ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    วิธีอดอาหาร นั้นเหมาะกับผู้ที่มีจริตนิสัยเช่นนั้น
    การอดอาหารนั้น ไม่ใช่วิธีการทรมานเป็นอัตถานุโยค แต่เพื่อวัตถุประสงค์ เพื่อประโยชน์ดังนี้..
    1.เพื่อไม่ให้ไปเพิ่มฮอร์โมน์ในร่างกาย ไปส่งเสริมเรื่องกาม
    2.เพื่อไม่ให้ง่วงเหงานอน... เวลากินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาหย่อน
    3.เพื่อกายเบา ทำให้การภาวนาสงบได้ง่ายขึ้น

    ทางสายกลาง คือ ทางเดินแห่งมรรคมี องค์ 8 เป็นการเลือกการปฏิบัติที่เป็นประโยชน์พอเหมาะพอสมควรแก่การปฏิบัติธรรม

    ด้วยวิธีการที่มีความพอดี..ไม่ขาดไม่เกิน โดยเอาธรรมเป็นที่ตั้ง มุ่งเจริญในสัมมาปฏิบัติ โดยมีทางเดินแห่งมรรค 8 เป็นทางดำเนิน

    ดังนั้น การอดนอนผ่อนอาหาร จึงไม่ใช่วิธีการทรมานเป็นอัตถานุโยค แต่ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ว่า..วิธีไหนที่เป็นประโยชน์แก่ตน...พอเหมาะสมควรแก่ตน

    พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติถึงธุดงควัตร 13
    เนสัชชิ คือ การสมาทานอดนอนบำเพ็ญความเพียรตลอดรุ่ง เป็นปฏิบัติบูชา เหมือนการถวายตาแก่พระพุทธเจ้า
    วิธีเนสัชชิ..พระโมคคัลลาน์ ท่านเองก็มุ่งบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2009
  2. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    บทบรรยายธรรมของหลวงปู่มั่น

    <TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="89%" border=0><TBODY><TR><TD width="33%">
    1 วิเวกธรรม
    2 สันติธรรม
    3 อนุปาทาปรินิพาน
    4 ปริญญา 3 ประการ
    5 อาสวะ 4 ประการ
    6 อัตตานุทิฏฐิ
    7 สังสารทุกข์
    8 เนกขัมมธรรม


    </TD><TD width="38%">
    9 อุปสันตบุคคล
    10 กุมารกสสัปเทวตาปุจฉิต
    ปัญหาพยากรณ์
    11 เหตุเกิดความเพียร
    12 ภัทเทกรัตตสูตร
    13 พหุเวทนิยสูตร
    14 พึงเป็นคนมีสติ
    15 อนุตตริยะ 6
    16 อปัณณกธรรม


    </TD><TD width="29%">
    17 อริยทรัพย์


    18 ธรรมเป็นเหตุเจริญเจโตวิมุติ
    19 สัลเลขกถา
    20 วิธีถ่ายถอนกิเลส
    21 พหุธาตุกสูตร
    22 พระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ
    23 วิธีเจริญกรรมฐานภาวนา
    24 วินัยกรรม


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    1 วิเวกธรรม

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงวิเวกธรรมแก่เมตตคูมาณพดังต่อไปนี้
    อุปธิกิเลสมีประเภท 10 ประการ คือ 1 ตัณหา 2 ทิฏฐิ 3 กิเลส 4 กรรม 5 ทุจริตความประพฤตชั่วด้วย กาย วาจา และใจ 6 อาหาร 7 ปฏิฆะ 8 อุปาทินนกะ ธาตุสี่ 9 อายตนะหก 10 วิญญาณกายหก ทุกข์ทั้งหลายมีชาติทุกข์เป็นต้น ย่อมมีอุปธิกิเลสเหล่านี้เป็นเหตุ เป็นนิพพาน เป็นปัจจัย เมื่อบุคคลมารู้ทั่วถึง รู้แจ้ประจักษ์ชัดด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า สังขารที่หลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หรือมารู้ทั่วถึงว่า ยํ กิญจิ สมุทยธมมํ สพพนตํ นิโรธธมมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ดังนี้แล้วเป็นผู้ตามเห็นซึ่งชาติว่าเป็นแดนเกิดแห่งวัฏฏทุกข์ และมาเห็นว่าอุปธิเป็นแดนเกิดแห่งชาติทุกข์เป็นต้นแล้ว ก็ไม่พึงทำอุปธิมีตัณหาเป็นต้น ให้เจริญขึ้นในสันดานเลย

    เมื่อจะทรงแสดงธรรมเครื่องข้ามตัณหา จึงตรัสพระคาถาว่า ยํ กิญจิ สญชานาสิ อุทธํ อโธ ติโยญจาปิ มชเฌ เอเตสุ นนทิญจ ปนุชชวิญญาณํ ภเว น ติฏฐ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านจงรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวาง สถานกลางแล้วจงบรรเทาเสีย จะละเสียซึ่งความเพลิดเพลินและความถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น วิญญาณของท่านก็จะไม่ตั้งอยู่ในภพดังนี้

    คำว่าเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางนั้น ทรงแสดงไว้ 6 นัย คือนัยที่ 1 อนาคตเป็นเบื้องบน อดีตเป็นเบื้องต่ำ ปัจจุบันเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 2 เหล่าธรรมที่เป็นกุศล เป็นเบื้องบน เหล่าธรรมที่เป็นอกุศล เป็นเบื้องต่ำ เหล่าธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 3 เทวโลกเป็นเบื้องบน อบายโลก เป็นเบื้องต่ำ มนุสสโลกเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 4 สุขเวทนา เป็นเบื้องบน ทุกขเวทนา เป็นเบื้องต่ำ อุเบกขาเวทนาเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 5 อรูปธาตุเป็นเบื้องบน กามธาตุเป็นเบื้องต่ำ รูปธาตุเป็นเบื้องขวางสถานกลาง นัยที่ 6 กำหนดแต่พื้นเท้าขึ้นมาเบื้องบน กำหนดแต่ปลายผมลงไปเป็นเบื้องต่ำ ส่วนท่ามกลางเป็นเบื้องขวางสถานกลาง เมื่อท่านมาสำคัญหมายรู้เบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง ทั้ง 6 นัยนี้แล้ว แม้อย่างใดอย่างหนึ่งพึงบรรเทาเสียซึ่งนันทิ ความยินดี เพลิดเพลิน และอภินิเวส ความถือมั่นด้วยตัณหา และทิฏฐิในเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง เสียให้สิ้นทุกประการ แล้ววิญญาณของท่านจะไม่ตั้งอยู่ในภพและปุณภพอีกเลย เมื่อบุคคลมารู้ชัดด้วยญาณจักษุในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลาง ไม่ให้ตัณหาซ่านไปในภพน้อย ภพใหญ่ มีญาณหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ 4 เป็นผู้ไม่มีกังวล คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และทุจจริตต่างๆ ละกังวลทั้งปวงเสียแล้ว กามภเว อสตตํ ก็เป็นผู้ไม่ข้องเกี่ยวพัวพันในวัตถุกาม และกิเลสกาม ในกามภพและปุณภพอีกเลย ท่านนั้นเป็นผู้ข้ามโอฆะ ห้วงลึกที่กดสัตว์ให้จมอยู่ในวัฏฏสงสารฯ โอฆะนั้น 4 ประการคือ 1 กามโอฆะ 2 ภวโอฆะ 3 ทิฏฐิโอฆะ 4อวิชชาโอฆะ ติณโณ จ ปรํ ท่านนั้นย่อมข้ามห้วงทั้ง 4 ไปฟากโน้น คือ พระนิพพานธรรม อขีเณ เป็นผู้ไม่มีตะปูคือกิเลสเป็นเครื่องตรึงแล้ว กิเลสทั้งหลายที่เป็นประธาน คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และกิเลสที่เป็นบริวาร มี โกโธ อุปนาโห เป็นต้น จนถึงอกุศลอภิสังขารซึ่งเป็นประหนึ่งตะปูเครื่องตรึงจิตให้แนบแน่นอยู่ ยากที่สัตว์จะฉุดจะถอนให้เคลื่อนให้หลุดได้ เมื่อบุคคลมาละเสียแล้ว ตัดขึ้นพร้อมแล้ว เผาเสียด้วยเพลิงคือญาณแล้ว เป็นนรชนผู้รู้ผู้ดำเนินด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องรู้แจ้งชัดเป็นเวทคู ผู้ถึงฝั่งแห่งวิทยาในพระศาสนานี้ ไม่มีความสงสัยใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และปฎิจจสมุปบาทธรรม ปัจจยการ ย่อมบรรลุถึงวิเวกธรรม คือพระอมฤตนฤพานด้วยประการฉะนี้



    2 สันติธรรม

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงซึ่งสันติธรรมแก่โธตกมาณพ จึงตรัสพระคาถาว่า ยํกิจิ สญชานาสิ โธตก อุททํ อโธ ติโยญญาปิ มชเฌ เอตํ วิทิตวา สงโคติ โลเก ภวาภวาย มากาสิ ตัณหํ แปลความว่า ดูกรโธตกะ ท่านมากำหนดรู้หมายรู้ซึ่งอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลก เครื่องเกี่ยวสัตว์ไว้ในโลกดังนี้แล้ว อย่าได้ทำซึ่งตัณหา ความปรารถนาเพื่อภพน้อยภพใหญ่เลยดังนี้

    อธิบายว่า ท่านมารู้แจ้งสัญญาณนี้ด้วยปัญญาว่า เป็นเครื่องข้องเครื่องติดอยู่ในโลกดังนี้แล้ว อย่าได้ทำตัณหาความปรารถนาเพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ส่วนคำว่าเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางสถานกลางในพระคาถานั้น ก็มีนัยอธิบายเป็น 6 นัยเช่นเดียวกับเรื่องวิเวกธรรมที่กล่าวมาแล้ว
    ทรงแสดงที่อาศัยแห่งกิเลสปปัญจธรรมมีสัญญาเป็นนิทานว่า ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อันทำให้สัตว์เนิ่นช้า 3ประการนี้ มีสัญญาความสำคัญหมายเป็นเหตุให้เกิด เมื่อบุคคลมาสำคัญหมายในส่วนอดีต อนาคต ปัจจุบัน สุข ทุกข์ อุเบกขา กุศลากุศล อัพยากฤต สามธาตุ สามภพ ด้วยประการใดๆ ปปัญจสังขาร ที่ทำให้เนิ่นช้า คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ บังเกิดกล้าเจริญทวีขึ้นด้วยประการใดๆ ทำให้บุคลลเกิดความเห็นถือมั่นด้วยตัณหาว่า เอตํ มม นั่นเป็นของเรา ถือมั่นด้วยมานะว่า เอโสหมสมิ เราเป็นนั่น ถือมั่นด้วยทิฏฐิว่า เอโส เม อตตา นั่นเป็นตัวตนแก่นสารของเรา ดังนี้แล้วก็ข้องอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ด้วยฉันทะราคะ สเน่หาอาลัย ผูกพันจิตใจไว้ไม่ให้เปลื้องปลดออกได้ สัญญาอันเป็นนิทาน เป็นเหตุเกิดแห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิก็ดี ตัณหา มาน ทิฏฐิอันเกิดแต่สัญญานั้นก็ดี สงโค เป็นเครื่องข้องเครื่องติด เครื่องเกี่ยวสัตว์ไว้ในโลกไม่ให้พ้นไปได้ เอตํ วิทิตวา สงโคติ โลเก ท่านรู้แจ้งประจักษ์ว่าสัญญาเป็นเหตุแห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ มีสัญญาเป็นเหตุดังนี้แล้ว ท่านอย่าได้ทำตัณหา คือความปรารถนาดิ้นรน ด้วยจำนงหวังต่างๆ เพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ท่านจงหยั่งญาณรู้ชั่งด้วยตราชู คือ ปัญญา แล้วเห็นประจักษ์แจ้งชัดว่า เป็นเครื่องผูกจำ เป็นเครื่องเกี่ยวสัตว์ไว้ในโลก ท่านอย่าได้ทำซึ่งตัณหา เพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ตัณหาอันเป็นไปในอาหารวิสัยคือรูป เสียงกลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ แตกต่างโดยอาการปวัฎฎิเป็น 3ประการ คือกาม ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหา 6 หมู่ ตามอารมณ์ สามอย่างตามอาการที่เป็นไปในภพ เป็นธรรมอันเกิดอีก เกิดขึ้นเป็นไปพร้อมกับทุกข์ คืออุปทานขันธ์ ท่านอย่าได้ทำตัณหานั้น เพื่อภพน้อยภพใหญ่เลย ท่านจงละตัณหานั้นเสีย จงบรรเทาเสีย ทำตัณหานั้นให้มีที่สุด ท่านจงยังตัณหานั้นให้ถึงซึ่งอันจะยังเกิดตามไม่ได้ ท่านจงละตัณหานั้นด้วยสมุจเฉทปาหานเถิดฯ




    3 อนุปาทาปรินิพาน

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงอนุปาทาปรินิพพานของพระอริยสาวก ผู้บรรลุอากิญจัญญายตนสมาบัติ แก่อุปสีวมาณพ โดยหลีกเลี่ยงสัสสตวาทะและอุจเฉทวาทะทั้งสองเสีย จึงตรัสพระคาถาว่า
    อจฉิยถา วาตเวเคณ จิตตา อตถํ ปเลติ น อุเปติ สงขํ เอวํ มุนิ นาม กายา วิมุตโต อตถํ ปเลติ น อุเปติ สงขํ

    แปลว่า เปลวเพลิงอันกำลังลมพัดดับไปย่อมนับไม่ได้ว่าไปไหนฉันใด ท่านผู้เป็นมุนี พ้นพิเศษแล้วจากนามกาย ย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้ นับไม่ได้ ว่าไปไหนฉันนั้น
    วาตา อันว่าลมทั้งหลาย โดยปริยายในนิเทศ ว่าลมมาทิศบูรพา ปัจฉิม อุดร ทักษิณ ลมมีธุลี ลมไม่มีธุลี ลมเย็น ลมร้อน ลมกล้า ลมเวรัมภา พัดมา แต่พื้นดินขึ้นไปได้โยชน์หนึ่ง ลมปีกสัตว์ ปีกครุฑ ลมใบตาล ลมเปลวเพลิง อันกำลังลมเหล่านั้นพัดแล้วเปลวเพลิงย่อมถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้ ย่อมดังสงบรำงับไป ย่อมไม่ถึงซึ่งอันนั้น ย่อมไม่ถึงซึ่งโวหาร ว่าเปลงเพลิงไปแล้วยังทิศโน้นๆ ดังนี้ฉันใด บุคคลผู้บรรลุอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นเสขมุนีนั้น เป็นผู้พ้นวิเศษแล้วจากรูปกายในกาลก่อนเป็นปกติ ให้มรรคที่ 4 เกิดขึ้นในสมาบัตินั้น เป็นผู้พ้นวิเศษแล้วจากนามกายอีก เพราะความที่พ้นจากนามกาย อันท่านได้กำหนดรู้แล้ว เป็นอุปโตภาควิมุตติ พ้นวิเศษแล้วจากส่วนสองด้วย ส่วนสองเป็นขีณาสวะอรหันตร์ ถึงซึ่งอันไม่ตั้งอยู่คืออนุปาทาปรินิพพานแล้วตรัสพระคาถาต่อไปว่า
    อตถํ ตสส น ปมาณมตถิ เยน นํ วชชํ ตํ ตสส นตถิ สพเพสุ ธมเมสุ สมูหเตสุ สมูหตา วาทปถาปิ สพเพ
    แปลว่า สิ่งสภาวะเป็นประมาณของพระขีณาสพอัสดงคตดับแล้วย่อมไม่มี บุคคลทั้งหลายจะพึงกล่าวว่าท่านนั้นด้วยกิเลสใด กิเลสนั้นของท่านก็ไม่มีธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้น อันพระขีณาสพถอนขึ้นพร้อมแล้ว แม้ทางวาทะทั้งปวงที่บุคคลจะพึงกล่าวพระขีณาสพท่านก็ตัดขึ้นพร้อมแล้ว
    สิ่งสภาวะอันเป็นธรรมนั้น ได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมไม่มีแก่ท่าน ท่านละเสียแล้ว ตัดขึ้นพร้อมแล้ว ท่านเผาเสียด้วยเพลิงคือญาณแล้ว เมื่อขันธ์ อายตนะ ธาตุ คติ อุบัติ ปฏิสนธิ ภพ สังขาร และวัฏฏะ ท่านถอนขึ้นเสียแล้ว ตัดเสียขาดแล้ว มีอันไม่บังเกิดต่อไป เป็นธรรมดา วาทะ อันเป็นคลองเป็นทางที่จะกล่าวด้วยกิเลสและขันธ์ และอภิสังขาร ท่านเพิกถอน สละละวางเสียสิ้นทุกประการแล้ว ด้วยประการฉะนี้ฯ




    4 ปริญญา 3 ประการ

    การกำหนดรู้ตัณหานั้น กำหนดรู้ด้วยปริญญา 3 ประการ คือ
    1. ญาตปริญญา คือความกำหนดรู้ชัดเจนว่า นี้รูปตัณหา นี้สัททตัณหา นี้คันธตัณหา นี้รสตัณหา นี้โผฏฐัพพะตัณหา นี้ธัมมตัณหา อย่างนี้แลชื่อว่าญาตปริญญา
    2. ตีรณปริญญานั้นคือ ภิกษุกระทำตัณหาทั้ง 6 ให้เป็นของอันตนรู้แล้ว พิจารณาใคร่ครวญ ซึ่งตัณหาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรคเสียดแทง เป็นต้น อย่างนี้แลชื่อตีรณปริญญา
    ปหานปริญญานั้นคือ ภิกษุมาพิจารณาใคร่ครวญ ฉะนี้แล้ว ละเสียซึ่งตัณหา บรรเทาเสีย ถอนเสีย และกระทำให้สิ้นไป ให้ถึงซึ่งความไม่เป็นต่อไปอย่างนี้และชื่อว่าปหานปริญญา




    5 อาสวะ 4 ประการ

    อนาสวา ผู้ชื่อว่าไม่มีอาสวะคือไม่มีอาสวะ 4 ประการ ได้แก่ 1 กามาสวะ 2 ภวาสวะ 3 ทิฏฐาสวะ 4 อวิชชาสวะ บุคคลผู้ใดมาละเสีย ตัดเสียขาดแล้ว ซึ่งอาสวะทั้งหลายเหล่านั้น มิให้มันบังเกิดขึ้นได้ต่อไป ผู้นั้นเป็น อนาสวะ คือผู้ไม่มีอาสวะแล




