หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    สิ่งที่เจ้ายังมิเข้าใจคือ มิว่าจักอยู่คนเดียว อย่างหลุดพ้น แท้จริงยังคงทุกข์
    เป็นทุกข์เพราะความเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้างและเดียวดาย
    การหลุดพ้นที่แท้จริงคือการมิเบียดเบียนใครเลย
    การอยู่รวมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ย่อมมีการเบียดเบียนกัน
    อาจเบียดเบียนด้วยเสียง ด้วยกลิ่น สร้างความลำคาญให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นการหลุดพ้นที่แท้จริงคือการอยู่คนเดียว
    จิตเป็นพลังงาน หากมิมีกายสังขาร คือพลังงานเพียวๆ มิอาจอยู่ใกล้กันได้
    จิตบุรุสตรีมิอาจอยู่ใกล้กันได้ เพราะจักเกิดการระเบิดขึ้นเฉกเช่นฟ้าผ่า
    เป็นกฎของพลังงาน สตรีเป็นประจุไฟฟ้าลบ บุรุษเป็นประจุไฟฟ้าบวก เป็นข้อเท็จจริง
    จิตมารเป็นอุปสรรคของการเรียนรู้ของเจ้า หากเจ้าดับจิตได้จริง เจ้าจะมิมาเรียนรู้ใดๆบนโลกมนุษย์ ดับจิตชีวิตเจ้าจักดับด้วย
    เจ้ามิรู้กฎของพลังงาน จิตมีพลังงานในตนเอง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    การควบคุมจิตกระทั่งสงบนิ่งสามารถกระทำได้ด้วยการฝึกฝน
    แต่มิใช่การดับจิต ตราบใดที่เจ้ายังคิดตราบนั้นจิตเจ้ายังมิดับ
    นั่นเป็นข้อเท็จจริง
    ตราบใดที่จิตเจ้ายังมิดับ เจ้ามิอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายได้นาน
    เมื่อถึงกาลเจ้ายังคงปรารถนาอยากจะมีเพื่อนคลายความเงียบเหงาดุจดังเดิม
    มิอาจหลุดพ้นตราบชั่วนิรันดร
    การเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุข ต้องเรียนรู้กฎแห่งกรรมกระทั่งรู้จริง
    เพื่อจักมิกระทำผิดกฎแห่งกรรม
    ความทุกข์ของสรรพสัตว์เกิดจากเหตุสองประการคือ
    เกิดจากการกระทำของผู้อื่นคือถูกกระทำและเกิดจากการกระทำของตนเอง
    คือตนเองเคยกระทำผู้อื่นมาก่อนจึงต้องชดใช้กรรมที่เคยกระทำผู้อื่นไว้
    เพราะมิรู้จริงในกฎแห่งกรรม
    การเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุขจึงต้องทำทั้งระบบ
    เพื่อสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงมิให้เบียดเบียนกัน
    สอนให้สรรพสัตว์ยอมรับในกฎแห่งกรรม ชดใช้กรรมตามกฎแห่งกรรม
    หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเป็นผู้กินผู้ถูกกิน
    นั่นคือกรอบของการสอนเพื่อการเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุขของเรา

    พระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นมาภายหลังเพื่อทำหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ของทุกจักรวาล ทั้ง 10,000 ล้านจักรวาล ตราบชั่วนิรันดร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  2. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    3 ข้อข้างต้นเป็น "จินตมยปัญญา"
    ไม่ใช่ "ภาวนามยปัญญา"
    มองเป็นนิยายสิครับ ทำให้มีจินตนาการได้นะครับ


    ก็ไม่ซีเรียสอะไรนะ กับการเผยแพร่จินตนิยายนั้นๆ
     
  3. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ***********
    จิตพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เป็นจิตอมตะมิอาจดับสูญตราบชั่วนิรันดร
    จิตอมตะเกิดขึ้นมาครั้งแรกเมื่อพระอินทร์ดื่มน้ำอมฤทธิ์เข้าไป เป็นยุคพระอิศวร จิตอมตะทั้งปวงเกิดจากจิตของพระอินทร์ทั้งจิตพระอรหันต์ เทพเซียน พระพุทธเจ้า ตลอดจนพระโพธิสัตว์พระผู้สร้างทั้งปวง
    การทำลายจิตจึงมิอาจกระทำได้ เพียงสามารถดุลพลังงาน
    มิให้มีความต่างศักดิของพลังงานได้เพียงเท่านั้น
    เป็นการควบคุมจิตมิให้คิด เมื่อมีสิ่งใดไปกระตุ้นให้จิตซึ่งสงบอยู่
    เกิดความต่างศักดิ์ของพลังงานขึ้นกระบวนการคิดจักเริ่มขึ้น
    การนอนหลับที่ยาวนานในที่สุดยังต้องตื่นขึ้นมา
    พระพุทธเจ้าจากอนันต์จักรวาลทั้งปวง ล้วนเคยนอนหลับมายาวนาน
    นับจากนี้จักมิยอมหลับอีกต่อไปคิดกลับมาทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
    เพราะเมตตาส่ำสัตว์ทั้งปวง นั่นคือสิ่งที่จักเกิดขึ้นมานับจากบัดนี้เป็นต้นไป
     
