เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อ่านให้มากเลยคุณ วิมุตติ เพราะมีพาดพิงคุณอยุ่ด้วย
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    คุณขันธ์ครับ ผมก็บอกคุณไปแล้วนะครับว่า
    มีแต่คนถ่อยด้อยปัญญาเท่านั้นที่ดูถูกพุทธพจน์ของจอมศาสดา
    เมื่อคุณอ่านคำตอบผมจบแล้วที่คุณควรทำอย่างแรกสุด คือ
    ไปกราบขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่คุณปรามาสไว้
    จากกรรมหนักอาจผ่อนทุเลาเป็นกรรมเบาลงมาบ้างนะครับ
    แต่ความชอบธรรมในการเข้าถึงความเป็นอริยะ หนทางยังมืดมนอยู่นะครับ

    ข้อ๒.ที่คุณขันธ์ตอบ ผมไม่เชื่อเลยนะครับว่าคุณปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้
    ที่คุยโม้โอ้อวดเสียมากมายถูกเปิดเผยออกมาก็คราวนี้นี่เอง
    เราชาวพุทธทุกคนล้วนรู้กันหมดทุกคนนะครับว่าเกิดมาต้องตาย
    แต่จะตายโง่ ตายแล้วเกิดในที่ต่ำลงกว่าเดิมเหมือนหมูเหมือนหมาฯ
    หรือเลือกตายแบบชาญฉลาดฯ ตายแล้วไปในที่ๆดียิ่งๆขึ้นไป

    เห็นหรือยังครับว่าคนเราต้องสรรหาวิธีดับ(ตาย)
    เมื่อจอมศาสดาก่อนที่จะปรินิพพานนั้น
    พระอาจารย์อนุรุทท่านได้บอกวิธีดับขันธ์ของพระองค์เป็นขั้นเป็นตอน
    ให้พระภิษุที่มาเข้าเฝ้าพระองค์ ณ.ที่นั้นได้รับรู้ว่า

    พระองค์เข้าสู่ฌานเพื่อให้จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่อพญามัจจุราช
    เพื่อไปสู่แดนนิพพานไม่กลับมาเกิดในภพใดๆอีกแล้ว เป็นสัจจะธรรมไหมครับ???
    มีแต่คนถ่อยด้อยปัญญาเท่านั้นที่เวลาจะตาย(ดับ)นั้นไม่รู้วิธีจะตั้งจิตมั่นอย่างไรดี
    ปล่อยให้ตายไปตามเวรตามกรรมหรือตายพร้อมกิเลสที่มาพัวพัน ณ.เวลานั้น
    ย่อมตกไปในที่ต่ำลงไป

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณขันธ์ครับผมถึงได้ยืนยันนั่งยันว่าคุณเป็นคนที่ขาดความชอบธรรม
    ในการที่เข้าถึงความอริยะ

    คุณขันธ์ครับ คุณไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่ครับ เพื่อจะเอาชนะเท่านั้นหรือครับ
    ธรรมะขององค์มี๒ฝ่าย ฝ่ายโลกียธรรมและฝ่ายโลกุตตรธรรม
    ทุกครั้งที่พูดถึงสัพเพธัมมาอนัตตานั้น บริบทก่อนหน้าจะต้องมีทุกครั้งเช่นกันว่า
    สัพเพสังขารา อนิจจา
    สัพเพสังขารา ทุกขา
    สัพเพธัมมา อนัตตา

    ในอนัตตลักขณสูตรนั้น เป็นพระสูตรชั้นต้นๆที่ทรงแสดงแก่พวกพระอาจารย์ปัญจวัคคีย์
    ซึ่งในขณะนั้น มีเพียงพระอาจารย์โกณฑัญญะที่บรรลุโสดาบันเพียงองค์เดียวเท่านั้น
    เมื่อท่านทั้ง ๕ ฟังอนัตตลักขณสูตรจบ จิตก็หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์๕
    ในครั้งนั้นทำให้พระพุทธศาสนาสมบรูณ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
    มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบองค์รัตนตรัยเพื่อเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง
    ให้เราชาวพุทธได้กราบไหว้ ซึ่งเป็นพระสูตรที่สอนเกี่ยวกับเรื่องอนัตตาโดยเฉพาะ

