ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    เรากำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่ครับ??? ใช่สมถะและวิปัสสนามั้ยครับ???
    .....ครับตรงนี้ผมทราบอยู่ครับ

    เราควรว่ากันเป็นเรื่องๆนะครับ อย่าใช้วิธีเหมาโหลครับ
    บางครั้งเห็นครูบาอาจารย์บางท่าน ใช้วิธีนี้ ผมเองยังรู้สึกไม่ดีเลยครับ
    ของอะไรที่ผ่านกาลเวลามานานมากแล้ว ควรสืบหาเค้าเงื่อนให้ดีก่อนครับ
    .....ที่ผมถามเพราะ ว่า เห็นพี่ภูตชำนาญในพระไตรปิฏก เวลาผมยกพระไตรปิฏกมาอ้างอิง ว่าผมก็มีที่มาไม่ได้มั่ว ก็มักจะถูกว่าเป็นชั้นหลังๆ และยังเป็นคำของอรรถกถาจารย์อีก ผมเลยงง ว่าพระไตรปิฏก ของไทยนี้ ที่มีอยู่ประจำวัดนั้น มันเหมือนกันไหมครับ และระหว่างชั้นต้นๆที่พี่ภูตเคยบอก กับชั้นหลังๆบางครั้งผมยกมาอ้างอิง พี่ภูตก็บอกว่าให้ไปดูชั้นต้นๆ ผมเลยถามอีกครั้ง เลยอยากไปอ่านชั้นต้นๆบ้าง จะได้สื่อสารกันให้รู้เรื่องมากกว่านี้ครับ....และจะได้เข้าใจว่า ชั้นต้นๆและชั้นหลังๆอันไหนแน่ที่ถูกต้อง มันไม่เหมือนกัน ระหว่างชั้นต้นๆกับหลังๆเหรอครับ เคยได้ยินครูหลายๆท่านก็ว่าพระไตรปิฏกของไทยนั้นยังสมบูรณ์ ผมก็เข้าใจว่า ไม่ว่าเล่มไหนๆ ก็ถูกต้อง
    ........การที่ผมถามเรื่องนี้ เพราะคำในแต่ละคำ บางครั้งผมก็ยกจากพระไตรปิฏกมาอ้างอิงด้วย ที่ว่าด้วย สมถะและวิปัสนา จะได้เข้าใจตรงกันได้มากขึ้นครับ.....จึงขอความกระจ่างที่ถามไปครับ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เห้อ เอาเหอะ ผมเห็นพี่มาอนุโมทนาในคำพูด ก็คิดว่า จะคุยกันแบบด้วยดีได้

    ถ้าออกมาในรูปนี้นะ ออกเป็นแนวว่า เห็นผมปรักปรำความผิด ก็เลิก
     
  3. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    พระพุทธเจ้าทรงประสูติที่ป่า ตรัสรู้ที่ป่า ปรินิพพานที่ป่า...
    เพราะที่สงบสงัด เหมาะกับผู้บำเพ็ญเพียร
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ได้สามวาสองศอกหรอกคุณพี่ แค่กำลังผูกปมให้เห็น

    ก็ถ้าพี่มองว่า นิพพานมันมีอยู่แล้ว เอาง่ายๆเลย ปมที่ผม
    จะถามก็คือ ตอนปรินิพพาน ต้องเข้าฌาณอีกหรือเปล่า

    ก็ในเมื่อนิพพานแจ้งแล้ว ปรากฏโดยตลอดอยู่แล้ว ทำไม
    เขาถึงถกกันในเรื่องการเข้านิพพานที่จะต้องทำฌาณเหมือน
    ไปเปิดประตูอีก

    ผมก็แค่จะขมวดปมมาเรื่อยๆ ตามลำดับ

    แต่พวกพี่เห็นแล้ว แทนที่จะเห็นเป็น ปริศนา ที่หากตอบแล้ว
    ย่อมเป็นประโยชน์ แต่กลับมาด่า หรือ คิดว่าผมมาชักจูง
    คนไปทางผิด แบบนี้ก็จบครับ

    * * * *

    ผมจำไม่ได้หรอกนะ ว่ามีพระท่านใดเทศน์นาแบบนี้ คือที่ดู
    ทีวีนี่ การเทศน์แบบ มีพระสองท่าน มาทำทีเป็นทะเลาะกัน
    อีกฝ่ายตั้งคำถามยียวน อีกฝ่ายก็ตอบ ผมก็เห็นว่าไม่แปลก
    อะไร

    แต่ถ้าเป็นแบบในกระทู้นี้นะ สงสัยไม่เข้าใจ กลับบ้านคง
    นั่งด่าพระลูกคู่ที่ถามยียวล แล้วคงแช่งลงนรก ...โถ ก็เขา
    กำลังทำหน้าที่ซักไซ้ ( เออ ถ้าผมใช้คำหยาบ ก็ว่าไป
    อย่าง )

    .....จบละกัน.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  5. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ขวนขวายน้อย เป็นผู้ที่เลี้ยงง่าย สันโดษ ชอบสงัด เป็นผู้ทรมานตนเสมอ เป็นผู้ที่ไม่ละกาล จิตของท่านใหม่อยู่ในธรรมเสมอไม่เบื่อ ไม่ติดตระกูล ไม่ติดที่อยู่ ไม่ติดลาภยศ อ้างธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นของจริงและของเที่ยง ..

