เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นัท ฝึกธรรมอะไร มาก็มาเผื่อแผ่เพื่อนๆบ้างนะครับ เพราะนั่นจะเป็นกุศล ที่เรียกว่าธรรมทาน อันจะทำให้ัตัวคุณนัท เข้าสู่ธรรมที่ถูกต้อง
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เข้าใจอะไรผิดหรือครับ

    ส่วนคุณวิมุตติ เมื่อสองวันก่อนผมยังเห็นอยู่ แต่ช่วงนี้ก็คงจะหยุดปีใหม่เหมือนกับคนอื่น
     
  3. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุคับ..คุณขันธ์...ก็ดูๆๆอยู่คับ ตามเหตุและปัจจัย...
    ก็อย่างที่คุณขันธ์บอกแหละคับ ...ถ้าจิตเขาไม่เปิด ก็ไม่อย่างเสียเวลาคับ
    ผมสนใจการละ ตัวราคะ..คุณขันธ์พอแนะนำ เป็นแนวทางให้มั่งสิคับ ...
    เพ่งอสุภะไม่เอานะ เพ่งแล้วไม่เห็นเกิดไรเลย...
    ...

    ไม่เป็นไรคับคุณหลินจิ่นเฉิง...อนุโมทนากับความตั้งใจปฏิบัติของคุณด้วยนะคับ สาธุ
     
  4. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ....
    คับ ก็อย่างที่ผมเขียนไปแล้ว..ว่าการดูจิต ละวางกิเลสได้อย่างไร....
    แต่ยังมีกุศโลบาย คือวิธีปฏิบัติ...ว่าดูอย่างไนไม่ให้ตัวสติ หลงเข้าไปจมแช่ในอารมณ์นั้นๆ...เพราะถ้าเข้าไปจมแช่ก็ไม่เกิด ประโยชน์... กลไกหลักของการดูจิต ก็เหมือนกับ ฝ่ายที่นำด้วยสมถะแหละคับ คือ... "สติ" ความไวของสติต้องทันกับกิเลสที่เกิด.. มันจึงจะตัดกันได้เอง ...คือสติทันปุ๊บ...ปัญญาเกิด อ้อ...อย่างนี้เอง แล้วจิตจะวาง กิเลสตัวนั้นๆไปโดยอัตโนมัติ อ่ะคับ
    ...โดย ส่วนตัวผมเอง เอาการฝึกแบบอานาปานสติ เข้ามา เป็นที่อยู่ของสติ.. แล้วก็ดู กิเลสที่เกิดนั้น... เด๋วมันก็ดับคับ ...ไม่มีไรเที่ยงคับ แม้แต่กิเลสก็ไม่เที่ยง...อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2008
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การละราคะ พระอนาคามีเท่านั้นที่ทำได้

    แต่หาก คนทั่วไปปฏิบัติ ก็ต้อง หมั่นฝืน ในสิ่งที่เป็นภัย เช่น คนอ้วนชอบกินมาก แบบนี้ก็ต้องหมั่นฝืน เมื่อฝืนบ่อยๆ ก็จะทำให้จิตมีกำลัง ที่จะต้านกับกิเลส ตามกำลังของเรารวมถึงต้องหา อุบายมาพิจารณาเช่น กินเข้าท้องไปก็เป็นภัย ถ่ายออกหมด เราติดกับมันเพราะเราทำมันบ่อย เราต้องฝืนบ้าง

    คน ที่มีราคะ ทางผู้หญิง ก็ให้พิจารณาว่า คนนั้นคนนี้เปรียบดัง ญาติของเรา มองให้เห็นเขาเหมือนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ร้องเรียกพ่อ แล้วเราจะเกิด เมตตาจิต และสงสารเขาทันที
    และฝืน ระงับใจ

