การนั่งสมาธิ วิปัสนา กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พันตา, 4 มิถุนายน 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จิตเดิมแท้ มีอยู่ ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้สังเกตุกันเอง

    ทีนี้ ถามว่า จิตเดิมนั้นก็ไม่ได้ไปเสวยอารมณ์อะไร รู้ตลอดไหม จะรู้ก็เหมือนไม่ได้รู้

    เพราะว่า พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ เพราะตัวผู้รู้นั้นแหละคืออวิชชาใหญ่

    เพราะว่า เข้าไปรู้ในสิ่งนั้นๆ ย่อมเป็นอวิชชา ก็มโนธาตุ ธาตุนี้มีความสามารถคือ รู้ได้ และรู้อะไร ก็เข้าไปรู้กับ อวิชชา นั้นแหละ หลงไปจนสร้างภพสร้างภูมิ

    พูดไป ก็เอาไปประดับความรู้ แต่อย่าลืมประเด็น

    ประเด็น คือ เราจะแก้ปัญหาอย่างไร กับ การดูจิต คำถามคือ ฝ่ายดูจิตจะยอมรับในธรรมที่ผิดพลาดของตนเองหรือไม่ เท่านั้น ถ้ายอมรับก็แก้ไข ถ้าไม่ยอมรับก็ต้องโต้กันไปจนกว่าจะหมดแรง
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ก่อนอื่นนั้นผมต้องขออนุญาติ....ที่จะพูดอีกครับ..........ต้องออกตัวก่อนนะว่าผมไม่ได้อยู่ฝ่ายใหน......ที่ท่านทั้งหลายกำลังเรียกกันอยู่..........

    ผมเห็นท่านทั้งหลายนั้นมีปัญหากันมามากแล้ว........ต้องยอมรับว่าผมก็มีความเคารพในธรรมของทุกท่าน.......ทั้งของท่าน ธรรมภูต และท่าน ขันธ์........

    ปฐมเหตุคือ......ความคิดเดิมที่ว่าฝ่ายดูจิต....บอกว่าฝึกวิปัสสนาอย่างเดียวนั้นไม่ฝึกสมถะ.........ข้อนี้เมื่อดูผิวเผินแล้วแน่นอนครับ....ผมก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง........เพระว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย........และก็มีปัญหากระทบกันหลายครั้งกับ ท่านนิวรณ์ในอดีต......
    แม้ตอนนี้หากท่านนิวรณ์ยังพูดคำนี้อยู่ผมก็แย้ง.........แต่วันนี้ไม่ใช่......ท่านนิวรณ์ยก สมเด็จพระสังฆราชมา......ก็บ่งบอกได้ชัดว่าเห็นถูกต้องแล้ว..........แม้ข้อเดิมที่ท่านทั้งหลายได้กล่าวไว้ก็แก้ไปแล้ว........จึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องไปแย้งอีก...ใช่ไม.....

    พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวไว้ชัดแล้ว......สมถะกับ วิปัสสนาแยกกันไม่ได้เลย.......

    แต่ในความเข้าใจของท่านนิวรณ์ที่เรียกว่าสมถะยานิก.....กับวิปัสนายานิกอะไรก็แล้วแต่.......ผมว่าก็ไม่ควรที่จะเรียกแบบนี้เหมือนกัน........ความรู้สึกเหมือนแบ่งฝ่าย....ยังไงไม่รู้.........ถึงแม้ว่าครูบาออาจารย์ท่านจะเรียกอย่างนี้ก็ตาม.......ถ้ายกตามธรรมที่...ท่านพระอรหันต์เจ้าอานนท์ กล่าวว่า .......
    [​IMG]
    ปัญหา การเจริญกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถะ และวิปัสสนา ใน ๒ อย่างนี้ จะเจริญสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน ? จะเจริญควบคู่กันไปจะได้หรือไม่ ?

    พระอานนท์ตอบ ว่า
    “....ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
    (หรือ).... เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
    (หรือ).... เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป....
    มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพเจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญกระทำให้มาก ซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด....”

    ปฏิปทาวรรค ที่ ๒ จ. อํ. (๑๗๐)
    ตบ. ๒๑ : ๒๑๒ ตท. ๒๑ : ๑๘๓-๑๘๔
    ตอ. G.S. II : ๑๖๒
    จาก
    http://www.84000.org/true/220.html


    คำว่าสมถะยานิกคือ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า.....
    และพวกวิปัสนายานิกคือ เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า....
    จริงแล้วท่านพระอานนท์ก็...บอกไว้แล้วชัด ว่า ต้องมีสมถะ.......และคำนี้ก็เป็นเพียงแค่บอกลักษณะของพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น(เน้นย้ำถึงการปฏิบัติของแต่ละคน).....ไม่ได้เน้นย้ำการแบ่งฝ่ายเลย.........

