ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เรียนรู้จากร่างกายและจิตใจค่ะ
    มันเป็นตำราเล่มใหญ่ของนานา

    นี่ละของแท้ ของใครของมันนะจ๊ะ
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ก็เมื่ออ่านมาถึงตอบจบแล้วถ้าพี่ศรีจะไม่เล่าต่อ ก็จะขาดอรรถรส

    มีคณาจารย์ ท่านหนึ่ง ชื่อเสียงโด่งดังมากในนิกายเซน

    พอท่านจวนจะตาย ลูกศิษย์พากันไปออ ขอร้องให้ท่านแสดงธรรมขั้นสุด

    ยอด ท่านอาจารย์พูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง

    ฉันยังไม่อยากตาย ลูกศิษย์ได้ฟังไม่ถนัด ว่าหาอาจารย์สั่งเสียอะไร

    อาจารย์ ก็บอกให้ลูกศิษย์ ไปหยิยพู่กันกับกระดาษมา และท่านก็เขียน

    คำตัวใหญ่ ๆ ให้ศิษย์ทุกคนได้เห็น ท่านพูดความจริงก่อนท่านจะเสีย

    ฉันยังไม่อยากตาย ลูกศิษย์ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาที่เห็นว่า

    อาจารย์ของตนจะแสดงความกลัวตาย ออกมาให้ศิษย์ได้เห็นถึงขนาดนี้ แทน

    ที่จะแสดงธรรมะที่อาจหาญ พร้อมที่จะเผชิญกับความตายอย่างกล้าหาญ

    สมกับถานะที่ได้เป็นอาจารย์ใหญ่
     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    มีอาการวูบ ๆ วาบ ๆ เสียวซ่าน เหมือนร่างกายตกจากที่สูง

    ยังสามาถเสวยเวทนาทางจิตได้อยู่ นี่พี่ศรีพูดถึง ตอนได้อภิญญา ๕

    พอจิตเข้าภูมิ วิปัสสนาญาณ ก็สำเร็จอภิญญา ๖ เวทนาในจิตไม่มี เวทนาในจิต

    หายลิบ ถอดถอนออกไปเลย แบบสมุทเฉกประหารกิเลสขอรับ

    ความรู้สึกทางเวทนา

    ปุถุชน จะเสวยเวทนาได้สองทาง ทางร่างกาย และ จิตใจ

    พระอริยบุคคล ไม่มีเวทนาในจิต มีแต่เวทนาทางกาย

    ยังมีเจ็บไข้ ไม่สบายได้อยู่ แต่จิตพระอริยบุคคล ไม่เสวยอารมณ์เวทนาในจิต


    ป.ล. ศรีอาริยเมตตรัย
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ท่านศรี ปรารถนาพุทธภูมิหรือครับ...
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    ขอรับพี่ศรีจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  6. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    พี่ศรีขอรับ...มีการบรรจุรอคิวเยอะหรือเปล่าครับ..และคิวพี่ศรีกำหนดกาลออกมาหรือยังครับ....
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    ถ้านับลาดลงตามลำดับไหล่

    ที่ได้รับรัฐไทยเทศพยากรณ์แล้วในอนาคตวงค์ พี่ศรีเป็นองค์ที่ ๑
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ท่านศรีฯ แสดงว่า จิตออกนี่ไม่เสวยเวทนาเลยเหรอ

    ความหมายว่า เสวยเวทนานี่หมายความว่ามันอินหรือไหลกับเวทนาหรือเปล่า
    ....หรือว่ามันไม่รับรู้ใดๆเลยท่านศรีฯ
    ....ผมเคย ออกไปลอยอยู่บนก้อนเมฆ ปลายเท้ารู้สึกเหมือนยืนอยู่บนปุยนุ่น พอตกใจเลยตกลงมา พอลืมตามันจุกๆหน่อย ... ขนะที่จิตแยกจากกาย ผมเลยเข้าใจว่า มันยังมีความรู้สึก และยังมีความจำ สังขาร วิญญาณ(เครื่องรับรู้อยู่ด้วย) ไม่มีแต่รูปธาตุที่รวมกันเป็นคน
     