    *** ปัญญากับสติให้รู้เท่าทันกัน

    *** มรรค 8 นั้น สมาธิมรรคเป็นองค์ 1 นอกนั้นเป็นปริยาย

    *** ถ้าส่งจิตรู้เห็นนอกกายเป็นมิจฉาทิฐิ ให้รู้เห็นอยู่ในกายกับจิตนั้นเป็นสัมมาทิฐิ

    ***นักปฏิบัติใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่สุดจึงจะรู้ ธรรมเห็นธรรม

    ***ท่านกำชับว่าอย่าให้จิตเพ่งนอก ให้รู้ในตัวเห็นในตัว เมื่อรู้ในตัวแล้วรู้ทั่วไป เพราะ ตัวเป็นต้นเหตุ

    ***ปฏิภาคนั้นอาศัยผู้ที่มีวาสนาจึงจะบังเกิดขึ้นได้ อุคหนิมิตนั้นเป็นของที่ไม่ถาวร พิจารณาให้ชำนาญแล้ว เป็นปฏิภาคนิมิต ชำนาญทาง ปฏิภาคแล้วทวนเข้ามาเป็น ตน ปฏิภาคนั้นเป็นส่วนวิปัสสนา

    ***ให้แก้ปัจจุบัน เมื่อแก้ปัจจุบันได้แล้ว ภพ 3 นั้นหลุดหมดไม่ต้องส่งอดีต อนาคต ให้ ลบอารมณ์ภายนอกให้หมด จึงจะเข้าอารมณ์ภายในได้ เพ่งนอกเป็นตัวสมุทัย เป็น ทุกข์ และเป็นตัวมิจฉาทิฎฐิ เพ่งในเป็นตัวสัมมาทิฐิ เพ่งในตัวเป็นสัมมาทิฐิ
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ้อ กรณีที่ฟังพระท่านสอน

    พี่ต้องปรับภาพก่อนว่า ท่านใช้เจโตปริญาณส่องไปที่ดวงจิตทุกดวงในปริมณฑลนั้น

    แล้วพระท่านก็เทศนาตามธรรมที่ปรากฏในจิตของคนส่วนใหญ่

    หากคนใด จิตเขาสว่างขึ้นมา พรtท่านจะโฟกัสไปเอื้อให้จิตนั้นๆ โดยที่คนอื่นฟัง
    แล้วก็ไม่รู้

    ดังนั้น บางครั้ง ท่านจะกล่าววนๆ เพื่อให้จิตดวงเป้าหมาย(ส่วนใหญ่)นั้นสามารถระลึกได้ใน
    ทางที่ควรจะทำการโยนิโสมนสิการ

    บางครั้งท่านก็จะวนหลายรอบ ยิ่งกรณีที่ใครมาติด ปิติ กำลัง ขึ้น สุข ท่านก็จะ
    หยั่งอินทรีย์แล้วพูดคำที่ทำให้จิตใจเป้าหมาย(ส่วนใหญ่)เกิด สุข เพื่อให้เกิดการหล่อเลี้ยง
    ดวงจิตให้มีกำลังถึงฌาณ

    เมื่อดวงจิตเป้าหมายมีกำลังถึงฌาณ ท่านก็จะเทศนาบทที่เกี่ยวข้องกับการสัก
    แต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็นเอื้อเข้าไปอีก

    ที่ผมบรรยายได้ ก็เพราะสัมผัสมากับตัวเอง แต่กรณีของผมนั้น ไม่ได้ข้ามมรรค
    ผลไปไหน มันสว่างเกิด อโลโกชั่วแป๊ปเดียว ไม่ยาวพอจะข้าม เพราะจิตมันรั้ง
    กลับของมันเองด้วยดวงจิตแลเห็นหมู่สัตว์ที่ไม่เห็นทางแบบนี้

    เห็นผมพูดแบบนี้ อย่าเข้าใจผิดนะว่า พระท่านเทศน์ลงมาที่คนๆเดียว พี่ต้องเข้าใจ
    จิตที่มันแผ่ออกรวมๆ จิตที่ไม่มีการยึดมั่น ไม่มีตนครอง ต้องมองตรงนั้น ดังนั้น
    ไม่ใช่การเทศน์เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ...ไม่รู้จะพูดอย่างไร หวังว่าพี่ภูติ
    น่าจะเข้าใจสภาพจิตที่มันไม่ถูกยึดมั่นถือมั่น จิตนั้นมันจะแผ่ออกคลุมโลกธาตุ
    อยู่ ไม่มีขอบไม่มีเขต ( ที่รู้ว่าเป็นจิตที่มันแผ่ออก ก็เพราะจังหวะที่เห็นมัน
    เป็นแบบนั้นอยู่ , แต่ถ้าเป็นจิตที่ประคอง ทำสมถะอยู่ อันนั้นหมดสภาพ
    ไปรับรู้ )

