ความเข้าใจผิดๆ เรื่องจิต จิตไมใช่วิญญาณขันธ์ และวิญญาณขันธ์ก็ไม่ใช่จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 10 กรกฎาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    การพิจารณาตามความจริง ยิ่งจะทำให้ไม่ยึดในอัตตา เพราะว่า รู้คิด รู้ทำ รู้ว่าสังขารเหล่านั้นเป็น การสบเข้ากับสิ่งภายนอก ไม่มีประโยชน์ที่จะนึกว่านั่นคือเราแท้

    แต่ทีนี้ การทำอะไรก็ตามเพื่อเปลื้องจิตนี้ออกจากความ โง่เหล่านั้น
    โง่ว่าอะไรบ้าง
    1 โง่ว่า ขันธ์ 5 คือเรา เราคิด เราทำ เราพูด เราจำ แต่ไม่หลงตา จำ คิด นึก รู้สึกเหล่านั้นให้มันหมายติดกับจิตนี้ตลอดไป นี่เรียกว่าโง่

    แล้วฉลาดคืออย่างไร คือ รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ติด ไม่ข้องกับจิตนี้ได้ หากชำระด้วยปัญญา ศีล สมาธิ ทุกข์ก็อันตรธานไปหมด เกิดเป็นจิตดวงบริสุทธิ เต็มที่

    ศาสนาอื่น ที่เขาไม่สามารถชำระได้ เพราะเขาไม่เข้าใจความจริงในขันธ์ 5 และหลักแห่งไตรลักษณ์ เขาก็เหมาเอาว่า นั่นเป็นเขา เป็นตัวตนของเขา ต้านทานไม่ได้ มันเป็นตามธรรมชาติ หรือ แม้แก้ก็แก้ผิดทาง ชำระผิดทาง

    ทีนี้ เมื่อชำระจิตใจบริสุทธิ์แล้ว จะฉิบหายไปไหนได้อย่างไร

    ธาตุต่างๆ เคยมีธาตุใดฉิบหายไปบ้าง ในสามแดนโลกธาตุนี้ ไฟ น้ำ ดิน ลม พลังงาน

    จิตต่างๆ เต็มบริบูรณ์อยู่แล้ว มีแต่กิเลสเท่านั้นที่ดับไป ทีนี้ เราจะไปเข้าใจความจริงนี้ไม่ได้เลย หากว่าเรายังไม่เต็มส่วน เหมือนคนยังไม่ลิ้มรสก็ไม่อาจจะเข้าใจได้

    ใจบริสุทธิ์เต็มที่แล้วครอบหมด อายตนะนั้นแหละเรียกว่า นิพพาน มันก็ไม่ต้องไปไม่ต้องมา มันบริบูรณ์ครอบไปหมดแล้ว มีอยู่ เป็นอิสระ

    และถึงแม้ว่า เราปฏิบัติแบบนี้ไป หากเข้าไม่ถึงที่สุด ก็ย่อมได้สุคติภูมิ มีกำลังจิตกำลังใจ มีพละที่จะต้านทานอกุศลทั้งหลายได้

    ในยุคนี้ ไม่มีศาสนาไหน สอนให้ทำสมาธิได้ลึกซึ้งเท่าศาสนาพุทธในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ฝึกได้ให้รีบฝึก
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500

    นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมจะบอกกับทุกๆคน จริงๆเพราะเป็นเรื่องจริงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้มีในตัวในตนของทุกๆคนเพียงแค่ พิจารณาให้ถูกทาง เท่านั้นเองครับ การหลงทางในโลกนี้ยังมีทางกลับ แต่ถ้าหลงทางในวัฏสงสารหาทางกลับยากมากนะถ้าไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอ
     
  3. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ธาตุั้ทั้ง ๔ ไฟ น้ำ ดิน ลม เมื่อประชุมกัน
    ประกอบเป็น รูป เราเรียกว่า กายสังขาร

    จิต เป็นธรรมชาติรู้ ที่ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่มีตาย
    เมื่อมีอุปกิเลสจรเข้ามา ห่อหุ้มจิต
    จิตนี้จึงหลงด้วยอวิชา เกิดเป็นอุปทานยึดมั่นเป็นตัวเป็นตน


