เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอาข้อความผม ไปให้พระท่านอ่านก่อน ที่คุณนิวรณ์ จะมาเถียง เพราะมันเป็นไปได้ ที่คุณนิวรณ์ จะรับรู้และเข้าใจผิด
    เพราะ สมมติยังบังคุณอยู่มาก มันจะไปเห็นตรงได้อย่างไร
    แล้ว ถ้า ท่านนิวรณ์ จะคิดว่า สิ่งที่ผมพูด เป็น อรูปฌาณ ก็ลองใคร่ครวญ อย่างใช้สติก่อน
    แล้ว ก็เลิกแก้ตัวเถอะ ว่า จะลบข้อความไปเพื่ออะไร มันไร้สาระ

    เอาแต่ธรรมมาถกกันดีกว่า ผมพร้อมจะแสดงให้ท่านเห็นเสมอ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็อยากจะบอกอะไร ให้อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่ผมพูด ให้ฟังอยุ่นี้ คืออะไร ท่านจับประเด็นได้หรือไม่ ท่านนิวรณ์

    ไม่มีความใด ให้กดทับ แต่พยายามให้เห็น ถึงการทำงานของ มโน เพื่อจะนำไปสู่ ความเข้าใจในการพิจารณาแยก ธรรมและกิเลส

    ให้อ่านข้อความอย่างปราศจาก อคติ ก่อน ดุจดังท่านอ่านข้อความของ หลวงพ่อปราโมทย์ แล้วท่านจะเห็นจริงเอง
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมขอตัวก่อน ดึกๆ แล้วค่อยเจอกัน ท่านนิวรณ์นอนดึก
    ส่วนคุณหัตถ์เทพ ผมแนะนำให้คุณ เล่นอินเตอร์เน็ตตอนกลางคืนบ้างนะ เพราะสาวๆ เขาชอบแชตตอนกลางคืน
    เล่นแต่กลางวัน ไม่เจอหรอกสาวๆ อะ มีแต่คนแก่ๆ

    see u
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็แล้วคำอธิบายของผม ที่เป็นผลการปฏิบัติของผม ที่เล่าเอาไว้กลายๆให้ฟัง

    มีคำว่า กด ไหมครับ มีการเข้าไปดับไหมครับ ผมใช้คำว่า เอ๊ะ แล้วตาม
    ด้วย พิจารณา แล้วยั้ง(เผิกถอน) เพื่อไปเห็นลำดับธรรมที่สูงกว่า มันวิถี
    เดียวกันกับที่คุณทำหรือเปล่า

    คำว่า กด นั้นผมใช้เป็นลำดับสุดท้าย เพื่อใช้ชี้ในส่วนผลของการปฏิบัติ ไม่ใช่
    ลำดับขั้นตอนของการปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2009
  5. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณที่แนะนำครับ
     
  6. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณคุณหัตถ์เทพที่เตือน
    คุณธรรมภูตเขาไม่ได้ประสงค์ร้ายกับผมนี่ครับ ผมจะไม่เสวนากับเขาไปเพื่ออะไร :)

    ผมก็คุยหมดแหล่ะทั้งคุณวิมุติ คุณธรรมภูต คุณขันธ์ K Kwan jinny ผีเสื้อ คุณเอกวีร์ อาหลง แม้แต่คุณใบไม้ผมก็คุย แต่ไม่ใช่ฟังแล้วก็เชื่อทั้งหมดซะที่ใหน อะไรที่คิดว่ามีประโยชน์กับตัวเองก็ลองเอาไปลองดู อะไรไม่ค่อยเกี่ยวข้องก็ผ่านๆ ไป ส่วนใหญ่หลังๆ ผมก็เข้ามานั่งอ่าน ไม่ค่อยได้คุยกับใคร เพราะเปิดปากมาทุกที มันก็มีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนทุกที :)

    คุณธรรมภูตเขาคุยด้วยไมตรี เราก็คุยกลับด้วยไมตรี คุยด้วยแล้วเราสบายใจ เราจะไม่คุยกับเขาไปเพื่ออะไรยังนึกไม่ออกครับ :)

    อีกอย่าง คุยบนเว็บบอร์ดเราเลือกได้ว่าจะตอบหรือไม่ตอบกลับ มันไม่เหมือนคุยแบบเจอหน้า อันนั้นมันเลิกคุยไม่ได้

    คุยบนเว็บบอร์ด คนที่จะหยุดการสนทนา ต่อความยาวสาวความยืด มันก็คือตัวเรา ไม่ใช่คู่สนทนา หากเราหยุดต่อความยาวสาวความยืดเองไม่ได้ จะไปโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้ยังไง

    เอาไว้ให้คุณธรรมภูติเขาประสงค์ร้ายกับผมก่อน แล้วค่อยเลิกเสวนาก็ได้ กลัวว่าถึงตอนนั้นคนที่หยุดไม่ได้จะเป็นตัวเราเสียมากกว่านะ ไม่ใช่คุณธรรมภูติ :)
     
