ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การที่ เราจะไปถึงฝั่งได้ เราต้องเดินไปตามทางที่ถูกต้อง

    การเดิน ตามทางที่ถูกต้อง อย่างแรก คือ อิทธิบาท 4 ได้แก่ฉันทะ พอใจที่จะปฏิบัติธรรม วิริยะคือ เพียรทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิด จิตตะ คือ เอาใจใส่ ทำมันทุกวัน เท่าที่มีกำลัง วิมังสา คือ คอยใคร่ครวญสังเกตุในผล ที่ได้

    คนเรา ร้อยละ 99 คือ เดินไม่ตรงทาง นั่นคือปัญหา ไม่ตรงทางอย่างไร ก็ตรงที่ว่า คิด และ เชื่อ ในทิศทางอื่นว่าแก้ได้
    นั่นเป็นเพราะว่า อำนาจตัณหาที่เรา ไม่รุ้จักเพียรทำและรอคอยผล เมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการก็หันหน้าไปทางอื่นเสีย
    ดังนั้น ศรัทธา นี้คือ ตัวแรก ที่จะทำให้มีกำลังเดินต่อไป ในทิศทางเดิมของเรา ซึ่งตัวผมเองไม่เคยเดินออกนอกทาง แม้ไม่ได้ผลตามที่ตั้งใจ ก็เคยคิดไปทางอื่น แต่สุดท้ายก็เชื่อธรรมมากกว่า คือ หันกลับมาดำเนินตามวิถีเดิม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    แต่ ทีนี้ ทั้งสามตัวมันต้องสมดุลกันไป จำเอาไว้นะครับ สามตัวต้องสมดุล คือ ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันมากเกินไป มันจึงจะเข้าถึงธรรม และ เกิดความเสถียรภาพ มั่นคง ไปตามลำดับ อย่างไม่เหนื่อย คอยวิวัฒน์กันไป

    ก็ สมาธิมากเกิน เป็นอย่างไร ก็จะทำให้คนนั้นพอใจอยุ่กับ อัตภาพของตน ไม่ยอมทำอะไรให้ก้าวหน้า
    ศีล มากเกิน ก็กลายเป็น คนระแวดระวังไปหมด กลายเป็นสีลพตรปรามาสไป คือ ถือข้อวัตรเกินไป
    ปัญญามากเกิน ก็จะกลายเป็น อุทธัจจะ คือ ฟุ้งซ่าน แล้วจะพลอยชักนำ เอาสิ่งที่เป็นมารเข้ามา
    คนที่ปัญญามากนี้ มารจึงชอบ

    ในส่วนของมหาสติปัฎฐาน 4 กายเคลื่อน แต่ เวทนาต้องไม่เคลื่อน
    เวทนาเคลื่อน จิตต้องไม่เคลื่อน จิตเคลื่อน ธรรมต้องไม่เคลื่อน ดูให้ละเอียด แล้วเราจะไม่หลงไปตามอุปาทาน จะทำให้ธรรมละเอียดเป็นขั้นๆ ไป จนถึงวิมุตติ คือ ธรรมไม่เคลื่อน

    อาการของธรรมไม่เคลื่อน คือ ใจเป็นธรรม ตัวนี้ไม่เคลื่อน เมื่อตัวนี้ไม่เคลื่อน ตัวอื่น ก็เป็นเรื่องแห่งไตรลักษณ์ทั้งหมด คือ เกิดขึ้นแล้วดับหาย เป็นดัง น้ำกลิ้งบนใบบัว

    แล้วจะทำอย่างไร ให้ถึงธรรมตัวนี้ ก็ต้องทำตามที่ผมบอกและ ครูบาอาจารย์บอก คือ ดูกายเคลื่อน แล้วพิจารณาให้ถึงใจ ว่า กายนี้หรือที่ทำให้ทุกข์ เวทนานี้หรือทำให้ทุกข์ จิตนี้หรือทำให้ทุกข์ แต่ก่อนจะพิจารณาได้ มันก็ต้องเป็นคนมีสติดูให้ละเอียด แล้วเราจะเห็น รูป เห็น นาม ในส่วนที่ละเอียด และ เท่าทันมันได้ ไม่หมายว่า นั่นคือ จริง ก็จะไล่ไปเรื่อยๆ จับตรงนั้นก็ไม่จริง จับตรงนี้ก้ไม่จริง จะไปเจอตัวจริงที่ นิพพาน ก็จะเกิดทัสนะขึ้น