    ในเมื่อเป็นพระสูตรที่มีลักษณะเฉพาะเรื่องอนัตตาแล้ว
    พระองค์ทรงต้องสอนให้พระอาจารย์ปัญจวัคคีย์ได้รู้จนหมดสิ้นว่า
    อะไรๆในโลกนี้ล้วนเป็นอนัตตาทั้งนั้น
    แม้กระทั่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่ยกเว้น
    เข้าข่ายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ซึ่งในพระสูตรทั้งหมดไม่มีตรงไหนกล่าวไว้เลยว่า
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นอนัตตา

    ในอนัตตลักขณสูตร สรุปว่าอะไรที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ที่พึ่ง)
    ส่วนอะไรที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ สิ่งนั้นย่อมเป็นที่พึ่งได้

    สรุปว่าคุณขันธ์เห็นว่าพระวรกายของพระองค์คือพระพุทธเจ้า
    ส่วนจิตที่ตรัสรู้เป็นพุทธะก็ตายตามร่างกายที่เน่าเหม็นนี้ด้วย
    ซึ่งขัดกับความจริงอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อพระสูตรได้ตรัสกับท่านวักกลิว่า

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมชอบตอบปัญหาให้ธรรมภูตินะ ท้าทายดี เพราะกิเลสนี้มันไวพอดู เผลอแป๊บเดียววิ่งไปไหนต่อไหนได้ จะให้ดูนะธรรมภูติ

    ผมถามว่า ผมไปปรามาส พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตอนไหน ธรรมภูติต้องตอบข้อนี้มา

    ข้อนี้มันเป็นเหตุป็นผลสอดคล้องกับการที่ทุกอย่างต้องดับไปเองอย่างไร เหตุผลที่คุณบอกว่าต้องตายเป็นขั้นเป็นตอนนี้มันไม่ได้สนับสนุนข้อโต้แย้ง ที่ว่า สรรพสิ่งดับเอง หรือ ต้องมีเหตุให้ดับเลย
    ซึ่งถ้าหากว่า มันต้องมีเหตุให้ดับ นั้นแสดงว่า ถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่ดับ จริงไหม ลองทบทวนคำพูดผมตรงนี้ดู

    มันไม่ใช่ความหมายว่า จะต้องมีเหตุถึงดับนะ และไม่ใช่ความหมายเดียวกับว่า จะต้องมีวิธีดับ มันจึงจะดับ

    ทีนี้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้ว่า ก็เพราะว่ามีเหตุ มันจึงไม่ดับ จึงให้ดับที่เหตุ
    แต่ทีนี้คนเราไม่ดับที่เหตุ แต่สร้างเหตุใหม่ไปเรื่อยๆ คุณเข้าใจไหมว่า สร้างเหตุใหม่ไปเรื่อยๆ ทีนี้ เปรียบเทียบกับ คนเปล่งเสียง อา.... นานๆ เพราะมีเหตุคือ เปล่งเสียง แต่ถ้าหยุดเปล่งเสียง เสียงนั้นย่อมดับไปด้วยหลักแห่ง ไตรลักษณ์เอง ข้อนี้ให้ทำความเข้าใจให้มาก
    สรรพสิ่งก็เป็นเช่นเดียวกันกับ เสียงนั้น คือ ห้ามไม่ให้มันดับไม่ได้ ก็ศาสดาท่านก็บอกว่า ห้ามไม่ให้มันดับไม่ได้
    คุณยังมองแคบมาก ธรรมภูติ