  7. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมเห็นด้วยครับ

    คุณธรรมภูต แกก็มีอะไรของแกดีอยู่ทางด้านสมาธิ
    แต่แกติดสมาธิ ไม่ยอมออกพิจารณาทางด้านปัญญา
    เวลาสนทนากับแก แกจะออกไปหาสมาธิอย่างเดียว
    คิดแบบไหนก็ไปแบบนั้น แบบสุดโต่ง
    ขาดการพลิกแพลง เพราะไม่ยอมออกทางปัญญา
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ เรื่องราวหรือความเข้าใจในมโนวิญญาณ ของคุณมันบิดเบือน เพราะมีกิเลส ผมจะพูดให้ฟังว่า บิดเบือนอย่างไร

    1 ผมบอกใช่ไหมว่า การปฏิบัติในแนวทางที่คุณมี มันไม่ได้ผิด

    2 ผมบอกใช่ไหมว่า มันไม่ผิดแต่มันไม่เพียงพอ เพราะมันต้องไปเจริญ กุศลให้พร้อม
    แต่คุณกลับบอกว่า ธรรมนั้นตื้น ไม่จำเป็นต้องพูด ( ข้อนี้ คุณบิดเบือนไปเองตามความเข้าใจตน )

    3 เมื่อคนมาถาม ผมก็ตอบไปว่า ต้องเจริญสมาธิ ต้องสร้างกุศลต่างๆ ให้มาก แต่คุณนิวรณ์ กล่าวเชิงปฏิเสธ สิ่งเหล่านี้ พร้อมทั้งชี้ว่า เรื่องของสมาธิ อะไรต่างๆ นั้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา ข้อนี้ คุณสับสนเอง คุณแยกไม่ออกว่า ธรรมใดสนับสนุน ธรรมใดคือธรรมหลัก
    จริงไหม

    4 คุณ กล่าวกลับไปกลับมา อ้างเหตุนั้นเหตุนี้ กล่าวว่า ธรรมของผม พาห่างนิพพานบ้าง กล่าวว่า ธรรมของผมลามก บ้าง

    เอาแค่ 4 ข้อนี้แล้วกัน คุณ นิวรณ์ และ การโต้แย้งธรรมเมื่อมาถึงตอนนี้ คุณ ก็ยังยืนยันว่า แนวทางของคุณ ถูก ซึ่งผมก็บอกแต่แรกมาตลอดว่า มันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
    ท่านวิมุตติ ก็มาบอกว่า มันคือ สับเซต ก็นั่นก็เป็นข้อสรุปที่ดีแล้ว
    ทำไม ยังต้องคิดอะไรมาก

    ทีนี้ ประเด็นที่ผมบอกว่า วิธีการของคุณนั้นเข้าข่ายสมถะ ก็เพราะว่า คุณพยายามจะเลิกการพิจารณาทิ้งไป คุณบอกว่า ดูอย่างเดียว ซึ่งผมก็บอกว่า ถ้าเช่นนั้นแหละ นั่นแหละคือ สมถะ
    เพราะคุณว่า ดูอย่างเดียวมันก็รู้ได้ ซึ่งคุณกล่าวเองว่า มันคือ อนุสสติ ซึ่ง อนุสสตินี้แหละคือ สมถะกองหนึ่ง

    คุณ นิวรณ์ คุณต้องลืมเรื่องราวทั้งหมดไป แล้วเริ่มเปิดมโนวิญญาณใหม่ ทิ้งความยุ่งเหยิง ทิ้งสัญญา อารมณ์ทั้งหมดไป แล้วตั้งสติและสมาธิใหม่ แล้วเริ่มปฏิบัติไปในแนวทางของคุณต่อไป ด้วยการเจริญปฏิบัติ แต่ไม่ใช่เจริญด้วยการหาหลัก หาเกณฑ์ และ ยึดอยู่ในแนวทางเดิมๆ คุณต้องเตือนตนว่า หากกิเลสและความสับสนของเรา ยังมีซึ่งคุณจะต้องคอยมอง และระลึกรู้มันตอนที่ มันเซ ไม่ใช่ลืมตอนเซ แต่ไปจำตอนเดินดี มันจะไปมีประโยชน์อะไร จะต้องจดจำตอนเราเผลอสติ ระลึกขึ้นได้ภายหลังและทบทวน และพร้อมที่จะละมัน
    ป้องกัน ไม่ให้มันเกิดครั้งต่อไป

    นี่คือหลักการง่ายๆ เพียงแค่เสริมจากที่คุณมีเท่านั้น
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ปัญหา คือ คุณมักจะมองว่า วิธีของการของคุณถูกแน่นอน แต่อาจจะสื่อผิดพลาดกัน แบบนี้คุณ ก็ต้องไปมองตัวเองแล้วว่าทำไมถึงสื่อออกไปผิดพลาด ไม่ใช่มองว่าผมไม่เข้าใจ

    แต่ทีนี้ มันมีจุด ที่เห็นอยู่ว่า คุณปฏิบัติไม่ก้าวหน้า คือ

    1 คุณอยู่ที่เดิม และ แสดงอาการพอใจ ในหนทางของตนเองว่า นี่ดีที่สุด นี้ถูกที่สุด

    2 คุณ ยังคลุมเครือ เพราะยังมองสิ่งที่ผมพูดไม่เห็น เพราะถ้าเห็นเป็นธรรมแล้วจะเข้าใจ มากกว่า จะแย้ง หรือ ยืนยันในหลักการเดิมของตน นั่นแสดงว่า คุณกำลังโดนกิเลสปิด