    ส่วน ราคะในเรื่องอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

    ทีนี้ ราคะนี้ จะไม่เกิด หากว่าจิตมีสมาธิดี แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตมีนิวรณ์มาก ก็จะทำให้จิตปรุงไปในทางราคะได้มาก ก็เป็นประการที่สอง คือ สมาธิ

    ก็สรุปว่า ศีล คือ ระงับ ละ ฝืน
    ปัญญาคือ การหาอุบายมาละ
    และ สมาธิ คือ ทำใจให้สมาธิ

    ทั้งสามตัวเอาให้สมแก่ฐานะที่พอจะทำได้ ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป
     
  6. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุคับ ... ขอบคุณคับ
    เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า สมาธิ สำคัญ... เพราะ สมาธิ คือตัวฝึกสติให้มีกำลัง..เหมือนคนเล่นกีฬาให้ร่างกายแข็งแรง...มีกำลัง..จะได้ไว ทันกับกิเลส...
    แต่ก็ต้องไม่ลีมนะคับ... ต้องฝึกสมาธิในปัจุบันขณะด้วย คือในชีวิตปัจจุบัน...
    เพราะ ตัวราคะของจริงเกิดในชีวิตปัจจุบัน..ไม่ได้เกิดตอนนั่งสมาธิ...
    .....
    .... ปัจจุบันผมพิจารณาตัวราคะนี้โดย การดูจิต... คือมีสติ ตามรู้ตลอดสายของการเกิดจนมันดับ...(อันนี้ใช้แฟนเป็นเครื่องฝึก...อิอิ ) และก็ดูอาการของสติ(ผู้รู้) นั้นด้วย... ดูอาการของกาย..ด้วย...จิตมันวิ่งไปรู้สลับไปมา ตลอด... แล้วก็เห็น อาการของจิต(ตัวผู้รู้) มัน วูปวาป..ใจเต้นแรง แล้ว ก็ราบเรียบ ...เรียบแบบเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย... ผลที่ได้คือ.. มันเบื่อคับ... เบื่อกาม แต่ยังตัดไม่ขาด... บางครั้งมันต้องการนะ...ก็แกล้งมันมั่งตัวความต้องการของผู้ชายนิ.. ปรากฏ...กิเลสมันน้อยใจมั่ง...เผลอ แวปเดียว...ดับไปแล้ว กลับมาเรียบๆอีกแล้ว.. จิตมันเลยเฉยๆๆ รู้ แล้วก็ดับ..จบ

    นี่คือปัจจุบันอ่ะคับ... แต่ก็รู้ว่า... มันยังไม่ขาด... มันยังมีเชื้ออยู่...อ่ะคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2008
  7. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ...
    ได้ไรมาอ่ะคับ... แบ่งกันมั่งสิ...<label for="rb_iconid_15">[​IMG]</label>
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    วิธีการดูจิต นี้ ผมรณรงค์ มาก่อนหน้านี้ ซึ่งหลวงตามหาบัวก็ เน้นไปที่จิตภาวนา
    ซึ่ง ให้หมั่นดูที่จิตใจ ว่า จิตใจเรามีอะไรลึกซึ้งอยู่ เช่น สัญญาอารมณ์ มันกองๆ กันอยู่ ให้เราคอยสังเกตุให้ดี ก็ดุว่าเวลารู้สึก คิดนึก มันมีอะไรอยู่ในหัวอกหัวใจนี้ โดยให้มันเห็นไปตามธรรมชาติที่มีกำลัง

    ก็ เป็นวิธีการที่ดี แต่ทีนี้ การดูอย่างเดียว มันไม่มีใครเห็นได้ตลอดทั่วถึง เพราะว่าถ้าตลอดทั่วถึงป่านนี้ คนเราก็บรรลุธรรมไปหมด ก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือ คือ สมาธิ สติ ปัญญา คอยอบรม บ่มธรรม ให้มันเห็นเหตุ ปัจจัยลึกๆ ขึ้นไป