    การชำระจิตให้บริสุทธิ์ ต้องชำระด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    ประกอบด้วยมรรค ๘ ทางแห่งการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์

    จิตที่บริสุทธิ์ ต้องชำระด้วยวิชา คือ ปัญญาแสงส่องธรรม
    เพื่อให้จิตนั้นพ้นจากความมืดมิดของอวิชา
    เป็นจิตที่สว่างไสวด้วยวิชาหรือปัญญาแสงส่องธรรม

    จิตนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็น จิตหนึ่ง มีอยู่ เป็นอิสระ
    พ้นจากพันธนาการทั้งปวงจากกิเลสเครื่องร้อยรัด
    อายตนะที่เรียกว่า นิพพาน ไม่ต้องไปไม่ต้องมา
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็น จิตมันไม่เห็น ให้บริกรรมให้เห็น
    ต้องการให้มันเบื่อหน่ายให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตน


    สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ ทั้งนั้น
    อายตนะก็ดี ตกอยู่ในไตรลักษณ์หมด ทั้งนั้น
    เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น
    นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขา อะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก


    ท่านจึงให้สู้มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นแหละ
    ต้องมีขันติความอดทน ทนสู้กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา
    ดูมัน
    จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง

    เมื่อเราสกัดกั้นไม่ให้มันแส่สายไปตามอารมณ์ภายนอก
    มีรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เป็นต้น เรียกว่า กามคุณ ๕
    ไม่ให้ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันจะอยู่ที่ มันก็ว่างอารมณ์


    ไม่มีอารมณ์เข้ามาคลุกคลีดวงจิตแล้ว จิตตั้งมั่นเรียกว่าจิตว่าง
    ไม่มีอะไรมาพลุกพล่านเหมือนกันกับน้ำในขัน
    หรือน้ำอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อมันไม่กระเพื่อมแล้วมันนิ่ง ก็เห็นสิ่งทั้งปวงอยู่ในก้นขัน


    ต้องเห็น เห็นอันนี้ เห็นแล้วเราต้องสละปล่อยวาง
    มันจะเห็นโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ เรามี เราจะได้พยายามถอนสิ่งเหล่านี้ออก
    ปล่อยจิตว่างแล้ว จิตสบาย เพราะจิตเป็นหนึ่งไม่ขุ่นมัว
    เพราะไม่มีอารมณ์มาฉาบทาดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว
    จิตก็เย็น มีแต่ความสบาย มีความสุข รู้เท่ากับสังขาร รู้เท่าสิ่งทั้งปวง
    รู้เท่าความเป็นจริงแล้ว เกิดอันใดอันหนึ่งก็ดี หรือไม่ก็ครบรอบก็ดี


    เมื่อพิจารณาอันใดอันหนึ่งแล้ว
    จิตของเราไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง
    ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนาเจ็บปวดจะมาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น
    เมื่อรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว ความติฉินนินทาก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น
    เสื่อมลาภก็ตาม เสื่อมยศก็ตาม เสื่อมความสรรเสริญรักชอบก็ตาม
    ไม่เอาใจใส่เอามาเป็นอารมณ์ มันก็มีความสุขเท่านั้น
    จะหาความสุขใส่ตนก็มีแต่ฝึกฝนทรมานตนนั่นแหละ

    พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํพุทฺธานสาสนํ
    ให้ทรมานจิต
    ฟอกฝนจิตของเรา
    ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น


    จิตนั่นแล จะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือความสุขคือนิพพานมาให้
    หรือจิตเรายังไม่พ้น ก็จะนำสวรรค์มาให้
    นำเอาความสุขมาให้ตราบเท่าตลอดกาล ตราบเท่าชีวิตแล้วมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป


    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    จาก
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมพูดได้คำเดียวว่ามันต้องมีบางอย่างที่ทำให้ละ ไม่ใช่แค่ขันธ์ทั้ง๕แน่นอน
     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมว่าแปลออกมาเลยครับว่าตกลงคุณตีความที่หลวงปู่พูดว่าอะไร เช่น ขันธ์๕ อันประกอบด้วยรูปนาม และ ธาตุทั้ง ๑๘ เป็นของไม่เที่ยง หรือเที่ยง อยู่ในกฏไตรลักษณ์หรือไม่ แล้วสุดท้ายจิตมันอยู่ตรงไหน มันปรากฏอย่างไร อยู่ในไตรลักษณ์ด้วยไหม ขณะที่ทั้งหมดถูกพิจารณา อะไรอย่างนี้ครับ ฟอกฝนจิตของเรา ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ส่วนคำนี้ก็คือจิตนั้นปราศจากการปรุงแต่ง จึงไม่จำเป็นต้องเห็นหรือเป็น อะไรอีกครับ เรียกจิตว่างก็ได้แต่ว่างจากกิเลสอุปาทานทั้งหลาย หรือโดยนัยเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าไม่มีการปรุงแต่ง
     
  7. มโน

    มโน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +100
    อนุโมทนาบุญกุศล ที่นำธรรมของพระอรหันต์ หลวงปู่ขาว อนาลโย

    การฝึกฝนอบรมจิตภาวนา
    โดยการกำหนดสติ ระลึกรู้ สกัดกั้นความคิด ซึ่งเป็นอาการของจิต ไม่ให้มันแส่สายไปตามอารมณ์ภายนอก เช่น รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เป็นต้น เรียกว่า กามคุณ ๕

    เมื่อจิตนั้นปราศจากการปรุงแต่ง ไม่มีนิวรณ์ 5 เราเรียกว่า จิตว่าง
    คือ ไม่มีอารมณ์เข้ามาคลุกคลีดวงจิต จิตนั้นตั้งมั่นมีกำลังแห่งสติ ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง มีแต่ความเย็นสบาย มีความสุข เมื่อจิตไม่มีอะไรมาพลุกพล่านเหมือนกันกับน้ำในขัน เมื่อมันไม่กระเพื่อมแล้วมันนิ่ง ก็เห็นสิ่งทั้งปวงอยู่ในก้นขัน เราเรียกว่า อัปณาสมาธิ
    เมื่อจิตนั้นมีกำลังสติและกำลังแห่งสมาธิ เราจึงต้องพิจารณาทางปัญญา เพื่อให้รู้เท่ากับสังขาร รู้เท่าสิ่งทั้งปวงเพื่อถ่ายถอนกิเลส โดยพิจารณากาย หรืออวัยวะ32ให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูลน่ารังเกียจไม่ใช่สิ่งสวยงามน่าหลุ่มหลง เพราะกายนั้นเป็นทางแสดงออกของกิเลสกามราคะ จึงต้องถอดถอนด้วยกำลังสติ สมาธิ และปัญญา ให้เห็นตามเป็นจริงตามกฏทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เพื่อไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นรุ้เท่าทันในสังขารทั้งปวงฯ

     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เมื่อหลวงปู่ดูลย์สอนศิษย์โง่

    ขณะนี้ข้าพเจ้าเพิ่งเป็นผู้บวชใหม่ ยังอยู่ใน “นิสัย” พระอุปัชฌาย์เป็นนวกะ
    จนกว่าจะหมดสภาวะนวกะเป็นเวลา ๕ ปี
    หลวงปู่ดูลย์ พระอุปัชฌาย์ข้าพเจ้า จึงจ้ำจี้จ้ำไชตลอดเวลา


    หลวงปู่กับศิษย์ผู้บวชใหม่ แม้ว่าลางครั้ง การสอนจะเหมือนกับว่า ผู้เยาว์นั้นต่อปากต่อคำไม่ตกฟาก
    แต่หลวงปู่ก็เมตตา และกลับสังเกตเห็นว่า หลวงปู่สนุกกับการสอนเช่นนี้
    หลวงปู่จะมีอุบายธรรมแปลกๆใหม่ๆ ยกขึ้นมาอุปมาอุปไมย เพื่อให้ผู้บวชใหม่เกิดปัญญา ฯ


    ศีล คือฐานรองรับ “สภาวะความเป็นพระ”
    หากว่าศีลวิบัติเสียอย่างเดียว สมาธิและปัญญาก็เหลวเป๋ว เอาดีไม่ได้ บวชเสียผ้าเหลือง
    หลวงปู่จะสอนให้ผู้บวชใหม่พึงระมัดระวังอย่างสุขุม
    “จงพึงระวังอาบัติ แม้จะเกิดขึ้นทางจิต”


    “จิตเป็นตัวยังไง...ขอรับ?”
    “ตัวรู้”


