนาของจิตวิญญาณ แต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งสนับสนุนให้เกิดการก้าวหน้าของจิตวิญญาณเร็วขึ้นเท่านั้น ประโยคคล้ายกันนี้ฉันจำได้ว่า มีระบุไว้ในหนังสือชุดนี้ของ โนวาอนาลัยเช่นกัน

    สิ่งที่ฉันเลือกมันก็เป็นไปตามบุคลิคภาพของฉันน่ะแหละ ไม่ว่าชาติภพใด มิติใด บุคลิคภาพนี้ยังคงโดดเด่นเสมอ "เข้มแข็ง รวดเร็ว กระชับ ฉับไว" บทเรียนรู้ที่ยากที่สุดฉันเหมือนเคยได้ยินมาว่า ก็คือโลกมนุษย์ เพราะทุกจิตวิญญาณที่มาเป็นเนื้อหนังมักจะหลงติดอยู่กับเครื่องพรางทางกายภาพ และ กาลเวลา อยู่นานเข้า ก็หลงมากเข้าจนลืมถึงที่มาและเป้าหมายของตัวเอง

    ฉันเริ่มมองเห็นความไม่เที่ยงทั้งในวัตถุธาตุ (สสารที่แลดูมั่นคงถาวร) และ วัตถุธรรม มองเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในสังขารกายภาพนี้ ฉันเห็นความเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์เสมอ นั่นคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป (คงความเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา)

    ฉันหวังว่าเพื่อนทุกท่านในกลุ่มของฉันและที่มีเป้าหมายเดียวกัน จะประสบความสำเร็จในที่สุดทุก ๆคน ฉันขออวยพร
     
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    this is my spiritual journey (บททดสอบแห่งความตาย)

    ก่อนที่จินตวดีจะล้มป่วยลงในคืนหนึ่งหลังจากปลดประจำการแล้ว มีกระดาษเขียนด้วยภาษาอังกฤษ ปรากฏขึ้นที่กลางหน้าผาก เป็นเพราะกำลังเป็นไข้ จิตไม่ได้จดจ่อมากนัก แต่ก็ไม่พลาดท่อนความสุดท้ายที่ดูเหมือนโดดเด่นขึ้นมาให้รับรู้ I want you to know your spiritual journey ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมจดจำได้อย่างดี คำนี้จะมีความหมายอย่างไรหนอ อีกสองสามวันถัดมา ฉันมีอาการไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น และหอบ ฉันถูกส่งไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ คุณหมอสัณนิษฐานว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ฉันขอให้หมอช่วยเอ็กซเรย์ที เพราะฉันมีความรู้สึกว่าปอดฉันมันกระตุก ผลหลังเอ็กซเรย์ คือ NORMAL ปกติ ไม่น่าเชื่อ หมอจ่ายยาแล้วไล่ฉันกลับ ฉันกลับไปนอนหอบอยู่ที่บ้านอีก 7 วัน จนวันสุดท้ายฉันมองไม่เห็นอะไรแล้ว จึงให้น้องที่บ้านไปส่งที่โรงพยาบาลตอน 4 ทุ่ม หลังตรวจหมอยังยืนยันไข้หวัดเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ฉันรู้ตัวจึงอ้อนวอนขอ เอ็กซเรย์อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ผลเอ็กซเรย์เปลี่ยนไป ปอดฉันบวมมาก หมอได้แต่บอกไม่น่าเชื่อเพราะเพิ่งจะX-RAY ไปหยก ๆก็ปกติดี ฉันถูกนำส่งห้องฉุกเฉินทันที พร้อมหมอใหญ่เข้ามาต่อว่าว่าทำไมมารักษาช้าอย่างนี้ รู้ไหมว่านิวมอเนีย 7 วันตาย ฉันอึ้งพร้อมบอกเขาว่าฉันมาเอ็กซเรย์แล้วก่อนหน้านี้พร้อมผลเป็นปกติ คุณหมอไม่เชื่อ แต่เรียกฟิล์มเก่ามาดู พอดูแล้วก็บอกว่านี่ไงฟิล์มเก่าก็บอกว่าเป็น แต่พอเหลือบไปดูผลตรวจข้างล่างก็ได้แต่อึ้งกับคำว่า NORMAL นั่นเอง ฉันไม่โทษใครผิดแต่ฉันโทษตัวเองว่านี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเองเพื่อมาเรียนรู้ภายใต้ภาวะทางกายภาพนี้ ฉันนอนอยู่โรงพยาบาลด้วยอาการโคม่า 3-4 วัน โดยเฉพาะ 3 วันแรก บททดสอบของจริงก็เริ่มมาเยือน ช่วงแรกของการฉีดยาฆ่าเชื้อเป็นความทรมานขนาดนอนเฉย ๆ ยังเหนื่อยเหมือนจะตายเลย เราห่างไกลพ่อแม่พี่น้อง ตอนนั้นกลัวตายจริง ๆ แต่ความกลัวนั้นก็ได้ให้สติพิจารณา ว่าจริง ๆแล้ว เรานี่กลัวตายเพราะกลัวจะไม่มีตัวตน อันนี้คือติดตัวตนอัตตาขนานแท้ แต่ก็ไม่เคยคิดโทษใครเลยคิดอย่างเดียวนี่คือสิ่งที่เราเลือกมาเอง ในคืนนั้นมีข้อความส่งผ่านมาโดยอัตโนมัติ ว่า HERO พร้อมมีเสียงดังภายในจิต "กลุ่มของท่านทุกคนผ่านการทดสอบ" เราคิดถึงคำว่า ทุกคน ขึ้นมา เอเราว่าเราสอบตกนี่นา เพียงแค่นั้นเสียงในจิตตอบกลับมาทันทีว่า "ไม่ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นกับท่าน ท่านก็ไม่เคยมาลงกับระบบ" คืนถัดมา เหมือนชะตากลั่นแกล้ง อยู่ ๆพยาบาลนำยาของเตียงอื่นมาให้สลับกัน เราก็ว่ายามันทำไมไม่เหมือนเดิม เพิ่งมารู้ว่าเป็นยาลดความดันของอีกเตียงหนึ่ง ท่านคิดดูสภาพของคนป่วยความดัน 60 86 ซึ่งต่ำมาอยู่แล้ว เจอยาลดความดันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันเกิดอาการลมตีขึ้นเหมือนจะตาย ตัวเย็น ฉันรีบคลานไปนอนคุดคู้อยู่บนเตียงรอรับความตาย จิตฉันถูกกำหนดไปที่กลางหน้าผากโดยอัตโนมัติ ฉันมองเห็นภาพจิตวิญญาณต่าง ๆมากมาย เห็นภาพฉันในแต่ละมิติและชาติภพ ในขณะที่ฉันกำลังจะหลุดไปในช่องอันเวิ้งว้างนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในจิต "อย่ากำหนดที่หน้าผาก เพราะจะทำให้ท่านหลุดไปไกล แต่ให้ดูลม ที่รูเล็ก ๆ แทน (อันนี้ฉันคิดถึงการจับลมที่รูจมูกทันที) หลังจากนั้นจิตฉันเริ่มละจากภาพ สู่ความสงบสุขทันที ประมาณ ตี3 ฉันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเตียงข้าง ๆ พยาบาลวิ่งมาดูคนไข้นั้นเสียชีวิตเสียแล้ว ฉันจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเพื่อดูเวลา ในขณะนั้นปรากฏเสียงดังกังวานอย่างชัดเจน "ปิดโทรศัพท์" ดังอยู่หลายครั้ง ฉันฟังจนแน่ใจว่าของจริง จึงนึกชมอยู่ในใจว่า ที่นี่เครื่องมือเขาไฮเทคดีจัง แค่เปิดโทรศัพท์ก็มีระบบเตือนด้วย พอตอนเช้าถึงได้รู้ความจริงว่า เครื่องแบบนี้โรงพยาบาลไม่มีติดตั้ง อ้าวเป็นงั้นไป อาจเป็นไปได้ว่ามีพลังบางอย่างกำลังส่งมารักษาให้ฉัน เพราะตอนที่ฉันเหนื่อยมากฉันได้ยินคำว่า อ๊อกซิเจน พร้อมกับตัวฉันเด้งขึ้นมาเหมือนถูกช๊อตด้วยไฟฟ้า หลายต่อหลาย ทุกครั้งที่ถูกช๊อต ฉันรู้สึกได้ถึงปริมาณอ๊อกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก ก่อนจะรุ่งเช้าคืนนั้น ฉันเห็นกระดาษทดสอบอีกแผ่นปรากฏ คราวนี้มันระบุถึง "บทเรียนแห่งความตาย ตายก่อนตาย โอมันยังมีต่ออีกหรือ

