เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

แท็ก: เพิ่มแท็ก

หน้า 26 ของ 56

วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

26 ตุลาคม 2008

โพสต์:

5,337

ค่าพลัง:

+6,846
เดินทาง said: ↑

การดูความคิดตามความเข้าใจผม
ดูแบบรู้ว่าคิด แต่ไม่รู้เรื่องที่คิด (หรือคือ เผลอคิดแล้วรู้) เป็นการระลึกรู้ตามหลัง
โดยอาศัยเป็นเครื่องอยู่ในการระลึก ให้ความสำคัญกับการที่จะระลึก ดูความคิดเกิดเป็นหลัก หรือเป็นฐาน

เนื่องจากเราให้ความใส่ใจที่จะระลึกรู้ เมื่อเกิดการเผลอไปคิด พอระลึกรู้ สติ ก็จะเกิดความสงบหนึ่งขณะ ความคิดดับ
จะเห็นอาการสงบตามปัจจัยตอนนั้น แล้วจะเกิดความคิดต่อมาอีก ก็ระลึกรู้อีกว่าคิด ความคิดดับสงบอีกหนึ่งขณะ
เมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น ความคิด เกิด ระลึกรู้ ความคิดดับ เหมือนคนติดอ่าง พูด ขาดๆติดๆ ตอนนี้ความคิดเริ่มสงบลงมาก พอทำไปทำให้เกิดว่างความคิดขึ้นมา เกิดเป็นความว่างขึ้นมาเหมือนทำสมาธิ

แต่ตอนหัดใหม่ๆใจต้องพอสงบอยู่บ้าง
ตอนหัดแรกๆจะเหมือนกดข่ม บังคับความคิด เป็นการเรียนรู้ ว่ากด ข่ม เป็นอย่างไร แสดงอาการเป็นอย่างไร
แล้วก็จะเผลอไปอ่านเรื่องที่คิด (เหมือนพอเรารู้ว่าคิด เราก็หลงเข้าไปอยู่ในความคิด ไปช่วยแต่งเติมต่อด้วย เป็นเรื่องราวไปต่อเลย)
พอระลึกได้อีกครั้งเรื่องก็ไปยาวแล้ว เลยต้องอาศัยความใส่ใจ ไว้มากๆเป็นหลัก

พอฝึกไประยะหนึ่ง อาจจะเกิดสติที่มันระลึกได้เองแบบปัจจัยดี เข้ามาเห็นความคิดตอนนั้นที่เผลออยู่ เห็นความคิด ความคิดดับ ก็จะเข้าใจอาการที่ไม่ได้กด ข่ม บัง คับ
แต่เราทำให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ มีแต่อาสัยความเข้าใจวางอารมณ์ในการใส่ใจให้ดีขึ้น ลดการกดข่มบังคับ

เมื่อฝึกด้วยความใส่ใจไป ก็จะเกิดความเข้าใจได้มากขึ้น แล้วเริ่ม คุ้นชินในทางที่เดิน เนื่องจากฝึกบ่อยๆ เดินบ่อยๆ
เนื่องจากเราไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ มันจะมีความอยากในการจะให้ความคิดดับแฟงตัวมาอยู่ด้วย ดูยังงัยมันก็ยังรู้สึกกด อยู่ ยิ่งดูต่อ มันจะสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็แสดงอาการออกมาให้เห็น ก็เลยได้เห็นสภาวะความอยากให้ความคิดดับ และจะรู้ทันเมื่ออาการมันแสดงฟ้องมา

เมื่อฝึกไปอีก ตอนนี้ เราใส่ใจในการดูอยู่ มันอาจจะระลึกได้เองบ้าง หรือ เราจงใจเข้าไปบ้าง พอทำไป มันจะเกิดไม่พอใจ หรือ เคืองใจ ที่ความคิดสะดุด
เหมือน เมื่อก่อนมันคิดอะไรก็เป็นเรื่องเป็นราว เหมือนดูหนังเป็นเรื่องเป็นราว แต่คราวนี้ มันจะรู้สึกดูหนังสะดุด จากที่สติมันระลึกได้เองบ้าง ที่เราฝึกบ้าง
ทำให้เกิดรู้สึกรำคาญ (เหมือนยืนเข้าแถวอยู่ แล้วเพื่อนมาคอยสกิดหลัง ทำให้รู้สึกตัวทำให้เกิดความรำคาญ สติที่เริ่มเกิดเอง จะเริ่มเข้าไปคั้น ) ก็จะเห็นอาการความรำคาญแสดงออกมา เห็นอีกสภาวะหนึ่ง
พอฝึกไปอีก ความคล่องในทางก็เริ่มดีขึ้น การระรู้ลึกที่ ความคิด ก็เริ่มดีขึ้น เผลอได้สั้นลง ระลึกรู้ได้ดีขึ้น การเข้าไปหลงในความคิดก็น้อยลง