    ผู้บวชใหม่คันปากยิบๆ อยากกราบเรียนถามว่า ไอ้ตัวรู้...ที่ว่ารู้...รู้...นี่ ผู้บวชใหม่ก็ยังไม่รู้
    ขยับจะอ้าปากเรียนถามอยู่แล้ว แต่ช้ากว่าหลวงปู่ ที่สังเกตเห็นอากัปกิริยาผู้บวชใหม่
    ที่นิ่งครุ่นคิดคลางแคลงอยู่ในใจ...
    หลวงปู่ท่านจึงได้ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ผู้บวชใหม่ พร้อมเอ่ยกระซิบเบาๆเสียงยานคาง


    “ไอ้โง่...!”
    “ขอรับ...”


    “เออ...นั่นแหละตัวรู้....”

    ผู้ที่รู้ว่าตัวเองโง่ คือผู้ฉลาด...หลวงปู่กล่าวประโยคนี้
    ผู้บวชใหม่จนปัญญาอีก ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
    หวังว่าเมื่อไหร่ ความโง่ในตัวเหลือปริมาณน้อยกว่าขณะนี้ คงจะเข้าใจสักวันหนึ่งจนได้
    นาทีนี้อยู่ต่อหน้าหลวงปู่ อะไรๆที่อยากรู้รีบกราบเรียนถามเสียเป็นดีที่สุด


    “ตัวรู้ มันอยู่ตรงไหนขอรับ...หลวงปู่?”
    “อยู่ที่จิต...”

    “จิต...อยู่ที่ไหน ขอรับ?”
    “อารมณ์...”


    หลวงปู่อธิบายว่า
    เมื่ออายตนะภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจได้สัมผัสกระทบแล้วปรุงเป็น“อารมณ์” คือภายนอก
    เวทนานั่นเอง ได้เกิดขึ้นภายใน


    “อาหารทางกาย เธอกินวันละกี่เวลา?”
    “เวลาเดียว ขอรับ...”


    “จิตกินอาหารตลอดเวลา...”

    “อะไร คือ...อาหารของจิตขอรับ?”
    “อารมณ์”


    หลวงปู่อธิบายว่า ผู้ชาญฉลาดจะปรุงอาหารมีคุณภาพทางโภชนาการให้กับร่างกายตัวเอง
    สุขภาพก็จะสมบูรณ์ ตรงกันข้ามกับปรุงอาหารรสเผ็ดจัดเค็มจัดเปรี้ยวจัดให้กับร่างกายก็จะเกิดโทษ


    อารมณ์คืออาหารของจิต เช่นเดียวกับผู้มีปัญญา....ย่อมรู้จักปรุงแต่งอาหารของจิต
    ที่สำคัญยิ่งกว่าอาหารทางกายที่กินแค่ ๓ เวลา ส่วนจิตนั้น กินอาหารทั้งหลับและตื่น


    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็อีกนั่นแหละ ผู้บวชใหม่ฟังหลวงปู่อธิบายแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

    “ปรุงอาหารให้จิต ทำไงขอรับ?”
    “ทำฐาน...ซิ”


    “ฐาน...อะไรขอรับ?”
    “ฐานที่ตั้ง...”


    “ตั้ง...อะไรขอรับ?”
    “ตั้งจิต”


    หลวงปู่อธิบายว่า กรรม คือ การกระทำ...
    ฐาน คือที่ตั้ง....
    ที่ตั้งของจิต ต้องทำวิปัสสนากรรมฐานเพื่อที่จิตจะได้มีที่ตั้ง....


    ผู้บวชใหม่โง่อีก ไม่รู้ว่าจะให้เอาจิตไปตั้งไว้ที่ตรงไหน มันมองไม่เห็น จนปัญญาจริงๆ...

    “เอาจิตไปตั้งไว้ตรงไหนขอรับ หลวงปู่?”
    “ตั้งไว้ในกายนั่นแหละ แล้วคอยระวังมันไว้...”


    “ระวังอะไรขอรับ?”
    “ระวังอย่าให้จิตมันออกนอกกาย...”


    “เอาอะไรไประวังมันขอรับ?”
    “สติ...”