  4. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    อันนี้เป็นการบำเพ็ญ "ปัญญาบารมี" ของปัจเจกภูมิ
    มีความสามารถสูงที่จะตรัสรู้เองเป็นพระปัจเจก


    แต่ชาตินี้ "ยังไม่ถึงเวลา" ครับ
     
  5. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ปัญญาของท่านจะสูงมากหาเปรียบไม่ได้
    เสียดายแต่ว่า ไม่มีมนุษย์ผู้ใดจักเข้าใจถึงธรรมะของท่าน


    สุดท้าย ท่านไม่อาจสร้างศาสนา จะหลีกเร้นกายจากสังคมมนุษย์สู่ความวิเวก


    นี่แหละ จึงเรียกว่า "ปัจเจก" ไปเดี่ยวๆ อย่างนอแรด (แหลมอยู่นอเดียว)
     
  6. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    นั่นคือสิ่งที่มิอาจกระทำได้ จิตที่เกิดขึ้นมาเองคือจิตพุทธปฐม
    เกิดมาท่ามกลางความว่างเปล่าที่ทอดยาวออกไปมิสิ้นสุด มิมีสิ่งใดเลย
    สิ่งแรกที่สามารถกระทำได้เมื่อตื่นขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่ามิมีสิ่งใดเลย
    คือ นอนหลับต่อไปเพื่อจะได้มิต้องรับรู้ใดๆ
    แต่การหลับอันยาวนานถึงอย่างไรยังคงต้องตื่น
    การแก้ปัญหาด้วยการนอนหลับจึงมิอาจแก้ปัญหาการอยู่อย่างโดดเดี่ยว
    ท่ามกลางความว่างเปล่ามิมีสิ่งใดเลย มิมีเพื่อนคลายความเงียบเหงาได้
    การแก้ปัญหาลำดับถัดมาคือการบำเพ็ญเพียร เรียกว่าการบำเพ็ญเต๋า
    เป็นกระบวนการคิดเพื่อสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา เพื่อสร้างสรรพจิต สรรพสัตว์
    เพียงแต่กระบวนการเรียนรู้ของสรรพจิตสรรพสัตว์ยังมิเกิดขึ้น
    จึงต้องให้สรรพจิตสรรพสัตว์เรียนรู้ด้วยตนเองก่อน
    ภายหลังจากนั้นจึงลงมาสอนว่าสิ่งใดเป็นความดี สิ่งใดเป็นความชั่ว
    การอยู่รวมกันอย่างเป็นสุขต้องทำอย่างไร
    จึงเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาสอนมวลหมู่สรรพจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง
    มิเจาะจงเฉพาะคนเท่านั้น
     
  7. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    การจะเป็นพระพุทธเจ้าที่สอนคนโง่ได้
    ก็ต้อง "โง่ให้ได้ก่อน"


    โง่ให้เป็น โง่ให้ได้ แล้วหายโง่ให้ได้ด้วยตนเอง


    นั่นแหละจึงจะสอนคนโง่ ให้หายโง่ได้
     
  8. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    โง่ไม่เป็น โง่ไม่ได้ ก็เข้ากับคนโง่ไม่ได้
    สอนคนโง่ก็ไม่ได้


    สุดท้ายต้องหลีกเร้นกายวิเวก เป็นพระปัจเจก
    เพราะโง่ไม่เป็น ไม่ยอมโง่ ไม่เคยโง่สักที
     
  9. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130

    คำสอนที่สวยหรูในไตรปิฏก เป็นการแต่งขึ้นให้สวยหรูด้วยวิธีพราหมณ์
    จึงทำให้คำสอนดูสวยเลิศหรูเกินจริงเกินไป ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
    ซึ่งทรงตรัสรู้แต่แรกแล้วว่าคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ ปัญญาไม่สูง ท่านไม่ได้ใช้คำหรู


