เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมว่านะ ถ้ามันยุ่งยากตามแบบที่นิวรณ์พูดก็อย่าไป ทำมันเลย อย่างที่หลวงพ่อสุจินโนพูด สุดท้ายแล้วแค่วาง แต่นิวรณ์มีนิวรณ์สมชื่อ มันเลยต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้วุ่นวายไปหมด เอาให้มันเรียบๆตามกำลัง วางเท่าที่เห็น อย่าลืมวางเท่านั้นเอง แบบที่ตอนนี้นิวรณ์ เห็นธรรมร้อยแปด แต่ลืมวาง และวางไม่ได้เพราะไม่เคยฝึกวาง
     
  2. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,328
    เพราะทุกสิ่งจบลงด้วยความตาย จึงกล่าวว่าร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกายกาย...สาธุ
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ คุณ สับสนไปเอง เพราะใจคุณไม่นิ่ง คุณ อย่าพยายามจับอะไรๆให้ลงสู่แนวทางของคุณ
    อย่าพยายามรั้น
    ก็ไม่ทำจิตให้มีสมาธิมันก็สับสน อย่างที่วิมุตติเคยเป็นกว่าผมจะพูดให้เข้าใจได้

    ไปทำสมาธิให้ดีกว่านี้เถอะ
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไปเปิด fm 103.25 ฟังไป ผมรำคาญคนหยิบอะไรมาบางขั้นบางส่วนแล้วพูดมาก ถ้าไม่ศรัทธาก็เรื่องของคุณ ผมแค่แสดงความเห็นแต่ถ้าไม่อยากฟังก็ไม่ต้องมาอ่าน
    ไม่มีใครว่า กิเลสมันฟังธรรมไม่ได้ก็แบบนี้

    อวดดีแบบนี้เข้ารกเข้าพง
     
  5. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ....สาธุคับ ที่คุณยกมา ชอบแล้ว.. ก็ขอให้คุณ ทบทวนในสิ่งที่ยกมาให้เห็นธรรมตามจริง...ให้ได้นะคับ... เพราะ จะจำไว้แค่เอาเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น...ผมโมทนาสาธุ ด้วยนะคับ...แต่ก็อย่าลืมประโยชน์ของตัวเองละ..
    ...ไหนคุณบอกว่ารู้เฉยๆไงคับ...แล้วต้องขันติอีกเหรอ...สภาวะที่สติมันทันกิเลส ทันอารมณ์นี่มันจะตัดกันเองโดยอัตโนมัติ...เมื่อมันตัดกันแล้ว..ดับไปแล้วจะขันติอะไรอีก...มันก็เฉยๆของมันอยู่ เรียบๆอยู่โดยปกติ..มันก็วางอุเบกขาของมันอยู่...นี่ปะคับที่ว่ามันเนื่องกัน...ว่าแต่คุณทำได้ยังละคับ...
    ...อย่ามองผู้อื่นว่าไม่มีใครทำได้สิคับ...
    สิ่งที่คุณบอกผม ผมก็พิจารณาให้คุณฟังแล้ว...และไม่อ้างตำราด้วย เอาจิตผมนี่และที่เห็นนี่และพูดให้คุณฟัง..ไม่ต้องเอาบาลียากๆมากล่าวด้วยนะคับ...

    แลัวคุณละคับ...พิจารณาสิ่งที่ผมฝากไว้หรือยังคับ
    เน้นให้อีกนะคับว่า ผิดอย่างมหันต์ ผิดทั้งจากพระไตรปิฏก..ผิดทั้งจากหลวงพ่อปราโมทย์ กล่าว..เพราะท่านบอกไว้ ต้องทำให้มากคับ ม่ใช่ว่า อย่าให้เกิด
    คำเต็มน่าจะมาจาก โยนิโสมนสิการณ์นะคับ...ผมอ่ะไม่สันทัดบาลี หรอกนะคับ..
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การดูจิต ก็เรียกเต็มๆว่า จิตภาวนา

    หลวงตา สอนให้ ดูตอนเช้าเลย ตื่นขึ้นมาแล้วให้ดู ให้พิจารณา แล้วก็ดีดผึงให้ได้ นั้นแหละดี
    ผมปฏิบัติ ตามมานานแล้ว ตามปกติ นิสัยเรา ตื่นขึ้นมาก็นอนพลิกไปพลิกมา หรือ ตื่นขึ้นมาแล้วซึมกระทือ ก็ให้ กำหนดจิตนะ ให้จิตมันตื่นขึ้นทันที อย่าไปเชื่อมัน

