เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    ท่านนิวรณ์ มาดูอะไรนี่....

     
  2. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ผมลองไปอ่านหนังสือ
    ของหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านดู

    จึงทำให้พอจะเข้าใจความคิดของ อ.ขันธ์ และ คุณนิวรณ์

    ความเป็นจริงไม่มีท่านใดกล่าวผิดจากความจริง
    แต่สำคัญในจุดหรือระดับของผู้ปฏิบัติที่แตกต่างกัน

    หลวงพ่อปราโมทย์ท่านกล่าวว่า
    ท่านฝึกสมาธิมาเป็นสิบปี แสดงว่าท่านมีพื้นฐานสมาธิมาอย่างดี
    แล้วท่านถึงรู้จักวิธีดูจิตจาก หลวงปู่ดูลย์

    และจากการปฏิบัติ
    การที่จะดูจิตได้
    ต่อเกิดสติธรรมเสียก่อน
    การจะมีสติธรรม ต้องมีพื้นฐานสมาธิในระดับหนึ่ง

    เพราะฉนั้นการจะดูจิตตามวิธีของหลวงพ่อปราโมทย์ได้ต้องมีพื้นฐานสมาธิระดับหนึ่ง
    สามารถแยกกายออกจากจิต ได้ในความรู้สึก
    เมื่อแยกกายได้แล้ว ก็ดูจิตได้เลย

    ทีนี้มาดูความคิดเห็นของ อ.ขันธ์
    แกพูดถึงเรื่องทวนกระแส
    คือทวนกระแสความคิดไม่ให้คิด
    แล้วแกมักใช้คำว่า ย่นย่อ หรือ แตกออก
    คือ ตัดความคิดของเราให้เร็วที่สุด
    แล้วแกใช้ วิญญาณ บ่อย ๆ
    คือ ให้เกิดความรู้แก่จิตแล้วดับไป
    ไม่มีความคิดความปรุง หรือความรู้ในสิ่งใด แตกออกไป

    สรุป ความคิดอาจารย์ขันธ์ คือ ทวนกระแสเข้าหาจิต
    และในทางปฏิบัติ อาจใช้ สมถะ ก็ได้
    หรือใช้ วิปัสสนาแบบ อ.ขันธ์ ก็ได้

    ดังนั้นวิธีการของ อ.ขันธ์ ก็คือดูจิตเหมือนกัน
    แต่ดูจิตในขณะที่กิเลสมีกำลัง
    จึงต้องใช้วิธีการทวนกระแส คือ วิปัสสนา เป็นตัวนำ
    สุดท้ายก็เข้าไปหาจิต เมื่อธรรมย่นย่อ หรือ ไม่แตกออก ได้เท่าไหร่
    ก็เข้าหาจิตได้เท่านั้น
    เมื่อถึงจิตก็เห็นความเป็นจริง ของขันธ์ 5 ได้ชัดเจน
    เมื่อวางขันธ์ 5 ได้ ก็ถึงธรรมเมื่อนั้น

    ส่วนวิธีของ หลวงพ่อปราโมทย์
    ท่านดูจิตในขณะที่กิเลสอ่อนกำลังลงแล้ว ด้วยอำนาจสมถะ คือทำให้มีสมาธิ
    ใช้สมถะเป็นตัวนำก่อน
    เมื่อมีสมาธิ ก็ไม่มีกระแสกิเลสมารวบกวน
    ก็ไม่ต้องใช้การทวนกระแส เพราะอำนาจ สมถะข่มไว้
    ก็เข้าพิจารณาดูจิตได้ทันที สามารถเข้าหาจิตได้โดยง่ายไม่ต้องทวนกระแสให้ยาก
    เมื่อถึงจิตก็เห็นความเป็นจริง ของขันธ์ 5 ได้ชัดเจน
    เมื่อวางขันธ์ 5 ได้ ก็ถึงธรรมเมื่อนั้น