    ถ้าเข้าใจตามนี้ก็จะไม่มีปัญหา........แต่การตอบธรรมของท่านนิวรณ์แต่ละครั้ง เหมือนจะบอกเล็กๆว่ามีการแบ่งแยก..........เป็นไปได้ไมครับว่า....ไม่ควรที่จะใช้คำนี้ไปในลักษณะนั้น........

    และเรื่องการที่ท่านทั้งหลายกล่าวถึงพวกดูจิตว่าไม่ถูกต้องนั้นผมว่า.....จริงๆแล้วเราควรที่จะยึดถืงข้อดีกันเอาไว้จะดีกว่า........หากสอนไม่ออกจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ....ผมว่าก็น่าจะอนุโลมได้นะครับ.........
    เดี๋ยวอาจมีคนแย้งผมอีกว่าเขาไม่ได้สอนให้ฝึกสมาธิ..........ก็ต้องตอบไว้ก่อนนะครับ...................ขอถามท่านทั้งหลายที่คิดอย่างนั้นหน่อยว่าที่ท่านปฏิบัตินี่......ถ้าไม่ผ่านสติ......มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร........ยกตัวอย่างนะครับ.......เช่น กรรมฐาน บท อานา ที่เราฝึกกันอยู่ ถ้าท่านไม่ไช้สติ...ไปกำหนดลม.......สมาธิจะเกิดได้ไม.........สมาธิมันไม่ได้ลอยมาเองนะครับ.........สติเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ.......ชัดเจน........ก็เห็นว่ามีปัญหากันตรงจุดนี้.....

    อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอน.......ท่านก็บอกชัด....ว่า.....สติเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ.......มันก็ถูกของท่านแล้วนะผมว่า......แต่วิธีมันอาจต่างไปจากเรา....ที่ฝึกการนั่งโดยตรง........ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็ขอให้ท่านทั้งหลายไปฟังเลย...โดยตรง.........ว่าสิ่งที่ผมพูดมันถูกไม.........ลองฟังแบบโดยรวม......ไม่เอาจุดใดจุดหนึ่งมา.......ผมว่าธรรมไม่เสียนะ......

    ขอเถอะนะครับ....ท่านทั้งหลาย...อย่าไปแบ่งพวกกันเลย....เอาธรรมวินัยนำหน้าดีกว่า.......ถ้าท่านทั้งหลายตั้งกำลังใจตั่งแต่ต้นว่า........กูจะมาแย้งกับมึง.........มึงต้องพูดไม่ถูกอยู่ตลอด...........มึงจะไม่มีวันแก้ไขขึ้นมา........กูจะตามกดมึง.........กูจะช่วยพวกกู...........อย่างนี้ปัญหามันก็ไม่มีวันจบหละครับ..........ท่านเคยสอบดูใจท่านกันบ้างไมว่ามีคำพวกนี้อยู่ข้างในไม..........การตอบธรรมควรตอบแบบเมตตาธรรมจะดีกว่านะครับ......

    ผมโมทนากับทุกท่านที่เข้ามาเพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าพื้นฐานจิตใจของทุกท่านต้องดี.....โมทนากับผู้ที่คิดว่าจะมาแก้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง....ให้ถูกต้อง.....เช่นใดก็ตามในหมู่กัลญาณมิตร....ควรที่จะบอกกันโดยดี.....อันใดผิดก็แก้ให้ถูก.....ความเห็นผิดก็แก้ให้มันถูก...เพราะแน่นอนว่าแต่ละคนศึกษามาไม่เท่ากัน.......เวลาที่ศึกษามาก็ไม่เท่ากัน....ชั่วโมงการปฏิบัติก็ไม่เท่ากัน......ก็บอกกันก็ได้..........สำคัญที่ว่า....ถ้าท่านบอกแล้ว.....ควรที่จะเอาเข้ามาดูบ้างว่าเราเข้าใจผิดไปไม.....ถ้าเข้าใจผิดก็ปลับแก้ให้มันถูก.....ไม่ใช่ยืนกราน....อย่างเดียว.......ว่าของฉันถูก......ปลับเปลื่ยนไม่ได้......

    ควรที่จะให้โอกาศเขาได้แก้ไขบ้าง.......ไม่ใช่กดจนไม่มีทางออกให้เลย.....
    กลายเป็นว่าฝ่ายนั้นต้องผิดตลอดไป.....

