พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“ในหลวง” ทรงพระประชวร โปรดเกล้าฯ “สมเด็จพระบรมฯ-สมเด็จพระเทพฯ” ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNe...=9510000143607




    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 ธันวาคม 2551 20:45 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯแทนพระองค์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าถวายพระพรฯ “สมเด็จพระเทพฯ” ทรงเผย พระอาการประชวรในช่องพระศอ อ่อนเพลียพระวรกาย

    คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯแทนพระองค์ ทรงมีพระดำรัสตอบ แก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ

    วันนี้ (4 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.15 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ยังศาลาดุสิดาลัย ภายในพระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2551

    เมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระดำเนินเข้ามาเพื่อประทับยังพระเก้าอี้ นายณรงค์ฤทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับ กราบบังคมทูลถวายรายงาน พร้อมทั้งเบิกนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนประชาชนทุกหมู่เหล่า เข้าถวายพระพรชัยมงคล

    นายณรงค์ฤทธิ์ กราบบังคมทูลว่า ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จฯ ออกแทนพระองค์ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในวโรกาสนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตเบิกคณะบุคคล ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ นิสิต นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน และผู้แทนมูลนิธิ สมาคม สโมสร องค์กรต่างๆ รวม 785 คณะ จำนวน 22,285 คน เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเนื่องในอภิลักขิตสมัย เฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเวียนมาบรรจบครบรอบปีอีกวาระหนึ่ง

    ในวโรกาสนี้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี จะกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามผู้ที่เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท ข้าพเจ้าค่าขอรับด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

    จากนั้น นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในนามของคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

    “ในวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในการที่จะให้ข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ถวายพระพร

    ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาท เนื่องในอภิลักขิตมหามงคลสมัย คล้ายวันพระบรมราชสมภพ เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ในวันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2551 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ต่างมีความปลาบปลื้มเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญฉัตรแก้วร่มเกล้าของปวงพสกนิกรไทย

    ใต้ฝ่าละอองพระบาท เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อพุทธศักราช 2489 เป็นต้นมา ตราบจนปัจจุบันเป็นเวลายาวนานถึง 62 ปี เป็นที่ประจักษ์ ว่า ใต้ฝ่าละอองพระบาท ทรงยึดมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม สมดังพระปฐมบรมราชโองการ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

    พระราชกรณียกิจทั้งปวง ล้วนมุ่งสกัดทุกข์ ผดุงสุขแก่พสกนิกร และก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน

    ใต้ฝ่าละอองพระบาท ทรงพระกรุณาทุ่มเทอุทิศกำลังพระวรกาย กำลังพระปัญญา และกำลังพระราชทรัพย์ สร้างสรรค์ความอยู่ดีมีสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ทรงขจัดปัดเป่าทุกข์ภัย ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยความยากจน โรคาพยาธิภัย ตลอดจนภัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้พระราชทานแนวทางการแก้ปัญหาด้วยพระบรมราโชบายที่ลึกล้ำ และบูรณาการอย่างเป็นระบบ ทรงวิเคราะห์ปัญหาอย่างถ่องแท้ จึงทรงสามารถขจัดปัดเป่า คลี่คลายปัญหานั้นได้อย่างเหมาะสมทุกประการ

    โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากกว่า 3,000 โครงการ ล้วนผ่านการวิเคราะห์ วิจัย และทดลอง เพื่อให้ได้ผลเป็นข้อยุติ ก่อนพระราชทานให้ประชาชนนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ เป็นต้นว่า แนวทางทฤษฎีใหม่ด้านเกษตรกรรม และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

    ใต้ฝ่าละอองพระบาท เป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ทรงพระปรีชาสามารถ ทั้งด้านศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะด้านการเกษตร ทรงเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน แหล่งน้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ทรงพระกรุณาพระราชทานแนวทางในการจัดระบบชลประทาน การสร้างฝาย อ่างเก็บน้ำ เขื่อน การทำฝนหลวง และแก้มลิง ปัญหาเรื่องน้ำได้รับการบูรณาการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งปัญหาการขาดแคลนน้ำ และปัญหาน้ำหลาก น้ำท่วม

    ใต้ฝ่าละอองพระบาท ได้พระราชทานแนวทางการแก้ปัญหาจราจรของกรุงเทพมหานคร พระราชทานพระราชดำริให้สร้างเส้นทางคมนาคมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เป็นคุณูปการแก่ราษฎร ในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทรงสนพระราชหฤทัยในการอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมของชาติ เช่น โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ทรงพัฒนาการศึกษา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดระบบการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อกระจายโอกาสให้การศึกษาแก่เยาวชนให้ทุกท้องถิ่น พระราชทานโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน และอื่นๆ อีกนานัปการ

    พระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรอันงดงาม เป็นที่ประจักษ์แซ่ซ้องไปทั่วสากล องค์การต่างๆ ได้เทิดพระเกียรติคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลเป็นจำนวนมาก เช่น องค์การสหประชาชาติ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักพัฒนามนุษย์ ล่าสุด องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล Global Leader Award เป็นพระองค์แรก ในฐานะที่ทรงใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกร และพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และสหพันธ์สมาคมนักประดิษฐ์ระหว่างประเทศ ได้มีมติให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสิทธิบัตรกังหันน้ำชัยพัฒนา ที่ทรงคิดค้นประดิษฐ์ขึ้นเพื่อบำบัดน้ำเสีย และขจัดปัญหาด้านสภาวะแวดล้อม เป็นวันนักประดิษฐ์โลก

    อาณาประชาราษฎร์ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ และต่างมีความจงรักภักดี จักถวายชีพเพื่อปกป้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ให้ยั่งยืน มั่นคงตราบกาลนิรันดร์

    เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล เดชะพระสยามเทวาธิราชและพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลประทานพรแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงพระเกษมสำราญ พระชนมพรรษายิ่งยืนนาน ปราศจากโรคาพาธ อุปัทวันตราย หมู่ปัจจามิตรพ่ายพระบรมเดชานุภาพ ทรงสถิตเป็นร่มฉัตรปกเกล้าปกกระหม่อมพสกนิกรไทย เป็นหลักชัยอันมั่นคงของสยามประเทศ ตราบนิรันดร์กาล เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ”

    จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระดำรัสตอบ ความว่า

    “วันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าพเจ้า และสมเด็จพระเทพฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ในการที่จะรับท่านทั้งหลายในวโรกาสที่เข้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในปีนี้

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสให้ขอบใจในพรอันบริสุทธิ์ที่ได้ถวายมาด้วยความจงรักภักดี ทรงปลาบปลื้ม และทรงขอสนองพรทุกท่านที่ได้มีถวายมาอย่างจริงใจ ในการนี้ ได้ทรงขอให้บอกทุกท่าน และพระราชทานพรให้ทุกคนมีความสุข มีความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญา ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อประเทศชาติและประชาชน ก็ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ และก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดีงาม ทั้งในด้านส่วนรวมและส่วนตัว

    ในโอกาสนี้ ที่ไม่เสด็จฯ ลง เพราะว่าทรงมีอาการประชวรเล็กน้อย ซึ่งก็ได้จะโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ ซึ่งได้ขึ้นเฝ้าฯ ได้อธิบายให้ท่านฟังถึงอาการประชวรในเบื้องต้น

    แต่สุดท้ายนี้ก็ ในพระปรมาภิไธยก็ขออัญเชิญพระราชกระแสขอบใจและสนองไมตรี สนองพรทุกท่านที่ได้มาถวายพระพรในวันนี้ ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ สมปรารถนาทุกประการ”

    จากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระดำรัส ความว่า

    “เมื่อวานนี้ไปเฝ้าฯ ก็ยังไม่เป็นไร แล้วก็ไปร่วมตั้งเครื่องถวายพระกระยาหาร ก็ยังเสวยได้ดี แต่พอดีมาถึงวันนี้ ได้ทรงมีพระอาการเป็นช่องพระศอ คือ ทั้งหลอดลม หลอดอาหาร อักเสบ ทำให้เสวยเครื่องไม่ค่อยได้ เขาก็เลยถวายเป็นน้ำเกลือแล้วก็ยา ส่วนทางด้านหลอด เขาเรียกหลอดลมนะ เขามีเสมหะออกมามาก ก็ทำให้ท่านรู้สึกทรงไม่ทรงพระสำราญ แล้วก็ทำให้อ่อนเพลีย แต่ว่าไม่มีไข้ ก็คิดว่าจะให้บรรทมพักไปสักพักเท่าไรจนกระทั่งมีพละกำลัง ค่อยออกมาพบท่าน หรือทำอะไรได้ เพราะคิดว่าถ้าตอนนี้ คิดว่า อยากจะทรงพักดีกว่า แล้วก็เรื่องรายละเอียดจะเป็นยังไงนี่ เข้าใจว่า ประเดี๋ยวทางแพทย์เขาคงพูดด้วยภาษาที่ถูกต้องอีกที แต่ว่านี่ก็ว่าเท่าที่เห็น คือ แต่ท่านก็ดูแล้วพระอาการไม่ได้หนักมาก แต่ว่าดูเหมือนจะอ่อนเพลียที่จะลุก เพราะว่าเสวยไม่ได้เต็มที่ แล้วก็เสมหะออก แล้วติดอยู่ คือ มีเสมหะแต่ติดอยู่ ก็ไม่ค่อยจะออก แล้วก็ถวายน้ำเกลือเนี่ย เพื่อที่จะล้างให้ ถ้าได้น้ำไม่พอเนี่ย เหมือนเวลาเขาให้คนที่มีเสมหะเขาให้ดื่มน้ำมากๆ แต่ทีนี้ถ้าดื่มไม่ดีก็ถวายน้ำเกลือ ตอนนี้ดูจะออกลงมาก แต่ว่า เหมือนกับว่าถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่จะให้เฝ้าฯ แล้ว ก็จะให้เสมหะออก แล้วก็ออกมาดี ก็ยังไม่ทัน ก็เลยโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมฯ มารับพรและขอบใจทุกๆ ท่านแทน”

    หลังจากนั้น วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ กลับ




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    -------------------------------------


    "ในหลวง"ทรงงดพระราชดำรัส ณ ศาลาดุสิตฯ"พระเทพฯ"ตรัส ประชวรเล็กน้อย-เจ็บพระศอ-มีเสมหะต้องถวายน้ำเกลือ
    http://www.matichon.co.th/news_detai...id=00&catid=42

    สมเด็จพระเทพฯตรัส ในหลวงทรงประชวรเล็กน้อย มีพระอาการเจ็บพระศอ ทรงมีเสมหะมาก รับการถวายน้ำเกลือ รู้สึกทรงไม่พระสำราญ อ่อนเพลีย "ในหลวง" ทรงพระประชวร ช่องพระศออักเสบ มีเสมหะ เสวยเครื่องไม่ค่อยได้ พระอาการอ่อนเพลียแต่ไม่มีไข้ โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเสด็จฯแทนพระองค์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสแก่คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม เมื่อเวลา 17.19 น. วันที่ 4 ธันวาคม ซึ่งปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 81 พรรษา


    นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยในนามผู้เข้าเฝ้าฯ ตอนหนึ่งว่า คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ต่างมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงสถิตย์เป็นมิ่งขวัญฉัตรแก้วร่มเกล้าของปวงพสกนิกรไทย


    "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาทุ่มเทอุทิศกำลังพระวรกาย กำลังพระปัญญา และกำลังพระราชทรัพย์ สร้างสรรค์ความอยู่ดีมีสุข แก่อาณาประชาราษฎร์ ทรงขจัดปัดเป่าทุกข์ภัย ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยความยากจน โรคาพยาธิภัย ตลอดจนภัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้พระราชทานแนวทางการแก้ปัญหา ด้วยพระบรมราโชบาย ที่ลึกล้ำและบูรณาการอย่างเป็นระบบ ทรงวิเคราะห์ปัญหาอย่างถ่องแท้ จึงทรงสามารถขจัดปัดเป่า คลี่คลายปัญหานั้นได้อย่างเหมาะสมทุกประการ"