    ผลที่ได้จึงไม่ต่างกัน
    แต่วิธีการเข้าถึงจิตเท่านั้นที่ต่างกัน
     
  3. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไปอ่านให้ครบนะ ว่า นิโรธน ที่พูดนะ เป็น นิโรธนประเภทไหน อ่านวิสุทธิมรรคก็ดี
    แล้ว แต่อย่าอ่านมาก ควรปฏิบัติไปก่อน แล้วเข้าไปอ่าน แล้วจะเข้าใจ จะแยก
    รสชาติออกเองว่า เอ....ทำไมนิโรธนมีหลายประเภท
    <!-- / message -->
     
  5. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    แล้วนิโธรมีกี่ประเภทละครับ ช่วยเล่าจากประสบการณ์ให้ฟังหน่อยครับ
    เพื่อเป็นธรรมทาน
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้วประโยคไหนหละครับ ที่ผมยกขึ้นว่า กุศลกรรมบท 10 ไม่ต้องทำต่อ

    ผมเพียงแต่ยกว่า มันเป็นหลักสูตรเบื้องต้น เมื่อทำแล้วรู้แล้วก็ทำไป ซึ่ง
    จะต้องไปสอนกันอีกไหม ไปทึกทักกันอีกไหมว่า ทำหรือเปล่า

    มนุษย์นั้นเป็นภูมิของคนมีจิตใจสูง เมื่อได้สดับกุศลกรรมบท 10 แล้ว ย่อม
    ดำเนินต่อไปเอง ไม่มีใครเขาทำๆ ละๆ อย่างที่คุณทึกทักว่าคนนู้น คนนี้ไม่
    ได้ทำ

    อยู่ดีๆ ก็ยกธรรมะแรกๆ เอามาแสดงในกระทู้ ซึ่งผู้ภาวนาเป็น(พร้อมทั้งเป็นผู้
    ปฏิบัติธรรมในเบื้องหลัง) เขาก็จะกล่าวย่นย่อละเลยการพูดธรรมบทแรกๆ เพราะ
    มุ่งหวังสื่อสารกันในสภาวะธรรม หรือ ประสบการณ์ที่ได้จากการภาวนา(เลยเรื่อง
    การทำบุญ ทำทาน แผ่เมตตา มีเจโตวิมุตติปรากฏอยู่เนืองๆ) เพื่อแลกเปลี่ยนกัน

    แต่คนคุยธรรมะไม่เป็น ก็มักจะอาศัยจังหวะ หยิบธรรมะบทง่ายๆ เข้ามาแทรก พอ
    เห็นว่าคนอื่นไม่สนใจ ก็ดีอกดีใจ กูได้ข้อผิดของพวกแกละ