    6 อัตตานุทิฏฐิ

    อตตานุทิฏฐิติวุจจติ วิสติวตถุกา สกกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ อันมีวัตถุ พุทธบัณฑิตเรียกว่า อัตตนุทิฏฐิ ความตามเห็นซึ่งอาตมะตัวตน ได้ในขันธ์ 5 ขันธ์ ละ4 วัตถุ บรรจบเป็นวัตถุ 20 ทิศคือปถุชนผู้ไม่ได้สดับฟัง ณ โลกนี้
    1 รูปํ อตตโต สมนุปสสติ เห็นรูปโดยความเป็นต้นบ้าง
    2 รูปํวนตํ วา อตตานํ สมนุปสสติ เห็นตนเป็นรูปบ้าง
    3 อตตนิ วา รูปํ สมนุปสสติ เห็นรูปมีในตนบ้าง
    4 รูปสมํ วา อตตานํ สมนุปสสติ เห็นตนมีในรูปบ้าง ดังนี้
    แม้ในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็มีวัตถุอย่างละ 4 เช่นเดียวกัน จึงบรรจบเป็นกายทิฏฐิ 20 วัตถุ ด้วยประการฉะนี้
    เมื่อบุคคลตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ประชุมลงในขณะจิตอันเดียวได้แล้วชื่อว่า เป็นผู้ละสักกายทิฏฐิ เมื่อบุคคลใดมาเข่นฆ่า ซึ่งอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนลงเสียได้แล้ว ก็จะพึงเป็นบุคคลผู้ข้ามมฤตยูความตายเสียได้ เอวํ โลกํ อเวกขนตํ มจจุราชา น ปสสติ เมื่อบุคคลมาเห็นซึ่งโลกทั้งหลาย คือขันธโลก อายตนโลก และธาตุโลก โดยความเป็นของสูญ สังหารอัตตานุทิฏฐิลงเสียได้อย่างนี้ มฤตยุราช คือความตายย่อมไม่เห็น เพราะบุคคลผู้นั้นพ้นสัตว์วิสัยเสียแล้ว มัจจุราชย่อมไม่เห็นซึ่งผู้นั้น ผู้นั้นย่อมถึงพระนิพพานธรรมอันเป็นวิสัยแห่งมฤตยูราช ล่วงวิสัยมฤตยูราชเสียได้ด้วยประการฉะนี้ฯ




    7 สังสารทุกข์

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนา ซึ่งสังสารทุกข์ไว้ว่า สังสาระการท่องเที่ยวเกิดตายของสัตว์เปรียบเหมือนสระ คือเป็นโอกาสที่เที่ยวที่ลงของสัตว์ทั้งหลาย
    สโรติ วุจจติ สํสาโร ก็ที่ท่านเรียกว่าสังสาระนี้หมายถึวความท่องเที่ยวไปด้วยการบังเกิดและจุติ อาคมนํ การมาสู่โลกนี้ คมนํ การไปสู่โลกหน้า คมนาคมนํ ทั้งไปและมา กาลํ กาลกิริยา คือมรณะขาดชีวิตอินทรีย์ คติ ความไป ภวาภโว ภพน้อยภพใหญ่ จุติ ความเคลื่อนจากภพ อุปปตติ ความเข้าถึงอัตตภาพ นิพพตติ ความปรากฏชัดแห่งขันธ์ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ มรณํ ความตาย
    ความท่องเที่ยว บังเกิด กำเนิด เกิด แก่ ตาย อันเป็นประหนึ่งโคถูกสวมคอเข้าไว้ในแอกฉะนั้น ได้ชื่อว่า สังสาระ คือเสือกไสดันไป ซึ่งแสดงไว้ว่า ขนธานํ ปฏิปาฏิยา ธาตุอายตนา นญจ อนโนจฉินนํ วฏฏมานา สํสาโรติ วุจติ ลำดับแห่งขันธ์ธาตุ และอายตนะทั้งหลายเป็นไปอยู่ไม่ขาดสาย ผู้รู้ท่านกล่าวว่า สงสาโร คือความเสือกซ่านท่องเที่ยวไป
    สังสาระนี้ เมื่อจะกำหนดนามในสาคร 4 เป็นดังนี้ สังสารสาคร 1 ชลสาคร 1 นยสาคร 1ญาณสาคร 1 สังสารสาครชื่อว่าสโร คือสังสาระเปรียบเหมือนสระ
    บทว่า มชเฌ สรสมิ ติฏฐตํ นั้นแสดงว่า สระสังสารสาครนี้ เป็นมัธยมสถานกลาง เพราะว่าที่สุดเบื้องต้น และที่สุดเบื้องปลายแห่งสังสารนั้น อันบุคคลหารู่ทั่วรู้ชัดไม่ ในเงื่อนเบื้องต้นและเบื้องปลายแห่งสังสาระนั้นไม่ปรากฏ จึงเป็นมัธยมสถานกลาง ด้วยประการฉะนี้
    มชเฌ สํสาเร สตตา ฐิตา ก็แลสัตว์ทั้งหลายได้ตั้งอยู่แล้วในสังสาระอันเป็นสถานกลาง ซึ่งเกิดโอฆะห้วงน้ำใหญ่ท่วมท้น คือ 1 กามโอฆะ 2 ภวโอฆะ 3 ทิฏฐิโอฆะ 4 อวิชชาโอฆะ โอฆะทั้ง 4 แต่ละอย่างๆ อาศัยปัจจัยนั้นๆ แล้วเกิดขึ้น เจริญทวีมากขึ้นเป็นห้วงพัดพาสัตว์ให้เพียบด้วยทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในสระสังสาระนั้นถูกภัยใหญ่เบียดเบียนร่ำไป ภัยใหญ่คือ ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ พยาธิ ความเจ็บ ป่วยไข้ มรณํ ความตาย แตกขาดแห่งชีวิตตินทรีย์ ทกขํ ความทุกข์กายลำบากใจ เหล่านี้แหลเป็นภัยใหญ่หลวงนัก เมื่อเกลื่อบกล่นอยู่ในสระสังสาระ ชรามจจุปเรตานํ เหล่าสัตว์ผู้ตั้งอยู่ ณ สังสาระอันเป็นสถานกลาง เกิดห้วงและมีภัยใหญ่หลวง เป็นสัตว์อันความแก่และความตายแวดล้อมรุมเบียดเบียนเป็นนิตย์ ความแก่และความตายท่านกำหนดเป็นประธานแห่งความทุกข์ทั้งหลาย เอวมา ทิตเก โลเก ชราย มรเณน จ โลกคือขันธ์ ธาตุ อายตนะ รุ่งเรืองแต่ต้น เพราะความแก่และความตายเข้าจุดเผา เหล่าสัตว์ที่ตั้งอยู่ ณ สระสังสาระ อันเป็นสถานกลาง เกิดห้วงและภัยใหญ่หลวง รุมเบียดเบียนด้วยประการฉะนี้




    8 เนกขัมมธรรม

    เนกขมมํ ปสส เขมโต ท่านจงเห็นเนกขัมมะโดยความเป็นธรรมเกษม จากโยคะทั้งปวงเถิดฯ
    พระนิพพาน ก็ชื่อว่า เนกขัมมะ ปฏิปทาที่จะให้สัตว์ถึงพระนิพพานก็ชื่อว่า เนกขัมมะ นิพพานคามินีปฏิปทา ชื่อว่าเนกขัมมะนั้น คือสัมมาปฏิปทา ปฏิบัติดำเนิน กาย วาจา จิตชอบ อนุโลมปฏิปทา ปฏิบัติ อนุโลมแก่ธรรมนั้น อปจจนิกปฏิปทา ปฏิบัติไม่เป็นข้าศึกแก่พระนิพพาน อนุวตตปฏิปทา ปฏิบัติไปตามเนื้อความแห่งพระนิพพาน ธมมานุปฏิปทา ปฏิบัติซึ่งธรรมอันสมควรแก่โลกุตตธรรม คือบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ รักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะประกอบตามซึ่งธรรมของผู้ตื่นอยู่ คือสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อัฏฐังคิกมรรค 8 นิพพานคามินีปฏิปทา มีศีลสังวรเป็นต้น นี้ชื่อว่าเนกขัมมธรรม เป็นเบื้องต้นที่จะจะให้บรรลุถึงเนกขัมมะคือพระนิพพาน ปสสิตวา เมื่อบุคคลมาเห็นแล้วเลือกแล้วให้มีการแจ้งแล้ว กระทำให้ปรากฏแล้ว ซึ่งเนกขัมมะคือพระนิพพานอันเป็นธรรมเกษมย่อมพ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นผู้ปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อแล


    9 อุปสันตบุคคล

    สิ่งอันใดหรืออารมณ์อันใดที่ได้ยึดไว้แล้ว จับต้องแล้ว ถือมั่นแล้ว ด้วยอำนาจ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ อันมีอยู่ในสันดาน สิ่งอันนี้ หรืออารมณ์อันนี้ ท่านพึงสละละวางเสีย พึงปลดเปลื้องเสียพึงละเสียพึงบรรเทาเสีย พึงกระทำให้มีที่สุด พึงให้ถึงซึ่งอันเกิดตามไม่ได้ มา เต วิชชตุ กิญจนํ เครื่องกังวลคือราคะ โทษะ โมหะ และทิฏฐิ กังวลคือกิเลสและทุจริตอย่าให้มีในสันดาน ยํ ปุพเพ ตํ วิโสเสหิ สิ่งใดมีในภายก่อน ท่านจงยังสิ่งนั้นให้เหือดแห้ง ปจฉา เต มาหุ กิญจนํ กังวลในภายหลัง อย่าให้มีในสันดาน มชเฌ เจ โน คเหสสสิ ท่านอย่าได้ถือเอา ณ ท่ามกลาง อุปสนโต จริสสสิ ท่านก็จักเป็นคนสงบระงับแล้ว เที่ยวอยู่




    10 กุมารกสสัป เทวตาปุจฉิตปัญหาพยากรณ์

    ปัญหาว่า มีจอมปลวกแห่งหนึ่ง กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว ฯลฯ พราหมณ์สั่งให้ศิษย์ชื่อสุเมธขุดด้วยศัสตรา สิ่งนั้นได้แก่อะไร?
    พระตรัสพยากรณ์ว่า จอมปลวกได้แก่ร่างกายอันเจือด้วยสมภธาตุของมารดาบิดา และมหาภูตธาตุทั้ง 4 จึงเกิดมีขึ้นได้ กลางคืนเป็นควันหมายถึงการตริตรึกนึกคิดของบุคคล พราหมณ์ได้แก่ ตถาคตสุเมธได้แก่ภิกษุผู้มีปัญญาดีในพระธรรมวินัยนี้ การขุดหมายถึงความเพียร ศัสตราหมายถึงอริยปัญญาณอันสามารถประหารกิเลสฉะนี้แลฯ



    11 เหตุเกิดความเพียร

    เมื่อความเพียรจะเกิดขึ้น ก็เพราะสังเวควัตถุเบื้องต้น 8 ประการคือ ชาติทุกข์ 1 ชราทุกข์ 1 พยาธิทุกข์ 1 มรณทุกข์ 1 อบายทุกข์ 1 อนาคตทุกข์ 1 อาหารคเวสิทุกข์ 1




    12 ภัทเทกรัตตสูตร

    สมัยสมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าเสด็จประทับที่พระเชตวนาราม กรุงสาวัตถี ได้ตรัสภัทเทกรัตตนสูตรแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตามไม่ควรหวังสิ่งซึ่งยังมาไม่ถึง เพราะว่าสิ่งใดล่วงพ้นไปแล้วสิ่งนั้นอันเราละเสียแล้ว อนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่มาถึงเล่า สิ่งนั้นก็ยังไม่มาถึง เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตาม ไม่ควรหวังสิ่งซึ่งไม่มาถึง ก็ผู้มีปัญญาได้มาเห็นธรรม ซึ่งเป็นปัจจุบันเกิดขึ้นจำเพาะหน้าแจ้งชัดอยู่ในที่นั้นๆ ความเห็นแจ้งธรรม ซึ่งเป็นปัจจุบันของท่านนั้นไม่ง่อนแง่น ไม่กำเริบด้วยดี ผู้มีปัญญาอันมาได้ความเห็นแจ้วในธรรมซึ่งปัจจุบันอันไม่ง่อนแง่นและไม่กำเริบด้วยดีแล้ว ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อนอันผู้มีปัญญาควรรีบทำเสียในวันนี้ทีเดียว ใครจะพึงรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าสู้ความหน่วงเหนี่ยว ความผูกพันธ์กับด้วยมฤตยูความตายซึ่งมีเสมาใหญ่นั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน อันผู้มีปัญญาควรทำเสียในวันนี้ทีเดียว นักปราชญ์ผู้สงบระงับ ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้มีปัญญาซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ไม่เกียจคร้านขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างนี้ ผู้นั้นแลว่าผู้มีราตรีเดียวเจริญดังนี้ เมื่อตรัสอุเทศนี้จบแล้ว จึงตรัสวิภังค์ต่อไปว่า
    ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้วมาตามอยู่ไฉน? บุคคลมาคิดว่า ณ กาลล่วงไปแล้วเมื่อก่อน เราได้เป็นผู้มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้ๆ แล้ว นำความเพลิดเพลินในขันธ์มีรูปขันธ์เป็นต้น ซึ่งล่วงไปแล้วนั้น มาตามอยู่ ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่าบุคคลให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้ว มาตามอยู่ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลไม่ให้สิ่งซึ่งล่วงไปแล้ว มาตามอยู่เป็นไฉน? เล่า บุคคลมาคิดว่า ณ กาลไกลล่วงไปแล้วเราได้เป็นผู้มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างนี้ๆ แล้วไม่นำความเพลิดเพลินในขันธ์ มีรูปขันธ์เป็นต้น ซึ่งล่วงไปแล้วนั้นมาตาม อยู่ ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แลชื่อว่าบุคคลไม่ให้สิ่งล่วงไปแล้วมาตามอยู่ เบื้องหน้าก็ไม่ปรารถนาไม่ให้มาตามอยู่ และปัจจุบันก็ไม่ให้มาตามอยู่ ไม่ถือว่าเราว่าเขา ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นอยู่ในธรรมทั้งหลาย พระอริยสาวกและสัตบุรุษท่านไม่ตามเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตัวตนบ้าง ไม่ตามเห็นตัวตนว่ามีรูป เวทนา สังขาร วิญญาณบ้าง ไม่ตามเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตัวตนบ้าง ไม่ตามเห็นตัวตนในรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้และ ชื่อว่า บุคคลไม่ง่อนแง่นอยู่ในธรรมทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นจำเพาะหน้าฉะนี้แล




    13 พหุเวทนิยสูตร

    สูตรนี้ว่าด้วยเวทนา เวทนา 2 นั้นคือ เวทนาทางกายอย่าง 1 เวทนาทางจิตอย่าง 1 เวทนา 3 นั้น คือ สุข 1 ทุกข์ 1 อุเบกขา 1 เวทนา 5 นั้นคือ สุขเวทนา 1 ทุกข์เวทนา1 โสมนัสสเวทนา 1 โทมนัสสเวทนา 1 อุเบกขาเวทนา 1 เวทนท 6 อย่างนับตามทวาร 6 เวทนา 18 เวทนา36 เวทนา 108




    14 พึงเป็นคนมีสติ

    อย่าถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง ความเสื่อมปัญญา นักปราชญ์ท่านติเตียน ความเจริญปัญญา เลิศกว่าความเจริญทั้งปวง




    15 อนุตตริยะ 6

    พระผู้มีพระภาค ตรัสเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลายว่ากิจทั้งหลายไม่มีกิจอื่นยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งเหล่านี้คือ ความเห็น 1 ความฟัง 1 ความได้ศรัทธา 1 ความศึกษา 1 ความบำเรอปฏิบัติ 1 ความระลึก 1




    16 อปัณณกธรรม

    ความสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ดูด้วยนิมิต ไม่ดูด้วยอนุพยัญชนะ ให้ดูด้วยอสุภนิมิต ความรู้ประมาณในโภชนะและชาคริยานุโยค ความพากเพียรอย่างผู้ตื่นอยู่ โดยกำหนดเวลาไว้ดังนี้ ตั้งแต่อรุณขึ้นไปตลอดถึงพลบค่ำเวลา 1 ตั้งแต่ย่ำค่ำไปจนถึงหนึ่งยามเวลา 1 ยามกลางตั้งแต่ 4 ทุ่ม นอนจนถึง 8ทุ่มลุกขึ้น - ตั้งแต่ยามกลางล่วงไปแล้ว จนตลอดอรุณขึ้นมาใหม่เวลา 1 เวลาเป็นที่ชำระจิตให้บริสุทธ์ เป็น 3 เวลาฉะนี้ ให้ผู้ประกอบความเพียรทำอย่างนี้จึงชื่อว่าชาคริยานุโยค
    ธรรม 3 ประการจะให้กำจัดเสียซึ่งอาสวะเรียกว่าอปัณณกธรรม ผู้ปฏบัติตามชื่ว่าทำความเพียรไม่ผิดดังนี้


    17 อริยทรัพย์

    สัทธา 1 หิริ 1 โอตตัปปะ 1 พาหุสัจจะ 1 วิริยะ 1 สติ 1 ปัญญา 1




    18 ธรรมเป็นเหตุเจริญเจโตวิมุติ

    ก: ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี อันนี้เป็นไปเพื่อความแก่กล้า แห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้าฯ
    ข: ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยธรรม เครื่องสำรวมคอปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาท และที่เที่ยวไปอันสมควรอยู่เป็นนิตย์ เห็นภัยในโทษมีประมาณน้อยโดยปกติ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาทั้งหลาย ธรรมอันนี้เป็นไปด้วยดี เพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้าฯ
    ค.ภิกษุเป็นผู้พากเพียรหมั่น ไม่ทอดธุระในการกุศล ธรรมอันนี้เป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ
    ฆ. ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาอันเห็นยังความเสื่อม และความดับของสังขารทั้งหลายเป็นปัญญาอย่าประเสริฐ อาจแทงกิเลสได้โดยไม่เหลือ เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ




    19 สัลเลขกถา

    ถ้อยคำเครื่องขัดเกลากิเลส 10 ประการคือ เจรจาถึงความมักน้อย 1 เจรจาถึงความสันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่ 1 เจรจาถึงความสงัด 1 เจรจาถึงความไม่ระคนด้วยหมู่ 1 เจรจาถึงความปรารภซึ่งความเพียร 1 เจรจาถึงศีลความสำรวมกายวาจา 1 เจรจาถึงสมาธิ ความที่จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว 1 เจรจาถึงปัญญาความรู้ทั่วถึง 1 เจรจาถึงวิมุตติความพ้นวิเศษ 1 เจรจาถึงวิมุตติญาณทัสสนะปัญญาที่รู้เห็นในวิมุตติ 1 รวมเป็น 10 ประการ




    20 วิธีถ่ายถอนกิเลส

    พึงเจริญอสุภภาวนา เพื่อละราคะเสีย พึงเจริญเมตตา เพื่อละพยาบาทเสีย พึงเจริญอาปานานสติเพื่อเข้าไปตัดวิตกเสีย พึงเจริญอนิจจสัญญา เพื่อถอนอัสมิมานะเสีย อนัตตาสัญญา ก็พึงเห็นพึงตั้งใจไว้ด้วยดี ความถอนอัสมิมานะขึ้นเสียได้ เป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมภพปัจจุบันนี้ทีเดียว