    3 คุณ ปฏิเสธ ธรรมที่เป็นส่วนสนับสนุน โดยนัยยะของคำพูด
    4 คุณ รับไม่ได้ ว่าคุณพูดผิด เพราะคุณ สอนคนอื่นมามาก

    ลืมทั้งหมดไปเถอะ มันไม่มีประโยชน์หรอก ไปปฏิบัติต่อเถิด แต่ อย่าทิ้ง การพิจารณา ไม่ใช่ดูเฉยๆ การที่พระท่านบอกให้ดูเฉยๆ เพราะเป็นการ ไม่ให้เอาสัญญาไปแทรก เพราะบุคคล มักสงสัย และ มีกิเลสมาก ท่านจึงแนะให้คุณ ดูเฉยๆ อย่าไปแทรกไปปรุง
    ให้ มันนิ่งเสียก่อน ก็พอคุณ ปฏิบัตแล้วมันดี ก็เพราะว่า ธรรมดาแล้วคุณมีนิวรณ์เยอะ มันก็ทุกข์ ภายหลังพอนิวรณ์สงบตัวลง มันก็นิ่งได้ ก็เกิดศรัทธามาก

    ผมแนะนำ เลิกปรุง ปิดใจ แล้ว ให้ทั้งหมดเป็นเพียงกิริยาที่ไหวไป เอาเท่านั้นพอ วางได้
    ทวนหาวิญญาณ ให้เจอ ว่า ตัวรู้ ตัวเข้าใจ นั้นมันมีลักษณะอย่างไร

    คนมีปัญญามาก อุทธัจจะมาก วิจิกิจฉามาก พระท่านก็สอนถูกแล้ว ไม่ให้แทรก
    แต่ที่ไหนได้ ดันยึดอีก สอนเท่านั้นไม่ให้พอเท่านั้น แต่ให้พิจารณาให้มากขึ้น

    ผมอ่านธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์บางส่วนแล้วนะ ท่านสอนได้ตรงทางแน่ ท่านมีปัญญา มาก มีบารมีมาก คุณอ่านหนังสือของหลวงพ่อ ให้หลายๆ รอบ
    เอาให้เจอที่ว่า ใช้แต่ปัญญา ไม่ใช้สมาธิ ก็โง่ เพราะ พระพุทธองค์บอกให้ระวังไม่ใช่บอกให้เลิก

    ผมอาจจะไม่อยู่ คุยด้วยพักนี้ ก็เอาไปพิจารณาแล้วกัน ให้ถือโอกาสนี้ สางสัญญา และสังขาร ที่ค้างดองในจิตใจ ในเรื่องที่ผ่านมา ให้ลบไป แล้วก็ดูให้มาก

    นิพพาน คือ วิญญาณดับ แม้ดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ แต่ให้ดับที่ใจ คือ มโนวิญญาณ ดับแต่ละเรื่องให้เหลือน้อยที่สุด มันจะค่อย มีเรื่องราวลดไป จนกลายเป็น ว่างไปทั้งหมด
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณ นิวรณ์ เรื่องราวหรือความเข้าใจในมโนวิญญาณ ของคุณมันบิดเบือน เพราะมีกิเลส ผมจะพูดให้ฟังว่า บิดเบือนอย่างไร

    1 ผมบอกใช่ไหมว่า การปฏิบัติในแนวทางที่คุณมี มันไม่ได้ผิด
    [ ใช่ มันไม่ได้ผิด แล้วผมก็อธิบายว่า คำว่าดูเฉยๆ นั้น เป็นพยัญชนะ ซึ่งหมาย
    ถึง มันมีความหมายหลายอย่าง และใช้พูดในระดับไหนก็ได้ แต่พูดตรงไหนบ้าง
    บรรยายวิธีการปฏิบัติได้ตรงไหนบ้าง ถ้าต้องการรายละเอียด ก็ต้องไปฟังการ
    สอนธรรมะของหลวงพ่อ ที่เป็นการสอนแบบถามตอบ -- เอามาแปะให้ฟังแล้ว
    ก็ยังไม่นำพา ]

    2 ผมบอกใช่ไหมว่า มันไม่ผิดแต่มันไม่เพียงพอ เพราะมันต้องไปเจริญ กุศลให้พร้อม
    แต่คุณกลับบอกว่า ธรรมนั้นตื้น ไม่จำเป็นต้องพูด ( ข้อนี้ คุณบิดเบือนไปเองตามความเข้าใจตน )
    [ ก็เพราะคุณบอกว่าให้ไปทำสมาธิ ก็พบว่า คุณเองนั้นแหละที่สับสน กับคำว่า ดูเฉยๆ
    ลองอ่านคำบรรยายของคุณข้างล่างดูสิ คุณบอกว่า ดูเฉยๆของผมนั้นแหละ คือ สมถะ
    ก็ถ้าเห็นว่าผมทำ สมถะ อยู่ ผลที่ได้ก็ต้องเป็น สมาธิ หรือ ความสงบ แล้วเอาอะไรมา
    ตั้งขอหาผมว่า ฝุ้งซ่าน ตกลง ดูเฉยๆ ในมุมของคุณที่เป็นเรื่องทำสมถะ ทำแล้วฝุ้ง
    ซ่านเหรอ -- นี่คือความสับสนของคุณเอง ไม่ใช่ผม -- แล้วผมก็บอกต่ออีกว่า สมาธิ
    ที่คุณไล่ให้ผมไปทำ มันตื้น เพราะผมทำสมาธิของผมได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้บอก
    ว่าทำได้อย่างไรบ้าง เพราะเล่าเมื่อไหร่ ก็จะโดนว่า อวดดี อวดตัวตน -- ซึ่งก็แทบจะเกิดทันที โดยคุณวิมตติเป็นผู้กล่าว -- ดังนั้น เรื่องการปฏิบัติของผม ผมจึงไม่นิยมพูด ]