    นี่ไง นี่ไง เจ้าข้าเอ้ย อกอีแป้นจะแตกแล้วเอ้ย พวกปฏิบัติธรรมพวกนี้ละเลยการ
    พูดถึง(เคารพ)กุศลกรรมบท 10
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    (๒๑๕) นิโรธ ๕ (ความดับกิเลส, ภาวะไร้กิเลสและไม่มีทุกข์เกิดขึ้น — extinction; cessation of defilements)
    ๑. วิกขัมภนนิโรธ (ดับด้วยข่มไว้ คือ การดับกิเลสของท่านผู้บำเพ็ญฌาน ถึงปฐมฌาน ย่อมข่มนิวรณ์ไว้ได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น — extinction by suppression)
    ๒. ตทังคนิโรธ (ดับด้วยองค์นั้นๆ คือ ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับหรือธรรมที่ตรงข้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิด้วยความรู้ที่กำหนดแยกนามรูปออกได้ เป็นการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ — extinction by substitution of opposites)
    ๓. สมุจเฉทนิโรธ (ดับด้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ด้วยโลกุตตรมรรค ในขณะแห่งมรรคนั้น ชื่อสมุจเฉทนิโรธ — extinction by cutting off or destruction)
    ๔. ปฏิปัสสัทธินิโรธ (ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรคดับกิเลสเด็ดขาดไปแล้ว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็นอันสงบระงับไปหมดแล้ว ไม่ต้องขวนขวายเพื่อดับอีก ในขณะแห่งผลนั้นชื่อ ปฏิปัสสัทธินิโรธ — extinction by tranquillization)
    ๕. นิสสรณนิโรธ (ดับด้วยสลัดออกได้ หรือดับด้วยปลอดโปร่งไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นแล้ว ดำรงอยู่ในภาวะที่กิเลสดับแล้วนั้นยั่งยืนตลอดไป ภาวะนั้นชื่อนิสสรณนิโรธ ได้แก่อมตธาตุ คือ นิพพาน — extinction by escape; extinction by getting freed) ปหาน ๕ (การละกิเลส — abandonment), วิมุตติ ๕ (ความหลุดพ้น — deliverance), วิเวก ๕ (ความสงัด, ความปลีกออก — seclusion), วิราคะ ๕ (ความคลายกำหนัด, ความสำรอกออกได้ — detachment; dispassionateness), โวสสัคคะ ๕ (ความสละ, ความปล่อย — relinquishing) ก็อย่างเดียวกันนี้ทั้งหมด
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2009
  9. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ไม่รู้จะพูดอะไร "ดีโรธ" [​IMG]
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สำหรับ คุณ เกสท์ ที่กล่าวมา ดีแล้วที่วิเคราะห์มาเช่นนั้น แต่ยังไม่ถูกหรอก
    ในสมัยพุทธกาล ไม่มีหรอกว่า ดูจิต นี้จะต้องดูเฉยๆ เขาทำการไปหลายๆ อย่าง ทั้ง กาย เวทนา จิต ธรรม

    โดยเฉพาะ ข้อธรรม นี้ จะเกิดขึ้นประจักษ์ใจได้ ก็ต่อเมื่อได้พิจารณา

    ส่วน คุณนิวรณ์

    อย่ายกเอาคำแบบนี้มาส่งเดช ถ้าคุณยังไม่รู้นัยยะดีพอ คุณควรจะยอมรับความจริงเป็นข้อๆ ก่อน เช่น ประเด็นคืออะไร ผมกำลังพูดอะไร และจริงหรือไม่ ที่่กล่าวเช่นนั้น ไม่ใช่ แถไปเรื่อยๆ

    ผมจะยกประเด็นมาให้ดูอีกครั้ง

    "นิวรณ์ยังยึดติด ว่า การดูจิตนั้นไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แต่ นายขันธ์ บอกให้ทวนกระแส หรือ พิจารณา ลด ละ เลิกกิเลส"

    แล้วก็คุมให้อยู่ในประเด็นนี้เพราะตลอดเวลา นิวรณ์ เปลี่ยนประเด็นไป บ้างก็ว่า ไม่ต่างกัน บ้างก็ พูดเป็นนัย ว่าไม่ควรพิจารณา บ้างก็อ้างพระ ต่างๆนาๆ ไปเรื่อยๆ


    ผมจะพูดให้ฟังอีกครั้ง

    การดูจิตที่ว่าไม่ต้องไปทำอะไรกับมันนั้น จุดประสงค์จริงๆ คือ การเจริญสติ ( แยกองค์ธรรมให้ออกนะ ตรงนี้ ตั้งใจอ่านดีๆ ) การเจริญสตินี้ ให้คอยระลึกรู้ว่า กิน เดิน ยืน นั่ง นอน

    ชอบ หรือ ไม่ชอบ อารมณ์ ดีหรือไม่ดี ซึ่ง รวมความว่า เป็นมหาสติปัฎฐาน 4 คือ พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ว่ามีอะไรเกิด มีอะไรดับ