    เราทั้งหลายต่างเป็นเสขะ.....ไม่ใช่อเสขะ.........พูดง่ายๆก็คือ...ยังไม่เป็นพระอรหันต์...ที่จะรู้ไปหมด....จบกิจแล้ว.....ก็ยังต้องศึกษาต่อไป.....

    หลวงพ่อปราโมทนย์ท่านเน้นด้าน พระอภิธรรม.....ถ้าท่านไม่ถูกก็ไม่ยาก...ก็ลองไปศึกษาในอภิธรรมดูสิครับ...ว่าท่านพูดผิดไม........ไม่ใช่ไม่ดูไม่แลแล้วแย้งอย่างเดียว.........ถ้าท่านผิดจริงก็ต้องบอกเลยครับว่าผิด.......แล้วยกมาเลยว่าอยู่ตรงใหนข้อใหน วรรคใหน.....เอาอย่างนี้แน่นอนกว่า......แล้วพวกปฏิบัติแนวดูจิตก็ควรเปิดใจ.............แต่ถ้าท่านไม่ผิด.....ไม่แย้ง.......ตามอภิธรรมแล้ว.............ท่านที่แย้งหละครับ......เจอเต็มๆ......ห้ามสวรรค์...ห้ามนิพพานเลยนะ.........

    ยังไงก็ควรที่จะมองประโยชน์เป็นหลักนะครับ......ผมว่า........

    ยังไงใครจะกด..ไม่เห็นด้วยก็ตามสบายนะครับ.........ผมไม่ว่า.....แต่ผมเห็นอย่างนี้.......และคิดอย่างนี้............คือจริงๆแล้วอยากให้สงบสุขมากกว่า..........ศิษย์ตถาคตควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน........เมตตาซึ่งกันและกัน.........ผิดก็บอก.......ปลับแก้ไข....ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว.....ผมว่าดีกว่านะ.............แต่มันจะเป็นไปได้ไม.......

    ;38 ;aa41
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    สายการปฏิบัติที่ท่านต้องระวังกันและสอนผิดจากพระพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุดนู่น .......สายหนอ(ไม่ได้ว่าทั้งหมดนะ...ที่ดีท่านก็มี)......

    บอกเลย.......วิปัสนาเป็นทางหลุดพ้น....สมถะไม่หลุดพ้น....เหมือนหินทับหญ้า........ใครฝึกสมถะ....ไม่ต้องไปฝึก....ไม่เกิดประโยชน์....ไม่ใช่ทาง.........มาฝึกวิปัสนาดีกว่า.......ว่างี้เลยนะ........เต็มๆ....ไอ่ที่เต็มนะ.....มิจฉาทิฏฐิ........ตัวเองฝึกสมถะไม่รู้ตัว........เหมือนบอกว่ากินข้าว....แต่ไม่ได้กินแป้ง...อย่างนั้นนะ...

    แล้วพวกนี้ก็อีโก่จัด........ไม่ฟังใครด้วยนะ........ไล่พูดไปทั่ว.....

    ไล่ตั่งแต่ คณะพระวิปัสนาจารย์ใหญ่ มจร. มาเลย(น่าแปลกใจ...ไม่เคยไปเปิดพระไตรดูเลยหรือไง).....

    ที่ดี...ที่เข้าใจตรงตามพระพุทธเจ้าก็มีนะ....แต่น้อยมากกว่าที่เห็นผิด....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  4. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ความเห็นไม่ลงรอย กัน ไม่จำเป็นต้องเป็นศตรูกัน ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นชาวพุทธแท้ๆ
    เขาย่อมเห็นวิถึทางที่จะปฏิบัติ แต่ก็จะขึ้นอยู่กับวาสนา และบารมีที่สะสมมาว่าจะดำเนินไปทางไหน ใครล่ะ ใครกันจะตัดสินใครได้ ใครได้ศาสนาเอามาเป็นที่พึ่ง เขาย่อมปรับสภาวะธรรมให้เข้ากับการณ์ได้อย่างลงตัว


    เราก็เป็นผู้ปฏิบัติคนหนึ่งยอมรับว่่าไปยังไม่ถึงไหน แต่ไม่เคยไปต่อว่าธรรมใครผิด เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองได้ผิดหรือถูก ระวังแต่ว่าศีลจะทะลุไหม