    3 เมื่อคนมาถาม ผมก็ตอบไปว่า ต้องเจริญสมาธิ ต้องสร้างกุศลต่างๆ ให้มาก แต่คุณนิวรณ์ กล่าวเชิงปฏิเสธ สิ่งเหล่านี้ พร้อมทั้งชี้ว่า เรื่องของสมาธิ อะไรต่างๆ นั้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา ข้อนี้ คุณสับสนเอง คุณแยกไม่ออกว่า ธรรมใดสนับสนุน ธรรมใดคือธรรมหลัก
    จริงไหม
    [ คุณเองต่างหากที่ แยกไม่ออก เพราะ สมาธิที่มีก่อนพุทธศาสนานั้นมีมาก่อนจริง ก็ต้อง
    ยอมรับส่วนหนึ่งว่า ผมกล่าวจริง เมื่อปรับทิฏฐิได้แล้ว ก็จะเข้าใจส่วนที่แตกต่าง หรือ
    พยายามจะเฟ้นหาสิ่งที่แตกต่าง -- ผมพูดก็เพื่อจูงใจให้เห็นคำว่า อนุสติ ที่เป็น
    วิปัสสนา ซึ่ง ไม่ใช่ อนุสติ แบบสมาธิทั่วไป -- แต่พอพูดไปแล้ว แทนที่จะปรับทิฏฐิ
    เข้าหากัน กลับจับประเด็น ว่าผมกล่าวโทษเรื่องฌาณ แทนที่จะร่วมกัน ยก เรื่อง
    สติปัฏฐาน4 ซึ่งมี กายา+อนุปัสสนา , จิต+อนุปัสสนา , เวทนา+อนุปัสสนา และ
    ธรรมา+อนุปัสสนา ]

    4 คุณ กล่าวกลับไปกลับมา อ้างเหตุนั้นเหตุนี้ กล่าวว่า ธรรมของผม พาห่างนิพพานบ้าง กล่าวว่า ธรรมของผมลามก บ้าง
    [ เมื่อชักจูงแล้ว หว่านเหตุผลแล้ว กำกับขอบเขตแล้ว เพื่อให้ช่วยร่วมยก การ ตามเห็น
    (อนุ+ปัสสนา) ทั้ง4กอง อันเป็นเรื่อง สติปัฏฐาน4 แล้วคุณไม่นำพา หมายจะเปิดประ
    เด็นที่ว่า ผมกล่าวโทษเรื่องฌาณ เพื่อขยายแล้วหวังผล ซึ่งก็ไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะ
    ในเรื่องสติปัฏฐาน4 แม้แต่จะวิปัสสนาล้วนๆ สุขวิปัสสโก ยังไงก็ต้องเกิด ฌาณ ก็แปลว่า
    ผมไม่มีทางจะไปตำหนิฌาณ -- ผมจึงบอกว่า ข้อกล่าวหาของคุณทั้งหมดที่พยายาม
    จะยัดเยียดให้ผมนั้น มันลอยๆ -- บอกแล้วก็ไม่ยอมลดละ พยายามยัดเยียดข้อหาให้สำเร็จ

    ผมก็ไม่เห็นประโยชน์อื่น ในการดิ้นรนจะกระทำอย่างนั้น นอกจากปราถนาลามก ต้องการ
    กอบกูชื่อเสียงของตน ในฐานะ อาจารย์ ผมจึงค่อยๆ ลดการเรียกชื่อ อาจารย์ แสดงวาทะ
    ว่าจะลดทอนเกรียติคุณลง คุณก็ยิ่งดิ้นรน แทนที่จะละเกีรยตินั้นเสีย กลับยิ่งห่วงหวง
    เหนียวแน่น แม้บัดดนี้ ก็ยังรำเลิกยกขึ้นมาพูด แม้จะ login กลับไปกลับมาอยู่หลายหน
    จนกระทั่งตัดสินใจเอา เที่ยงคืน เข้ามาโพสอีก เพื่ออะไร เพื่อยืนยันว่าตัวเองถูก

    พออธิบาย อรูปฌาณ ให้ฟัง ก็แสดงอาการไม่ยอมรับผลการปฏิบัติที่ผมพยายามบอก
    มาแต่ต้นว่า สมาธิที่คุณให้ผมทำ มันแค่ 1 สิ่งที่ผมทำได้มันคือ 2 3 ก็กล่าวแบบออมๆ
    เพื่อไม่ให้ดูว่าเป็นการอวดตน แต่คุณวิมุตติก็เห็นว่าผมอวดตน ]