    ธรรมชาติจิตมนุษย์ที่ไม่ได้ฝึกมาดีแล้ว ย่อมฟุ้งซ่าน แส่ออกไปตามกระแสอารมณ์ที่ปรุงแต่ง
    ทุกข์และสุขของมนุษย์อยู่ตรงนี้ ทุกข์อยู่ที่จิต สุขก็อยู่ที่จิต ผิดหวังและประสบความสำเร็จก็อยู่ที่จิต
    หากได้ฝึกให้จิตมีสมาธิ มีพละกำลัง...พลังจิต เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่


    จิตที่ฟุ้งซ่าน แส่ไปหลายๆทาง ทั้งทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส และโผฐทัพพะ
    เมื่อปิดกั้นอาการฟุ้งซ่าน หาที่“ตั้ง” ให้จิตอยู่ที่เดียว เป็นจิตที่มีสมาธิแล้ว
    จิตย่อมมีพลังมหาศาล เช่นเดียวกับสายน้ำหลายๆสายเช่น ปิง วัง ยม น่าน
    เมื่อปิดกั้นให้รวมไหลออกช่องเดียว จะมีกำลังปั่นพลังไฟฟ้ามหาศาล


    นาทีนี้จิตข้าพเจ้าผู้บวชใหม่ ก็มีกำลังไฟฟ้าแรงสูง...
    หลวงปู่ได้นำภิกษุสามเณรนั่งทำความเพียรสมาธิ หลังจากทำวัตรค่ำกลางดึกค่ำคืนวันนั้น....
    บรรยากาศเงียบสงัด สายลมเย็นโชยผ่านหน้าต่างพระอุโบสถพระเณร
    พากันนั่งสงบนิ่ง กำหนดจิต พิจารณาอารมณ์...


    อารมณ์ข้าพเจ้า มีไฟฟ้าแรงสูง... แส่ฟุ้งซ่านไม่หยุดนิ่งเหมือนลิง... คิดถึงเพื่อนๆ ...
    โต๊ะบิลเลียด...บาร์ซ่อง....สนามม้า


    ผลั๊วะ...ผลั๊วะ....!!

    ฝ่ามือหลวงปู่ได้ประเคนลงไปที่ศีรษะข้าพเจ้า ถึงกับสะดุ้งสุดตัวตื่นจากภวังค์
    หลวงปู่ตวาดแหววเสียงเขียวอย่างเกรี้ยวกราด....


    “อย่าเอาจิตออกนอก”

    (คัดลอกจากหนังสือบนเส้นทาง...อรหันต์ (ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)
    เป็นประสบการณ์ชีวิตของบัว ปากช่อง ในแวดวงแห่งพระกรรมฐาน
    สายท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตะสีโล และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    ซึ่งขณะนั้นบัว ปากช่อง ได้เข้าไปใช้ชีวิตในผ้าเหลือง แทบเท้าบูรพาจารย์รูปต่างๆ)


    ;aa24
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ม. อย่างนั้นหรือ ท่านผู้มีอายุ?
    สา. อย่างนั้นแหละ ท่านผู้มีอายุ
    บุคคลนี้ก็ฉันนั้นยังมีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า
    เรามีกิเลสในภายใน ข้อนี้ อันบุคคลนั้นพึงหวังได้ คือ


    เขาจักไม่ยังความพอใจให้เกิด จักไม่พยายาม จักไม่ปรารภความเพียร
    เพื่อละกิเลสนั้นเสีย. เขาจักเป็นผู้มีราคะ โทสะ โมหะ
    มีกิเลส มีจิตเศร้าหมอง ทำกาละ

    สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ ในบุคคล ๔ พวกนั้น
    บุคคลใดมีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน ข้อนี้
    อันบุคคลอันพึงหวังได้ คือ เขาจักยังความพอใจให้เกิด จักพยายามจักปรารภความเพียร


    เพื่อละกิเลสนั้นเสีย. เขาจักเป็นผู้ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีกิเลส
    มีจิตไม่เศร้าหมอง ทำกาละ เปรียบเหมือนภาชนะสัมฤทธิ์ ที่บุคคลนำมาแต่ร้านตลาด
    หรือแต่สกุลช่างทอง
    อันละอองและสนิมจับอยู่โดยรอบ
    เจ้าของใช้ขัดสีภาชนะสัมฤทธิ์นั้น และไม่เก็บมันไว้ในที่มีละออง

    เมื่อเป็นเช่นนี้
    สมัยอื่นภาชนะสัมฤทธิ์จะเป็นของหมดจดผ่องใสฉันใด.