    21 พหุธาตุกสูตร

    ณ กาลใด ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในธาตุ เป็นผู้ฉลาดในอายตนะ เป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปาทธรรม เป็นแดนอาศัยเกิดขึ้นพร้อม เป็นผู้ฉลาดในฐานะ - อฐานะ คือ สิ่งที่เป็นได้ เป็นไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาดอย่างนี้ นักปราชญ์เรียกว่าเป็นปัณฑิตผู้มีปัญญาไต่สวน
    ธาตุ 18 คือ จักขุ 1 รูปธาตุ 1 จักขุวิญญาณ ธาตุ 1 โสตธาตุ 1 โสตวิญญาณธาตุ 1 ฆานธาตุ 1 คันธธาตุ 1 ฆานวิญญาณธาตุ 1 ชิวหาธาตุ 1 รสธาตุ 1 ชิวหาวิญญาณธาตุ 1 กายธาตุ 1 โผฏฐัพพธาตุ 1 กายวิญญาณธาตุ 1 มโนธาตุ 1 วาโยธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1
    ธาตุ 6 คือ ปฐวีธาตุ 1 อาโปธาตุ 1 เตโชธาตุ 1 วาโยธาตุ 1 อากาศธาตุ 1 วิญญาณธาตุ 1
    ธาตุ 6 อื่นอีกคือ สุขธาตุ ธาตุคือสุข 1 ทุกข์ธาตุ ธาตุคือทุกข์1 โสมนัสสธาตุ ะาตุคือผู้มีใจดี 1 โทมนัสสธาตุ ธาตุคือผู้มีใจชั่ว 1 อุเบกขาธาตุ 1 อวิชชาธาตุ 1
    ธาตุเหล่านี้คือ กามธาตุ ธาตุคือกาม 1 เนกขัมมธาตุ ธาตุคือความออกไปจากกาม 1พยาบาทธาตุ ธาตุคือพยาบาท 1 อพยาบาทธาตุ ธาตุ คือความไม่พยาบาท 1 วิหิสํธาตุคือความเบียดเบียน 1 อวิหิสํธาตุ ธาตุคือความไม่เบียดเบียน 1 รวมเป็น 6 ประการ
    ธาตุ 3 เหล่านี้คือ กามธาตุ ธาตุคือกาม 1 รูปธาตุ ธาตุคือรูป1 อรูปธาตุ ธาตุคืออรูป 1ฯ
    ธาตุ 2 เหล่านี้คือ สังขตธาตุ ธาตุอันปัจจัยตกแต่ง 1 อสังขตธาตุ ธาตุอันเป็นปัจจัยไม่ตกแต่ง 1 ฯ
    ก็อายตนะทั้งหลายที่เป็นภายใน 6 ที่เป็นภายนอก 6 เหล่านี้ ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปาทธรรมอันมีอวิชชาเป็นต้น ไปจนถึง สงขิตเตน ปญจุปาทาน ขนธาปิ ทุกขา นั้น ย่อมรู้ชัดว่า บุคคลได้บรรลุพระโสดาบันแล้วเป็นคนไม่ถือมั่น ปุถุชนย่อมถือมั่นในสังขาร ถือว่าตัวตนเราเขาว่าเที่ยงแท้
    ธรรมปริยายนี้ชื่อ พหุธาตุกสูตร ว่าด้วยธาตุมาก เรียกว่า จตุปริวัฏฏ์ เวียนรอบ 4 บ้าง ว่า ธัมมาทาสา แว่นส่องธรรมบ้าง ว่า มตกุนกุภิ กลองอมฤตเภรีบ้าง ว่า อนุตตรสงคามวิชย เครื่องชนะสงครามอันเยี่ยมบ้าง




    22 พระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ

    นมตถุ สุคตสส ฯ สมมาสมพุทธมตุลํ สสทธมม คณุตตมํ อภิวาทิย ภาสิสสํ อภิธมมตตถ สงคหํ ตตถ วุตตาภิธมมตถา จตุธา ปรมตถโต จิตตํ เจตสิกํ รูปํ นิพพานมีติ สพพถาติ
    บัดนี้จะแสดงพระอภิธรรมปรมัตถสังคหะ ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคบรมศาสดาจารย์ญาณสัพพัญญู ผู้เป็นบรมครูเจ้าได้ตรัสไว้ อันท่านพระอนุรุทธาจารย์นำมาประพันธ์เป็นคาถา 9 ปริเฉทดังต่อไปนี้
    สังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง จัดโดยหมวดเป็น 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สงเคราะห์ลงเป็น 3 ประการ คือจิต เจตสิก รูป ฯ วิญญาณขันธ์เป็นจิต เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก รูปขันธ์แยกเป็นภูตรูป และอุปาทายรูป ส่วนอสังขธรรมนั้นได้แก่พระนิพพาน ซึ่งมีอารมณ์เหี่ยวแห้งด้วยอริยมรรค จิต - อริยผลจิตแล้ว
    จิตแยกเป็น 4 ประเภท โดยภูมิ คือกามาวจรจิต 1 รูปาวจรจิต 1 อรูปาวจรจิต 1 โลกุตตรจิต 1 จิตซึ่งเป็นไปในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในกามภพ 11 คืออบายภูมิ 4 กามสุคติภูมิ 7 ชื่อว่ากามาวจรจิต 54 ดวงจิตซึ่งเป็นไปโดยมากในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในรูปภพชื่อว่า รูปาวจร 15 ดวง จิตซึ่งเป็นไปโดยมากในสันดานของสัตว์ ซึ่งเกิดในอรูปภพชื่อว่า อรูปาวจรจิต 12 ดวง จิตซึ่งข้ามขึ้นจากโลก คือปัญจุปาทานขันธ์ไม่มีอาสวะชื่อว่า โลกุตตรจิต คือ อริยมรรคคจิต 4 อริยผลจิต 4 เป็น 8 ดวง สิริรวมเป็นจิต 89 ดวง ด้วยประการฉะนี้
    เจตสิก 25 ดวง เป็นธรรมเป็นไปในจิต เกิดกับดับพร้อมกับจิต ซึ่งแจกโดยประเภท และอาการแตกต่างแห่งหมวดธรรม นับได้ 25 ดวงด้วยประการฉะนี้
    ธรรมสังคหะ 6 อาการ คือ เวทนา 6 เหตุ 6 กิจ 6 ทวาร 6 อารมณ์ 6 วัตถุ 6 ด้วยประการฉะนี้
    ฉักกะ 6 คือ วัตถุ 6 ทวาร อารมณ์ 6 วิญญาณ 6 วิถีจิต 6 วิสยปวัตติ 6
    จตุกกะ 4 คือ ภูมิจตุกะ ได้แก่ภูมิทั้ง 4 คือ อบายภูมิ 1 กามสุคติภูมิ 1 รูปาวจรภูมิ 1 อรูปาวจรภูมิ 1 ปฏิสนธิจตุกกะ ท่านจำแนกปฏิสนธิออกเป็น 4 คือ อบายภูมิปฏิสนธิ 1 กามสุคติปฏิสนธิ 1 รูปาวจรปฏิสนธิ 1 อรูปาวจรปฏิสนธิ 1 กัมมจตุกกะ ท่านแสดงกรรมดดยประเภทแห่งกิจ 4 คือ ชนกกรรม 1 อุปฆาตกะกรรม 1 ยังกรรมอีก 4 ประการ คือ ครุกรรม 1 อาสันนกรรม 1 อาจิณณกรรม 1 กตัตตากรรม 1 อธิบายครุกรรมนั้นคือ กรรมหนัก ฝ่ายบุญได้แก่ฌาณสมาบัติ ฝ่ายบาปได้แก่อนันตริยกรรมธรรมทั้ง 5 อาสันนกรรมนั้นได้แก่กุศลกิจและอกุศลกิจที่ทำใกล้เวลามรณะ อาจิณณกรรมนั้นได้แก่กุศลและอกุศลที่บุคคลทำอยู่เนืองๆ กตัตตากรรมนั้นได้แก่กุศลและอกุศลมีกำลังอ่อน ยังกรรมอีก 5 ประการ คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม 1 อุปปัชชเวทนียกรรม 1 อปราปรเวนียกรรม 1 อโหสิกรรม 1
    มรณจตุกกะ ท่านแสดงลักษณะมรณะ 4 ประการ คือ อายุกขยมรณะ 1 กัมักขยะมรณะ 1 อุภยักขยมรณะ 1 อุปัจเฉทกัมมุนามรณะ 1 ชาติทุกข์เป็นเบื้องต้น ชราพยาธิเป็นท่ามกลาง มรณทุกข์เป็นเบื้องปลาย
    รูปสังคหะสังเขป 5 ประการ คือ สมุทเทศนัย 1 วิภาคนัย 1 สมุฏฐานนัย 1 กลาปนัย 1 ปวัตติกนัย 1 อธิบายว่าลักษณะที่แสดงรูปโดยย่อชื่อว่าสมุเทศนัย วิธีจำแนกรูปทั้งปวงโดยส่วนหนึ่งๆ ชื่อว่าวิภาคนัย วิธีแสดงปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดรูปมีกุศลากุศลเป็นต้นชื่อว่า สมุฏฐานนัย วิธีแสดงรูปบรรดาที่เกิดดับพร้อมกันเป็นหมู่เป็นแผนกมีจักขุทสกะเป็นต้นชื่อว่ากลาปนัย วิธีแสดงความเกิดเป็นลำดับแห่งภพและกาลของสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าปวัตติกนัย
    พิพพานํ ปน โลกุตตร อสงขตํ บัณฑิตกล่าวว่า โลกุตตระธรรมสังขตธาตุ ไม่มีเครื่องปรุงเป็นของบริสุทธ์ ไม่มีเรื่องเกิดและดับ พระนิพพานนั้นเป็นของธรรมชาติอันบุคคลจะพึงทำให้แจ้งได้ด้วยอริยมรรคญาณทั้ง 4 เมื่ออริยมรรคธรรมเกิดขึ้นแล้วจึงเห็นพระนิพพาน เอวิธมปิ พระนิพพานนั้นเมื่อกล่าวโดยสภาพก็มีอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ พระนิพพานนี้จึงเป็นเอกปฏิเวธาภิสมัย ตรัสรู้ได้ในขณะจิตเดียวด้วยประการฉะนี้
    สมุจจัยสังคหะ 4 คือ อกุศลสังคหะ 1 มิสสกสังคหะ 1 โพธิปักขิยสังคหะ 1 สัพพัตถสังคหะ 1 อกุศลสังคหะนั้นท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เป็นอกุศลเป็นอาการ 535 มิสสกสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมทั้งกุศลและอกุศลเจือปนกัน โพธิปักขิยสังคหะนั้นท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ 37 ประการ สัพพัตถสังคหะนั้นท่านงสงเคราะห์ธรรมส่วนที่เรียกว่า ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อริยสัจจ์
    จะแสดงสมุจจัยสังคหะตามที่ได้ยกนิเขปบทขึ้นตั้งไว้นั้นสืบไป
    ในอกุศลสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เป็นอกุศลสังกิเลส 7 หมวด
    คือ อาสวะ 4 โอฆะ 4 โยคะ 4 คันถะ 4 อุปทาน 4 นิวรณ์ 5 สังโยชน์ 10
    ในมิสสาสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์เหล่าธรรมที่เจือกันทั้งกุศลอกุศล เป็น 7 หมวด
    คือธาตุ 6 หมวด 1 องค์ฌาณ 5 หมวด 1 อายตนะ 12 หมวด 1 อินทรีย์ 22 หมวด 1 อธิปติ 4 หมวด 1 อาหาร 4 หมวด 1
    ในโพธิปักขิยสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งโพธิญาณ 7 หมวด
    คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8
    ในสัพพัตถสังคหะนั้น ท่านสงเคราะห์ธรรมที่ไม่ได้เรียกว่าสัตว์บุคคล จัดไว้ 5 หมวด
    คือ ขันธ์ 5 อุปาทานขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อริยสัจจ์ 4
    จะแสดงปัจจัยสังคหะปริเฉทที่ 8 สืบไป
    ปัจจัยสังคหะนี้ ท่านสงเคราะห์ซึ่งธรรมปัจจัยตามนัย 2 ประการ
    คือ ปฏิจจสมุปบาทปัจจัยนัย 1 สมนตมหาปัฏฐานปัจจัยนัย 1 นัยอันใดที่พระบรมครูสัพพัญญูตรัสเทศนาไว้ใน ปฏิจจสมุปบาทธรรม นัยอันนั้น ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทนัย นัยอันใดซึ่งพระองค์ตรัสเทศนาไว้ในพระคัมภีร์สมันมหาปัฏฐาน นัยอันนั้นชื่อว่า ปัฏฐานนัย
    ในปัจจัยสังคหะนี้ พระอรรถกถาจารย์ยกเอานัยทั้งสองประการนั้นประชุมกันแสดงออกให้พิศดารเพื่อให้สาธุชนได้ทราบว่า ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัย ธรรมเหล่านี้เกิดแต่ปัจจัย โดยนัยพระบาลีในปฏิจจสมุปบาทธรรมว่า อวิชชา ปจจยา สงขารา สงขารา ปจจยา วิญญาณํ ดังนี้เป็นต้น มีเนื้อความว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมอาศัยเหตุปัจจัยต่อๆ กันด้วยประการฉะนี้
    ในปัฏฐานนัยนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาจำแนกปัจจัย 24 ประการ มีเหตุปัจจัยเป็นต้น มีอวิคตปัจจัยเป็นที่สุด
    ก็เหตุปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมเป็นเหตุ เป็นเค้า เป็นมูล ในฝ่ายกุศลมี 3 คือ อโลภะ ความไม่โลภ อโทสะ ความไม่โกรธ อโมหะ ความไม่หลง ในฝ่ายอกุศลก็มี 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี้แหละท่านว่า เหตุปัจจัยฯ
    อารัมมณปัจจัยนั้น ได้แก่อารมณ์ทั้ง 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อารมณ์ ทั้ง 6 นั้น ย่อมเป็นที่ยึดหน่วงแห่งจิตและเจตสิกทั้งปวง อันเกิดขึ้นในทวารทั้ง 6 มีจักขุทวารเป็นต้น จึงชื่อว่าอารัมมณปัจจัย
    อธิปติปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันเป็นอุปการะด้วยความเป็นใหญ่ในธรรมทั้งหลายอันเนื่องกัน อนันตรปัจจัย แลสมนันตรปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันบังเกิดก่อนแล้วจึงเป็นอุปการปัจจัยให้โอกาสแก่ธรรมอันบังเกิดภายหลัง หาธรรมอื่นขั้นในระหว่างมิได้ สหชาตปัจจัยนั้น ได้แก่ ธรรมอันเป็นอุปการะด้วยความเป็นของเกิดขึ้นพร้อมกัน ประหนึ่งเปลวประทีปกับแสงสว่างอันเกิดพร้อมกันฉะนั้น อัญญมัญญปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมที่เกิดอาศัยกันและกันจึงตั้งอยู่ได้ ดังไม้สามท่อนอันอิงอาศัยกันและกันฉะนั้น
    นิสสัยปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันเป็นอุปการะคือที่อาศัย ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่อาศัยแห่งต้นไม้แลภูเขาฉะนั้นฯ อุปนิสสัยปัจจัยนั้น ได้แก่ธรรมอันเป็นอุปการะ คือเป็นอุปนิสสัยตามติดตนฯ ปุเรชาตปัจจัยนั้นได้แก่รูปธรรมอันเกิดขึ้นก่อนแล้วเป็นปัจจัยแก่จิตและเจตสิกอันบังเกิด ณ ภายหลังฯ ปัจฉาชาตปัจจัยนั้นได้แก่จิตและเจตสิกอันเกิดภายหลัง แล้วเป็นอุปการะแก่รูปอันเกิดก่อนฯอาเสวนปัจจัยนั้น ได้แก่ชวนจิตอันมีชาติเสมอกัน ย่อมให้กำลังในกิจที่เป็นบุญและบาปทุกประการฯ กัมมปัจจัยนั้น ได้แก่กุศลและอกุศลอันเป็นปัจจัยให้สำเร็จผลคือสุขและทุกข์แก่สัตว์ วิปากปัจจัยนั้นได้แก่วิบากจิตอันบังเกิดเป็นอุปการแก่สัตว์อันเสวยสุขและทุกข์ฯ อาหารปัจจัยนั้น ได้แก่อาหาร 4 ประการ คือ ผัสสาหาร 1 มโนสัญเจตนาหาร 1 วิญญาณาหาร 1 กวฬึการาหาร 1ฯ อินทรีย์ปัจจัยนั้น ได้แก่ปสาทรูปทั้ง 5 มีจักขุปสาทเป็นต้น เป็นใหญ่ในที่จะกระทำให้วิญญาณทั้ง 5 เป็นไปในอำนาจ หรือรูปชีวิตินทรีย์เป็นใหญ่ในที่จะกระทำให้กำลังรูปประพฤติเป็นไปในอำนาจฌาณปัจจัยนั้น ได้แก่องค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น เป็นปัจจัยให้กำลังแก่นามและรูปฯ มัคคปัจจัยนั้น ได้แก่มรรคมีองค์ 8 ประการ ทั้งฝ่ายโลกีย์และโลกุตตระเป็นปัจจัยให้แก่นามธรรมและรูปธรรม อันเกิดพร้อมกันฯ สัมปยุตตปัจจัยนั้นคือจิตและเจตสิก อันเป็นปัจจัยแก่กันเกิดกับดับพร้อมกัน มีอารมณ์เป็นอันเดียวกันฯ วิปปยุตตปัจจัย นั้น คือรูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ประกอบกัน มิได้ระคนกัน อตถิปัจจัยนั้น คือรูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ ย่อมเป็นปัจจัยให้กำลังแก่กัน นัตถิปัจจัยวิคตปัจจัยนั้นคือนามและรูปดับแล้ว มีปัจจัยให้บังเกิดต่อไปในเบื้องหน้าฯ วิคตปัจจัยนั้นมีเนื้อความเหมือนอัตถิปัจจัย การที่ตรัสพยัญชนะให้ต่างกันแต่เนื้อความเป็นอย่างเดียวกันนั้น ก็ด้วยทรงอนุโลมตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์ที่ควรรู้ได้ด้วยอรรคพยัญชนะ ประการใด ก็ทรงภาษิตไว้ด้วยประการนั้นฉะนี้แล
    จะแสดงกรรมฐานภาวนาต่อไป กรรมฐานภาวนามี 2 ประการ คือ สมถกรรมฐานภาวนา 1 วิปัสสนากรรมฐานภาวนา 1 ก็ในกรรมฐานสังคหะ 2 ประการนั้น จะแสดงสมถสังคหะก่อน ก็สมถกรรมฐานนั้นทีอารมณ์เป็นเครื่องยึดหน่วงแห่งจิต ทำจิตให้สงบถึง 40 ทัศ จัดเป็นหมวดได้ 7 หมวด คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 อัปปมัญญาพรหมวิหาร 4 อาหารปฏิกูลสัญญา 1 ธาตุววัตถาน 1 อรูปกรรมฐาน 4
    ก็สมถกรรมฐานนี้มีอารมณ์มากถึง 40 ทัศ นั้นท่านแสดงไว้ดดยสมควรแก่จริตของโยคาวจรบุคคลเพราะบุคคลย่อมมีจริตต่าง ๆ กันถึง 6 ประการ
    1. โยควจรที่เป็นราคจริต มากไปด้วยความกำหนัดยินดี ในเบญจกามคุณควรเจริญอสุภะ 10 และกายคตาสตเป็นอารมณ์จึงเป็นที่สบาย
    2.โยคาวจรที่เป็นโทสจริต มักโกธรมักประทุษร้าย ควรเจริญพรหมวิหาร 4 และวรรณกสิณ 4 คือ นีลกสิณ 1 ปีตกสิณ 1 โลหิตกสิณ 1 โอทาตกสิณ 1 จึงเป็นที่สบาย
    3-4 โยคาวจรที่เป็นโมหจริต มักลุ่มหลงมาก กับที่เป็นวิตกจริต มักตรึกตรองมาก ควรเจริญอานาปานสติกรรมฐาน จึงเป็นที่สบาย
    5. โยคาวจรที่เป็นสัทธาจริต มักเชื่อคนพูดง่ายๆ ควรเจริญ พุทธานุสสติ ธมมานุสสติ สงฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวดานุสสติ จึงเป็นที่สบาย
    6. โยคาวจรที่เป็นพุทธิจริต มากไปด้วยปัญญา ควรเจริญมรณัสสติ อุปสมานุสสติ อาหารปฏิกูลสัญญา และจตุธาตุววัตถาน จึงเป็นที่สบาย
    ส่วนกรรมฐานที่เหลือ 10 ประการ คือ รูปกสิณ 4 ได้แก่ ปฐวี - อาโป - เตโช - วาโยกสิณ อรูปกสิณ 2 คือ อาโลกกสิณ และอากาสกสิณ และอรูปกรรมฐาน 4 ย่อมเป็นที่สบายแก่จริตทั้งปวง
    จะแสดงวิปัสสนากรรมฐานสืบไปในวิปัสสนากรรมฐาน ท่านแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ วิสุทธิ 1 วิโมกข์ 1 อริยบุคคล 1 สมาบัติ 1
    วิสุทธิ นั้นแจกออกเป็น 7 ประการคือ สีล วิสุทธิ 1 จิตตวิสุทธิ 1 ทิฏฐิวิสุทธิ 1 กังขาวิตรณวิสุทธิ 1
    วิโมกข์ นั้นแจกออกเป็น 3 ประการคือ สุญญตวิโมกข์ 1 อนิมิตตวิโมกข์ 1 อัปปณิหิตวิโมกข์ 1 ฯ
    บุคคลนั้นท่านจำแนกออกเป็นอริยบุคคล 8 จำพวก มีพระโสดามรรคบุคคลเป็นต้น พระอรหัตตผลบุคคลเป็นที่สุด ฯ
    สมาบัติ ท่านจำแนกเป็นรูปสมาบัติ 4 อรูปสมาบัติ 4 เป็นสมาบัติ 8 ประการ ด้วยประการฉะนี้แล