    * * * *

    ดังนั้น คนที่ฟัง cd แล้วไม่เข้าใจบริบท ก็คิดว่า cd เป็นอะไรที่กล่าวซ้ำๆ

    ดูเหมือนไม่มีสาระอะไร แต่ถ้าใครก็ตามที่เผอิญมีสภาวะจิตทำมาดีแล้ว
    แค่กำลังหาทางเข้าประตู เมื่อฟังแล้วเกิดตรงจังหวะก็มีสิทธินมสิการธรรม
    ได้ไม่มากก็น้อย

    * * * *

    แต่เตือนก่อนนะ ว่า คนที่ติดความคิดว่า จะต้องเข้าฌาณแล้วไปพิจารณาข้าง
    ในนั้นอันนั้นพ้นเคส เคสที่ฟัง cd จะต้องเป็น เคสที่ฟังในจังหวะคาๆอยู่ที่
    อุปจารสมาธิเท่านั้น ถึงจะรับธรรมได้

    พวกที่สมาธิจิตยังไม่มี มาฟังเอาเพลิน นั่นยกไว้เลย ไม่ใช่เป้าหมาย

    พวกทีทำสมาธิเข้าฌาณ3 ขึ้นไป นั่นก็ยกไว้ ไม่ใช่เป้าหมาย เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2009
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อ้อ หลวงพ่อเคยบอกอย่างนี้ว่า

    หากใครฟัง cd ของหลวงพ่อแล้วถามว่า ท่านสอนอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง

    ท่านให้ตอบว่า ท่านกำลังสอนสภาวะธรรม ( ตามความเป็นจริงที่ปรากฏขณะนั้น )

    แปลว่า ไม่ใช่ คำสอนแบบ พรรณาโวหาร ที่จำๆ เอามาพูด

    แต่เป็น การเทศน์ที่อ่านจากสภาวะธรรมในดวงจิตของทุกคนในบริเวณนั้น
    แล้วก็กล่าวไปตามนั้น
     
  8. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    พระธรรมเทศนาของ หลวงปู่ขาว อนาลโย

    การทำสมาธิภาวนานั้น บางทีทำยังไงใจมันก็แข็งๆอยู่อย่างนั้น ทำสมาธิไม่ลง ทำยังไงก็ไม่ลง ทำไปๆมันไม่สงบ บอกมันว่าเจ้าเป็นผีนรกวิ่งขึ้นจากอเวจีนรกจึงแข็งกระด้างเพราะไฟเผา ไล่ให้มันลงไปจมอเวจีอีก อย่าให้มันขึ้นมาอีกให้อเวจีเผาต้มมันอีก ด่าอีก แล้วก็ลงนอน พอเช้ามาก็ไปถ่ายโถนล้างกระโถน ปฏิบัติท่านอาจารย์มั่น ท่าอาจารย์ลุกขึ้นมาว่า" ท่านขาว คนเป็นผู้ประเสริฐอยู่ มาด่าตนเฮ็ดหยัง ให้ลงนรกอเวจียังไงนี่ ท่านประกอบกิจอยู่อย่างนี้แล้ว หนักเข้าละฆ่าตัวตายหนา ครั้นฆ่าตนตายแล้วนับชาติไม่ได้หนา ที่ฆ่ากันอยู่นี้ ไม่มีพ้นทุกข์แล้วความที่โกรธนี่หนักเข้าๆ ก็เลยฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายแล้วก็ห้าร้อยชาติไปเที่ยวเอาภพเอาชาติ ทำเวรผูกเวรกัน ฆ่าตัวตายอย่างนั้นแหลาะ อย่าไปทำอีกเทียว ตนบริสุทธิ์ อย่าไปท้าตนอย่างนั้นอย่างนี้" ท่านอาจารย์มั่นนั้นใครนึกอย่างใด ทำอย่างใด ท่านรู้โม้ด ท่านก็อยู่กุฏิโน่นแน่ะ
    พิจารณาไปๆมาๆ''ความขี้โกรธ"อันนั้นแหละของแข็ง อ่อนละ มันว่าให้เอาของอ่อนมากิน อ่อนอะไร พิจารณาไปๆมาๆ"เมตตา'' ได้ความแล้ว เมตตา ตั้งแต่นั้นมาก็แผ่เมตตาไปทั่วทิศานุทิศ แผ่ไปหมดสัตว์ทั้งหลาย แผ่เมตตาไปความโกรธนั้นอ่อนลงๆ ความโกรธไม่ค่อยทำ จิตไม่แข็งแล้ว จิตอ่อนแล้ว จิตอ่อนมันควรแก่การงานทั้งนั้นแหละ จะทำอะไรมันก็ควรแก่การงาน จะพิจารณาอะไรมันก็เหมาะ จิตอ่อนหมายความว่าจิตเบาจิตว่าง เราภาวนานี่ก็อบรมจิตนี่แหละ ต้องการให้จิตอยู่ ครั้นจิตอยู่แล้วมันจึงจะเกิดแสงสว่างขึ้น จิตเดิมมันเป็นของสว่าง เป็นของเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลสมันจรเข้ามาปกคลุมรัดรึงให้ขุ่นมัวเร่าร้อน อาคันตุกะกิเลสก็ไม่อื่นไม่ไกลดอก มันไม่พ้นนิวรณ์ธรรมทั้ง5 กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นี่ละ เมื่ออารมณ์เหล่านี้ไม่เข้าครอบงำแล้ว จิตนี้มันก็อ่อน จิตสว่างไสวควรแก่การงาน การงานที่พิจารณา
    ให้แผ่เมตตาเรื่อยๆมันเป็นที่จิตเรานั่นแหละ เป็นเพราะอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มายุยงให้จิตผูกจิต เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ชำระอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่ให้ยินดียินร้ายในสัมผัสทั้งหลาย ทำจิตให้เป็นกลางต่ออารมณ์
    เรื่องเหล่านี้มันเป็นเพราะจริตของแต่ละบุคคล นิสัยมันต่างกัน พระพุทธเจ้าก็บอกไว้หมดละ จริตของคนที่มีราคะมาก ให้พิจารณาอสุภะอสุภัง ให้เห็นความเปื่อยเน่า จะอิดหนาระอาใจ เบื่อหน่าย ถอนจากความกำหนัดได้ แก้โทสะ ให้มีเมตตาบ่อยๆมากๆ ยืน เดิน นั่ง นอน มันก็อ่อนลงเอง แก้โมหะความหลง ให้ใช้ปัญญา พิจารณาไตร่ตรองชำระจิต
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สำหรับคุณวิษณุ12
    อาจานวิฯครับ ก่อนอื่นผมต้องขอปรารภ เสียงดังๆหน่อยนะครับ
    เท่าที่ผมได้สนทนากับคุณมานั้น
    ผมมีความรู้สึกว่า ในกลุ่มของคุณๆดูแล้วน่าจะมีเหตุมีผลที่สุดในกลุ่ม
    แต่เท่าที่ผ่านมาในช่วงหลังนี้ ผมรู้สึกผิดหวังเล็กๆในตัวคุณ
    เนื่องจากที่ผ่านตามา ผมเริ่มเห็นด้วยกับอาจานขันธ์แล้วว่า
    พวกคุณมีต้องการเพียงแค่หาวิธีที่จะให้ผมตกหลุมพรางคุณเท่านั้น ....ก่อนอื่นผมต้องขอปรารภ เสียงดังๆหน่อยเช่นกันนะครับ พี่ภูต พี่บอกพี่ภูตแล้วว่า อย่าเรียกผม อาจานวิฯ มันดูไม่ให้เกียรติกัน ก็ไม่เลิก
    เท่าที่ผมได้สนทนากับพี่ภูตมานั้น
    ผมมีความรู้สึกว่า ในกลุ่ม ..พี่ภูตดูมีเหตุมีผลที่สุดในกลุ่ม
    แต่เท่าที่ผ่านมาในช่วงหลังนี้ ผมรู้สึกผิดหวังเล็กๆในใจพี่ภูต