    ทัสนะนี้แหละเรียกว่า โคตรภูญาณ โคตรภูญาณนี้ เกิดเป็นตัวรู้แว็บนึง แล้วก็หายไป เนื่องจาก ญาณเป็นธรรม ก็เกิดแล้วดับไปทันใด จากนั้นพอใจนี้ยัง ท่องเที่ยวไป ไปกระทบ ต่อสิ่งที่ยังเป็นอนุสัย มันก็กระเพื่อมขึ้นมา จิตนั้นก็หวั่นไหวต่อ
    ถ้าสังเกตุเห็นได้ ซึมถึงจิตใจ ตรงนี้จะเป็น มรรค ทันที คือ นั่งเฉยแบบเดิมไม่ได้ โคตรภู ไม่ใช่เป้าหมาย เพราะจิตใจยังกระเพื่อมอยู่ การตื่นตรงนี้แหละ เรียกว่า มรรคญาณ นี่จำเอาไว้

    ตราบใดที่ยังไม่มีญาณเกิดขึ้น คือ รุ้เต็มภูมิ ตราบนั้น ยังไม่ใช่การเข้าไปสู่ อริยบุคคล
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอเรื่องจิตกระด้าง อีกโพสท์หนึ่ง
    ถ้าอีกกรณีหนึ่ง คือคนทำชั่ว แล้วไม่รู้ว่าชั่ว ขาดสติไม่สะดุ้งสะเทือนต่อบาป
    อันนี้ยิ่งทำชั่วไปจะยิ่งชาชิน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยิ่งทำยิ่งไม่สะเทือนต่อบาป
    นี้คือพวกที่ทำกรรม ด้วยความขาดสติ ไม่ได้ทำเพื่อรู้ทุกข์ อันนี้เข้าข่ายจิตกระด้าง
    ทนทานต่อความชั่ว ไร้ความรู้สึกรู้ดีรู้ชั่ว

    นอกจากนี้ยังมีอีกพวก รู้ว่าชั่ว แต่ก็ทำเพราะห้ามใจไม่ได้ ทนต่อกิเลสยั่วยวนไม่ได้
    แรกๆทำไป อาจมีสุขปนทุกข์ แต่อำนาจสุขจากกิเลสมีมากกว่าความทุกข์ที่รับรู้
    แล้วก็หลงไปกับกิเลส พอทำไปนานๆจนเคยชินมันก็กระด้างต่อความทุกข์ไม่รู้ทุกข์
    รู้แต่สุขได้จากกิเลส หรือเห็นดีเห็นงามไปกับกิเลส กลุ่มนี้คือคนที่รู้ศีล รู้ธรรม
    แต่ ศีลทะลุ ทำไปโดยที่รู้ว่าไม่ดี แล้วขาดสติแต่ไม่ยอมรับ รู้ตัว แต่ไม่รู้สึกตัว

    ถ้ากล่าวถึงจิตกระด้าง เรามีความเห็นดังที่กล่าวมานี้
     
  3. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    การที่เราเป็นอย่างไรไม่ใช่ให้คนอื่นมาตัดสินให้หรอกค่ะ เราได้ไม่ได้อะไร ไม่สำคัญว่าคนอื่นต้องเข้าใจเหมือนเรา
    หากเรารู้เรา เราก็ย่อมรู้ผู้อื่นด้วยเหมือนกัน การเห็นผู้อื่นทุกข์ เรามองไปหากไปสัมผัสเข้าแล้วมาเบียดเบียนตัวเอง นี่ไม่ควร การช่วยเหลือผู้อื่นช่วยได้
    แต่เราต้องวางอุเบกขาก่อน เพราะต่างคนต่างมีเวรกรรมเป็นของตัวเอง
    สิ่งที่ทำได้คือการสำรวจ กาย วาจา ใจ รักษาให้เป็นปกติ นั้นเริ่มละลายเกลือแล้ว จะไม่เผลอ เติมเกลืออีก ไม่ให้อคติเกิดขึ้นในใจ
     