    สมัยก่อนตอนที่ ยังขี้เกียจ ก็นอนดู แปลกใจว่า พอหลับอยู่มันสบาย พอลืมตาขึ้นมา ทั้งๆที่กายไม่ขยับ นอนอยู่ท่าเดิม พอลืมตาขึ้นมาทำไมมันกลายเป็นง่วงหงาวหาวนอน ก็สรุปว่า
    นี่กิเลสมันหลอกเราแล้ว ถ้าความง่วงมันเป็นที่ร่างกายจริงเราตื่นขึ้นมาแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะเรานอนอยู่เฉยๆ ยังไม่ได้ขยับ ก็แสดงว่ามันเป็นที่ ความขี้เกียจ กิเลส
    เมื่อคิดได้ดังนั้นก็พิจารณาว่า มันจะต้องมีช่องของจิตที่ทำให้จิตตื่นทันที ก็เลยรวบรวมกำลังจิตกำลังใจละ ความรุ้สึกอันนั้น ก็แปลกนะ อาการง่วงมันหายไปทันที

    นี่แหละครับ กิเลสมันหลอก

    เช่นเดียวกัน เราคิดอะไรอยู่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นเหตุเป็นผลอย่างดี รู้ตัวด้วยว่าคิด คนทั่วไปก็อาจจะว่าเรามีสตินะ คิดก็รู้ แต่ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ ยกระดับปัญญาขึ้นอีกคือ

    เคยรู้ตัวไหมว่า คิดทำไม เมื่อรู้ตัวว่า คิดทำไม เราก็จะเลิกคิดทันที

    นี่แหละ ที่หลวงปู่แหวนกล่าวว่า เมื่อ รู้ มันก็ดับ ไม่ใช่ว่ามันดับ เพราะตามรู้ไปเรื่อยๆ แต่มันตื่นขึ้น แล้วมันจะหยุด

    ตรงนี้ ที่ผมอยากจะฝากไว้ ให้กับคนอื่น ไม่ใช่ให้นิวรณ์ แล้วก็เลิกพูดเลิกคิดเสียทีนะนิวรณ์ ว่าผมสอนคุณ คุณควรตื่นแบบที่ผมบอกว่า คุณจะเพ้อเจ้ออยู่ทำไม แล้วมันจะดับได้
     