เมื่อฝึกความใส่ใจเข้าดีๆ มันจะเห็นความเบาเริ่มเกิดขึ้น ตอนนี้จะเริ่มเกิดเข้าไปชอบความเบา มันเลยไปเพลินๆกับความเบาแทน เข้าไปชอบเพราะไม่รู้ไม่เคยเห็น เพลินดี
พอแยกแยะได้ ก็จะเข้าใจขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ต่อไปพอฝึกไปมันจะเริ่มเกิดความรู้สึกว่ามีความนิ่งขึ้นมา เหมือนเราดูได้ แต่จะมีความแข็งอยู่ด้วยไม่อ่อนนุ่ม อันนี้อีกภาวะหนึ่ง
อธิบายประมาณนี้ครับที่เข้าใจ (แต่บางช่วงจะมีการไปเห็นกายเห็นลมด้วย แต่เราให้ความใส่ใจอยู่กับความคิดเป็นหลัก แต่ละครั้งก็จะไม่เหมือนกัน เหมือนสะสมความชำนาญในทาง)
Click to expand...

อนุโมทนาครับ ท่านเดินทาง ... อร่อยนะนี่
วิษณุ12, 31 พฤษภาคม 2009

#501
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241

โห ละเอียดยิบเลย

ดีครับ อนุโมทนาที่เห็น

ให้ดี อย่าเลือกครับ ต้องลองปล่อย ให้จิตมันเดินของมันเอง เรียกว่า ศรัทธาในปัญญา
(ญาณสัมปยุต) ถ้าปล่อยได้ คราวนี้มันจะเห็นกายลมบ้าง เห็นอย่างอื่นบ้าง ตรงนี้จะ
พอรู้ว่าวาสนาทางสมถะมาทางไหน แต่อย่าลงไปรู้กับมันนะครับ ให้ระลึกที่ความยินดี
พอใจอย่างเดิม ดูตัวนั้น หากมันลงไปด้วยสภาวะไม่ได้ยินดี ยินร้าย ก็เรียกว่า จะมีปัญญา
ในการน้อมไปเพื่อญาณในสมถะกองนั้นๆ ...แต่ตรงนี้ยาก ยังไม่ต้องสนใจก็ได้

เอางานหลักให้แน่นๆ เจริญ ปัญญา ไว้ มีประโยชน์กว่า

* * * * *

อ้อ บอกไว้หน่อย กรณีที่ปล่อยเป็น เห็นแล้วว่า ปล่อยรู้ เป็นอย่างไร เวลาจะมาทำสมถะ
ตามรูปแบบบางทีจิตมันไม่ยอม มันจะมีอาการสารพัดที่ให้รู้ว่ามันไม่ยอม ถ้าเห็นได้ก็
ยกขึ้นดู นิวรณ์บรรพ(ดูธรรม) ได้ด้วยเลย

แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2009

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 31 พฤษภาคม 2009

#502
ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

3 ตุลาคม 2006

โพสต์:

7,917

ค่าพลัง:

+9,181

มีพวกแล้ว แสดงอาการดีใจ เสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่สิ่งที่เดินทางพูดมานั้น ก็ได้มีการพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าอะไรคืออะไร ไม่ใช่ เหตุผลใหม่ ที่พยายามสรรหาไปเรื่อยในการ แก้บาป

http://www.siangdham.com/
ช่วยดูแลวิทยุเสียงธรรม

ขันธ์, 31 พฤษภาคม 2009

#503
visutto เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2006

โพสต์:

3,541

ค่าพลัง:

+1,167

ถ้าคิดว่า ประโยคข้างบนนี้สมเหตุสมผล ผมจะขยายให้ฟัง

ปัญญาอบรมสมาธิ ผลสุดท้ายที่ได้คือ "จิตสงบเป็นสมถะกรรมฐาน"

ก็คือ เมื่อมาเจริญปัญญา(วิปัสสนา)ให้มากๆ ผลที่ได้คือ จิตจะจะเดินกรรมฐานได้เอง
โดยจะเดิน สมถะก็ได้ หรือ มันจะไปเดินวิปัสสนา ก็ได้ โดยที่เราไม่เกี่ยวข้องกับการ
กระทำกิจนั้นของจิตอีก (จิตตื่น)

ครับแล้วจากนั้นก็.น้อมจิตไปพิจารณา "จิต" หรือ "กาย" เป็น "วิปัสสนากรรมฐาน" ตามจริตของตัวเองครับ