    แต่ทีนี้ การที่บอกว่า ให้ดูเฉยๆ นี้จะเป็น ขั้นแรก คือ ไม่ให้กระบวนการของสัญญา สังขาร เข้ามาปรุง เพื่อให้เห็นการเกิดดับ ตามความเป็นจริง ว่า กายเคลื่อนไป ใจเคลื่อนไป ก็ให้รับรู้ถึงสิ่งนั้น นี่คือขั้นแรก และ คนมักจะติดว่า อาจารย์บอกว่าอย่าไปปรุงต่อ ก็ให้ดำเนินเพียงเท่านี้

    ทีนี้ จิตเมื่อหดสั้นและรวมตัวเข้ามา ก็อาจจะพบกับ ความบริสุทธิ์ บางส่วนอันเป็นทัสนะขึ้นมาก็ หลงว่า นี้แหละ คือทาง นี้แหละคือวิปัสสนาญาณที่แท้จริง ผมอ่านแล้วก็นึกในใจว่า

    นี่สิ่งเหล่านี้ ผมเป็นมาก่อนตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว ไ่ม่ต้องบอกว่าทำอย่างไรก็รู้หมดแล้ว แต่ว่ามันยังขาดอะไรไป นั้นแหละคือประเด็นที่ผมมาพูด

    ก็ว่า เมื่อ ปฏิบัติเจริญ สติ เวลาเจริญสติ ก็คอยดู ไม่ต้องไปทำอะไรแทรกก็ถูกแล้ว แต่ในวิถีชีวิตประจำวัน เมื่อเจอกับกิเลส ต้องฝืน เพราะว่า หากไม่ฝืน แล้วบอกว่า ดูเฉยๆ มันดับไปหมดได้ มันก็เข้าถึง พระอรหันต์ได้ทันทีนะสิ นี่ก็พูดแบบนี้ให้พิจารณาว่า ต้องหาอุบายพิจารณา ว่ากิเลสเกิดมาอย่างไร แล้วจึงจะประจักษ์ ใจ อันเป็น ธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐานเกิดขึ้น

    ครานี้แหละ เมื่อมหาสติปัฎฐานเริ่มพัฒนาแล้ว เราก็จะค่อยๆ เพิกการมอง คือ ไม่ต้องไปมอง ถี่่ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ คอยมองตัว ทุกข์ แล้ว ค่อยๆ เพีี้ยร แล้ว เจริญวิปัสสนา ว่า อะไรคือ สมุทัย พิจารณาให้ธรรมประจักษ์ขึ้น ถึง สมุทัยนั้น แล้วมันจะดับไป

    ก็ปัญหายังมีอีกว่า แล้ว นายนิวรณ์ นี้ สงสัยเป็นพระอรหันต์ บอกว่า ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร มันจะดับไปเอง ผมก็ย้อนถามว่า มันดับไปเองได้หมด มันก็ไม่ต้องมีอาการหลงแล้ว

    ก็เพราะว่า คนยังหลง มันก็ต้อง เดินตามวิถีที่ พระพุทธองค์สอน

    นี่ใครจะเชื่อผมก็ทำไป ใครไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะมันยังโง่อยู่มาก แล้วอวดดี นี่ผมเดินมาจนถึงเท่าไร ก็บอกไปหมดแล้วว่า ผ่านมาแล้ว ยกพระสูตรมาก็ยกมาให้ดู ยกคำสอนพระอริยะมา ก็ยกมาให้ดู มันยังจะบอกว่า ธรรมตื้น ธรรม สาธารณะ ยกไม่ตรงบ้างอะไรบ้าง

    ก็พิจารณาดูแล้วกัน
     
  11. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +23,196
    คำนี้คุ้นๆ เป็นของพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่บอกกล่าวกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง

    ในหนังสือ"ทางเอก" และ "ประทีปส่องธรรม" ระบุไว้ชัดเจนว่า... (ระะวังหน่อยนะ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2009
  12. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    อ.ขันธ์ มองธรรมแค่ไม่แตกออก

