มีราคะ ตัณหา มากๆๆๆๆ พิจารณาอย่างไรจึงจะละได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 13 พฤษภาคม 2009.

  1. AUGUST ENTANEER

    AUGUST ENTANEER สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +13
    คำว่า โยนิโส มนสิการ แปลว่า การพิจารณาโดยแยบคาย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการมี 10 วิธี
    1.
    คิดแบบสาวหาต้นเหตุของเรื่อง
    2.
    คิดแบบแยกส่วนประกอบ คิดทีละเรื่อง ทีละอย่าง
    3.
    คิดแบบรู้เท่าทัน มองโลกอย่างที่เป็นอยู่
    4.
    คิดแบบแก้ปัญหา
    5.
    คิดแบบเชื่อมโยง หลักการ กระบวนการ และเป้าหมาย
    6.
    คิดแบบหาคุณ-โทษ(ข้อดี/ข้อเสีย) และทางแก้
    7.
    คิดแบบหาคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม
    8.
    คิดแบบเตือนใจตัวเองในเรื่องที่ดีเสมอ ๆ
    9.
    คิดแบบอยู่กับปัจจุบัน
    10.
    คิดแบบมองปัญหารอบด้าน หรือที่เรียกว่า ความคิดรวบยอด<o:p></o:p>
    ถ้าจะสรุปใช้ในกรณีที่ต้องการที่จะตัดกามฉันทะ ให้เข้าใจง่ายโดยใช้โยนิโสมนสิการ บวกกับ หิริโอตัปปะ <o:p></o:p>
    ในเบื้องต้นนั้น ให้พิจารณาว่า เมื่อเราสมาทานศีล 5 แล้วได้รับศีลแล้ว การไปติดที่กามฉันทะ คือพอใจในกามนั้นถ้าเกิดกับผู้ที่ไม่ใช่สามีภรรยาของตัวเองนั้น ก็เป็นการทุศีล ให้มีความละลายที่ชั่วที่จะทำและกลัวผลของการทำบาปโดยการทุศีลข้อ 3 เพื่อเป็นการตัดในเบื้องต้น <o:p></o:p>
    ต่อมา ก็ให้พิจารณาตามหลักโยนิโสมนสิการทั้ง 10 แต่คิดให้รวบยอดก็คือ ให้ตั้งมั่น ตั้งปณิธานไว้ ถ้าปรารถนาซึ่งพระนิพพานในภายภาคหน้า ก็อย่าให้กามตันหา ก็เป็นตัวขวางกั้น อย่าให้เกิดกับตัวเอง แม้แต่อยู่กับตัวเองเพียงลำพังก็อย่าให้มันเกิด อย่ามองแค่ตาเนื้อตาหนัง มันเป็นเหมือนแค่ภาพลวงตา ความสวยความงามไม่ได้ตั้งอยู่ ให้ใช้ใจมองพิจารณาถึงความเป็นจริง มันตั้งอยู่ได้ไม่นานมันก็เน่าก็เปื่อยแล้ว เป็นของสกปรกทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า ความสวยความงามของคนเราก็แค่หนังกำพร้า ถ้าลอกมันหนังกำพร้าออกมารวมกันก็เท่ากับเม็ดพุทราเม็ดเดียว แล้วลองใช้ใจมองดูว่า เมื่อไม่มีหนังกำพร้าแล้ว มันก็มีแต่เลือดแต่หนอง ไม่สวยงาม พูดง่ายๆ เมื่อเห็นคนสวย คนหล่อ เมื่อใด หากมีความพอใจจนเกิดความกำหนัด ก็ให้จินตนาการว่าคนสวยคนหล่อนั้น ไม่มีหนังกำพร้าหุ้มอยู่ ดูสิว่าเมื่อเห็นแต่เลือดแต่หนอง ยังจะพอใจอยู่อีกหรือ การพิจารณาโดยแยบคายโดยใช้ปัญญาญาณด้วยสติ เมื่อศีลครบ สมาธิก็มา ปัญญาก็เกิด ช่วงแรกอาจจะหนักหน่อย ลำบากหน่อย เมื่อตันหามันอุบัติขึ้น ก็ขอให้มันเกิดขึ้นแค่ใจ อย่าให้มันลงมาที่กาย ค่อย ๆ ตัดไป อย่าได้หลงปล่อยให้มันหลุดเป็นเด็ดขาด ฆ่ากิเลศตัณหาให้ตาย ฆ่าได้ก็เข้าใกล้พระนิพพานอีกขั้นแล้วครับ <o:p></o:p>
     