    จริง ๆ ฉันพิมพ์เสร็จภาคต่อไปนานแล้วนะ แต่เหมือนบางอย่างไม่ค่อยอยากให้ฉันพูดมากนัก ฉะนั้นฉันจึงย่นย่อลง และไม่ใส่ฟีลลิ่งมากนัก หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้แค่คืนเดียว ฉันก็ถูกหามกลับส่งห้องฉุกเฉินใหม่ด้วยอาการแพ้ยาอย่างแรง หมอตรวจอาการพร้อมตัดสินใจฉีดยาแก้แพ้เข้ากระแสเลือด แต่สำหรับคนความดันต่ำอย่างฉัน นั่นคือบททดสอบเลยล่ะ ยาแก้แพ้ที่มีสรรพคุณทำให้ตัวเย็นลง (เหมือนที่ฉีดตอนเป็นลมพิษ)เมื่อเข้าสู่ร่างกายฉัน ปรากฏทำให้ฉันวูบลงภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ฉันพยายามเรียกหมอเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครสนใจฉันเลย เหมือนฉันไร้ตัวตนที่นั่น จนกระทั่งที่สุดของที่สุดฉันเริ่มที่จะช็อค มีคนมาวัดความดันให้ฉัน ความดันฉันข้างล่างเหลือ 50 เท่านั้น ความโกลาหลเกิดขึ้น เขาเข็นฉันไปในห้องดูอาการ ฉันไม่รู้ว่าสติฉันล่องลอยไปไหนเมื่อไร รู้แต่ว่า ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นตัวฉันกำลังนอนลืมตาโพลง ตัวชักกระตุก และเมื่อฉันได้สติอีกครั้ง ฉันก็ยังคงอยู่ท่านั้นเหมือนเดิม มันทำให้ฉันได้คิดว่า ความตาย การเกิด ล้วนแต่ไม่แตกต่างจากฝันหรือตื่นจากฝันเลย (อารมณ์เดียวกัน)

    เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านอีกครั้งฉันเริ่มได้คิด ฉันนั้นไม่กลัวตายเพราะทุกคนต้องเข้าแถวเรียงหาความตายอยู่แล้ว แต่ที่ฉันกลัว ฉันกลัวจะตายก่อนที่จะเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้สมบูรณ์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จำเป็นต้องหลงเกิดด้วยความไม่รู้ แล้วก็หลงตายด้วยความไม่รู้ วนเวียนชาติแล้วชาติเล่าอยู่นั้นแหละ และฉันก็ค้นพบแล้ว สติปัฐฐานสี่เป็นทางสายเอก นั่นคือการไม่ส่งจิตออกนอกตัว แต่ใช้ส่งจิตคือกำหนตให้เข้าหาตัวเอง คือแยกสภาวะธรรมได้ เมื่อถึงเวลาจิตจะเข้าใจอัตโนมัติถึงธรรมชาติและที่มาของตัวมันเอง ฉันเพิ่งจะเรียนรู้จึงไม่อาจพูดมากไปกว่านี้

    บางครั้งฉันขณะที่ฉันเผลอ หรือจิตจดจ่อโดยไม่เจตนา ฉันเห็นชาติภพต่าง ๆของฉันผุดขึ้นมา ฉันเห็นความสมดุลย์ในแต่ละชาติพที่ต่างเกื้อหนุน ซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ฉันเห็นการเกิดดับมากมาย ใจฉันเกิดอาการเหนื่อยหน่ายขึ้นมาทันที และในทุกชาติภพ มีผู้ชายคนหนึ่งคอยนำทางให้ฉันเสมอ ไม่น่าเชื่อผู้ชายผมยาว ที่ฉันเคยวาดภาพเมื่อนานมาแล้ว เขามีตัวตนจริงในอีกมิติหนึ่ง ฉะนั้นคำที่ท่านอนาลัยกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งที่จินตนาการล้วนมีโลกแห่งความเป็นจริงของมันเสมอ จึงถูกต้องอย่างจริงแท้แน่นอน ฉันควรจะเรียกเขาว่าอะไรเล่า "นักพูด" หรือ "ผู้รู้ภายใน" ล่าสุดเขาตบท้ายด้วยภาพ "I want you to know your spiritual journey" เป็นภาพเขาที่เดินนำหน้าฉันผ่านหุบเขา ทะเลทราย มหาสมุทร แม่น้ำ ตัวฉันกำลังเดินตามด้วยความอ่อนแรงอย่างที่สุด เหมือนคนใกล้จะตาย บางครั้งฉันหยุดล้มลง เขาหันกลับมาให้กำลังใจ และฉันก็ลุกขึ้นแข็งใจเดินต่อ บางครั้งฉันทรุดพร้อมหันหลังกลับ เขาจะหยุดกลับมามอง พร้อมเรียก "ตามมา" ฉันปฏิเสธเขาไม่ได้ ฉันยังตามไปด้วยความอดทนแม้จะเหนื่อยล้าเพียงใด ณ จุดสุดท้าย ริมทะเล พระอาทิตย์กำลังขึ้น เขาหยุดรอฉัน ฉันค่อย ๆก้าวขาทีละนิดอย่างกับคนที่ไม่มีแรงที่จะก้าวขายังไงยังงั้น เขากอดฉันด้วยความรักที่พ่อแม่มีให้ลูก เหมือนคนรักที่จากกันไปนานได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เขาดีใจในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จจนได้