    แต่เดี๋ยวนี้ คนงมงาย ว่าต้องดูอย่างเดียว อย่าไปทำอะไรกับมัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาติดกับสมถะ

    สมถะก็คือ การดูอย่างเดียว อย่าไปทำอะไรอย่างอื่น นี้แหละคือการติดสมถะที่แท้จริง แล้วเหมาเอาว่าเป็น วิธีการที่เลิศล้ำ เพราะว่าอะไร เพราะว่า มันทำแล้วเห็นผลคือ จิตนิ่งได้ พอจิตนิ่งได้ เกิดความสุขก็เกิดศรัทธา ว่านี่แหละเกิดผลที่ชัดเจน นี่แหละเกิดผลที่เราไม่เคยได้มาก่อน

    การดูจิต นี้ใครสนใจมาถามผมก็ได้ แต่ผมไม่ได้ดูจิตแบบอยู่เฉยๆ การดูจิตของผมนั้น
    เริ่มจาก เอาให้ทันใน สัญญา และ กองขันธ์ทั้งหมดโดยรวม คือ ระลึกคิดอะไรได้ เอาให้ทัน
    คือ รู้ตัว แล้วไม่ใช่จ้อง จะทำงานอยู่ก็รู้ตัว ทำอะไรก็รู้ตัว รู้ไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ให้หมั่นระลึกรู้ จะพูดจะคิดจะทำ ก็ให้ระลึกรู้ตัว นี่เป็นขั้นแรกนะ ตามรู้ให้ทัน กาย เวทนา จิต และธรรม

    ทีนี้ ทำบ่อยๆ กำลังสติก็จะกล้า ก็ให้ รู้ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป คราวนี้ เมื่อ กำลังสติกล้า ก็ให้ดูเฉพาะกิเลส คือ เมื่อ อาการทุกข์ปรากฎ ให้ใช้กำลังสติที่เคยมีในการฝึกมหาสตินั้น
    ดูอาการทุกข์ ว่า มาจากส่วนใด เช่นบางคนอาจจะ เศร้าใจ นี้ก็ให้ดูอารมณ์เศร้าแล้ว อย่าให้ความคิดมาปนเป อย่าให้มันปรุงแต่ง แต่ให้ หาสาเหตุของทุกข์นั้นให้เจอ แล้วดับเสีย

    เพราะว่า ในขณะที่ทุกข์นั้นเรามีความคิดร้อยแปด ปรุงไปทางนั้นทางนี้ตลอดเวลา ก็ให้แยกหาเหตุให้เป็นว่า เริ่มคิด เริ่มหลงตั้งแต่ตอนไหน อันนี้ก็ต้องใช้กำลังสติและสมาธิให้มาก

    เมื่อดับทุกข์ นั้นบ่อยๆ เราจะเห็นเหตุปัจจัย ที่ละเอียดขึ้นเอง

    นี่แยกนะ แยกกอง ทุกข์ กับ กองอุปาทานขันธ์ และ กองขันธ์ที่ไม่เป็นภัยออกจากกัน

    พูดมาถึงตรงนี้ ใครยังไม่เข้าใจก็ให้ ฝึกขั้นแรกไปก่อน คือ ตามดูมหาสติปัฎฐานให้ชำนาญ

    ทั้งหมดฝึกขนานกันไปก็ได้ มีปัญญาเท่าไรเอาเท่านั้น

    แล้วพอ จิตมีมหาปัญญาแล้ว มันจะแยกกองขันธ์ออกเป็นหมวด ทุกข์ส่วนทุกข์ ธรรมส่วนธรรมเอง ไม่เอามารวมกันเลย
     
  9. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ...<label for="rb_iconid_31">[​IMG]...สาธุคับ.. นี่แหละใช่เลยที่ผมบอกว่า ไม่ว่าจะมาจากทางไหน เมื่อถึงจุดหนึ่ง ธรรมะไม่ขัดกัน..</label>