    จากนั้นสมเด็จพระบรมโอสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชดำรัสแทนพระองค์ ความว่า " วันนี้ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าพเจ้า และสมเด็จพระเทพรัตนฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ในการที่จะรับท่านทั้งหลาย ในโอกาสที่เข้าถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสให้ขอบใจในพรอันบริสุทธิ์ ที่ได้ถวายมาด้วยความจงรักภักดี ทรงปลาบปลื้มและทรงขอสนองพรทุกท่านที่ได้ถวายมาอย่างจริงใจ


    ในการนี้ทรงขอให้บอกทุกท่าน และพระราชทานพรให้ทุกคนมีความสุข มีความเจริญ มีกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อประเทศชาติและประชาชน ขอให้ท่านมีความสุข ความเจริญ และก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดีงาม ทั้งในด้านส่วนรวมและส่วนตัว


    และโอกาสนี้ที่ไม่เสด็จลง เพราะว่าทรงมีพระอาการประชวรเล็กน้อย ซึ่งก็ได้โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเทพรัตนฯ ได้ขึ้นเฝ้าฯได้อธิบายให้ท่านฟังถึงอาการประชวรในเบื้องต้น แต่สุดท้ายนี้ในพระบรมปรมาภิไธยขออัญเชิญพระราชกระแสขอบใจและสนองไมตรี สนองพรทุกท่านที่ได้มาถวายพระพรในวันนี้ ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ สมปรารถนาทุกประการ



    ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า "เมื่อวานนี้ไปเฝ้าฯ ก็ยังไม่เป็นไร แต่ไปร่วมตั้งเครื่องถวายพระกระยาหาร ก็ยังเสวยได้ดี แต่พอดีมาถึงวันนี้ ทรงมีพระอาการช่องพระศอ คือทั้งหลอดลม หลอดอาหารอักเสบ ทำให้เสวยเครื่องไม่ค่อยได้ เขาก็เลยถวายน้ำเกลือ และยา



    ส่วนทางด้านหลอดลม มีเสมหะออกมามาก ทำให้ท่านก็รู้สึกไม่ทรงพระสำราญ ทำให้อ่อนเพลีย แต่ว่าไม่มีไข้ ก็คิดว่าถ้าให้ท่านทรงพักไปสักพัก จนกระทั่งมีพระกำลังถึงค่อยออกมาพบท่านหรือทำอะไรได้ เพราะคิดว่าถ้าตอนนี้ คิดว่าทรงอยากจะพักดีกว่า และเรื่องรายละเอียดจะเป็นอย่างไร เข้าใจว่าประเดี๋ยวทางแพทย์เขาคงพูดได้ภาษาที่ถูกต้องอีกที แต่ว่าเท่าที่เห็นคือ ดูแล้วพระอาการไม่หนักมากแต่ว่าอาจจะดูเหมือนอ่อนเพลีย เพราะเสวยไม่ได้เต็มที่ แล้วก็เสมหะออกแล้วติดอยู่ คือมีเสมเหะแต่ติดอยู่ ไม่ค่อยจะออก แล้วก็ถวายน้ำเกลือเพื่อที่จะล้าง ถ้าได้น้ำไม่พอ เหมือนกับเวลาคนที่มีเสมหะก็ให้ดื่มน้ำมากๆ แต่นี่ถ้าท่านดื่มได้ไม่ค่อยดี ก็ถวายน้ำเกลือ ตอนนี้ดูจะออกลงมาก แต่ว่าเหมือนกับว่าถึงเวลาแล้วถึงเวลาที่จะให้เฝ้าฯ แล้วก็จะให้เสมหะออกก็ยังไม่ทัน ก็เลยโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ มารับพร และขอบใจทุกๆ ท่านแทน "



    ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เมื่อเวลา 13.45 น. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช กล่าวในการเป็นประธานในเปิดงาน 5 ธันวามหาราช ตอนหนึ่งว่า ในปีนี้ถือเป็นปีมหามงคลที่ประชาชนทุกหมู่เหล่า และทุกเชื้อชาติศาสนา สามารถแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน และแสดงถึงความรักความสามัคคีของคนในชาติที่เทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุด และเป็นศูนย์รวมของความรัก ความสามัคคีของคนไทย ซึ่งถือว่าทุกภาคส่วนได้จัดงานได้อย่างสมพระเกียรติ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด นับถือศาสนาใดก็ตาม ความสามัคคีที่ท่านกำลังแสดงออกอยู่ขณะนี้นับเป็นการกระทำที่เป็นสิริมงคล น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เช้าวันนี้เวลาตี ๕ ตรง ผมได้เจริญสมาธิ และอาราธนาองค์หลวงปู่อุตรเถระเจ้าพร้อมด้วย...ผงยาวาสนาที่ท่านเมตตาเสกให้ โดยได้ขอขมา ขออนุญาต และขอหลวงปู่ฯให้ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยที่ไม่ทรงพระสำราญในเวลานี้ ขอให้ได้คลายจากพระอาการเจ็บพระศอ และมีเสมหะมากด้วย...

    ได้กำหนดลมหายใจเข้าออก รวบรวมกำลังสมาธิ กำหนดเห็นภาพพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจน และแจ่มใส ขณะเดียวกันก็ได้เพ่งกำลังจิตไปที่บริเวณพระศอของพระองค์ท่าน กำหนดเห็นเป็นสีแดงเข้ม ...ผงยาวาสนาที่ได้อยู่กลางฝ่ามือซ้ายนี้ ได้กำหนดเห็นเป็นสีเขียวสดใส ทำสมาธิเบาๆ ทบทวนวัตถุประสงค์การนำมาบำบัดอาการโรคที่พระองค์ท่านทรงเป็นอยู่ในเวลานี้ ว่าไม่ได้นำมาทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่ในฐานะของพลเมืองที่จงรักภักดีคนหนึ่งที่พึงมีต่อพระองค์ท่านในเวลานี้ ขอหลวงปู่สงเคราะห์ลูกด้วย ซึ่งก็สามารถทำได้เพียงเท่านี้...
    <O:p</O:p

    ขณะที่เห็นภาพพระเจ้าอยู่หัว...

    เห็นบริเวณพระศอมีสีแดงเข้ม และเสมหะติดขัด...

    กลางฝ่ามือที่วาง...ผงยาวาสนาเกิดมีพลังงานไฟฟ้าขุมหนึ่งเกิดขึ้น แผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือ สันมือ หลังมือ..

    พลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นคล้ายค่อยๆ Boost ขึ้นมา และแรงขึ้นจนสังเกตได้ว่าแตกต่างจากอีกข้างหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นกระแสไฟฟ้าแป๊บขึ้นมาเป็นระยะ จิตบอกว่าหลวงปู่กำลังทำการรักษาให้พระเจ้าอยู่หัวอยู่ ก็เลยกำหนดเห็นภาพ...ผงยาวาสนาสีเขียวสดใสนี้ลอยไปรักษาที่บริเวณพระศอของพระองค์ท่าน เห็นภาพสีแดงเข้ม กลายเป็นสีแดงเรื่อๆ และเป็นสีเขียวในที่สุดพร้อมๆกับอาการเกร็ง หนัก และซ่านที่ฝ่ามือได้เบาบางลงจากครั้งแรก คล้ายหลวงปู่ได้เสร็จสิ้นการรักษาแล้ว

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...
     
  2. ชวภณ ศ.

    ชวภณ ศ. สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +19
    สวัสดีตอนเช้าครับคุณเพชร
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สวัสดีครับ ตื่นเช้าพอกันนะครับ คุณชวภณรอรับพระสมเด็จวังหน้าช่วงวันเสาร์นะครับ ทางไปรษณีย์เขาแจ้งว่าอย่างนั้น
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คลาดกันไปคลาดกันมาตลอดเลย..คุณแม่ไปธุดงค์ที่วัดท่าซุงหรือเปล่าครับ
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เหอๆๆๆ เตียงแมว หมอนแมว หมอนข้างแมว ผ้าห่มแมว..

    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  6. ชวภณ ศ.

    ชวภณ ศ. สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอบคุณครับ จะได้นำไปให้น้องๆที่ร่วมบุญได้มีโอกาสได้บูชาพระสมเด็จวังหน้ากัน วันนี้ยังไม่ได้นอนครับ ผมถึงบ้านต่างจังหวัดประมาณ 04.00 น.ครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    [​IMG]

    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เชิดชูพระราชอัจฉริยภาพของในหลวง "พระบิดาแห่งการช่างไทย"
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad01051251&sectionid=0115&day=2008-12-05


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 81 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคมนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กำหนดให้มีการจัดงาน "สัปดาห์เทิดพระเกียรติ" ระหว่างวันที่ 8-14 ธันวาคม พร้อมทั้งได้ขอมติคณะรัฐมนตรีให้วันที่ 2 มีนาคมของทุกปี เป็น "วันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ" จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเริ่มในวันที่ 2-3 มีนาคม พ.ศ.2552 เป็นปีแรกเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เหล่าพสกนิกรและข้าราชการทั้งหลายได้ศึกษาเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ในด้านการช่างเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต

    เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในงานช่างตั้งแต่ยังทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยได้ทรงประดิษฐ์ของเล่นด้วยพระองค์เอง ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพในด้านงานช่างเป็นอย่างมาก

    "สิ่งที่จัดขึ้นนั้นเป็นการปลุกเร้าให้คนทำงานด้านช่างต่างๆ และแรงงานไทยพยายามพัฒนาฝีมือของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าแรงงานเราจะต้องเป็น Knowledge Worker คือ จะต้องมีความรู้ มีฝีมือจนสามารถประกอบอาชีพเสริมสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ" นายนคร ศิลปอาชา อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกล่าวด้วยความปลาบปลื้มใจ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    นักเรียนโรงเรียนพระดาบส


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นายนครกล่าวอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชอัจฉริยภาพในด้านงานช่าง และทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องดังกล่าว ครั้งนี้กระทรวงแรงงานเตรียมทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานาม "พระบิดาแห่งการช่างไทย" แด่พระองค์ ซึ่งนอกจากเป็นการแสดงให้เห็นถึงพระราชอัจฉริยภาพทางด้านช่างของพระองค์แล้ว ยังเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเห็นความสำคัญของวิชาชีพช่าง โดยทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดตั้งโรงเรียนพระดาบส เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้ด้อยโอกาสได้เรียนรู้ด้านงานช่าง และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

    พระราชดำรัสตอนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานไว้ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้หยิบยกมาเป็นแนวนโยบายความว่า

    "ขณะนี้ยังมีบุคคลอีกเป็นจำนวนมากที่มีความตั้งใจจริงมีศรัทธาขวนขวายหาความรู้เป็นวิชาชีพใส่ตน แต่ประสบปัญหาไม่มีความรู้พื้นฐาน และไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาวิชาชีพระดับต่างๆ ได้ หากมีช่องทางช่วยเหลือ บุคคลเหล่านี้ให้มีความรู้ วิชาชีพที่เขาปรารถนาย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติได้..."

