ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เป็น สมถะ ครับ หากยังต้องดึงกลับ แปลว่า เรายังไม่ไว้ใจจิต ยังหวงแหนจิตจะหมอง
    เราจึงยังรักการจับจิตมาขัง

    ก็ต้องภาวนาไปอีก จะเจตนาดึงก็ให้รู้ว่าเจตนาดึง ไม่ตั้งใจไม่เจตนาดึงให้รู้ว่ากำลัง
    ล้ำหน้าไปตรึกอนาคต ...ถ้าเข้าใจตรงนี้ จะเข้าใจการปล่อยรู้ หรือ เผลอแล้วรู้

    หากขณะที่กำลังจะปล่อยรู้ หรือ เผลอแล้วรู้ ความห่วงใยในจิตจะปรุงสภาวะ สงสัย ให้
    ระลึกรู้สภาวะจิตกำลังสงสัย รู้เป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ

    ความพอดีอยู่ตรง รู้ ปล่อยรู้ จึงหยุดที่สภาวะรู้ การรู้ ต้องดูให้ออกว่ามันเป็นสภาวะธรรม

    เมื่อมอง รู้ รู้สึก ก็คือสภาวะธรรม จะเริ่มเห็นความพอดีของการรู้ ที่ยังไม่เคลื่อนไปใน
    สังขาร

    แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า เราไม่ได้ฝึกเพื่อดับสังขาร ดังนั้น จิตมันจะเคลื่อนไปใน
    สังขารชนิดไหน เราก็ปล่อยรู้ แล้วฉันทะตรงสภาวะรู้ หากไม่หยุดที่รู้ มันจะเริ่มกลายจาก
    มโนสังขารไปเป็น วจีสังขาร หรือ กายสังขาร เรียกว่า เติมการรู้ไปแล้ว

    ก็ดูไปเรื่อยๆ แบบนี้ ....ขั้นต้นนั้น เราฝึกเพื่อความไวของ สติ เป็นอันดับแรก

    เมื่อ สติ ไวพอ จึงเอาไปรู้ไตรลักษณ์

    คนที่ปฏิบัติแบบสุ่มเข้ามา ลูบคลำเข้ามา มักจะจับไตรลักษณ์ได้แต่ต้น แต่จริงๆ
    แล้ว ไตรลักษณ์นั้นไม่ใช่ของที่เห็นง่าย เพราะมันเป็นตัวเดียวกับการเห็นแจ้ง
    อริยสัจจ4 ....การเห็นในช่วงแรกๆ จึงเรียกว่า มนสิการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  2. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เราไม่เข้าใจท่านว่าท่านหมายว่าเราติดสภาวะใดอยู่
    ท่านเห็นว่าเราสรรเสริญพของเทวดา พรหม อรูปพรหม กระนั้นหรือ?
    กามวจรภูมิ คือ เทวดา มนุษย์ และอบายทั้งหลาย
    ส่วนพรหมนั้น เป็น รูปาวาจรภูมิ ดูเหมือนปริยัติท่านจะไม่แม่นนัก
    การปฏิบัติธรรมไม่ว่าด้วยวิธีการใด เป้าหมายคือพ้นไปจากสามภพนี้อยู่แล้ว(กามวจร, รูปวาจร, อรูปวาจร)
    ใครๆ ก็ชี้ให้ออกจากภพเหล่านี้ เพราะเป็นการติดยึดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
    นิพพานไม่ใช่ขั้นบรรได แต่มีลำดับขั้นในการปฏิบัติ ผู้ที่เข้าถึงอาจขึ้นลิฟท์ไปเลยก็ได้ จะเห็นมากในสมัยพุทธกาล
    เราภาวนาอยู่ในภพมนุษย์อยู่แล้ว ท่านคิดไปถึงภพไหน
    เรายังไม่เห็นประเด็นในการชี้ของท่านเลย ว่าท่านต้องการอะไร...
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เพื่อไม่ให้เป็นการเหนื่อยยากแก่คุณวิมุตติ

    การที่เรากล่าวอะไรไปมากมาย อาจจะเป็นเรื่องความฝุ้ง ความไม่รู้ ความไม่ได้เรื่อง
    อีกคราหนึ่ง

    มันก็แค่ Bull-Shit อีกก้อนหนึ่ง ก็ขอออกตัวไว้ จะได้ไม่ต้องเหนือยยากแก่ใจพี่
    วิมุตติที่จะต้องมาออกปากตำหนิ