  9. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155


    ท่านนานาฯครับ การที่พระพุทธองค์ทรงออกผนวช<o>:p</o>
    เพื่อค้น “หา” อมตะธรรมใช่มั้ยครับ<o>:p</o>
    เป็นการหาทุกข์หรือเป็นการหาวิธีพ้นทุกข์ครับ<o>:p</o>
    <o>:p</o>
    <o>หาวิธีหลุดพ้นไงคะ ช่วงแรก ท่านก็ลองผิดลองถูก ก่อน การพ้นทุกข์ เป็นความเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริง หลังจากท่านหาทุกข์ทดสอบทุกข์ จนเข้าใจว่าหลุดพ้นเป็งัย
    รอดจากเครื่องพันธนาการทำอย่างไร
    </o>
    ท่านนานาฯครับ ต้องขอชมเชยจากใจจริงครับว่า
    เป็นคนอาจหาญมากยิ่งกว่าผู้ที่ชอบโชว์ภูมิรู้ชอบสอนอย่างเดียวเสียอีก<o>:p</o>
    ที่กล้าตอบทั้งที่ไม่ได้ถามเลย ดีครับที่ตอบมานั้นถูกครับ<o>:p</o>
    เพียงเป็นการรู้ปัจจุบันกาลเท่านั้น แต่ยังไม่จัดว่าเป็นธรรมครับ<o>:p
    ขอบคุณค่ะ ที่ชม ที่บอกว่าเห็นลมหายใจเข้าออกนานา จะบอกว่าไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ทีเกิด มีดับ ตลอด จนกระทั่งมีความคิดว่าทำอย่างไรหนอเราถึงจะไม่มีลมหายใจ แต่ตั้งอยู่ได้ ที่นานาต้องค้นหาต่อไป
    </o>
    <o></o>
    ไหนๆก็ตอบแล้วว่าปัจจุบันกาลเป็นอย่างไร?<o>:p</o>
    ก็ช่วยสานต่อให้ถึงปัจจุบันธรรม ซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องความเป็นกลางที่แท้จริง <o>:p</o>
    <o>:p</o>
    <o>:p</o>
    ท่านานาฯครับ ผมระลึกไม่ออกจริงๆว่า<o>:p</o>
    ผมไปร้องขอให้ท่านมาให้ตามใจกิเลสตนเองเมื่อไหร่<o>:p</o>
    ทุกวันนี้ที่ต้องคอยซักซ้อมการเข้าถึงปัจจุบันธรรมวันละหลายรอบ<o>:p</o>
    เพียงต้องการลดทอนกิเลสตนเองลงเท่าที่จะทำได้<o>:p</o>
    เพื่อให้ความรู้เห็นที่เย็นสบายๆผุดขึ้นมาได้บ่อยๆเนืองๆ<o>:p
    อันนี้ไม่ตอบแล้วเดี๋ยวยึดยาว
    </o>
    <o>:p</o>
    <o></o>
    ท่านานาฯครับ ที่พูดมานี่ต้องการอะไรกันแน่ครับ <o>:p</o>
    ผมไม่อยากคาดเดาครับว่า ท่านได้แล้วซึ่งปัญญาวิมุตติ<o>:p</o>
    หรือท่านที่ว่าได้ปัญญาวิมุตติกันแน่ครับอันนี้ไม่ขอตอบแล้วกันนะ
    การอธิบายในบอร์ดมันเสี่ยงเกินไป เพียงแต่ถามความเห็นท่านเฉย ๆ
    <o>:p</o>
    ผมขอตอบตามสไตล์ผมก็แล้วกัน<o>:p</o>
    ก่อนจะพูดถึงปัญญาวิมุตตินั้น ท่านๆที่กล่าวมาได้ซึ่งเจโตวิมุตติแล้วหรือครับ<o>:p</o>
    ถ้ายังเข้าไม่ถึงเจโตวิมุตติ อย่างคล่องแคล่วจนชำนาญเป็นวสีแล้ว<o>:p</o>
    อย่ามาพูดถึงเรื่องปัญญาวิมุตติเสียให้ยากเลยครับ พวกโม้อมตะทั้งนั้น