    ขณะที่ พญ.กรรณิการ์ ตันประเสริฐ ครูใหญ่โรงเรียนพระดาบส เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งโครงการพระดาบสขึ้นเพื่อรับคนที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะเรียนมาสั่งสอนอบรมเลี้ยงดูให้เขาได้รับสิ่งที่ดี 2 อย่าง คือ 1.ให้มีวิชาชีพ 2.ให้เป็นคนที่มีคุณภาพ มีศีลธรรมจรรยาสามารถเอาตัวรอดได้ คำว่า "รับมาสั่งสอนเลี้ยงดูนั้น" พระองค์หมายความว่า มาอยู่กับพ่อแม่ที่จะสอนความรู้และวิถีการดำรงชีวิตให้กับลูก <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โรงเรียนพระดาบสเปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2519 โดยเริ่มเปิดหลักสูตรวิชาชีพช่างไฟฟ้า วิทยุและโทรทัศน์ก่อน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมในการดำเนินโครงการและต่อมาได้ทรงพระกุรณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิพระดาบส

    "ไม่ว่าเราจะเผชิญสิ่งใดมา เพียงแต่แค่เรามีความใฝ่รู้และมีโอกาสที่จะเรียนรู้ ขอให้มีความมุ่งมั่นในการเรียน จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ในขณะเดียวกันไม่เพียงมีอาชีพเท่านั้น แต่ยังมีคุณธรรมศีลธรรมติดตัวออกไป นี่คือทุกสิ่งที่ทุกคนจะได้รับ" ครูใหญ่โรงเรียนพระดาบสยึดหลักปรัชญาของในหลวงมาเป็นแนวทางในการสอนและพัฒนาบุคลากรที่อยู่ในโรงเรียน

    ปัจจุบันมีผู้สำเร็จจากโรงเรียนพระดาบสแล้วจำนวนกว่า 800 คน โดยเกือบทั้งหมดสามารถนำความรู้ที่ได้จากโรงเรียนไปประกอบอาชีพตามที่ตนเองสนใจ คนใดมีเวลาก็กลับมาช่วยสอนรุ่นน้องที่โรงเรียนพระดาบสด้วยความเต็มใจและยินดี

    นายพินิจ วังสาลุน ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ศิษย์พระดาบส ซึ่งกำลังศึกษาช่างไฟฟ้า เล่าว่า ตนเองไม่เคยลืมโครงการเพื่อเด็กด้อยโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มจัดตั้งขึ้น และความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้ตนมีความรู้และเป็นคนดี ในอนาคตอยากนำความรู้ที่ได้และคำสอนต่างๆ ไปพัฒนาเพิ่มความก้าวหน้าให้กับตนเอง

    ขณะที่ น.ส.อุไลรัตน์ แวดอุดม ศิษย์เก่าพระดาบส ซึ่งเรียนจบวิชาชีพเคหบริบาล และประกอบอาชีพรับจ้างดูแลผู้สูงอายุ กล่าวว่า ตนได้ยึดมั่นในปรัชญาที่ใช้ในการดำเนินชีวิตมาตลอด คือ ความขยัน อดทน ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา ต่อคนที่เราทำงานด้วย ซึ่งได้ยึดมั่นมาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนพระดาบส จนกระทั่งจบก็ยังนำปรัชญามาเป็นคติเตือนใจในการทำงาน

    "เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้ สิ่งที่จะทำให้ในหลวงคือเราต้องคิดดี ทำดี และไม่ทำให้คนอื่นหรือตัวเองเดือดร้อน ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อนมากไปกว่านี้ และเป็นคนดีต่อสังคม" เธอบอกถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่น
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยกย่อง"ในหลวง"นักประดิษฐ์โลก ผู้นำด้านทรัพย์สินทางปัญญา ถวายรางวัล "โกลบอล ลีดเดอร์ อวอร์ด"
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01051251&sectionid=0131&day=2008-12-05


    โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เป็นข่าวปลาบปลื้มของพสกนิกรชาวไทยอย่างยิ่งในรอบปี เมื่อ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ WIPO (World Intellectual Property Organization) ได้แถลงทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล "โกลบอล ลีดเดอร์ อวอร์ด" (WIPO Global Leaders Award) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

    ด้วยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์ ทั้งกำลังพระราชหฤทัยและกำลังพระวรกาย สร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ พัฒนาความเป็นอยู่ของพสกนิกรชาวไทย ทรงใช้งานทรัพย์สินทางปัญญาส่งเสริมและพัฒนาประเทศ รวมถึงพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรชาวไทยให้ดีขึ้นได้อย่างโดดเด่น เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก

    การที่ทรงพระปรีชาสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน และประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ มากมายนั้น ล้วนแต่เป็นผลงานที่เป็น ทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งสิ้น เช่น บทเพลงพระราชนิพนธ์ทุกบทเพลง หนังสือพระมหาชนก หนังสือแนวคิดทฤษฎีใหม่ ฯลฯ

    ปัจฉิมา ธนสันติ รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำทางทรัพย์สินทางปัญญาอย่างแท้จริง พระองค์ท่านทรงเป็นนักประดิษฐ์มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เริ่มตั้งแต่ทรงประดิษฐ์สร้างเรือใบ "ซุปเปอร์มด" แล้วทรงนำไปจดทะเบียนในต่างประเทศ

    ถัดจากนั้นต่อมา ทรงประดิษฐ์คิดค้น "กังหันน้ำชัยพัฒนา" เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถทำงานได้ผลอย่างจริงจัง ภายใต้กฎหมายสิทธิบัตรของไทย และถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกที่จดทะเบียนในประเทศไทย "กังหันน้ำชัยพัฒนา" เรียกได้ว่าเป็นเครื่องเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย สามารถแก้ปัญหาน้ำเสียเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม จดทะเบียนสิทธิบัตรตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536

    นับแต่นั้นมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงประดิษฐ์คิดค้นหลายสิ่งหลายอย่างมาอย่างต่อเนื่อง และได้จดทะเบียนสิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตรรวมแล้วมีทั้งหมด 8 คำขอ อาทิ เครื่องเติมอากาศแบบอัดและดูดน้ำ, การใช้น้ำมันปาล์มแบบกลั่นบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ดีเซล เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์ 2 จังหวะ (ไบโอดีเซล) การทำฝนหลวง เป็นต้น

    "โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำฝนหลวงนี้ ถือว่าเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมาก ได้ไปยื่นคำขอจดทะเบียนในยุโรป เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2548 ซึ่งตามขั้นตอนระบบของการขอจดสิทธิบัตรนั้น เมื่อยื่นคำขอไปแล้วจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 1-2 ปี หากตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เคยมีมาก่อนก็จะได้รับการจดทะเบียน ซึ่งผลงานการทำฝนหลวงของในหลวงนั้นต้องถือว่าพระองค์ท่านทรงมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และทรงให้ความสำคัญในการจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา ดังเช่นเมื่อปี 2544 เมื่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านมีพระดำรัส ว่า "...เรื่องทรัพย์สินทางปัญญามีมานานแล้ว ทั้งเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร มีความสำคัญมาก..."
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    รองอธิบดีปัจฉิมา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อปี 2500 ประเทศไทยเรามักไปลอกเลียนสิ่งประดิษฐ์มาจากประเทศอื่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมองเห็นว่าคนไทยเมื่อก่อนมาจากการลอกเลียนแบบ แต่จริงๆ แล้วคนไทยก็เป็นนักประดิษฐ์คิดค้น แล้วพระองค์ท่านมีรับสั่งว่า ถ้าประเทศไทยมีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา คนไทยจะเจริญ

    รองอธิบดีปัจฉิมา กล่าวต่อไปว่าในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ทรงจดในนามพระปรมาภิไธย แต่ใช้เป็นเครื่องหมายทางการค้า เช่น บริษัท สุวรรณชาด ทรงใช้เครื่องหมายทางการค้าเป็นรูปสุนัขทรงเลี้ยง "คุณทองแดง" หรือ โครงการหลวง ทรงใช้เครื่องหมายการค้า "ธรรมชาติ" เป็นรูปสี่เหลี่ยมข้างในสี่เหลี่ยมเป็นพื้นสีเขียวเขียนคำภาษาอังกฤษ "THAMMACHAD" ใต้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย "ธรรมชาติ" ทั้งนี้ ก็เพื่อสื่อให้คนไทยหันมารักสุขภาพ กินอาหารที่มาจากธรรมชาติ

    นอกจากนี้ทรงมีผลงานทางด้านวรรณกรรม คือ โครงการทฤษฎีใหม่, พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก งานทางด้านศิลปกรรม เช่น เหรียญพระมหาชนก รูปวาดในพระมหาชนก ซึ่งเกิดจากพระราชดำริของพระองค์ท่าน และที่จะอดกล่าวถึงไม่ได้ คือ เพลงพระราชนิพนธ์ ก็เป็นผลงานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของพระองค์ท่านทั้งสิ้น

    รองอธิบดีปัจฉิมา กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระผู้นำทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจึงมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมากมาย ส่วนมากแล้วเป็นองค์กรระดับโลกทั้งนั้น อาทิ รางวัลจากไอเอฟไอเอ จากผลงาน กังหันน้ำชัยพัฒนา เหรียญรางวัล Genius Medal จากผลงาน ทฤษฎีใหม่ และเศรษฐกิจพอเพียง ถวายรางวัล Special Prize จากองค์กร KIPA ล่าสุด นายโคฟี อันนัน ในนามยูเนสโก ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ความที่พระองค์ท่านทรงเป็นนักประดิษฐ์เช่นนี้เอง ทำให้องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ WIPO ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล WIPO Global Leaders Award หรือรางวัลผู้นำทรัพย์สินทางปัญญาโลก แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะมีผู้แทนขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เดินทางมาทูลเกล้าฯ ถวาย ในฐานะที่ทรงเป็นนักประดิษฐ์โลก โดยรางวัลนี้นับเป็นรางวัลแรกของ WIPO ที่จัดทำขึ้นและถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นลำดับแรก

    "กรมทรัพย์สินทางปัญญามีความภาคภูมิใจอย่างมากที่พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเป็นผู้นำทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา และทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการจดสิทธิบัตรต่างๆ เพราะถ้าหากพระองค์ท่านแค่สร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมา แต่ไม่ได้คำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิ คนไทยก็จะสูญเสียประโยชน์อย่างมหาศาล" รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าว

    สำหรับผลงานด้านสิทธิบัตรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมากมาย ส่วนหนึ่งที่ทรงได้รับการถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร รวมทั้งสิ้น 8 ฉบับ ได้แก่

    1.สิทธิบัตรการประดิษฐ์เลขที่ 3127 เรื่อง เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย (กังหันน้ำชัยพัฒนา) เป็นเครื่องกลเติมอากาศที่ใช้ในการเติมออกซิเจนลงในน้ำที่ระดับผิวน้ำ ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536

    2.สิทธิบัตรการประดิษฐ์เลขที่ 10304 เรื่อง เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ เป็นเครื่องกลเติมอากาศใช้ในการเติมออกซิเจนลงในน้ำที่ระดับลึกลงไปใต้ผิวน้ำจนถึงด้านล่างของแหล่งน้ำ ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2544

    3.สิทธิบัตรการประดิษฐ์เลขที่ 10764 เรื่อง การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2544

    4.อนุสิทธิบัตรเลขที่ 841 เรื่อง การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์สองจังหวะ เป็นการใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์ทดแทนน้ำมันหล่อลื่นที่ได้จากน้ำมันปิโตรเลียมสำหรับเครื่องยนต์สองจังหวะ (เช่น เครื่องรถมอเตอร์ไซค์ เครื่องสูบน้ำ เป็นต้น) ถวายการรับจดทะเบียนอนุสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2545

    5.สิทธิบัตรการประดิษฐ์เลขที่ 13898 เรื่อง การดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน (ฝนหลวง) เป็นกรรมวิธีการทำฝนหลวงที่มีการทำฝนทั้งในระดับเมฆอุ่นที่ระดับต่ำกว่า 1 หมื่นฟุต และเมฆเย็นที่ระดับสูงกว่า 1 หมื่นฟุต พร้อมๆ กัน ซึ่งทรงเรียกว่า "ซุปเปอร์แซนด์วิช" ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2545

    6.สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เลขที่ 14859 เรื่อง ภาชนะรองรับของเสียที่ขับออกจากร่างกาย เป็นภาชนะที่ทรงออกแบบไว้เป็นการเฉพาะสำหรับรองรับปัสสาวะของผู้ป่วย ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2546