    การอ่านตำรา เล่มเดียวกัน แต่ละคนย่อมตีความหมายต่างกัน เราตีความหมายของเราแบบนี้ เพื่อนตีอีกแบบ เราดันไปโกธรเพื่อนสะนี่
    "ทำไมตีความหมายไม่เหมือนเราวะ" โห
    โกธรใหญ่เลย สรุปเราบ้าหรือเพื่อนบ้าล่ะเนี่ย

    การรับข้อมูลแต่ละอย่างต้องมีการไตร่ตรอง การละเอียดรอบครอบ ถ้าเอาอันไม่ใช่ไป
    ไม่ต้องไปตะโกนด่าใคร กรุณาด่าตัวเองเถอะ บ้าหอบฟาง

    ใจมนุษย์ย่อมเข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว "กูว่าของกูถูกแล้วนะโว๊ย" ถ้าไม่ใช่ตามนี้จะโวยวายแล้วนะ


    ********

    สงบ สยบ ความเคลื่อนไหว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    หาความสุดโต่งในใจตนเองให้เจอก็พอแล้วววว..

    รู้แล้วก็เพลา ๆ มันลงซะบ้าง อย่าเอาแต่ใจตนเอง

    ถ้าไม่อยากให้ ความคิด คำพูด หรือ การกระทำใด ๆ มันออกมาในลักษณะที่สุดโต่งอีก

    ก็ต้องกลับไปหาใจตัวเองให้เจอ...


    หัดอ่านใจตัวเองให้ออก...


    เราติดอะไร เราหลงอะไร...


    หาความเป็นกลางที่ ..ใจ.. ให้เจอ...


    แล้วปัญหาทั้งหลายก็จะ จบลงที่ใจเรา ได้เอง...



    ขอให้โชคดี ๆ
     
  6. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เรา[​IMG] อวิชาในตัวเรา [​IMG] หลักธรรมของพระศาสดา
    (อยู่ในตัวเราหมดเลย)
     
  7. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    นั่นสิ

    นั่นสิ เห็นท่านถามไปทั่ว พอมีคนตอบ ท่านก็ถามต่อไป แล้วสุดท้ายยังไงเนี่ยะ ยังกะจะมาค้นหาพระอริยะเจ้าในบอร์ดนี้ยังไงยังงั้น
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER>[ แนะนำเรื่องเด่น ] </CENTER></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เอกวีร์*, sriaraya5 </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    มหาประเทศ ๔

    ธรรมะข้อนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไว้
    ด้วยมีพระญาณเล็งเห็นการณ์ไกล ว่า

    เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานเสียแล้ว พุทธบริษัท ๔ จะได้มีหลักตัดสินว่า
    ธรรมวินัยข้อใดที่ใช่, ธรรมวินัยข้อใดที่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระองค์

    ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงที่อานันทเจดีย์ บ้านโภคนคร ดังนี้คือ

    “ถ้ามีภิกษุมากล่าวอ้างว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นวินัย
    พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

    ครั้นแล้วให้พึงเรียนบทและพยัญชนะให้ดี
    แล้วนำไปสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย

    (แสดงว่าพระอภิธรรมปิฎกยังไม่มีในพุทธกาล)

    ถ้าหากลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้
    พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
    นี่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคย์แน่นอน และภิกษุนี้จำผิดมาแล้ว

    ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

    แต่ถ้าสอบสวนลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
    พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
    นี่เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคย์แน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว”.


    จากมหาประเทศ ๔ ที่ได้ทรงแสดงในพรรษาสุดท้าย
    แสดงว่าพระพุทธองค์มีพระญาณแลเห็นการณ์ไกล
    จึงได้ทรงวางหลักเพื่อให้พุทธบริษัทได้ใช้
    สำหรับวินิจฉัยธรรมของพระองค์ซึ่งมีอยู่มากมายได้.

    ถ้าหากมีผู้บัญญัติธรรมะข้ออื่นแปลกปลอม,เพิ่มเติม,ดัดแปลง,
    หรือตัดทอนให้ผิดไป, เกินไป, เพี้ยนไป, คลาดเคลื่อนไปจากเดิมแล้ว
    จะได้มีหลักสำหรับตัดสินอย่างถูกต้อง.

    หลักฐานอีกประการหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์
    โดยทรงปรารภถึงพระสาวกว่า

    “โยโว อานนฺท ธมฺโม จ เทสิโต วินโย จ ปญฺญตฺโต, โส มม อจฺจเยน สตฺถา
    แปลว่า
    ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย,
    ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแทนเรา ปกครองท่านแทนเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”.

    ดังนี้ แสดงว่า พระอภิธรรมปิฎก ยังไม่มีในครั้งพุทธกาลอย่างชัดแจ้ง
    .


