ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เปรียบเทียบได้ดี...เป็นคติครับพี่ขวัญ
    เหมือนตอนเกิดเด็กทารกกำมือ..
    ตอนตายคนคายแบมือ..
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สิ่งที่คุณ วิสุทโธ มีความเห็นว่าเราดูจิตแบบไหน อันนั้น คือ การที่คุณดูจิตแบบเราไม่เป็น

    สิ่งที่คุณบรรยายมานั้น เราเรียกว่า ดูยังไม่ถึงจิต
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันจึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่เวลาคุยกัน แทนที่จะฟังอีกฝ่ายว่ากำลังสื่อถึงอะไร

    แต่ไม่ฟัง กลับเอาสิ่งที่ตนรู้และเข้าใจไปเอง ไปคิดแทน ไปกล่าวหาว่าเขากำลัง
    ทำอย่างที่ตนคิดไว้ แบบนี้ก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร

    ทางคุณ วิสุทโธ จะได้แต่ความสนุกในการ ยืนยันความคิดตัวเองเท่านั้นว่าเรา
    ปฏิบัติอะไร โดยที่ไม่อาจเข้าใจความลึกซึ้งที่เราจะกล่าวเป็นลำดับให้ดูได้
     
  4. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    วิธีของคุณจะถูก หรือวิธีของผมจะผิด...
    อันนี้ไม่ใช่ปัญหาของผม...
    ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน
    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
     
  5. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    คุณเองก็น่าจะย้อนกลับไปที่ตัวคุณเองเช่นกัน...
    จะผิดจะถูก..ก็เป็นสมบัติของผู้นั้น
    การกล่าวหา..ไม่ใช่นิสัยของผม
    หรือว่า..คุณเป็นเจ้าของทฤษฎี การดูจิต ...
    ช่วยยืนยันลิขสิทธิ์..
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ข้อหาที่ว่า เราผูกใจเจ็บ อันนี้ก็ปราศจากความจริงในบางประเด็น

    จริงๆ แล้ว เรากำลังชัดชวนให้คุณเดินมาในระดับที่สูงขึ้น แต่ทาง
    คุณก็แค่ย้ำอยู่ว่า พื้นฐานต้องแน่น

    พอเราบอกว่า ไม่จำเป็นที่พื้นฐานจะต้องแน่น เพราะพื้นฐานจะ
    แน่นได้เองหากมาเจริญมัญญาได้ถูกตัวแล้ว ซึ่ง พวกคุณก็ใช้
    คำว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ซึง ปัญญาที่คุณพูดถึง ที่คุณต้อง
    การนำไปใช้อบรมสมาธิ เรากำลังชักชวนให้คุณดูอย่างถูกต้อง
    อยู่นั่นเอง

    และเพราะ ปัญญา ชนิดนี้ คุณไม่ได้ให้ความสำคัญจริง ดังจะ
    ปรากฏมานานๆครั้งว่า "ดูจิตแบบคุณผมทำมาแล้ว" ซึ่งคำว่า
    มาแล้ว ก็แปลว่าเป็นอดีต ไม่ได้ทำอีก

    เราก็บอกว่า ไม่ได้นะ คุณต้อง ดูจิต ตลอดเวลา ให้พอๆกัยสมาธิ
    นั่นแหละ ไม่ใช่อ้างว่า ดูจิต มาแล้ว วันนี้ไม่ต้องดู

    หากคุณพอเข้าใจแลวว่า ดูจิต ถึงวันนี้ก็ยังต้องดูอยู่แล้ว ก็จะเข้า
    ใจว่าเราพูดในส่วนไหน ส่วนพื้นฐาน หรือ ส่วนต่อยอด