    บางท่านอาจคิดว่าฉันกำลังเพ้อเพราะพิษไข้ แต่เชื่อสิสติสัมปชัญญะฉันมันทำงานครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันแค่มายืนยันเท่านั้น JOURNEY ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิตินั้นมีจริง ๆ

    บทส่งท้าย

    หลังการเรียนรู้อันหนักหน่วง ฉันเริ่มหยุดคิด และเลิกคร่ำครวญต่อว่าโชคชะตา ฟ้าดิน ที่ลิขิตชีวิตฉันมาได้มหารันทดขนาดนี้ ฉันเริ่มเรียนรู้ว่า สิ่งเหล่านี้ฉันเองเป็นคนเลือกมันมาสู่ชีวิตฉันเองไม่ใช่หรือ ถ้าฉันคิดจะตำหนิใครล่ะก็ ฉันก็กำลังตำหนิตัวเอง สิ่งที่ฉันรู้คือตัวตนภายในของฉันเขาฉลาดล้ำลึกกว่าฉันมากมายนัก จิตวิญญาณรู้ดีว่า ชีวิตที่สุขสบาย ปราศจากปัญหาและอุปสรรค จะไม่เอื้อต่อการพัฒนาของจิตวิญญาณ แต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งสนับสนุนให้เกิดการก้าวหน้าของจิตวิญญาณเร็วขึ้นเท่านั้น ประโยคคล้ายกันนี้ฉันจำได้ว่า มีระบุไว้ในหนังสือชุดนี้ของ โนวาอนาลัยเช่นกัน

    สิ่งที่ฉันเลือกมันก็เป็นไปตามบุคลิคภาพของฉันน่ะแหละ ไม่ว่าชาติภพใด มิติใด บุคลิคภาพนี้ยังคงโดดเด่นเสมอ "เข้มแข็ง รวดเร็ว กระชับ ฉับไว" บทเรียนรู้ที่ยากที่สุดฉันเหมือนเคยได้ยินมาว่า ก็คือโลกมนุษย์ เพราะทุกจิตวิญญาณที่มาเป็นเนื้อหนังมักจะหลงติดอยู่กับเครื่องพรางทางกายภาพ และ กาลเวลา อยู่นานเข้า ก็หลงมากเข้าจนลืมถึงที่มาและเป้าหมายของตัวเอง

    ฉันเริ่มมองเห็นความไม่เที่ยงทั้งในวัตถุธาตุ (สสารที่แลดูมั่นคงถาวร) และ วัตถุธรรม มองเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนในสังขารกายภาพนี้ ฉันเห็นความเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์เสมอ นั่นคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป (คงความเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา)

    ฉันหวังว่าเพื่อนทุกท่านในกลุ่มของฉันและที่มีเป้าหมายเดียวกัน จะประสบความสำเร็จในที่สุดทุก ๆคน ฉันขออวยพร

    ..............................................................................................

    ขอนำมาผนวกเข้าด้วยกัน นะครับ
    มีประโยชน์มากครับ
    ขอโมทนากับคุณจินตวดีเป็นอย่างยิ่ง
    <!-- / message --><!-- / message --><!-- edit note -->
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    วันนี้ขอนำคำถามจากผู้อ่าน พร้อมคำตอบของพี่นักเขียนมา post เนื่องจากพี่นักเขียนเห็นว่า มีสาระที่เกี่ยวพันกับภาวะทางกาย อันเป็นภาพสะท้อน ผลลัพธ์ และสัญลักษณ์ของภาวะจิตที่พวกเรากำลังเรียนรู้ไปพร้อมๆกับประสบการณ์อันเข้มข้นของคุณน้องจินตวดี


    สวัสดีค่ะคุณอัจฉริยะ

    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่เขียนมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง
    และต้องขอออกตัวว่า ดิฉันเป็นเพียงนักเขียนที่เขียนด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่นักเขียนโดยอาชีพ ดังนั้นจะเรียกหนังสือ ชุดนี้ว่าเป็น ภาคภาษาไทยของหนังสือภาคภาษาอังกฤษเล่มใดๆคงไม่ได้ เพราะไม่ใช่หนังสือแปลเช่นหนังสือแปลของนักเขียนมืออาชีพทั้งหลาย แต่เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นจากการสื่อสารโดยตรงกับองค์ความรู้ที่ดิฉัน (ผู้เขียน) เรียกว่า โนวา อนาลัย ซึ่งไม่ได้เป็น "ชื่อ" ของบุคคล แต่เป็น "คำจำกัดความ ที่ระบุถึงบุคลิกภาพ-อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่ปรากฏในการสื่อสาร-ในความ ฝัน" ซึ่งมีความหมายว่า " เส้นทางใหม่สู่การเป็นอิสระจากความปรารถนา"

    อาการทางกายทั้งหลาย เป็นผลสะท้อน หรือผลลัพธ์ของภาวะจิต
    อาการทางกายเป็นสัญลักษณ์ของภาวะจิต
    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อาการทางกายเป็น "เงา"ของความเป็นจริงของจิต


    ไม่ว่าอาการทางกายจะเป็น อย่างไร อาการเหล่านั้นไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำมาใช้ เพื่อปรับเปลี่ยน หรือพัฒนาจิต หรือดำเนินจิตต่อไปในทิศทางที่ปรารถนาได้ เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถปรับเปลี่่ยนเงาของร่างกายของเราที่ทอดลงบนผืน หญ้าได้โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนต้นกำเนิดของเงา ซึ่งคือร่างกายของเรา

    ในที่นี้ เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนอาการทางกายได้โดยปราศจากการปรับเปลี่ยนภาวะจิต เมื่อแลเห็นเงาของตนเอง สิ่งที่เราค้นพบคือ สัญฐานของรูปกายในทิศทางที่เราอาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยวิธีกา รอื่นๆ เช่น ไม่อาจรู้เห็นได้ในกระจกเงา หรือจากภาพถ่าย เงาจึงทำให้เราค้นพบบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสัญฐานของรูปกายของเราในทิศทาง ใหม่ มุมมองใหม่ ซึ่งเป็นส่วนของความเป็นจริงอีกส่วนหนึ่งที่ขาดหายไปจากมุมมองอื่นๆ