เมื่อเห็น จิตตื่น จิตผู้รู้ เขาภาวนาเองได้แล้ว เรามีหน้าที่เพียงการทำเหตุใกล้ให้เกิดจิต
ตื่น จิตผู้รู้ เนืองๆ โดยการน้อมเอาจิตที่ตื่นนั้นไปใช้ในการพิจารณาลงในกาย ในใจตน
เท่านั้น อย่าส่งออกนอก อย่าเข้านิมิต หลวงปู่เทสก์ใช้คำตรงนี้ว่า(อย่าให้จิตรวม ให้
อยู่ที่ใจ มีใจ-จิตตื่นเป็นหลัก)

ก็คือการใช้สติไล่ต้อนไล่จับความคิดของเราที่ฟุ้งซ่านไร้ระเบียบให้
รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนและค่อยๆใช้สติไล่ตามกระแสความคิดอันนั้นไปจนกระทั่งสุดสาย
แล้วความคิดชุดนั้นก็จะหายไป แต่ความคิดชุดใหม่ก็จะเข้ามาอีกต้องหมั่นมีสติคอยไล่ตาม
ไปตลอดเวลาข้อสำคัญ

...ซึ่งก็คือการไล่ต้อนมุมมองการเห็น ให้เห็นกาย หรือ จิต นั้นล้วมมีความเป็น
กลุ่มเป็นก้อนกันอยู่ เห็นกายก็เห็นจิต เห็นจิตก็คือเห็นกาย เมื่อเห็นได้อย่างนี้ก็
รู้เท่าทันความเป็น ฆนสัญญา ของกายกับจิต แต่ละอันจะมีชุดความคิด ที่ไล่
ดูไปเรื่อย เพราะการดูจะความคิดชุดใหม่เข้ามาอีก เราก็ดูอีก ดูที่ความคิดใหม่
ที่มันผุดมาเสมอ อย่าจมกับความคิดเก่าที่พึ่งเห็นไป หลวงตามหาบัวใช้คำว่า
การดูจิตไม่กยาอะไร ก็คือการรู้ลงเป็นปัจจุบัน และไม่ใช่การจงใจดับความคิด
อะไร แต่อาศัยการดูความคิดที่มันกำลังฝุ้งซ่านนั่นแหละ เอามาเป็นเครื่องอาศัย
ระลึกในการเจริญปัญญา สมาธิก็คือจิตที่ตั้งนั่นอยู่ที่รู้ปัจจุบัน แต่คนที่ยังไม่ได้
ใช้ปัญญาอบรมสมาธิจะคิดว่า สมาธิคือการที่จิตไม่ตรึกไม่คิด ซึ่งคนละเรื่อง

"ห้ามไปเพลิดเพลินพอใจกับความคิดนั้นๆเด็ดขาดเพราะจะ
ทำให้สติของเราขาดหายแล้วจิตของเราก็ไปจับเข้ากับความคิดอันนั้นแล้วปรุงแต่ง
อารมณ์ต่างๆให้ใจเราเป็นทุกข์"

อันนี้ก็คือการย้ำอารมณ์ การรู้ลงปัจจุบันไว้ อะไรที่เห็นผ่านไปแล้ว ก็ให้สักแต่
ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น แต่ไม่ใช่สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นสภาวะคิดในปัจจุบัน ต้องรู้
ปัจจุบันไว้ไม่คลาดเคลื่อน ไปในอดีต หรือแม้แต่อนาคต

หมั่นทำเข้าบ่อยๆให้ต่อเนื่องเข้าไว้สุดท้ายจิตจะยุบตัวรวมลงเป็นสมาธิ (สมถะ) ถ้าเรามีวาสนา/จริตทาง "จิตตานุปัสสนา" เราจะเห็นความเกิดดับของจิตและอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาจากภายนอกและเกิดขึ้นภายใน แต่ถ้าเรามีวาสนา/จริตทาง "กายานุปัสสนา" เราจะเห็นความความเกิดดับของการเราที่ประกอบด้วยอาการ 32 และธาตุ 4 หรือถ้าไม่เห็นอะไรเลยก็ใช้สติที่แจ่มชัดน้อมจิตเข้าไปพิจารณา "กาย, เวทนา, จิต หรือธรรม" ก็แล้วแต่ (ขึ้นกับว่าอะไรทำให้จิตของเราเกิดความสลดสังเวชได้มากที่สุด