    แต่ธรรมนี้แตกออก

    ผมบอกตรง ๆ ธรรมของ อ.ขันธ์ แค่ชั้นสัญญา ยังไม่ใช่ธรรมที่แน่นอน

    ธรรมนี้จะเกิดได้
    ไม่ได้มาจากการพิจารณาอย่างเดียว
    เพราะธรรมเกิดเองได้ จะรู้ได้ด้วยสติ แล้วค่อยน้อมพิจารณาภายหลัง

    อยากสอนธรรมต้องรู้ให้รอบ แม้จะรู้ปริยัติ ก็ต้องให้รอบ

    ภาคปฏิบัติของ อ.ขันธ์ ยังด้อยด้านสมาธินะผมจะบอกให้
    สู้สมาธิ ของ คุณธรรมภูต ไม่ได้
    คุณ ธรรมภูต ดีกว่า อ.ขันธ์เยอะ
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สรุป ง่ายที่สุด ถ้าพวกท่านที่ปฏิบัติ นั่งรู้ดูเฉย นี่ ทุกข์มันเบาบางลงไปหรือไม่

    ถ้าเบาบาง แล้ว มันยังก่อขึ้นมาอีกหรือไม่ ทำกันมาตั้งนาน กี่ปีมาแล้ว โดยเฉพาะนายนิวรณ์ 2 ปีมาแล้ว ทุกข์เบาบางลงไปหรือไม่ สมมติ หายลงไปหรือไม่ นี่ ยังเห็นมันตั้งโด่ อยู่เลย
    ทัสนะก็อยู่เท่าเดิม แย่ไปกว่าเดิมเสียอีก
    สองปีก่อนเป็นอย่างไรหละ พวกดูจิต นะเอย นะเอย นั่น มีอะไรก้าวหน้าขึ้นหรือไม่หละ
    ไม่ก้าวหน้า แล้วยังจะอวดดี

    ไปสำรวจดูว่า มีธรรมอะไรผุดขึ้นกับใจที่มัน ชัดเจนขึ้นบ้าง
    ธรรมนี้เวลาปรากฎ ก็จะชัดเจนดังกับ คนได้ลิ้มรสหวานเอง นี้มีขึ้นมาบ้างไหม
    ไม่จำเป็น ต้องเป็นธรรมชั้นสูงอะไร เอาธรรมง่ายๆ แต่มันประจักษ์ขึ้นกับใจตนให้มันมี ความปีติ ว่า มันมีข้อธรรมเกิดนี้มีบ้างไหม

    ธรรมจากใจตัวเอง ไม่มี มีแต่ไปฟังคนอื่นเขามา แล้วจะอวดตัวมาเถียงธรรม

    มหาสติปัฎฐาน นี้เอาให้ดีกันเสียก่อน แล้วค่อยมาเถียง ในข้อปฏิบัติ

    นี่อะไรถ้าเป็น เด็ก ก็เรียกว่า เพิ่งจะชั้นประถม แล้วอวดรู้กัน พอคนมาพูดแทนทีจะค่อยๆ ฟังพินิจพิจารณา กลับเถียงกราดไป อย่างไม่ลืมหูลืมตา กิเลสพ่นพิษออกมาทั้งนั้น ยังจะนึกว่าตัวเองดีอีก

    ลองไปพิจารณา

    สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ ชี้ มักจะเอ่ยด้วยคำว่า ดูก่อน คือหมายถึงให้ตั้งสติ ให้ดีก่อนแล้วพิจารณาลงไป เพราะกิเลสของคนมักจะทำให้เราหลงว่า ที่คิดคือ ที่รู้ ที่รับรู้ผิด คือ ที่รับรู้ถูก

    นี่ผมจึงชี้ไปให้ เข้าใจในตัววิญญาณ ว่าให้มันรับรู้ให้ตรง เอาตั้งสติให้มั่น แล้วจึงพิจารณา