    7.สิทธิบัตรการประดิษฐ์เลขที่ 16100 เรื่อง อุปกรณ์ควบคุมการผลักดันของเหลว เป็นเครื่องยนต์ที่ขับดันน้ำเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเรือ ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547

    8.สิทธิบัตรการประดิษฐ์เลขที่ 22637 เรื่อง กระบวนการปรับปรุงสภาพดินเปรี้ยวเพื่อให้เหมาะแก่การเพาะปลูก (โครงการแกล้งดิน) เป็นการปรับปรุงสภาพดินเปรี้ยวที่ไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ ให้เป็นดินที่มีสภาพที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชต่างๆ ได้ โดยใช้วิธีการเลียนแบบธรรมชาติเพื่อแกล้งให้ดินมีสภาพเปรี้ยวจัดก่อน แล้วทำการชะล้างความเปรี้ยวของดิน และทำการปรับสภาพดินให้เหมาะแก่การเพาะปลูกต่อไป ถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2550

    ผลงานทั้งหมดที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นขึ้นนั้น หากจะเปรียบเทียบกับชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ แล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือรางวัลทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรเทียบได้ ก็คือ "น้ำพระทัย" และ "พระเมตตา" แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทำทุกอย่างเพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน ให้พสกนิกรอยู่ดีกินดี มีความสุขสถาพร

    เพราะเมื่อประชาชนไม่ทอดทิ้งพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทอดทิ้งประชาชน
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    81 พรรษา เทิดพระเกียรติ...รวมงานศิลป์

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01051251&sectionid=0147&day=2008-12-05

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช เจริญพระชนมพรรษา 81 พรรษา ริเวอร์ซิตี้ร่วมกับสมาคมเผยแพร่และส่งเสริมศิลปวัตถุ จัดงาน "ในหลวง ในดวงใจ" เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณให้กว้างไกล ในฐานะที่ทรงเป็นอัครศิลปิน วันที่ 15 ธันวาคม 2551 -4 มกราคม 2552 <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เวลา 11.00-19.00 น. ณ ห้องนิทรรศการชั้น 4 ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ เจริญกรุง 24

    นิทรรศการครั้งนี้ รวมงานศิลป์ที่หาดูยากและทรงคุณค่าจากฝีมือศิลปินชื่อดังซึ่งเป็นของนักสะสมหลายท่านนำมาจัดแสดงซึ่งทุกชิ้นเกิดจากความรัก ความจงรักภักดีและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทั้งสิ้นโดยศิลปินได้กลั่นกรองออกมาเป็นชิ้นงานที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผลงานของนิรันดร์ ไกรสรรัตน์, งานหล่อพระบรมรูป ผลงานจากวัชระ ประยูรคำ และเหรียญที่ระลึกในโอกาสสำคัญตลอดรัชกาล นอกจากนี้ ยังมีเฟรมขนาด 10X12 นิ้ว จำนวน 82 เฟรมพร้อมภาพแทนความรู้สึกที่มีต่อพระมหากรุณาธิคุณของเหล่าศิลปินดาราที่คุณชื่นชอบและคนที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาร่วมประมูล และรายได้จากการประมูลทูลเกล้าฯสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามอัธยาศัย
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>81 เรื่องของ “ในหลวง” ที่คนไทยควรรู้
    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000143683
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 ธันวาคม 2551 23:57 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ตลอดเวลา 60 ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ “ในหลวง” ของปวงชนชาวไทยทรงครองสิริราชสมบัตินั้น พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกาย ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขแห่งพสกนิกรไทยกว่า 64 ล้านคน

    พระกรุณาธิคุณนี้ได้ประจักษ์ต่อทุกดวงใจมิเพียงแต่ชาวไทยเท่านั้น แม้แต่ชาวต่างชาติก็รู้จักในหลวงของเราว่า... ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดและเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกคน

    ในฐานะคนไทยแล้ว คุณคิดว่า คุณรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์ดีหรือยัง หากว่ายังลองเข้าไปอ่าน 81 เรื่องราวของในหลวง ซึ่งบางเรื่องคุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้....


    **เมื่อทรงพระเยาว์

    1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.(เวลาท้องถิ่น สหรัฐฯ)

    2. นายแพทย์ผู้ถวายการคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

    3. พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

    4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช

    5. ทรงมีชื่อเล่นว่า “เล็ก” หรือ “พระองค์เล็ก”

    6. เสด็จนิวัตสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อพระชนม์ 2 พรรษา พร้อมด้วยสมเด็จพระชนกและสมเด็จพระชนนี

    7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างสามัญชนว่า "แม่"

    8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง

    9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม

    10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

    11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า "บ๊อบบี้"

    12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ

    13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที่ ในหลวงจะทรงต่อรองว่าทีเดียวก็พอ

    14. ระหว่างประทับอยู่สวิส จะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศสกับสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระพระเจ้าพี่นางเธอฯ แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ

    16.ในหลวงทรงเชี่ยวชาญในภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมันและลาติน

    15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

    16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"

    17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา

    18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

    ทรงศึกษาวิชาการต่าง ๆ

    19. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol" หมายเลขประจำตัว 449

    20. ทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซานน์ แผนกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์

    21. หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศสวิสอีกครั้งเพื่อทรงศึกษาวิชาใหม่ คือกฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากต้องรับพระราชภาระเป็นพระมหากษัตริย์ ในด้านวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ทรงศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศ เกี่ยวกับพื้นฐานและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ เพื่อเป็นแนวปรับปรุงแก้ไขประเทศไทยให้เจริญขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปรารภอยู่เสมอว่า ประเทศไทยของพระองค์ยังล้าหลังประเทศอื่นอยู่มาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการศึกษา ฯลฯ

    22.ในหลวงทรงเชี่ยวชาญในภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมันและละติน

    **พระอัจฉริยภาพ

    23. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก “การเล่น” สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากทรงอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ทรงประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับสมเด็จพระเชษฐา เพื่อซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วทรงนำมาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง

    24. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และแผนภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์

    25. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด แต่ทรงโปรดแคลริเนท , แซกโซโพนและทรัมเป็ตมากที่สุดแต่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)

    26. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาทรงหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้

    27. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส

    28. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ “แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง

    29. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง “เราสู้”

    30.วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2506 เสด็จทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พร้อมทั้งทรงดนตรีเป็นครั้งแรกร่วมกับวง "อ.ส.วันศุกร์" ซึ่งมีอาจารย์และศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมด้วย คือ ศ.ดร.ระพี สาคริก และนายอวบ เหมะรัชตะ

    31. ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านการช่าง ซึ่งทรงโปรดหุ่นจำลองต่าง ๆ เช่นเรือใบเรือรบเป็นต้น ในคราวเสด็จนิวัตเมืองไทย ตอนก่อนสงครามโลก ได้ทรงจำลองเรือรบหลวงศรีอยุธยาจนเป็นผลสำเร็จ ครั้นแล้วเจ้าพระยารามราฆพก็ได้ทูลขอพระราชทานไปสำหรับให้พ่อค้าประชาชนได้ประมูลราคากันเพื่อเก็บเงินบำรุงโรงพยาบาลปราบวัณโรค ทรงถ่ายรูปไว้แล้วพระราชทานให้ไปตามประสงค์ ปรากฏว่า น.ส.เลอลักษณ์ เศรษฐบุตร ได้ประมูลซื้อไปเป็นเงินถึง 20,000 บาท อนึ่ง แม้แต่รูปเรือลำนั้นที่ทรงถ่ายโดยฝีพระหัตถ์ นายสหัส มหาคุณ เป็นผู้ประมูลซื้อไปถึงรูปละ 3,000 บาท

    32. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉาย เพื่อนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย

    33. พระราชนิพนธ์เรื่อง ”นายอินทร์” และ “ติโต” ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่เรื่องพระมหาชนกทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

    34. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ”กีฬาซีเกมส์”) ครั้งที่ 4 ปี 2510

    35. ครั้งหนึ่งในหลวงทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งและตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าว่า เสด็จกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

    36. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536

    37. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว

    38. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

    **เรื่องส่วนพระองค์

    39. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 ณ พระตำหนัก “วิลลาวัฒนา” และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493

    40.ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส ในหลวงทรงพระราชทานของที่ระลึกแก่พระบรมวงศานุวงศ์และพระญาติ คือ หีบเงินขนาดเล็กมีพระปรมาภิไธยคู่ปรากฏบนหีบนั้น

    41. หลังอภิเษกสมรส ทรงเสด็จ “ฮันนีมูน” ที่หัวหิน

    42. ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระนามเต็มของในหลวงคือ... พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

    43.พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเป็นสัจวาจาว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”

    44. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน

    45. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาและพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า(หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ฉายา สุจิตฺโต ป.๗) วัดบวรนิเวศวิหาร

    46. ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

    47. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

    48. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ

    พระราชกรณียกิจ

    49. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

    50. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ

    51. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าถวายงาน

    52. ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน

    53. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่ทรงหาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน

    54. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้

    55. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด

    56. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”

    57. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

    58.ตั้งแต่ปี2539 เป็นต้นมา ทรงพระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” เพื่อให้ราษฎรได้พึ่งพาตนเองได้

    **ของทรงโปรด

    59. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา

    60. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก

    61. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง

    62. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง

    63. ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก

    64. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

    65. ตอนเช้าเมื่อตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก

    66. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อจนถึงปัจจุบัน

    67. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ

    68. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

    69. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”

    70. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีพระชนม์เพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอด

    71. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า “อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”

    72. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

    73. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสมา ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี

    74. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์

    75.ในหลวงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก

    76.ในงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มีพระราชวงศ์จากทั่วโลกเสด็จมาร่วมงาน 25 ราชวงศ์

    77. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน

    78. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน

    79. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

    80. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง

    81. ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุกรวบคาพิธีอุบาทว์ พระครูหื่นจนมุมตร. สะเดาะเคราะห์กาม

    สดจากสนามข่าว

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB4Tnc9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    สอบปากคำา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>แล้ววงการผ้าเหลืองก็ร้อนผ่าวอีกครั้ง

    เมื่อตำรวจบุกจับ พระครูวิไล วิริโย เจ้าอาวาสวัดป่าอุ่มเม่า ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี ที่หลอกทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ก่อนฉวยโอกาสข่มขืนหญิงสาวที่มาอาบน้ำมนต์

    ที่ผ่านมา มีหญิงสาวตกเป็นเหยื่อแล้วกว่า 50 คน!!

    วิธีการของพระหื่นตัณหากลับ มิได้มีความผิดแปลกแตกต่างไปจากอลัชชีรายอื่นๆ แต่อย่างใด โดยจะอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นพระเกจิที่มีวิชาอาคม สามารถทำพิธีปัดเป่าเคราะห์กรรมให้กับหญิงสาวที่เคราะห์ร้าย ก่อนจะหาจังหวะเคลม สวาทต่อไป

    นั่นคือพฤติกรรมของโล้นฉาวรายนี้

    ย้อนไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นตอนบ่ายวันที่ 14 พ.ย. เมื่อนางสุ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี พาลูกสาวคือน.ส.มล (นามสมมติ) อายุ 22 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในจ.อุดรธานี เดินทางเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.อุดรธานี ร้องทุกข์กล่าวโทษว่า ถูกพระครูวิไล วิริโย อายุ 57 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าอุ่มเม่า หลอกทำพิธีสะเดาะเคราะห์แล้วลงมือข่มขืนกระทำชำเรา เหตุเกิดในช่วงเช้าวันเดียวกัน มิหนำซ้ำยังนัดอีกครั้งในช่วงเย็น อ้างว่าต้องทำพิธีซ้ำจึงจะเกิดความขลัง จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความเพราะมั่นใจว่างานนี้โดนพระหลอกข่มขืนแน่ๆ

    แบบนี้ต้องลากคอเข้าตะราง!!