    23 วิธีเจริญกรรมฐานภาวนา

    จะแสดงวิธีเจริญกรรมฐานภาวนา เพื่อโยคาวจรกุลบุตรได้ศึกษาและปฏิบัติสืบไป โยคาวจรผู้ใดจะเจริญกรรมฐานภาวนา พึงตรวจดูจริตของตนให้รู้ชัด ว่า ตนเป็นคนมีจริตอย่างใดแน่นอนก่อนแล้วพึงเลือกเจริญกรรมฐานอันเป็นที่สบายแก่จริตนั้นๆ ดังได้แสดงไว้แล้วนั้นเถิด
    อนึ่ง พึงทราบคำกำหนดความดังต่อไปนี้ไว้เป็นเบื้องต้นก่อน คือบริกรรมนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานที่นำมากำหนดพิจารณา อุคคหนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอันปรากฏขึ้นในมดนทวาร ขณะที่กำลังทำการเจริญภาวนาอยู่อย่างชัดแจ้ง คล้ายเห็นด้วยตาเนื้อ ปฏิภาคนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอันปรกฏแจ่มแจ้งแก่ใจของผู้เจริญภาวนายิ่งขึ้นกว่าอุคคหนิมิต และพึงทราบลำดับแห่งภาวนาดังนี้ บริกรรมภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในระยะแรกเริ่มใช้สติประคองใจกำหนดพิจารณาในอารมณ์ กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง อุปจารภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในขณะเมื่ออุคคหนิมิตเกิดปรากฏในมโนทวาร อัปปนาภาวนา หมายการเจริญภาวนาในขณะเมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏ จิตเป็นสมาธิแนบเนียน มีองค์ฌาณปรากฏขึ้นครบบริบูรณ์
    บริกรรมภาวนาได้ทั่วไปในกรรมฐานทั้งปวง อุปจารภาวนาได้ในกรรมฐาน 10 ประการ คือ อนุสสติ 8 ตั้งแต่พุทธานุสสติ ถึงมรณัสสติ กับอาหาเรปฏิกูลสัญญาและจตุธาตุววัตถาน เพราะเป็นกรรมฐานสุขุมละเอียดยิ่งนัก ส่วนอัปปนาภาวนานั่นได้ในกรรมฐาน 30 คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 อานาปานสติ 1 กายคตาสติ 1 พรหมวิหาร 4 และอรูปกรรมฐาน 4
    กรรมฐาน 11 คืออสุภะ 10 กับกายคตาสติ 1 ให้สำเร็จแต่เพียง รูปาวจร ปฐมฌาณ พรหมวิหาร 3 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ให้สำเร็จรูปาวจรฌาณทั้ง 4 ประการ อุเบกขาพรหมวิหาร ให้สำเร็จแต่บัญจมรูปาวจรฌาณอย่างเดียว อรูปกรรมฐาน 4 ให้สำเร็จแต่อรูปาวจรฌาณอย่างเดียวฯ

    ( 1 ) วิธีเจริญปฐวีกสิณ กุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานภาวนา อันชื่อว่าปฐวีกสิณ พึงตัดปลิโพธกังวลห่วงใยน้อยใหญ่เสียให้สิ้นแล้ว ไปยังที่เงียบสงัด เพ่งพิจารณาดินที่ตนตกแต่งเป็นดวงกสิณเป็นอารมณ์ หรือจะเพ่งพิจารณาดินที่แผ่นดินหหรือที่ลานข้าวเป็นต้นเป็นอารมณ์ก็ได้ เมื่อจะพิจารณาดินที่มิได้ตกแต่งไว้เป็นดวงกสิณนั้น พึงกำหนดให้มีที่สุดโดยกลมเท่าตะแกรง กว้างคืบ 4 นิ้ว เป็นอย่างใหญ่หรือเล็กกว่ากำหนดนี้ แล้วพึงบริกรรมภาวนาว่าปฐวีๆ ดินๆ ดังนี้ร่ำไป ถ้ามีวาสนาบารมีเคยได้สั่งอบรมมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว ก็อาจได้สำเร็จฌาณ ถ้าหากวาสนาบารมีมิได้ ก็ยากที่จะสำเร็จฌาณด้วยการเพ่งแผ่นดินอย่างว่านี้ จำจะต้องทำเป็นดวงกสิณ เมื่อจะทำ พึงหาดินสีแดงดังแสงพระอาทิตย์แรกอุทัย มาทำ อย่าทำในที่คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน พึงทำในที่สงัดเป็นที่ลับที่กำบัง ดวงกสิณนั้นจะทำตั้งไว้กะที่ทีเดียว หรือจะทำชนิดยกไปได้ก็ตาม ดินที่ทำดวงกสิณนั้น พึงชำระให้หมดจด ทำเป็นวงกลม กว้างคืบ 4 นิ้ว ขัดให้ราบเสมอดังหน้ากลอง พึงปัดกวาดที่นั้นให้เตียนสะอาด ปราศจากหยากเยื่อเฟื้อฝอยแล้วพึงชำระกายให้หมดเหงื่อไคล เมื่อจะนั่งภาวนา พึงนั่งบนตั่งที่มีเท้าสูง คืบ 4 นิ้ว นั่งห่างดวงกสิณออกไปประมาณ 2 ศอกคืบ พึงนั่งขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงผินหน้าไปทางดวงกสิณ แล้วพึงพิจารณาโทษกามคุณต่าง ๆ และตั้งจิตไว้ให้ดีในฌาณธรรมอันเป็นอุบายที่จะยกตนออกจากกามคุณ และจะล่วงพ้นกองทุกข์ทั้งปวง แล้วพึงระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยังปรีดาปราโมทย์ให้เกิดขึ้น แล้วพึงทำจิตให้เคารพรักใคร่ในพิธีทางปฏิบัติให้มั่นใจว่าปฏิบัติดังนี้ ได้ชื่อว่าเนกขัมมปฏิบัติ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทะเจ้าเป็นต้น จะได้ละเว้นหามิได้ ล้วนแต่ปฏิบัติดังนี้ทุกๆ พระองค์ ครั้นแล้วพึงจิตว่า เราจะได้เสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกด้วยปฏิบัติอันนี้โดยแท้ ยังความอุตสาหะให้เกิดขึ้นแล้วจึงลืมจักษุขึ้นดูดวงกสิณเมื่อลืมจักษุขึ้นนั้น อย่าลืมขึ้นให้กว้างนัก จะลำบากจักษุ อนึ่งมณฑลกสิณจะปรากฏแจ้งเกินไป ครั้นลืมลืมจักษุขึ้นน้อยนักมณฑลกสิณก็จะปรากฏแจ้ง จิตที่จะถือเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์นั้น ก็จะย่อหย่อนท้อถอยเกียจคร้านไป เหตุฉะนี้จึงพึงลืมจักษุขนาดส่องเงาหน้าในกระจก อนึ่ง เมื่อแลดูดวงกสิณนั้นอย่าพิจารณาสี พึงกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นดินเท่านั้น แต่สีดินนั้นจะละเสียก็มิได้ เพราะว่าสีดินกับดวงกสิณเนื่องกันอยู่ ดูดวงกสิณก็เป็นอันดูสีอยู่ด้วย เหตุฉะนี้ พึงรวมดวงกสิณกับสีเข้าด้วยกัน และดูดวงกสิณกับสีนั้นให้พร้อมกัน กำหนดว่า สิ่งนี้เป็นดิน แล้วจึงบริกรรมภาวนาว่า ปฐวีๆ ดินๆ ดังนี้ร่ำไป ร้อยครั้งพันครั้งเมื่อกระทำบริกรรมภาวนาว่าปฐวี ๆ อยู่นั้นอย่าลืมจักษุเป็นนิตย์ พึงลืมจักษุดูอยู่หน่อยหนึ่งแล้วหลับลงเสีย หลับลงสักหน่อย แล้วพึงลืมขึ้นดูอีก พึงปฏิบัติโดยทำนองนี้ไปจนกว่าจะได้อุคคหนิมิต ก็กสิณนิมิตอันเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งจิต ในขณะที่ทำการบริกรรมว่าปฐวีนั้น ชื่อว่าบริกรรมภาวนา เมื่อตั้งจิตในกสิณนิมิต กระทำบริกรรมว่าปฐวีๆ นั้น ถ้ากสิณนิมิตมาปรากฏในมโนทวารหลับจักษุลงกสิณนิมิตก็ปรากฏอยู่ในมโนทวารดังลืมจักษุแล้วกาลใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิต ณ กาลนั้น เมื่อได้อุคคหนิมิตแล้ว พึงตั้งจิตอยู่ในอุคคหนิมิตนั้น กำหนดให้ยิ่งวิเศษขึ้นไป เมื่อปฏิบัติอยู่ดังนี้ ก็จะข่มนิวรณธรรมโดยลำดับๆ กิเลสก็จะสงบระงับจากสันดาน สมาธิก็จะแก่กล้าเป็นอุปจารสมาธิ ปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏขึ้นอุคคหนิมิตกับปฏิภาคนิมิต มีลักษณะต่างกัน คืออุคคหนิมิตยังประกอบด้วยกสิณโทษ คือยังปรากฏเป็นสีดินอยู่อย่างนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏบริสุทธิ์งดงามดังแว่นกระจก ที่บุคคลถอดออกจากฝักจากถุงฉะนั้น จำเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ทั้งสิ้นก็ระงับไปจิตก็ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ สำเร็จเป็นกามาพจรสมาธิภาวนา เมื่อได้อุปจารสมาธิแล้ว ถ้าพากเพียรพยายามต่อขึ้นไปไม่หยุดหย่อน ก็จะได้สำเร็จอัปปนาสมาธิซึ่งเป็นรูปาวจรฌาณ และเมื่อกระทำเพียรจนบรรลุถึงอัปนาฌาณ เกิดขึ้นในสันดานแล้ว ก็พึงกำหนดไว้ว่า 1 เราประพฤติอิริยาบถอย่างนี้ๆ 2 อยู่ในเสนาสนะอย่างนี้ๆ 3 โภชนาหารอันเป็นที่สบายอย่างนี้ๆ จึงได้สำเร็จฌาณการที่ให้กำหนดไว้นี้ เผื่อว่าฌาณเสื่อมไปก็จะได้เจริญสืบต่อไปใหม่โดยวิธีเก่า ฌาณที่เสื่อมไปนั้น ก็จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายในสันดานอีก ครั้นเมื่อได้สำเร็จปฐมฌาณแล้วพึงปฏิบัติในปฐมฌาณนั้นให้ชำนาญคล่อง แคล่วด้วยดีก่อนแล้วจึงเจริญทุติยฌาณสืบต่อขึ้นไป
    ก็ปฐมฌาณที่ชำนาญคล่องแคล่วด้วยดี ต้องประกอบด้วยวสีทั้ง 5 คือ
    ( 1 ) อาวัชชนวสี ชำนาญคล่องแคล่วในการนึก ถ้าปรารถนาจะนึกถึงองค์ฌาณที่ตนได้ ก็นึกได้เร็วพลัน มิได้เนิ่นช้า มิต้องรอนานถึงชวนจิตที่ 4-5 ตกลง ยังภวังค์จิต 2-3 ขณะถึงองค์ฌาณที่ตนได้
    (2) สมาปัชชนวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะเข้าฌาณอาจเข้าฌาณได้ในลำดับอาวัชชนจิต อันพิจารณาซึ่งอารมณ์คือปฏิภาคนิมิตมิได้เนิ่นช้า
    (3) อธิษฐานวสี คือชำนาญในอันดำรงรักษาฌาณจิตไว้มิให้ตกภวังค์ ตั้งฌาณจิตไว้ได้ตามกำหนด ปรารถนาจะตั้งไว้นานเท่าใดก็ตั้งไว้ได้นานเท่านั้น
    (4)วุฎฐานวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการออกฌาณ กำหนดไว้ว่าเวลานั้นๆ จะออกก็ออกได้ตามกำหนดไม่คลาดเวลาที่กำหนดไว้
    (5) ปัจจเวกขณวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการพิจารณาองค์ฌาณที่ตนได้อย่างรวดเร็ว มิได้เนิ่นช้า ถ้าไม่ชำนาญไนปฐมฌาณแล้วอย่าพึงเจริญทุติยฌาณก่อน ต่อเมื่อชำนิชำนาญคล่องแคล่วในปฐมฌาณด้วยวสีทั้ง 5 ดังกล่าวแล้ว จึงควรเจริญทุติยฌาณสืบต่อขึ้นไป เมื่อชำนาญในทุติยฌาณจึงเจริญตติยฌาณ จตุตถฌาณ และปัญจมฌาณขึ้นไปตามลำดับ
    องค์ของฌาณเป็นดังนี้ ปฐมฌาณมีองค์ 5 คือวิตก ความตรึกคิดมีลักษณะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์เป็นองค์ที่ 1 วิจารณ์ ความพิจารณามีลักษณะไตร่ตรองอารมณ์เป็นองค์ที่ 2 ปิติ เจตสิกธรรมที่ยังกายและจิตใจให้อิ่มเต็มมีประเภท 5 คือ
    (1) ขุททกาปิติ กายและจิตอิ่มจนขนพองชูชันทำให้น้ำตาไหล
    (2) ขณิกาปิติ กายและจิตอิ่มมีแสงสว่างดังฟ้าแลบปรากฎในจักษุทวาร
    (3) โอกกนติกาปิติ กายและจิตอิ่ม ปรากฏดั่งคลื่นและละลอกทำให้ไหวให้สั่น
    (4) อุพเพงคาปิติ กายและจิตอิ่มและกายเบาเลื่อนลอยไปได้
    (5) ผรณาปิติ กายและจิตอิ่ม เย็นสบายซาบซ่านทั่วสรรพางค์กาย ปิติทั้ง 5 นี้อันใดอันหนึ่งเป็นองค์ที่ 3 สุขอันเป็นไปในกายและจิต เป็นองค์ที่ 4 และเอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านไปมา จัดเป็นองค์ครบ 5
    ฌาณที่พร้อมด้วยองค์ 5 นี้ชื่อว่าปฐมฌาณฯ ทุตยฌาณ มีองค์ 3 คือปิติสุข เอกัคคตา ตติฌาณมีองค์ 2 คือสุข เอกัคคตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือเอกัคคตา อุเบกขา นี้จัดโดยฌาณจุกกนัย ถ้าจัดโดยฌาณปัญจกนัยเป็นดังนี้ ปฐมฌาณมีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร สุข เอกัคคตา ทุตติฌาณ มีองค์ 4 คือ วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ตติยฌาณมีองค์ 3 คือปิติ สุข เอกัคคตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือ สุข เอกัคคตา ปัญจมฌาณมีองค์ 2 คือ เอกัคคตาอุเบกขา
    กุลบุตรผู้เจริญ กสิณนี้อาจได้สำเร็จฌาณสมาบัติโดยจตุกกนัย หรือปัญจกนัยดังกล่าวมานี้

    (2) วิธีเจริญอาโปกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญอาโปกสิณ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาสั่งสมอาโปกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว ถึงจะมิได้ตกแต่งกสิณเลยเพียงแต่เพ่งดูน้ำในที่ใดที่หนึ่งเช่นในสระในบ่อ ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้ากุลบุตรอันหาวาสนาในอาโปกสิณมิได้ พึงเจริญอาโปกสิณในปัจจุบันชาตินี้ ก็พึงทำเอาอาโปกสิณด้วยน้ำที่ใสบริสุทธ์เอาน้ำใส่ภาชนะ เช่นบาตรหรือขันให้เต็มเพียงขอบปากยกไปตั้งไว้ในที่กำบัง ตั้งม้าสี่เหลี่ยมสูงคืบ 4 นิ้ว กระทำพิธีทั้งปวงโดยทำนองที่กล่าวไว้ในวิธีเจริญปฐวีกสิณนั้นเถิด คำบริกรรมภาวนาในอาโปกสิณว่า อาโป ๆ น้ำ ๆ พึงบริกรรมดังนี้ร่ำไปร้อยครั้งพันครั้ง จนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และอัปปนาฌาณ โดยลำดับ ก็อุคคหนิมิตในอาโปกสิณนี้ปรากฏดุจไหว ๆ กระเพื่อม ๆ อยู่ ถ้าน้ำนั้นประกอบด้วยกสิณโทษคือเจือปนด้วยเปลือกตมหรือฟอง ก็จะปรากฏในอุคคหนิมิตด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏปราศจากกสิณโทษ เป็นดุจกาบขั้วตาลแก้วมณีที่จะประดิษฐานในอากาศ มิฉะนั้นดุจมณฑลแว่นแก้วมณี เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดแล้วโยคาวจรกุลบุตรทำปฏิภาคนิมิตให้เป็นอารมณ์ บริกรรมไปว่า อาโป ๆ น้ำ ๆ ดังนี้ จะได้ถึงจตตุถฌาณหรือปัญจมฌาณตามลำดับ

    (3) วิธีเจริญเตโชกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีวาสนาบารมี เคยเจริญเตโชกสินมาแล้วในชาติก่อน เพียงแต่เพ่งเปลวไฟในที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมภาวนาว่า เตโชๆ ไฟ ๆ ดังนี้ ก็อาจได้สำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้าผู้ไม่เคยบำเพ็ญมาแต่ชาติก่อน ปรารถนาจะเจริญเตโชกสิณ พึงหาไม้แก่นที่สนดีมาตากไว้ให้แห้ง บั่นออกไว้เป็นท่อนๆ แล้วนำไปใต้ต้นไม้ หรือที่ใดที่หนึ่งซึ่งเป็นที่สมควร แล้วกองฟืนเป็นกองๆ ดังจะอบบาตร จุดไฟเข้าให้รุ่งเรือง แล้วเอาเสื่อลำแพน หรือแผ่นหนังหรือแผ่นผ้า มาเจาะเป็นช่องกลมกว้างประมาณคืบ 4 นิ้ว แล้วเอาขึงไว้ตรงหน้า นั่งตามพิธีที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณแล้วตั้งจิตกำหนดว่า อันนี้เป็นเตโชธาตุ แล้วจึงบริกรรมว่า เตโชๆ ไฟๆ ดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต โดยลำดับไป
    อุคคหนิมิตในเตโชกสิณนี้ ปรากฏดุจเปลวเพลิวลุกไหม้ไหว ๆ อยู่เสมอ ถ้ามิได้ทำดวงกสิณพิจารณาไฟในเตาเป็นต้น เมื่ออุคคหนิมิตเกิดขึ้น กสิณโทษก็จะปรากฏด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏมิได้หวั่นไหว จะปรากฏดุจท่อนผ้ากำพลแดงอันประดิษฐานอยู่บนอากาศ หรือเหมือนกาบขั้วตาลทองคำฉะนั้น เมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏแล้ว โยคาวจรก็จะได้สำเร็จฌาณตามลำดับจนถึงจตุตถฌาณ ปัญจมฌาณ

    (4) วิธีเจริญวาโยกสิณ ให้เพ่งลมที่พัดอันปรากฏอยู่ที่ยอดอ้อย ยอดไผ่ ยอดไม้ หรือปลายผมที่ถูกลมพัดไหวอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วพึงตั้งสติไว้ว่า ลมพัดต้องในที่นี้ หรือลมพัดเข้ามาในช่องหน้าต่าง หรือช่องฝา ถูกต้องกายในที่ใดก็พึงตั้งสติไว้ในที่นั้น แล้วพึงบริกรรมว่า วาโยๆ ลมๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในวาโยกสิณนี้ จะปรากฏไหว ๆ เหมือนไอแห่งข้าวปายาส อันบุคคลปลงลงจากเตาใหม่ๆ ปฏิภาคนิมิตจะปรากฏอยู่เป็นอันดีมิได้หวั่นไหว เมื่ออุคคหนิมิตเกิดแล้ว โยคาวจรกุลบุตรก็จะได้สำเร็จฌาณโดยลำดับ

    (5) วิธีเจริญนีลกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญนีลกสิณพึงพิจารณานิมิตสีเขียวเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมีเคยได้เจริญนีลกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว เพียงแต่เพ่งดูดอกไม้สีเขียวหรือผ้าเขียวเป็นต้น ก็อาจได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ส่วนผู้พึ่งจะเจริญนีลกสิณในชาติปัจจุบันนี้ พึงทำดวงกสิณก่อน พึงเอาดอกไม้อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีสีเขียวล้วนอย่างเดียว มาลำดับลงในผอบ หรือฝากล่องให้เสมอขอบปาก อย่าให้เกสรแลก้านปรากฏ ให้แลเห็นแต่กลีบสีเขียวอย่างเดียว หรือจะเอาผ้าเขียวขึงที่ปากผอบหรือฝากล่องทำให้เสมอดังหน้ากลองก็ได้ หรือจะเอาของที่เขียวเช่นคราม เป็นต้น มาทำเป็นดวงกสิณเหมือนอย่างปฐวีกสิณก็ได้
    เมื่อทำดวงกสิณเสร็จแล้วพึงปฏิบัติพิธีดดยทำนองที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณนั้นเถิด พึงบริกรรมภาวนาว่านีลํๆ เขียวๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตจะเกิดขึ้น อุคคหนิมิตในนีลกสิณนี้มีกสิณโทษอันปรากฏ ถ้ากสิณนั้นกระทำด้วยดอกไม้ก็เห็นเกสร-ก้าน และระหว่างกลีบปรากฏส่วนปฏิภาคนิมิตจะปรากฏดุจกาบขั้วตาลแก้วมณีตั้งอยู่ในอากาศ เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดแล้ว อุปจารฌาณและอัปปนาฌาณก็จะเกิดดังกล่าวแล้วในปฐมกสิณ

    (6-7-8) วิธีเจริญปีตกสิณโลหิตกสิณ-โอทาตกสิณ วิธีเจริญกสิณทั้ง 3 นี้ เหมือนกับ นีลกสิณทุกอย่าง ปีตกสิณเพ่งสีเหลือง บริกรรมว่าปีตกํๆ เหลืองๆ โลหิตกสิณเพ่งสีแดง บริกรรมว่า โลหิตํๆ แดงๆ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว บริกรรมว่า โอทาตํๆ ขาวๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิตและปกิภาคนิมิต ลักษณะอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตก็เหมือนในนีลกสิณ ต่างกันแต่สีอย่างเดียวเท่านั้น

    (9) วิธีเจริญอาโลกกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอาโลกกสิณนี้ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมี เคยได้เจริญมาแต่ชาติก่อนๆ แล้วเพียงแต่เพ่งดูแสงพระจันทร์หรือแสงพระอาทิตย์ หรือช่องหน้าต่างเป็นต้นที่ปรากฏเป็นวงกลมอยู่ที่ฝาหรือที่พื้นนั้นๆ ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ส่วนโยคาวจรที่พึงจะเจริญกสิณในชาติปัจจุบันนี้ เมื่อจะเจริญต้องทำดวงกสิณก่อน พึงหาหม้อมาเจาะให้เป็นช่องกลมประมาณคืบ 4 นิ้ว เอาประทีปตามไว้ข้างใน ปิดปากหม้อเสียให้ดี ผินช่องหม้อไปทางฝา แสงสว่างที่ออกทางช่องหม้อก็จะปรากฏเป็นวงกลมอยู่ที่ฝา พึงนั่งพิจารณาตามวิธีที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณ บริกรรมว่า อาโลโกๆ แสงสว่างๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอาโลกกสิณนี้ ปรากฏดุจวงกลมอันปรากฏที่ฝานั่นแล ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏผ่องใสเป็นแท่งทึบ ดังดวงแห่งแสงสว่างฉะนั้น

    (10) วิธีเจริญอากาศกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้ปรารถนาจะเจริญอากาศกสิณนี้ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมี เคยสั่งสมมาแล้วแต่ชาติก่อน เพียงแต่เพ่งดูช่องฝา ช่องดาน หรือช่องหน้าต่างเป็นต้น ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้าไม่มีวาสนาบารมีในกสิณ ข้อนี้มาก่อนต้องทำดวงกสิณก่อน เมื่อจะทำดวงกสิณ พึงเจาะฝาเจาะแผ่นหนังหรือเสื่อลำแพนให้เป็นวงกว้างคืบ 4 นิ้ว ปฏิบัติการทั้งปวง โดยทำนองที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณบริกรรมว่า อากาโสๆ อากาศๆ ดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต และปรากฏรูปวงกลมอากาศ แต่มีที่สุดฝาเป็นต้นเจือปนอยู่บ้าง ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏเป็นวงกลมอากาศเท่ากับวงกสิณเด่นอยู่ และสามารถแผ่ออกให้ใหญ่ได้ตามต้องการ

    (11) วิธีเจริญอุทธุมาตกะอสุภกรรมฐาน โยคาวจรกุลบุตร ผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานนี้ พึงไปสู่ที่พิจารณาอุทธุมาตกะอสุภนิมิตอย่าไปใต้ลม พึงไปเหนือลม ถ้าทางข้างเหนือลมมีรั้วและหนามกั้นอยู่ หรือมีโคลนตมเป็นต้น ก็พึงเอาผ้าหรือมือปิดจมูกไป เมื่อไปถึงแล้วอย่าเพ่อและดูอสุภนิมิตก่อน พึงกำหนดทิศก่อน ยืนอยู่ในทิศใดเห็นซากอสุภะไม่ถนัด น้ำจิตไม่ควรแก่ภาวนากรรม พึงเว้นทิศนั้นเสีย อย่ายืนทิศนั้น พึงไปยืนในทิศที่เห็นซากอสุภะถนัด น้ำจิตก็ควรแก่กรรมฐาน อนึ่งอย่ายืนในที่ใต้ลม กลิ่นอสุภะจะเบียดเบียน อย่ายืนข้างเหนือลมหม่อมนุษย์ที่สิงอยู่ในซากอสุภะจะโกรธเคือง พึงหลีกเลี่ยงเสียสักหน่อย อนึ่งอย่าใกล้นักไกลนัก ยืนไกลนักวากอสุภะไม่ปรากฏแจ้ง ยืนใกล้นักจะไม่สบายเพราะกลิ่นอสุภะและปฏิกูลด้วยซากศพ ยืนชิดเท้านัก ชิดศีรษะนักจะไม่เห็นซากอสุภะหมดทั้งกาย พึงยืนในที่ท่ามกลางตัวอสุภะในที่ที่สบาย เมื่อยืนอยู่ดังนี้ ถ้าก้อนศิลาจอมปลวกต้นไม้ หรือกอหญ้าเป็นต้น ปรากฏแก่จักษุ จะเล็กใหญ่ ขาวดำ ยาวสั้น สูงต่ำอย่างใด ก็พึงกำหนดรู้อย่างนั้นๆ แล้วต่อไปพึงกำหนดอุทธุมาตกะอสุภะนี้ โดยอาการ 6 อย่าง คือ สี เภท สัณฐาน ทิศ ที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานอสุภะนี้ เป็นร่างกายของคนดำ คนขาวเป็นต้น กำหนดเภทนั้น คือกำหนดว่าซากอสุภะนี้เป็นร่างกายของคนที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานนั้นคือ กำหนดว่า นี่เป็นสัณฐานศีรษะ-ท้อง-สะเอว-เป็นต้น กำหนดทิศนั้นคือ กำหนดว่า ในซากอสุภะนี้มีทิศ 2 คือ ทิศเบื้องต่ำ-เบื้องบน ท่านกายตั้งแต่นาภีลงมาเป็นทิศเบื้องต่ำ ตั้งแต่นาภีขึ้นไปเป็นทิศเบื้องบนกำหนดที่ตั้งนั้น คือกำหนดว่ามืออยู่ข้างนี้ เท้าอยู่ข้างนี้ ศีรษะอยู่ข้างนี้ ท่ามกลางกายอยู่ที่นี้ กำหนดปริเฉทนั้นคือกำหนดว่า ซากอสุภะนี้มีกำหนดในเบื้องต่ำด้วยพื้นเท้า มีกำหนดในเบื้องบนคือปลายผม มีกำหนดในเบื้องขวางด้วยหนังเต็มไปด้วยเครื่องเน่า 31 ส่วน โยคาวจรพึงกำหนดพิจารณาอุทธุมาตกะ อสุภนิมิตนี้ ได้เฉพาะแต่ซากอสุภะ อันเป็นเพศเดียวกับตน คือถ้าเป็นชาย ก็พึงพิจารณาเพศชายอย่างเดียว
    เมื่อพิจารณาอุทธุมาตกอสุภะนั้น จะนั่งหรือยืนก็ได้ แล้วพึงพิจารณาให้เห็นอานิสงส์ในอสุภกรรมฐานพึงสำคัญประหนึ่งดวงแก้ว ตั้งไว้ซึ่งความเคารพรักใคร่ยิ่งนัก ผูกจิตไว้ในอารมณ์คืออสุภะนั้นไว้ให้มั่นด้วยคิดว่าอาตมาจะได้พ้นชาติ ชรา มรณทุกข์ด้วยวิธีปฏิบัติดังนี้แล้ว พึงลืมจักษุขึ้นแลดูอสุภะ ถือเอาเป็นนิมิต แล้วเจริญบริกรรมภาวนาไปว่า อุทธุมาตกํ ปฏิกูลํ ซากศพพองขึ้น เป็นของน่าเกลียดด้งนี้ร่ำไป ร้อยครั้ง พันครั้ง ลืมจักษุดูแล้วพึงหลับ-จักษุพิจารณา ทำอยู่ดังนี้เรื่อยไป จนเมื่อหลับจักษุดู ก็เห็นอสุภะเหมือนเมื่อลืมจักษุดูเมื่อใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิตในกาลเมื่อนั้น ครั้นได้อุคคหนิมิตแล้ว ถ้าไม่ละความเพียรพยายามก็จะได้ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเห็นเป็นของพึงเกลียดพึงกลัว และแปลกประหลาดยิ่งนัก ปกิภาคนิมิตปราฏกดุจบุรุษมีกายอันอ้วนพี กินอาหารอิ่มแล้วนอนอยู่ฉะนั้น เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้ว นิวรณธรรมทั้ง 5 มีกามฉันทะเป็นต้น ก็ปราศจากสันดานสำเร็จอุปจารฌาณ และอัปปนาฌาณ และความชำนาญแคล่วคล่องในฌาณโดยลำดับไปฯ

    (12) วิธีเจริญวินีลกอสุภกรรมฐาน วินีลกอสุภะนั้นคือซากศพกำลังพองเขียว วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วินีลกํ ปฏิกูลํ อสุภะขึ้นพองเขียวน่าเกลียดดังนี้ อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏมีสีต่างๆ แปลกกัน ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นสีแดง ขาว เขียว เจือกัน

    (13) วิธีเจริญวิบุพพกอสุภกรรมฐาน วิบุพพกอสุภะนี้ คือซากศพมีน้ำหนองไหล วิธีปฏิบัติเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะทุกประการ แปลกแคำบริกรรมว่า วิปุพพกํ ปฏิกูลํ ซากศพมีน้ำหนองไหลน่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏเหมือนมีน้ำหนอง น้ำเหลืองไหลอยู่มิขาด ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเหมือนดั่งร่างอสุภะสงบนิ่งอยู่มิได้หวั่นไหว

    (14) วิธีเจริญวิฉิททกอสุภกรรมฐาน อสุภะนี้ ได้แก่ซากศพที่ถุกตัดออกเป็นท่อนๆ ทั้งอยู่ในที่มีสนามรบหรือป่าช้าเป็นต้น วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วิฉิททกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนๆ น่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตปรากฏเป็นซากอสุภะขาดเป็นท่อนๆ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนมีอวัยวะครบบริบูรณ์ มิเป็นช่องขาดเหมือนอย่างอุคคหนิมิต

    (15) วิธีเจริญวิขายิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพอันสัตว์ มีแร้ง กา และสุนัขเป็นต้น กัดกินแล้วอวัยวะขาดไปต่างๆ บริกรรมว่า วิขายิตกํ ปฏิกูลํ ซากศพที่สัตว์กัดกินอวัยวะต่างๆ เป็นของน่าเกลียด ดังนี้ร่ำไปกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ก็อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเหมือนซากอสุภะ อันสัตว์กัดกินกลิ้งอยู่ในที่นั้นๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏบริบูรณ์สิ้นทั้งกาย จะปรากฏเหมือนที่สัตว์กัดกินนั้นมิได้

    (16) วิธีเจริญวิขิตตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจร พึงนำมาเองหรือให้ผู้อื่นนำมาซึ่งซากอสุภะที่ตกเรี่ยรายอยู่ในที่ต่างๆ แล้วมากองไว้ในที่เดียวกัน แล้วกำหนดพิจารณา บริกรรมว่า วิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพอันซัดไปในที่ต่างๆ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ เหมือนร่างอสุภะนั้นเอง ปฏิภาคนิมิตปรากกเหมือนกายบริบูรณ์จะมีช่องมีระยะหามิได้ฯ

    (17) วิธีเจริญหตวิขิตตอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพึงนำเอามาหรือให้ผู้อื่นนำเอามา ซึ่งซากอสุภะที่คนเป็นข้าศึก สับฟันกันเป็นท่อนท่อนใหญ่ทิ้งไว้ในที่ต่างๆ ลำดับเข้าให้ห่างกันประมาณนิ้วมือหนึ่ง แล้วกำหนดพิจารณาบริกรรมว่า หตวิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจรอยปากแผลอันบุคคลประหาร ปฏิภาคนิมิตปรากฏดังเต็มบริบูรณ์ทั้งกาย มิได้เป็นช่องเป็นระยะฯ

    (18) วิธีเจริญโลหิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพที่คนประหารสับฟันในอวัยวะ มีมือแล เท้าเป็นต้น มีโลหิตไหลออกอยู่และทิ้งไว้ในที่ทั้งหลายมีสนามรบเป็นต้น หรือพิจารณาอสุภะที่มีโลหิตไหลออกจากแผล มีแผลฝีเป็นต้นก็ได้ บริกรรมว่า โลหิตกํ ปฏิกูลํ อสุภะนี้โลหิตไหลเปรอะเปื้อนเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจจะผ้าแดงอันต้องลมแล้วแลไหวๆ อยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอันดีจะได้ไหวหามิได้

    (19) วิธีเจริญปุฬุวกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพของมนุษย์หรือสัตว์ มีสุนัขเป็นต้น ที่มีหนอนคลานคร่ำอยู่ บริกรรมว่า ปุฬุวกํ ปฏิกูลํ อสุภะที่หนอนคลานคร่ำอยู่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏมีอาการหวั่นไหว ดั่งหมู่หนอนอันสัญจรคลานอยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏมีอาการอันสงบเป็นอันดีดุจกองข้าวสาลีอันขาวฉะนั้นฯ

    (20) วิธีเจริญอัฏฐิกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซึ่งซากศพที่เหลือแต่กระดูกอย่างเดียว จะพิจารณาร่างกระดูกที่ติดกันอยู่ทั้งหมดยังไม่เคลื่อนหลุดไปจากกันเลยก็ได้ จะพิจารณาร่างกระดูกที่เคลื่อนหลุดไปจากกันแล้วโดยมากยังติดกันอยู่บ้างก็ได้ จะพิจารณาท่อนกระดูกอันเดียวก็ได้ ตามแต่จะเลือกพิจารณา แล้วพึงบริกรรมว่า อฏฐิกํ ปฏิกูลํ กระดูกเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ถ้าโยคาวจรพิจารณาแต่ท่อนกระดูกอันเดียว อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าโยคาวจรพิจารณากระดูกที่ยังติดกันอยู่ทั้งสิ้น อุคคหนิมิตปรากฏปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นร่างกายอสุภะบริบูรณ์สิ้นทั้งนั้นฯ