    อย่าไปยึดติดภาษา ความสละสลวยของภาษา


    ภาษาที่ดีที่สุด คือ "เข้าใจได้ถูกต้องชัดเจน" ก็พอ
     
  10. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ siarayamarata [​IMG]
    ********
    สิ่งที่เจ้ายังมิเข้าใจคือ มิว่าจักอยู่คนเดียว อย่างหลุดพ้น แท้จริงยังคงทุกข์
    เป็นทุกข์เพราะความเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้างและเดียวดาย
    การหลุดพ้นที่แท้จริงคือการมิเบียดเบียนใครเลย
    นี่คือการหลุดพ้น...แต่ไม่ไช่การดับ....ไม่เหมือนกันนะท่านสีอานน้อย
    การอยู่รวมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ย่อมมีการเบียดเบียนกัน
    อาจเบียดเบียนด้วยเสียง ด้วยกลิ่น สร้างความลำคาญให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นการหลุดพ้นที่แท้จริงคือการอยู่คนเดียว
    แล้ว ยุคพระศรีอาริย์ คือยุคที่ไม่มีการเบียดเบียน...ก็ไม่มีจริงน่ะสิ หรือท่าน จะคัดค้าน พุทธพจน์ หรือท่าน จะคัดค้าน ตัวเอง เพราะท่านเอง ก็ ซื่อบื้อ สอนคน ให้เวียนว่ายตายเกิดด้วยความเป็นสุข...ตลกมากมากเลย
    จิตเป็นพลังงาน หากมิมีกายสังขาร คือพลังงานเพียวๆ มิอาจอยู่ใกล้กันได้
    จิตบุรุสตรีมิอาจอยู่ใกล้กันได้ เพราะจักเกิดการระเบิดขึ้นเฉกเช่นฟ้าผ่า
    เป็นกฎของพลังงาน สตรีเป็นประจุไฟฟ้าลบ บุรุษเป็นประจุไฟฟ้าบวก เป็นข้อเท็จจริง
    จิตมารเป็นอุปสรรคของการเรียนรู้ของเจ้า หากเจ้าดับจิตได้จริง เจ้าจะมิมาเรียนรู้ใดๆบนโลกมนุษย์ ดับจิตชีวิตเจ้าจักดับด้วย
    จิตมีพลังงาน ผมรู้ หญิง ชาย ต่างขั้วกัน ผมรู้ การคิดถึงกัน คือการส่งพลัง ผมก็รู้....แต่ ถ้าหาก เรามีพลังงาน บริสุทธิ์ เหมือน ไม่มีอัตตา...ท่านรู้มั้ยล่ะ ว่า เป็นยังไง...คิก คิก
    เจ้ามิรู้กฎของพลังงาน จิตมีพลังงานในตนเอง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    การควบคุมจิตกระทั่งสงบนิ่งสามารถกระทำได้ด้วยการฝึกฝน
    แต่มิใช่การดับจิต ตราบใดที่เจ้ายังคิดตราบนั้นจิตเจ้ายังมิดับ
    นั่นเป็นข้อเท็จจริง
    การคิด กับการรู้ว่า กายคิด....ไม่ไช่ เราคิด...มันแตกต่างกันมากเลยนะท่าน สีอานน้อย.....ท่านไม่รู้หรอก...คิก คิก
    ตราบใดที่จิตเจ้ายังมิดับ เจ้ามิอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายได้นาน
    เมื่อถึงกาลเจ้ายังคงปรารถนาอยากจะมีเพื่อนคลายความเงียบเหงาดุจดังเดิม
    มิอาจหลุดพ้นตราบชั่วนิรันดร
    การเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุข ต้องเรียนรู้กฎแห่งกรรมกระทั่งรู้จริง
    เพื่อจักมิกระทำผิดกฎแห่งกรรม
    ความทุกข์ของสรรพสัตว์เกิดจากเหตุสองประการคือ
    เกิดจากการกระทำของผู้อื่นคือถูกกระทำและเกิดจากการกระทำของตนเอง
    คือตนเองเคยกระทำผู้อื่นมาก่อนจึงต้องชดใช้กรรมที่เคยกระทำผู้อื่นไว้
    เพราะมิรู้จริงในกฎแห่งกรรม
    นี่คือ กฏของ วัฏฏะสงสาร กฏของจักรวาล....กฏของผู้ที่จิต ยังมีอัตตา อยู่ครับ...
    การเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุขจึงต้องทำทั้งระบบ
    เพื่อสอนสรรพสัตว์ทั้งปวงมิให้เบียดเบียนกัน
    ท่านพูดเองว่า ตราบใด ที่อยู่กัน 2 คน ย่อมต้องเบียดเบียน กันแน่นอน แล้วท่านจะมาสอน สิ่งที่เป็นไปไม่ได้...เพื่ออะไรล่ะครับ....ตลก
    สอนให้สรรพสัตว์ยอมรับในกฎแห่งกรรม ชดใช้กรรมตามกฎแห่งกรรม
    หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเป็นผู้กินผู้ถูกกิน
    นี่แหล่ะ คือ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา....รู้ไว้ซะ..จะได้ไม่โง่ อีกต่อไป..มันจะเวียนว่ายตายเกิด อย่างเป็นสุข ได้ยังไง ล่ะท่าน...คิก คิก
    นั่นคือกรอบของการสอนเพื่อการเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุขของเรา

    พระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นมาภายหลังเพื่อทำหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ของทุกจักรวาล ทั้ง 10,000 ล้านจักรวาล ตราบชั่วนิรันดร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ********
    เต๋าคือการสอนให้สามารถอยู่รวมกันเป็นสังคมอย่างเป็นสุขได้
    ลดช่องว่างระหว่างบุคคล หาจุดร่วมสงวนจุดต่าง
    คนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้หากรักกันเมตตาต่อกัน
    ใช่ว่าจักมิอาจอยู่รวมกันเป็นสังคมอย่างเป็นสุขได้
    หากทุกคนเปี่ยมด้วยคุณธรรมเลือกทำในสิ่งที่มิเบียดเบียนผู้อื่น
    ทำในสิ่งสิ่งที่ผู้อื่นยอมรับได้ ยอมรับความดีของกันและกัน
    นั่นคือแนวทางการสอนของเราเพื่อการอยู่รวมกันอย่างเป็นสุข
    เวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุขได้หากมิกระทำผิดกฎแห่งกรรม
     
  11. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เมตตรัย คือ เมตตรัย
    แบ่งกายเป็นหมื่นโกฏิ
    แต่ก็ไม่มีใครรู้จัก....


    ไม่แปลกเลย ถ้าจะมีใครเป็นเมตตรัยสัก หมื่นล้านคน
     
  12. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เมตตรัยภาคแบ่งนั้น
    ไม่ใช่จิตภาคแบ่งเดียว
    แต่ทุกภาคแบ่งจิตปรารถนาพุทธภูมิ


    จิตภาคแบ่งใด จะไปถึง ยังต้องแข่งกัน...
    ทำไมหนอ? เมตตรัย จึงไม่มีใครรู้จัก?


    หากเมตตรัยไม่มีใครเข้าถึงได้แล้ว
    จักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจก?


    ใครหนอจะเป็นเมตตรัยที่วิเวก บุญมากคนเข้าไม่ถึง ฉลาดมาก คนไม่เข้าใจ?
    ใครหนอคือเมตตรัยที่อยู่ท่ามกลางโคลนตมได้โดยเท้าไม่เปียกเปื้อน?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  13. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    มันทำได้อยู่นะท่านที่ทุกคนจะเป็นคนดีได้ ถ้าทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองว่า มาเพื่อชำระกิเลศ ก็จะอยู่รวมกันได้อย่างเป็นสุข โดยไม่ห้ำหั่นกันเอง และไม่เบียดเบียนกันเอง ไม่ว่าจะศาสนาไหน ถ้ารู้แต่ว่าชำระกิเลศ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนก็เปรียบเหมือนบัว 4 เหล่า ปัญญาความรู้แจ้ง ไม่เท่ากัน
     
  14. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    เธอผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย แม้แบ่งกายจิตจากหนึ่งเดียวกัน
    คงมีเพียง 1 เดียวผู้นั้นสำเร็จความปรารถนาได้


    หากเธอนั้นไม่ใช่หนึ่งเดียวผู้นั้น อย่าได้พันธนาการตนเองไว้อีกเลย
    เธอจงปลดปล่อยตนเอง สู่ความเป็นเธอ ทางแห่งเธอ ที่เธอเลือกเดินได้


    ใยเธอยังขังตนเองในห้องแห่งเมตตรัยห้องนั้น
    เธอจงก้าวออกมา เป็นตัวของเธอเอง
    เมตตรัยจะเป็นใครก็ช่าง เธอก็คือเธอ
    เธอมีทางที่เธอเลือก ทางที่เธอไม่มีวันเสียใจ


    ทางสายนั้น ที่เธอเลือกจงเดินไป สู่ความเป็นเธอที่แท้จริง...
     