  2. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    ปัญญานี้เป็นตัวฟาดฟันกามราคะที่มันมีหนาแน่นในใจ ซึ่งไม่มีอะไรไปแตะต้องมันได้ จึงต้องเอาปัญญาฟาดเข้าไปสู่ ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ให้แตกกระจัดกระจายออกไปเป็นชิ้นนั้นชิ้นนี้ มีแต่ความสกปรกโสมมเต็มเนื้อเต็มตัว ความรักความชอบว่าสวยว่างามมันก็จางไป สุดท้ายความสวยงามไม่มีในกายของคนเรา

    ป่าช้าผีดิบ (ร่างกาย) อยู่ที่นี่หมด นี่ปัญญาก็สอดเข้าไปรู้ ตัณหาราคะจะเบาลง ทีนี้เวลาพิจารณาอสุภะมากเท่าไหร่ราคะตัณหาเบาแทบไม่ปรากฏ บางทีไม่ปรากฏเลย ต้องได้ทดลองดูหลายแบบหลายฉบับ เช่นเราเดินเข้าไปในกลุ่มหญิงสาวๆ สวยๆ นะ ทางด้านสติปัญญาของเรามันจะพิจารณาผ่านอสุภะ หญิงสวยๆ งามๆ จะไม่มีคำว่าสวยว่างาม อสุภะนี่จะตีแตกกระจัดกระจายผ่านเข้าไปในคนๆ นั้น จะไม่มีกำหนัด นี่คือสติปัญญาพิจารณาทางอสุภะซึ่งแก่กล้าสามารถแล้ว อสุภะมันเตะทีเดียวขาดสะบั้นเลย มันเลยหาความสวยความงามจากผู้หญิงสาวสวยไม่ได้ ราคะตัณหาเกิดไม่ได้



    ...หลวงตามหาบัว..
     
  3. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    พ่อแม่ครูจารย์แสดงธรรม
    อสุภกรรมฐาน เป็นธรรมชำระกิเลส...
    มัวเมาหลงผิวหนัง....เข้าใจว่าเป็นสิ่งสวยงาม..ที่แท้หลงกาย..
    พิจารณาให้เห็นเป็นสิ่งตรงข้าม..
    ร่างกายมีแต่สิ่งสกปรก..มีแต่สิ่งปฏิกูล...ผิวหนังปิดหุ้มความจริงอยู่..
    เรา..จึงมัวเมากามกิเลส

    ยึดมั่นถือมั่นในอัตภาพนี้..
     
  4. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    ขออนุโมทนาในความเพียรครับ....ขอให้ทุกท่านมีความสุข
    ---------------------------------------------------
    ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนใครจะเตือนให้ป่วยการ
     
  5. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ขออนุโมทนาเจ้าของกระทู้ในความตั้งใจ
    คิดดี ทำดี ต้องสำเร็จแน่นอน เจตนาในฝ่ายกุศล
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,645
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    พอดีไปอ่านเจอ น่าจะเข้ากับกระทู้นี้ดีครับ อนุโมทนาครับ

    <table width="98%" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td height="1826">ภาพประสาทหลอน