    (21-30) วิธีเจริญอนุสสติ 10 ประการ คือ พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ธมมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระธรรม สงฆานุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ สีลานุสสติ ระลึกถึงคุณศีล จาคานุสสติ ระลึกถึงคุณทาน เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณเทวดา อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน มรณสสติ ระลึกถึงความตาย กายคตาสติ ระลึกไปในกายของตน อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก
    ในอนุสสติ 10 ประการนี้ จะอธิบายพิสดารเฉพาะอานาปานสติดังต่อไปนี้
    โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอานาปานสติกรรมฐานพึงเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า หรือโคนไม้ หรืออยู่ในเรือนโรงศาลากุฏิวิหารอันว่างเปล่า เป็นที่เงียบสงัดแห่งใดแห่งหนึ่งอันสมควรแก่ภาวนานุโยคแล้ว พึงนั่งคู้บัลลังค์ขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงดำรงสติไว้ให้มั่น คอยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อย่าให้ลืมหลง เมื่อหายใจเข้าก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจออก เมื่อหายใจเข้าออกยาวหรือสั้น ก็พึงกำหนดรู้ประจักษ์ชัดทุกๆ ครั้งไปอย่าลืมหลง อนึ่งท่านสอนให้กำหนดนับด้วย เมื่อลมหายใจเข้าและออกอันใดปรากฏแจ้ง ก็ให้นึกนับว่าหนึ่ง ๆ รอบที่สองนับว่าสองๆ ไปจนถึงห้าๆ เป็นปัญจกะ แล้วตั้งต้นหนึ่งๆ ไปใหม่ไปจนถึงหกๆ เป็นฉักกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปถึงเจ็ดๆ เป็นสัตตกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงแปดๆ เป็นอัฏฐกะ แล้วนับตั้งแต่ต้นใหม่ไปจนถึงเก้าๆ เป็นนวกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงสิบๆ เป็นทสกะแล้วกลับนับตั้งต้นใหม่ตั้งแต่ปัญจกะหมวด 5 ไปถึงทสกะหมวด 10 โดยนัยนี้เรื่อยไป เมื่อกำหนดนับลมที่เดินโดยคลองนาสิกด้วยประการดังนี้ ลมหายใจเข้าออกก็จะปรากฏแก่โยคาวจรกุลบุตรชัดและเร็วเข้าทุกที อย่าพึงเอาสติตามลมเข้าออกนั้นเลย พึงคอยกำหนดนับให้เร็วตามลมเข้าออกนั้นว่า 1. 2. 3. 4. 5. /1. 2. 3. 4. 5. 6. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. /1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. / พึงนับตามลมหายใจเข้าออกดังนี้ร่ำไป จิตก็จะเป็นเอกัคคตาถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เดียวด้วยกำลังอันนับลมนั้นเทียว บางองค์ก็เจริญแต่มนสิการกรรมฐานนี้ด้วยสามารถถอนนับลมนั้น ลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ ก็ดับไปโดยลำดับๆ กระวนกระวายก็ระงับลง จิตก็เบาขึ้น แล้วกายก็เบาขึ้นด้วยดุจถึงซึ่งอาการอันลอยไปในอากาศ เมื่อลมอัสสาสะ-ปัสสาสะหยาบดับลงแล้ว จิตของโยคาวจรนั้นก็มีแต่นิมิตคิลมอัสสาสะ-ปัสสาสะสุขุมละเอียดเป็นอารมณ์ เมื่อพยายามต่อไปลมสุขุมก็ดับลง เกิดลมสุขุมละเอียดยิ่งขึ้นประหนึ่งหายไปหมดโดยลำดับๆ ครั้นปรากฏเป็นเช่นนั้นอย่าพึงตกใจและลุกหนีไป เพราะจะทำให้กรรมฐานเสื่อมไป พึงทำความเข้าใจไว้ว่า ลมหายใจไม่มีแก่คนตาย คนดำน้ำ คนเข้าฌาณ คนอยู่ในครรภ์มารดาดังนี้แล พึงเตือนตนเองว่าบัดนี้เราก็มิได้ตายลมละเอียดเข้าต่างหาก แล้วพึงคอยกำหนดลมในที่ๆ มันเคยกระทบเช่นปลายจมูกไว้ ลมก็มาปรากฏดังเดิม เมื่อทำความกำหนดไปโดยนัยนี้ มิช้าอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏโดยลำดับไป อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ในอนาปานสติกรรมฐานนี้ย่อมปรากฏแก่โยคาวจรต่างๆ กัน บางองค์ปรากฏดังปุยนุ่นบ้างปุยสำลีบ้าง บางองค์ปรากฏเป็นวงช่องรัศมีบ้าง ดวงแก้วมณีแก้วมุกดาบ้างบางองค์ปรากฏมีสัมผัสหยาบ คือเป็นดังเมล็ดในฝ้ายบ้าง ดังเสี้ยนสะเก็ดไม้แก่นบ้าง บางองค์ปรากฏดังด้ายสายสังวาลย์บ้าง เปลวควันบ้าง บางองค์ปรากฏดังใยแมลงมุมอันขึงอยู่บ้าง แผ่นเมฆและดอกบัวหลวง และจักรรถบ้าง บางทีปรากฏดังดวงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็มี การที่ปรากฏนิมิตต่างๆ กันนั้นเป็นด้วยปัญญาของโยคาวจรต่างกัน
    อนึ่งธรรม 3 ประการ คือ ลมเข้า 1 ลมออก 1 นิมิต1 จะได้เป็นอารมณ์ของจิตอันเดียวกันหามิได้ลมเข้าก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง ลมออกก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง นิมิตก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง เมื่อรู้ธรรม 3 ประการนี้แจ้งชัดแล้วจึงจะสำเร็จอุปจารฌาณและอัปปนาฌาณ เมื่อไม่รู้ธรรม 3 ประการก็ย่อมไม่สำเร็จ อานาปานสติกรรมฐานนี้เป็นไปเพื่อตัดเสียซึ่งวิตกต่างๆ เป็นอย่างดีด้วยประการฉะนี้ฯ

    (31-40) ส่วนกรรมฐานอีก 6 ประการคือ อัปปมัญญาพรหมวิหาร 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุวัตถาน 1 จะไม่อธิบาย จะได้อธิบายแต่อรูปกรรมฐาน 4 ดังต่อไปนี้
    โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอรูปกรรมฐานที่หนึ่งพึงกสิณทั้ง 9 มีปฐวีกสิณเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเว้นอากาศกสิณเสีย เมื่อสำเร็จรูปาวจรฌาณอันเป็นที่สุดแล้วเจริญอรูปาวจรฌาณในอรูปกรรมฐานต่อไป พึงเพิกกสิณนั้นเสีย คืออย่ากำหนดนึกหมายเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์ พึงตั้งจิตเพ่งนึกพิจารณาอากาศที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศ ที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศเปล่าเป็นอารมณ์ พิจารณาไปๆ จนอากาศเปล่าเท่าวงกสิณปรากฏในมโนทวารในกาลใด ในกาลนั้นให้โยคาวจรพิจารณาอากาศอันเป็นอารมณ์ บริกรรมว่า อนนโต อากาโส อากาศไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ร่ำไป เมื่อบริกรรมนึกอยู่ดังนี้เนืองๆ จิตก็สงบระงับตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิไปจนถึงอัปปนาสมาธิโดยลำดับ สำเร็จเป็นอรูปฌาณที่ 1 ชื่อว่า อากาสานัญจายตนฌาณ เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 2 ต่อไป พึงละอากาศนิมิตที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่แรกนั้นเสีย พึงกำหนดจิตที่ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์นั้นมาเป็นอารมณ์ต่อไป บริกรรมว่า อนนตํ วิญญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 2 ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนฌาณ
    เมื่อจะเจริญอรูปฌาณที่ 3 ต่อไป พึงละอรูปวิญญาณทีแรกที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 2 นั้นเสีย มายึดหน่วงเอาความที่ไม่มีของอรูปฌาณทีแรก คือกำหนดว่าอรูปวิญญาณแรกนี้ไม่มีในที่ใด ดังนี้เป็นอารมณ์แล้วบริกรรมว่า นตถิกิญจิๆ อรูปวิญญาณทีแรกนี้มิได้มีมิได้เหลือติดอยู่ในอากาศดังนี้ เนืองๆ ไปก็ะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 3 ชื่อว่า อากิญจัญญายตนฌาณ
    เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 4 ต่อไป พึงปล่อยวางอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 3 คือ ที่สำคัญมั่นว่าอรูปฌาณทีแรกไม่มีดังนี้เสีย พึงกำหนดเอาแต่ความละเอียดปราณีตของอรูปฌาณที่ 3 เป็นอารมณ์ทำบริกรรมว่า สนตเมตํ ปณีตเมตํ อรูปฌาณที่ 3 นี้ละเอียดนักประณีตนัก จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนี้เนืองๆ ไป ก็จะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 4 ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ
    จะอธิบายฌาณและสมาบัติต่อไป ฌาณนั้นว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่างคือ รูปฌาณและอรูปฌาณอย่างละ 4 ฌาน เป็นฌาณ 8 ประการ ฌาณทั้ง 8 นี้ เป็นเหตุให้เกิดสมาบัติ 8 ประการ บางแห่งท่านก็กล่าวว่า ผลสมาบัติ ต่อได้ฌาณมีวสี ชำนาญดีแล้ว จึงทำให้สมาบัติบริบูรณ์ขึ้นด้วยดีได้ เพราะเหตุนี้สมาบัติจึงเป็นผลของฌาณ ก็สมาบัติ 8 ประการนี้ ในภายนอกพระพุทธศาสนาก็มี แต่ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ได้แต่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหารและเป็นไปเพื่อเกิดในพรหมโลกเท่านั้น เหมือนสมาบัติของอาฬารดาบส และอุทุกดาบสฉนั้น ส่วนสมาบัติพระพุทธศาสนานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อรำงับดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่าง คือ ผลสมาบัติและนิโรธสมาบัติ ผลสมาบัตินั้นย่อมสาธารณะทั่วไปแก่พระอริยเจ้าสองจำพวกคือ พระอนาคามีกับพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ 8 เท่านั้น
    อนึ่งฌาณและสมาบัตินี้ ถ้าว่าโดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เพราะฌาณนั้นเป็นที่ถึงด้วยดีของฌานลาภีบุคคล จริงอยู่ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ฌานลาภีบุคคล ถึงด้วยดีซึ่งสมาบัติ คือฌาณเป็นที่ถึงด้วยดี มีปฐมฌาณเป็นต้นดังนี้ อนึ่ง ในพระบาลีแสดง อนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ไว้ คือปฐม ทุติย ตติย จตุตถฌาณ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสมาบัติที่อยู่ตามลำของฌาณลาภีบุคคลดังนี้ อนึ่งท่านแสดง อนุบุพพนิโรธสมบัติ 9 ไว้ว่า ฌาณลาภีบุคคลเมื่อถึงด้วยปฐมฌาณ วิตก วิจารณ์ดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งตติยฌาณ ปิติดับไป เมื่อถึงด้วยดี ซึ่งจตุตถฌาณ ลมอัสสาสะปัสสาสะดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากาสานัญจายตนฌาณ รูปสัญญาดับไปเมื่อถึงด้วยดีซึ่งวิญญาณัญจายตนฌาณ สัญญาในอากาสานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากิญจัญญายตนฌาณ สัญญาในวิญญานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งเนวสัญญานาสัญญยตนฌาณสัญญาในอากิญจัญญายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับไป ธรรม9 อย่างนี้ชื่อ อนุบุพพนิโรธสมาบัติ สมาบัติเป็นที่ดับหมดแห่งธรรมอันเป็นปัจจนึกแก่ตนตามลำดับฉะนี้ คำในอรรถกถาและบาลีทั้ง 2 นี้ส่องความให้ชัดว่า ฌาณและสมาบัติ สมาบัติเป็นผล วิเศษแปลกกันแต่เท่านี้
    บุคคลใดปฏิบัติชอบแล้ว บุคคลนั้นย่อมพิจารณาความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีน้อยหนึ่งในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เห็นซึ่งอะไรๆ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุดในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งจะเข้าถึงความเป็นของไม่ควรถือเอา อุปมาเหมือนบุรุษไม่เห็นซึ่งที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุด ในก้อนเหล็กแดงอันร้อนอยู่ตลอดวัน ที่เข้าถึงความเป็นของควรจับถือสักแห่งเดียวฉันใด บุคคลพิจารณาเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายนั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีในสังขารเหลานั้นแม้น้อยหนึ่งฉันนั้น เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นว่าเป็นของร้อนพร้อม ร้อนมาแต่ต้นตลอดโดยรวบ มีทุกข์มากมีคับแค้นมาก ถ้าใครมาเห็นได้ซึ่งความไม่เป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายไซร้ ธรรมชาตินี้คือธรรมชาติเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สลัดคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา ธรรมชาติเป็นที่ปราศจากเครื่องย้อม ธรรมชาติเป็นที่ระงับความกระหาย ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ ธรรมชาตินั้นเป็นที่สงบ เป็นของปราณีตดังนี้ ฐานที่ตั้งแห่งธรรมอันอุดมนี้คือ ศีล บุคคลตั้งมั่นในศีลแล้ว เมื่อกระทำในใจโดยชอบแล้ว จะอยู่ในที่ใดๆ ก็ตามปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานด้วยประการฉะนี้
    เมื่อโยคาวจรตั้งธรรม 6 กอง มีขันธ์ 5 เป็นต้น มีปฏิจจสมุปบาทเป็นที่สุดได้เป็นพื้น คือพิจารณาให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม 6 กอง ยึดหน่วงเอาธรรม 6 กองไว้เป็นอารมณ์ได้แล้ว ลำดับนั้นจึงเอาศีลวิสุทธิและจิตตวิสุทธิมาเป็นรากฐาน ศีลวิสิทธินั้นได้แก่ปาฏิโมกขสังวรศีล จิตตวิสุทธินั้นได้แก่อัฏฐสมาบัติ 8 ประการ เมื่อตั้งศีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิเป็นรากฐานแล้ว ลำดับนั้นโยคาวจรพึงเจริญวิสุทธิทั้ง 5 สืบต่อไปโดยลำดับๆ เอาทิฏฐิวิสุทธิและกังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นมือซ้ายมือขวา เอาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถยกตนออกจากวัฏฏสงสารได้
    ทิฏฐิวิสุทธินั่นคือปัญญาอันพิจารณาซึ่งนามและรูปโดยสามัญลักษณะ มีสภาวะเป็นปริณามธรรมมิได้เที่ยงแท้ มีปกติแปรผันเป็นต้น เป็นปัญญาเครื่องชำระตนให้บริสุทธิ์จากความเห็นผิดต่างๆ โยคาวจรเจ้าผู้ปรารถนาจะยังทิฏฐิวิสุทธิให้บริบูรณ์ พึงเข้าสู่ฌาณสมาบัติตามจิตประสงค์ ยกเว้นเสียแต่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะละเอียดเกินไป ปัญญาของโยคาวจรจะพิจารณาได้โดยยาก พึงเข้าแต่เพียงรูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 3 ประการนั้นเถิด เมื่ออกจากฌาณสมาบัติอันใดอันหนึ่งแล้ว พึงพิจารณาองค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น แล้วเจตสิกธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนั้นให้แจ้งชัดโดยลักษณะ กิจ ปัจจุปัฏฐานและอาสันนการณ์ แล้วพึงกำหนดกฏหมายว่า องค์ฌาณและธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนี้ล้วนแต่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสิ่งที่น้อมไปสู่อารมณ์สิ้นด้วยกัน แล้วพึงกำหนดพิจารณาที่อยู่ของนามธรรม จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุ เป็นที่อยู่แห่งนามธรรม อุปมาเหมือนบุรุษเห็นอสรพิษภายในเรือน เมื่อติดตามสกัดดูก็รู้ว่าอสรพิษอยู่ที่นี่ๆ ฉันใด โยคาวจรผู้แสวงหาที่อยู่แห่งนามธรรมฉันนั้น ครั้นแล้วพึงพิจารณารูปธรรมสืบต่อไป จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุนั้นอาศัยซึ่งภูตรูปทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้อุปาทานรูปอื่นๆ ก็อาศัยภูตรูปสิ้นด้วยกัน รูปธรรมนี้ย่อมเป็นสิ่งฉิบหายด้วยอันตรายต่างๆ มีหนาวร้อนเป็นต้น เมื่อโยคาวจรมาพิจารณารู้แจ้งซึ่งนามและรูปฉะนี้แล้ว พึงพิจารณาธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาโดยสังเขปหรือพิสดารก็ได้ ตามแต่ปัญญาของโยคาวจรจะพึงหยั่งรู้หยั่งเห็น ครั้นพิจารณาธาตุแจ่มแจ้งแล้ว พึงพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย มีเกสา โลมา เป็นต้น จนถึงมัตถลุงคังเป็นที่สุด ให้เห็นชัดด้วยปัญญา โดย วณโณ สี คนโธ กลิ่น รโส รส โอช ความซึมซาบ สณฐาโน สัณฐาน สั้นยาวใหญ่น้อย แล้วพึงประมวลรูปธรรมทั้งปวงมาพิจารณาในทีเดียวกันว่า รูปธรรมทั้งปวงล้วนมีลักษณะฉิบหายเหมือนกัน จะมั่น จะคง จะเที่ยง จะแท้ สักสิ่งหนึ่งก็มิได้มี เมื่อโยคาวจรเจ้าพิจารณาเห็นกองรูปดังนี้แล้ว อรูปธรรมทั้ง 2 คือจิต เจตสิก ก็ปรากฏแจ้งแก่พระโยคาวจรด้วยอำนาจทวาร คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ เพราะว่าจิตและเจตสิกนี้มีทวารทั้ง 6 เป็นที่อาศัย เมื่อพิจารณาทวารทั้ง 6 แจ้งประจักษ์แล้ว ก็รู้จักจิตและเจตสิกอันอาศัยทวารทั้ง 6 นั้นแน่แท้ จิตที่อาศัยทวารทั้ง 6 นั้นจัดเป็นโลกีย์ 81 คือทวิปัญจวิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 มโนวิญญาณธาตุ 68 และเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโลกียจิต 81 คือผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิต อินทรีย์ มนสิการ ทั้ง 7 นี้เป็นเจตสิกที่สาธารณะทั่วไปในจิตทั้งปวง การกล่าวดังนี้มิได้แปลกกันเพราะจิตทั้งปวงนั้น ถ้ามีเจตสิกอันทั่วไปแก่จิตทั้งปวงเกิดพร้อมย่อมมีเพียง 7 ประการเท่านี้
    เมื่อโยคาวจรบุคคลมาพิจารณา นามและรูปอันกล่าวโดยสรุปคือ ขันธ์ 5 แจ้งชัดด้วยปัญญาญาณตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมถอนความเห็นผิด และตัดความสงสัยในธรรมเสียได้ ย่อมรู้จักทางผิดหรือถูกความดำเนินและไม่ควรดำเนิน แจ่มแจ้งแก่ใจย่อมสามารถถอนอาลัยในโลกทั้งสามเสียได้ ไม่ใยดีติดอยู่ในโลกไหนๆ จิตใจของโยคาวจรย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหารได้โดยแน่นอนด้วยประการฉะนี้แล