    (smile)
     
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    sriaraya5 (วันนี้)

    อนุโมทนาท่านศรี ฯ ครับ

    ท่านศรีฯ ท่านช่วยแจกแจงแถลงไขทีว่า
    ระหว่างฌานในสมาบัตินั้นย่อมแตกต่างกันกับ ฌาน๔ในสัมมาสมาธิ

    ใครที่สามารถเข้าถึงฌาน ๔ ในสัมมาสมาธิได้ แค่ชั่วช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้น
    อานิสงส์มากยิ่งกว่าพวกเข้าฌานสมาบัติถึง ๑๐๐ ปี

    ตอบท่านเอกวีร์ ตรงนี้ผมขอแก้ต่าง

    ใครที่สามารถทำจิตให้สงบได้ แค่ชั่วช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้น
    อานิสงส์มากยิ่งกว่าพวกเข้าฌานสมาบัติถึง ๑๐๐ ปี


    ฌานในสมาบัติเป็นฌานที่สะสมอารณ์ แต่ที่น่าพอใจ เอาแต่เสวยสุขจากการ ดับรูป แต่นามยังเกิดอย่างต่อเนื่อง เพราะวิญญานยังไม่ดับ ตลอดถึงยังละลายกายทิพย์ยังไม่ได้ ได้แต่ดับรูป นามยังอยู่เป็นตัวผลิตทุกข์ให้เข้า ถึงวิญญาณที่ยังไม่ดับ



    ฌาน๔ในสัมมาสมาธิจะมีได้กับพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ

    คือฌานที่มีสติกับปัญญา เป็นตัวตัด ความโลภ ความโกรธ

    ความหลง มีวิมุตติธรรม เป็นเครื่องอยู่ตามฐานที่ทำได้

    ตอบท่านเอกวีร์
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็จะเห็นว่า คนที่มีปัญญาอินทรีย์ นั้น จะเข้าใจบทสนทนา บทธรรม ที่มีการ
    ใช้คำแบบรัด กระทัด ย่อ ได้มากกว่า คนที่มีปัญญาพละ

    อย่างมีคนๆหนึ่ง พูดว่า "เรามาวิปัสสนากันก่อน เพื่อให้รู้ว่า จิตชนิดไหนควร
    เอาไปทำอะไร จิตชนิดไหนเหมาะแก่การภาวนาด้านไหน ส่วนไหน"

    คนที่มีปัญญาอินทรีย์ดี จะน้อมฟังได้ จะเข้าใจ จะมีความรู้บางอย่างเกิดขึ้นทันที
    และเงียบกริบเป็นของจริงที่ใบ้ได้ จะไม่ตกอกตกใจ จะไม่เคลื่อนจากฐานสติ จนไป
    แนบอกุศลจิต ไปเผลอคิดว่าเขากำลังดูถูกการทำสมถะ ปัญญาอินทีรย์ที่เขาใช้จึง
    มีสภาพเป็นเครื่องนำออกห่างจากทิฏฐิ

    แต่คนที่ใช้ปัญญาพละ ไม่มีปัญญาอินทรีย์ จะดันความคิดล้ำหน้าออกมา ไม่พอดี
    ศรัทธาลงในปัญญาอินทรีย์ที่เงียบๆไม่ได้ ก็จะต้องกระหายหิว ที่จะพูดออกมา ปล่อย
    ให้จิตเสพอาหาร ศีลเสีย ก็จะมีทั้งความไม่เข้าใจ และคิดหนักแน่นว่า คนที่พูด
    ประโยคข้างต้นเป็นพวกนอกรีต ปฏิเสธสมถะ ปัญญาพละที่เขาใช้จึงมีสภาพเป็นเพียงทิฏฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องอื่นๆ เราไม่ขอ ออกความเห็นนะ
    แต่ขอยกเรื่อง เสขะ อเสขะ มาแสดงสักหน่อย พอดี "มันติดอยู่ในใจ"

    เรา เคยอ่านมา นะ

    เสขะบุคคล หมายถึง พระอริยบุคคลชั้นต้น ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี แปลว่า ผู้ศึกษา

    อเสขะบุคคล หมายถึง พระอรหันต์ แปลว่า ผู้จบการศึกษา

    ส่วนปุถุชนทั้งหลาย ทั้งที่เคยสดับ และ ไม่เคยสดับ เรียกว่า ยังไม่อยู่ในกลุ่ม เสขะ และ อเสขะ
    เพราะยังไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ตัวจริง