    แต่ทีนี้ขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช่แนวดูจิตเฉย ให้มันดับไปเอง เพราะว่ามนุษย์นั้นยังหลง ตัวหลงนี้แหละ เปรียบกับคน เปล่งเสียงตลอดเวลา ก็ไปหาวิธีการให้มันดับ แต่บังเอิญว่า เขาจะไม่มีทางรู้ตัวได้เลยว่า เขาเปล่งเสียงอยู่ตลอด ก็เพราะว่า เขาหลงนี้แหละ จึงต้องมีหนทาง ที่จะทำให้เขาได้ตื่นขึ้น และ ป้องกันไม่ให้เขาเผลอหลงไปเปล่งเสียงแบบไม่หยุดอีก
    นั้นแหละจึงเป็นที่มา ที่ว่าทำไม พระพุทธองค์ สาวก ต้องสอนให้ ตื่น สอนหนทางต่างๆ เพื่อให้เท่าทัน และ เกิดกุศลที่จะมีแรงต่อสู้กับกิเลสที่มีอยู่ และ ป้องกันกับกิเลสที่มีอยู่แล้วให้น้อยลง เพื่อนำไปสู่การตื่นอย่างถาวร

    แล้วข้อนี้ ขัดแย้งกับสิ่งที่ผมพูดตรงไหนหละ ธรรมภูติลองบอกมาอีกทีซิ
    ธรรมภูติกำลังจะขัดแย้งในข้อที่ไม่มีอะไรจะแย้ง จับนั่นชนนี่

    สรุปนะ ธรรมภูติ เรื่องความอริยะของผม มันจะมีหรือไม่ มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ
    ผมต้องการให้คุณ อ่านอย่างพิจารณา อย่าแสดงอาการขาดสติ ด้วยการไม่สนใจในเหตุผล
    และจ้องว่า ผมผิดตั้งแต่ยังไม่ได้อ่าน เพราะคุณจะไม่เห็นความหมายที่แท้จริง

    ธรรมภูติ หมดเหตุผลแล้วกระมัง ครานี้ ผมอยากจะทราบว่า กิเลสของธรรมภูติจะดิ้นไปทางใดได้อีก ผมรออ่านอยู่
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณขันธ์ครับดีแล้วที่ชอบ แต่ขอให้ชอบน้อยๆจะได้ชอบธรรมภูตไปนานๆ
    ถ้ามีกรรมฐานแล้ว หายห่วงครับ วิ่งไปไหนไม่ไกลหรอกครับ

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณขันธ์ครับ คุณไม่รู้จริงหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่
    ผมเห็นคุณสารพัดปรามาสทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เริ่มจากการพูดถึงพระอริยะสงฆ์ในชั้นต่างๆ
    คุณคงจำได้ดีอยู่แล้วเพราะผมเองก็ได้เคยตำหนิไปแล้ว
    ไม่ขอฟื้นฝอยขึ้นมาอีกก็แล้วกัน มาว่ากันที่ปัจจุบันดีกว่า

    คุณตอบอย่างภาคภูมิ “พระพุทธ ก็อนัตตา เพราะว่า พระพุทธก็ปรินิพพานไปแล้ว”
    แสดงว่าคุณมีความมืดบอดที่มองเห็นความเป็นพระบรมศาสดา
    ที่กายอันหาสาระไม่ได้เน่าเปื่อยผุพังฯนี้เป็นพระพุทธเจ้า
    สิ่งที่ทรงตรัสรู้ต่างหากหละที่เป็นพระพุทธเจ้า

    ถ้าคุณแปลคำว่าอนัตตาว่าไม่มีตัวมีตนก็เท่ากับ
    คุณปรามาสว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่จริง
    หรือแปลว่าไม่ใช่ตัวตน(ที่พึ่ง)ยิ่งเป็นการปรามาสหนักเข้าอีก
    มีที่ไหนกล่าวขัดกับพุทธพจน์ยังไม่ยอมรับ
    อะไรที่ขัดกับพุทธพจน์ต้องเอาพุทธพจน์ไว้ก่อน
    ในอนัตตลักขณสูตรก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า
    อะไรที่ไม่ใช่ตัวตนสิ่งนั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้
    อะไรที่เป็นที่พึ่ง สิ่งนั้นเป็นตน(ไม่มีรูปร่าง)