    24 วินัยกรรม

    1.อุโบสถกรรม เป็นวินัยกรรมอย่างหนึ่งที่ทรงบัญญัติให้ภิกษุทำทุกกึ่งเดือน จะละเว้นมิได้ โดยประสงค์ให้ชำระตนให้บริสุทธิ์ไม่ให้มีอาบัติโทษติดตัวประการหนึ่ง เพื่อให้รู้จักพระวินัยส่วนสำคัญที่ทรงบัญญัติไว้ จะได้ประพฤติตนถูกต้องดีประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง เพื่อความสามัคคีแห่งสงฆ์ ทรงกำหนดองค์แห่งความพร้อมพรั่งของอุโบสถไว้ 4 ประการ คือ ดิถีที่ 14-15 หรือวันสามัคคีวันใดวันหนึ่งเป็นองค์ที่ 1 ภิกษุครบจำนวนควรทำสังฆอุโบสถ หรือคระอุโบสถได้ นั่งชุมนุมไม่ละหัตถบาสกันในสีมาเดียวกันเป็นองค์ที่ 2 อาบัติที่เป็นสภาค คือ มีวัตถุเสมอกัน ไม่มีแก่สงฆ์เป็นองค์ที่ 3 และวัชชนียบุคคล 21 ไม่มีหัตถบาสเป็นองค์ที่ 4 อุโบสถพร้อมพรั่งด้วยองค์ 4 ประการนี้ จึงควรทำอุโบสถกรรม ควรกล่าวว่า ปตตกลบ ได้ฯ ในบรรดาวัชชนียบุคคล 21 นั้น เมื่อคนอันสงฆ์ยกวัตร์ 3 จำพวกอยู่ในหัตถบาส สงฆ์ทำอุโบสถต้องอาบัติปาจิตตีย์ คนนอกนั้นอยู่ในหัตถบาส สงฆ์ทำอุโบสถต้องทุกกฏฯ
    ก่อนจะทำอุโบสถ พึงทำบุพพกิจบุพพกรณ์ก่อน ถ้าภิกษุหนุ่มไม่เป็นไข้ให้ภิกษุหนุ่มทำ หรือมีสามเณรหรือคนวัด ก็ให้สามเณรหรือคนวัดทำก็ได้
    ภิกษุใดรู้อุโบสถ 9 อุโบสถกรรม 4 ปาฏิโมกข์ 2 ปาฏิโมกขุเทศ 9 หรือ 5 ภิกษุนั้นชื่อว่า ผู้ฉลาด ควรสวดปาฏิโมกข์ได้.
    ภิกษุอยู่องค์เดียว พึงทำบุพพกิจบุพพกรณ์ไว้รอภิกษุอื่นจนหมดเวลา เห็นไม่มาแล้วพึงอธิษฐานว่า อชช เม อุโปสโถ ปณณรโส ถ้าเป็นวัน 14 ค่ำก็เปลี่ยน ปณณรโส เป็น จาตุททโส
    ภิกษุอยู่ 2 รูป พึงทำกิจทั้งปวงไว้รอภิกษุอื่นอีก เมื่อหมดเวลาแล้วไม่มีภิกษุอื่นมา พึงแสดงอาบัติแล้วบอกบริสุทธิ์แก่กันและกันว่า ปริสุทโธ อหั อาวุโส ปริสุทโธติ มํ ธาเรหิ ผู้อ่อนพรรษากว่าพึงว่า ปริสุทโธ อหํ ภนเต ปริสุทโธติ นั ธาเรถ.
    ภิกษุอยู่ด้วยกัน 3 รูป พึงทำบุพพกิจบุพพกรณ์ไว้รอภิกษุอื่น เห็นว่าไม่มีมาแน่แล้ว พึงประชุมกัน ภิกษุผู้ฉลาดรูปหนึ่งพึงตั้งคณะญัติว่า สุณนตุ เม ภนเต อายส มนตา อชชุโปสโถ ปณณรโส ยทายสมนตานํ ปตตกลลํ มยํ อญญํมญญํ ปาริสุทธิ อุโปสถํ กเรยยาม แล้วพึงบอกบริสุทธิ์ซึ่งกันและกัน คำบอกบริสุทธิ์เหมือนกล่าวแล้วข้างบนนั้นพึงใช้เฉพาะบทหลัง เปลี่ยนแต่คำ ภนเต เป็น อาวุโส ตามสมควรแก่ความเป็นผู้แก่อ่อนเท่านั้น
    ภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป พึงสวดปาฏิโมกข์ เมื่อไม่มีอันตรายพึงสวดจนจบ ถ้ามีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง พึงสวดย่อได้ อุเทศที่ยังไม่ได้สวด พึงประกาศด้วยสุตบท.
    อัตรายแห่งอุโบสถอันเป็นเหตุให้สวดปาฏิโมกข์ย่อได้ มี 10 อย่างคือ 1. ราชนตราโย พระราชาเสด็จมา 2. โจรนตราโย โจรมาปล้น 3.อคคยนตราโย ไฟไหม้ 4. อุทกนตราโย น้ำท่วม 5. มนุส สนตราโย มนุษย์มามาก 6. อมนุสสนตราโย ผีเข้าภิกษุ 7. พาลนตราโย สัตว์ร้ายมา 8. สิรึสปนตราโย งูเลื้อยมาในที่ชุมนุม 9. ชีวิตนตราโย อันตรายแห่งชีวิต 10. พหมจรยนตราโย อันตรายแห่งพรหมจรรย์ เมื่ออันตราย10 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งมีนา ถึงสวดปาฏิโมกข์ย่อตั้งแต่อุเทศที่ 2 เป็นต้นไป อันตรายมีมาใสเวลากำลังสวดอุเทศใดค้างอยู่พึงประกาศด้วยสุตบท แต่อุเทศนั้นไป นิททานุเทศสวด ยังไม่จบอย่าพึงประกาศด้วยสุตบท ไม่มีอันตรายพึงสวดโดยพิสดารจนจบ
    อุทเทศแห่งปาฏิโมกข์ 9 คือ นิทานุเทศ 1 ปาราชิกุทเทศ 1 สังฆาทิเสสสุทเทศ 1 อนิยตุทเทศ 1 นิสสัคคียุทเทศ 1 ปาจิจจิยุทเทศ 1 ปาฏิเทศนียุทเทศ 1 เสขิยุทเทศ 1 สมถุทเทศ 1 ปาฏิโมกขุทเทศ 5 นั้นรวมตั้งแต่ อนิยต ถึงเสขิยวัตร เข้ากันเรียกว่า วิตถาการุทเทศ จึงมีอุเทศเพียง 5 ประการ อุดทศนี้สำกรับกำหนดในการสวดย่อในเมื่อมีอันตราย ที่นิยมใช้กันอยู่กำหนดด้วยอุเทศ 9 ประการ สะดวกในการใช้ประกาศด้วยสุตบท.
    สุตบทนั้น คือ ประกาศว่า อุเทศนอกจากที่ สุตา ดข อายสมนเตหิ จตตาดร ปาราชิกา ธมมา ฯลฯ สุตา โข อายสมนเตหิ สตตาธิกรณสมถา ธมมา เอตุตกนตสส ภควโต สุตตาคตํ สุตตปริยาปนนํ อนวฑฒมาสํ อุทเทสํ อาคจฉติ ตตถ สพเพเหว สมคเคหิ สมโมทนาเนหิ สิกขิตพพํ.

    2.ปวารณากรรม เป็นวินัยกรรมอย่างหนึ่ง ทรงบัญญัติให้ทำในวันสิ้นสุดแห่งการจำพรรษา ด้วยจุดประสงค์คล้ายอุโบสถกรรม และทรงอนุญาตให้ทำแทนอุโบสถในวันนั้นด้วยบุพพกิจ บุพพกรณ์ลักษณะ 4 และวันประชุมทำปวารณากรรม ก็เหมือนอุโบสถกรรมทุกประการ.
    ภิกษุหนึ่งรูปพึงอธิษฐานว่า อชช เม ปาวรณาปณณรสี อธิฏฐามิ ภิกษุ 2 รูป พึงปวารณากันและกันทีเดียว ไม่ต้องตั้งญัตติ ภิกษุ 3-4 รูป พึงตั้งคณะญัตติว่า สุณนตุ เม ภนเต อายสมนโต อชชปวารณา ปณณรสี ยทา ยสมนตานํ ปตตกลลํ มยํ อญญมญญํ ปวาเรยยาม แล้วพึงปวารณากันและกัน ถ้ามีภิกษุตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป พึงทำสังฆปวารณา ตั้งญัตติว่า สุณาตุ เม ภนเต สงโฆ อชช ปวารณา ปณณรสี ยทิ สงฆสส ปตตกลลํ สงโฆ ปวารยย แล้วพึงปวารณาตนต่อสงฆ์ที่ละรูปตามลำดับพรรษา ถ้าระบุประการให้เปลี่ยนตอนท้ายเป็นดังนี้ ถ้าปวารณา 3 หน พึงว่า เตวาจิกํ ปวาเรยย ถ้าปวารณา 2 หน พึงว่า เทววสจิกํ ปวาเรยย ถ้าปวารณาหนเดียว พึงว่า สมานวสสิกํ ปวาเรยย
    คำปวารณาต่อสงฆ์ว่า สงฆม ภนเต ปวาเรมิ ทิฏเฐน วา สุเตน วา ปริสงกาย วา วทนตุ มํ อายสมน โต อนุกมปํ อุปาทาย ปสสนโต ปฏิกกริสสามิ ภิกษุอ่อนกว่าพึงเปลี่ยน อาวุโส เป็น ภนเต
    คำปวารณาตนต่อคณะว่า อหํ อาวุโส อายสมนเต ปวารามิ ฯลฯ วทนตุ มํ อายสมนโต อนุกมปํ อุปาทาย ปสสนโต ปฏิกกริสสามิ ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเปลี่ยน อาวุโส เป็น ภนเต ถ้า 2 รูปจึงเปลี่ยน อายสมนเต เป็น อายสมนตํ เปลี่ยน อายสมนโต เป็น อายสมา

    3. จีวรกรรม ไตรจีวร คือผ้าสังฆาฏิ 1 ผ้าอุตตราสงฆ์ 1 ผ้าอันตรวาสก 1 ต้องตัดเย็บทำให้ถูกตามลักษณะให้ได้ประมาณ และย้อมสีให้ได้สี ทำพินทุกัปปะ แล้วจึงอธิษฐาน จะไม่ตัดไม่ควร เพราะทรงห้ามไว้ว่า อย่าทรงผ้าที่ไม่ได้ตัด ภิกษุใดทรง ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ.
    วิธีตัดผ้านั้น ทรงวางแบบไว้ในคัมภีร์ขันธกะ จะแสดงแบบจีวร 5 ขัณฑ์ เป็นตัวอย่าง ขัณฑ์หนึ่งๆ แบ่งออกเป็น 2 ท่อนๆ ยาวเรียกว่า มณฑล ท่อนสั้นเรียกว่าอัฑฒมณฑล แผ่นผ้าเล็กยาวตามมณฑล ขัณฑ์กลางเรียกว่า วิวัฏฏะ แผ่นผ้าเล็กสั้นตามอัฑฒมณฑล ขัณฑ์กลางเรียกว่า อนุวิวัฏฏะ แผ่นเล็กในระหว่างมณฑลกับอัฑฒมณฑลเรียกว่า อัฑฒกุสิ แผ่นเล็กยามตามมณฑลเรียก กุสิ อัฑฒมณฑลที่ถูกคอในเวลาห่มเรียกว่า คเวยยกะ อัฑฒมณฑลที่ถูกแข้งในเวลาห่มเรียกว่า ชังเฆยยกะ อัฑฒมณฑลที่ถูกมือในเวลาห่มเรียกว่า พาหันตะ แผ่นผ้าทาบริมโดยรอบเรียกว่า อนุวาต ทรงอนุญาตให้มีลูกดุม รังดุมติดที่มุมชายล่างกันผ้าเลิกและที่ผูกคอกันผ้าหลุด.
    ประมาณกว้างยาวตามขนาดของผู้ใช้ แต่ต้องไม่เท่าหรือเกินสุคตจีวร สุคตจีวรนั้นกว้าง 6 คืบ ยาว 9 คืบ โดยคืบพระสุคต ถ้าตัดผ้าขัณฑ์ 5 ขัณฑ์ หนึ่งๆ กว้าง 24 นิ้ว ขัณฑ์ 7 ขัณฑ์ละ 17 นิ้ว 1 กระเบียด ขัณฑ์ 9 ขัณฑ์ละ13 นิ้ว 2 กระเบียด ขัณฑ์11 ขัณฑ์ละ11นิ้ว อนุวาต6 นิ้ว เมื่อประกอบกันเข้าแล้ว เป็นจีวรกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ยาว 5 ศอก 2 กระเบียด โดยวัฑฒกีประมาณคือ นิ้ว คืบ ศอก ช่างไม้ เป็นประมาณที่พอดี พึงตัดจีวรตามแบบนี้.
    สุคตประมาณนั้นคือ 5 กระเบียดครึ่ง เป็น 1 นิ้วพระสุคต 12 นิ้วเป็น 1 คืบ 2 คืบ เป็น 1 ศอก เมื่อเทียบกับวัฑฒกีประมาณเป็นดังนี้ 16 นิ้ว 1 กระเบียด ช่างไม้เป็น 1 คืบพระสุคต จีวรที่ตัดตามแบบข้างบนนี้จึงเล็กกว่าสุคตจีวร
    ในผ้า 3 ผืนนี้ ทรงอนุญาตให้ทำผ้าสังฆาฏิ 2 ชั้น อุตตราสงค์ 1 ชั้น อันตรวาสก 1 ชั้น สำหรับผู้ใหม่ ถ้าเป็นผ้าเก่า ทรงอนุญาต ผ้าสังฆาฏิ 3 ชั้น 4 ชั้น ผ้าอุตตราสงค์ 2 ชั้น ผ้าอันตรวาสก 2 ชั้น ถ้าเป็นผ้าบังสกุลทรงอนุญาตให้ทำได้ตามต้องการ จะกี่ชั้นก็ได้ แล้วแต่จะพึงอุตสาหะ




    ---- จบ ---- ​
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    รู้สึกว่าจะคุยกันคนละสภาวะนะครับ ^-^
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Bull_psi [​IMG]
    ถ้าไม่มีกิเลสแล้วมันจะเป็นยังไงอ่ะ ผมโง่มากแต่อ่านกระทู้พวกพี่แล้วตื่นเต้นไปหมด

    หิวข้าวก็ยังกินข้าว แล้วพอหิวยังไม่ได้กินก็รู้ว่าขันธ์5 เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง

    ก็เลยเอาหล่ะ กินซะหน่อย เพื่อขันธ์5ยังประโยชน์ต่อไปเพื่อสรรพสัตว์
    (ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยเจงๆ)
    อุบ๊ะ นี่แหละทางสายกลาง นี่กินเพราะสมควรกิน ไม่ได้อยากจะกิน
    หรือนี่โดนกิเลสหลอกไปแล้ว

    แล้วเห็นใครคิดจะสู้กิเลสก็ล้วนใช้วิธีอดอาหาร
    ก็ไหนว่าทางสายกลางไม่ต้องทรมาน ใจที่พร้อมเกิดกายที่พร้อม มะช่ายเหรอครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สำหรับเรานะ (อาจไม่ตรงกับคนอื่น) การอดอาหารทำให้ กิเลส มันดาหน้า มาอาละวาด
    ฟาดหน้าเรา แบบไม่ต้องควานหาเลย อะ เหมือนไปกวนกิเลส ขึ้นมาดู อะนะ

    เหมาะสำหรับคนว่างงาน แล้วก็ปลีกวิเวกอยู่คนเดียว แล้วหาเรื่องให้กิเลสมันออกมาให้เรา
    ดู ถ้าภาวะนั้น เราอยู่ได้แบบไม่ดิ้นตามกิเลส มีใจเป็นกลาง ตามดูไปเรื่อยๆ ก็จะอาจจะได้
    เห็นธาตุแท้ของตัวเอง ขึ้นมาได้บ้าง แต่ทุกคนก็คงไม่ได้เป็นแบบนี้ บางคนอดอาหารแล้ว
    อาจจะอารมณ์ดี เบากายเบาใจ ไม่อึดอัด ไม่ง่วง ทำให้ลดนิวรณ์ลง
    ก็อาจเป็นได้นะ โลกเรานี้มีคนแปลกๆแตกต่างกันตั้งเยอะ
    เหตุอย่างเดียวกัน ผลอาจเป็นคนละเรื่อง ความจริงที่เกิดแก่บุคคลต่างๆ
    ต้องสัมผัสภาวะนั้นเอง ต้องลองทำถึงจะรู้ความจริงที่เกิดกับตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2009
  5. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ทำความเพียรให้มาก (หลวงพ่อจรัญฯ)

    ส่วนตัว เวลาทานน้อย รู้สึกทำสมาธิได้ดี อะคะ

    อย่างที่เขาเรียกว่า กายเบา จิตเบา ใช่ป่าวคะ
     
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขออนุญาต ระหว่างพี่ธรรมภูตยังไม่มา...
    ผิดถูกประการใด เชิญพี่ธรรมภูตตอบเอาเองนะคะ...

    ในพระไตรปิฎก เล่มต้นๆ จะเป็นพระสูตร พระวินัย
    เล่มท้ายๆ สามสิบกว่า...จะเป็นพระอภิธรรมปิฎก

    ลองดูในมหาสติปัฏฐานสูตร มหาปรินิพพานสูตร
    ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร
    จะเห็นว่า มีแต่คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
    (ไม่มีการใช้คำว่า สมถะ วิปัสสนา เลย)

    ทีนี้มาดูเล่ม สามสิบกว่าขึ้น ส่วนพระอภิธรรมปิฎก
    จะมีคำว่า สมถะ วิปัสสนา

    ตัวอย่างใน มหาปรินิพพานสูตร
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒

    [๑๑๑] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับ ณ บ้านภัณฑคามนั้น
    ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า

    อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา
    สมาธิอันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
    ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
    จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ
    คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
    ...