    เนื่องจากที่ผ่านตามา เริ่มเหมารวมไปหมด และเริ่มถึงผู้ใหญ่ ซึ่งศิษย์มีครูเค้าไม่ทำกัน ... ทำไมพี่ภูตถึงคิดว่าเป็นการวางหลุมพลางล่ะครับ ทำไมคิดอกุศลอย่างนั้นล่ะครับ ไม่คิดในแง่ที่เป็นกุศลล่ะครับ จะได้ไม่มองว่าเป็นหลุมพลาง แต่มองถึงประโยชน์ในการถามตอบ ในเหตุในผลว่าไปตามเนื้อผ้า
    พี่ภูต ศึกษามามาก ใยต้องกลัวการถาม ใยต้องสะดุ้งในการตอบ


    โดยคำถามที่ถาม บางคำถาม ผมคิดว่าได้ชี้แจงไปกระจ่างพอสมควรแล้ว .... แสดงว่าสิ่งที่ยังสงสัยก็ไม่มีสิทธิถาม ใช่ไหมครับ
    คุณไม่เคยคิดที่จะลองสมาทานดูเลย เพียงต้องการหาช่องว่างรอยโหว่
    ในการยิงคำถามกลับ เพื่อที่จะให้ผมหลงทางหรือเข้าทางพวกคุณเท่านั้น ... ก็บอกแล้วว่า ทำไมไม่ลองมองจิตที่เป็นกุศลล่ะครับ ไปมองสิ่งที่เป็นอกุศลทำไมกันล่ะครับ


    อย่างครั้งที่ผ่านมาเราถกกันเรื่องสติ
    คุณก็แสดงอาการขาดเหตุผลออกมาแล้วในหลายคคห.
    จนผมต้องออกปากถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร???
    ....ครับถือว่าผมผิดแล้วกันครับ