    ขอบพระคุณที่อดทนอ่าน

    * * * *

    แหม เสียดายที่โพสช้าไปหน่อย คุณจึงได้เหนื่อยยากไปเสียแล้ว กราบขออภัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  4. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ท่านเอกเข้าใจคลาดไปแล้ว คิด พิจารณา ย่อมไม่เหมือนกัน
    สมาธิ วิปัสสนา ไม่ใช่สิ่งที่เราแยกไม่ออก
    การทวนนั้นเป็นการตามรูปลงไปถึงก้นบึ้งของเหตุ จากผลที่เห็นต่อหน้า
    ท่านยังไม่เข้าใจเราเลย อย่าเพิ่งรีบสรุป...
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สรุปนะ ตอนนี้เอกวีร์ กำลังพาคนลงนรก ใครตามเอกวีร์ ผมเห็นเพี้ยนไปเยอะแล้ว
     
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ไม่พึงกล่าวอย่างน๊านนน
    ความเข้าใจของท่าน แตกต่างจากความเข้าใจของเรา
    อาจเป็นเพราะเราเชื่อบุคคลที่คอยชี้นำเรามากกว่า
    แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อเพราะศรัทธาแบบคนโง่เขลา
    ปฏิเวธที่ผ่านมา ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน
    ท่านเอกมีเมตตาพยายามดึงเราออกมาจากบุคคลนั้นโดยการแสดงธรรมอย่างยืดยาว ทำให้ท่านต้องเสียเวลาเป็นอย่างมาก
    เราเองรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำในการเสียสละเวลา และความพยายามในการชักนำให้เข้าสู่ทางที่ท่านเห็นว่าถูกต้อง เป็นมรรคที่แท้จริง
    คนโง่อย่างเรา ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องพิสูจน์ก่อน
    ส่วนท่านเอกก็ ถนอมสุขภาพด้วย...
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ตอบยากครับ น่าจะถึงทางแยก แต่ยังแยกกันไม่ออก หรือจะไม่แยกก็ได้ แต่ไม่แยกก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ คือ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความบังคับไม่ได้ เห็นความฟุ้งซ่าน เห็นทั้งความอยากจะให้มันนิ่ง หรือเห็นความอยากให้มันเห็น ^-^
     
  8. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    วาจารุนแรง เราก็มองออก แต่สิ่งที่เราเห็น คือความซื่อตรง แตกต่างจากการด่าด้วยโทสะ

    นี่คือสิ่งที่เราเห็น ท่านเอกคงเห็นแตกต่าง ก็อย่าหาว่าออกมาเชียร์กันล่ะ...
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ใช่ไม่เข้าใจ สภาวะที่คุณทำนั้น เรียกว่า น้อมไปเพื่อญาณทัศนะ แต่
    มันรู้แล้วก็เท่านั้น ตรงนี้จะเข้าใจหากไปอ่านกระทู้คุณดังตฤณ มันรู้ไป
    ก็เท่านั้น มันลืมได้หมด

    ส่วนที่ผมชี้นั้น เรียกว่า ให้รู้แต่ปัจจุบัน ไม่ต้องไปน้อมรู้อดีต หรืออนาคต
    หรือ การดูเหตุปัจจัยของการเกิดดับ มันไม่มีประโยชน์อะไร มันยังเป็น 0 ได้

    แต่การรู้ลงที่ปัจจุบันนั้น สภาวะจิตที่กำลังน้อมไปนั่นแหละ เอามาระลึกรู้
    เพื่อเจริญ สติ ให้ไว มันสำคัญกว่า

    เมื่อ สติ ที่ได้จากการเจริญการระลึกรู้สภาวะเคลื่อนไปของจิต เมื่อทำได้
    ตั้งมั่น ก็จะเกิด สมาธิขึ้นมาอีกชนิดให้รู้ว่า มีอยู่ ต่างลีลากัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เขาจำเป็นต้องใช้ ภาพอย่างนั้น ต้องอาศัยความรุนแรงแบบนั้น มันเป็น
    เรื่องธรรมดาในการล้อมคูค่าย และรักษาพล