    นี่แหละคับ ที่หลวงพ่อปราโมทย์บอก จิตตัวที่3 หรือที่ผมบอกว่า อาการของผู้รู้ .. หรือ ที่หลวงพ่อวัดมเหยงค์ ท่านบอกให้ดูปรมัติธรรม คืออาการของจิตที่ไหวๆ กระเพื่อม ตึงแน่นมั่ง เฉยนิ่งแช่มั่ง..มันต่างกันที่ภาษาบัญญัติที่นำมาใช้เทียบเคียงอาการของจิตเท่านั้นเอง

    เห็นด้วยคับ นี่ืคือจุดอ่อนของการดูจิต สำหรับผู้เริ่มฝึกไหม่ๆ.. เพราะจะเผลอ จมแช่ลงไปในอารมณ์ มันก็เลยไม่มีใครเห็นได้ตลอดทั่วถึง และนี่แหละคับ ศรัทธาก็ต้องใช้ปัญญา

    ใช่คับ อาการของการดูจิตตรงนี้แหละคับ ผมสังเกตุตัวเองอยู่... จิตมันเฉย ตลอด อะไรเข้ามา ก็รู้แล้วก็เฉย..สงสัยตัวเองอยู่ว่าเป็นการทรงอารมณ์(คือจิตติดในอาการนั้นๆ)... เพราะ การจมแช่ในอารมณ์ กับจิตที่ทรงอารมณ์อาการมันคลายๆกัน..สังเกตุตัวเองอยู่คับ

    นี่ก็คำพูดเดียวกับที่หลวงพ่อปราโมทย์พูดไว้เลยคับ... แต่ท่านจะบอกว่า.. หมวดกาย กะเวทนา คู่หนึ่ง ... สำหรับคนที่มี โทษะจริต หรือ จิตกะธรรมนี่อีกคู่หนึ่ง... เมื่อพิจารณาส่วนไหนเข้าใจแจ้ง ส่วนอื่นก็จะแจ้งตามไปด้วย.... อันนี้ผมเห็นด้วยนะ ...เพราะผมพอพิจารณา เวทนา จนเห็นอริยสัจ... ทั้งหมด 4 ข้อในสติปัฏฐาน4 ก็เข้าใจหมด...
    ...แต่หลวงพ่อท่านจะเน้น...อะไรเกิดตรงหน้าก็ดูตรงนั้นนะ...อย่า หลงไปเพ่งจ้องละ... ท่านเน้นตรงนี้มาก...
    สาธุคับ... ก็น่าจะเข้าใจกันได้สักทีนะคับ....
    แต่ขอติงนิดหนึ่งนะคับ..บางคำพูดของคุณขันธ์ พออ่านแล้วมันแรงไปอะคับ
    ก็เลยเหมือนกับว่าไปกระทบทั้งระบบ...เช่น
    ก็ลองพิจารณาดูคับ...เพื่อความเจริญในธรรม ของทุกฝ่ายเพราะคนเราพอโดนกระทบแล้วจิตไม่ทัน..การกระทบนั้น การโต้เถียงขัดแย้งก็เกิด...
    โดยส่วนตัว ผมไม่อยากเห็นเหมือนกับ เป็นการเถี่ยงกันเพื่อเอาชนะ ไม่ใช่การถกธรรมเพื่อความเจริญในธรรม ไม่อยากเห็นบรรยากาศเช่นนั้นอ่ะคับ
    ...อยากให้เป็นการถกธรรม เพื่อความเจริญในธรรมมากกว่าคับ...
    ดั่งนั้น จะเห็นว่า อย่างคุณ ธรรมภูมิ ผมจะยกไว้ในฐานะที่ผมจะไม่แตะเลยเพราะภูมิปัญญาผมไม่ถึงเขาอ่ะคับ.. ต้องวางไว้เลย ไม่อยากให้มาติดกรรมกัน.. สาธุคับ
     