    พระธรรมก็เช่นกันคุณพูดมาได้เต็มปากเต็มคำว่า พระธรรมไม่มีตัวไม่มีตน
    พูดแบบนี้เป็นการปรามาสเต็มๆเลยครับ
    ในเมื่อคุณเองก็พูดว่าเราสามารถเข้าถึงได้ด้วยจิตใจ
    แสดงว่ามีอยู่จริงถึงเข้าถึงได้ ถ้าไม่มีตัวไม่มีตนจะเข้าถึงได้หรือ???
    ที่ผมถามไปหนะ หัดตอบกลับมาบ้าง คุณปฏิบัติธรรมมาเคยได้รับรสพระธรรมไหม???

    ส่วนพระอริยะสงฆ์ คุณพูดว่า “พระสงฆ์ ก็เป็นอนัตตา ก็เพราะว่า พระสงฆ์ ก็ต้องตาย”
    พระอริยสงฆ์เจ้าชั้นพระอรหันต์มีเกิดมีตายที่ไหน คุณปรามาสไปเต็มๆเลยนะครับ

    คุณขันธ์ครับ แสดงว่าคุณมีความคิดเห็นว่าพระขีณาสพตายแล้วสูญใช่ไหมครับ???
    แล้วช่วยขุดเอาของเก่าที่ยังไม่ได้ตอบกลับมา ตอบกลับด้วย
    ถ้าคุณตอบผมแต่ต้น คงไม่ต้องมาแสดงความรู้แบบผิดๆหรอกครับ

    ;aa24
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณขันธ์ครับ ถ้าคุณได้ปฏิบัติมาจริงอย่าที่พูดยกตนเองไว้หนะ
    คงไม่พูดอย่างนี้เด็ดขาด แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจพุทธพจน์ได้ขนาดนี้
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    คุณขันธ์ครับ ใครกันแน่ครับที่แคบแบบสุดๆหรือชาล้นถ้วย<O:p</O:p
    ไม่เคยคิดที่จะฟังอะไรเลยนอกจากที่ตนเองรู้มา

    ;aa24<O:p</O:p
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    คุณขันธ์ครับ อย่าไปอ้างการดูจิตของครูบาอาจารย์คนอื่นเลยครับ
    ถ้าจะถกกับเค้าออกชื่อเป็นคนๆไปดีกว่านะครับ
    ที่คุณพูดข้างบนเรื่องเปล่งเสียงคุณไปจดจำของใครมาอีกหละครับ???
    คุณรู้ไหมครับว่า วิธีดับเหตุเปล่งเสียงนั้นอยู่ที่ฌานไหน???

    ที่คุณบอกว่าพระพุทธองค์ สาวก
    ต้องสอนให้ตื่น สอนหนทางต่างๆ ใช่บอกวิธีไหมครับ???

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    คุณขันธ์ครับ คุณกำลังสับสนอะไรอยู่หรือครับ ตรงไหนครับที่ผมจับนั่นชนนี่???
    เรื่องความเป็นอริยะของคุณ จะมีหรือไม่มี มันเป็นประเด็นสิครับ
    ในเมื่อพระโสดาบันท่านไม่มีการลังเลสงสัยใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เพราะท่านได้เคยเข้าถึงในสภาวธรรมนั้นมาแล้ว
    จึงหายสงสัยอย่างหมดหัวใจ ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ยังคงอยู่กับเรา
    พวกท่านไม่สูญหายไปไหนนะครับ
    ผมถึงยืนยัน นั่งยัน แถมนอนยันว่าคุณขันธ์ คุณไม่มีคุณสมบัตินั้นอยู่เลยนะครับ

    คุณขันธ์ครับ ใครกันแน่ครับที่ไม่เอาเหตุผล
    เพราะขาดสติหลงตนเองว่าได้สภาวธรรมที่คิดขึ้นเอง
    จนกระทั่งไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่นเลย
    ทุกครั้งที่ผมตอบแย้งผมยกเหตุผลมารองรับ
    ส่วนของคุณไม่เคยชี้ชัดลงไปว่าที่ผมตอบไม่มีเหตุผลตรงไหน
    มีแต่ใช้วิธีแบบเด็กๆทำกัน โดยกล่าวหาไว้ก่อน แต่ไม่รู้ตรงไหน