  7. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอระบายนิดเถอะ..^^

    ....
    เพื่อนนักปฏิบัติธรรมที่คิดว่าตัวเองรู้ธรรมแล้ว สำเร็จธรรมแล้ว มีพระโสดาบันในเบื้องต้น..ตรงนี้ ผมขอเรียกว่า "ภูมิธรรม"นะคับ..
    ภูมิธรรมตรงนี้ไม่ได้วัดที่ความรู้ที่นำมากล่าวนะคับ...แต่วัดกันที่ การละวางกิเลสในตัวเราของเรา...
    มี 3 ข้อแรกในสังโยชน์10เป็นต้น..
    คือ 1. ละสักกายะทิฏฐิ
    2. ละวิจิกิจฉาสงสัย(ในธรรมของพระพุทธองค์)
    3.ละ
    สีลัพพตปรามาส
    ลำดับในการละ ทั้ง3ข้อ ไม่ใช่จะละที่ด้วยพร้อมกันนะ... ส่วนใหญ่จะละวิจิกิจฉาได้ก่อน.คือ หมดสงสัยในธรรมคำสอนของพระพุทธองค์..ได้เห็นความมหัศจรรย์ทางจิตแล้วว่า.. สภาวะของจิตที่ละวางทุกข์ได้นะเป็นอย่างไร....
    ตรงนี้ขอให้ระวัง อย่าเหมารวมว่า ละได้หมดแล้ว...หรือถึงพระอริยะในชั้นต้นแล้ว เพราะอะไรหรือคับ..เพราะพอ พิจารณากาย...ดันไปเห็นตัวคิดตัวนึกนึกอยู่ว่ากายไม่ใช่ของเรา..หรือมองเข้าไป เจอจินตมยปัญญา...พิจารณากายนี้ว่าไม่ใช่เราอยู่...แล้วหลงโดนกิเลสหลอกตัวเองว่า..ครบแล้วได้เข้ากะแสพระนิพพานแล้ว...
    แต่พอพูดธรรมะออกมามีแต่ยึดหลักของตัวเอง...อะไรที่ผิดจากสิ่งที่ตัวเองรู้ละเถียงหัวสนฝา...นั่นน่ะอัตตาตัวเบอเร้อ...ไม่พิจารณากัน...
    ทั้งๆที่ ครูบาอาจารย์หลายรูปท่านก็บอก ธรรมแท้ ไม่ขัดกัน..หรือผู้เดินถึงยอดเขาแล้ว ย่อมมองทางเดินที่ขึ้นมาได้ ชัดและมากกว่า 1 ทาง.. ดังมีคำกล่าว ที่ว่า ธรรมของพระพุทธองค์ เปรียบเหมือน บ่อน้ำที่อยู่กลางหมู่บ้าน.. ทุกคนย่อมเดินมาตักน้ำได้โดยไม่ซ้ำรอยกัน..
    ...ธรรมทั้งหลาย เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วก็ต้องวาง...
    ผู้ละสักกายะทิฏฐิ จะไม่มีเราผู้รู้ในธรรมนั้น(ไม่ใช่ผู้รู้ในความหมายของสติ นะคับ)..ธรรมเป็นของกลาง..หยิบยืมมาใช้แล้วก็คืน...ไม่ยอมคืนเขาก็กลับคืนไปเองอยู่แล้ว สัพเพธัมมา สังขารา..ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดจากการปรุ่งแต่ง...หมดเหตุปัจจัย ธรรมนั้นๆก็ดับไปโดยธรรมชาติเขาเอง...
    ภูมิธรรมทั้งหลาย มีพระโสดาเป็นชันต้น...หรือเรียกว่า พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน...พุทธะ จึงรู้จัก และเห็นพุทธะ ด้วยกันเอง.. อย่าเอาความรู้ในทางธรรมที่เอามาอวดเอามาสอนกันเป็นเครื่องวัดไม่ได้หรอกนะคับ...
    พระพุทธองค์ ถึงจัด ไว้เป็น 1ใน 4 อจินตรัย.. คือคุณของพระอริยะเจ้า..




    ....

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  8. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ... สาธุคับ..
    ผมก็รับฟังไว้ละกันนะคับ...เอาเป็นว่าในความคิดของคุณ คิดว่าผมไม่เข้าใจ...ผมก็ยอมรับละกันนะคับ (ผมก็งง คุณรู้ได้อย่างไร...ว่าผมทำได้แค่ไหนเข้าใจแค่ไหน)ขอฟังความเห็นคุณละกันนะคับ... ว่ามาเลยคับ..หลังจากวันนี้ คงวันจันทร์ หรืออาทิตย์นั้นแหละคับ ถึงจะเข้ามาอีกที... อิอิ
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตรงนี้คุณ นัทคลาดเคลื่อนครับ

    เพราะกิเลส ในส่วนของ สังโยชน์สาม นั้นละทีเดียวพร้อมกัน เพราะเป็นส่วนของ ความเห็นผิด ดำริผิด ทีนี้เมื่อ ก้าวไปสู่การดับทั้งปวง เมื่อ สัมประยุตที่ สัมมาสมาธิ แล้วจะเห็น การแตก ที่เกี่ยวเนื่องกันของทั้ง 3 ตัว ทำให้ละในทีเดียวพร้อมกันครับ
    ดุจดัง ต้นไม้มีราก สาม ก้าน ถอนทีเดียวสามก้าน จึงจะถอนต้นไม้แห่ง มิจฉาทิฎฐิ 3 ประการ

    ความสงสัย ถอนไม่ได้ หากไม่ได้ถอนสักกายทิฎฐิ และ สีลพตรปรามา ถอนไม่ได้หากยังมีสงสัย และ สักกายทิฎฐิก็ถอนไม่ได้หากยังมีสงสัย

    ทั้งสามตัวเกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวกัน

    มีตัวมีตน ยังสงสัยเพราะเนื่องจาก การมีตัวตนนั้น และเดินหาผิดทางก็เพราะสงสัย จึงต้องเดินไปทางนั้นทีทางนี้ที และ ทั้งหมดก็เป็นเพราะมีตัวมีตน

    การสงสัยนั้น สงสัยในอาการที่เกิดกับจิต เพราะว่ายังไม่วิมุตตทั้งหมด เวลามันเกิดอะไร เราก็สงสัย เพราะยังมีสมมติ นั้นแหละ ไม่ใช่เพียงแค่ สงสัยในพระรัตนไตรครับ
     