    ซึ่งการชักชวนมาต่อยอด เราจะคอยชี้มุมมองให้ดูตลอดเวลา

    * * * *

    แต่ภาพการชักชวนให้มอง ชักชวนให้ดู เพื่อให้ต่อยอดที่สูงขึ้น กลับ
    ถูกมองว่าเป็นภาพของควมแค้น ก็เพราะมีคนๆ เดียวเท่านั้นเอง ที่
    พูดไปมีกี่โพส หรือ ไม่ก็ออกไปตั้งโพสของตนเอง แต่เนื้อหานั้นคือ
    การประนาม ไม่เฉพาะแค่ผู้เล่นกระทู้ แต่ลามไปถึงครูบาอาจารย์เสมอ

    ทำให้ภพาการชักชวนให้เห็น กลายเป็นเรื่องความแค้น ทั้งๆที่ ทางเรา
    ก็ยังทำการ ชักชวนให้ดูส่วนต่อยอดอย่างเดิม
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    ก็ดูเอาเถิดว่า อย่างกรณีนี้ คุณภถามหาข้อธรรม หรือ ต้องการแสดง
    ภาพความเป็นผมที่คุณคิดเอาไว้ ให้มันชัดตามที่คุณต้องการ
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถามว่า ถ้าผมตอบว่า ผมเป็นเจ้าทฤษฏี และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

    คุณเห็นประโยชน์อะไรที่จะเห็นเรากล่าวเช่นนั้น

    แล้วมันใช่ประโยชน์จริงหรือ
     
  9. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    อาการของจิต มีทั้งที่คิดปรุงแต่ง และที่หยุดคิดไม่คิดปรุงแต่ง...

    การเห็นด้านเดียว มันไม่ครบทั้งสองด้าน..เหรียญบาทมีสองหน้าไม่มีหน้าเดียว..

    รู้จักการเรียนผูกไม่เรียนแก้...รู้จักเดินหน้าไม่รู้จักถอยหลัง

    รู้จักคุณต้องรู้จักโทษ...มีเกิด-มีดับ

    ทุกสิ่งในโลก..มีสองด้านเสมอ
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    การดูจิต อย่างที่น้องเล่ามา
    เป็นการตามดูอาการของจิต โดยที่เรายังไม่รู้จักจิตที่แท้จริง
    .... มีใครไหมที่อยากเห็นหัวมันสำปะหลังโดยที่ไม่ต้องไปขุดเอาหัวมันสำปะหลังโดย ไม่ต้องผ่านดิน ผ่านการดึงที่ลำต้น อยู่ๆไปหยิบหัวมันสำปะหลังได้เลยโดยมือไม่เปื้อนดินไม่แตะลำต้น ....หากเห็นหัวมันสำปะหลังดีแล้ว ก็ไม่ต้องผ่านดินผ่านลำต้นแล้วซิ....ในเมื่อรู้จักจิตที่แท้จริงแล้ว จะไปดูจิตทำไมล่ะก็ในเมื่อรู้แล้วอย่างนั้น

    เพราะจิตเราชอบแส่ส่ายไปตามอารมณ์
    ....แล้วรู้ได้ยังไงครับว่าจิตชอบแส่สาย

    ถ้ายังไม่สามารถทำจิตให้ตั้งมั่นชอบได้
    (จิตตั้งมั่นโดยลำพังตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาอารมณ์)
    .... หากท่านธรรมะสวนัง จะรวมจิตให้เป็นหนึ่ง ในความหมายของคำว่าตั่งมั่นชอบที่ท่านธรรมะสวนังเข้าใจ ไม่ต้องพึ่งอารมณ์เหรอครับ ....
    ...แต่ในความหมายของจิตตั่งมั่นชอบของผมที่เข้าใจ คือ สภาวะของจิตที่ตั่งมั่นรู้อารมณ์ที่เข้ามาในทุกขณะโดยไม่หลีกหนี ไม่หลีกหนีในที่นี้หมายความว่า อารมณ์อะไรมาก็ตั่งมั่นรู้ ไม่เลือกรู้เฉพาะ สิ่งที่พอใจ