ตรงนี้ไม่มีอะไร ยังเป็นข้อสรุป แต่มีบางจุดที่ต้องขอชี้เพิ่ม....ตรงที่

"กายานุปัสสนา" เราจะเห็นความความเกิดดับของการเราที่ประกอบด้วยอาการ 32
และธาตุ 4

ตรงนี้ไม่ใช่ การเห็นกายในแง่วิปัสสนาจะต้องรู้ลงมาที่จิต คือ เห็นกาย แล้วต้องไปเห็น
จิต การเห็นการเกิดดับ ไม่ใช่เห็นกายเกิดดับ แต่เห็นจิตเกิดดับตามอยาตนะ ธาตุ6
18ธาตุ คือ ไม่ว่าอะไร จะต้องรู้ลงไปที่จิต เห็นจิตมันเกิดดับทางทวาร ดังคำที่หลวง
ปู่ดูลย์กล่าวไว้เป็นบทกลอน คือ ต้อง เห็น สภาะที่ จิตเห็นจิต เป็นมรรค และผลของจิต
เห็นจิตเป็นนิโรธน เป็นปัญญาวิมุตติ

การไปเห็นอาการ 32 หรือ ธาตุ4 นั้นเป็นเรื่องผลของสมถะกรรมฐาน ไม่ใช่วิปัสสนา
กรรมฐาน ซึ่งจะเห็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งของเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้ภาพของความที่ยง
อยู่ มีผลทำให้สงบจากกาม ให้ผลทางเจโตวิมุตติ ซึ่งถ้าทำได้ยังต้องทำการระลึกย้อน
ลงดูที่จิต ย้อนกลับมาเห็นที่จิต ถึงจะเกิดส่วนปัญญา

* * * *

การเห็นตรงที่อ้างอิงมานี้ ก็ยังไม่เรียกว่า เห็นจิตนะ ยังเห็นไม่ถึงจิต แต่เป็นจังหวะเริ่ม
ตื่น เริ่มรู้จัก จิตตื่น แต่ถ้าไปคิดว่าการทำนั้นคือการ ดับความคิดให้ทันในปัจจุบัน อัน
นั้นเรียกว่าเข้าใจผิดอย่างแรง โดนพวกติดสมถะที่เจริญปัญญาไม่เป็นหลอกเอา ซึ่งพวก
ติดสมาธิ เอาสมาธิเป็นนิพพาน มักจะมีข้อสรุปไปในเรื่อง การหยุดคิด หยุดเวทนา ตรง
นี้หากไม่สังเกตให้ดี ตรงการดูกระแสความคิดที่มันดับไป แล้วไปเข้าใจว่าเราต้องเข้า
ไปดับจะทำผิดทันที ต้องปล่อยให้จิตที่มันภาวนาเป็นแล้วมันทำของมันเอง เราเพียง
แต่ตามดูพฤตจิตนั้นอีกที ถึงจะเห็นว่า อะไรไปดับความคิด อะไรทำให้ความคิดเกิด
...อะไรเล่าไปดับความคิด ก็อัตกลิมัตถานุโยค แล้วอะไรหละที่ทำให้ความคิดใหม่เกิด
ก็..กามสุขุลกลิมัตถานุโยค พอเห็นพฤติจิตมีพฤติกรรมเพียงแค่นี้ ก็จะรู้ว่า อะไรไม่ใช่
ทางพ้นทุก เมื่อเห็นแล้วว่าเหล่านั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จะค่อยเกิดโยนิโสมนสิการ ความ
แยบคายในการวิจัยแยกแยะเห็นสิ่งที่รอการเห็น ที่มันอยู่ตรงกลาง
Click to expand...

โคตรมั่ว...

visutto, 31 พฤษภาคม 2009

#504
พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

15 พฤศจิกายน 2008

โพสต์:

170

ค่าพลัง:

+473

คุณขันธ์ ไม่ควรแสดงออกเช่นนี้ ดูแล้วไม่เหมาะสมครับ

พลน้อย, 31 พฤษภาคม 2009

#505
visutto เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2006

โพสต์:

3,541

ค่าพลัง:

+1,167

พระอาจารย์สงบ เป็นพระที่หลวงตามหาบัว ชมว่าเป็นพระทองคำ...
ท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณ ข้อวัตรปฏิบัติหมดจด...
แต่...เอกวีร์ กิเลสยังเพียบ...รู้แต่ตำรา เอาอภิธรรมมาผสมมั่วกับการดูจิต
ไปวิจารณ์ธรรมของพระอาจารย์สงบ ไม่เจียมตัวเลย...

กรรมหนัก..เล่นของสูง

แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2009

visutto, 31 พฤษภาคม 2009

#506
ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

3 ตุลาคม 2006

โพสต์:

7,917

ค่าพลัง:

+9,181

คุณขันธ์ ไม่ควรแสดงออกเช่นนี้ ดูแล้วไม่เหมาะสมครับ
Click to expand...