    แต่เงาเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่ความ เป็นจริงทั้งหมดเกี่ยวกับรูปกายของเรา เราจะสามารถรู้เห็นสัญฐานรูปกายของตนเองได้รอบทิศอย่างครบถ้วนได้ด้วยการ อาศัยการสำรวจ เงา กระจกเงา ภาพถ่าย ฯลฯ รวมกันทั้งหมด

    ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าอาการทาง กายทั้งหลายปราศจากความหมาย หากแต่ว่ามันมีความหมายในนัยที่ลุ่มลึกกว่าอาการทางกายภาพมากมายนัก เพราะกายเป็นผลสะท้อน ผลลัพธ์ และสัญลักษณ์ของภาวะจิตโดยตรง

    สิ่งที่เราทั้งหลายจำเป็นจะต้อง ศึกษา คือ ภาวะจิตของตนเอง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภาวะทางกายเหล่านั้น เราจึงจะสามารถเข้าถึงต้นกำเนิดของผลสะท้อน ผลลัพธ์ และสัญลักษณ์เหล่านั้นได้

    สรุปได้ว่า คุณอัจฉริยะจำเป็นจะต้องสำรวจภาวะจิตของตนเอง เพื่อค้นให้พบ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคล อันเป็นต้นกำเนิดของอาการทางกายเหล่านั้น

    "ความรู้สึกนึกคิด"คือแก่นแท้ของจิตวิญญาณ เมื่อเราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของตนเอง เราจึงจะค้นพบภาวะจิตอันเป็นต้นกำเนิดของภาวะทางกาย และทำให้ค้นพบได้ว่า ปัจจัยใดในภาวะจิตคือส่ิงที่ควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
    เช่นเดียวกันกับที่คุณอัจฉริยะได้ค้นพบแล้วว่า ประสบการณ์ชีวิตอันไม่พึงปรารถนาทั้งหลายในอดีต ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากตนเอง คือมีต้นกำเนิดมาจาก "อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเอง"

    คำถามของคุณอัจฉริยะที่ว่า จะ"พัฒนา"อาการทางกายนี้ต่อไปได้อย่างไร เป็นคำถามที่มีคำตอบอยู่ในตนเอง อันเกิดจากตัวรู้ในตนเองว่า อาการดังกล่าวระบุถึงการก้าวไปสู่ธรณีประตูของภาวะจิต พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่ตระหนักได้ว่า ตนเองได้ไปถึงธรณีประตูแล้ว และปรารถนาที่จะก้าวล่วงผ่านธรณีประตูไปสู่ห้องใหม่ ภาวะใหม่ โลกใหม่่ มิติใหม่ แต่ยังติดขัดอยู่ว่า จะก้าวต่อไปได้อย่างไร?

    การตระหนักได้ถึงความปรารถนา ความมุ่งมั่น และเจตนาที่แท้จริงของตนเอง เป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด"ความพร้อม" ที่จะเผชิญกับภาวะและเหตุการณ์ทั้งหลาย ซึ่งมีต้นกำเนิดเป็นภาวะจิตมาก่อนเสมอ

    อาการแน่นหน้าอกเป็นสัญลักษณ์ของอะไร?
    คุณอัจฉริยะจะต้องค้นให้พบสัญลักษณ์ของภาวะจิตของตนเอง
    เพราะสัญลักษณ์ทั้งหลาย ล้วนเป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคล


    นักเขียนจะบอกได้อย่างมากก็เพียงว่า เมื่อค้นพบแล้วว่ามันคือสัญลักษณ์ของอะไร
    ให้ตั้งคำถามต่อไปว่า อารมณ์-จินตนาการและความรู้สีกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อใดของตนเอง ก่อให้เกิดอาการอันเป็นสัญลักษณ์ดังกล่าว และจะกำจัดมันได้อย่างไร หรือจะปลดปล่อยตนเองจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สีกนึกคิดที่คล้อยตามความ เชื่อ ซึ่งก่อให้เกิดอาการนั้นๆได้อย่างไร

    การเปิดประตูสู่โลกของจิตวิญญาณ เป็นการก้าวล่วงไปสู่ห้องใหม่ โลกใหม่ มิติใหม่ ที่เราแต่ละคนล้วนมี อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งถูกล้อมกรอบไว้ไม่มากก็น้อยด้วยศาสนา สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ มากมาย

    กรอบเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่ทำให้ เราขาดการตั้งจิตปรารถนา ตามปรารถนาที่แท้จริงของตนเอง ขาดความมุ่งมั่นและขาดเจตนาในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เราขาดความพร้อมไปโดยปริยาย เพราะจิตวิญญาณทั้งหลายล้วนมาถือกำเนิดพร้อมด้วยความเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใคร แต่กลับพยายามพัฒนาด้วยกระบวนการที่เป็นไปในทิศทางที่ถูกล้อมกรอบให้เสมอเหมือนกัน โดยอาจถูกกำหนดและจำกัดด้วยความเชื่อว่า เป็นทิศทางที่ดีและถูกต้องที่สุดเพียงทิศทางเดียว

    การปลดปล่อยภาวะจิต หรือปลดปล่อยจิตวิญญาณออกจากกรอบทั้งหลายเหล่านั้น จะทำให้จิตวิญญาณสร้างสรรค์ความพร้อมให้กับตนเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และทำให้เรามีอิสระที่จะสัมผัสได้ถึงความปรารถนา ความมั่งมั่นและเจตนาที่แท้จริงของตนเอง

    ความอึดอัดทางกาย ทางใจทั้งหลาย จะสลายตัวไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อเราค้นพบเส้นทางอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และความท้าทายทั้งหลายที่เราเลือกที่จะมาเผชิญในชาติภพนี้ และชาติภพอื่นๆ และจะทำให้สามารถก้าวล่วงไปสู่ภาวะ"ต่อไป" ที่จิตวิญญาณปรารถนาจะจดจ่อ ปรารถนาจะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายหลัก อันได้แก่การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ เพราะจิตวิญญาณทั้งหลายล้วนใฝ่รู้ และมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้อย่างเป็นอมตะ

    ด้วยความปรารถนาดี
    นักเขียน(rose)

    ปล. หนังสือชุดนี้ไม่ได้มีพิมพ์จำหน่ายเป็นรูปลักษณ์ของหนังสือ แต่มีเป็น
    1. open source textbook อ่านได้ฟรี on-line ที่ :
    http://www.novaanalai.com/novaanalai/index.html

    2. eBook - download ได้ทั้งชุด 10 เล่ม ที่ :
    http://stores.lulu.com/Resourcesmith