  4. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ชอบคำนี้ค่ะ คนที่มีปัญญามาก มารชอบ ยิ่งมากเท่าไร มารยิ่งชอบเท่านั้น ท่านกล่าวถูกแล้ว อนุโมทนา
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จินที่รัก คุณต้องทำความเข้าใจกับคำว่า อัตตาเสียใหม่ก่อนครับ
    อัตตานั้นมีหลายนัยยะๆที่แปล ตัวตน ...ยึดถือ...ขันธ์๕

    แต่นัยยะหนึ่งแปลว่า ที่พึ่งนั้น มีพุทธพจน์รองรับไว้มากมาย
    ว่าจิตเป็นตน.จิต ณ ตรงนี้ที่พูดถึง คือ
    จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส จึงจะเป็นที่พึ่งได้โดยแท้จริง
    ที่พึ่งอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ

    ในโลก เต็มไปด้วยกิเลส เป็นที่พึ่งไม่ได้...ร่างกายก็เช่นกันฯลฯ...
    จึงได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
    เธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
    หรือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง

    มีพระพุทธอุทานรองรับไว้ดังนี้
    “เมื่อพราหมณ์ผู้มุณี มาพบตนหรือรู้จักตนเข้า ด้วยปัญญาอันเกิดจากความสงบ
    เมื่อนั้นพราหมณ์ ย่อมพ้นจากรูป-อรูป สุขและทุกข์”

    เดิมนั้น จิตที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะนั้น
    ล้วนถูกอวิชชาและอุปกิเลสทั้งหลายห่อหุ้มอย่างแน่นหนา
    จนมองไม่เห็นความประภัสสรผ่องใสของตนที่มีอยู่เดิมนั้น
    ไปยึดเอาสิ่งห่อหุ้มทั้งหลายเหล่านั้นรวมเข้าว่าเป็นตนด้วย

    เมื่อได้ฝึกฝนอบรมจิตโดยวิธีปฏิบัติสัมมาสมาธิแล้ว
    ทำให้จิตมีกำลังสติปัญญาสามารถในการที่จะสลัดสิ่งห่อหุ้มเหล่านั้นออกไปได้
    จึงเห็นตนและรู้จักตนที่แท้จริงเข้าครับ

    คำว่า “จิตรวม” เหล่าผู้ที่เคยปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจังทั้งหลายแล้ว
    ย่อมทราบกันดีว่า โดยปกติแล้ว จิตย่อมฟุ้งกระจายไปตามกิเลส กรรม วิบากที่ห่อหุ้มอยู่
    ไปในทุกทิศทุกทางที่จิตยึดกิเลส กรรม วิบากนั้นที่พาไป

    เมื่อได้อบรมจิตให้สำรวมระมัดระวังในอินทรีย์ทั้ง๖
    เป็นผู้มักน้อย กินน้อย นอนน้อย เพียรประกอบภาวนาปฏิบัติกรรมฐานให้มากขึ้น

    เมื่อถึงเวลาอันควรแก่กาล จิตนั้นย่อมมีกำลังสติปัญญามากพอแก่กาลนั้นด้วย
    ย่อมรวมจิตที่เคยฟุ้งซ่านกระจัดกระจายไปตามความคิดที่เคยมีมาก่อน
    รวมลงเป็นจุดเดียวด้วยกำลังทะลุผ่านสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่เข้าสู่จิตในจิต ณ.ภายใน

    อันเป็นสภาพเดิมชั่วคราวที่ปรากฏ มีความว่างไม่มีประมาณ
    ความครางแคลงสงสัยในเรื่องจิตของตนก็หมดไปครับ

    ของท่านอื่นถ้ารอบบ่ายเข้าบอร์ดได้ ค่อยตอบนะครับ
    จากนี่ไป ผมขอใช้คำว่าท่านกับทุกล๊อกอิน
    เพื่อความเสมอภาค เป็นการสมานฉัน ป้องกันอาการคันในหัวใจ