ไม่เหมาะสมอะไร คุณชี้แจงรายละเอียดด้วยครับ

http://www.siangdham.com/
ช่วยดูแลวิทยุเสียงธรรม

ขันธ์, 31 พฤษภาคม 2009

#507
visutto เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2006

โพสต์:

3,541

ค่าพลัง:

+1,167

รีบไปขอขมาโทษท่านพระอาจารย์สงบ ที่ไปวิพากษืวิจารณืธรรมของท่าน
ก่อนที่ตัวเองจะตกต่ำไปกว่านี้...

visutto, 31 พฤษภาคม 2009

#508
visutto เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2006

โพสต์:

3,541

ค่าพลัง:

+1,167

เอกวีร์ ดูจิตตัวเองเห็นกรรมที่ตัวเองก่อหรือยัง...

visutto, 31 พฤษภาคม 2009

#509
พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

15 พฤศจิกายน 2008

โพสต์:

170

ค่าพลัง:

+473

ไม่เหมาะสมกับชื่อคุณไงครับ ชัดเปล่า
ไม่โกรธกันนะ

พลน้อย, 31 พฤษภาคม 2009

#510
ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

7 สิงหาคม 2008

โพสต์:

3,621

กระทู้เรื่องเด่น:

1

ค่าพลัง:

+2,192

ขันธ์ said: ↑

มีพวกแล้ว แสดงอาการดีใจ เสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่สิ่งที่เดินทางพูดมานั้น ก็ได้มีการพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าอะไรคืออะไร ไม่ใช่ เหตุผลใหม่ ที่พยายามสรรหาไปเรื่อยในการ แก้บาป
Click to expand...

จริงครับ อาจานขันธ์
เค้ากำลังเอาแบงค์ปลอมมาอวดโชว์กันใหญ่เลยครับ

ดีใจจัง ได้ของปลอม
ไม่รู้จักเอาของจริงมาเทียบบ้าง

;aa24

ดูจิตแบบธรรมภูต

ธรรมภูต, 31 พฤษภาคม 2009

#511
ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

7 สิงหาคม 2008

โพสต์:

3,621

กระทู้เรื่องเด่น:

1

ค่าพลัง:

+2,192

ทดสอบ1 said: ↑

คุณขันธ์ ไม่ควรแสดงออกเช่นนี้ ดูแล้วไม่เหมาะสมครับ
Click to expand...

แล้วที่อ่านผ่านๆมา คนอื่นแสดงเหมาะสมแล้วหรือครับ

อาจานขันธ์ก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
คุณยังไม่คุ้นชินอีกหรือครับ
นี่ขนาดเมตตาแล้วนะครับ

;aa24

ดูจิตแบบธรรมภูต

ธรรมภูต, 31 พฤษภาคม 2009

#512
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241

เอาง่ายๆ เลยนะ สำหรับคนที่ มีสัจจ หรือ คนที่ชอบพูดถึง หิริ โอตัปปะ

ไหน คุณ visuuto ตอบให้ชื่นใจหน่อยสิว่า คุณมีความเกี่ยวข้องกับ vichen8207
หรือเปล่า

คนที่ถามผมด้วยคำถามนี้หนะใคร !?

<TABLE id=post2139803 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175>vichien8207<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2139803", true); </SCRIPT>
สมาชิก

วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 31
Groans: 1
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 9
ได้รับอนุโมทนา 97 ครั้ง ใน 27 โพส
พลังการให้คะแนน: 0

</TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2139803 class=alt1>มั่วนิ่มรึเปล่า ...ดูIP....แล้วมาเดามั่ว </TD></TR></TBODY></TABLE>

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 31 พฤษภาคม 2009

#513
ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

7 สิงหาคม 2008

โพสต์:

3,621

กระทู้เรื่องเด่น:

1

ค่าพลัง:

+2,192

nanakorn said: ↑

๑. กิเลสจะหมดได้จริงก็ต่อเมื่ออวิชชาดับไปจากจิต หรือเรียกว่า สูญญตะวิหารครับ

แต่สำหรับในผู้ปฏิบัติสมาธิมาเช่น คุณวิสุทโธ นั้น
เพียรเพ่งสำรวมจิตมานานจนกระทั่งจิตอ่อนเบาสบาย
เมื่อถึงระยะเวลาอันควร จิตก็ปรากฏการรวมใหญ่
เห็นความเบาสบาย ปล่อยวางกิเลสทั้งหลายได้ชั่วขณะนั้น
ยิ่งสามารถประคองสภาวะนั้นไว้ได้นานเท่าใดนั้น
จิตยิ่งเบาสบายได้เท่านั้น เป็นอิสระจากกิเลสทั้งหลาย ได้ชั่วคราวก็จริง
แต่สภาวะนั้น ทำให้จิตเกิดปัญญา(วิปัสสนา)ว่า
การปล่อยวางกิเลสทั้งหลายออกได้ชั่วคราวยังขนาดนี้
ถ้าปล่อยวางกิเลสทั้งหลายได้ตลอดไปอะไรจะเกิดขึ้นครับ??? ค่ะ เกิดแน่นอน จะไม่มีคำว่าnanakorn ในเวปพลังจิตค่ะ