    3. Audio Podcast dowmload ได้ฟรีจาก :
    http://novaanalai.podomatic.com/

    4. สั่งซื้อ file eBook ทั้ง 10 เล่มได้จาก:
    http://www.novaanalai.com/novaanalai/bookstore.html
     
  7. aydaree

    aydaree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    รายงานตัวเช้าวันศุกร์ที่ 24 ต.ค.51เวลา 09.00 น.ค่ะ
    2 วันที่ผ่านมารู้สึกเหนื่อยล้าร่างกาย แต่รู้สึกอิ่มเอิบใจเพราะได้ผ่านการช่วยเหลือผู้คนด้วย
    หน้าที่ของตนเองค่ะ แต่ในความเหนื่อยนั้นรู้สึกได้ถึงความช่วยเหลือและความเอาใจใส่ถึงความรู้สึกของพี่ๆ เพื่อนๆ และ แม่อาจารย์ ทั้งที่พวกเราไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เวลาบ่าย 2 โมงวันพฤหัสของวันที่ 23 (วันปิยะ) มีบุคคล 3 ท่านมาหาเพื่อให้เราได้ทำหน้าที่ในการตอบปัญหาบางอย่าง..เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าเป็นอะไรทั้งที่ยังอ่านหนังสือของท่าน อ.อนาลัยไม่จบ กลับรู้สึกได้ถึงความข้อความหรือบางคำตอบ เราได้เคยใช้อยู่และพูดอยู่เสมอกับท่านที่มาให้เราช่วยแก้ไขปัญหาให้ พอเราย้อนกลับไปอ่านตามแต่เวลาจะอำนวย (แอบอ่านเวลาทำงานบ้างเหมือนกันค่ะ) กลับทำให้รู้สึกลึกซึ้งมากจนบางทีอยากจะบอกกับทุกท่านที่มาหา หรือเพื่อนฝูงที่เจอให้รู้จักกับ อ.อนาลัยบ้างพวกเค้าเหล่านั้นจะได้มีคำตอบในชีวิตโดยที่ไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่งมงาย หรือความร่ำรวยโดยปราศจากเหตุผล...หลังจากที่เสร็จธุระและหน้าที่ของตนเองแล้ว ก่อนเข้านอนได้กำหนดด้วยตนเองว่าจะรู้ให้ได้ว่าวันนี้ต้องการฝันอะไร และเรื่องใด เพื่อจะได้ตีความ ความฝันเหล่านั้นไปในทิศทางที่เราสามารถจะนำมาเป็นคำตอบในการช่วยเหลือผู้อื่น (บางทีก็ทำไม่ได้ค่ะ เนื่องจากมีลูกเล็กๆ หลายคน) แต่เหมือนร่างกายตอบสนองความต้องการเอง มักจะตื่นมาในเวลาที่ต้องทำการบ้านคือ กำหนดจิต กำหนดฝัน เพื่อตุนไว้เป็นเสบียงในการที่จะมีคนมาหา
    และต้องตื่นมาในเวลาเดียวกันทุกวัน นับตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือของท่าน อ.อนาลัย ไม่ทราบว่ามีใครเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า? วันนี้อาจจะยาวไปหน่อยนะคะ เนื่องจากคิดถึงทุกคน เพราะเหมือนรู้ด้วยตนเองแล้วว่า ไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งใดที่เป็นปาฎิหาร์ยที่ไหน เรานั่นเองสามารถสร้างได้ด้วยตนเอง...
    ขอผลบุญที่ตนเองได้กระทำมา ส่งผลให้ทุกท่านบุญรักษาค่ะ...
    คุณจิตวตี ต้นแบบแห่งความเข้มแข็ง ขอให้ประสบแต่สิ่งดีๆ นะคะ
    (แอบคิดถึงแม่อาจาย์อยากพบแม่หลังห้องเรียนจัง.)
     
  8. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    อรุณสวัสดิ์ครับเพื่อนๆ
    จากการสังเกต โดยปกติ จะตื่นก็โมง จะนอนกี่ชั่วโมง จะอยู่ที่ความตั้งใจของเรา แต่บางครั้งตื่นแล้ว ก็เถลไถลไม่ยอมตื่นตาม นั่นก็จะเป็นอีกเรื่องนึงครับ อิอิ
    จิตใจเราเหมือน software ที่เราจะเลือกดาวน์โหลดอะไรมาก็ได้ และเลือกใช้ความเชื่อมาเป็นอุปกรณ์ในวิธีคิด การกระทำ ไม่เว้นแต่การปิด-เปิดสวิตซ์ในการนอน หรือการตื่น
    ถ้าอย่างนั้นคุณ ay น่าจะตุนเสบียงไว้ล่วงหน้าได้เยอะเลยนะครับ หากจะมีที่จะมาขอปรึกษา
    เพราะโดยธรรมชาติของจิตวิญญาณ จะมีการรู้การณ์ล่วงหน้า ซึ่งเป็นธรรมชาติความเป็นจริงของเซลล์
     
  9. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    จริงด้วยครับ ในอดีตที่ผ่านมาเราถูกห้อมล้อมไปด้วยกรอบของความเชื่อสารพัดเลยครับ ก่อสร้างห้องแห่งความเชื่อขึ้นมาเองอย่างแข็งแรงและแน่นหนาจนบางทีก็ทำให้เห็นความเชื่ออื่นๆเป็นด้านลบหรือไม่ถูกต้องไปหมด ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังข้ามไม้พ้นขอบประตูห้องของตนเองเท่าไหร่เลยครับ การเป็นอิสระจากความเชื่อที่พี่นักเขียนบอกไว้เป็นหนทางของการเปิดใจสู่มุมมองแห่งการสร้างสรรค์ของจิตวิญญาณอย่างเป็นเอกลักษณ์จริงๆครับ (อาจเหมือนภาพนี้..อิอิ)

    [​IMG]

    b<CITE id='cite4"'>reaking out of a box</CITE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  10. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    หลังจากที่อ่านข้อความของคุณจินตวดีแล้วข้าพเจ้ารู้สึกว่าคุณจินเข้าใจความเป็นจริงและธรรมชาติของจิตวิญญาณได้อย่างลึกซึ้งเลยที่เดียว สิ่งที่คุณจินนำมาเล่าให้พวกเราได้รับรู้ทั้งหมดนี้ สำหรับข้าพเจ้านั้นรู้สึกว่ามันมีค่ามากมายจริงๆครับ พวกเราไม่ต้องรอวันนั้นเพื่อที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าจะถึงวันนั้นก็ไม่แน่ว่าพวกเราทำได้อย่างคุณจินหรือไม่

    <O:p</O:pขอส่งความรัก ความปรารถนาดี และความรู้สึกที่ดีๆจากใจจริงเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณจินครับ <O:p</O:p
    ;aa20
     