    ปล. จิต ตน ธรรม เรา มีพระพุทธพจน์กล่าวใช้แทนกันในหลายแห่งครับ
     
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอบคุณสำหรับคำตอนนะครับ ^-^
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "เมื่อถึงเวลาอันควรแก่กาล จิตนั้นย่อมมีกำลังสติปัญญามากพอแก่กาลนั้นด้วย
    ย่อมรวมจิตที่เคยฟุ้งซ่านกระจัดกระจายไปตามความคิดที่เคยมีมาก่อน
    รวมลงเป็นจุดเดียวด้วยกำลังทะลุผ่านสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่เข้าสู่จิตในจิต ณ.ภายใน"

    โอ้โห... บันเทิงธรรม มากมาย (จริงๆนะ ได้เปิดหูเปิดตา จาก มรรคคังๆ)
    เพิ่งรู้ ความรู้ใหม่ ภายนอก ทะลุกรอบ สิ่งห่อหุ้มกระเจิง เข้าสู่ภายใน เจอ จิตในจิต ได้ด้วย
    จิตภายนอก วิ่งทะลุหาจิตภายใน หรือว่า เราเข้าใจคำพูด ท่านธรรมพภูติผิดไป เพราะความคิดเรา
    มันเพี้ยนไปเอง เพราะไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง ไม่เคยเห็นอย่างเขาจะไปเข้าใจอย่างเขาได้ไง

    พอดีเราชอบ อีกแบบหนึ่ง พอเจออันที่ไม่เคยรู้ว่ามีแบบนี้ ก็เลย สงสัย
    "จิตผู้รู้ ดุจฟองไข่ เมื่อเติบโต เต็มที่ จะเจาะเปลือกออกมาเอง"

    ไม่รู้ว่าเรื่องเดียวกันหรือเปล่านะ แต่ก็ได้เปิดหูเปิดตา ได้รู้เรื่องอีกแบบ ได้เปิดทัสนะ อีกแบบ
    ขออภัยท่านธรรมภูติ หากเข้าใจคำพูดท่านผิดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2009
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มาร มาแอบ จุ๊บ จุ๊บ

    นี่ นานา ค้อนนาดู(ในมุมมองพี่ภูติ) โดนนายปริศนา มา จุ๊บ จุ๊บ

    ทั้งนี้ก็เพราะ นานา มีปัญญามาก....

    แหม...มาแปลกด้วยนะ ตอนแรกคิดว่าจะ จุ๊บๆ กับ หมอหมา(อาชีพที่กิเลสน้อย)สาว
    คนเดียว

    มีหันมา จุ๊บๆ เอากับ ชายแก่ร่างอ้วนพุงพลุ้ยอย่างผมด้วย น่ากลัวมาก...จุ๊บ ไม่เลือก
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อิอิ..
     
  10. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ได้รับ ฉายา เยอะ จริงๆ เล๊ย ขยันตั้งให้จัง เรียกตามสภาวะสะซิ รู้นะ เปล้า ..เปล่าไม่เคยคิดว่าตัวเองมีปัญญามากหรอก
    ไม่มีใครกล้า มาจุ๊บ จุ๊บ กับนานาหรอก เขากลัวโดนจับทำหมันถาวรน่ะ
    แต่ก็อย่างว่า มาแปลก ๆ แต่ก็นั้นแหล่ะ ช่างเขาเถอะ

    ปล. มีอะไรมาฝาก มารไม่มี บารมีไม่เกิด
     
  11. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ขำวันละนิดจิตแจ่มใส
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมเอามาฝาก k.nanakorn นะครับ ท่านกล่าวไ้ว้ดีแล้ว เห็นว่าน่าสนใจดีครับ เผื่อไม่ถนัดภาษาไทย

    --------------------------------------------------------

    อธิบาย เรื่องทางพุทธศาสตร์ ต้องพิจารณาให้เป็น ช่วงๆ ระยะ หยาบ สำหรับมือใหม่ ปานกลาง และ ละเอียด สำหรับมือเก่า ฝึกมาเยอะแล้ว

    แบบง่ายๆ เบสิค ในความเห็นของผม

    มรรค ๘ คือ หนทางสู่ความพ้นทุกข์ ที่ถูกต้อง ( "ที่ชอบ" เป็นคำโบราณ ) ประกอบด้วย

    1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เห็นว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ สภาวะเช่นใดคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ วิธีการใดคือทางปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