  10. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    หลวงพ่อที่คุณว่า อ่ะหลวงพ่อปราโมทย์ปะ ...ถ้าใช่ ผมก็จะบอกว่า คุณต้องอ่านของท่านคับ... วิมุติมรค...ประทีปส่องธรรม ของหลวงพ่อท่านเขียนไว้ ขัดเจนครอบคุมหมด...
    เอาแต่ฟังอย่างเดียวนะ..ต้องเข้าใจ วิธีสอน...กับ คำสอน คนละอย่างกัน...
    วิธีสอนของท่าน ท่านต้องการ..ให้ เน้นที่ดูจิต ท่านจึง ชี้แระจี้ให้ดู ในขณะที่เผลอสติิ...หลงคิด หลงนึก...
    ของผมเอาคำสอนคับ..ละเอียดดี...และก็ไม่ได้เอามาทั้งดุ้น..แบบ ก็อปปี้มา...คนเรา จริต ไม่เหมือนกัน...บุญบารมีที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน...ผมไปส่งการบ้านท่านเหมือนกัน...ท่านก็ไม่เห็นบอกว่าผม ทำผิดตรงไหน... คุณช่วย ชี้ให้ขัดๆที่สิคับ...ว่ามีสิ่งไรที่ผม ทำหรือปฏิบัติไม่ถูกเหรอ... แล้วที่ผมตอบๆคุณไปนะ อ่านมั่งปะคับ...

    ..พรุ่งนี้ก็จะไปกราบท่านขอพรปีไหม่ พร้อมส่งการบ้านให้ท่านตรวจ..
     
  11. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ...

    ขอบพระคุณคับ..

    ผมเองก็ไม่ได้เชื่อตัวเองนักหรอกนะคับ ... ผมเห็นแต่ว่า กิเลสที่ยังค้างคามีสิ่งไรมั่ง.. ตอนนั้นที่ว่า ได้นะ... พอย้อนกลับเข้ามาในตัว ไม่เห็นประโยชน์ไรเลย มีแต่กิเลส เยอะแยะเต็มไปหมด..

    ไว้ดึกๆ 4ทุ่ม กลับค่อยเข้ามาไหม่ คับ ไปธุระก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผมถามคำถามคุณนัท ว่า ละได้แล้วมีอาการอย่างไร
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ตามปกติ พระโสดาบัน ผู้ได้มรรคญาณ ก็ยังจะต้องคลุมเครือ
    ท่านรู้แต่ว่า ทางเดินที่ถูกต้องคือ เดินออกจากกิเลส
    แต่ยังมีสีลพตรปรามาส ครบ คือ ยังมีข้อวัตรผิดๆ ได้ ยังมีวิจิกิจฉาได้ ยังมีสักกายทิฎฐิได้
    เพราะผลญาณยังไม่ได้ ก็ยังต้องคลุมเครือ เมื่อคลุมเครือ ก็จะทำเชื้อทั้ง 3 ตัวนั้นเจริญ

    ทีนี้ หากใครว่า ละได้แล้ว ผมไม่ทราบว่า ท่านถึงไหน แต่ถ้าละได้แค่บางตัว นั้น แสดงว่ายังละไม่ได้หมด ยังไม่ได้เรียกว่า ละ ยังจะต้องพิจารณาธรรมต่อไปอีก
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นั่นยังไม่ได้เรียกว่า ละสังโยชน์ครับ

    เป็นเพียงการเห็นรูปนาม และ เข้าใจ อาจจะเรียกได้ว่า ทัสนะเกิด

    ก็ ขอให้ท่านพิจารณาก่อน

    ผม ต้องขอตัวนะครับ เดี๋ยวดึกๆ จะมาใหม่
     
  15. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ..
    ตรงนี้แหละคับที่อยากจะบอกพวกเขาทุกคน...แต่ขี้เกียจชี้ลงไปว่าใครมั่ง..ขี้เกียจจะไปนั่งเถียงด้วยคับ...เลยพิมพ์ให้อ่านกันเอง ใครรับได้ก็รับไป..เอาเวลาไปพิมพ์ อธิบายให้ ผู้สนใจใคร่ศึกษาและเริ่มปฏิบัติหาทางอยู่ ยังมีประโยชน์มากก่าคับ... เลยไม่อยาก แตะต้องใครคับ..อัตตากันเยอะๆทั้งนั้น ...เหนื่อยคับ...ปลงสังเวชด้วย..ได้แต่วาง สัตว์โลกต้องเเป็นไปตามกรรม คับ.. สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  16. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าไม่สัมผัสนิพพาน ความสงสัยจะมีอยู่ร่ำไป