  10. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ...ซึ่งในความเป็นจริง..ไม่ว่า จะสาย สมถะ นำวิปัสนา หรือสาย ปัญญานำสมาธิ
    ในหมู่ที่ผู้ปฏิบัติทั้ง สองฝ่าย ก็มีผู้ที่ปฏฺบัติถูกและปฏิบัติผิด... จึงคงต้องว่ากันเป็นรายบุคคลไป... แนวทางปฏิบัติ ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกคับ...
    สาธุ...
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผม ไม่ได้บอกว่า แนวทางผิด แต่ผมบอกว่า คนที่ไม่เข้าใจและเอามาปิดทางอื่นอย่างที่คิดว่า คนอื่นเขาไม่รู้นั่นแหละ ครับที่ผิด

    ก็ผมก็บอกแล้วว่า ไม่ได้มาล้าง แต่มาเติม แล้วก็ไม่ต้องพูดเรื่องดูจิต ผมก็รู้แต่แรกแล้วในรายละเอียด
     
  12. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    <label for="rb_iconid_30">
    [​IMG]</label>...คับผมเข้าใจคับ แต่พอโดนจุดประกายอ่ะนะ...มันก็ลามไปเรื่อย อ่ะคับ
    ...คนเราเมื่อปฏิบัติจนได้เห็น สภาวะธรรมนิดหน่อย (อันนี้หลวงพ่อปราโมทย์ จะเน้นมากว่าอย่าไปหลงมันนะ..แม้ธรรมที่ได้รู้ได้เห็น) ก็เกิดความยึดมั่นในแนวทาง (แนวทางข้าใครอย่าแตะ) ยึดมั่นในครูบาอาจารย์.. ต้องรอให้เขาผ่านขึ้นไปอีกจุด ถึงจะวางสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้นะคับ..

    สาธุ
     
  13. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    คับ..สาธุคับที่เตือน...ผมก็บอกแล้วไงคับ และอธิบายเป็นข้อๆให้ดูแล้ว..โดยหวังว่าจะเกิดความเข้าใจที่ตรงกัน... ถ้าคิดว่าผมอธิบายไม่ถูกตรงไหน จะกรุณายกตัวอย่างด้วยก็ดีนะคับ เพราะผมนะอาจจะไม่มีเวลาไปกราบหลวงพ่อ บ่อยนัก.. แต่ในหนังสือของท่าน ทั้ง วิมุตติมรรค และ ประทีปส่องธรรม.. ผมอ่านแล้วเปรียบเทียบกับการปฏิบัติของผม..อยู่ อยู่ตลอดคับว่ามีสิ่งใด ผิดไปจาก คำกล่าวของท่านหรือไม่...

    สาธุ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ จะลึกซึ้ง กว่านี้เท่าไร คุณก็อ่านของผมให้มันลึกซึ้งเท่านั้นสิ
    จิตคุณ นี่อย่าตามกิเลสให้มันมากนัก

    เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เอาแน่เอานอนไม่ได้แล้วยังจะอวดว่าตนรู้

    คุณ อย่ามาอวดดีให้มาก คนเขาพูดอย่างนั้น ก็หาว่าอย่างนี้
    ลึกซึ้งน้อยไปบ้าง มากไปบ้าง

    ตัวคุณเอง กิเลสฟุ้งไปไม่รู้เท่าไร
     
  15. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ผมเองก็เริ่มมึนหัวแล้วนะนี่ มันชักจะดึก แล้วอ่ะ...ไม่รู้ว่าจะ ตอบหรือไม่ตอบ
    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ได้เวลาพักผ่อน สำหรับ นิวรณ์

    ทำตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น คุณธรรมง่ายๆ ทำให้ได้ ทำให้ดี