    ไม่รู้เราเข้าใจถูกไหม เราเข้าใจว่า คีย์เวิร์ด ที่สำคัญ คือ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ตัว
    จริง ยังไม่เกิดมีในปุถุชน จึงถือว่า ยังไม่อยู่กลุ่มของ เสขะ และ อเสขะ

    ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่ได้จากการอ่านและฟังธรรม จากผู้รู้แจ้งอริยสัจ4 จะเป็น
    เพียง ปัญญาสัมมาทิฏฐิที่อนุโลมเรียกเท่านั้น แต่เนื้อแท้ของตนก็ยังเป็นมิจฉา
    ทิฏฐิอยู่ ทิฏฐิของปุถุชนผู้เคยสดับ แต่ยังไม่ใช่ปัญญาสัมมาทิฏฐิของจริง
    ที่เกิดจริง ถ้าใช้คำพูดแรงๆ ก็คือ ทิฏฐิในปุถุชน ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งสิ้น
    ถึงแม้จะเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง แต่ยังมีความยึดถือในทิฏฐินั้นอยู่ มันก็เลยยังผิด
    ยังเห็นผิด เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    อือ นั่นแหละ เคยได้ยินลูกศิษย์หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี พูดว่า เมื่อก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่า ๕๐๐ คนจะได้แค่ ๑ คนก็เอาแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านว่า ๑,๐๐๐ คนเอาครึ่งคน... ประมาณนี้ครับ

    สัมมาทิฏฐิน่ะเขาเห็นกันด้วยใจ (ตนเอง) เห็นด้วยใจไม่ใช่คิดด้วยสมองนะ...
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อืมๆๆ... เข้าใจแล้ว ว่า เรายังอยู่ใน 999.5 คน นั้นแหละ
    แต่เราว่า เราอยู่ในกลุ่ม ปุถุชน ผู้เคยสดับ นะ (แหะ แหะ)
    ไม่รู้จะยกตัวเอง สูงไปไหม (รึเปล่า) เพราะอย่างน้อย เราก็คิดว่า
    เราฟังธรรมบางอย่าง แล้วน้อมเข้าสู่ใจ ได้บ้าง พอจะเข้าใจบ้าง จิ๊บๆ
    ถึงแม้จะไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็ยังรู้ตัวว่า เป็นปุถุชน อยู่หนอ
    เรายังไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ หนอ [​IMG]
     
  15. พันตา

    พันตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +60
    โอ้โห ไม่อยากจะเชื่อ กระทู้แห้งๆของผมกลายเป็นว่ามีคนเข้ามาสวนกันไปสวนกันมา จนกลายเป็น >270 replied แล้ว แต่ให้ความรู้หรือตอบคำถามผมไม่ถึง 10 replies นอกนั้น เถียงกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจจริงๆ แต่เดาได้ง่ายๆว่าคงเถียงกันมาจากเรื่องเดิมๆในอดีต นี่ถ้าท่านทั้งหลายมีใจใฝ่ธรรม มองหาความสงบกันอย่างแท้จริง บ้างบรรลุกันแล้วอย่างที่ว่ามา ผมว่าไม่น่าจะมาทะเลาะหรือเถียงกันแบบหาผู้ชนะแบบนี้นะครับ อันนี้ งง พอๆกับคนปล่อยลำแสงได้

    ส่วนบางท่านถามว่า เรื่องปล่อยลำแสง ผมอ่านมาจากไหน? ก็ในบอร์ดนี้นั่นแหละครับ ถึงถามต่อในนี้น่ะครับ

    สรุปว่าที่เถียงๆกันผมยังอ่านไม่จบเลย เดี๋ยวจะค่อยๆไปย่อยทีละหน้าๆก่อน เข้าใจยากแท้หนอ
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ phanudet จับประเด็นไม่ถูก ที่ว่า นายนิวรณ์ ยกคำพระสังฆราชมานั้นดีแล้ว
    นายนิวรณ์ ยกคำพระสังฆราชมาเพื่อมา เทียบเคียงให้พระปราโมทย์ และ ตัวเอง
    แต่ สำหรับตัวผมเอง มันไม่ได้มีความหมายว่าจะต้องชี้เป็นขี้ตาย ให้ขาดกันไป แต่ในเมื่อมันผิดอยู่ มันจะพูดว่า มันถูกอย่างไรหรือ