ทำไมต้องกดไว้ด้วยครับ??? การกดเป็นแสดงถึงความหยาบกระด้างของจิต
แล้วจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้อย่างไรครับ??? หนูไม่รู้กด หรือ หมด ถึงได้ถามไงคะ ไม่ได้มาบอกวค่ะ ท่านธรรมภูต ส่วนความหยาบกระด้างของจิต ท่านภูตพอจะแยกให้ดูหน่อยได้ไหมคะว่ามีกี่ขั้น
เป็นการสอนให้จำๆกันว่า การทำสมาธินั้นเป็นการกดข่มหรือหลบลี้หนีหน้ากิเลส
ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้นครับ

การดูจิตสิครับถึงเป็นการกด เพื่อให้จิตคุ้นชินกับอารมณ์เหล่านั้น
ทำให้จิตกระด้างขึ้นเรื่อยๆครับ
แต่เข้าใจผิดคิดว่าเกิดปัญญา
แต่แท้จริงแล้วเป็นการกดข่มให้ดูเฉยๆต่ออารมณ์เท่านั้น แต่ข้างในสิครับ
ใครจะรู้ดีเท่าตนเองว่า เรามีการหวั่นไหวแต่กดไว้จนเคยชินว่าให้เฉยๆครับ
Click to expand...

ค่ะ เกิดแน่นอน จะไม่มีคำว่าnanakorn ในเวปพลังจิตค่ะ
ครับ คุณรับรองตัวเองแล้วใช่มั้ยครับ??? อนุโมทนาครับ
ถ้าได้แล้วจะหายหน้าไปไหนครับ
กลับมาโปรดพวกที่ยังหลงติดอยู่กับความคิดสิครับ

หนูไม่รู้กด หรือ หมด ถึงได้ถามไงคะ ไม่ได้มาบอกวค่ะ ท่านธรรมภูต ส่วนความหยาบกระด้างของจิต ท่านภูตพอจะแยกให้ดูหน่อยได้ไหมคะว่ามีกี่ขั้น
คุณรู้แล้วนะครับว่าต้องกดหรือต้องปล่อยจิตจึงจะควรแก่การงาน
ความหยาบกระด้างที่คุณให้ผมแยกว่ามีกี่ชั้นนั้น
ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของความหยาบกระด้างนั้นต่างหากครับ

ยิ่งคลุกคลีกับอารมณ์ยิ่งมากขึ้นเท่าใด
เช่นคนที่คลุกคลีกับการปล้นฆ่ามาบ่อยๆ
จิตต้องหยาบกระด้างแน่นอน
เพราะไม่สะดุ้งต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น

เช่นเดียวกันกับคนที่ชอบคลุกคลีกับอารมณ์จนคุ้นชินก็เช่นกันครับ
ไม่ใช่เพราะวางเฉย(อุเบกขา)ได้
แต่เป็นเพราะไม่สะดุ้งต่างหาก
จนหลงคิดเองไปว่า ตัวเองปล่อยวางอารมณ์ได้ใช่มั้ยครับ

คำว่าอุเบกขานั้น เป็นการวางเฉยเพราะไม่เข้าไปคลุกคลีกับอารมณ์ครับ
จิตที่หยาบกระด้างนั้น อบรมได้ยากครับ

ก็อย่างที่เห็นกันอยู่ว่า เก้อ-ยากแค่ไหน แพ้ไม่ได้ฉันอายนะ

;aa24

ดูจิตแบบธรรมภูต

ธรรมภูต, 31 พฤษภาคม 2009

#514
ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

3 ตุลาคม 2006

โพสต์:

7,917

ค่าพลัง:

+9,181

ไม่เหมาะสมกับชื่อคุณไงครับ ชัดเปล่า
ไม่โกรธกันนะ
Click to expand...