    นักปฏิบัติกรรมฐานในอสุภกรรมฐานนี้ มักจะถูกอารมณ์อย่างหนึ่งที่คอยหลอก
    หลอน
    อยู่เสมอ อารมณ์ที่คอยหลอกหลอนนั้นคือ อารมณ์อุปทาน อารมณ์อุปทานนี้มีความ
    รู้สึกอยู่เสมอว่าจะถูกอสุภคือซากศพนั้นคอยหลอกหลอน การที่ออกไปเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณา
    อสุภก็ดี หรือกำลังที่พิจารณาอสุภอยู่ที่วิหารก็ดีในกาลบางครั้งอารมณ์จะหลอนตนเองว่าเหมือน
    มีภาพซากศพที่พิจารณานั้นบ้าง มีภาพปีศาจจากที่อื่นบ้าง แสดงอาการต่างๆ จะเข้ามาทำร้าย
    ตน บางรายถึงกับตกใจกลายเป็นคนเสียสติไปก็มี ที่เป็นดังนี้ ความจริงซากศพนั้นไม่ได้หลอก
    หลอนผีปีศาจอื่นใดก็มิได้หลอกหลอน ที่เป็นดังนั้นก็อาศัยอุปทาน การยึดถือเดิมที่มีประจำจิตใจ
    คนเรามาแต่อดีตว่า ผีทำร้ายหลอกหลอน
    ถ้าอารมณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านให้ตัดใจว่า นี่เราจะฝึกเพื่อมรรคผลความดีเพื่อพ้น
    จากทุกข์ ซากศพที่ตายแล้วไม่มีวันจะลุกขึ้นมาทำร้ายได้ และปีศาจใดที่จะทำอันตรายแก่
    พระโยคาวจรอย่างเรานี้ก็ไม่มี พระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านได้สำเร็จมรรคผลนับไม่ถ้วนไม่มี
    พระอริยเจ้าแม้แต่องค์เดียวที่ท่านไม่ได้เจริญอสุภกรรมฐานแล้วสำเร็จมรรคผลทุกท่าน
    ต่างก็สำเร็จมรรคผลมาด้วยผ่านการเจริญอสุภกรรมฐานมาแล้วทั้งสิ้น ทุกท่านผ่านมาได้
    ไม่มีอันตรายต่อชีวิตเพราะซากศพหรือปีศาจเลย ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเรานี้ เป็นภาพประสาท
    หลอนเป็นอารมณ์ของอุปทาน ไม่มีอะไรจริงจังแล้วตัดใจปฏิบัติต่อไปด้วยการทรงสมาธิมั่น
    เพียงเท่านี้ภาพหลอนที่เห็นนั้นก็จะอันตรธานหายไปบางรายตัดสินใจด้วยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
    คือจะเห็นภาพหลอกหลอนหรือเกิดอารมณ์กลัวขึ้นมาก็ตาม ท่านตัดสินใจ เชิญเถิดถ้าเราจะ
    ต้องตายเสียในระหว่างปฏิบัติความดีนี้จะตายเมื่อสิ้นลมปราณก็ดีจะตายเพราะถูกปีศาจทำ
    อันตรายก็ดีเราพร้อมที่จะตายเพราะเราไม่ปรารถนาการเกิด และไม่ปรารถนาจะอยู่คู่กับโลก
    ที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเต็มไปด้วยความทุกข์มีแต่ความหลอกหลอนปลิ้นปล้อนหาความจริง
    ที่เป็นเหตุของความสุขไม่ได้ใครต้องการชีวิตก็เชิญเถิดแล้วท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียจะมีเสียง
    มีอาการอะไรปรากฏท่านไม่สนใจเท่านี้ภาพหลอนและอารมณ์กลัวก็จะหายไป ท่านก็กลับได้
    สมาธิตั้งมั่นอย่างคาดไม่ถึง และมีผลทางวิปัสสนาญาณอย่างเลิศท่านที่ตัดสินใจเอาชีวิตเป็น
    เดิมพันนี้ นอกจากจะหมดความกลัวแล้วถ้าทำถูกทางรู้สึกว่าฌานและวิปัสสนาญาณไม่มีอะไร
    ยากสำหรับท่าน ทำได้ดี ได้รับผลรวดเร็วเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจและ
    นำไปปฏิบัติท่านจะได้รับผลสมความตั้งใจ