    ความร้อน ความหนัก ของหิน และน้ำมันร้อน ที่ราดรดลงมา เราก็คงยัง
    ไม่ยี่หระง่ายๆ คุณวิมุตติคงทราบเจตนาเราดีจากสหายอีกท่าน

    เราก็จะทำแบบนี้แหละ อย่ากลัวไป ดาบนั้นเราไม่ได้ถือด้วยมือ เราจะ
    แค่คาบไว้ในปากแล้วปีนกระไดไปดึงคุณวิมุตติ [​IMG]

    วันนี้ ทำวาทะชักชวนแค่นี้นะ วันน่า ปะกันใหม่ เมฆหมอกมันหนาและ [​IMG]
     
  11. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    เห็นความไม่เที่ยง เห็นความบังคับไม่ได้ เห็นความฟุ้งซ่าน เห็นทั้งความอยากจะให้มันนิ่ง หรือเห็นความอยากให้มันเห็น


    ..เป็นเช่นนั้นแล..

    ..พอเห็นดังนี้ก็กำหนดรู้มัน..

    ..แต่ไม่ได้ไปพิจารณาต่อ..

    ..มันก็กลับมาพุทโธเหมือนเดิม..

    **********************************

    ...แสดงว่าผมไม่ได้ดูจิต..

    ...ดูพุทโธแทน..อิอิ..
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ดูจิตนั้นแหละ แต่ไม่เรียกว่าดูจิตก็ได้ เพราะยังไม่เห็นถึงจิต

    คำว่า พุท-โธ นี้ก็คือ จิตสังขาร คือ เป็นสังขารของจิตที่มันทิ้งไว้ให้
    ในมโนจิตให้อาศัยระลึกรู้ เพื่อกลับมายังฐาน แต่ยังเป็นฐานที่เกิดใน
    มโนทวาร เป็นการปิดรูเหี้ยตามพระสูตรพระใบลานเปล่า การบริกรรม
    พุท-โธ นั้นยังผลิกไปเป็น พุทธานุสติ ได้ด้วย พระท่านจึงใช้เป็นอุบาย
    ธรรม เพราะแม้ฝึกไม่สำเร็จอย่างน้อยพุทธานุสติไม่ทำให้ตกต่ำแน่ๆ

    จึงเป็นภูมิปัญญาที่พระท่านเมตตา แต่ต้องซ้อมฝึกกราบพระแล้วดูใจด้วย
    นะว่า มีพุทธานุสติเกิดหรือเปล่า จะมีความรู้สึกว่าได้กราบที่เท้าพระ
    พุทธองค์ ตรงนี้เห็นแล้วก็อย่ายึดนะ ไม่งั้นเจ้า สังขารขันธ์ มันจะแอบ
    ปรุงภาพพระพุทธองค์ให้เห็นเป็นนิมิต อาจจะโดนมันหลอกได้

    ก็ต้องทำมรณะสติมาตัดตัวตนอีก ก็จะพอดีตามหลักสูตร

    เมื่อพ้นการทำทั้งหมด ก็ค่อยมีโอกาสเห็นจิตอีกที ส่วนพวกดูจิตนั้น
    ก็คืออาศัยจิตสังขารเหมือนกัน แต่ไม่ได้ปรุงดีขึ้นมาดู จะอาศัยตามที่
    มันเกิดดูไปตรงๆ ดูไปเรื่อยๆ ค่อยไปเห็นจิตจริงๆอีกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พูดอีกแบบก็คือ

    ที่คุณกลับใจใช้จะเป็น

    ทำความสงบ แล้วปล่อยความสงบ พอจิตเคลื่อนก็ระลึกรู้ความฝุ้งไปของจิต
    พอระลึกรู้ทันเห็นสภาวะ ก็จะรู้จักสภาวะ ระลึกรู้ ทำเนืองๆ ก็จะเห็น ฐานของการระลึกรู้

    ฐานของการระลึกรู้ เรียกว่า ใจ (ตามหลวงปู่เทสก์ ) พอเห็น ใจ แล้วก็จะภาวนาเป็น
    โดยการทำให้ ใจ นั้นมันตั้งมั่น เพื่อดูการเคลื่อนไปของใจ อีกทีหนึ่ง จึงพบสภาวะที่
    พ้นภพ