คุณ ทดสอบ1 ผมว่า คุณเอาอคติ หรือ เอาอะไรมาวัด ว่าสิ่งนั้นเหมาะสม สิ่งนี้ไม่เหมาะสม
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชื่อมิทราบ

http://www.siangdham.com/
ช่วยดูแลวิทยุเสียงธรรม

ขันธ์, 31 พฤษภาคม 2009

#515
visutto เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2006

โพสต์:

3,541

ค่าพลัง:

+1,167

เป็นพี่ชายผม เอาอีเมล์ผมมาใช้...
เพราะแกไม่มีอีเมล์เลยยืมอีเมล์ผม
อันนี้เป็นความจริง..ไม่ได้มุสา
แล้วIP ก็เป็นของพี่ชาย บางทีผมก็ไปเล่นที่บ้านแก
ส่วนผมเองปกติเข้าเน๊ตที่ร้านเน๊ต..
วันที่คุณมาทัก...ผมก็อยู่..นี่คือ สัจจะความจริง
ฉะนั้น..อย่าปรักปรำ
ตอนนี้ผมก็เล่นที่ร้านเน๊ต..ดูIP ผมจะไม่ซ้ำทุกวัน
เพราะที่บ้านไม่ได้ต่อเน๊ต

แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2009

visutto, 31 พฤษภาคม 2009

#516
ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

7 สิงหาคม 2008

โพสต์:

3,621

กระทู้เรื่องเด่น:

1

ค่าพลัง:

+2,192

nanakorn said: ↑

ผมว่าคุณต้องเริ่มหัดจากการแปลไทยเป็นไทยในขั้นแรกก่อนนะครับ
วิปัสสนา คืออุบายต่างๆอันวิเศษที่ทำให้เกิดปัญญา
กรรมฐาน คือฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงานครับ

เมื่อนำมารวมกันเข้าก็คือ ฐานที่ตั้งอันสมควรแก่การงาน
ที่เป็นอุบายให้เกิดปัญญาครับ

ผมถึงได้ย้ำเตือนอย่างสม่ำเสมอว่า
สมถะและวิปัสสนาเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เกิดขึ้นที่ละขณะต่อเนื่องกัน
ขาดอันใดอันหนึ่งมิได้ครับ อันนี้ นานาไม่เคยแยกค่ะ แล้วแต่สภาวะการฝึก
ว่าเราจะสะดวกช่วงไหน การเจริญสติจู่บางทีก็มาดูลมก็มีค่ะ

ไหนคุณลองบอกผมหน่อยสิครับว่า
“ฐานของปัญญาทำไหลอย่างต่อเนื่องใช่ไหมคะ” เป็นอย่างไร??? หมายถึงปัญญาเกิดแล้ว การแจ้งต่อสิ่งที่เราพิจารณาจะค่อยมา ๆ หรือมาดีเดียวไม่ไ้ด้ไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่หลักการเคลื่อนที่

ผมพยายามสมาทานอย่างไร ก็ยังเข้าถึงไม่ได้สักทีครับ
ปัญญาไหลไปอย่างต่อเนื่อง มีแต่จะหมดไปใช่มั้ยครับ??? ไหลเพื่อเป็นกำลังของจิต ไหลกันคนอย่าง แต่นานาสังเกตุเห็นก่อนที่จะเข้าใจเหตุการณ์บางอย่างจะรู้ปัญญาจะทลอยไหลมา แล้วเรารู้แจ้งต่อเรื่องนั้น สังเกตุจากตัวเอง แล้วลองมาเปรียบกับหลักธรรมและผู้อื่น
อย่าบอกนะครับว่าไหลออกไปกองรวมกันอีกที่นึง
ขึ้นชื่อว่าไหลออกไปแล้ว ย่อมต้องไปรวมกับกิเลสครับ
คงไม่กองหรอก ใช่ค่ะ มันจะไปเป็นกิเลิศ ทันที
ผู้ที่ผ่านการปฏิบัติมานั้น มีแต่ปัญญาเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ
ทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงเกิดความเบาสบายในชีวิตประจำวัน

ไม่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆทั้งสุขทั้งทุกข์
ที่ทำให้จิตคุ้นชินและหยาบกระด้างต่ออารมณ์ครับขอบคุณสำหรับคำแนะนำตรงนี้
Click to expand...

อันนี้ นานาไม่เคยแยกค่ะ แล้วแต่สภาวะการฝึก
ในเมื่อสมถะและวิปัสสนา แยกมาจากคำว่าสัมมาสมาธิ

เหมือนกับหมอศัลย์หมอสูติ ก็มาจากคำว่า “หมอ”
ขึ้นชื่อว่าหมอต้องรู้จักanatomyดีทุกคนใช่มั้ย
อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างมากของความเป็นหมอ

ถ้าพื้นฐานไม่ดีจะกล้าลงมีดมั้ย หรือกล้าทำคลอดมั้ย
นอกจากพวกจิตหยาบกระด้างเท่านั้น
ที่เห็นคนตายเป็นแค่ใบไม้ล่วงเท่านั้น
ที่ทำอะไรก็ได้ เพราะไม่สะดุ้งต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น