    หวังความจริงหรือ???..หวังความเข้าใจครับ
    หวังความกระจ่างหรือ???...หวังความเข้าใจครับ
    หวังความหลุดพ้นหรือ???...หวังความเข้าใจครับ
    หวังเพียงเพื่อการชนะคะคานเท่านั้นเพราะทิฐิตัวเดียวแท้ๆหรือ???...ครับผมผิดเองครับที่ถาม ต่อไปจะไม่ถามแล้วครับ ไม่มีประโยชน์ในการถามแล้วครับ เพราะผู้ถูกถามกลัวในคำถามและสะดุ้งในการตอบ เป็นอันว่า ผมขอขมานะครับ คงไม่ถามอีกแล้วครับ [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  10. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เทศนาธรรม พระหลวงตามหาบัว

    หลักใหญ่ คือ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น


    ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้ โถ มีแต่องค์สำคัญ ๆ นะที่พวกเราทั้งหลายได้เห็นเป็นขวัญตาขวัญใจกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวันอย่างกว้างขวางก็คือออกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นทั้งนั้นเลย องค์ไหนปรากฎชื่อลือนามไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าออกจากหลวงปู่มั่นจริง ๆ นะไม่ค่อยผิดพลาด ทางด้านปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติภายนอกภายในดี เพราะท่านเอาไปจากหลักใหญ่ คือ พ่อแม่ครูจารย์มั่น ทุกสิ่งทุกอย่างหาที่ต้องติมิได้


    เราพูดจริง ๆ เรามอบถวายหมด ไม่มีอะไรเหลือ แม้เม็ดหินเม็ดทรายในหัวใจของเราที่จะไม่ลงท่านนะเราลงถึงสุดขีดเลย เพราะไปอยู่กับท่านถึง ๘ ปี ตั้งแต่วันไปอยู่ทีแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพ หาที่ต้องติไม่ได้เลย ไม่ว่าธรรม ไม่ว่าวินัย เพราะเราก็เรียนไปเหมือนกัน ท่านปฏิบัติไปในแง่ใดภูมิใด ผิดถูกประการใด มันก็รู้ตามหลักธรรมหลักวินัย ท่านเก็บหอมรอมริบ ไม่มีที่เรี่ยราดสาดกระจายไปไหนเลย คือหลวงปู่มั่นเราหลักธรรมหลักวินัยตรงเป๋ง ๆ เลย นี่ละทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาเข้ามาอบรมกับท่าน ก็หลักใหญ่ดีอย่างนี้แล้วส่วนเล็กส่วนย่อยไป ก็ต้องเอาจากหลักใหญ่ออกไป ๆ เวลาไปเป็นครูเป็นอาจารย์สอนใครที่ไหนจึงไม่ค่อยผิดพลาด เป็นที่แน่ใจ

    ยกตัวอย่างเด่น ๆ ก็อย่าง หลวงปู่แหวน ฟังซิ หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี หลวงปู่พรหม เหล่านี้มีแต่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นนะ อัฐิเป็นพระธาตุ ๆ แล้วทั้งนั้นเลย ท่านอาจารย์กงมา องค์หนึ่งที่ปรากฎเด่นชัด หลวงปู่ตื้อ องค์หนึ่ง หลวงปู่ตื้อนี้พระธาตุท่านสวยงามมากจริง ๆ หลวงปู่ตื้อนี้ก็บ้านข่า บ้านข่าใกล้กับบ้านสามผง นี่ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา ไปอยู่ที่เชียงใหม่ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เพชรน้ำหนึ่งนะที่บอกมานี้ ไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็เป็นหลักเกณฑ์ได้ทั้งนั้น ๆ
    เพราะฉะนั้นหลักใหญ่จึงสำคัญมากทีเดียว หลักใหญ่เช่นอย่างหัวหน้า คืออาจารย์ เป็นพระประเภทใด ลูกศิษย์ลูกหาออกจากนี้ก็จะมีลวดลายอันดีงามต่อไป ถ้าเหลว ๆ ไหล ๆ ไปไหนก็เหลวไหลไปตาม ๆ กันหมด ถ้าว่าดีก็ขลังทางนั้นขลังทางนี้ไปเสีย แบบกิเลสตัณหา แบบส้วมแบบถานไปเสียไม่ได้แบบทองคำทั้งแท่ง ๆ เหมือนครูอาจารย์ที่มีหลักเกณฑ์สอนไว้นะ อย่างหลวงปู่มั่นนี้ทองคำทั้งแท่งละนี่ สอนตรงเป๋ง ๆ เลย




     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    นิวรณ์ ผมว่า คุณยิ่งพูด ผมยิ่งเห็นความไร้สาระของ คุณมาก

    การเทศน์ นะครับ เทศสิ่งที่เป็นธรรม อย่างไรเสียมันจะครอบหมด ทุกคน
    ซึ่ง ให้สังเกตุได้จาก การเทศน์พระอาจารย์สายหลวงปู่มั่น
    ไม่มีหรอกครับ เทศเพราะดูจิตคนขณะนั้น แล้วเทศน์ แม้ว่า การใช้ปาฏิหารย์ดักใจคนฟัง
    ก็ต้องเป็นธรรม และคำว่าธรรมนี้ คือ ครอบไปหมด
    ดังนั้น อะไรที่เทศแล้วครอบ แล้ว คนที่อยู่ตรงไหนฟังแล้วอ่านแล้ว ก็ต้องเห็นสภาวะนั้นเหมือนกันหมด ยกตัวอย่างพระศาสดาเทศน์สอน คนไหนๆ เดี๋ยวนี้เอามาเป็นพระสูตรในพระไตรปิฎก ก็ยังครอบคลุมมาจนถึงเดี๋ยวนี้
     