    ทิฏฐิ นี่แหละ คือ belief ความเชื่อ

    การให้คุณค่า (values) ให้น้ำหนักความสำคัญ กับเรื่องต่างๆ

    ทิฏฐิ ที่หมายถึง มีหลายระดับ ตั้งแต่ ง่ายๆ คือ

    (๑) รับรู้ จำได้ เข้าสมอง (Memorized) จำที่เขียนในตำราได้ ฯลฯ

    (๒) ดีขึ้นมา คือ "เข้าที่ใจ" (Understanding) รู้ซึ้ง "ใจ"สัมผัสได้ ตระหนัก (Aware) ค้นพบผ่านการลงมือทำจริง ประจักษ์แจ้ง แบบ action learning ไม่ลองไม่รู้

    ลพ กล้วย สอนว่า เอากายเข้าไปแลกจึงจะรู้ นั่นคือ ลงมือทำ Learning by doing

    คือ ลงมือทำการแยกแยะ ให้พบ เรื่อง จิต สติ ความคิด แยกขันธ์ ๕ ให้ขาดออกเป็นกองๆ เป็นแผนก (ชันธ์)

    (๓) เมื่อปฏิบัติมากๆ มีประสบการณ์มาก ก็จะ ชำนาญ มีทักษะ กลายเป็น ผู้ชำนาญการ (Expert)

    (๔) ในที่สุด จะค้นพบแบบบรรลุ (Realization) รู้แจ้ง แทงตลอด หมดข้อสงสัย (วิจิกิจฉา) หมดไป

    ในขั้นต้น สัมมาทิฏฐิ คือ The right understanding ไปก่อนนะ ... ลพ กล้วยสอนว่า ..แยกแยะ "จิต กับ ความคิด"ได้ สัมมาทิฏฐิ ก็เปิดทางแล้ว ฝึกให้ชำนาญนะ

    2. สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ คือ ดำริในการออกจากวัฏฏะ

    คำว่า "ดำริ" นี่แปล ไทยเป็นไทย ยากนะ

    จริงๆแล้ว ดำริ คือ การตั้งเป้า หรือ การกำหนดวิสัยทัศน์ เป็น "ความอยากที่ถูกต้อง" ที่ชอบ

    ผมใช้คำว่า The right vision คือ เรามีวิสัยทัศน์ชัดเจนแล้วว่า จะไปนิพพาน จะพ้นทุกข์

    3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ พูดดี มีประโยชน์ เป็นจริง ไม่ทำร้ายใคร พูดตอนจิตว่างและมีสติ

    เรื่องนี้ ผมนึกถึง คำว่า The right Dialogue เพื่อให้ทันสมัยกับยุคนี้ Dialogue คือ การสนทนาแบบดูจิต นั่นเอง ต้องใช้สติมากๆ
    ไม่ใช่แค่พูด แต่ รวมไปถึง ฟังเสียงภายในตนเองด้วย ฟังคนอื่นๆด้วย

    4. สัมมากัมมันตะ -

    ผมใช้คำว่า The right activities กิจกรรมทีทำอย่างมีสติ จิตว่าง เมื่อจิตว่าง สติต่อเนื่อง พรหมวิหาร ๔ จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโมติ เป็นพรหมวิหาร ๔ แบบไม่มีเงื่อนไข

    5. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ทำร้ายใต มีสติ The right carreer

    6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ

    1.) เพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น

    2.) เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

    3.) เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น

    4.) เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป

    The right workrate ขยันในการดูจิต แยกแยะขันธ์ ๕ สะสมกำลังสติ

    7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ ตามระลึกรู้ความเป็นไปของกาย เวทนา จิต ธรรม
    ผมใช้ The right sensing

    sensing ทั้ง ร่างกาย จิตใจ ความคิด ตามรู้ทั่วพร้อม

    8. สัมมาสมาธิ - สมาธิชอบ เพื่อจิตใจมีลักษณะที่ชอบ The right focus มีสมาธิ ในการดูจิต