    ม. อย่างนั้นหรือ ท่านผู้มีอายุ?
    สา. อย่างนั้นแหละ ท่านผู้มีอายุ
    บุคคลนี้ก็ฉันนั้น มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า
    เรามีกิเลสในภายใน ข้อนี้ อันบุคคลนั้นพึงหวังได้คือ
    เขาจักยังความพอใจให้เกิด จักพยายาม จักปรารภความเพียร เพื่อละกิเลสนั้นเสีย.
    เขาจักเป็นผู้ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีกิเลส
    มีจิตไม่เศร้าหมอง ทำกาละ.


    ;aa24เหมือนทัพภีที่ไม่รู้รสแกง ใช้ตักไปอีกนานาแสนนานก็ไม่อาจทำให้รู้รสแกงได้
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    คนเราเวลาเดิน มันก็จะเดินไปที่ละก้าว 1 2 3 4 5 ไล่ไปเรื่อยจนถึงที่หมาย เอาที่หมายเป็นที่ตั้งแล้วลงแรงเดิน จะชมทิวทัศน์ หรือเิดินจ้ำ ๆ ก็ต้องเดินด้วยตัวเองอยู่ดี

    แต่ถ้าเอาเป้าหมายมาพูดแบบฟังเค้ามาโดยที่ยังไม่ได้เดินไปด้วยตัวเอง ก็เท่านั้นเอง ^-^
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    [๕๐๗]
    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สักกายทิฏฐิมีได้อย่างไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะไม่ฉลาด
    ในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ
    ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
    ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง
    ตามเห็นตนว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง ตามเห็นตนในรูปบ้าง
    ย่อมตามเห็นเวทนา ... ย่อมตามเห็นสัญญา ...
    ย่อมตามเห็นสังขารทั้งหลาย ...
    ย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง
    ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง

    อย่างนี้แลสักกายทิฏฐิจึงมีได้.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อย่างไรสักกายทิฏฐิจึงจะไม่มี
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นพระอริยะ
    ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ
    ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ
    ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็น
    ตนว่ามีรูปบ้าง ไม่ตามเห็นรูปในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในรูปบ้าง
    ย่อมไม่ตามเห็นเวทนา ...ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา ... ย่อมไม่ตามเห็นสังขารทั้งหลาย ...
    ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง
    ไม่ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง
    อย่างนี้แล สักกายทิฏฐิจึงจะไม่มี.


    ;aa24 หัดน้อมมาสู่ตน ตามความเป็นจริง
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    [๕๐๘]
    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ ไฉน?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือ
    ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑
    วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑
    ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะหรือเป็นอสังขตะ?
    ธ.
    ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะ.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ขันธ์ ๓ (กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา)
    พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘
    หรือว่าอริยมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓.

    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ขันธ์ ๓ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘
    ส่วนอริยมรรคมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ คือ
    วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์
    ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์
    ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ทรงสงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์.


    ;aa24 ศีล สมาธิ ปัญญา
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอย่างไร เป็นสมาธิ ธรรมเหล่าใด เป็นนิมิตของสมาธิ
    ธรรมเหล่าใด เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ การทำให้สมาธิเจริญ เป็นอย่างไร?

    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เป็นสมาธิ
    สติปัฏฐาน ๔เป็นนิมิตของสมาธิ สัมมัปปธาน ๔ เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิความเสพคุ้น
    ความเจริญ ความทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นการทำให้สมาธิเจริญ.

    [๕๐๙]
    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สังขาร มีเท่าไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สังขารเหล่านี้ มี ๓ ประการคือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็กายสังขาร เป็นอย่างไร วจีสังขารเป็นอย่างไร จิตตสังขารเป็นอย่างไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า เป็นกายสังขาร

    วิตกและวิจารเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา เป็นจิตตสังขาร.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
    วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกายเนื่องด้วยกาย
    ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
    บุคคลย่อมตรึกย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา

    ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร
    สัญญาและเวทนาเป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต
    ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร.