    ภาพหลอน

    นอกจากอารมณ์หลอนก็ยังมีภาพหลอนอีก ภาพหลอนนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวแต่เป็นภาพ
    ที่น่ารักเป็นภาพคนสวยๆ บ้าง เป็นเทวดาบ้างเป็นภาพปราสาท หรือวิมานบ้างเมื่อปรากฏขึ้น
    ก็สร้างอารมณ์ปลาบปลื้มแก่ท่านที่ได้เห็น ขอเตือนนักปฏิบัติว่าภาพอื่นนอกจากภาพนิมิตที่
    ท่านกำหนดไว้เดิมแล้วท่านอย่าสนใจเป็นอันขาดเพราะจะทำให้จิตซ่านออกจากอารมณ์สมาธิ
    เป็นภาพลวงตาจงรักษาแต่ภาพนิมิตที่กำหนดแล้วเท่านั้น จงทิ้งภาพอื่นเสียเพราะจะทำให้
    สมาธิเสีย

    ความมุ่งหมายในอสุภ

    อสุภกรรมฐานนี้ ท่านสอนไว้ถึง ๑๐ อย่าง ก็ด้วยมีความมุ่งหมายดังต่อไปนี้
    ๑. อุทธุมาตกอสุภ ท่านสอนไว้เพื่อเป็นที่สบายของบุคคลผู้มีความกำหนัดยินดีใน
    ทรวดทรงสัณฐาน เพราะอสุภกรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นเนื้อแท้ของทรวดทรงสัณฐานว่าไม่มี
    สภาพคงที่ในที่สุดก็ต้องอืดพองเหม็นเน่าเป็นสิ่งโสโครกที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าชอบใจอย่างนี้
    ๒. วินีลกอสุภ เป็นที่น่าสบายของบุคคลที่หนักไปในทางมีความใคร่พอใจในผิวพรรณ
    ที่ผุดผ่อง เพราะอสุภกรรมฐานข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ผิวพรรณนั้นไม่สวยจริงในที่สุดก็จะกลาย
    เป็นผิวที่มีสีสันวรรณะ ที่เขียว ขาว แดง เละเทะ เลอะเลือน แปดเปื้อนไปด้วยสิ่งโสโครกที่มี
    อยู่ภายในผิวพรรณที่หุ้มห่อไว้นั้นจะหลั่งไหลออกมาให้กลายเป็นของ น่าเกลียดโสโครก
    ๓. วิปุพพกอสุภ เป็นที่สบายของบุคคลที่มีความยินดีในผิวพรรณที่ปรุงด้วยเครื่องหอม
    เอามาฉาบทาไว้ อสุภนี้แสดงให้เห็นว่าเครื่องหอมที่ฉาบทาประทินผิวไว้นั้นไม่มี ความหมาย
    ในที่สุดก็ต้านทานสิ่งโสโครกที่อยู่ภายในไม่ได้ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ที่มีอยู่ภายในก็จะ
    ทะลักออกมาทับถมเครื่องประทินผิวเหล่านั้นให้หายไป ร่างกายจะเต็มไปด้วยสิ่งโสโครกที่สิง
    อยู่ภายใน
    ๔. วิฉิททกอสุภ เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดีร่างกายที่มีแท่งทึบมีเนื้อ
    ล่ำที่พอกนูนออกมาเป็นเครื่องบำรุงราคะของผู้ที่มักมากในเนื้อแท่งที่กำเริบกรรมฐานนี้แสดง
    ให้เห็นว่าร่างกายนี้มิใช่เป็นแท่งทึบตามที่คิดไว้ ความจริงเป็นโพรงโปร่งอยู่ภายในและเต็ม
    ไปด้วยของโสโครก
    ๕. วิกขายิตกอสุภ กรรมฐานนี้เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดีในเนื้อกล้าม
    บางส่วนของร่างกาย กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่าส่วนของกล้ามเนื้อบางส่วนของร่างกายที่ตน
    ใคร่และปรารถนาอย่างแรงกล้านั้น ในไม่ช้าก็ต้องวิปริตสลายตัวไปและเป็นกล้ามเนื้อที่เต็ม
    ไปด้วยสิ่งโสโครกไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ
    ๖. วิกขิตตกอสุภ อสุภนี้เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดี ในลีลาอิริยาบถ มีการ