    สิ่งที่จิตดูก็คือตามดูอาการหวั่นไหวของจิตและไหลไปตามอารมณ์นั้นๆ ....หากอาการหวั่นไหวหมายถึง ตากระทบรูปแล้วดูที่ใจว่าเกิดอะไร..ก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ กรณีคนที่ไม่สามารถตั้งสมถะถึงขั้นละเอียดได้ ก็ดูไปตรงๆ แต่อาศัยสมถะ จิตสงบจากการสวดมนต์ไหว้พระ
    หรืออารมณ์อื่นใดที่คิดว่าดีกว่า ชอบกว่า ถูกต้องกว่า สุดแท้แต่ความคิดแต่ละคน....แม้แต่ความคิดยังต้องดูเลยครับ ไม่เลือกดูหรอกครับ .....ทีวีช่องไหนดูได้หมด ไม่เลือกดูเฉพาะสิ่งที่ชอบหรอกครับ




    ในเมื่อรู้จักจิตที่แท้จริงแล้ว จะไปดูจิตทำไมล่ะก็ในเมื่อรู้แล้วอย่างนั้น
    รู้เพื่อเป็นคู่เทียบในทางตรงกันข้ามไง...
    ว่าอ้อ ถ้าปฏิบัติฯ จิตตั้งมั่นชอบเป็นอย่างนี้...
    ....คนละความหมายเลยนะครับ กับจิตตั่งมั่นชอบ กับคำว่า รู้จักจิตที่แท้จริงแล้ว
    ปกติ จิตไม่ตั้งมั่นชอบเป็นอย่างนี้...ชอบไปอยู่กับอารมณ์ กระสับกระส่ายไปตามอารมณ์

    ไม่ใช่พอตั้งมั่นชอบครั้งนึงแล้วจะจบกิจซะเมื่อไหร่
    ยังต้องเพียรทำไปอีกนานล่ะ เพราะกิเลสที่หมักหมมในกมลสันดานมันเยอะเหลือเกิน

    การดูจิตที่ว่า จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากอารมณ์นึงไปสู่อีกอารมณ์นึง
    .... ที่เปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่งไปสู่อีกอารมณ์หนึ่งก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่การดูจิตคือการไปเห็นจิตมันเปลี่ยน และเห็นว่าทำไมมันจึงเปลี่ยน และทำไมมันจึงไหลไปตามอารมณ์ จนมันเห็นถึงความจริง
    การไปเห็นจิตมันเปลี่ยน...ฯลฯ...

    ใครเห็นล่ะ? ถ้าจิต(ที่ไม่เที่ยง)เห็นจิต(ที่ไม่เที่ยง)เปลี่ยน
    เห็นที่ว่านี้จะเที่ยงรึ ...โปรดพิจารณา

    ....ถ้าไม่เห็นจิตเปลี่ยน แล้วจะเรียกว่า จิตดูจิตได้ยังไงล่ะครับ โปรดพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2009
  11. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    อันนี้ต้องย้อนถามตัวคุณเอง...
     
  12. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    การตั้งคำถามนั้น..ไม่ยาก
    แต่การตอบ..ยาก

    ถ้าผู้ถาม..ถามเพราะต้องการความรู้
    ผู้ตอบ..จะตอบแบบบรรยายความรู้ตามสติปัญญาของตน
    จะผิดจะถูกไม่ใช่ข้อยุติ เพียงแต่ผู้ถามและผู้ตอบนำไปพิจารณาร่วมกัน

    แต่ผู้ถาม..ถามแบบตำหนิดูแคลนผู้อื่น
    ก็จะไม่ได้รับคำตอบที่ควรจะได้..