  12. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เทศนาธรรม หลวงปู่แหวน

    ถาม – หลวงปู่มีอะไรจะแนะนำในเรื่องการปฏิบัติทางจิตบ้างครับ
    ตอบ – จะเอาทางจิตทางใจก็แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นี้มีขึ้นที่ใจอย่างเดียว รักษาแต่ใจอย่างเดียวให้แน่นหนา รักษาแต่ใจอย่างเดียวตลอดชีวิต รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถสิบ รักษากายวาจาใจให้บริสุทธิ์ นี่เป็นเบื้องต้น
    เวลาอยู่ในคนหมู่มาก ได้พูดกับคนหมู่มาก บางทีก็จะลืมตัวไป จงมองเข้ามาดูใจนี้ ใจนี้เป็นใหญ่ คุมกายกรรม วจีกรรม ให้รู้เข้ามาในกาย ให้มองมาดูใจนี่แหละ เอาใจนี้เป็นผู้รู้ ใจนี้เองน่ะแหละเป็นผู้หลง ใจนี้แหละเป็นผู้ละ ปฏิบัติกายวาจาใจนี่ให้เรียบร้อย กายนี่ก็ออกไปจากใจนี่แหละ ให้พิจารณา กายนี่เขาก็ไม่เที่ยง ใจนี่เขาก็ไม่เที่ยง
    แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็ชี้เข้ามาที่ใจนี่แหละ ใจนี้เป็นเหตุ ให้ใจนี้ละ ให้ใจนี้วาง ให้ใจนี้ถอน ถอนทุกสิ่งทุกอย่างหมด มันจึงจะได้
    ถอนทีแรกก็เอาใจนี่แหละถอน ถอนอยู่ที่ใจนี้ ละอยู่ที่ใจนี้ วางอยู่ที่ใจนี้ ให้ใจนี้รักษา ต้องรักษาตา รักษาหู รักษาจมูก รักษาลิ้น รักษากายวาจานี้แหละ
    รูปมาทางตานี่ ก็นึกที่ใจ พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี ก็ที่ใจนี่แหละ เอาศีลนำออกมาให้หมดจากใจของตน ละออกจากใจนี่แหละ เอาใจนี่วาง เอาใจนี่ถอนมันให้หมด เวลาไปหาหมู่มาก พูดไปพูดมาแล้วก็หลง มันหลงใหลอยู่เท่านั้นแหละ ต้องน้อมเข้ามาที่ใจของตน สิ่งใดก็ตามเถอะ ให้น้อมเข้ามาสู่ใจ

    แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็ชี้เข้ามาที่ใจของตน อุปัชฌายะสอนก็สอนเข้ามาถึงกายนี้แหละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ปัญจกกัมมัฏฐาน กายคตากัมมัฏฐาน ฐานที่ตั้งของกายนี้แหละ กายเขาไม่รู้แจ้ง จะรู้แจ้งก็รู้แจ้งที่ใจนี่แหละ เอาใจละสิ่งทั้งหลายที่มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มาทางตา ที่พอใจก้ดี ม่พอใจก็ดี มาทางหู ที่พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี มาทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่พอใจก็ดี ที่ไม่พอใจก็ดี เอาศีลนี่แหละนำออกเสียด้วยปัญญาของตนออกไปจากใจนี้ ใจเป็นผู้รู้ ผู้ละ ผู้ถอน ผู้วาง รับเอาทุกเรื่องก็ไม่ไหวละ มันเป็นธรรมเมาเท่านั้นแหละ

    เรื่องอดีตอนาคตก็ใช้ปัญญานำออกให้หมด ตัดอดีต อนาคตหมดอย่าให้มันเหลือ อดีต อนาคตมันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตัดอดีตอนาคตออกแล้ว ให้จิตนิ่งอยู่กับปัจจุบัน เดินอยู่กับปัจจุบัน ว่างอยู่กับปัจจุบันวางอยู่กับปัจจุบัน มันจึงเป็นพุทโธ มันจึงเป็นธรรมโม สังโฆ อยู่นี่แหละ
    มัวเอาที่อื่นก็ไม่ไหวละ รักษาตา รักษาจมูก รักษาลิ้น รักษาหู รักษากาย ใจ ให้ตลอด เวลาพบคนมาก มันก็ต้องมีหลายสิ่งหลายประการ พูดอยู่ก็ต้องน้อมเข้ามาหาใจ มากำหนดให้รู้ใจของตน อุปาทานทั้งห้ามันเกิดมาจากใจนี่แหละ อนิจจังทั้งห้ามันก็เกิดจากใจนี่แหละ เหตุมันก็มาจากใจนี่แหละ ทุกขังทั้งห้าก็ดี อนัตตาทั้งห้าก็ดี นิจจังทั้งห้าก็ดี มันเป็นนิจจัง มันอยู่คงที่ มันเที่ยงอยู่ อนัตตาทั้งห้ามันวางหมด แล้วทีนี้มันเป็นอัตตาตั้งอยู่ภายใน ยึดเรื่อยไปก็เป็นอัตตา แต่อาศัยอนัตตาอยู่ เพราะว่าไปพิจารณาอยู่