    <o>:pนานาไม่เคยมองใครโม้หรอกนะ การแสดงธรรมไม่เคยดูถูกความคิดใคร
    เพียงแต่บางครั้ง การไม่เห็นด้วยไม่ใช่การดูถูก อันนี้ต้องพิจารณาจากปัญญาจะบอกเราเงียบค่ะ
    </o>
    <o>:p</o>
    ดีครับท่าน ที่ยังรู้ตัวว่าต้องเรียนอยู่ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ตามประสาคนชอบฟัง<o>:p</o>
    แล้วมีข้อข้องใจว่า เรียนยังไงครับ?ตั้งแต่นานากำลังปฏิสนธิ<o>:p</o>
    เป็นไปได้หรือครับว่ากำลังปฏิสนธิอยู่นั้น ใช่เป็นการเรียนรู้ของท่านนานาหรือครับ<o>:p การปฏิสนธิ เป็นการเรียนรู้โดยตัวเราเอง ตั้งแต่ปฏิสนธิแล้วแบ่งเซลล์ไปเรื่อย ๆ จนเป็น บราสโตซีส แล้วเคลื่อนย้ายมาฝังที่มดลูก จริงเราเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอด เพียงสติยังไม่เกิด มีกรรมเป็นที่มา แล้วแต่มุมมอง การเรียนไม่ใช่สติเรียนรู้เสมอไป มีเยอะแยะไปค่ะ การเรียนของไทย แตกต่างจาก อินเตอร์มาก เขาไม่เน้นสัญญาเท่าไรหรอก เขาเน้นเราได้ปัญญาจากการเรียนรู้หรือเปล่า แตกยอดเองได้ไหม พัฒนาตัวเองต่อไปในทางที่ถูกหรือเปล่า โดยไม่ต้องไปย้อนอดีตว่า อาจารย์พูดว่าอะไร เดินด้วยตัวเอง เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ยอมรับและเข้าใจผลที่เกิด แล้วศึกษาอย่างต่อเนื่องไป </o>
    <o>:p</o>
    แม้ปฏิสนธิแล้ว และอยู่ในครรภ์ตามกาลนั้นก็ยังเรียนรู้อะไรไม่ได้ครับ<o>:pก็ต้องเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลง การหิว ตั้งแต่กินไข่แดงตัวเองจนหมด จนกระทั่งเรียนรู้
    ว่ารับสารอาหารจากแม่ ไม่งั้นเราจะไม่เจริญต่อจะหยุดแค่นั้น
    </o>
    <o>:p</o>
    ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำถามเพื่อประเทืองปัญญาว่า<o>:p</o>
    พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนเพียงแค่เรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้นใช่มั้ยครับ<o>:p
    จริงแล้วพระพุทธเจ้าสอนเยอะ แม้กระทั้งการครองเรือน การงาน การอยู่ในสังคม
    การทำบุญที่ถูกต้อง แต่หลัก ๆ ก็จิตกับอา
    </o>
    รมณ์ท่านนานาฯครับ การที่พระพุทธองค์ทรงออกผนวช<o>:p</o>
    จ้าท่านทรงสั่งสอนเพียงแค่เรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้นใช่มั้ยครับ<o>:p

    ตรงนี้แหล่ะ เราต้องตอบแทนบุญคุณ คุณพ่อคุณแม่โดยธรรมมะ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่สัมผัสได้ด้วยใจ และกาย

    จาก น้องนานาโม้ โคตรนาน
    </o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พี่ศรีรู้ดีในทางธรรม

    ที่ท่านวิษณุ เสวยเวทนาอยู่ ด้วยเพราะจิตยังไม่แยกออกจากกาย

    อย่าถาวร อันเป็นธรรมดา ของผู้ปฏิบัติอยู่ ในรูปฌาน 4 อรูปฌาน 8

    ท่านวิษณุขันธ์ 1 คือ อรูปพรหม ท่านนั้นไม่มีรูปจริง แต่วิญญาณอุปาทานขันธ์

    ของท่านยังไม่ดับ การเข้าการออกของพี่ศรีนี่ไม่เสวยเวทนาเลยนั่นคือความ

    จริง ในการเป็นขึ้นมาภายหลังของพี่ศรี วิญญาณดับ ภพชาติดับ

    อวิชชาดับ ถ้าจะอุทานออกมาว่า นี่คืออาการที่จิตยิ้มเอง ชาติสิ้นแล้ว

    อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจอื่นเพื่อความสงบไม่มีอีกแล้ว
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ท่านนานาฯครับ ทำไมพระองค์ต้องหาทุกข์ทดสอบทุกข์ด้วยครับ
    ที่พระองค์ทรงทดลองมาหลายวิธีนั้นไม่ใช่หาทุกข์ทดลองทุกข์
    แต่ที่ทำไปเพราะคิดว่าวิธีเหล่านั้นจะดับทุกข์ได้ต่างหาก
    เมื่อทดลองแล้วกลับไม่ใช่หนทางดับทุกข์ได้ครับ

    เมื่อพระองค์รู้ว่าไม่ใช่หนทางที่ถูก ทรงเริ่มโดยอธิษฐานจิตในวันวิสาขาบูชา
    ว่า ถ้าเราไม่บรรลุอมตะธรรมแล้วพระองค์ท่านจะไม่ลุกขึ้นจากการนั่งคู้บัลลังก์นี้
    ทุกข์ต้องค้นหาต้องทดสอบด้วยหรือครับ ทุกวันนี้ยังทุกข์ไม่พออีกหรือ