    ไม่ใช่นักโทษ..ให้ใครมาขู่..ตำหนิ
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ข้อดีคือ เราจะรู้อารมณ์ได้เร็วขึ้น แต่เราจะละไม่เป็น
    ....ที่ละไม่เป็นเพราะสติมันไม่ได้เป็นเอง การตามรู้จนจำสภาวะไม่ได้นั้นมันจะไม่ขาดสะบั้น
    ถึงตามรู้รูปนามเกิดดับๆๆๆๆ จนจำสภาวะได้ มันก็ขาดสะบั้นไม่ได้อยู่ดี....สภาวะที่รู้ได้แบบเป็นเองมันขาดไปเป็นละสภาวะครับมันไม่ได้ขาดทุกสภาวะ จึงต้องเจริญสติอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าใจว่ามันขาดสะบั้นได้ยังไงก็พึงเจริญสิ่งนั้นที่ทำได้ให้แจ้ง
    ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นชอบ จะเอาพลังที่ไหนมา...ก็เอาพลังจากสมถะที่ทำไว้นะครับ
    คนดูจิตและเข้าใจอยู่แล้วว่าเวลาไหนควรเจริญอะไร

    จิต(ที่ไม่เที่ยง) ตามรู้รูปนาม(ที่ไม่เที่ยง)
    ของไม่เที่ยงดูของไม่เที่ยง จะเที่ยงได้อย่างไร? ...โปรดพิจารณา
    .... แล้วถ้าจิตมันเที่ยง บอกได้ไหม ว่าจิตมันอยู่ตรงไหน ก็ในเมื่อมันเที่ยง อยู่ตรงไหนล่ะ โปรดพิจารณา

    เราก็จะใช้วิธีกดข่มอารมณ์ เพราะเราเรียนรู้มาว่าอารมณ์นั้นๆเป็นสิ่งที่ไม่ดี
    ...ผิดแล้วครับ แม้สิ่งที่ดีและไม่ดีก็ตามรู้ ไม่ใช่เลือกแต่สิ่งที่พอใจเป็นหลักแต่หลีกหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจ
    ตามรู้ที่ว่านี่ สิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็คือตามอารมณ์นั่นเอง
    จะเกิดประโยชน์อะไร ในเมื่ออารมณ์เกิดดับๆๆๆไม่เที่ยง
    ...ก็เห็นไตรลักษณ์ไงครับ แต่ก็ต้องอบรมจนมันแจ้ง

    แล้วการตามรู้สิ่งที่ไม่เที่ยง ใครคือผู้ตามรู้คะ
    ...ก็จิตครับตามรู้จิตครับ
    ใครทีว่านี้เที่ยงมั๊ยคะ?....ผมยังไม่บรรลุนะเลยตอบไม่ได้ครับ
    แต่ถ้าท่านธรรมมะสวนังเห็นว่าเที่ยง บอกผมหน่อยมันอยู่ตรงไหน


    เราก็จะเปลี่ยนไปหาอารมณ์ที่ดีกว่า แล้วมันก็จะวนเวียนกลับมาสู่อารมณ์เดิมอีก
    .... การรู้สึกตัวในแต่ละครั้งหลังจากที่จดจำสภาวะจากการอบรมดีแล้ว ย่อมตั้งอยู่เหนือดีเหนือชั่ว เมื่อรู้สึกตัว ทุกคนย่อมเลือกสิ่งที่ดีเป็นพื้นฐาน
    นั่นก็คือ ใช้ความรู้สึกตัวของตัวเองที่ไม่มีพื้นฐานจากการปฏิบัติฯ มาเลือก....แล้วการเลือกจากการปฏิบัติเป็นพื้นฐานเป็นอย่างไรเหรอครับ...
    .......แม้แต่ท่านธรรมะสวนังยังตัดสินจากความรู้สึกตัวเองเลยครับ
    ๑๐๐ คนก็เลือก ๑๐๐ แบบ เพราะดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน...
    ....ดีแต่ละคนไม่เหมือนกันแน่ แต่ก็ขึ้นชื่อว่า ตั้งอยู่ในความดี
    แม้แต่คนชั่ว ก็อยากได้แต่สิ่งดีๆ
     