    ;aa24 แม้แต่พุทธวจนะยังไม่เคารพ เป็นพวกนอกรีต
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    [๕๑๐]
    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า
    ก็การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอย่าง
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ
    ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
    ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
    ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
    ธรรม คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน ย่อมดับไปก่อน?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
    วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็ดับ
    จิตตสังขารดับทีหลัง.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นอย่างไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
    เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    ว่าเราออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว
    ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วแต่แรก.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    ธรรมคือกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อย่างไหน เกิดขึ้นก่อน.
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    จิตตสังขารเกิดขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้ว
    จากสัญญาเวทยิตนิโสมาบัติ?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ ๓ ประการ
    คือ
    ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
    ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต)
    และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อม
    ถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.

    วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไปใน
    ธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร?
    ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    มีจิตน้อมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.


    ;aa24 มีจิตน้อมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.
     
  15. birdblackrose

    birdblackrose สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    ควรศึกษา กาลามสูตร เจตสิก และ สติปัฎฐาน4 ให้ถ่องแท้
    บัดนี้ ก็กำหนดสติ ดูจิต ด้วยดูตัวเอง เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด
     
  16. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    การศึกษาธรรม ขอศึกษาที่เป็นตัวธรรม
    ใครทำดีแล้ว ขออนุโมทนาธรรมครับ
    กระผมก็ยังโง่อยู่ ยังมีปัญาญายังไม่มาก
    ก็ต้องเีพียรต่อไป อีกไม่นานกระผมก็คงต้องบวช
    ตอนนี้ขอปริยัติก่อนแล้วกัน
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    หยุดเป็นก็เย็นได้ หยุดไม่เป็นก็เย็นไม่ได้
    กำหมดสติดูจิต แล้วสติตั้งอยู่ที่ไหน?
    สัมมาสมาธิในอริยมรรค๘ควรศึกษาให้ถ่องแท้มั้ย?
    ดูจิตให้ดูที่ไหน? รู้จักจิตแล้วหรือ?

    ;aa24
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500

    ขอบคุณท่านที่เตือนสติ เพราะผมเจอจากตนเอง จึงเข้าใจ ผมยังมีปัญญาไม่มากพอ เพราะทำได้แค่ เห็น เห็นได้แล้วละ ละแล้วแต่ฆ่ามันไม่ได้ไอ้ตัวกิเลสก็เท่าเดิมมันไม่หายไปไหนเลย มันแค่ถูกกดทับไว้ด้วยบางอย่าง ผมไม่มีปัญญาฆ่ามันเลย ผมคงต้องขอลาเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  19. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    เช็ดกระจกดีกว่าเรา หมองแล้ว
    อืมจะใช้ผ้า เช็ด หรือ อะไรเช็ดดีหว่า -_-'
     
  20. birdblackrose

    birdblackrose สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0
    จิตกับเจตสิกคือนามธรรมเหมือนกันจึงประกอบกันได้สนิทเหมือนน้ำกับน้ำตาล โดยจิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์และเจตสิกเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ถ้าถามว่าทำไง
    จะรู้จักจิต ลองศึกษา ทฤษฎีของซิกมุนด์ ฟอยด์ จะเข้าใจง่ายแล้วค่อยศึกษาให้ลึกลงไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    การใช้สติ ง่ายๆมีสี่จุด จุดแรกคือจุดของสัมผัสระหว่าง รูป รส กลิ่น เสียง กับตา หู จมูก ลิ้น กาย จุดสองคือเวทนา จุดสามคือตัณหา จุดสี่คืออุปาทาน ให้รับรู้ผัสสะที่กระทบ
    สุดท้ายให้ศึกษากาลามสูตรเพราะ เถียงกันไปมาโดยอวิชชา ปัญญาจะไม่เกิด ต้องวิเคราะห์เหตุไปหาผล ผลไปหาเหตุด้วยตัวเอง
    คำสอนพระพุทธเจ้าทุกคำสอนลึกลับซับซ้อนนัก จึงอยากให้เข้าใจถ่องแท้
    จริงๆแล้วเราอยู่ในร่มพุทธศาสนา เราก็ควรศึกษาทั้งหมด แต่ที่เน้นย้ำส่วนที่กล่าวไปนั้น ก็เพราะว่า สิ่งที่เถียงกันไปมานั้น คิดว่าบางท่านยังไม่เข้าใจ
    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...