    สมาธิและ วิธีการ จืดๆ ที่คุณพูด ทำให้ได้ทำให้ดี

    และ อย่าคิดว่า คนอื่นเขาไม่รู้เท่าคุณ อย่าประมาทในธรรม ดูถูกว่าธรรมอย่างนั้น น้อยเกินไป ธรรมอย่างนี้ ไม่ดี ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้ว ต้องเคารพหมด เพราะมิฉะนั้นนั่นแหละทางเสื่อม ดังที่คุณได้แสดงความเสื่อมออกมา

    และ นิสัย ลูกไม้ ปรุงแต่งอย่างนั้นอย่างนี้ มากเกิน ให้ลด อย่าให้คนตำหนิ ว่า นี่นะหรือที่ไปฝึกมากับ อาจารย์ของคุณ เพราะคุณนั่นแหละ จะเป็นคนทำลายชื่อเสียงอาจารย์ตัวเอง

    โชคดี ผมขอตัว
     
  17. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    เอาเป็นว่านะคับ..คุณนิวรณ์ ยัไม่เข้าใจ ตัวจิตที่เราบังคับไม่ได้..ไม่เข้าใจกลไกของจิตทีถูดต้อง...และท่คุณ ผิด พลาดจากคำสอน ของหลวงพ่อ ปราโมทย์ อบ่างมากนะคับคือ... ท่านจะเน้นมากว่า.. 2ประการ ที่จะเป็นตัว ช่วยให้การศึกษาธรรม เกิดความก้าวหน้า คือ
    1.การรู้จักโยนิโสมนสิการ ...คุณก็อ้างพระไตรปิฏกเยอะ ต้องนี้แม้พระพุทธองค์ก็กล่าวไว้ ชัดเจน แต่คุณกลับบอกว่า ห้ามพูดถึงโดยเด็ดขาด
    2.คือกัลยาญมิตร..คือ คือครูบาอาจารย์ และเพื่อธรรม..ทุกอย่างคือธรรม..แม้ใบไม้ใบหญ้าก็สอนธรรมเราได้ ถ้ารู้จักโยนิโสมนสิการยิ่งเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม..ถูกผิดก็ฟังแล้วนำไปพิจารณา.. มันจะเกิดประโยชน์กว่าที่ จะติติงปรามาสให้เกิดข้อโต้แย้งนะคับ
    นี่ก็อีกคุณเอาอะไร ตัดสินคับว่า ใครเคยสัมผัสหรือไม่... อย่าปรามาสผู้อื่นว่าไม่เท่าตัว นะคับ.. อย่าคิดว่าตัวเอง เคยสัมผัสเองคนเดียว... หลวงพ่อท่านเตื่อนนักในเรื่องของธรรมที่ตัวเองรู้ บางที่จะโดนกิเลสหลอกเอานะคับว่าได้ธรรมชั้นสูงแล้ว(ตั้งแต่โสดาขึ้นไป)...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  18. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    คับ...สาธุ ผมนำไปพิจารณาดูคับ ...และคุณเองก็ อย่าลืมไปพิจารณาทบทวนในคุณเองด้วยละคับ...เพื่อความก้าวหน้าในธรรม... อย่ายึดติดกับภาษาบัญญัติมากนัก...อุปมาอุปมัย เพื่อให้เห็นภาพและนำไปปฏิบัติได้อ่ะ ต้องใช้ภาษาที่ไกล้ตัวผู้ฟัง..ยิ่งเรื่อง โยนิโสนมสิการ...อย่าเพิ่งสรุปว่าเป็นของสมถะ...ขอเน้นว่าคิดเช่นนี้ผิดมหันต์นะคับ
    ผมเองก็ฝากคุณเท่านี้แหละคับ ขอให้คุณเจริญในธรรมคับ...สาธุ
    ขอตัวไป นอนก่อนนะ

    ลาคุณขันธ์ด้วนนะคับ ขอให้เจริญในธรรม คับ
     
  19. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +23,196
    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=20089[/MUSIC]​
     
  20. Sujinno

    Sujinno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +90
    เจริญพร
    หนักอยู่ที่เอา เบาอยู่ที่วาง
    ง่าย ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...