    ผมเองได้ออกตัวมานานนมแล้วนะครับว่าไม่เคยอาศัยอคติจ้องจับผิดใครเลยนะครับ
    แต่ที่โต้แย้งไปก็เพียงหน้าที่ของพุทธบุตรที่ดีเท่านั้น
    การไปอคติและจ้องจับผิดกับผู้อื่นแล้วผมจะได้อะไร
    มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น รู้แบบนี้แล้วยังจะทำก็มิจฉาทิฐิสิครับ

    ;aa24
     
  13. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    คุณธรรมภูต ปฏิบัติมาแบบไหน ถึงได้เถียงเก่งจัง [​IMG]
     
  14. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    น้ำใบบัวบกครับ แก้กระหาย แล้วค่อยดำเนินต่อ

    [​IMG]
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขออภัยนะครับคุณหม้อหุงข้าว ผมไม่ได้เถียงนะครับ

    ผมเพียงแต่แย้งข้อธรรม เพื่อค้นหาสัจจะธรรมเท่านั้นครับ


    ;aa24
     
  16. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    อ่อ..ผมคงใช้คำผิด เพียงคำว่า เถียง กับ แย้ง
    ความหมายก็แตกต่างกัน
    ต้องขออภัยด้วยเช่นกันครับ ดำเนินต่อครับ
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นี่ สรุป มันจะมาด่าผมหรือว่า แย้งเนี่ย ผมยังอ่านไม่เจอเหตุผลเลยสักนิด ธรรมภูติ

    มีแต่ คุณขันธ์ คุณนี่ แคบสุด คุณนี่ปรามาส คุณนี่จำใครมา
    ส่วนเหตุผลในเนื้อธรรม ยังไม่ปรากฎครับ
    เอาใหม่ธรรมภูติ โต้มาใหม่ ที่พูดมานี่เรียกว่า สูญเปล่า สำหรับผม โต้แย้งใหม่ จับประเด็นให้ได้ ว่า ประเด็นที่พูดคืออะไร แล้วล้อมกรอบความคิดตนเองให้ พินิจเพียงแค่สิ่งที่พูด ดุจดัง ความนั้น ไม่ปรากฎว่าใครพูด แล้วคุณแย้งความนั้น
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ย้อนกลับไปอ่านของตัวเอง เอาที่ผมยกมาข้อความนี้ก็ได้ แล้วพินิจพิจารณาในข้อความของตนเอง ความนี้แหละว่ามันมีเหตุผลอะไร
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181

    ธรรมภูติ ดูอะไรนี่

    เอาเท่านี้พอ ก่อนธรรมภูติ แบบนี้ เด็กอนุบาลแถวบ้านผมเรียกว่า จับผิด และ ไม่มีเหตุผล ครับ
     
  20. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    ขออนุญาตดันกระทู้ครับ
    กำลังฟังคุณเอกวีร์กับคุณขันธ์ถกกันยังไม่ได้ข้อสรุปเลย คนฟังก็กำลังรอฟังต่อครับ

    เดือนนี้ครบรอบหนึ่งปีที่ผมเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จึงขอเล่าผลจากการปฏิบัติแบบลองผิดลองถูกของตัวเอง
    อาศัยอ่านเอาจากหนังสือบ้าง ลักจำเอาจากแถวนี้บ้าง เผื่อจะมีคนช่วยชี้แนะว่าผิดทางถูกทางอย่างไร

    แรกๆ เลยผมก็อาศัยลมหายใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว พอให้ใจมันสงบ แต่ไม่ได้นั่งสมาธิเป็นงานเป็นการมากนัก
    แล้วก็ดูกายดูใจไปเรื่อยๆ รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง หลังๆ ก็รู้ตัวมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนแต่ไม่ถึงกับอยู่ได้ตลอดวัน