หมายถึงปัญญาเกิดแล้ว การแจ้งต่อสิ่งที่เราพิจารณาจะค่อยมา ๆ หรือมาดีเดียวไม่ไ้ด้ไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่หลักการเคลื่อนที่
คุณพูดเองนิครับว่าปัญญาไหล
ผมก็บอกไปว่าปัญญามีแต่เกิดเพิ่มพูนตามกำลังสติ
การค่อยๆเข้ามาเป็นการเพิ่มพูนขึ้น แต่การไหลเป็นการเคลื่อนไหวครับ

ไหลเพื่อเป็นกำลังของจิต ไหลกันคนอย่าง แต่นานาสังเกตุเห็นก่อนที่จะเข้าใจเหตุการณ์บางอย่างจะรู้ปัญญาจะทลอยไหลมา แล้วเรารู้แจ้งต่อเรื่องนั้น สังเกตุจากตัวเอง แล้วลองมาเปรียบกับหลักธรรมและผู้อื่น
คุณกำลังสับสนเรื่องปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมอยู่นะครับ
ที่คุณสังเกตุเห็นเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นเพราะเข้าใจเหตุการณ์
เนื่องจากเคยมีความคุ้นชินกับเหตุการณ์นั้นหรือคล้ายกันนั้นครับ
ปัญญาไม่ใช่ทยอยไหลมา แต่เป็นการผุดขึ้นมาพร้อมกำลังสติครับ

คงไม่กองหรอก ใช่ค่ะ มันจะไปเป็นกิเลิศ ทันที
คนที่มีปัญญายังชอบคลุกคลีกับกิเลสอีกหรือครับ
คนที่ชอบคลุกคลีกับกิเลสเป็นพวกหยาบกระด้าง อบรมยากครับ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำตรงนี้
ไม่เป็นไรหามิได้ครับ ถ้าน้อมนำไปใช้ประโยชน์ได้

;aa24

ดูจิตแบบธรรมภูต

ธรรมภูต, 31 พฤษภาคม 2009

#517
ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

3 ตุลาคม 2006

โพสต์:

7,917

ค่าพลัง:

+9,181
คุณ วิสุทโธ ครับ เรื่องแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องไปอธิบายหรอกครับ
มันคนละเรื่องกับ สิ่งที่ถกตอนนี้ ตัวเขาเองเปลี่ยนชื่อเป็นร้อยชื่อแล้วครับ ไม่เห็นเขาสนใจกับเรื่องนี้กับตัวเอง
นายนิวรณ์ ทำได้แค่ เปลี่ยนประเด็นไปเรื่อยๆ
http://www.siangdham.com/
ช่วยดูแลวิทยุเสียงธรรม

ขันธ์, 31 พฤษภาคม 2009

#518
visutto เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

31 ตุลาคม 2006

โพสต์:

3,541

ค่าพลัง:

+1,167

แล้วอย่าลืมไปดูจิต ที่ก่อกรรมกับพระอาจารย์สงบล่ะ...
เดี๋ยวจะถูกล้อว่า..มือถือสาก ปากถือศีล

visutto, 31 พฤษภาคม 2009

#519
เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

28 มกราคม 2008

โพสต์:

3,972

ค่าพลัง:

+3,241

visutto said: ↑

เป็นพี่ชายผม เอาอีเมล์ผมมาใช้...
เพราะแกไม่มีอีเมล์เลยยืมอีเมล์ผม
อันนี้เป็นความจริง..ไม่ได้มุสา
แล้วIP ก็เป็นของพี่ชาย บางทีผมก็ไปเล่นที่บ้านแก
ส่วนผมเองปกติเข้าเน๊ตที่ร้านเน๊ต..
วันที่คุณมาทัก...ผมก็อยู่..นี่คือ สัจจะความจริง
ฉะนั้น..อย่าปรักปรำ
ตอนนี้ผมก็เล่นที่ร้านเน๊ต..ดูIP ผมจะไม่ซ้ำทุกวัน
เพราะที่บ้านไม่ได้ต่อเน๊ต
Click to expand...

เหรอ แล้ว แลกเปลี่ยนกันบ่อยไหม เช่น ใช้ชื่อจริงคือตัวคุณ แต่ใช้ id พี่ชายยยย

ตอบด้วย สัจจ หิริ โอตัปปะ ให้มั่นนะ

สงครามพระ : ลั่นกลองรบ !!

เอกวีร์, 31 พฤษภาคม 2009

#520

(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)

หน้า 26 ของ 56

แชร์หน้านี้

Loading...