    เอาแค่ 4 ข้อนี้แล้วกัน คุณ นิวรณ์ และ การโต้แย้งธรรมเมื่อมาถึงตอนนี้ คุณ ก็ยังยืนยันว่า แนวทางของคุณ ถูก ซึ่งผมก็บอกแต่แรกมาตลอดว่า มันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
    ท่านวิมุตติ ก็มาบอกว่า มันคือ สับเซต ก็นั่นก็เป็นข้อสรุปที่ดีแล้ว
    ทำไม ยังต้องคิดอะไรมาก
    [ เอาแค่นี้ก่อน คุณก็ตั้งท่าแต่จะเอา จะเอาอะไรครับ ผมมีอะไรให้เอาเหรอ คุณปราถนา
    สิ่งใดจากผมเหรอ ทำไมไม่ปล่อยวางให้สมภูมิธรรมที่พยายามจะบอกผมว่าคุณมี เมื่อตั้ง
    ท่าแต่จะเอาอยู่อย่างนี้ ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเล็งเห็นว่า แม้แต่โสดาบัน ก็ไม่คู่ควร ]

    ทีนี้ ประเด็นที่ผมบอกว่า วิธีการของคุณนั้นเข้าข่ายสมถะ ก็เพราะว่า คุณพยายามจะเลิกการพิจารณาทิ้งไป คุณบอกว่า ดูอย่างเดียว ซึ่งผมก็บอกว่า ถ้าเช่นนั้นแหละ นั่นแหละคือ สมถะ
    เพราะคุณว่า ดูอย่างเดียวมันก็รู้ได้ ซึ่งคุณกล่าวเองว่า มันคือ อนุสสติ ซึ่ง อนุสสตินี้แหละคือ สมถะกองหนึ่ง
    [ ก็ขอให้กลับไปอ่าน ภาษาบาลี ให้ดี คำว่า อนุปัสสนา หรือ ตามรู้ ตามเห็น นั้นมันแตก
    ต่างจาก อนุสติ กองอื่นอย่างไร สมถะนั้นทำแล้วทำให้เกิดความสงบใช่ไหม ถ้าใช่คุณ
    ก็อย่ากล่าวหาว่าผมฝุ้งซ่าน ติดวิปัสสนู เพราะถ้ามันเป็นสมถะ มันต้องให้ความสงบ แต่
    ถ้าการตามรู้ของผมเป็นวิปัสสนา ก็สมควรหรือเปล่าที่ จิตมันเป็นอย่างไรก็ตามดูไปอย่าง
    นั้น จะฝุ้งซ่าน หรือ สงบ ก็ตามเห็นไปตามนั้น ถ้าเห็นมุมนี้ ก็อย่ามายกคำว่าฝุ้งธรรม
    ติดวิปัสสนูกิเลสให้ผม เพราะมันขัดกันในทางปฏิบัติอยู่แล้ว --- ตรงนี้ เลยทำให้รู้ว่า
    คุณตามเห็นไม่เป็น ทำวิปัสสนาเพื่อเจริญสติอีกชนิดไม่เป็น เรียกทั่วไปว่า ไม่ตื่น ]

    คุณ นิวรณ์ คุณต้องลืมเรื่องราวทั้งหมดไป แล้วเริ่มเปิดมโนวิญญาณใหม่ ทิ้งความยุ่งเหยิง ทิ้งสัญญา อารมณ์ทั้งหมดไป แล้วตั้งสติและสมาธิใหม่ แล้วเริ่มปฏิบัติไปในแนวทางของคุณต่อไป ด้วยการเจริญปฏิบัติ แต่ไม่ใช่เจริญด้วยการหาหลัก หาเกณฑ์ และ ยึดอยู่ในแนวทางเดิมๆ คุณต้องเตือนตนว่า หากกิเลสและความสับสนของเรา ยังมีซึ่งคุณจะต้องคอยมอง และระลึกรู้มันตอนที่ มันเซ ไม่ใช่ลืมตอนเซ แต่ไปจำตอนเดินดี มันจะไปมีประโยชน์อะไร จะต้องจดจำตอนเราเผลอสติ ระลึกขึ้นได้ภายหลังและทบทวน และพร้อมที่จะละมัน
    ป้องกัน ไม่ให้มันเกิดครั้งต่อไป
    [ คุณนั้นแหละ ต้องลืมเรื่องปฏิบัติของคุณไปก่อน แล้วลองฟังธรรมะของพระท่านดูสัก
    ครั้ง ไม่ต้องมาฟังจากผม ไม่ต้องมาเถียงกับผม เพราะมันไม่มีประโยชน์ จะมาทะเลาะ
    กับปุถุชนที่กำลังปฏิบัติไปทำไม เอาศรัทธานำเสีย แล้วไปฟังพระท่านดูก่อน แล้วจะแยก
    ออกว่า การเผิกสัญญาในแบบสมถะ กับการเผิกสัญญาแบบวิปัสสนาเพื่อเห็นวิญญาณ มี
    ความแตกต่างอย่างไร อันไหนทำแล้วได้อรูปฌาณ อันไหนทำแล้วได้เห็นทุกขสัจจตามความเป็นจริง -- แล้วจริงๆ การเพิกวิญญาณก็ยังไม่พอ การเผิกแบบสมถะ หรือ วิปัสสนา
    ทางไหนกันแน่ที่ทำให้เห็นได้ลึกกว่า *** อย่าลืมนะ ว่าวิปัสสนานั้นทำแล้วได้ฌาณในตัว
    ด้วย -- ตรงนี้หากสงสัยว่าจริงไม่จริง ก็กลับไปอ่าน เคล็ดลับการดูจิตโดยหลวงตามหาบัว
    ในห้องอภิญญาเอาเอง ไม่ได้เอามาแปะแล้ว เพราะเดี๋ยวลบก็จะมาว่าเราอีก ]