    ยกย่างก้าวไป ถอยกลับและการคู้แขนเหยียดแขนของเพศตรงข้าม เรียกว่าเป็นผู้ใคร่ในอิริยาบถ
    พอใจกำหนัดยินดีในในท่อนแห่งกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวนั้นเป็นอารมณ์กรรมฐานข้อนี้แสดงให้
    เห็นว่าอวัยวะต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในอิริยาบถนั้นไม่มีอะไรแน่นอน ไม่สามารถจะรวมกลุ่มกันได้
    ตลอดกาลตลอดสมัย ในที่สุดก็ต้องกระจัดพลัดพรากจากกันไปเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ตามที่
    ปรากฏนี้
    ๗. หตวิขิตตกอสุภ เป็นที่สบายของผู้ที่มีความกำหนัดยินดีในข้อต่อ คือร่างกายที่มี
    อาการ ๓๒ ครบถ้วนคนประเภทนี้รักไม่เลือกถ้าเห็นว่าเป็นคนที่มีอวัยวะไม่บกพร่องแล้วเป็น
    รักได้กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่า การติดต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้ ไม่จีรังยั่งยืน ในไม่ช้าก็
    จะต้องพลัดพรากจากกันตามกฎของธรรมดา
    ๘. โลหิตกอสุภ เป็นที่สบายของคนรักความงามของร่างกายที่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับ
    คือเป็นคนที่บูชาเครื่องอาภรณ์มากกว่าเนื้อแท้ กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่าอาภรณ์นั้นไม่สามารถ
    จะรักษาแท่งทึบของก้อนเนื้อที่รับรองเครื่องประดับไว้ได้ในไม่ช้าสิ่งโสโครกภายในก็จะหลั่งไหล
    ออกมาเครื่องประดับที่เป็นเครื่องเจริญตามิได้มีอำนาจต้านทานกฎธรรมดาไว้ได้เลย
    ๙. ปุฬุวกอสุภ เป็นที่สบายของคนที่ยึดถือว่าร่างกายนี้เป็นของเรา แต่กรรมฐานนี้แสดง
    ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้เป็นสาธารณะแก่หมู่หนอนที่กำลังกินอยู่ ถ้าร่างกายเป็นของ
    เราจริง เจ้าของร่างคงไม่ปล่อยให้หนอนกัดกินเป็นอาหารได้
    ๑๐. อัฎฐิกอสุภ เป็นที่สบายของผู้มีความกำหนัดยินดีในฟันที่ราบเรียบขาวเป็นเงางาม
    กรรมฐานนี้แสดงให้เห็นว่า กระดูกฟันนี้ก็ต้องหลุดถอนเป็นธรรมดาไม่คงสภาพสวยสดงดงาม
    ให้ชมอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัยได้ ตัวไม่ทันตาย ฟันก็หลุดออกก่อนแล้วและความศิวิไลซ์ของฟัน
    ที่ว่าสวยนั้นก็ไม่จริง ถ้าปล่อยไว้ไม่ชำระขัดสีเพียงวันเดียวสีขาวไข่มุกนั้นก็จะเริ่มกลายเป็น
    สีเหลืองเพราะสิ่งโสโครกที่ฟันเกาะไว้นอกจากจะโสโครกแล้ว ฟันก็ จะปรากฏกลิ่นเหม็นจน
    เจ้าของเองทนไม่ไหว
    อสุภกรรมฐานที่ท่านกล่าวสอนไว้ถึง ๑๐ อย่าง มีความหมายอย่างที่ว่ามานี้แล้ว
    ของท่านนักปฏิบัติ ที่จะฝึกหัดกำจัดอำนาจราคะ คือความกำหนัดยินดีในเพศตรงข้ามหรือ
    เป็นนักนิยมสีสันวรรณะแล้วท่านจงเลือกฝึกในอสุภทั้ง ๑๐ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสม
    แก่ความรู้สึกเดิมที่มีความกำหนัดยินดีอยู่นั้นเพื่อผลในการปฏิบัติในส่วนวิปัสสนาญาณเพื่อ
    มรรคผลต่อไปเถิด
    (จบอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่างแต่เพียงเท่านี้)