    * * *

    ส่วนทางคนอื่น โดยเฉพาะ คุณกว้าน กับ หมอหมา อันนี้เขามีอาชีพที่ต้องใช้สมาธิ
    ในการทำงานอยู่แล้ว โดยเฉพาะหมอหมา การจะลงมีด ลงเข็มลงไป จะใช้ทั้งสมาธิ
    และญาณหยั่งอยู่แล้ว กิเลสน้อยเป็นทุน เพราะถ้ากิเลสมากทำงานไม่ได้ ไม่มีทางจะ
    ไปผ่าตัดรักษาอะไรได้ แต่เขาก็ไม่ใช่ สงบ ลงไปเสียทีเดียว แต่เป็นการเห็นความฝุ้ง
    ของปัญญาที่มันต้องทำงาน ต้องสั่งการ ต้องเลือกเบอร์คีบ กรรไกร การซับ ชนิดยาที่
    ถูกกับสภาวะของพยาธิสภาพ ดังนั้น จึงเป็นพวกเห็นความฝุ้ง แล้วจึงเห็น ใจ ที่ตั้งมั่น
    รู้ พอเขาเห็นว่า อ๋อ นี่เอง ใจ เขาก็เจริญดูใจ ที่มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา พอเห็นว่า
    ใจมันเคลื่อนไปเคลื่อนมาตลอดเวลา ไม่สามารถคุมได้เลย ก็จะเกิดการเห็น ทุกขสัจจ
    เห็นสภาวะ พ้นภพ ได้เหมือนๆกัน

    (คุณกว้านนั้นเขามีอาชีพผ่าตัดคอมฯ)
     
  14. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96

    ...แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ได้หลอกเราว่า..

    ...เป็นจิตที่แท้จริงของเรา..
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอกวีร์ ของดี ไม่ต้องชวนหรอก

    ส่วน คนที่หลงตาม มารไป ด้วย คำพูด ที่หวานหู

    รื่นรม สนุกสนาน นั่นแหละ วิชามารทั้งสิ้น

    แต่ ธรรม นี้อยากจะดูว่า ใครมันจะอดทน ใครมันจะผ่านแหวกสมมติ มาเจอธรรมที่แท้จริงได้สักที
     
  16. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    การบริกรรมพุทโธนี่ เป็น พุทธานุสติ
    จัดอยู่ใน อนุสติ 10

    ยังจัดเป็นการดูจิตไม่ได้
    เพราะการดูจิต
    จัดอยู่ในสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม

    แต่จะเข้าสู่สติปัฏฐาน 4 ได้ สติจะต้องมีพละ มี อินทรีย์ พอสมควรแล้ว
    จึงจะสามารถ ตั้งสติใน สติปัฏฐาน 4 ได้
    หากสติไม่มี พละ ไม่มี อินทรีย์ พอ
    สติจะตั้งในสติปัฏฐานไม่ได้

    เพราะฉนั้นการบริกรรมพุทโธ หรือ พุทธานุสติ
    ที่จัดเป็น อนุสติ นี้
    จึงเป็นการทำให้ สติ มีพละ มี อินทรีย์ เพียงพอ
    ต่อการตั้งสติ ในสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง

    จึงเป็น อนุสติ คือ เบื้องต้นแห่งสติ
    ยังไม่จัดเป็น สติ
    ในสติปัฏฐาน 4

    ดังนั้นการกล่าวว่า การบริกรรม และ ดูพุทโธ
    จัดว่าเป็นการ ดูจิต จึงผิด

    ส่อให้เห็นว่า ผู้กล่าวเช่นนี้รู้จักแต่ปริยัติ
    แต่ยังปฏิบัติไม่ถึง

    ที่กล่าวมาจึงไม่ได้มาจากการรู้เองเห็นเองอันเป็น สันทิฏฐิโก
    แต่มาจากการด้นเดาเกาหมัด ในตนเอง
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้าเป็นแบบคุณกลับใจ ก็ต้องให้จิตมันเคล้าอยู่ที่ จิตสังขาร ชนิดเดียว

    ให้ลงไปที่ ชนิดเดียว ให้ได้ หลังจากลงไปได้ มันจะละการบริกรรม

    พอละการบริกรรมจึงจะมองเห็นว่า จิตเคลื่อนเข้าไปเกาะจิตสังขารอยู่

    พอมองออกว่าจิตเคลื่อนไปเกาะจิตสังขาร ซึ่งเป็นอดีต เห็นการดับไป
    ของมันจึงรู้ว่าเป็นอดีตก็จะเกิดการถอยการรู้