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อ่านดูแล้ว ไม่รู้สึกเป็นห่วงอะไรคุณจินตวดีเลยแม้แต่นิดเดียว
    เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงจริงๆ และเชื่อมั่นว่าคุณจินตวดีต้องผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างสวยสดงดงามอยู่แล้ว
    แต่กลับรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ที่ได้มีประสบการณ์ที่ผมยังไม่เคยมี
    หรืออาจเคยมีแล้วสมัยตอนยังเด็ก เพราะป่วยปางตายบ่อยๆ
    แต่ก็คงไม่เหมือนของคุณจิน เพราะตอนยังเด็ก คงยังไม่มีความรู้
    และสติสัมปชัญญะพอที่จะมาดูกาย เวทนา จิต และพิจารณาธรรมได้อย่างนี้

    ผมเองก็เคยถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งเหมือนกันว่า ผมควรจะต้องมีประสบการณ์
    เกือบตายเหมือนคนอื่นๆบ้างดีไหม๊ ถ้ามีก็น่าจะดีนะ เผื่อจะได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

    ดังนั้นบางครั้งเวลานั่งสมาธิ ผมก็ใช้สูตรของพระอาจารย์รัตน์
    คือกลั้นหายใจให้นานที่สุด จนบางครั้งรู้สึกวูบไปทั้งร่างเลยก็มี
    แต่ความรู้สึกกลัวตายมันก็ยังมีอยู่ไม่ลดละ ในขณะที่กลั้นหายใจนั้น

    ขอกราบอนุโมทนาด้วย กับบทเรียน และบททดสอบบทนี้นะครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2008
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เห็นข้อความนี้น่าสนใจดีค่ะ..;aa21
     
  13. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ตามธรรมชาติของเซลล์ มีการรู้การณ์ล่วงหน้า

    เช่น ในแต่ละคืน จะมีตอนนึงในฝัน ที่จะเป็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่จะเกิดขึ้น แต่ไม่ได้บอกชัดเจนว่าต้องเป็นอย่างนี้เป๊ะๆ แต่เนื้อหาสรุปจะออกมาในรูปแบบนี้ (อ้างอิงตามระบบเวลาครับ)

    อย่างเรื่องบางเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
    เป็นเรื่องราวที่ตัวตนภายนอก ไม่ทราบเรื่องราวมาก่อน เรื่องราวที่รับทราบในความฝัน เป็นเรื่องที่จะต้องมีการใช้จ่ายเงินมากขึ้นกว่าเดิม 1 ก้อน ตัวละครในฝัน ก็จะมองหาว่า สาเหตุเรื่องราวเกิดจากตรงไหน แต่ทุกตัวละครก็ไม่ได้ซีเรียสจริงจังมากมาย รู้แต่ว่า ทุกคนก็ถามกันไปอย่างนั้น แต่ในใจรู้สึก happy กับที่ต้องจ่ายเพิ่ม โดยไม่ได้คำนึงว่าจะหาเงินส่วนที่เพิ่มมาจากไหน

    เมื่อมาถึงวาระ ที่ละครเกิดขึ้นมา หากเรารู้บทแล้ว เราก็จะไม่รู้สึกอะไรกับบทบาทนั้น
    รู้แต่ว่า เรารับบทบาทไหน ในเรื่องนี้ และก็ขำๆกับกลไกการทำงานที่ทำงานกันเป็นระบบระเบียบ

    ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การตัดสินใจ และเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ที่เกี่ยวข้องทั้งกายภาพ จินตภาพนั้น ล้วนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากมิติของจิตใจที่สัมพันธ์กันเป็นระบบ เป็นเครือข่าย ที่เชื่อมต่อกัน และติดต่อสื่อสารกันตลอดเวลา

    การเฝ้าดู อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ช่วยให้เห็นความต่อเนื่องที่เกิดขึ้นทั้งยามตื่น และยามหลับ ซึ่งสัมพันธ์กัน อย่างแยกกันไม่ออก

    ปัญหาก็อยู่ที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงกลไกตรงจุดนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่หลักประกัน และรูปแบบสำเร็จรูปว่าต้องเป็นเช่นนี้เป๊ะๆ

    เมื่อถึงวาระ ที่ละคร เกิดขึ้นมา ก็อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไรในปัจจุบันอีกที
    ตรงนี้ถึงสำคัญมาก ว่าเราจะใช้ความรู้ในการตัดสินใจ หรือใช้ความเชื่อในการตัดสินใจ

    หากใช้ความรู้ ผลจะออกมาอีกแบบ
    หากใช้ความเชื่อ ผลก็จะออกมาอีกแบบ ทำให้เรื่องราว บางอย่างทอดยาวออกไปอีก

    ดูไปดูมา ช่วยเสริมให้เห็นความสำคัญของปัจจุบันยิ่งขึ้นไปอีก
    ทุกอย่างจึงไม่สำคัญเลยว่า เราจะรู้การณ์ล่วงหน้าจากการติดตามความฝันหรือไม่ เราจะต้องทราบว่าอดีตเป็นมาอย่างไรหรือไม่

    เพราะการตัดสินใจ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แม้จะเล็ก หรือใหญ่โตขนาดไหน ในความคิด ความรู้สึก

    ผลทั้งหลาย ก็จะสะเทือนกันไปทั้งระบบ เหมือนโยนหินก้อนนึงลงในน้ำ แล้วเกิดคลื่นสะเทือนไปทุกทิศทุกทาง