    ถ้าไม่สัมผัสนิพพาน ก็แสดงว่ายังทำไม่ถูก

    ถ้าไม่ได้สัมผัสนิพพาน ก็ยังเห็นกายใจเป็นของเราอยู่

    ถ้าได้สัมผัสนิพพานแรก ความไม่รู้ความจริงจึงหายไป

    ถ้าได้สัมผัสนิพพานแรก จึงเรียกว่าเพิ่งตื่น

    ถ้าได้สัมผัสนิพพานแรก การเริ่มต้นความเพียรที่มีจุดหมายจึงเกิดขึ้น(แน่วแน่กว่าเดิมที่ต้องการแค่หนีทุกข์) ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2008
  17. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    การละทุกข์ในส่วนแรก มาจากการที่อวิชชาแหวกเหมือนกัน จะแต่ต่างกันตามความถนัด ตามกำลัง ตามทุกข์ที่ประสบมา ส่วนที่แตกต่างจึงละไว้เป็น ปัจจัตตัง

    ซึ่งทุกข์ในส่วนแรก เรียกว่า ความเห็นผิด ^-^
     
  18. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาให้แจ้ง ^-^
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ส่วนทำไม่ต้องเป็นสังโยชน์สาม สังโยชน์ห้า (ช่วงนี้มีสอง) และสังโยชน์เบื้องสูงอีกห้า ก็มันเป็นกิเลสส่วนที่ละได้ง่าย ไล่ไปหาส่วนที่ละได้ยาก ตามลำดับ ไม่สามารถข้ามขั้นได้ เพราะมันเป็นธรรมดาของสัตว์ ธรรมของรูปนาม

    มันเป็นเรื่องตื้น แล้วค่อยลึกขึ้น จนกระทั้งถึงสุด สิ้นสุดแห่งความทุกข์ ^-^
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จะพูดลำดับใ้ห้ฟัง การที่เราพิจารณารูปนาม ย่นย่อเข้ามาเป็นปัจจุบันธรรมที่สุด คือ ดู และ ละ ก็จริงๆ แล้วก็คือ ดูไปข้างหน้า โดยไม่สนใจอะไร มันก็คงจะคล้ายๆ เรานั่งรถยนต์แล้วมองไปแต่ข้างหน้าก็จะเห็น สรรพสิ่ง ผ่านมาแล้วหายไป มองให้เห็นแบบนั้น กำหนดสติ และ สมาธิ หรือ ใครจะว่าเป็น ปัญญาไปในตัวก็ได้ เมื่อกำหนดดูรู้ อย่าไปเผลอคิดเรื่องอื่น อย่าไปตามดูสิ่งที่มันเกิด ไม่ต้องพิจารณาเหตุปัจจัยอะไรทั้งสิ้น

    นี้คือวิธีการ ที่ท่านนิวรณ์เชื่อถือ และ ยึดเป็นสรณะ

    ที่นี้ผลจะเกิดอะไรขึ้น ก็คือเมื่อปฏิบัติตามด้านต้นที่ผมพูดนั้นแหละ มันจะทำให้จิตแหวกอวิชชาออกมาได้ เป็น ทัสนะเกิด ใครใช้ขันติ ในการปฏิบัติตรงนี้ ดูไป ให้จิตตั้งมั่นได้ตลอด จะพบกับ ความดับไปหมด ชั่วแว็บเดียว นั่นแหละตรงนั้น ทัสนะจะเกิด เรียกว่า โคตรภูญาณ พูดตรงนี้ คนที่จะปฏิบัติต้องผ่าน รูปนามมาแล้วนะ

    เมื่อโคตรภูญาณเกิด คราวนี้แหละ จะเกิด ความศรัทธา ปัญญา แจ่มแจ้ง ชัดเจน เข้าใจธรรมไปหมด จนเข้าใจว่า นี้แหละ คือ การบรรลุธรรม ขั้นพระโสดาบัน ก็จริงๆ แล้วมันก็เกือบๆ จะเป็นพระโสดาบันแล้วนะ เพราะมันยืนอยู่ 2 ขั้ว จิตจะมีสมาธิดีมาก ทุกข์ที่เคนมีปรากฎหายไป ตรงนี้แหละ ที่จะเป็นบ่อเกิด แห่ง วิปัสสนูกิเลส คิดว่า อย่างไรเสียเราก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ก็เวลาไปสอนใครก็จะมีแต่ ทัสนะแบบนี้แหละ อะไรๆ ก็สมมติไป
    อย่าไปทำอะไร อย่าไปเพิ่มเติม เพราะจิตมันว่างอยู่แล้ว