    มีสมาธิ ในการทำจิตให้บริสุทธ์ มั่นคง ไม่หวั่นไหว และ ควรแก่การทำงาน

    จิตเป็นสมาธิ ต้องมี ๓ ลักษณะ พร้อมกัน คือ

    (๑) จิตบริสุทธิ์ pure จริงๆ ไม่มีกิเลส ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล เป็นกลาง โล่ง โปร่งสบาย

    (๒) จิตมั่นคง ไม่หวั่นไหว Firm หรือ stable หรือ Steady ... ซึ่งจะเข้าสภาพนี้ได้ ต้องมีสติ คอยเตือนว่า ความคิดจร บุกเข้าโจมตีแล้วนะ

    จิตมันฉลาดพอ รู้เท่าทันความคิด ที่จะไม่หลงไปกับ ขันธ์ ๕ แล้ว จิตก็เลยมั่นคง ไม่วอกแวก ไม่หวั่นไหว

    ถ้า ค่า 0 คือ ค่า ของ Pure การรักษาไว้ที่ 0 คือ Stable

    ถ้า จิต มีค่า -10 หรือ +10 คือ ไม่ pure แต่ อาจจะ stable

    ดังนั้น แค่ stable ไม่พอ ต้องไป stable ที่ค่า 0 ด้วย

    (๓) Active คือ จิตเหมาะกับการทำงาน ยังactive อยู่ ไมใช่ non-active ไม่ใช่ละเลย (Ignore) รักษาสมดุล ทางโลก (สมมติ) และทางธรรม(วิมุติ)ให้เจริญไปด้วยกัน

    ความหมายคือ จิตว่าง แต่ กายยังทำประโยชน์ ความคิดยังมีอยู่ คิดดี พูดดี ทำดี แต่ จิตบริสุทธ์ และ มั่นคง

    หาก เข้าสมาธิ จน pure อย่างเดียว ไม่ stable ก็จะ ดีเฉพาะ ตอนฝึก ออกจากสมาธิ ก็นิสัยเดิมๆ เช่น บางคน สงบเฉพาะตอนอยู่ในสมาธิ แต่ ยังโกรธ แค้น ฯลฯ คนรอบข้างอยู่เลย

    หาก ทั้ง pure และ stable ไม่คิดจะช่วยใคร ไม่สอน ไม่ทำประโยชน์ ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหิน

    หากเรา เข้าใจเรื่อง "จิตกับความคิด" เป็นคนละกอง คนละส่วน คนละฝ่าย ก็จะเข้าใจเรื่องนี้

    คนที่ยัง งงๆ คือ คนที่ เคยชิน กับใช้ "จิตกับความคิด" ผสมกัน เป็นสังขยา ผลไม้กวน

    ดังนั้น สมาธิที่ชอบ ที่ถูกต้อง จึงต้อง ครบทั้ง ๓ ลักษณะ

    "ถ้าจิตอยู่ที่ค่า 0 และ stable ... ความคิดจะเป็นปัญญา"



    --- woraphat - 01 มิ.ย. 2009 เวลา 11:29<!-- Signature -->


    ขอบคุณครับ อ.

    ;38
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2009
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ถ้าจิตอยู่ที่ค่า 0 และ stable ... ความคิดจะเป็นปัญญา"

    ขอบคุณ และขออนุโมทนา ค่ะ
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    แปลงร่างแล้ว น่ารักน่าชัง ดีจัง ชอบอีกแระ เรา
    รูปนี้มันดึงดูดสายตาของพี่อะ สงสัย... จะชอบใจ
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อกจะแตก !

    เห็นเขาต่อธรรมกัน สุขมันล้น

    สงสัยหมดหน้าที่เรา ไปอีก 1

    ฉับ !!!
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อิอิ..ฝากซื้อโอเลี้ยงครับท่าน Tboon
     
  17. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    Lots things come up with unexpectedly.
     
  18. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    One's dreams do not always come true.
     
  19. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    cool it
     
  20. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,377
    เจอบาลีว่างงแล้วเจอภาษาอังกฤษอีก สงสัยจะเพี้ยนแน่เรา หุ หุ หุ
    ไปหากินกาแฟแก้ง่วงก่อนดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...