  14. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เมื่อไร ที่ดูรู้ถูกปลดปล่อย เราจะเข้าใจได้ทันที ว่า " แค่นี้เอง"
    การจดจำสภาวะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ หากจำได้จนชำนาญ มันไม่มีทางทำอะไรเราได้แน่ ๆ และพัฒนาไปอีกขั้น จากหยาบ เริ่มละเอียดแล้วล่ะ รอวันที่ มานะ ถูกปลด
     
  15. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    หลวงพ่อสงบ วัดป่าสันติธรรม

    ปัญญาอบรมสมาธิ
    คัดลอกมาจากน้องในเว๊ปพลังจิต ห้องสายป่ากรรมฐาน

    ที่จริงแล้วหลวงตามหาบัวท่านใช้คำนี้มานานแล้วครับแต่ไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่เพราะส่วนมากหลวงตามักจะสอนเรื่องสมาธิอบรมปัญญา + พิจารณากายแต่พระอาจารย์สงบท่านมีจริตทางปัญญาอบรมสมาธิ + พิจารณาจิตท่านก็เลยสอนเรื่องนี้ค่อนข้างมากแต่ท่านก็สอนเรื่องพิจารณากายควบคู่กันไปด้วยครับ) จากที่ได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ในซีดีและที่ท่านตอบปัญหาให้ผมกับทั้งที่ลองไปปฏิบัติดูเองน่ะครับ "ปัญญาอบรมสมาธิ" ผลสุดท้ายที่ได้คือ "จิตสงบเป็นสมถะกรรมฐาน" ครับแล้วจากนั้นก็น้อมจิตไปพิจารณา "จิต" หรือ "กาย" เป็น "วิปัสสนากรรมฐาน" ตามจริตของตัวเองครับ "ปัญญาอบรมสมาธิ" ก็คือการใช้สติไล่ต้อนไล่จับความคิดของเราที่ฟุ้งซ่านไร้ระเบียบให้รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนและค่อยๆใช้สติไล่ตามกระแสความคิดอันนั้นไปจนกระทั่งสุดสายแล้วความคิดชุดนั้นก็จะหายไป แต่ความคิดชุดใหม่ก็จะเข้ามาอีกต้องหมั่นมีสติคอยไล่ตามไปตลอดเวลาข้อสำคัญ "ห้ามไปเพลิดเพลินพอใจกับความคิดนั้นๆเด็ดขาดเพราะจะทำให้สติของเราขาดหายแล้วจิตของเราก็ไปจับเข้ากับความคิดอันนั้นแล้วปรุงแต่งอารมณ์ต่างๆให้ใจเราเป็นทุกข์" หมั่นทำเข้าบ่อยๆให้ต่อเนื่องเข้าไว้สุดท้ายจิตจะยุบตัวรวมลงเป็นสมาธิ (สมถะ) ถ้าเรามีวาสนา/จริตทาง "จิตตานุปัสสนา" เราจะเห็นความเกิดดับของจิตและอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาจากภายนอกและเกิดขึ้นภายใน แต่ถ้าเรามีวาสนา/จริตทาง "กายานุปัสสนา" เราจะเห็นความความเกิดดับของการเราที่ประกอบด้วยอาการ 32 และธาตุ 4 หรือถ้าไม่เห็นอะไรเลยก็ใช้สติที่แจ่มชัดน้อมจิตเข้าไปพิจารณา "กาย, เวทนา, จิต หรือธรรม" ก็แล้วแต่ (ขึ้นกับว่าอะไรทำให้จิตของเราเกิดความสลดสังเวชได้มากที่สุด
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นการเปลี่ยนอารมณ์เหมือนกัน
    ....การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นการตามรู้สภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนอารมณ์
    โดยหลักการในเมื่อยอมรับข้างบนว่า
    ที่เปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่งไปสู่อีกอารมณ์หนึ่งก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
    แสดงว่ายอมรับว่า ธรรมชาติจิตชอบคลุกคลีกับอารมณ์
    จะเปลี่ยนจากอารมณ์นึงไปอีกอารมณ์นึงตลอดวัน ตลอดคืน