    น.ส.มลให้การด้วยความแค้นว่า ก่อนหน้านี้แต่งงานอยู่กินกับสามีเป็นชาวอุดรธานี แต่ก็ต้องเลิกรากันไปเมื่อมีบุตรชายอายุเพียง 2 เดือน ตอนนี้ลูกชายอายุ 1 ขวบครึ่ง และฝากลูกชายให้แม่เป็นคนเลี้ยง ส่วนตนก็ไปทำงานเป็นพนักงานต้อนรับอยู่ที่โรงแรมมโนรมย์ ภูเก็ต ลาพักกลับมาเยี่ยมบ้านร่วมเดือนแล้ว แม่บ่นว่าหน้าตาซีดเซียวหมองคล้ำ ทำงานที่ไหนก็ไม่มีเงินเก็บ แม่จึงพาไปพบพระครูวิไล เจ้าอาวาสวัดป่าอุ่มเม่า ต.โนนสูง จากนั้นพระครูวิไลก็เรียกไปนั่งข้างๆ แล้วถามวันเดือนปีเกิด ตนก็บอกไปว่า เกิดวันที่ 19 ก.ค. 2529 พระครูวิไลรีบตอบว่า มันเป็นดวงแม่ฮ่าง (แม่ม่าย) ต้องแก้ทรวง (สะเดาะเคราะห์) จากนั้นก็เอากระดาษมาเขียนเป็นรูปผู้หญิง แล้วชี้ไปที่อวัยวะเพศ และบอกว่าต้องแก้ตรงจุดนี้เท่านั้น ถึงจะหายเคราะห์หายโศก อาตมามีปลัดขิกที่ปลุกเสกไว้แล้ว เดี๋ยวจะอาบน้ำมนต์ให้ ไปเปลี่ยนกางเกงออกอย่างเดียวแล้วนุ่งผ้าขาวเข้าไปในห้องอาบน้ำมนต์ ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ล้อมรอบด้วยต้นไม้บังตาคน จากนั้นพระครูวิไลก็บอกให้แม่ของตนไปนั่งรอไกลๆ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    เหยื่อสาวชี้ตัว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    น.ส.มล ให้การต่ออีกว่า พอเข้าไปในห้องอาบน้ำมนต์ ซึ่งมีโอ่งน้ำ 3 ใบวางเรียงกัน จากนั้นพระครูวิไลก็บอกให้นอนลงหลับตาพนมมือไว้ แล้วจัดการถลกผ้าขาว จับที่ต้นขาและอวัยวะเพศ ตนก็ถามว่าจะทำอะไร แต่พระครูวิไลไม่ยอมหยุด พร้อมขู่ว่าอย่าพูดเดี๋ยวของเข้าจะแก้ยาก ก่อนลงมือข่มขืนทันที จังหวะนั้นมีรถจักรยานยนต์วิ่งเข้ามาในวัดพอดี พระครูวิไลจึงรีบลุกขึ้นและเอาน้ำมนต์มาราดตัวให้แล้วก็บอกว่าเย็นๆ ค่อยมาใหม่ เมื่อตนกลับออกมาหาแม่ ก็สงสัยว่าทำไมพิธีกรรมจึงแปลกแบบนี้ เพราะว่าถูกข่มขืนชัดๆ จึงชวนแม่เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ของกลางอื้อ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตำรวจซ้อนแผนเล่นงานโล้นห่มเหลืองทันที

    รองฯ ณัฐนนท์ สั่งการให้ พ.ต.ต.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ สว. ร.ต.อ.ประ เสริฐ ธรรมชัย รอง สว. นำกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบไปที่วัดแห่งนั้น และนัดแนะกับน.ส.มลให้ช่วยเล่นละครฉากใหญ่เพื่อเข้าจัดการ

    เมื่อถึงเวลานัดหมาย น.ส.มลก็สวมบทบาทได้แนบเนียน เข้าหาพระครูวิไลในวัดแบบไม่มีอะไรน่าสงสัย โดยมีกำลังตำรวจกระจายอยู่ใกล้บริเวณศาลาที่ใช้อาบน้ำมนต์ เมื่อพระครูวิไลเห็นน.ส.มลก็เรียกให้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นุ่งผ้าขาวแทนกางเกง ก่อนจะพาเข้าไปในห้องอาบน้ำมนต์ซึ่งมีประตูสังกะสีปิดเอาไว้ ล้อมรอบด้วยต้นไม้ประดับบังตา

    หลังจากนั้นพระครูวิไล ก็เริ่มลวนลามน.ส.มล ตำรวจที่ซุ่มรออยู่จึงกรูเข้าจับกุมทันที ห้วงนั้นพระครูวิไลเห็นตำรวจเหมือนกับเห็นผี ถึงกับตาเหลือกหน้าถอดสี เมื่อรู้ว่าตัวเองโดนซ้อนแผนจับ

    พระหื่นจนมุมทันที


    ตำรวจพาพระครูวิไล ไปตรวจค้นในศาลาและกุฏิพร้อมตรวจยึดอุปกรณ์ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ประกอบด้วย ปลัดขิก ผ้าถุงสีขาว เหล้ายาดอง และเหล้าขาว กางเกงชั้นในและเสื้อชั้นในของ น.ส.มล โดยเหล้ายาดองที่ตรวจยึดไว้ได้พระครูวิไลอ้างว่าเอาไว้กินแก้ปวดเมื่อย เนื่องจากเป็นโรคปวดหัวเข่าเรื้อรัง

    เท่านั้นตำรวจจึงนำตัวไปสึก

    พระครูวิไล หรือ นายวินัย กองม่วง ให้การอย่างไม่สะทกสะท้านว่า ความจริงแล้วไม่ได้มีวิชาอาคมอะไร บวชเรียนเมื่อปี 2517 ที่วัดเทพจินดา หนองนาไฮ อ.เพ็ญ แล้วย้ายไปจำพรรษาวัดวารีศรีสะอาด ต.กุดสระ, วัดสุวรรณุทการาม ก่อนจะมาจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่าอุ่มเม่า ตั้งแต่ปี 2527 จนถึงตอนนี้ ที่ผ่านมา ชาวบ้านศรัทธาและเชื่อกันไปเองว่าใบ้หวยและทำพิธีสะเดาะเคราะห์เก่ง โดยเฉพาะการสะเดาะเคราะห์ให้กับหญิงสาวด้วยวิธีนี้ ทำมาตั้งแต่ปี 2545 และทำมากว่า 50 รายแล้ว เฉพาะปีนี้มีผู้หญิงมาสะเดาะเคราะห์ 8 คน บางคนเป็นข้าราชการอายุยังน้อยแค่ 25 ปี แต่สามีไปมีเมียน้อยเลยมาสะเดาะเคราะห์ถึง 3 หน

    ตำรวจแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยใช้อุบายหลอกลวงและกระทำอนาจารทันที

    "เท่าที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ มีผู้เสียหายถูกข่มขืนแล้วมากกว่า 50 ราย ตอนนี้มีเหยื่อเริ่มทยอยเข้าแจ้งความแล้วเกือบ 10 ราย ก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าแจ้งความก็เพราะเกิดความอับอาย สำหรับพระครูวิไลถือเป็นพระเกจิด้านพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ เจิมรถยนต์ และที่ชาวบ้านชอบคือใบ้หวยแม่น มีลูกศิษย์ทั่วเมืองอุดรและจังหวัดใกล้เคียง ไม่กี่ปีที่ผ่านมาสามารถหาเงินเข้าวัดได้กว่า 30 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อว่าพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ที่ชาวบ้านหลงเชื่อมานาน แท้ที่จริงเป็นเพียงกลลวงเพื่อขืนใจหญิงสาวเท่านั้น" พ.ต.ท.ณัฐนนท์ กล่าว

    สลดใจชาวพุทธอีกครั้ง!!
     
  14. ศิษย์ต่างแดน

    ศิษย์ต่างแดน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,011
    ค่าพลัง:
    +3,448

    ครับผม คุณแม่ไปร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดด้วยครับ ไปตั้งแต่วันที่ 3 ครับ คุณน้าก็จะไปร่วมหรือครับผม.......ไม่ได้คุยกับคุณน้านาน สบายดีนะครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>เปิดโลกการศึกษามุสลิมตอน: ร้อยดวงใจจุดเทียนชัย ถวายพระพร

    http://www.komchadluek.net/2008/12/05/x_edu_e001_234563.php?news_id=234563

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ประเทศไทยของคนไทยและยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ครั้งสมัยอดีต ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใดและยังมีพ่อหลวงซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของคนไทยทั่วทุกภูมิภาคและทั่วโลก

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1044823792492543";google_ad_slot = "8122705396";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT>

    พระองค์ทรงรักและห่วงใยพสกนิกรอย่างแท้จริง แกรนด์เช็คอีหม่ามไซยิด ฏอนฏอวีย์ ประมุขแห่งมหาวิทยาลัย อัลอัซฮัร ประเทศอียิปต์ยังเคยชื่นชมในความเป็นพ่อหลวงอย่างสุดซึ้งเมื่อครั้งที่ท่านได้เดินทางไปเยือนเมืองไทยและได้ทรงเข้าเฝ้าพ่อหลวงอย่างใกล้ชิด
    เมื่อวันที่30 พฤศจิกายน 2551 พวกเราคนไทยในไคโร ทั้งข้าราชการ แรงงาน นักศึกษาและชุมชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในอียิปต์ ต่างมีความรู้สึกดีใจ และเดินทางมายังทำเนียบเอกอัครราชทูต เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 81 พรรษาของพ่อหลวง ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตเป็นเจ้าภาพ โดยพร้อมเพรียงกัน
    เวลา18.30 น. ข้าราชการ แรงงาน นักศึกษารวมทั้งชุมชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในอียิปต์ กว่า 250 คน ได้ร่วมกันจุดเทียนชัย โดยเอกอัครราชทูต นภดล เทพพิทักษ์ได้กล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงและมีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพื่อทรงเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยสืบไป จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสุดีมหาราชากึกก้องทั่วทำเนียบ การจัดงานในครั้งนี้แม้ทุกคนจะมีความสุขที่ได้ร่วมกันสรรเสริญและอวยพรให้พ่อหลวงอยู่กับพวกเราตลอดไปตราบนานเท่านั้น การจัดงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ เป็นการระลึกถึงบุญคุณของพ่อหลวง ผู้ซึ่งรักทุกคนอย่างจริงใจ การที่พวกเรารักพ่อหลวง เราก็ควรที่จะทำตามในสิ่งที่พ่อหลวงเคยพูดเอาไว้ในเรื่องความสามัคคีและปรองดองกันไว้ เพราะเราคนไทยด้วยกัน ผมเคยบอกผ่านคอลัมน์อยู่เสมอเลยว่า การหาคนดีนั้นไม่ได้วัดกันที่การแต่งกายหรือการศึกษา หากแต่วันกันที่หัวใจและความบริสุทธิ์ ที่ต้องใช้เวลาวัดผลงานและความเป็นคน เพราะคนดีนั้นมีมาก แต่หายากคนที่ดี


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -----------------------------------------------


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>"เวลาเป็นของมีค่า"พระนิพนธ์พระพี่นางสอนคนไทยมีสติ-อย่าปล่อยเวลาสูญเปล่า
    http://www.komchadluek.net/2008/12/05/x_edu_e001_234565.php?news_id=234565
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1>"หากท่านไม่ปรารถนาจะทำลายชีวิตตนเอง ก็จงหาอะไรทำการที่จะเลือกสะสมงานอดิเรก ขึ้นอยู่รสนิยมของแต่ละคน ความพอใจ สร้างความงามเฉพาะตัว ตั้งแต่วัยเด็กถึงชรา โดยไม่ต้องมีพรสวรรค์ไม่ต้องใช่จ่ายมากนัก เหมือนงานอดิเรกบางชนิด เช่น เล่นของเก่า โดยไม่ลำบากหรือสร้างความลำบากให้กับผู้อื่น แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ความรักสิ่งที่ทำ รสนิยม และความอดทน"