    ทุกข์มีแต่ต้องกำหนดรู้ใช่มั้ยครับ เมื่อรู้แล้วต้องละให้เป็นด้วยครับ
    รู้แล้วละไปเป็นก็เช่นพวกขี้เหล้าเมายาทั้งหลายนะครับ
    ที่รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำอยู่นั้นไม่ดี แต่ไม่มีพลังพอที่จะละต่างหาก

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านนานาฯครับ การที่รู้จุดสัมผัสที่ลมกระทบ ในทางปฏิบัติสมาธิ เค้าเรียกว่ารู้เห็น
    เข้ายาวก็รู้ ออกยาวก็รู้ เข้าสั้นก็รู้ ออกสั้นก็รู้ฯลฯ ตอนไหนครับที่เกิดดับ

    ท่านก็รู้อยู่ที่จุดที่ลมกระทบด้วยการจดจ่อและจดจำด้วยสิครับ
    ให้ดูลมเข้า-ออก ไม่ต้องตามลมเข้า-ออก รู้ว่าเข้า-ออกก็พอนะครับ
    อย่าให้จิตแว๊บออกจากจุดนั้น เพียรประคองไว้(สัมมาวายามะ)

    ท่านก็จะเห็นลมที่เข้า-ออกนั้นแสดงไตรลักษณ์ให้เห็นครับ
    เพราะลมหายใจทนต่อการเพียรเพ่งไม่ได้หรอกครับ
    ลมจะค่อยๆละเอียดไปเรื่อยๆครับ ละเอียดจนกระทั่งสัมผัสไม่ได้เลยครับ(หยุด)

    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ข้างบนผมพูดไว้แล้วครับ
    ขบวนการที่ปฏิบัติจนลมหยุด
    ความคิดก็หยุดตามไปด้วยครับ
    เมื่อมีสติ(สัมมา)กำกับอยู่ จิตในขณะนั้นย่อมเป็นกลางครับ

    ก็ถือเสียว่าเล่าสู่กันฟังเท่านั้น แต่ควรออกตัวไว้ด้วยว่า
    ควรใช้วิจารณญาณในการรับฟังด้วย คงไม่มีใครกล้าว่าอะไรหรอกครับ

    ;aa24
     
  14. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ทดสอบโดย อดอาหาร ไม่ขยับกาย นานาเรียกทดสอบทุกข์ ก็พระพุทธเจ้าท่านต้องทราบให้ชัดเจนว่าทุกข์เป็นงัย ท่านแสวงหาตั้ง 6 ปี พอท่านจะตรัสรู้ใช้เวลา แค่คืนเดียวใช่ไหม ท่านต้องแสวงหาการพ้นทุกข์นานเป็นเพราะพระพุทธเจ้าท่านไปล้อเลียน พระปัจเจกใช่ไหม ถ้านานาจำไม่ผิด

    การกำหนดทุกข์ นานาจะใช้เวลาสมถะสมาธิคือรับรู้ทุกข์เวทนาทางร่างกาย
    นี่นานาเรียกว่าการกำหนดทุกข์
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ผมเองก็ไม่ได้ดูถูกใครทั้งสิ้นนะครับ แต่ที่ต้องพูดออกมาก็ด้วยเมตตา
    เพื่อเตือนผู้ที่คิดว่าได้ซึ่งอะไร ให้ลองพิจารณาใหม่ก็เท่านั้น

    ความจริงก็คือความจริงครับ ท่านที่ไม่ได้เจโตวิมุตติมาก่อนหน้านั้น
    ไม่อาจเข้าถึงปัญญาวิมุตติได้หรอกครับ
    ต้องมีเจโต(จิต)วิมุตติเป็นฐานก่อนครับ
    ลองศึกษากับครูบาอาจารย์ เรื่องเจโต(จิต)วิมุตติเสียใหม่
    ไม่ใช่อย่างที่ในนี้คุยๆกันครับ

    ;aa24
     
  16. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เดี่ยวกลับมาตอบต่อ ตอนเย็น ๆ ย้ำอีกนะตอนเย็น ๆ นะจ๊ะ
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านนานาฯครับ ท่านกำลังคุยกับผมคนละเรื่องหรือเปล่าครับ
    รู้ทางโลกหรือรู้ทางธรรมครับ

    ถ้าปัญญาทางโลกต้องคุยกับเพื่อนผม เป็นอาจารย์อยู่จุฬา(เชี่ยวชาญด้านหัวใจ)
    อเมริกันบอร์ดทุนพระเทพฯ ที่หนึ่งประเทศไทยครับ
    และผมเชื่อว่าคนที่เรียนชีวะมาสมัยเรียนมัธยมย่อมรู้ดีเกือบทุกคนครับ