    พระองค์จึงสอนให้เปลี่ยนอารมณ์จิตให้มาตั้งลงในสติปัฏฐานซะ
    อย่างที่บอก อารมณ์ในสติปัฏฐาน เป็นอารมณ์ที่ปราศจากกาม
    เป็นบาทฐานเพื่อการปล่อยวางอารมณ์อื่นๆที่จิตชอบคลุกคลี
    .....จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เมื่อเดินสติปัฐฐาน ย่อมพ้นจากกิเลสมากขึ้นเพราะไม่ไหลไปตามอารมณ์ ไม่ได้บังคับอารมณ์ ต่างจากผุ้ไม่ได้เดินสติปัฐฐาน มันจะไหลไปตามอารมณ์ ..เรียกได้ว่า รู้อารมณ์เกิดขึ้น แต่ไม่ไหลไปกับอารมณ์ เพราะรู้เท่าทัน
    แต่เนื่องจากอารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ที่ปราศจากกาม
    ดังนั้น เมื่อเราฝึกดึงจิตกลับเข้ามาตั้งในอารมณ์ในสติปัฏฐาน ๔ ได้บ่อยๆเนืองๆ
    เราก็จะสามารถละวางอารมณ์ที่มากระทบได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ตามการฝึกฝนของเรา....

    ซึ่งบาทฐานแรกในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คือ อานาปานสติ
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ด้วยอานาปานสติ
    หลวงปู่ หลวงพ่อ สายปฏิบัติทุกองค์ เคี่ยวกรำศิษย์ ก็อานาปานสติ
    ....ผมมีความเห็นว่า ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่ตั้งฐานด้วยอานาปานะสติ อาจตั้งที่อื่นก็ได้ แต่โดยส่วนรวมผมก็เห็นว่า อานาเหมาะที่สุด
    ก็มีพุทธพจน์เห็นพี่ธรรมภูตยกมาบ่อยๆให้เทียบเคียง

    อานาปานสติบริบูรณ์ ทำให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
    สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ ทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์
    โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ ทำให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์
    ...ก็ใช่นี่ครับ

    เมื่อปฏิบัติอานาปานสติจนคล่อง จนชินแล้ว
    จากนั้นจะไปกรรมฐานองค์ไหนก็ไปได้.
    ..เมื่อได้ฐานแล้วจะเปลี่ยนฐานทำไม นอกจากจะฝึกฤทธิ์
    ก็มีอานาฯเป็นบาทฐานแล้ว ถึงค่อยไปดูจิตไง
    .......ผมเข้าใจว่า หากได้ อานาเป็นบาทฐาน ที่ว่าได้บาทฐานนี้หากแสดงถึงว่า ทำอานาจนแจ้งแล้วจึงได้บาทฐาน หากทำได้ถึงขนาดนั้นก็แสดงว่าไม่ต้องไปดูจิตแล้ว เพราะในกองอานา ละเอียดมาก รวมอยู่ในตัวอยู่แล้ว มันดูจิตในตัวอยุ่แล้ว หากได้ อานาอย่างนั้นจริงๆ คงบรรลุไปแล้ว
    แต่ที่ว่าได้ไว้เป็นบาทฐาน เพียงแค่ว่า ตามลมหายใจเพียงแค่จิตสงบนั้นอีกอย่างนึง