    อุปัชฌาย์สอน ก็ชี้ลงที่กายนี้เสียก่อน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นึกถึงปัญจกัมมัฏฐาน กายคตากัมมัฏฐาน เวลาได้โอกาสก็ให้นั่งทำความสงบ ทุกข์มันจะเกิดขึ้น มันก็เกิดที่นี่ ที่ใจนี่แหละ เจ็บแข้ง เจ็บขา เจ็บหลัง เจ็บเอวก็เกิดขึ้น กำหนดทุกข์เข้าจนรู้เหตุรู้ผล รู้เหตุว่ามันนำทุกข์มาให้เสวย เหตุดับ ทุกข์ดับ ปัจจัยของเราก็ดับ อวิชชาความมืดก็ดับ

    นี่แหละให้หมั่นตั้งใจรักษา ศีลก็บัญญัติลงที่ใจนี่แหละ สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี บัญญัติลงในกายในใจนี่แหละ สองอย่างเท่านี้แหละ รุ้ทางกายก็วางไว้หมด รู้ทางกาย ก็ชวนเข้ามาที่ใจนี้แหละ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์รุ้ที่ใจนี้แหละ ใจจึงเป็นเหตุ ก็เอาใจนี่แหละละ ก็เอาใจนี่แหละถอน เอาใจนี่แหละวาง วางอยู่ที่ใจนี่แหละมันจึงจะใช้ได้ ถ้าไปเอาอันอื่นมาละ มันใช้ไม่ได้หรอก

    ที่อุปัชฌาย์สอนก็สอนที่กายนี้ ดีสงบก็ที่กายนี้ ดีสงบก็ที่ใจนี้ คิดดีก็ใจนี้ คิดชั่วก็ใจนี้ ดูไป ๆ มันก็ได้กำลังนะ เอาเข้า ๆ มันก็ได้กำลัง รู้แจ้งเห็นจริง ผู้ปฏิบัติน้อมเข้ามาปฏิบัติกาย วาจา ใจ ธรรมะเกิดขึ้นในดวงใจนี้ เวทนาคือตัวกรรม ไม่ใช่มีกับเราเท่านั้น เวทนาคือตัวกรรมบุญ เวทนาคือตัวกรรมบาป น้อมเข้ามาที่นี่จนถึงอัพยากตธรรม ทางนี้ไม่มีกิเลสหนา อัพยากตธรรมเป็นฐาน น้อมเข้ามาที่นี่ พูดมากคุยมากมันก็มากไป จงหยุดน้อมเข้ามาในใจเสียก่อน เดี๋ยวจะลืมไป
    เอาแค่นี้ก็อยู่ได้ เอามามากมายก็จะทุกข์ ใจนี่มันคิด ใจนี่มันทุกข์ ตัดออกให้หมด ไม่คิดไม่นึก เมื่อไม่คิด จิตของเราก็ตั้งอยู่เป็นปกติ ไม่ได้ไปที่ไหน รูป เสียง กลิ่น รส ธรรมารมณ์ทั้งห้า นำเอาเข้ามาหมักหมมไว้ในใจ ให้เขาผ่านไป ไม่เก็บเข้ามา ใจก็เป็นปกติ ไม่ไปที่ไหน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นปกติ รูป เสียง กลิ่น รสนี่เป็นธรรมดาโลกนะ ดีเขาก็ว่า ชั่วเขาก็ว่า ร้ายเขาก็ว่า ก็มีอยู่อย่างนี้แหละ รักษาจิตให้ดี ทำทุกวัน เวลาได้โอกาส พักผ่อนให้ทำไป ทำให้มาก มันก็ทำจิตให้เบิกบานผ่องใส
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ นิวรณ์ และ คุณวิษณุ ผู้เป็นศิษย์ สายพระปราโมทย์

    ผมขอถามคำถามคุณว่า คุณถ่องแท้และ เห็นธรรมตามพระปราโมทย์แล้วหรือยัง

    จึงออกมา พูดดังว่า วิธีนี้เลิศเลอเต็มประดา

    แต่ ว่า คำสอนสายพระอาจารย์มั่น มีลูกศิษย์ท่าน เป็นเพชรน้ำหนึ่งกี่ท่านแล้วครับ

    สอนให้ทำสมาธิ เจริญ ฌาณ ด้วยการกำหนด พุทโธทั้งสิ้น และสอนให้ เจริญภาวนาพิจารณาธรรม อันไถ่ถอนข้าศึกคือกิเลส ทุกคนเห็นธรรมเหมือนกันหมด

    ในเมื่อ พระอริยะสงฆ์สอนทางที่ตรงแล้วดีแล้ว เห็นผลแล้ว ทำไมท่านจึงต้องมาสอนในสิ่งที่ผิดแปลกแตกแยกไปจาก ของเดิมที่มี

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ศึกษาแล้วจบนะครับ ไม่ใช่เหมือนศาสตร์ทางโลกที่ต้องพลิกแพลง เปลี่ยนแปลง
     