    ทีนี้มันผิดส่วนไหน ขอให้ คนอ่าน ทิ้งคำว่า ปรามาสพระไป ขอให้มองกันอย่าง โง่ๆ เลย ว่า หากว่า คนที่สอนนั้นไม่ใช่พระปราโมทย์ คนที่สอนนั้นเขาไม่ได้มีชื่อเสียง คนที่สอนนั้นเราไม่เคยรู้จัก เราไม่เคยได้ยินว่า เขาเป็น อาจารย์ ผมถามว่า พวกท่านยังจะมาเถียงผมกันอยุ่ไหม ว่า คำสอนเหล่านั้น คือคำสอนที่ เลิศ ในเมื่อมันผิดกับพระไตรปิฎกแทบจะทุกคำพูด

    ปัญหาเรื่อง วิปัสสนายานิก หรือ สมถะยานิก จึงไม่ใช่ประเด็น ตรงนี้จำเอาไว้นะครับ สมถะหรือวิปัสสนายานิก ไม่ใช่ประเด็น

    เพราะตัวผมเอง เอาเข้าจริงคือ วิปัสสนายานิก สมัยก่อนผมไปตำหนิคนที่ทำสมาธิจนหลง คือ เล่นฤทธิ์ และผมสอนให้คนพิจารณา คนก็ว่าผมเป็น วิปัสสนายานิก ตอนนี้ผมบอกว่า พวกดูจิตไม่เพียร พวกดูจิตก็ว่า ผมเป็นสมถะยานิก

    ประเด็นนะครับ จับให้มั่น ใช้สติระลึกตามให้แม่นยำในสิ่งที่เรากำลังถกกันว่า ประเด็น คือ ธรรมที่ผิดและไม่สอดคล้องกับพุทธพจน์และคำสอนของครูบาอาจารย์ กระโดดไปที่ทางออกเลยคือ กลุ่มดูจิต จะต้อง เลิกพฤติกรรมหรือสอนคนอื่นดังนี้คือ

    1 จิตควบคุมไม่ได้ มันจะทำอะไรปล่อยมันไป คอยตามดูเท่านั้นพอ
    2 การดูเฉยๆ คือความเพียร หรือ เป็นมรรค เป็นสัมมาสติ
    3 การดูเฉยๆ คือ วิปัสสนา อย่างแท้จริง

    3 ประการข้างต้น ไม่ว่าท่านจะแตกออกมา เพื่อให้มันเข้าทางพระสูตรอย่างไรก็ตาม มันคือความวิบัติทางคำพูด และ วิธีการ
    เพราะว่า พูดอย่างหนึ่งแต่ พยายามเอาคำอื่นมาโปะ เพื่อให้มันเข้าทางพระสูตร แล้วสุดท้ายมาบอกว่า มันก็เหมือนกันหมด
    ผมถามว่า ผมบอกว่า คุณกินขี้หรือ คุณบอกว่า คุณกินข้าว ผมบอกว่า ข้าวกับขี้มันก็เหมือนกันแหละครับ ไม่เชื่อกินข้าวไปสิ แล้วมันออกมาเป็นขี้ แบบนี้ เราไม่ได้เรียกว่า เป็นสิ่งเดียวกัน มันเป็นความอุตริ ที่พยายามบอกให้มันเหมือนกัน ทั้งๆที่สภาพธรรมนั้นคนละอย่าง

    นั่นแหละ ผมจะพูดจนกว่าท่านจะหยุด เผยแพร่ วิธีการดูจิตในสาธารณะเว็บพลังจิตนี้
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ท่านพันตา
    เราเห็นเขาปล่อยลำแสง ปล่อยขีปนาวุธ กันสนั่นโพสท์ เลยนะ
    แต่ไม่รู้ว่า คนปล่อย เขาจะรู้ตัวหรือเปล่านะ
    ถ้ามีคนแสดงความคิด และโพสท์ออกมา นี่ เราก็นับว่า ปล่อย ลำแสง เหมือนกันนะ
    เพราะว่ามันมีอานุภาพ ทำให้คนอ่านสะเทือนใจได้ เห็นๆ
    บางคนลงนอนชักดิ้นชักงอ บางคนทนอยู่ไม่ได้ไหลมาเป็นน้ำท่วมทุ่งก็มี
    ที่โพสท์ๆกันมา มันก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งนะ คนโพสท์มักไม่รู้ตัว แต่คนอ่านอาจจะรู้
    ว่าคนโพสท์มีอารมณ์อะไรประกอบบ้าง มีทั้ง เจตนาดี มีทั้งประชดประชัน มีทั้งพยาบาท
    มีทั้งโทสะ มีทั้งเมตตากรุณา มีทั้งมุทิตา คนโพสท์จะรู้ตัวไหมก็ไม่รู้นะ
    เพราะเราเองก็ยังไม่ค่อยจะรู้ตัวเอง เหมือนกัน ชอบไปรู้แต่เรื่องของคนอื่น
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ลำดับเรื่องต่อมา ประเด็นชนวน มันอยู่ที่ธรรมที่ผิดของการดูจิตเท่านั้น จากนั้น มันก็เกิดความเกลียดชัง
    ถ้าจะว่า มันเป็นความผิดที่ผมไปล่วงเกิน อาจารย์ฝ่ายดูจิต ก็ได้ แต่นั่นคือ การให้ท่านสังเกตุตามสิ่งที่ผมกล่าวไป
    ไม่ใช่กล่าวโดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งข้อเสียหายอย่างมาก และ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือ การอ้างครูบาอาจารย์ แต่สอนไปคนละอย่าง
    เรื่องนี้ แน่นอนว่า มันเป็นสิ่งที่แม้แต่เด็ก ก็ยังรุ้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควร
    แต่อะไรหละ ที่ทำให้ การเอ่ยอ้างคำครูบาอาจารย์ ว่ารับรองตนแล้วบ้าง ว่าพยากรณ์ตนเองแล้วบ้าง หรือ แม้แต่ตัดเติมแต้มแต่ง คำสอนของครูบาอาจารย์เหล่านั้น ให้เสียไป ให้เป็นในทางของตน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ผมรับไม่ได้ สำหรับ ต้นสังกัดของพวกดูจิต