    พอถอยการรู้ มันจะไม่เข้าไปจับ แต่หยุดที่รู้ ตรงนี้คือปัจจุบัน ที่ไม่เคลื่อน

    เมื่อเห็น ปัจจุบันที่ไม่เคลื่อน เรียกว่า เห็นใจ เห็นฐานรู้ของสติปัฏฐาน

    เมื่อเห็นตรงนี้เนืองๆ ก็จะเริ่มติดประคองการรู้ อีกครั้งหนึ่ง บางคนตรงนี้
    กลับเอาไปควานการรู้(หิวอารมณ์) แล้วไม่เห็นว่าหิวอารมณ์ ไปพอใจกับ
    การพิจารณา จริงๆ มาถึงตรงนี้ให้ระลึกรู้ความไม่เที่ยงของผู้รู้ ( หลวงพ่อพุธ)

    จึงจะเป็นการเจริญปัญญา เพราะเป็นการเห็นเพียรเห็นไตรลักษณ์(ไม่ถือว่า
    เห็นจริงนะ มันจะเห็นแต่การสิ้นไป ล่าช้าไปหลายขณะจิต ไม่ได้เห็นไตรลักษณ์
    ในปัจจุบันขณะ)

    พอมาเห็นไตรลักษณ์ของผู้รู้ได้ในปัจจุบันจิต ก็จะเกิดการถอยออกมาอีก
    ครั้งหนึ่ง เกิดการไม่ยึดมั่นในจิต(วิญญาณ) ก็จะเห็น จิต ที่แท้ได้ ตรงนี้

    และอาจจะมีการประคองการรู้ตรงนี้อีก ตรงนี้จะตรง สุญญตาวิหาร ในมหาญาณ


    พอเห็น จิต ที่แท้ได้ ตรงนี้จะต้องอาศัยบารมีที่มีอยู่ ที่สะสม เพื่อการชำแรก
    อาสวะออกไป ก็จะถือว่า เห็นจิตแจ่มแจ้ง (รอบแรก หรือ อาจจะหลายรอบ
    ก็ขึ้นกับบารมี )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  18. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    นี่อีกกรณี ที่แนะนำคนผิด ๆ

    หากกล่าวว่าพุทโธ เป็นจิตสังขาร
    การให้จิตคิดปรุงพุทโธบ่อยๆ ด้วยการบริกรรม
    จะทำให้ สติมีกำลังมากขึ้น
    จนมีสติเด่นขึ้น เป็นสตินทรีย์(หลวงพ่อพุธ)

    เมื่อสติมีกำลัง ให้สติจับที่คำบริกรรม หรือ พุทโธ
    แล้วตามรอยไปว่าพุทโธมาจากไหน

    เมื่อพุทโธเป็นจิตสังขาร คือ พุทโธ ออกมาจากจิต
    และเมื่อมีสติติดตามไปอย่างสืบเนื่อง
    จะถึงตัวผู้รู้คือจิต

    นี่คือวิธีที่ถูกต้อง ไม่สงสัย
    เพราะปฏิบัติมาแล้ว
     
  19. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ลบดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เรื่องวิธีการ ของเอกวีร์ ผมคงไม่อยากจะพูดอีกสักเท่าไร เพราะเอกวีร์พูดไม่รู้เรื่อง

    แต่ ผมอยากจะให้ตั้งข้อสังเกตุ ในผล ที่เอกวีร์ได้
    ผลที่ คนที่ศึกษากับเอกวีร์ได้ไป

    บุคคลเหล่านั้น ไม่ได้มีการพัฒนา ด้านธรรมขึ้นเลย
    โดยเฉพาะเอกวีร์ พูดวกไปวนมา ก่อนหน้านี้จับเหตุวางธรรมได้แม่นยำ เดี๋ยวนี้กลายเป็น จับฉ่าย กลายธรรม นั่นแหละครับ ผล ที่ท่านได้

    ซึ่ง ผลแบบนี้ ได้แผ่ไปถึง ผู้เข้าร่วมขบวนการ อย่างเห็นได้ชัด

    นั่นแหละครับ ส่วนคนที่โดนมาร ยุแยง อันนี้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม
    นั่นแหละ ผล จะเป็นตัวบอก
     

แชร์หน้านี้

Loading...