    ฝึกฤทธิ์ก็ใช่ ก็มีอานาฯเป็นบาทฐานเหมือนกัน
    ...ตรงนี้เห็นทีจะไม่เสมอไปครับ
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เนี่ยะ เขาเรียกว่า ยังดูไม่ถึงจิต
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ใครค่ะ เป็นผู้ดูจิต? เป็นผู้เห็นจิตffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    .....ถ้าไม่ใช่จิต แล้วจะเรียกว่าดูจิตเหรอครับ<O:p></O:p>
    ที่ต้องฝึกปฏิบัติอานาฯก่อนก็เพื่อให้จิตเห็นตนเองอย่างแจ่มแจ้งไงคะ<O:p></O:p>
    ว่า จิตเดิมประภัสสรผ่องใส
    แต่ที่เศร้าหมองเพราะมีอุปกิเลสเป็นแขกจร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ส่วนที่จิตดูจิตในหมวดจิตตาฯนั้น<O:p></O:p>
    ก็คือ ให้มีสติระลึกรู้ก่อนที่จิตจะหวั่นไหวไปกับอารมณ์<O:p></O:p>
    ถ้าเราฝึกมาดี ไหวเพียงนิดเดียวเราก็รู้<O:p></O:p>
    ......ถ้าฝึกมาดีจิตจะตั่งมั่นไม่หวั่นไหวหรอกครับ<O:p></O:p>
    .... แต่ถ้าไหวเพียงนิดเดียวนั้นคืออาการที่จิตไม่ตั่งมั่นครับ<O:p></O:p>
    ยังไม่รู้จักภาวะจิตสงบ เป็นยังไง เพื่อเปรียบเทียบกับภาวะจิตไม่สงบ<O:p></O:p>
    ....จิตสงบเป็นสมถะ เป็นการรวมจิตเพื่อเป็นกำลัง ในการจะดูจิตจิตสงบ ก็เป็นขั้นไปแล้วแต่ความปราณีตในความสงบ<O:p></O:p>
    ค่ะ จิตสงบเป็นสมถะ<O:p></O:p>
    แต่ถ้าไม่มีวิปัสสนา(ปัญญา) จิตก็สงบไม่ได้นาน<O:p></O:p>
    เพราะจิตไม่มีพลังปัญญาในการปล่อยวางอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบ..... จากตำราว่า อาจารย์พระพุทธเจ้าสององค์ จิตสงบได้นานไหมครับ 84,000 กัปล์นี่ ทั้งๆที่ไม่มีวิปัสนา(ปัญญา)<O:p></O:p>
    อย่างที่พูดกันตอนต้นไงว่า<O:p></O:p>
    ที่เปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่งไปสู่อีกอารมณ์หนึ่งก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว<O:p></O:p>
    ในเมื่อธรรมชาติจิตชอบแส่ออกไปหาอารมณ์<O:p></O:p>
    ....จิตออกไปหาอารมณ์อยู่แล้ว มันมีปัญหาตรงที่มันไหลหลงอารมณ์ที่เกิดนี่ล่ะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้นสมถะ และวิปัสสนาจึงเกื้อกูลกันทำให้จิตสงบระงับค่ะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ครับ .... จิตสงบ (สมถะ)<O:p></O:p>
    ..................ระงับ (ในที่นี้หมายถึง มีปัญญา)<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2009
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธรรมะสวนัง [​IMG]

    ที่ต้องฝึกปฏิบัติอานาฯก่อนก็เพื่อให้จิตเห็นตนเองอย่างแจ่มแจ้งไงคะ<O:p></O:p>
    ว่า จิตเดิมประภัสสรผ่องใส
    แต่ที่เศร้าหมองเพราะมีอุปกิเลสเป็นแขกจร<O:p></O:p>

    .....ถ้าอย่างนั้นก็หมายถึง ต้องทำให้เห็นจิตประภัสสรอย่างนั้น 24 ชั่วโมงใช่ไหมครับ เพราะท่านธรรมมะสวนังกล่าวว่า เป็นการเห็นจิตตนเองอย่างแจ่มแจ้ง จะได้ผ่องใส ไม่มีอุปกิเลส
    .....แล้วการจะเห็นจิตประภัสสรนี่ ต้องไปทำสมาธิในรูปแบบไหมครับ<O:p
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ค่ะ ก็เล่าสู่กันฟังนะคะ
    ......ครับก็เล่าต่อเช่นกันพอมีงานทำ




     

แชร์หน้านี้

Loading...