    ก็ถามว่า แล้ว มันต้องพูดไหม ก็ในเมื่อมันเป็นความจริง และเป็นข้อสังเกตุที่ ไม่ได้เกินเลยไป หรือใช้อารมณ์ หรือ บิดเบือนความรู้ให้มันตรงกับสิ่งที่ตนคิดแต่อย่างเดียว มันก็ควรจะพูด เพราะมันมองเป็นอื่นไปไม่ได้

    ก็กลับมาที่กลุ่มดูจิต ว่า จากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความไม่พอใจ เกลียดชัง อันมาจากทุนเดิม มันก็เข้าทาง ทำให้ตามไม่พอใจกัน จับกลุ่มกัน เสริมทัพกัน โดยไม่ได้พิจารณาตามความจริง ซึ่งถึงแม้ว่าความจริงนั้นมันจะค่อนข้างรับไม่ได้ และ ซับซ้อน แต่นี่แหละคือ เครื่องมือทดสอบว่า ท่านมี กาลมสุตร และ มีพลังศรัทธาในพระพุทธองค์ หรือ ว่าตัวบุคคล หรือ ความคิดท่านเองอย่างใดมากกว่ากันแน่

    คนเราเวลาไปฟังอะไรใคร พอเชื่อเข้าไปปั๊บ ปิดตาตัวเองทันที ลองไปพิจารณาดู
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมก็เสนอทางออก ให้พวกท่าน คือ ไม่ต้องมาเชื่อนายขันธ์ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องไปเชื่อ พระปราโมทย์เต็มร้อย

    เพราะว่า มันมีทางอยู่ สองทาง คือ ทางหนึ่ง พระอาจารย์มั่น และ พระอริยะหลายท่านเดินไปแล้ว ชื่อว่า ทาง A
    ทางหนึ่ง พระปราโมทย์ เดินไปคนเดียวและกำลังจะหาคนเดินไป ชื่อว่า ทาง B
    ส่วนผม อยู่ทาง A แล้วชี้ว่า ทาง B ท่านไม่ควรเดิน

    ท่านจะเลือกเดินทาง A ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านเลือกเดินตามผม แต่ท่านควรจะเลือกเดินตามปฏิปทาของ พระอาจารย์ ทั้งหลายที่ท่านเดินไปถึงแล้ว

    ผมบอกตามตรง ถ้าท่านเลิกเดินไปในทาง B ท่านไม่ได้เชื่อนายขันธ์ แต่ท่านเชื่อครูบาอาจารย์
    แต่ท่านเดินไปทาง B คือ ท่านเชื่อพระปราโมทย์ และ ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ และ ไม่เชื่อในพระสุตร

    ทางแยกตรงนี้ ไม่มีวันมาจบกันที่ปลายทาง ดังที่ผมอธิบายเหตุผลมาแล้ว

    ไม่ใช่ลิเก หรือละครนะครับ อ่านดูกันแล้วพิจารณากันเอง
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    จินนี่ คุณอย่าทำตัวแบบ ภรรยาผมสมัยสาวๆ เวลาไม่ชอบใจอะไร สะบัดหน้าหนี โดยไม่ฟังเหตุผล

     

แชร์หน้านี้

Loading...