    นี่จะทึกทักเอาไป เป็นสรณะเลย ลืมตัวไปว่า กิเลสยังมีอีกเป็นร้อยกระบุง พันกระบุง

    ผมเป็นมาแล้ว ไม่อยากจะคุย กิเลส อัตตา นี้ มากมาย อวดตัวไปทั่ว

    แล้วยังไง ต่อ ก็ปรากฎว่า เจอทุกข์ แต่ ไม่ทำความเข้าใจกับมันให้แจ่มแจ้ง เพราะมีทัสนะแล้วนี่ ว่าอย่างไรมันต้องดับไป แต่กิเลสตัวที่มันฉลาดกว่า ปัญญาตอนนั้นก็มี มันกลืนแป๊บเดียวแหละ มืดไม่เหมือนเดิมเลย คราวนี้จึงจะเริ่มรู้ว่า ยังไม่ใช่ มรรคเลย

    ก็จะเริ่มเดินวิปัสสนาอีก คราวนี้ ค่อยๆ อบรมจิต จนเห็น ความจริงที่มากขึ้นอีก ว่า การที่เราอยู่เฉย ไม่ทำอะไร นั่นแหละ กิเลส ก็ต้องเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา โดยพิจารณารูปนามให้เด่นชันขึ้น จะเกิดทัสนะต่างๆ เช่น วิมุตติญาณทัสนะ มัคคามัคญาณทัสนะวิสุทธินี่ค่อยๆ เกิดขึ้น อบรมจน มรรคญาณจะเกิดขึ้นจน เห็นธรรม เห็นอะไรเกิดกับจิตพิจารณา หาเหตุปัจจัย สุดท้ายจะไป เห็นว่า องค์สมาธิ ต้องสมบูรณ์กว่านี้ คือ
    นิวรณ์ธรรม นี้ เป็นธรรมที่จะทำให้ การพิจารณาติดขัด ตัวสำคัญเลย นิวรณ์นี่

    ก็ อบรม วิถีชีวิต ให้ ตรงกับ มรรคมีองค์ 8 ขัดเกลาจิตใจ ขัดเกลากิเลส ให้วิถีชีวิตมีความปราณีตขึ้น จิตใจมีสติปัญญามากขึ้น ตรงนี้แหละ ที่ผมจึงพยายามบอกว่า องค์ธรรมที่เราต้องมีคือ สมาธิ และ ปัญญา ที่จะต้องทำให้สมบูรณ์ เมื่อ ประกอบกับปัญญา ที่เคยผ่านมา
    ย่นย่อธรรม ลงปัจจุบันธรรมอีก คราวนี้ เมื่อ องค์ธรรม ทั้งหมดสมบูรรณ์พร้อม ก็จะทำให้เราสามารถ ทำให้ มรรคนั้น สัมประยุตได้ในปัจจุบันธรรม เกิดผลญาณขึ้น ละสังโยชน์ 3 ได้ตรงนั้น ครานี้แหละ เมื่อผลญาณเกิด เป็น พระโสดาบันเต็มตัว จะไม่มีอาการทุกข์ บ้าๆ บอๆ เพ้อเจ้อ วันนี้ทำอย่าง พรุ่งนี้ทำอย่าง คิดสับสน หรือ แปลกใจตัวเองว่าทำไมเผลอทำอะไรไม่เข้าท่าไป แบบนี้ไม่มี เศร้าสร้อยหงอยเหงา ทุกข์้ร้อนอกร้อนใจ ไม่มี

    จิตใจจะเห็นกิเลสที่ผุด มีแต่ ราคะกับโทสะ

    นี่อธิบาย แล้ว ให้ตั้งทัสนะให้ถูก นี่แหละ เหตุผล ที่ผมจึงบอกว่า ทำไม คนที่ดูแต่จิตจึงติดวิปัสสนูกิเลส เพราะหยุดทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วใครพูดก็จะไม่ฟัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...