    ผมลองมาแล้วทั้งแบบดูแล้วเฉยๆ กับดูแล้วพิจารณา
    ดูแล้วเฉยๆ ก็เห็นอารมณ์มันเกิดขึ้นมา หากสติเราไม่ต่อเนื่องตั้งแต่ตอนกระทบ เมื่อเห็นแล้วก็ไม่เติมเชื้อเข้าไปเพิ่ม มันก็ค่อยๆ มอดไปเอง
    อันนี้ต่างจากเมื่อก่อน หากเป็นเมื่อก่อนเราไม่มีสติทั้งก่อนเกิดและหลังเกิด มันก็สุมไฟเข้าเพิ่มโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ข้ามวันข้ามคืน
    อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าวิธีนี้มันก็ไม่ได้ช่วยลดกิเลสลงไป (อาจจะลดลง แต่น้อยมากจนไม่มีนัยยะสำคัญ)
    สังเกตได้จากเมื่อเราเผลอ อารมณ์แบบเดียวกันก็ปะทุขึ้นอีกเมื่อมีปัจจัยครบถ้วน
    เหมือนกินข้าวอิ่มใหม่ๆ เราอาจคิดว่าไม่ต้องกินอีกแล้ว เผลอแป๊บเดียวมันหิวอีกแล้ว
    มันเหมือนกินข้าวยังไงยังงั้น กินเท่าไหร่ ก็ไม่ช่วยให้เลิกกินข้าวได้

    ผมก็เลยลองดูแบบพิจารณา พอเผลอเกิดอารมณ์ขึ้นมา ก็พิจารณาว่าอารมณ์ต่างๆ นั้นเกิดจากอะไร
    ก็ย้อนทวนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อะไรก็ไปสุดแค่ว่ามันมาจากการรู้สึกว่ามีตัวเราอยู่
    มันก็รู้อยู่แค่นั้น ผลที่ได้มันก็เหมือนกับกินข้าวไม่อิ่มเหมือนเดิม
    ก็เลยคิดขึ้นมาว่าไอ้ที่เราพิจารณามานี่มันความคิดจากการสมมุติล้วนๆ ไม่ได้เกิดจากการเห็นจริงเลย
    ใครๆ ก็น่าจะคิดย้อนกลับแบบนี้และไปสิ้นสุดที่จุดเดียวกันนี่ได้เหมือนกัน
    มันเป็นเพียงปัญญาสมมุติ ไม่ว่าจะย้อนทวนกี่รอบ มันก็ไปหยุดที่จุดเดิม ไปต่อไม่ได้
    พอถึงเวลา มันก็กลับมาเหมือนเดิม

    ผมก็เลยมาดูว่าอะไรบ้างที่เราเห็นจริงๆ ตอนดูจิต ก็พบว่านอกจากอารมณ์ที่ถูกเห็นแล้ว ก็มี "ตัวรู้" ที่ใครๆ ก็พูดถึงนี่แหล่ะ ที่เป็นสิ่งแปลกปลอมอยู่
    ผมก็เลยคิดว่าที่เราไม่ไปไหนต่อ ก็เพราะมันติดอยู่ที่ตัวรู้นี่แหล่ะ
    มันทำให้เรายังคงความมีตัวตนอยู่ กิเลศทั้งหลายทั้งปวงมันก็เลยยังอยู่ครบ
    ผมก็เลยมาคิดว่า อันที่จริงแล้วไอ้เจ้า "ตัวรู้" กับ "อวิชชา" นี่มันก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เป็นคนละลักษณะกันนั่นเอง
    แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร
    มันเหมือนเราถูกขังอยู่ในกรง ไม่อาจหลีกห่างจากลักษณะได้
    ตัวรู้ มันก็ยังอยู่ของมันต่อไป
    ช่วงนี้ก็เลยคิดว่าเราต้องทำลายทวิลักษณะซึ่งขังเราอยู่ด้วยการพิจารณาของคู่ให้ได้เสียก่อน
    ตัวรู้มันจึงจะหมดไปได้

    หากเห็นว่าผมเดินทางผิด ช่วยชี้ทางด้วยครับ จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...