    เพื่อนๆว่ายังไงบ้างครับ
     
  14. aydaree

    aydaree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีค่ะพี่ๆ เพื่อน เข้ามาที่ห้องเรียนแต่เช้า ไม่เห็นมีใครอยู่เลยน่าจะยังไม่ตื่น...
    รายงานตัวประจำวันจันทร์ที่ 27 ต.ค.51
    ขอเล่าเหตุการณ์ที่ชวนให้สงสัยอยู่ไม่น้อย เมื่อคืนวันอาทิตย์กำลังคิดว่าจะรีบนอนหลับ
    เพื่อตั้งจิตกำหนดฝันสำหรับการตุนเป็นเสบียง...ปรากฏว่ามีแต่คำว่า จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดแม้กระทั่งหลับและตื่นขึ้นมาอีกหลายครั้งก็นึกแต่คำนี้และพูดออกมาเองด้วย ยังคิดว่า ใคร หรือ อะไร กำลังบอกเราอยู่ เลยอยากถามแม่อาจารย์ ดังนี้ค่ะ
    1. มีบางคำตอบแม่อาจารย์ได้บอกไว้ว่า ความคิดของเราเปรียบเหมือนลูกตุ้ม ต้องรอจังหวะและโอกาสก่อนที่จะมีการเปลี่ยนความคิดจากเรื่องหนึ่งไปสู่เรื่องหนึ่ง ทำไมบางทีเรายังไม่ได้คิด หรือจดจ่อสิ่งใด แต่ต้องมีอะไรซักอย่าง บอกไม่ถูกเหมือนกันมากำหนดเรื่องให้เราเอง?
    2. บางเรื่องเราต้องการคำตอบวันนี้ โดยการตั้งสติสัมปชัญญะเพื่อให้กำหนดรู้ในความฝันปรากฏว่า ไม่ได้รับคำตอบในความฝัน แต่ได้รับคำตอบจากสิ่งอื่นแทน (จากความคิดของเราเองว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่เราต้องการ) ถือว่าผิดกฏในเรื่องของ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เราสามารถรู้คำตอบและเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวเอง...ทางความฝัน หรือเปล่าค่ะ?
    ขอโทษนะค่ะ วันนี้อาจจะดูงงๆ กับคำถาม....เนื่องจากบางทีไม่อยากรบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ หรือแม่อาจารย์ เพราะบางคำถามอาจจะเคยตอบไปแล้ว ดิฉันเลยจะหาคำตอบเองจากกระทู้ต่างๆ แต่มันเหมือนไม่ใช่คำตอบสำหรับเรา เลยจำเป็นต้องรอให้แม่อาจารย์ช่วยตอบให้ค่ะ...
    ขอบคุณค่ะ
     
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    สวัสดีครับเพื่อนๆ...

    จริงๆก็มีหลายเรื่องน่าคิดนะครับคุณเซลล์ ว่าเหตุใด"ปัจจุบัน"จึงสำคัญและมีอิทธิพลต่อการเปลื่ยนแปลงมากที่สุด
    เมื่อเราทำความเข้าใจในเรื่องเครื่องพรางไปแล้วระดับหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพลังแห่งปัจจุบันมีผลต่อเส้นทางในอดีตและอนาคตอยู่เสมอๆนะครับ เหตุการณ์ในอนาคตบางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นสืบเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต (สามารถรู้ได้จากความคิด+ความรู้สึกที่บอกได้ล่วงหน้า) แต่ก็สามารถตัดสินใจเปลื่ยนเส้นทางใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา และยังทำให้สถานการณ์ในอดีตทั้งกายภาพและจิตวิญญาณ แปรเปลื่ยนคุณสมบัติไปอีกด้วยนะครับ

    แต่ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นปัญหาเลยครับ หากเรามีอิสระ มีความสงบสุข มีความเบิกบานอยู่ทั้งหมดทั้งมวล มีสติปัญญา มีความเข้าใจในพลังอำนาจของจิตวิญญาณที่เราเป็น มีความตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยมในขณะที่สถิตย์อยู่ในกายนี้ทั้งยามหลับ-ยามตื่น เมื่อความคิดเปลี่ยนเป็นประสบการณ์-เมื่อความเชื่อเปลี่ยนเป็นความรู้ ในที่สุดทุกเรื่องราวมันก็จะค่อยๆผ่านไป แต่เราต้องมองดูสิ่งต่างๆด้วยความเข้าใจที่กว้างยิ่งขึ้นตามไปด้วย จากมุมมองของตัวตนภายในอันเป็นสภาวะที่แท้จริงของเราให้ได้นะครับ

    "เวลา"จึงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าคือความเป็นจริงในมิติหนึ่ง แต่เราก็สามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อการเปลื่ยนแปลงสิ่งต่างๆในอดีต-ในอนาคต ได้จากปัจจุบันครับ แต่การเปลื่ยนแปลงนั้นจะสามารถทำได้มาก-น้อยเพียงไหน ขึ้นอยู่กับอะไรบ้างก็ลองมาคิดกันต่อนะครับ เหมือนการโยนหินลงในช่วงเวลาหนึ่งส่งผลกระทบกันเป็นละลอกคลื่นอยู่ในกะละมังสะท้อนกลับไปมาได้เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเลยครับ

    คุณเดรด ช่วงนี้ไปอียิปต์จะกลับวันพรุ่งนี้แล้ว
    หวังว่าคงหอบรูปและเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อนๆฟังเยอะๆด้วยนะครับ
    เวลาที่นั่นช้ากว่าเราประมาณ 5-6 ชั่วโมง คงได้กำไรเวลามาหลายชั่วโมง
    มารอต้อนรับคุณเดรดเดินทางกลับจากอนาคต
    เพื่อนๆเตรียมที่รองรับประสบการณ์กันไว้ครับ
    (ผมเตรียมโอ่งมังกรมารอแล้วจะพอใส่รึเปล่าไม่รู้ครับ..อิอิ)

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2008
  16. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    มายินดีด้วยกับประสบการณ์คุณจินตวดีค่ะ การผ่านจุดที่เรียกว่าอิงแอบกับความตายเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ พ้นจากตรงนั้น เราจะไม่หลงเหลือความกลัวใดๆเลย

    เมื่อไม่มีความกลัวต่อทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เราจะผ่านเรื่องราวทุกประสบการณ์ด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่น

    ตอนที่เราใกล้ตาย สิ่งแรกที่นึกถึงคือคนที่เรารักและผูกพันเช่นพ่อแม่ ดังนั้นเมื่อเราผ่านจุดนั้นมาได้ เราจึงรุ้ว่าความรักที่เรามีต่อเขาเหล่านั้นมีค่าเพียงใด และทุกนาทีนับจากนี้ไปคุณจินตวดีคงยิ่งรักทุกนาทีของตนนะคะ

    พี่นักเขียนพูดถึงเงาที่ทาบทับ ทำให้ซาบซึ้งมากเลยค่ะ ชอบจริงๆค่ะ ชอบทุกตัวอักษรที่พูดถึง
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เป็นความโชคดีอย่างมากครับที่ได้พูดคุยกับพี่นักเขียนฯโดยตรงแบบนี้
    ทั้งห้องวิทย์ฯ และ E-mail เวลาสงสัยหรือเกิดอะไรขึ้นเราถามได้ทันทีครับ
    ซึ้งและศรัทธาในความคิดของพี่นักเขียนทุกตัวอักษรเช่นกันครับ

    สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ทุกเรื่องจะช่วยขยายมุมมองออกไปครับ
    จนวันหนึ่งเราจะเข้าใจจะว่าอะไรเป็นอะไรยิ่งขึ้น เมื่อความเชื่อได้เปลื่ยนเป็นความรุ้
    บางเรื่องประสบการณ์ของเพื่อนๆก็กลายเป็นประสบการณ์ให้เรียนรู้ร่วมกันยิ่งขึ้นครับ


    ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางความเชื่อใดๆขอให้อ่านข้อความนี้นะครับ
    เพราะเรื่องนี้มีประโยชน์จริงๆ พี่นักเขียนฯอธิบายไว้อย่างน่าคิดครับ***