    </td></tr><tr><td>

    </td></tr></tbody></table>
    .
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=260
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    มีประโยชน์มากมายครับ ^-^
     
  8. remixsong

    remixsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +177
    เจริญ อสุภกรรมฐาน โดยจับภาพอสุภ เป็นนิมิตรกสิณให้ได้ถึงฌาน4 แล้วจะมองเห็นคนทั่วไป ชาย-หญิง เป็นโครงกระดูก มองทะลุไปถึง ตับ ไต ใส้ พุง เลยครับ พยายามทำให้ได้ทุกวัน จะไม่มีความรู้สึกในกามเลย ถ้ามีอารมณ์กาม-ราคะ เข้ามากระทบก็จะวางเฉยได้ เพราะกำลังของสมาธิ แต่อย่าเข้าไปยุ่งกับมันนะ ถ้าปล่อยใจคิดตามมัน เราก็จะแพ้มัน เพราะว่าสติ ณ.ตอนนั้นเราไปสนใจมัน กำลังสมาธิก็จะอ่อนลง และ พ่ายแพ้มันในที่สุด สรุปว่าเกิดมีกาม-ราคะ เมื่อไร เจริญ อสุภกรรมฐาน ทันที ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนออกจากบ้านก็ได้ ออกไปเจอสิ่งต่างๆจะได้วางอุเบกขาไปให้หมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2009
  9. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อย่าไปหลงกับสิ่งที่มันมากระทบ พยายามอย่าไปปรุงแต่งต่อ ของอะไรดี ๆ แค่ไหน
    ก็เน่าเปี่อยผุพังไป การหลงมันจะไปสร้างภพต่อไม่หยุด ใช้สติให้มาก ๆ มันจะเกิดปัญญาไม่หลงในวังวน ของความคิด มองอย่างวางเฉย ๆ อย่าไปเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น ได้ยิน ได้กลิ่นสัมผัส กาม ราคะมันมีข้อเสียมากมาย ฉันเป็นคนหนึ่งเห็นการเกิดบ่อยมากๆ เห็นจนน่ากลัว น่าเบื่อ จนชินชา
    มองให้เป็นท่อนไม้บ้าง ก้อนเนื้อบ้าง ก้อนหินบ้าง ไม่ปรุงแต่งว่าดี มันจะช่วยได้เยอะนะ ธรรมดาของการอยู่ในโลกมนุษย์ เราย่อมเห็นของดี และไม่ดี แต่เห็นก็สักว่าเห็น ไม่ยินดี ยินร้าย เป็นการรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
     
  10. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    ลองดูครับ
    กำลังใจในการละกามราคะ - Buddhism Audio