    ตัว สัญญา คือ หมายรู้ ว่า นั่นคือสีแดง นี้คือสีขาว
    ตัววิญญาณ คือ หมายรู้และเข้าใจที่พิสดาร ยิ่งขึ้น เช่น อ่านตัวหนังสือแล้วเข้าใจ ฟังเขาพูดแล้วเข้าใจเป็นเรื่องราว ว่า หมายถึงอะไร

    ตัวปัญญา คือ เข้าใจลึกซึ้ง กระจ่าง มองไปถึงความจริงทั้งปวงได้

    อย่าให้ 3 อย่างนี้บิดเบือน
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก็แล้วแต่จะเข้าใจ ไ่ม่มีปัญหานี่
     
  15. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ที่บอก อ.ขันธ์
    เพราะปัญญาขั้นสูงขึ้นไป
    ต้องการกำลังสมาธิที่สูงขึ้นไป

    แล้วแต่จะพิจารณานะครับ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ เกสท์ คุณไปเอาธรรมของคุณมาสอนคนอื่นให้ได้เท่าผมก่อน
    แล้วค่อยออกมาพูด เรื่อยเปื่อย เคยตั้งสักกระทู้หนึ่งหรือยัง
    นี่พูดนี่ให้คิดนะ ว่า ตัวเองยังทำตัวไม่ดี จะไปสอนคนอื่นทำไม

    ถ้าพูดข้อธรรม ที่ถกกันอยู่นี้ก็ให้มันอยู่ตรงนี้ นี่เอาอคติ มาบอกว่า ผมสมาธิไม่ดี ไปถึงนั่นได้อย่างไร เกสท์ จะสมาธิดีไม่ดี ไม่สำคัญหรอก สำคัญว่า ตอนนี้ มีสติคุมประเด็นได้หรือไม่
     
  17. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    อยู่ดี ๆ จะให้ผมไปสอนคนนั้นคนนี้
    เดี๋ยวเค้าก็ตะเพิดผมสิ อ.ขันธ์

    อยู่ดี ๆ ไปบังคับให้เค้ามาเป็นลูกศิษย์ มันไม่เหมาะครับ

    ธรรมถึงรู้มากมายขนาดไหน
    ถ้ากิเลสไม่ผลักไม่ดัน
    มีก็เหมือนไม่มี
     
  18. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    ท่าทางท่านจะแถเก่ง
    ผมจะจี้ตรงประเด็นเลยคือ
    ท่านนิวรณ์กล่าวว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ กลายเป็นอรูปพรหม
    ผมก็บอกว่า ในวิสุทธิมรรคแจงไว้ว่า ผู้ที่จะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธได้ ต้องพระอนาคามีขึ้นไป
    นั่น โลกุตรภูมิแล้วนั่น
    จะเป็นอรูปพรหมไปได้อย่างไร
    ขัดแย้งเห็นๆ จะแถไปไหนอีก...

    ธรรมท่านสัดส่ายไปมา รู้ตัวบ้างไหม มันไม่มีจุดยืน
    ความละเอียดยังคงเดิม
    แต่เป็นไปด้วยความฟุ้งธรรมทั้งนั้น มันไม่นิ่งเลย...
     
  19. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +23,196
    "อารมณ์น้อยสติมาก อารมณ์มากสติน้อย"นี้
    เป็นธรรมระดับสมถะ หรือวิปัสนาครับ กัลยาณธรรมทุกท่าน
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ มีธรรมมาเผื่อแผ่คนอื่น ใครเขาจะไปไล่คุณหละ

    แล้ว คุณไปบังคับคนมาเป็นศิษย์ บนเว็บไซต์ได้ด้วยหรือ

    คุณอย่า แตกประเด็น ด้วยการแสดงวาทะ ส่งเดช ตามนิสัยเด็กๆ เลยเกสท์

    ถ้าจะถกอะไร เอาในข้อประเด็นนี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...