  15. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ รักก็บอกไม่รักก็บอก [​IMG]
    เวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุขชั่วนิรันดร์ เกิดปุ๊บรู้ปั้บต้องทำความดีหรือ ทำยังไงถึงจะจำได้ว่าเกิดมาแต่ละครั้งต้องทำแต่ความดี ไม่หลงทำความชั่วล่ะท่าน เกิดแต่ละชาติทำยังไงจึงจะไม่จองเวรจองกรรม อยู่อย่างสันติ หรือว่าต้องเกิดมาก่อนแล้วเรียนรู้ใหม่ทุกชาติ แล้วมันจะเป็นสุขชั่วนิรันดร์ตรงไหนฟระ วานท่านสีอานน้อยตอบให้ละเอียดด้วยครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ******
    การเรียนรู้ต้องเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหมายถึงครอบครัว ชุมชน สังคม
    พระพุทธศาสนาต้องตั้งอยู่ชั่วนิรันดร หลักธรรมคำสอนมิผิดเพี้ยน
    มีการสืบทอดหลักคำสอนอย่างเป็นรูปธรรม มิแยกย่อยเป็นหลายนิกาย
    เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลกทั้งจักรวาล เกิดมาใหม่ก็พบแต่สิ่งที่ดีงาม
    ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน แทรกซึมไปทุกองค์กร
    ทำไมจะทำมิได้ ที่คนจักทำแต่ความดีมิทำความชั่ว
     
  16. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    หากจิตธาตุเดิม เกิดจากความว่างเปล่า ฉะนั้น มนุษย์เกิดมาแล้ว ถูกสั่งสอนอบรมใสครอบครัวที่รู้ว่า ควรจะชำระล้างกิเลศ และอัตตาออก และเข้าใจสิ่งสมมุติทุกอย่างตั้งแต่ต้น ก็คือตอนเด็ก ๆ มันมีโอกาสเป็นไปได้ว่า ทุกคนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข ถ้าทุกคนเข้าใจตามนี้ แต่ปัจจุบันสภาวะแวดล้อมแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะมนุษย์มีความคิดไม่เหมือนกัน ปัญญาแต่ละคนต่างกัน อยู่ที่ว่า ปัญญาตัวเองจะรู้แจ้งได้แค่ไหน หากมองมุมแคบ ก็จะไม่ได้เดินทางสายกลาง จะสุดโต่งอยู่แค่ข้างเดียว และทำให้ชีวิตครอบครัวมีปัญหาและเป็นทุกข์ แล้วจะเป็นสุขได้อย่างไรล่ะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  17. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    ศรีอาริยเมตตรัย ไม่ยึดมั่นใดๆ
    ไม่ยึดมั่นแม้ตนเองจะเป็นเมตตรัยหรือไม่



    เป็นวัวเป็นควายก็ช่าง ขอแค่ฉุดช่วยเวไนยสัตว์ได้ก็พอแล้วมิใช่หรือ?
    ถ้าความเป็นพระพุทธเจ้านั้น สูงเกินไป คนไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง
    ใช้ประโยชน์ใดๆ แก่มวลมนุษย์ไม่ได้



    โพธิสัตว์องค์นั้นจะละจากความเป็นพระพุทธเจ้า ยอมเป็นควายยังดีกว่าเลย
     
  18. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    โพธิสัตว์ที่มีปัญญามาก ท่านเรียกกันว่า "มัญชูศรี"
    โพธิสัตว์ที่ยอมโง่เป็นควายเพื่อช่วยสรรพสัตว์


    ท่านเรียกว่า "พระศรีอาร์ฯ"
     
  19. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมียิ่งมาก ยิ่งลงนรก ท่านเรียกว่า "กษิติครรภ์"
    พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมียิ่งมาก ยิ่งสูงสู่สวรรค์ (เกินเอื้อม)


    ท่านเรียกว่า "พระศรีอาร์ฯ"
     
  20. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    พระโพธิสัตว์ที่มีอภิญญายิ่ง ท่านเรียกว่า "พระสมันตภัทร"
    พระโพธิสัตว์ที่ยอมเสื่อมอภิญญาจนหมด เพียงเพื่อฉุดช่วยสรรพสัตว์


    ท่านเรียกว่า "พระศรีอาร์ฯ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...