    ท่านจิตโต เป็นพระสุปฎิปันโนที่ปฏิบัติดีมาก ลองฟังดูครับ
    คำแนะนำจากประบการณ์ภาวนาให้ได้ณานสมาบัติ ถอยมาอุปจารสมาธิพิจารถึงความตายและการทรุดโทรมของร่างกาย คนป่วยไม่สวยใช่ไหมครับ เผชิญหน้าทุกเวลา ความทุกข์จากกาม รัก พิจารณาความสกปรกร่างกายมองเข้าไปถึงหนังมีขนสกปรกยังไงภายในมันสะอาดหรือค่อยๆพิจารณาแยกแต่ละส่วนไปจนถึงกระดูก หมดสวย
    พิจาณาบ่อยครับเป็นประจำถ้าสู้เพียรยิ่งยวดจะเห็นผลเองครับ
    ถ้าเข้าสมาบัติ8ถอยมาพิจาณาไตรลักษณ์จะยิ่งชัดครับไม่เหลือแม้อะไรเลยแม้แต่ความคิด(อธิบายเป็นคำพูดยาก)
    ขอให้เข้าไปศึกษาเพิ่มเติมที่
    <cite>www.watthasung.com/home.php</cite>ด้วยจะยิ่งดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2009
  11. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อืม มีอีกวิธีหนึ่ง ไปซื้อเนื้อมาแล้วปล่อยให้มันเน่า แล้วจดจำ กลิ่นลักษณะ
    เอาทำเป็นกสินก็ได้ ลองดูนะ คงเบาบางลงไปได้นะ
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คุณน้านี่ ลึกซึ้ง ๆ ^-^
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ยู........นิ๊

    โอ.......มิ๊

    สติ..กา

    ที่มา : http://palungjit.org/posts/2118913
     
  14. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ก็ยังติดอุปมา นะ ยิ่งไม่ได้สักเท่าไร นะจ้า

    นะ แอ๊ดโนสเตีย มัน ก็จะเป็น Unknowing ๆ
    แต่ถ้า Knowledge ไม่เพียร ก็ย่อมมีเสื่อมไป ธรรมดา นะจ้า
    Mirage มันจะทำให้เราหลงทาง นะจ้า

    แฮะ ทำดี ๆ ไม่เบียดเบียนใคร กุศลมันเป็น Auto ไปแล้วนะจ้า <label for="rb_iconid_15">[​IMG]</label>
     
  15. ครูพระ

    ครูพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +601
    อาสวะ

    อาสวะคือกิเลสอย่างละเอียดที่นอน
    เนื่องอยู่กับจิต จำแนกเป็น ๓ คือ ราคะ
    ( ความยินดีติดอยู่ในอารมณ์ที่ชอบ )
    อย่างหนึ่ง, ปฏิฆะ ( ความยินร้ายติดอยู่
    ในอารมณ์ที่ไม่ชอบ ) อย่างหนึ่ง, อวิชชา
    ( ความไม่รู้จริง ) อย่างหนึ่ง.
    ราคะ เมื่อแรงออกไปก็เป็นราคะที่มี
    อาการคือความยินดี หรือโลภะ ความ
    อยากได้ในอารมณ์ที่ชอบ, เมื่อแรงออก
    ไปอีก ก็เป็นอภิชฌา มุ่งได้อารมณ์ที่
    ชอบ ไม่เลือกทางดีชั่วผิดถูก, นี้เป็น
    สายหนึ่ง.
    ปฏิฆะ ความยินร้าย เมื่อแรงออก
    ไป ก็เป็น โกธะ โกรธ คือพลุ่งพล่าน
    และโทสะประทุษร้ายใจ คือทำใจตน
    เองให้เดือดร้อน, แรงไปอีก ก็เป็น
    พยาบาทมุ่งร้ายจนถึงทำร้ายผู้อื่น หรือ
    ทำร้ายตนเองก็ได้, นี้สายหนึ่ง.
    อวิชชา ความไม่รู้ เมื่อแรงออกไป
    ก็เป็นโมหะ คือความหลง, แรงออกไป
    อีก ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด
    นี้สายหนึ่ง.
     
  16. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353
    ไอ้แบบนี้เขาเรียกว่าตัณหาจัด...ต้องพยายามลดละในตอนนี้ให้ได้นะครับตอนที่เป็นหนุ่มเป็นสาวนี่แหละ...ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจะลำบากตอนแก่...เห็นอยู่.. รู้อยู่.. ใช่ใหมที่เขาเรียกว่าไอ้แก่ตัณหาจัด เขาพูดเขาว่าตอนนี้ยังพอยิ้มได้อยู่นา...ว่าตอนแก่นี่มันแสบพิลึกเชียวนะ...
    เอาแบบผมทำอยู่ตอนนี้ก็ได้ไม่หวง
    กินข้าววันละเมื้อ ทำให้จริงนะในความรู้สึกเกี่ยวกับเพศตรงข้ามผมว่าผมลดได้โขอยู่ มันเหมือนกามราคะขาดกองหนุนขาดเสบียงอะไรเทือกนั้น มันคิดแต่อยากจะกินข้าวอย่างเดียวแต่ต้องอดทนจริงๆถ้าแพ้มันคิดถึงกามราคะอีก มันลากเข้าถ้ำตัวใครตัวมันเด้อ...