    นี่คือหลักการง่ายๆ เพียงแค่เสริมจากที่คุณมีเท่านั้น
    [ สิ่งง่ายๆ ทีคุณต้องทำคือ หยุดเถียงกับผม แล้วไป นมสิการธรรมจากสงฆ์แทน ]

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปัญหา คือ คุณมักจะมองว่า วิธีของการของคุณถูกแน่นอน แต่อาจจะสื่อผิดพลาดกัน แบบนี้คุณ ก็ต้องไปมองตัวเองแล้วว่าทำไมถึงสื่อออกไปผิดพลาด ไม่ใช่มองว่าผมไม่เข้าใจ

    แต่ทีนี้ มันมีจุด ที่เห็นอยู่ว่า คุณปฏิบัติไม่ก้าวหน้า คือ

    1 คุณอยู่ที่เดิม และ แสดงอาการพอใจ ในหนทางของตนเองว่า นี่ดีที่สุด นี้ถูกที่สุด
    [ พูดไปหลายหนแล้วว่า สิ่งที่แสดงในเว็บส่วนใหญ่เป็นเรื่องการชักชวนเพื่อน
    เข้าหาแหล่งธรรม โดยถือเอาเป็นหน้าที่ ส่วนเรื่องปฏิบัตินั้นมันเป็นเรื่องที่อยู่
    เบื้องหลังต่างหาก ไม่ใช่อันเดียวกัน ภาพเดียวกัน อุปมาคนมาที่ทำงานก็มี
    รูปแบบอย่างหนึ่ง พอกลับบ้านก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง -- ซึ่งถ้าหักสังเกตเอาเสีย
    บ้าง หักไปดูในกระทู้ห้องอื่นบ้าง จะเห็นว่า ผมนั้นเล่นสมาธิแบบแปลกๆ อยู่
    หลายอย่าง ]

    2 คุณ ยังคลุมเครือ เพราะยังมองสิ่งที่ผมพูดไม่เห็น เพราะถ้าเห็นเป็นธรรมแล้วจะเข้าใจ มากกว่า จะแย้ง หรือ ยืนยันในหลักการเดิมของตน นั่นแสดงว่า คุณกำลังโดนกิเลสปิด
    [ ผมนะเห็นทางของผม แต่คุณต่างหากที่ไม่รู้เรื่องเอาเลยว่าผมปฏิบัติอย่าง
    ไรอยู่กันแน่ ตามรู้ตามดูอยู่อย่างเดียวเหรอ ( นั้นมันเป็นความคิดของคุณที่
    สรุปเอาเอง ) -- ดังนั้น การตั้งข้อกล่าวหาว่า ผมปฏิบัติอยู่ทางเดียว นี่ก็
    เห็นทันทีว่า กล่าวหามั่วๆ เพราะผมย่อมรู้ตัวผมว่า ทำอะไรอยู่บ้าง ทำสมถะกอง
    ไหนในโอกาสไหนบ้าง ก็ทำมันทั้ง 40 กองนั้นแหละ ]

    3 คุณ ปฏิเสธ ธรรมที่เป็นส่วนสนับสนุน โดยนัยยะของคำพูด
    [ นั้นคุณมั่วเอาเอง ก็อย่างที่ว่า คุณกว่าหาว่าผมตำหนิฌาณ จะมีนักปฏิบัติ
    ที่ไหนตำหนิฌาณ ไม่ว่าจะ สมถะยานิก หรือ วิปัสสนายานิก ทำแล้วก็ต้องมี
    ฌาณประกอบทั้งนั้น แล้วใครจะบ้าไปตำหนิสิ่งที่ต้องเกิด ข้อหานี้จึงตั้งมั่วๆ]

    4 คุณ รับไม่ได้ ว่าคุณพูดผิด เพราะคุณ สอนคนอื่นมามาก
    [ คุณต่างหากที่ไม่ยอมรับว่าตั้งข้อกล่าวหาผิด ผมสอนคนอื่นไว้มากหาก
    ตามดูจริง ดูครบทุกห้อง ทุกกระทู้ ย่อมเห็นว่า ผมทำไปทั้งการสอน
    สมถะ และ วิปัสสนา ไม่ได้สอนอะไรทางเดียวอย่างที่ตั้งข้อกล่าวหา
    เอาเองไม่เลิก ]