    ตัวอย่างใน ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป
    เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด
    ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
    เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
    ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

    (smile)
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ผมก็เคยฝึกอยู่เดือนหนึ่ง อดอาหารแบบทานให้น้อยที่สุด บางวันไม่ทานเลย
    ซึ่งจะทำร่วมกับอดนอน ที่อดนอนก็เพราะต้องมาทำสมาธิ แต่การทำสมาธิ
    ไม่ได้เน้นเข้าไปในกสิณเพื่อพัก ไม่ได้เน้นไปที่อากาศาเพือหลบ แต่นั่งดูมัน
    ทำความเจ็บปวดที่ปรากฏเป็นระยะ ดูท้องไส้ที่มันบิดเกลียว มีลมไหลไปไหล
    มาเป็นระยะ จะเสียด จะแสบ ก็ดูมันไป สิ่งที่เน้นดูคือ ใจที่ไหลไปจับ เมื่อเอา
    ใจไหลไปจับก็จะคร่ำคราญ เมื่อใจไม่ไหลไปจับก็เกิดแต่การตั้งมั่นรู้

    ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า

    ทำไมอดอาหารแล้วกายเบา ก็เพราะเราปลดความยึดมั่นในกายเราลง ทำให้
    เราไปสนใจจิตที่เกิดดับทางทวารอื่นๆ มากกว่ากายสัมผัสภายในภายนอก เหมือน
    คนที่ปลดภาระการคิดเรื่องวันนี้จะหาอะไรทานดีลง เหมือนคนที่ปลดภาระจะหา
    หยูกหายามาทาระงับเวทนากายลง ไม่ปรุงจนเกินเหตุเกินผล ยาตัวเดียวกันไม่
    ใช่เลือกเอาแต่ที่มีการวางราคาไว้สูง อาหารอย่างเดียวกันไม่เลือกทานเพราะ
    สีสรรราคามันสวย ก็จะเป็นคนที่สันโดษจากอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และอากาศ

    สันโดษจากอาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และอากาศ นี่ไม่ใช่ เบื่ออาหาร เบื่อยา เบื่อ
    เครื่องนุ่งห่ม เบื่ออากาศนะ มันทำให้เราเสพแต่พอดี แบบ เศรฐกิจพอเพียง
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    ถ้าไม่มีกิเลสแล้วมันจะเป็นยังไงอ่ะ ผมโง่มากแต่อ่านกระทู้พวกพี่แล้วตื่นเต้นไปหมด....ก็ต้องเดินสติปัฏฐาน 4
    เมื่อสัมมาสติเกิด ก็จะเข้าใจว่า แว๊ปนึงที่ไม่มีกิเลส เป็นอย่างไร แล้วก็เพียรเจริญที่พึงให้สัมมาสติเกิดให้ได้บ่อยๆ จนแก่รอบ

    หิวข้าวก็ยังกินข้าว แล้วพอหิวยังไม่ได้กินก็รู้ว่าขันธ์5 เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง ... ครับดีแล้วความเข้าใจในเบื้องต้นย่อมส่งผลดีในภายหน้า

    ก็เลยเอาหล่ะ กินซะหน่อย เพื่อขันธ์5ยังประโยชน์ต่อไปเพื่อสรรพสัตว์
    (ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยเจงๆ)
    อุบ๊ะ นี่แหละทางสายกลาง นี่กินเพราะสมควรกิน ไม่ได้อยากจะกิน
    หรือนี่โดนกิเลสหลอกไปแล้ว

    แล้วเห็นใครคิดจะสู้กิเลสก็ล้วนใช้วิธีอดอาหาร
    ก็ไหนว่าทางสายกลางไม่ต้องทรมาน ใจที่พร้อมเกิดกายที่พร้อม มะช่ายเหรอครับ


    การอดอาหารไม่ใช่วิธี แต่เพียงเป็นการฝืน ฝึกอดทน ในระยะเวลาที่พอควรไม่มากเกินไป
    หากในการฝึกฝน ควรใช้คำว่า ลดทอนอาหาร คืออย่างน้อยก็มี นมหรือน้ำนมถั่วเหลือง กับน้ำเพียง สองอย่าง สำหรับในการฝึกที่อยากรู้อำนาจพลังของภาวะจิตสงบ(สมถะ) แต่ยังไม่เป็นสมาธินะ....
    การลดอาหาระหว่างฝึก จะช่วยลด นิวรณ์ จากความง่วง กับกาม.. อาหารที่มีน้ำตาล กับโปรตีนจะมีส่วนในการกระตุ้นฮอโมนทางเพศและเกิดความง่วง ขี้เกียจ

    ในการฝึกแบบนี้จะให้เห็นผลทางสมถะ อย่างเร็วเพื่อให้มีกำลังใจและเข้าใจว่า พลังงานสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นมีอยู่

    สภาวะแสงสว่างโพลง กรณีนึงเกิดได้จากการรวมจิตไม่ใช่จิตรวม ..ในการทำสมถะอยากรู้ว่าสว่างโพลงเป็นอย่างไรก็ลองดูจริงๆจังๆได้อาศัยใจถึงอย่างเดียว
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ปัญหาตอนนี้ คือ คนไม่รู้จริง ออกมาพูด แล้วทำให้ธรรมคลาดเคลื่อนไปหมด

    คนเหล่านี้ มีใครบ้างอย่าให้เอ่ยชื่อเลยครับ

    แล้วมันมี พวกที่ สนับสนุน เพียงเพราะไม่ชอบคนอีกฝ่าย ก็เลยไปสนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่ง

    ทีนี้ พวกที่ อ้างปัญญา ว่า เขาเป็นพวกใช้ปัญญามาก ก็ไม่เห็นว่า จะมีปัญญาอะไรมากมาย มีแต่ เอาแต่ดูเฉยๆ รู้เฉย

    ตรงกันข้าม คนที่เขาบอกว่าให้ทำสมาธิ ทำฌาณ ดูเหมือนว่า เขาจะฉลาดและมีปัญญา มากว่าเสียอีก

    สรุปให้ฟัง วันนี้ฟัง หลวงพ่อพุธ ท่านเทส ใน fm 103.25 ผมก็เลย ทราบว่า สำนัก นั่งรุ้ดูเฉย นี่ไปเอามาจากไหน

    ก็ตอบว่า ไปเอา บางชั้นบางตอนของหลวงพ่อพุธมา ด้วยความเข้าใจผิดๆ ว่านั่นคือวิปัสสนา แต่ หลวงพ่อพุธ ท่านสอนให้คน ทำสมาธิ ทีนี้ ตอนทำสมาธิ มันจะคิดก็ปล่อยให้มันคิดไป ให้มีสติรุ้ มันจะรู้สึกอย่างไร ให้มีสติรุ้ อย่าไปฝืน อย่าไประงับ
    นี่ ท่านสอนให้คนทำสมาธิ แบบนี้ เป็นเทคนิค ซึ่งจริงๆ แล้วคนทำสมาธิ ทำสมถะ ก็ควรทำแบบนั้น คือ รู้ปล่อย

    แต่ปัญหาคือ สำนัก นั่งรู้ดูเฉย เอามาบิดเบือน ด้วยการบอกว่านั่นคือ วิปัสสนา เอามาบิดเบือน แล้วพลอยตำหนิ วิธีการที่มีมาดีอยุ่แล้วว่า เป็น การหลงสมาธิ พลอยยกวิธีการตัวเองเสมือนว่าเลิศเลอที่สุด ใครไม่รุ้ตัวนี้ เพราะไม่รู้จริง พลอยไปเอาความอัศจรรย์ตรงนั้น พอให้ยกพระไตรปิฎกมา กลับยกมาไม่ได้
     
  10. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>..กลับตัวกลับใจ.. </TD></TR></TBODY></TABLE>
    pig_cryy2
     
  11. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    โอ้พระเจ้าช่วยด้วย เกิดอะไรกันนี้ งงไปหมดแล้วกับพวกท่าน หุ หุ หุ
    ระวังพากันจมน้ำนะท่าน ปราถนาดี รักหรอกจึงหยิกเล่น จ๊ะ
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เอาแค่เรื่องกิน กินมากไปก็เป็นโทษ เกินความจำเป็นของกาย โทษนี่ นอกจากง่วง กำหนัด หายใจไม่คล่อง สมาธิก็เข้ายาก อ้วนก่อโรค อันนี้เรื่องกิน เพราะอยากแท้ ๆ

    หากพิจารณากาย กินเข้าไปนี่ต้องรู้เลย ว่าอึดอัดแล้ว เพราะอาหารมันไปอยู่ที่ท้อง ไม่สบายกายเลย จะรู้สึกเพิ่มเติมว่า มีแต่สิ่งปฎิกูล (จะเป็นการพิจารณากิเลส พิจารณาอาหาร พิจารณากาย รวม ๆ กันไป )
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    หลวงพ่อพุธ ท่านว่าธรรมชาติของจิต นั้นมันคิด ก็ต้องปล่อยให้คิด จะไปห้ามมันไม่ได้ พอมีสติแล้วมันจะหยุดเอง
    นี่ไม่ทราบว่าเหมือน คำสอนใครเอ่ย แต่ว่า หลวงพ่อพุธ ท่านสอนคนให้ทำสมาธิอยู่ ตอนที่สอนนั้น
    นึกถึง คนที่เขา ทำสมาธิ แล้วใจเขาคิดวุ่นวาย จะบอกอย่างไร ก็ต้องบอกว่า คิดก็คิดไป เดี๋ยวมันก็หยุดเอง
    แล้วพอมีสติมันก็หยุด ทีนี้ หลวงพ่อพุธท่านก็เสริมอีกว่า ถ้าสติสมาธิมีกำลัง พอรู้ปั๊บ ที่มันคิดมันก็หยุดของมันเอง

    ปัญหา คือ ประเด็นของหลวงพ่อพุธ ท่านสอนเทคนิคให้ทำสมถะ อันเป็นเหมือนตัวประกอบแห่งบทธรรม
    แต่ ฝ่าย นั่งรู้ดูเฉย ยกขึ้นมาเป็น ตัวพระเอกแห่งบทธรรม และ ดูเหมือนจะยกเชิดชูให้เป็น ฮีโร่แห่งธรรมเสียด้วย
    และ เปลี่ยนบทใหม่ด้วยการบอกว่า อย่าไปเพียร อย่าไปคิดเพิ่ม

    นั่นเป็น หนังสือเล่มใหม่ ที่เขียนโดยใครบางคน ซึ่งหยิบเอาจากพระไตรปิฎก หยิบเอาจากเซ็น หยิบเอาจากหลวงปู่ดูลย์ หยิบเอาจากหลวงพ่อพุธ เอามาเป็นหนังสือ เล่มใหม่ที่ใช้ชื่อว่า การดูจิต

    นั่นแหละ คือ การ mutation แห่งคำสอนของพระศาสดา เป็น การครอสโครโมโซมแห่งสายพันธ์เดียวกันให้ กลายเป็นรุ่นใหม่ที่พิการทางกรรมพันธ์

    ขอใช้ศัพท์ที่มันพิสดารหน่อย เพราะว่า มีคนชอบกล่าวหาว่าผม ชอบทิ้งอรรถ ศัพท์ ที่ไร้สาระ ก็เลยเอาให้สมใจเลย
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จากการสังเกตุอะไรหลายๆ อย่าง
    1 มีการอ้างคำสอนของ ฮวงโป ในหนังสือคำสอน ฮวงโป ของท่านพระพุทธทาส ว่าเป็น คำสอนของหลวงปุ่ดูลย์ ชนิดลอกกันมาคำต่อคำ ซึ่งใครเป็นคนทำไม่ทราบ แต่มีปรากฎการโต้แย้งจาก กลุ่มนั่งรู้ดูเฉยว่า หลวงปู่ดูลย์ท่านชอบคำสอนฮวงโป เลยยืมคำมาสอน
    ซึ่ง อ้างไปได้ยังไงครับ มีหรือครับ พระอริยะอย่างหลวงปู่ดูลย์ จะไปหยิบคำสอนฮวงโปมาสอนศิษย์ และคำพูดเหล่านั้น เป็นคำแปลจากหนังสือท่านพระพุทธทาส
    2 มีการดัดแปลงคำสอน ของหลวงพ่อพุธ ให้เปลี่ยนประเด็นไป
    3 ดัดแปลง คำว่า ถิรสัญญา และมหาสติ ให้เปลี่ยนแปลงไป
    4 กล่าวกลบธรรม แห่ง ความเพียร
    5 ดัดแปลง เซ็น ให้บิดเบือนไป

    ผมว่า ไม่ธรรมดาแล้วครับ คำสอนสำนักนี้ มองอย่างเป็นกลาง จะเห็นทุกอย่างปรากฎตามที่ผมบอกไป
     
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอบคุณครับ เอ..ท่านธรรมมะสวนังเรียนภาลีด้วยหรือเปล่าครับ..แล้วพอจะทราบไหมครับ คัมภีร์ จามมะขันทกะ จะหาได้ที่ไหนครับ ไม่รู้ว่าเขียนถูกหรือเปล่า
    (smile)
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ด้วยความเข้าใจผิดๆ ว่านั่นคือวิปัสสนา"
    "ทำสมาธิ ทีนี้ ตอนทำสมาธิ มันจะคิดก็ปล่อยให้มันคิดไป ให้มีสติรุ้ มันจะรู้สึกอย่างไร ให้มีสติรุ้ อย่าไปฝืน อย่าไประงับ"

    อืมๆ ปฏิบัติอย่างนี้ เรียกว่า ทำสมาธิ

    บริกรรมเอาสติแนบไปกับคำบริกรรม เอาใจจดจ่ออยู่ที่บริกรรม เรียกว่าทำสมาธิสวดมนต์

    ดูลมหายใจ เอาใจแนบไว้กับลมหายใจ ก็เรียกว่าทำสมาธิ

    ดูลมหายใจ ถ้าใจมันคิด ใจมันส่งออกนอก ให้มีสติรู้ตัวตลอด มันจะรู้สึกอย่างไร ให้มีสติรุ้ อย่าไปฝืน อย่าไประงับ ก็เรียกว่า ทำสมาธิ

    การฝืนจิต อย่าให้กิเลสมันลากเราไปได้ ฝืนละกิเลส ระงับกิเลสไว้ ก็เรียกว่าทำสมาธิ

    การปล่อยให้ธรรมชาติของตน แสดงตัวตน ปล่อยให้กิเลสมันโผล่หัวออกมา แล้วใจเรารู้เฉยๆ ทำตัวเป็นกรรมการ ไม่แทรกแซง ดูกิเลสมันทำงาน แล้วเราไม่ดีดดิ้นตามกิเลส แต่มาดูใจตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร ยินดี ยินร้าย มีสุข มีทุกข์ มีชอบใจ ไม่ชอบใจ เรียกว่านังดูรู้เฉยๆ เรียกว่าไม่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ไม่รู้ว่าเราเข้าใจคนอื่นถูกไหม
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    กลุ่มนั่งรู้ดูเฉย นี้มีพฤติกรรมอย่างไรครับ มีพฤติกรรมที่ คุยเฮฮากันไม่รู้จักหยุดหย่อน
    ทำตัวเป็นตลก เฮฮา จับกลุ่มสุมหัวกัน เหมือนตั้งวงกินเหล้าไม่มีผิด
    แล้ว ในระหว่างที่กินเหล้า ก็เคล้าธรรม แล้วบอกว่า นี่แหละ วิธีนี้ มันจะคิดอะไรก็ปล่อยออกมา มันอยากจะพูดอะไรปล่อยออกมา
    นั่นมันคำสอนพระพุทธเจ้าหรือครับ
    ใครจะพูดอย่างไร ขัดกับวิธีตน เถียงเขาไปหมด ไม่ได้มองฟ้ามองดิน อินทร์พรหมเลย

    เป็นอย่างนี้มา 2 ปีผ่านไป ยังเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้อยู่ห้องวิทย์ ตอนนี้ย้ายมาห้องอภิญญา ทำนองว่า กูจะคุยกันในแบบของกุแบบนี้ ใครจะทำไม กลุ่มนี้อย่าให้เอ่ยชื่อเลย เขาเรียกว่า ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมาพบกัน

    ผมยังนึกชม ธรรมภูต เวลาเขา เอาธรรมมาโต้แย้ง ธรรมเขามีเหตุมีผล พอให้ได้คิดบ้างตลอด
    แต่ ฝ่ายฝนตกขี้หมูไหลนี่ เวลาพูด ขอให้ตัวเองถูกเข้าว่า ไม่ได้มีเหตุมีผลเลย

    นี่แหละครับ คนมีธรรมนั่งรู้ดูเฉย ไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นั่นแหละ พูดผิดเสียเมือไร ว่าคนดักดาน มันก็เอาความหมายทั้งหมดให้บิดเบือนไป
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขอตัว ไม่อยากสนทนากับพวก บิดเบือน สร้างความสับสนให้กับสังคม
    พวกกิเลสนี่ไปที่ไหนก็ร้อน
    เอาความสับสนไปให้สังคม เอาความฟุ้งซ่านไปให้สังคม
    ดูกิเลสมันทำเถอะ ขนาดว่า ยกพระไตรปิฎกมาจนเถียงไม่ออก กิเลสมันยังไม่ลงให้พระไตรปิฎกเลย รีบวิ่งไปหาว่าจะมีพระไตรปิฎกส่วนใดจะเข้าทางตน อ้างนั่นอ้างนี่
    นั่นแหละ เขาเรียกว่า พวกที่โง่ที่สุด ไม่ใช่ฉลาดนะพวกนี่ ให้กิเลสเอาไปกินหมด นึกว่าตัวเองฉลาด
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การอดอาหาร ทำไมทำให้ รู้จักสันโดษในอากาศ

    จากประสบการณ์ เมื่ออดอาหารแล้ว แน่นอนว่า ระดับน้ำตาลที่ร่างกายใช้ได้ทันที
    นั้นจะลดลง ดังนั้น

    หากคุณเดินเหินไปไหน ใช้ชีวิตอย่างไร หรือ กำลังทำสมาธิกองลม หากหายใจมาก
    เกินไป เอาอากาศเข้ามากเกินไป จะปรากฏอาการซ่านทั่วกาย แต่การซ่านนี้ไม่
    ใช่ซ่านแบบปิติ เป็นการซ่านที่พร่ามัว สั่นไหวไปทั้งร่าง ในมุมหนึ่งร่างกายมัน
    กำลังไปขุดเอาน้ำตาลสะสมกลับมาใช้ อีกมุมหนึ่งคือคุณกำลังประสบภาวะขาดน้ำตาล
    หากทำไปเรื่อยๆ ก็จะหมดสติ ก็จะรู้ทันทีว่า ต้องผ่อนลมหายใจลง อย่าวิตกกังวล
    เพราะมันจะยิ่งไปเสริมอาการ เมื่อผ่อนลมหายใจลงในระดับที่พอประมาณ ก็จะพบว่า
    ระดับอากาศที่ร่างกายต้องการนั้น มันอยู่ระดับไหน และทั้งนี้ก็จะรู้อีกว่า ระดับที่ร่างกาย
    ต้องการลมนั้นไม่เที่ยง เพราะแต่ละจังหวะเวลาลาในวันหนึ่ง มันไม่เท่ากัน

    เมื่อเห็นแบบนั้น ก็จะรู้จักสันโดษในการหายใจเอาอากาศเข้าปอด แล้วก็จะทำให้รู้ว่า
    ตามมหาสติปัฏฐานสูตร ที่กล่าวว่า เมื่อลมเข้าสั้นให้รู้ ลมออกยาวให้รู้ การรู้นี้ไม่ใช่
    ไปเจตนาหายใจเข้าให้สั้น ไปเจตนาหายใจเข้าใหยาว แต่เป็นการรู้ไปตามจังหวะกาย
    สังขารที่เขาต้องการเสพอาหาร ทำให้เห็นว่า ทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่ไปเจตนา
    หายใจเข้าออกเอาเองแล้วบอกว่ารู้ มันจะคนละอารมณ์กัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...