  14. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เทศนาธรรม พระอจารย์สุจินต์ สุจิณโณ

    มรรคสมังคี ละสังโยชน์ ละอวิชชา
    มรรคสมังคี คือ มรรคแปดรวมเป็นหนึ่ง
    คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเป็นหนึ่ง
    เพื่อละสังโยชน์ จะเกิดไม่เกิน 4 ครั้ง
    มรรคสมังคี หรือ จิตยิ้ม นี่ตัวเดียวกันเกิดไม่เกิน 4 ครั้ง
    แล้วแต่บางองค์ท่านกำลังมาก อาจเป็นครั้งเดียว ละอวิชชาได้เลย ก็เกิดครั้งเดียว

    เหมือนอย่างหลวงปู่บุญยัง วัดป่าบ้านบาก ที่ศรีสะเกษ(หลวงพ่อบุญยัง ผลญาโณ)
    ตอนท่านพรรษา 10 ท่านไปที่วัดป่าบ้านตาด
    ตอนนั้นหลวงปู่มหาบัวให้แม่ชีแก้วแสดงธรรม
    ท่านฟังธรรมจากชีแก้ว (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ)
    จิตรวมลงเดินปัญญาต่อ ครั้งเดียวได้อรหัตผล จบที่ขณะฟังธรรมตอนพรรษา 10
    เพราะมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเป็นหนึ่ง
    มรรคสมังคี ละสังโยชน์ได้ ละอวิชชาได้เลย นี่เป็นครั้งเดียวได้อรหัตผลเลย ​
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    จากคำสอนหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    หลวงพ่อจรัญ " พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดูเคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์
    อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ
    บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด "พาหุงมหากา" หายเลย
    สติก็ดีขึ้นเท่าที่ใช้ได้ผลสวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา
    จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด

    ๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    ๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
    เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

    ก้เหนได้ชัดกันอยู่แล้วว่ามีพระและมีมาร ครั้งหนึ่งก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงสำเร็จมรรคผลก้เคยประสบพบกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน ขอจงมีกำลังใจอย่าได้ท้อถอย

    เมื่อรู้แล้วว่าเค้ามาร้ายก้ยังจะเสียเวลากับพวกเค้าทำไมอีก
     
  16. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    .....
     
  17. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ธรรมภูติ แม้จะไม่มีบุญ บารมีเท่า พยามาร แต่ก้ มีมิจฉา ธิฐิ ไม่แตกต่าง ขัดขวางความจริงขัดขวางความดี ของบุคคลอื่น จัดเปน มาร

    ใครที่ศึกษาธรรมมาไม่จำเป็นต้องรู้มากในพระไตรปิดกทั้งหมด แต่ได้ดวงตาเห็นธรรมก้น่าจะพอเข้าใจว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

    จริตและการเห็นแต่ละคนนั้นแตกต่าง ยิ่งความเป็นอริยะยิ่งต่างมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆในแต่ละขั้น

    ยังเกลือกกลั้วอยู่กับคนเหล่านี้มีแต่จะนำพาจิตให้เศร้าหมอง

    ขอให้พี่น้องทางธรรมทุกท่านรักษาตัวรักษาใจอย่าให้ มาร มาทำให้ไขว้เขวและอย่าหมดกำลังใจในการศึกษาธรรม
     
  18. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อีกแล้วนะคะ คุณน้องเอกวีร์....ใส่ร้ายป้ายสี...
    แต่พวกพี่เห็นแล้ว แทนที่จะเห็นเป็น ปริศนา ที่หากตอบแล้ว
    ย่อมเป็นประโยชน์ แต่กลับมาด่า หรือ คิดว่าผมมาชักจูง
    คนไปทางผิด
    แบบนี้ก็จบครับ

    ช่วยกรุณายกหลักฐานมาแสดงด้วย ว่า

    แต่กลับมาด่า หรือ คิดว่าผมมาชักจูง

    ตรงไหนคะ ธรรมะสวนัง ด่าคุณตรงไหนคะ


    อย่าพูดอะไรลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานสิคะ
    ทำให้คนที่เข้ามาอ่านทีหลังเข้าใจผิด เป็นบาปนะคะ...

    (smile)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2009
  19. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ในเมื่อยังวนเวียนกันอยู่ในบอร์ด จะจบได้จริงละหรือ?
    ก็แค่จบกระทู้นี้ ไปต่อกระทู้อื่น...ต่อไปเรื่อยๆ...

    (smile) ไม่รู้จักจบ 55+ขออภัย
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขออนุญาต

    อ่านที่นี่ดูค่ะ คุณวิษณุ มีคนโพสไว้...อย่างยาว...(55+ อ่านกล่อมลูก...ดีเลย)


    ความเป็นมาของพระไตรปิฎก

    ความจริงของคุณสมถะเคยโพสไว้
    ว่าถึงลำดับชั้นในการใช้พระไตรปิฎกในการอ้างอิง ยังหาไม่เจอ
    เดี๋ยวจะหลังไมค์ให้คุณสมถะหามาให้


    (smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...