    ลืมทั้งหมดไปเถอะ มันไม่มีประโยชน์หรอก ไปปฏิบัติต่อเถิด แต่ อย่าทิ้ง การพิจารณา ไม่ใช่ดูเฉยๆ การที่พระท่านบอกให้ดูเฉยๆ เพราะเป็นการ ไม่ให้เอาสัญญาไปแทรก เพราะบุคคล มักสงสัย และ มีกิเลสมาก ท่านจึงแนะให้คุณ ดูเฉยๆ อย่าไปแทรกไปปรุง
    ให้ มันนิ่งเสียก่อน ก็พอคุณ ปฏิบัตแล้วมันดี ก็เพราะว่า ธรรมดาแล้วคุณมีนิวรณ์เยอะ มันก็ทุกข์ ภายหลังพอนิวรณ์สงบตัวลง มันก็นิ่งได้ ก็เกิดศรัทธามาก

    ผมแนะนำ เลิกปรุง ปิดใจ แล้ว ให้ทั้งหมดเป็นเพียงกิริยาที่ไหวไป เอาเท่านั้นพอ วางได้
    ทวนหาวิญญาณ ให้เจอ ว่า ตัวรู้ ตัวเข้าใจ นั้นมันมีลักษณะอย่างไร

    คนมีปัญญามาก อุทธัจจะมาก วิจิกิจฉามาก พระท่านก็สอนถูกแล้ว ไม่ให้แทรก
    แต่ที่ไหนได้ ดันยึดอีก สอนเท่านั้นไม่ให้พอเท่านั้น แต่ให้พิจารณาให้มากขึ้น

    ผมอ่านธรรมของหลวงพ่อปราโมทย์บางส่วนแล้วนะ ท่านสอนได้ตรงทางแน่ ท่านมีปัญญา มาก มีบารมีมาก คุณอ่านหนังสือของหลวงพ่อ ให้หลายๆ รอบ
    เอาให้เจอที่ว่า ใช้แต่ปัญญา ไม่ใช้สมาธิ ก็โง่ เพราะ พระพุทธองค์บอกให้ระวังไม่ใช่บอกให้เลิก
    [ ก็ไปกลืนคำตัวเองเสีย ที่เห็นว่า ดูเฉยๆ คือ สมถะ -- พูดไปพูดมา กลับ
    คิดว่า ผมเอาแต่ปัญญา -- นี่มันมั่ว ไหนว่า ผมดูเฉยๆ แล้วได้สมถะ แล้ว
    นี่อะไรมาด่าว่าผมเอาแต่ปัญญา ]

    ผมอาจจะไม่อยู่ คุยด้วยพักนี้ ก็เอาไปพิจารณาแล้วกัน ให้ถือโอกาสนี้ สางสัญญา และสังขาร ที่ค้างดองในจิตใจ ในเรื่องที่ผ่านมา ให้ลบไป แล้วก็ดูให้มาก

    นิพพาน คือ วิญญาณดับ แม้ดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ แต่ให้ดับที่ใจ คือ มโนวิญญาณ ดับแต่ละเรื่องให้เหลือน้อยที่สุด มันจะค่อย มีเรื่องราวลดไป จนกลายเป็น ว่างไปทั้งหมด

    [ วิญญาณ หรือ ใจ ก็ยังตื้นไป ไปอ่านธรรมะของหลวงพ่อใหม่เถอะครับ ]

    [ อ้อ แล้วข้อซื้อเลยนะครับว่า นิพพาน คือ วิญญาณดับ นี่ อย่าเอาไปพูดที่ไหน มโนวิญญาณดับนั้นก็ด้วย ไปอ่านใหม่เถอะครับ

    แต่อย่าอ่านเลย ไปหาหลวงพ่อให้สิ้นเรื่องสิ้นราวดีกว่า ว่าอย่างไรกันแน่ ]

    [ แล้วก็อย่าเอาแต่อ่านหนังสือ อ่านจากการปฏิบัติเสียดีกว่า อ่านไม่ออกก็เอาตัวนะไปให้พระอ่านให้

    พระท่านจะชี้ให้อ่านตัวเองได้อย่างดีทีเดียว ชี้ทีเดียว ก็ตื่น แล้ว ไม่ต้องลูบๆคลำๆ พิจารณาด้วยการคิดเอาอยู่แบบนี้ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  12. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ผมคิดว่าอย่างนี้ ขอคุณขันธ์ และท่านทั้งหลายชี้แนะ
    "สูญตา"
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไปไกล ซะโน่น ฟุ้งไปมาก
    log in กลับไปกลับมา นี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการพิจารณาธรรมเลย
    เพราะเวลาคนไปทำอะไรอย่างอื่น เขาก็ปิดไป จะให้แช่อะไรอยู่เล่า
    แล้ว เรื่องการกอบกู้ชื่อเสียง นี้ก็ไปไกลมาก อะไรของคุณ
    คนดิ้นรน เห็นทีจะไม่ใช่ผม

    นี่ ขนาดพูดธรรมอันเป็น ขันธ์ 5 ให้ดูยังบอกว่า ตื้นไป ผมคิดว่าผมไม่ได้อยากอวดให้มันลึกนะ แต่ผมต้องการพูดให้คนอื่นเขาฟัง ให้ดูตรงไหน คุณนี่ ท่าทางจะมีอัตตามานะมาก คุณจึงเปรียบเทียบ ไปเรื่อยๆ ว่า แบบนั้นตื้นเกิน แบบนี้ไม่ดี แบบนี้ดี