    การเรียนรู้เอาตัวรอดทางโลกนั้น
    ไม่เสมอไปครับที่เอาตัวรอดในทางธรรม คนละเรื่องกันเลยนะครับ

    เจ้าเพื่อนที่ว่าก็ไม่ยกเว้นเช่นกัน
    ส่วนเรื่องการเรียนการสอนนั้นในบ้านเราไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
    เพราะในสมัยก่อนนั้นคนที่จะมาเป็นครูนั้นต้องเป็นเด็กเก่งที่สอบได้ระดับต้นๆ
    แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่
    เอ็นไม่ติด ไม่รู้จะเรียนอะไร ก็เรียนครูกัน แล้วจะเอาคุณภาพมาจากไหนครับ

    เมืองนอกนั้นการจะเป็นครูหรืออาจารย์นั้นไม่ใช่ง่าย
    ต้องผ่านการสัมภาษณ์ปากเปล่า
    ต่อหน้าคณะกรรมการคัดเลือกที่มีคุณวุฒิสูงๆทั้งนั้นครับ
    เด็กเค้าจึงมีคุณภาพคิดเป็น ไม่ติดกรอบความเชื่อง่ายๆ
    ที่สำคัญมากๆคือรักเหตุผลครับ

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ท่านนานาฯครับ ในขณะนั้นเป็นขบวนการทางชีวภาพเป็นความรู้สึกล้วนๆ
    เมื่อออกมาแล้วต่างหากครับ จึงเข้าสู่ขบวนการเรียนรู้ที่แท้จริงครับ


    ที่ท่านพูดมานั้น ก็หนีไม่พ้นเรื่องจิตกับอารมณ์ครับ
    ทั้งหมดนั้นหนีไม่พ้น รัก ชอบ ชัง สงสาร เกียจคร้าน
    อยากได้ใคร่มี ไม่อยากได้ โลกธรรม๘ฯลฯ อารมณ์ทั้งนั้น
    พระองค์ทรงสอนให้รู้จักปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้นให้เป็นใช่มั้ยครับ


    ข้อนี้เห็นดีด้วยครับ มาตาปิตุ คุณํ อหํ วนฺทามิ
    การปฏิบัติสัมมาสมาธิ เป็นคุรุกรรมฝ่ายกุศลให้ผลก่อนครับ
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จ้า ท่านนานาฯ ว่างเมื่อไหร่ก็มาเมื่อนั้น
    เป็นสิทธิส่วนบุคคล บังคับกันไม่ได้

    การสนทนากันตามกาล ต้องขึ้นกับความสะดวกสบายของแต่ละคน

    ;aa24
     
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านนานาฯครับ ท่านกำลังสับสนอยู่นะครับ ที่พระพุทธองค์ทรงทรมานพระวรกายนั้น
    เพราะเข้าใจว่าการทำเช่นนั้นเป็บการทรมานเหตุแห่งทุกข์
    เมื่อทำไป ทำไป ท่านก็พิจารณาเห็นว่าจิตก็ยังเป็นทุกข์
    จึงละความเพียรในการทรมานกายซะ

    ส่วนเรื่องทุกข์เป็นยังไงเด็กที่ไหนก็ตอบได้ครับ
    คือความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ก็เป็นทุกข์

    แม้พระองค์ถูกปนเปรือความสุขทุกเมื่อเชื่อวัน
    จิตท่านก็ยังรู้สึกถึงความทุกข์มีอยู่ จึงเกิดความเบื่อหน่าย
    ออกผชวนเพื่อค้นหาหนทางแห่งความพ้นครับ

    ท่านานาฯอย่ามองเพียงผิวเผิน เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้นที่ตรัสรู้
    ต้องมองก่อนหน้านั้นด้วยสิครับ พระองค์ท่านทรงฝึกฝนอบรมจิต
    จนสำเร็จรูปฌานและอรูปฌาน อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญมากมาก่อน

    ทำให้พระองค์ท่านเห็น จิตที่ยังมีความกระสับกระส่าย
    เมื่อจิตยังยึดอารมณ์ฌาน ที่เป็นรูปฌานที่ปราศจากกาม
    และอรูปฌานที่เป็นนามสัญญา

    เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ท่านก็ใช้อานาปานสติ มาเป็นอารมณ์ภาวนา
    ลมหายใจที่เป็นกายสังขารชนิดที่ปรุงแต่ขันธ์๕อยู่


    สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม

    บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
    เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะ
    วิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมี
    อุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป
    บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
    เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส
    โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ฯ


    ย่อความจาก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสติปัฏฐานสูตร

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...