    rabbit_run_away
     
  17. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353
    กามราคะมันจะเริ่มแว๊บขึ้นมา...ความคุ้นเคยในรสสัมผัสในอดีตที่เราคิดว่าสุขจะค้างอ้อยอิ่งอยู่สักพัก...ถ้า...นะครับผมใช้คำว่าถ้า ถ้าเราต่อยอดจากไอ้เเว๊บนั่น อาจจะหมายถึงสัญญาอารมณ์เก่าๆเกี่ยวกับกามที่เราเคยเสพสมหรือเห็นวัตถุกามทั้งหลายเช่น รูปโป๊ หนังโป๊ หรือผู้หญิงสาวๆสวยๆสะโพกงามๆ จากสิ่งทั้งหลายนี่แหละที่กามราคะมันจะบังคับเราไปตามอารมณ์ให้นึกปรุงแต่งไปต่างตามที่มันต้องการ เสร็จมันอีกครั้งแน่นอน..เพราะถ้าเราไปตามอารมณ์ของมันเราจะแก้ใขอะไรไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ความคิดที่เลยเถิดตามความคุ้นเคยกับอารมณ์ที่เคยชิน..ใช่หรือไม่...
    ที่สำคัญไอ้แว๊บแรกครับ...ให้ดูครับไม่ใช่เข้าไปคลุกวงในกับมัน ถ้าดูสักพักมันจะมีความคิดอย่างอื่นเข้ามาเองตามประสาคนที่มีกิเลส ถ้าดูแล้วยังไม่หายยังคิดอีกมันเป็นที่ตัวเองแล้วที่ไม่อยากให้มันหาย เพราะความเสียดายความรู้สึกเสียดายรสชาติของกามอยู่นั่นเอง...


    pig_cryyจะเอาๆ แงๆ ของเคยกิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2009
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แด่คนที่ทำสมาธิแล้วเกิดกามราคะในกระทู้นี้มีวิธีแก้ไขเพียบเลยครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  19. chatsiri

    chatsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +195
    ถ้าตัด..ตามที่ว่ามานี้ได้..ต้องไปลองของจริง ๆ เอาที่ว่าเราชอบแบบสวย (ที่สุด) ของจริตเรานะ..ทีนี้พิสูจน์ไปเลย..ส่วนไหนหอมเหม็น..ดมไป..พอได้กลิ่นที่เราไม่ชอบ (คาวคน) มันจะเบื่อไปเองแน่นอน..ตอนนี้เห็นก็จำกลิ่นได้จะเบื่อไปเอง ลองดูคับ...ขอให้ละกิเลส.ตัณหา..ราคะให้ได้ทุกคนนะคับ..ธรรมะรักษา
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ก็คงเหมือนเดิมละครับ คบสัปบุรุษ ฟังสัทธรรม เกิดศรัทธา โยนิโสมนสิการ มีสติสัมปชัญญะ อินทรียสังวร สุจริต3 สติปัฎฐานสี่ โพชฌงค์7 วิชชา และวิมุติ....อริยะมรรคมีองค์แปดจะเกิดก้เกิดในนี้...อันมีสัมาทิฎฐิเป็นองค์นำ....อย่างในโพชฌงค์7(สติสัมโพชฌงคื ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์)..หรือ ศิล สมาธิ ปัญญา....อย่าว่าเยอะนะครับ แต่ คงเป็นอย่างนี้จริงจริง:cool:.
     

แชร์หน้านี้

Loading...