    สรุปอีกทีสั้นๆ แล้วผมขี้เกียจคุยด้วยแล้ว เพราะประเภทเดียวกับ ธรรมภูติ คือ ดิ้นไปทางนั้นทางนี้ แล้วกลับบอกว่า ตนเองมีสมาธิ มีสติ ยกประเด็นมาให้ดูเป็นข้อๆ ก็กลับแสดงความย้อนกลับมาที่คนตั้งประเด็น อันเป็นลักษณะของการปกป้องตนเอง ด้วยการโจมตีฝ่ายตรงข้าม ก็ ทั้งหมดคือ

    โจรทำผิด ตำรวจตั้งข้อหา แล้ว หากโจรยังทำแบบเดิม ตำรวจตั้งข้อหาอีก แล้วจะบอกว่า ตำรวจยัดเยียดข้อหาหรือ ครั้นสุดท้ายโจรกลับไปทำลายหลักฐานทั้งหมด
    ด่าตำรวจต่างๆ นาๆ ว่า ไม่เหมาะสมกับความเป็นอาจารย์บ้าง หวงแหนชื่อเสียงบ้าง
    แล้วยังจะแก้ต่าง ว่าที่ทำไปเพราะเช่นนั้นเช่นนี้ ผมอยากให้คุณดูปัจจุบัน
    ไอ้ที่ คำว่า วิญญาณ ที่คุณบอกว่า ตื้นนั้น คุณเห็นหรือยังในสิ่งที่ผมพูด

    เรื่องผมจะไปหาหลวงพ่อ นั้น ถ้ามีโอกาส จะไปกราบท่าน แต่ถ้าไม่มีโอกาสก็คงไม่ไป เพราะไม่รู้จะไปทำไม ผมไม่ได้มีความร้อนที่จะต้องไปขอธรรมใคร ก็ธรรมอยู่กับตัวจะต้องไปขอใครอีก มีแต่จะให้คนอื่น
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คำว่า สุญญตา คือ ความว่าง จะเกิดกับใจ เมื่อ สมมติดับไป เมื่อสมมติดับไป มิติอะไรต่างๆ ที่เคยสัมพัทธ์กัน ก็หายไป ทั้งรูป ทั้งนาม

    ถ้าเป็นทางรูป นามที่ปรากฎกับใจ ใจดวงนี้ที่เคยมีเรื่องราวต่างๆ อยู่ เช่น มีเรื่องผัว เรื่องลูก เรื่องพ่อ เรื่องแม่ การงาน สิ่งเหล่านี้ หมดไป ดับไป เพราะว่า เห็นถึงความไม่จีรังของเรื่องราวเหล่านี้ ประโยชน์อะไรที่จะเอาเข้ามาไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อสิ่งเหล่านี้ดับไป ก็จะกลายเป็น ใจบริสุทธิ์ ที่มีที่ว่าง ให้อะไรก็ตาม บรรจุเข้ามาได้อย่่างไม่ปนเป ตรงนี้จะดับได้น้อยมาก ขึ้นอยู่กับเราสังเกตุ ได้ละเอียดน้อยมาก สุดท้ายแล้ว ดับไปทั้งหมดนั้นแหละ สุญญตา


    นี้เรียกว่า สุญญตา ข้อหนึ่ง
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    จำประเด็นคือ ไปตีความหมายผิดกัน จากการใช้คำพิม หรือเปล่า..
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ๋อ ติต่างตัวเองเป็นตำรวจ

    แล้วไงครับ ผมก็โดนจับแล้วไง ตอนนี้กำลัง แก้ต่างในชั้นศาล

    เข้าออกคุก ไปเรื่อยๆ เพราะคดีไม่จบ ศาลไม่ได้ตัดสิน

    รึ ว่า คุณจะเอิดตัวขึ้นเป็น ศาลอีก

    ผมบอกว่า ศาลนะท่านเป็นพระ รออยู่ แต่ตำรวจบอกว่าผมจับไม่ผิดตัว !!? ยังไม่ตื่น

    ประมาทที่จะไปหาพระ คนที่เป็นอสเขะบุคคลเท่านั้นที่จะไปหาพระเพราะมีธุระ

    ถ้ายังเป็น เสขะบุคคลแล้ว เห็นธรรมะของพระไม่ได้ผิดแล้ว ก็ไปถามพระท่านบ้าง
    จะมีแต่ได้ไม่มีเสีย

    * * * *

    แล้วอย่าลืมมาไขกุญแจเอาผมออกจากคุกด้วย

    [MUSIC]http://members.tripod.com/~HOTC16/bevcop.mid[/MUSIC]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2009
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ส่งไปให้ท่านเปา โดยด่วน
    นักปฏิบัติธรรม ต้องเข้าถึงธรรมเท่านั้น จึงจะนับว่าจริงแท้
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อนุโมทนา สาธุ เจ้าค่ะ
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ใช่แล้วครับ ...หากยังศึกษาอยู่ ก้ต้องไปขึ้นศาลกันมั่ง จะไปรอดูคำพิพากษา
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    พุทธะ -------- ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    -------- มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ มีปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...