    ***
    มันเป็นไปไม่ได้ว่าใครจะบีบบังคับให้เรามีความเชื่อใดๆ ไม่มีผู้ใดสามารถ"ครอบ" หรือ "ครอบงำ
    ให้เราเป็นไปในทิศทางต่างๆได้โดยที่เราไม่คิดไม่จินตนาการร่วมหรือไม่รับเอาด้วยความสมัครใจ

    ไม่ว่าใครเขาเอาสิ่งที่จับต้องได้ เช่น วัตถุสิ่งของ มาผูกติดตัวเราไว้
    หรือนำเอาสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มา"ครอบงำ"เรา และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับภาวะกาย
    หรือภาวะจิตของเรา มันก็ล้วนเป็นไปด้วยความเชื่อของเราเองทั้งสิ้น
    อาการทางกาย-ทางจิตที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นไปด้วยความเชื่อของเราที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น

    เราจะเรียกอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหนึ่งๆว่าเป็นแง่ลบหรือบวก
    ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเชื่อของเรา ณ จุดหนึ่งๆ
    และอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหนึ่งๆจะทำร้ายเราได้หรือไม่
    ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อในตนเองเท่านั้น"

    ตามธรรมชาติแล้ว ไม่มีพลังบวกหรือลบ พลังชั่วหรือพลังดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีพลังที่เรียกได้ว่า เป็นทั้งบวกและลบอยู่ในตัว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นบวกล้วนหรือลบล้วน ดีล้วนหรือชั่วล้วน และต่างก็เป็นพลังอันเกิดจากการถ่ายทอดอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหนึ่งๆ เราจะเรียกอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหนึ่งๆว่าเป็นแง่ลบ หรือบวก ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเชื่อของเรา ณ จุดหนึ่งๆ และอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหนึ่งๆจะทำร้ายเราได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อในตนเองเท่านั้น

    ***
    ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญครับ พออ่านแล้วรู้สึกว่าความเชื่อที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น
    จะมีอิทธิพลต่อเราแค่ไหนขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อ" ที่มีต่อสิ่งนั้นครับ
    สมมุติพูดถึงบางสิ่งที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ละคนก็จะดึงดูดเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆกันไป
    บางคนดึงดูดมาเฉพาะเรื่องพลัง บางคนดึงดูดเฉพาะเรื่องราวความรู้
    บางคนดึงดูดเรื่องคุณค่า บางคนดึงดูดเรื่องตัวบุคคล บางคนก็ดึงดูดเฉพาะเรื่องมิตรภาพ ฯลฯ
    เห็นได้ชัดว่าความเชื่อและประสบการณ์แต่ละคนนำพาเราไปตามแต่แนวทางเฉพาะตัวครับ
    ต้องขอบคุณพี่นักเขียนฯด้วยครับที่ช่วยขยายความรู้ตรงนี้ได้ชัดเจนและกระจ่างที่สุดครับ
    จริงยาวกว่านี้ครับ แต่ขอคัดมาบางส่วน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2008
  18. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    การเรียนรู้เรื่องเดียวกัน
    เช่น มุมมองคำว่า จิตวิญญาณ ยังไม่เหมือนกันเลย แตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล
    ถ้าลองตีความยามตื่น และฝันเรื่องเดียวกัน โดยฉายให้ดูคำนิยามจิตวิญญาณ ในจุดยืนของความเชื่อส่วนบุคคล
    ในยามตื่นก็จะตีความออกมาคนละอย่าง ในยามฝันก็จะตีความออกมาคนละอย่าง
    บางคนฝันถึงความสวยสดงดงาม บางคนฝันว่ามีบางอย่างมาคุกคาม บางคนฝันถึงความลึกลับซับซ้อน บางคนฝันถึงความกว้างใหญ่ไพศาลไม่สิ้นสุด ฯลฯ

    ถ้านำหลายๆภาคส่วนมารวมกัน และตัดเอาความเชื่อส่วนตัวที่ครอบงำออกไป เราอาจจะได้อะไรดีๆ ที่เป็นกลาง ที่เป็นความจริง และช่วยเปิดสติสัมปชัญญะให้กว้างไกลยิ่งขึ้นก็ได้นะครับ ;aa21
     
  19. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จินตวดีมาขอบคุณคุณนักเขียนมาก ๆ ค่ะ สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับภาวะทางกายภาพที่ได้มาเล่าอุปมาอุปมัยให้ จินต์นี่เป็นนักเรียนที่ใช้ไม่ได้เลย เพราะสมองมัน BONE HEAD ตลอด (สงสัยเจ็บครั้งนี้มันเลยรวน) ภาวะทางกายภาพล้วนแต่เป็นสิ่งที่เป็นผลสะท้อนมาจากภาวะจิตภายใน เปรียบเสมือน ต้นไม้และเงาของต้นไม้ฉันใดฉันนั้น การที่เราจะแก้ไขสิ่งที่ปรากฏภายนอกได้ จำเป็นจะต้องกลับไปค้นดูภายในตนเองก่อน ว่าเพราะเหตุใด ผลจึงสะท้อนออกมาเช่นนั้น เพราะเหตุและผลเป็นของคู่กัน ขอบคุณคุณนักเขียนอีกครั้ง สำหรับลูกกุญแจไขกล่องพานามุลูกสำคัญเลยแหละ (อนุญาติให้คุณนักเขียนเอาปากกาเคาะกะโหลกหนึ่งที หุ หุ)

    ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา ก็พบความไม่ปกติของตนเอง แม้ที่บ้านมีหนังสือเกี่ยวกับ ธรรมมะและ ปรัชญาเยอะ แต่ไม่ค่อยให้ความสนใจเพียงแค่มองผ่านเท่านั้น จะดูเฉพาะเล่มที่ให้ความสนใจเท่านั้น ตอนหลังนี้ได้สนใจหยิบมาดูทุกเล่ม โดยเฉพาะศาสนศาสตร์ จากความไม่รู้ในบางเรื่อง เปลี่ยนเป็นความรู้ จากความไม่เข้าใจในบางคำพูด ศัพท์บาลี และ ความหมายยาก ๆ ก็เร่ิ่ม สนใจอ่านและจดจำมันได้อย่างมากขึ้น โดยเฉพาะ ไม่จำกัดศาสนา คือ อ่านได้ทั้งหมดไม่รู้สึกแบ่งแยก เหมือนตัวเองกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับระบบจักรวาลและ ความเชื่อของมนุษย์เลย
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    หวังว่าคุณจินต์ฯจะหายเป็นปกติแล้วนะครับ
    เพราะความเข็มแข็งจึงผ่านมาได้ด้วยดีนะครับ ดีใจด้วยจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...