    ความตอนหนึ่งในบทส่งท้ายของเรื่อง"เวลาเป็นของมีค่า" พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ประทับอยู่ในใจของ รศ.กุลวาราชูพงศ์ไพโรจน์ อาจารย์ประจำสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็กคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (มศว) ทันทีที่หยิบยกพระนิพนธ์ขึ้นมาอ่านครั้งแรก ด้วยความ ซาบซึ้งที่พระองค์ฉายให้เห็น "ค่าของเวลา" ผ่านการรวบรวมพระจริยวัตรของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำงานอดิเรก ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ไม่ได้ใช้ไปกับการสะสมของที่มีราคาแพง

    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1044823792492543";google_ad_slot = "8122705396";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT>
    ซึ่งรศ.กุลวรา เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับคนไทยสมัยนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไปเที่ยวเตร่ ไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีเพศสัมพันธ์ แล้วกลับบอกว่า "ไม่มีเวลา" พระนิพนธ์เรื่องนี้ทรงอธิบายความหมายของหน้าปกไว้ว่า "ถ้าท่านพิจดูรูปหน้าปกท่านจะเห็นได้ว่า แม่มองดอกไม้ ที่ถืออยู่อย่างลึกซึ้ง กว่ามองความงามภายนอกเท่านั้น ในสายตาจะมีคำถามว่า จะทำอย่างไรจึงจะรักษาความสวย ความงาม และธรรมชาติอของดอกไม้นี้ไว้ได้ นี่แหล่ะเป็นที่เกิดของงานประดิษฐ์ต่างๆของแม่"
    พระนิพนธ์ทรงเน้นที่งานอดิเรกของสมเด็จย่าที่มีทั้งงานปั้น วาด ปักผ้า และนำดอกไม้แห้งมาทำเป็นที่คั่นหนังสือ และทรงมอบให้บุคคลต่างๆเป็นของขวัญที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก ทำให้ผู้รับมีความสุขขณะที่คนทำก็มีความสุขด้วย อย่างเช่น ทรงมอบผ้าปักลายกระต่ายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นต้น นอกจากนี้ "นิทานสำหรับเด็ก" เป็นอีกเรื่องที่ รศ.กุลวราประทับใจเพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ เป็นหนังสือที่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กๆที่ชอบตั้งคำถามว่า "ทำไม"กับสิ่งต่างๆอยู่เสมอหากผู้ปกครองได้อ่านแล้วนำมาเล่าให้ลูกหลานฟังตามสไตล์ตนเอง จะช่วยพ่อแม่ในการหาคำตอบต่อคำถามของเด็กได้มาก
    อีกทั้ง สร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัวด้วย เช่น เรื่อง ช้างมีจมูกยาว เมื่ออ่านพระนิพนธ์จะได้คำตอบว่าทำไมช้างถึงมีงวงยาวๆ เป็นต้น จากความประทับส่วนตัวนี้เอง รศ.กุลวราได้นำพระนิพนธ์ทั้ง2 เรื่องมาใช้ในการสอนนักศึกษาและเล่าให้เด็กๆฟังเมื่อมีโอกาสได้ไปวิทยากรในงานต่างๆ และได้รับความชื่นชอบเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเท่านี้พระนิพนธ์เรื่องอื่นๆ อาทิ แม่เล่าให้ฟัง และ เจ้านายเล็กๆ-ยุวกษัตริย์ ก็ล้วนแต่เคยนำมาใช้ทั้งสิ้น กลายเป็นผลงานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
    "พระนิพนธ์เหมาะอย่างยิ่งที่พ่อแม่และคุณครูจะนำมาใช้ในการสอนให้คนรุ่นใหม่ ได้ตระหนัก"เวลาเป็นของมีค่า" ให้มีสติอยู่เสมอเพราะหากจะย้อนเวลาก็ไม่สามารถทำได้ รวมถึง สอนคนที่หลงในวัตถุนิยมสะสมของแพง ให้รู้จักการประดิษฐ์สิ่งของด้วยมือของตนเองจะมีคุณค่าทางใจมากกว่าของที่มีราคาแพง ส่วนนิทานสำหรับเด็กเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะนำมาใช้ในการเล่านิทานให้เด็กฟังจะส่งเสริมให้เด็กฉลาดเป็นคนดี และรักการอ่าน ด้วยทรงแปลและใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย จัดเป็นหนังสือดีที่ควรอ่าน"รศ.กุลวรากล่าว
    เช่นเดียวกับนายปรีดาปัญญาจันทร์ นักเล่านิทานและนักวาดภาพประกอบนิทาน กล่าวว่า สมเด็จย่าและสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯทรงเน้นเรื่องการอ่านเป็นอย่างมาก พระนิพนธ์เรื่อง นิทานสำหรับเด็ก จึงเป็นลักษณะของการอ่านเพื่อเน้นจินตนาการของเด็ก ที่สำคัญ จะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านนิทานพื้นบ้านของแต่ละประเทศที่ทรงแปลและเรียบเรียง ขณะที่ เรื่องเวลาเป็นของมีค่า เป็นการสอนให้ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ต้องหาอะไรทำ ซึ่งการอ่านเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    "พระนิพนธ์เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการที่จะปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน ด้วยว่าสมเด็จพระพี่นางฯและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการรักการอ่าน เมื่อมีโอกาสหยิบยกพระนิพนธ์มาถ่ายทอดให้เด็กรู้ แล้วยกตัวอย่างผลของการรักการอ่านของทั้ง 2 พระองค์ให้เห็นว่าทรงสามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติได้มากมายเพียงใด จะกระตุ้นให้เด็กมุ่งมั่นเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการรักการอ่าน"นายปรีดากล่าว
    ด้านคุณแม่ลูกหนึ่ง ศิลาแสงธรรม มีลูกชายอายุ 4 ขวบ กล่าวว่าหากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง อยากให้ลูกหลานรักการอ่าน ขอเพียงสละเวลาก่อนนอนเพียงวันละ 5-10 นาที เล่านิทาน หรืออ่านหนังสือให้พวกเขาฟัง ซึ่งเธอได้ทดลองกับลูกชายของเธอแล้วปรากฏกว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ตอนนี้ลูกชายเป็นเด็กรักการอ่านช่างซัก ช่างพูด เป็นที่ยิ่ง แสดงให้เห็นว่า การปลูกฝังให้เด็กๆรักการอ่าน เป็นกระบวนการที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในการพัฒนาสมอง พัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ และสติปัญญา อันเป็นรากฐานสำคัญในการเตรียมความพร้อมมให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
    ที่ดีที่สุดถ้าผู้ปกครองท่านใดสนใจหนังสือพระนิพนธ์และไม่ต้องการให้เวลาสูญหายไปโดยไม่มีค่าก็หาซื้ออาหารสมองได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
    0 พวงชมพู ประเสริฐ 0

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/ads?client=undefined&dt=1228445999296&format=undefinedxundefined&output=html&correlator=1228445999156&dblk=1&ea=0&frm=1&ga_vid=227661275.1228318893&ga_sid=1228444748&ga_hid=736600331&ga_fc=true&flash=9.0.28.0&u_h=768&u_w=1024&u_ah=738&u_aw=1024&u_cd=32&u_tz=420&u_his=4&u_java=true&dtd=32" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>window.google_render_ad();</SCRIPT>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใต้ร่มฉัตรแห่งทศพิธราชธรรม
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=184371&NewsType=1&Template=1

    ในพระราชฐานะทรงเป็นประมุขของชาติ นับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญาความสามารถ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติ เป็นอเนกอนันต์ สมดังที่พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เมื่อครั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม”
    หลักธรรมสำคัญ ที่พระบาทสมเด็จพระอยู่เจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติเพื่อปกครองพสกนิกรชาวไทย ได้ยั่งยืนยาวกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลก คือ “ทศพิธราชธรรม”

    หลักทศพิธราชธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ราชธรรม 10" หมายถึง ธรรมของพระราชา หรือพระราชจริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน
    หลักที่ 1 “ทาน” การให้ หมายถึง สละทรัพย์สิ่งของบำรุงเลี้ยง ช่วยเหลือราษฎร และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ยามพสกนิกรชาวไทยประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งอุบัติภัย อุทกภัย หรือวาตภัย ได้รับความเดือดร้อนในชีวิตและทรัพย์สิน มิเพียงแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ สิ่งของ เสื้อผ้า ถุงยังชีพ เพื่อซับน้ำตาราษฎรเพื่อคลายความเดือดร้อนเบื้องต้นเท่านั้น หากทรงบำบัดต่อยอดเพื่อความสุขระยะยาว
    อันเป็นที่มาของโครงการตามพระราชดำริมากมาย อาทิ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมได้ เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี จนโครงการสร้าง ฝาย อ่างเก็บน้ำ โดยทรงวิจัยและริเริ่มโครงการฝนหลวง เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน
    หลักที่ 2 “ศีล” ความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา และใจ ประกอบแต่การสุจริตรักษากิตติคุณให้ควรเป็นตัวอย่าง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาราษฎร์ เมื่อ พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงออกผนวช ด้วยทรงพระราชดำริว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ที่ประชาชนของพระองค์เลื่อมใสกันอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งทรงมีโอกาสคุ้นเคยกับหลักการและทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน ระหว่างที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ทรงมีพระราชศรัทธายิ่งขึ้น เนื่องจากทรวงประจักษ์แก่พระราชหฤทัยว่า ธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วยเหตุผลและสัจจธรรม แม้ผู้ใดจะวิจารณ์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ก็จะไม่เสื่อมถอยในความนิยมเชื่อถือ รวมทั้งสนองพระเดชพระคุณพระราชบุพการี และเมื่อเสร็จการพระราชพิธีทรงผนวชแล้ว เสด็จฯไปประทับ ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร
    นอกจากนี้พระองค์ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภกให้แก่ทุกศาสนาในประเทศไทย โดยพระราชทานทรัพย์เพื่อทะนุบำรุงไปเป็นจำนวนมาก ด้วยทรงตระหนักว่าทุกศาสนามีหลักคำสอนที่นำไปสู่การประพฤติดี
    หลักที่ 3 “บริจาค” (ปริจจาคะ) การเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนัก เสียสละสุขส่วนพระองค์ทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญาเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติบ้านเมืองส่วนรวม เช่นเมื่อครั้งสมเด็จย่า ทรงพระประชวรอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช พระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมเวลาใดก็ได้ เพราะมีรถนำขบวนเสด็จ สามารถเสด็จฯถึงอย่างรวดเร็ว แต่พระองค์ทรงเลือกเสด็จเวลา ตี 2 ตี 3 เป็นเวลาที่ถนนว่าง ไม่ต้องรบกวน สร้างความลำบากให้แก่ราษฎรในการปิดถนนหนทาง
    หลักที่ 4 “ความซื่อตรง” (อาชชวะ) ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต ซื่อตรงต่อพระราชสัมพันธมิตรและอาณาประชาราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงไว้ซึ่งความซื่อตรง เที่ยงตรง ไม่มีเอนเอียงด้วยอคติใดๆ ทรงวางพระองค์มีพระราชหฤทัยเที่ยงตรง ดังเช่น คราวเกิดวิกฤติในบ้านเมือง พระองค์ทรงใช้พระราชวินิจฉัย พระราชดำรัสที่ทรงไว้ซึ่งความซื่อตรงอยู่ตรงกลางเที่ยงตรง เปรียบประดุจดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มีแต่คุณประโยชน์ ทั้งผู้อยู่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง อีสาน ตะวันออกหรือตะวันตก ต่างเข้าใจว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อยู่เหนือศีรษะของตนเองทั้งหมด ในหลวงของเราทรงแก้วิกฤตชาติเช่นเดียวกัน
    หลักที่ 5 “ความอ่อนโยน” (มัททวะ) การมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและอ่อนโยนต่อบุคคลที่ เสมอกันและต่ำกว่า ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัว ปฏิบัติพระราชกรณียกิจเสด็จฯ เยี่ยมเยียนประชาชน ทุกพระอิริยาบถที่ปรากฏล้วนงดงาม ปราศจากความรังเกียจเดียดฉันท์ ทรงมีพระราชปฏิสันถารแก่ราษฎรซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่มารับเสด็จฯอย่างใกล้ชิด ไม่กล่าวพระวาจาที่กระด้าง มีแต่อ่อนโยนสุภาพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นกันเอง เสมือนบิดาปฏิบัติต่อบุตรอันเป็นที่รัก ยังความชื่นชมโสมนัส และอบอุ่นใจให้เกิดแก่พสกนิกรโดยทั่วกัน
    หลักที่6 “ความเพียร” (ตบะ) การเผากิเลศมิให้เข้าครอบงำจิตใจ คือ การที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระราชอุตสาหะปฏิบัติพระราชกรณียกิจให้เป็นไปด้วยดี โดยปราศจากความเกียจคร้าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความเพียรในพระราชกรณียกิจ และทรงข่มพระราชหฤทัย ด้วยทรงมุ่งหวังกำจัดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทรงพระราชดำริแต่สิ่งที่ดีงามเป็นกุศล
    ดังเห็นได้จากกุศโลบายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนไว้ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “มหาชนก” อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี ด้วยความเพียร เมื่อเรือใกล้อับปาง มหาชนกได้ทรงโดดลงจากเรือและว่ายด้วยความตั้งใจที่จะไปให้ถึงฝั่ง โดยไม่ย่อท้อ ต่อมานางมณีเมขลามาช่วยนำสู่เมืองมิถิลานคร และได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองนครในที่สุด
    หลักที่ 7 “ความไม่โกรธ” (อักโกธะ) หรือความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่แสดงความพิโรธโกรธเคืองผู้ใด ในสถานการณ์ใด ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรและข้าราชบริพารเสมอกัน รวมถึงมีพระราชอารมณ์ขัน เช่นที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาได้เล่าว่า คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมอบหมายให้ตนเป็นผู้แทนไปขออนุญาตจดทะเบียนตั้งมูลนิธิฯ เจ้าหน้าที่ทางราชการ ถามว่า เจ้าของมูลนิธิชื่ออะไรอยู่ที่ไหนและมีอาชีพอะไร จึงนำความกราบบังคมทูลพระองค์ ซึ่งตรัสว่า ถ้าถามว่ามีอาชีพอะไร ให้ตอบว่ามีอาชีพทำราชการ
    หลักที่ 8 “ความไม่เบียดเบียน” (อวิหิงสา) การไม่เบียดเบียน หรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อื่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ใช้พระราชอำนาจ ในทางให้คุณให้โทษแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือกลุ่มบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ ดังเช่น เหล่าสรรพสัตว์ พระองค์ไม่เคยทรงกระทำการใดให้เป็นที่ทุกข์ยากเจ็บปวด ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่เสด็จฯ ออกประพาสป่าล่าสัตว์ตัดชีวิต มีแต่การพระราชทานชีวิตให้เท่านั้น ในรูปของโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ที่เป็นไปเพื่อการอนุรักษ์ป่า อนุรักษ์แหล่งน้ำและอนุรักษ์สัตว์
    หลักที่ 9 “ความอดทน” (ขันติ) การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจให้เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอดทนต่อความหวาดหวั่นภยันตรายต่าง ๆ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2510 ซึ่งเป็นระยะที่ผู้ก่อการร้ายชุกชุม มิได้ทรงทอดทิ้งทหารตำรวจ ผู้ทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทย โดยทรงมีวิทยุติดพระองค์เพื่อทรงรับฟังเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ทรงสอบถามเหตุการณ์ทางวิทยุอยู่เสมอ และหากทรงว่างจากพระราชภารกิจจะรีบเสด็จไปยังที่เกิดเหตุทันที หากทรงทราบว่ามีทหารตำรวจได้รับบาดเจ็บ จะทรงให้เฮลิคอปเตอร์รับผู้บาดเจ็บไปรักษาพยาบาลทันที
    หลักที่ 10 “ความเที่ยงธรรม” (อวิโรธนะ) ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรักษาพระราชหฤทัยได้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้งมวล จึงมิได้ทรงหวั่นไหวต่ออำนาจแห่งอคติใด ๆ อันมีความรัก ความชัง ความโกรธ ความกลัว และความหลง เป็นต้น จึงไม่มีอำนาจใดที่อาจน้อมพระองค์ให้ทรงประพฤติทรงปฏิบัติไปในทางที่มัวหมองไม่สมควร หรือคลาดเคลื่อนไปจากความยุติธรรม ตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระองค์ได้ทรงดำริอยู่ในความยุติธรรม ทรงเป็นหลักชัยของพรรคการเมืองทุกพรรค

    ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น คุ้มเกล้าปกกระหม่อมปวงอาณาประชาราษฎร์ เหล่าพสกนิกรทั่วหล้าจึงขอร่วมใจถวายพระพรเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองพระชนมายุ 81 พรรษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอน้อมนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกสากลโลก ดลบันดาลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ตราบเท่าจิรัฐิติกาล เทอญ

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">ชาวไทยจุดเทียนชัย 2 ล้านเล่ม ถวายพระพรในหลวง [5 ธ.ค. 51 - 09:22]
    http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=114015


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 81 พรรษา เช้าวันนี้ (5 ธ.ค.) ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานนำข้าราชการ นักเรียน นิสิต นักศึกษา พ่อค้าและประชาชนทุกหมู่เหล่า ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 282 รูป เพื่อถวายเป็นกระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแสดงออกถึงความจงรักภักดี

    <O:p</O:p

    เวลา 19.29 น. วันนี้ พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศร่วมกันจุดเทียนชัยถวายพระพร 2 ล้านเล่ม พร้อมพิธีที่ท้องสนามหลวง โดยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กล่าวนำถวายพระพรชัยมงคล ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และ เพลงสดุดีมหาราชา<O:p</O:p

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    --------------------------------------------------
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">มุสลิมกับการเคารพภักดีต่อพระมหากษัตริย์
    http://www.isranews.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=4273&Itemid=88

    </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม 2008 02:56น. </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>อับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
    ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ
    อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยทักษิณ

    เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกศาสนาในประเทศไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยทัดเทียมกัน ทำให้ความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพสกนิกรทุกศาสนาที่มีต่อพระองค์ท่าน ประหนึ่งความกตัญญูของลูกที่มีต่อพ่อ
    ความแตกต่างทางศาสนาไม่ได้กร่อนทำลายความรู้สึกดังกล่าวแม้แต่น้อย ชนชาติไทยประกอบด้วยเชื้อชาติดั้งเดิมหลายเชื้อชาติ ซึ่งความแตกต่างทางประวัติศาสตร์แห่งชนชาติดั้งเดิมนั้น ไม่ได้บ่อนเซาะความรู้สึกจงรักภักดีต่อพระองค์เลย

    ด้วยพระองค์ทรงมีพระจริยาวัตรอันเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรม ซึ่งทรงแผ่ขยายไพศาลออกไปทั่วทุกสารทิศ ประดุจดังสายลมรำเพย เมื่อสัมผัสสิ่งใด ก็ยังความสดชื่นแก่สิ่งนั้นอย่างท่วมท้น เป็นอานุภาพที่ฝังแน่นในจิตวิญญาณของพสกนิกร สถิตอย่างถาวร มั่นคงไม่สั่นคลอน และแน่นแฟ้นไม่หวั่นไหว
    พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์นั้น มิใช่เป็นเพียงนามธรรมที่หวังจำนรรจ์เพื่อความไพเราะทางภาษา แต่เป็นรูปธรรมที่สามารถสัมผัสได้ นั่นคือพระราชกรณียกิจที่กำหนดเป็นโครงการแผนงานซึ่งทรงปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนกระจายออกไปทั่วราชอาณาจักร ปรากฏเป็นหลักฐานที่เด่นชัด เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก
    โครงการตามแนวพระราชดำริที่ดำเนินการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีพี่น้องมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ โครงการเหล่านั้นอำนวยประโยชน์โดยตรงแก่พี่น้องมุสลิม ด้วยมูลค่าทางวัตถุมหาศาล แต่มูลค่าทางจิตใจยิ่งใหญ่กว่ามากมาย
    มุสลิมจำนวนมากที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณทรงอุปถัมภ์โดยตรง ไม่ว่าในด้านการรักษาพยาบาล การอาชีพ การศึกษา หรือการศาสนาก็ตาม
    ทรงพระราชทานรางวัลครูสอนศาสนาดีเด่นทุกปี ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ
    ทรงพระราชทานรางวัลมัสยิดดีเด่นทุกปี ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทย
    ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างมัสยิดหรือสมทบทุนก่อสร้างมัสยิดหลายแห่ง
    ทรงมีพระราชดำริให้รัฐบาลจัดสร้างมัสยิดประจำจังหวัด 4 จังหวัดจนครบถ้วน คือ มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี มัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา มัสยิดกลางประจำจังหวัดสตูล และมัสยิดกลางประจำจังหวัดนราธิวาส
    ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แก่ นายต่วน สุวรรณศาสน์ อดีตจุฬาราชมนตรี อธิบายความหมายอัลกุรอานเป็นภาษาไทย
    ทรงสนับสนุนให้รัฐบาลจัดงบประมาณก่อสร้างศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลาม ในสมัย นายประเสริฐ มะหะหมัด อดีตจุฬาราชมนตรี
    ทรงวางพระองค์เป็นกันเองกับพสกนิกรมุสลิมที่เข้าเฝ้าฯ และทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ทุกคนเข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯอย่างสนิทสนม ไม่ถือพระองค์
    มุสลิมจำนวนไม่น้อยที่รับพระมหากรุณาและไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำงานสนองพระบรมราชโองการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องยาวนาน
    ทรงสนใจศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และทรงศึกษาวัฒนธรรมนั้นอย่างให้เกียรติ ทรงทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างตั้งพระราชหฤทัยด้วยเวลาอันยาวนาน
    ทรงศึกษาภาษามลายูท้องถิ่น จนทรงมีพระปรีชาสามารถสนทนากับชาวพื้นเมืองด้วยภาษาดังกล่าว จนบางครั้งทรงสัพยอกชาวเมืองด้วยภาษาของเขา จนเขาต้องหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตัน
    ความสนิทสนมต่อพสกนิกรมุสลิมชาวภาคใต้ที่ทรงพระราชทานแก่พวกเขา ได้ทำให้ทำนบทางจิตใจที่ขวางกั้นด้วยวรรณะระหว่างพสกนิกรกับพระองค์พังทลาย จนพสกนิกรกล้าทักทายพระองค์ ด้วยการเรียกพระองค์ว่า "ในหลวง" และบางคนทักทายพระองค์ด้วยภาษามลายูว่า "ราญอ" เมื่อพระองค์ทรงได้ยินการทักทายอันบริสุทธิ์นั้น พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินแหวกวงล้อมของเจ้าหน้าที่เข้าไปยังพสกนิกรที่ทักทายนั้นทันที และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับเขาอย่างไม่ถือพระองค์ ท่ามกลางความตระหนกของเจ้าหน้าที่อารักขาพระองค์ (โปรดดูคุตบะห์ เฉลิมพระเกียรติ 2542 : ก 21-23)
    ในประเทศไทยมีพสกนิกรของพระองค์ท่านจากหลากหลายเชื้อชาติและศาสนา ดังนั้นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ทางกิริยาหรือวาจา จึงขึ้นอยู่กับหลักศาสนาและวัฒนธรรมของแต่ละคน ซึ่งอาจจะแตกต่างกัน อาจจะคล้ายกัน หรือผิดแผกกันจนคนไม่เข้าใจ อาจจะตีความไปคนละอย่างแบบหน้ามือเป็นหลังมือก็เป็นได้
    ตามหลักศาสนาอิสลาม ถือว่า "การเคารพ ภักดี และนับถือ" เป็นคุณธรรมที่ดีของมนุษย์ทุกคนอันพึงมีต่อผู้มีพระคุณ เช่น ต่อพระมหากษัตริย์ ในฐานะเป็นประมุขของประเทศ ต่อพ่อแม่ ในฐานะผู้ให้กำเนิด ต่อคุณครู ในฐานะผู้ให้ความรู้ และอื่นๆ มิใช่ในฐานะพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในอิสลามถือว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเอกองค์อัลลอฮฺ (อัลกุรอาน 2 : 255)
    ซึ่งหลักการเคารพนับถือต่อพระเจ้านั้น จะต้องผนวกไปกับการกราบนมัสการต่อพระองค์ด้วย ซึ่งการแสดงความเคารพของมุสลิมต่อสิ่งอื่นหรือบุคคล ด้วยการกราบ ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด

    คำตอบจุฬาราชมนตรี เกี่ยวกับการเคารพภักดีต่อพระบรมฉายาลักษณ์ พระมหากษัตริย์ของมุสลิม
    คำตอบจุฬาราชมนตรีเกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งในด้านศาสนาอิสลาม ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ทุกคนโดยเฉพาะข้าราชการนำไปเป็นคู่มือในการปฏิบัติ อันจะนำไปสู่ความเข้าใจอันถูกต้อง (โปรดดูคำตอบจุฬาราชมนตรี เกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งในด้านศาสนาอิสลามจากการรวบรวมโดย ศอ.บต)
    "....ปัญหาที่ 19 ปัญหาเรื่องการทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ การแสดงความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพิธีการต่างๆ จะขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่ ใคร่ขอทราบข้อเท็จจริงและความเห็น
    คำตอบ
    - การยืนตรงต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์เพื่อระลึกถึงหรือถวายความเคารพ ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม
    - การก้มศีรษะไม่ถึงขั้นรุกัวะ ถือเป็นการกระทำที่ไม่บังควร (มักรูฮ)
    - การก้มศีรษะถึงขั้นรุกัวะ บางทัศนะว่าต้องห้าม (หะรอม) บางทัศนะว่าไม่บังควร (มักรูฮ)..."

    แก่นแท้ของความจงรักภักดี
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบถึงหลักการของศาสนาอิสลามในข้อนี้ดี เพราะพระองค์ทรงศึกษาหลักการศาสนาอิสลามอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง ทรงมีรับสั่งให้แก้ไขระเบียบที่ขัดกับหลักการอิสลามสำหรับพสกนิกรมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา เข้าเฝ้าฯเพื่อรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ทรงมีรับสั่งให้ประธานรัฐสภาปฏิบัติตนให้ตรงตามหลักการศาสนา การใดที่ขัดกับหลักการศาสนาอิสลาม ก็ไม่ต้องปฏิบัติ
    จากตัวอย่างข้างต้น ทำให้เราได้ทราบว่าในจิตใจของมุสลิม ถึงแม้ว่าการเคารพภักดีต่อพระมหากษัตริย์แบบกราบนั้นกระทำไม่ได้ แต่ความจงรักภักดีในพระองค์ท่านก็มีอย่างครบสมบูรณ์ ไม่ได้แตกต่างไปจากคนศาสนาอื่น วัฒนธรรมอื่น ที่แสดงความจงรักภักดีด้วยการกราบ ดังนั้นหน่วยราชการต่างๆ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เชิญข้าราชการมุสลิม โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม และประชาชนมุสลิม ในพระราชพิธีต่างๆ ควรคำนึงถึงข้อนี้ เพื่อขจัดปัญหาความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน
    เพราะแก่นแท้สาระของการเคารพภักดีต่อพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ที่การกราบ แต่อยู่ที่การประพฤติดีต่างหาก



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

    http://guru.sanook.com/encyclopedia...จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช/

    สารานุกรมไทย ฉบับกาญจนาภิเษก

    พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดย ศาสตราจารย์ คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต และคนอื่นๆ

    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวนที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเสด็จสู่สวรรคาลัยโดยกะทันหัน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ รัตนโกสินทร์ศก ๑๔๖ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น (Mount Aubum) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซทท์ สหรัฐอมริกา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่ ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๓ พระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช" ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๑ พระองค์ มีพระนามเดิมและพระอิสริยยศต่อมาตามลำดับดังนี้

    หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า โนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเเละทรงได้รับการสถาปนาพระฐูานันดรศักดิ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ให้ทรงมีพระยศทรงกรมว่า กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

    หม่อมเจ้าชายอานันทมหิดล ประสูติเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ รัฐบาลจึงได้ทูลเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ ทรงพระปรมาภิไธยว่าพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง

    สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมราชชนกทรงเป็นพระราชโอรสโนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี ทรงพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ทรงได้รับการสถาปนามีพระยศทรงกรมว่า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ได้เสด็จทรงศึกษาวิชาการแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และทรงสำเร็จวิชาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสำเร็จการศึกษาวิชาพยาบาลจากโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๙ ต่อจากนั้นทรงได้รับทุนการศึกษาของสมเด็จพระศรีสวรนทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไปทรงเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๐ ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมราชชนก ขณะดำรงพระยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๓

    เมื่อเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๑ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาได้ ๑ พรรษา สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับประเทศไทย ครั้งนั้นได้ประทับที่วังสระปทุม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า อีกหนึ่งปีต่อมา ในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวร และสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๒๔ กันยายน ในปีนั้น

    ในพุทธศักราช ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาได้ ๕ พรรษา ได้เสด็จทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๕ เดือน หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชไม่ทรงแข็งแรง จำเป็นต้องประทับในสถานที่ซึ่งอากาศดีและไม่ชื้น พลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรพระปิตุลา ทรงแนะนำให้เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์เเลนด์ พระองค์ใด้ทรงเข้าศึกษาชั้นประกมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ (Ecole Mieremont) เมืองโลซานน์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชต่อมาโนวันที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๘ (คริสต์ศักราช ๑๙๓๕) ทรงย้ายมาศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนเอกอลนูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองด์ (Ecole Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองเเชลลี ซูร โลซานน์ (Chailly-sur-Lausanne)

    เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๘ ทรงรับประกาศนียบัตรการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค กังโตนาล (Gymnase Classique Cantonal) แห่งเมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ แล้วทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ แผนกวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ได้เสด็จนิวัตถึง ประเทศไทยเป็นครั้งที่ ๒ โดยเสด็จสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช หลังจากเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยชั่วคราวครั้งที่ ๑ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๑ ครั้งหลังนี้ได้เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวังจนกระทั่งถึงวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน คณะรัฐบาลในขณะนั้นได้กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชในวันเดียวกัน

    เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชภารกิจในการศึกษาต่อ จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ของปีนั้น รวมเวลาที่เสด็จประทับโนประเทศไทยได้ ๙ เดือน ในการทรงศึกษาต่อครั้งนี้ ทรงเลือกเรียนวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แทนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่แต่เดิมก่อนเสด็จนิวัตประเทศไทย

    เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากรผู้ซึ่งต่อมาเมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคลและในพุทธศักราช ๒๔๙๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมมีพระนามว่า พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินนิวัตประเทศไทย เมื่อพุทธศักราช๒๔๙๓ ประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิต ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลในเดือนมีนาคม ปีนั้น

    ในวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ วังสระปทุม มีพระบรมราชโองการไปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในเดือนต่อมา

    พระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี มีขึ้นเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เฉลิมพระปรมาภิไธย ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร” ในวันนั้นได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

    เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๔ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ได้มีพระประสูติกาลพระราชธิดาพระองค์แรก คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ณ โรงพยาบาลมองชัวซีศ์ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์เเลนด์ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปรักษาพระองค์ ตามที่แพทย์ได้ถวายคำแนะนำ หลังจากนั้นได้เสด็จนิวัตประเทศไทย และประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน สวนดุสิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สำหรับเป็นที่ประทับ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้มีพระประสูติกาลพระราชโอรส และพระราชธิดาอีกสามพระองค์ คือ

    สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณบรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาลอภิคุณประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณสวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมารประสูติเมื่อ วันจันทร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ ในพุทธศักราช ๒๕๑๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิติยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธ สยามมกุฎราชกุมาร มุสิกนาม

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๘ ในพุทธศักราช ๒๕๒๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี

    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษญ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐

    เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง และประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ระหว่างที่ทรงพระผนวชอยู่ ๑๕ วัน เมื่อทรงลาพระผนวชแล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องจากทรงปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการได้อย่างเรียบร้อย

    ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ การต่อเติมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เสร็จเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต กลับไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จนถึงปัจจุบัน

    ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๒ เริ่มเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีโดยระหว่างวันที่ ๑๘-๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช๒๕๐๒ เสด็จพระราชดำเนินเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรก

    นับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นปีแรกที่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกิจอันเป็นประโยชน์ และก่อให้เกิดความสุขแก่ประชาชนชาวไทยโดยสม่ำเสมอ ด้วยทศพิธราชธรรม มิได้ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและประโยชน์ส่วนพระองค์ โครงการพัฒนาทุกด้านที่เกิดจากพระราชดำริและโดยพระราชประสงค์ ที่ทรงดำเนินการด้วยพระองค์เอง และที่ทรงมอบหมายให้แก่หน่วยราชการและองค์กรเอกชน นับได้จำนวนสองพันกว่าโครงการ มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญ ช่วยลดปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในระยะเวลาที่เสวยราชย์มากว่า ๕๐ ปี

    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงมีส่วนอย่างมากในการสนองพระราชประสงค์ และพระราชปณิธาน ไม่ว่าในการดำเนินการหลายอย่างจะต้องทรงเหนื่อยยากอย่างไร ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ “เดินตามรอยเท้าพ่อ” ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ขออัญเชิญบางตอนมาดังนี้

    “ฉันเดินตามรอยเท้าอันรวดเร็วของพ่อโดยไม่หยุด
    ผ่านเข้าไปในป่าใหญ่ น่ากลัว ทึบ
    แผ่ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด มืด และกว้าง
    มีต้นไม้ใหญ่ เหมือนหอคอยที่เข้มแข็ง
    พ่อจ๋า...ลูกหิวจะตายอยู่แล้วและเหนื่อยด้วย
    ดูซิจ๊ะ...เลือดไหลออกจากเท้าทั้งสองที่บาดเจ็บของลูก...
    ....
    ลูกเอ๋ย...ในโลกนี้ไม่มีที่ไหบดอกที่มีความรื่นรมย์
    และความสบายสำหรับเจ้า
    ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย...
    ...
    เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า
    เมื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม
    และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า
    ไปเถิด..ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ”

     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>สมเด็จพระบรมราชชนกและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะประทับอยู่บนหลังคาตึกเลขที่ ๖๓ ถนนลองวูด์ เมืองบรูคลินน์ สหรัฐอเมริกา</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระโอรส พระธิดา ขณะทรงพระเยาว์ ทรงฉาย ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เดือนกันยายน ๒๔๗๑</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระราชพิธีกาญจนาภิเษก</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระราชพิธีกาญจนาภิเษก</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม</TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=10 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontblackmini>พระราชพิธีสมโภชสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    บรรณานุกรม
    นางสาวบุหลง ศรีกนก
    นางสาวสมทรง แสงแก้ว
    นายอุดม จะโนภาษ
    ศาสตราจารย์พิเศษ คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต

    http://guru.sanook.com/encyclopedia...จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช/
     

แชร์หน้านี้

Loading...