ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ..............

    เดินอยู่ในบ้านคนไทใหญ่ แหงนมองผนังห้อง ใกล้หิ้งบูชาพระ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่งที่จะได้พบรูปในหลวง-พระราชินี ประดับอยู่โดยถ้วนทั่ว ไม่ต่างอะไรจากบ้านคนไทย ส่วนความเชื่อในพระราชวงศ์นั้น คนไทใหญ่ยิ่ง "เหมือน" สุดๆ กับคนไทย ชนิดไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักน้อย

    ครูเคอแสน นักประวัติศาสตร์และเลขาธิการของสภากอบกู้รัฐฉานเล่าให้ฟังว่า เมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน ครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จเยือนพม่า และเสด็จไปที่เมืองตองจี คนไทใหญ่ตื่นเต้นกันมาก รู้สึกเหมือนเจ้าฟ้าของตนกลับบ้าน ใครสามารถไปรับเสด็จได้ก็พากันออกไป ส่วนคนที่ไม่มีโอกาส ต่างก็จ้องตาเป๋งไปที่ทีวีพม่า คอยดูภาพถ่ายทอดการเสด็จเยือนพม่าครั้งนั้นของสมเด็จพระเทพรัตนฯ อย่างปลาบปลื้ม แต่ที่คนไทใหญ่ตั้งใจดูๆ จ้องๆ กันอย่างละเอียดก็คือ "หมายเลข" ของเครื่องบินพระที่นั่งนั่นแหละ ครูเคอแสนเล่าว่าปีนั้นคนตองจีแห่ซื้อเลขเด็ดและถูก "หวย" ตัวเลขเครื่องบินสมเด็จพระเทพรัตนฯ กันทั้งเมือง จนเจ้ามือหวยแทบจะล่มจมไปเลย ครูยังบอกอีกด้วยว่าที่จำได้แม่นเพราะเพื่อนของครูในมหาวิทยาลัยตองจีได้เงินจากหวยในคราวนั้นเป็นหมื่นจ๊าด!
    (สงสัยให้ดูหนังสือ ไทยเที่ยวพม่าของพระเทพ นาน

    แล้ว)


    ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน แม้ระบบเจ้าฟ้าจะล่มสลาย แต่ความเชื่อถือศรัทธาในระบบกษัตริย์ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทใหญ่มาเป็นพันปี ความรู้สึกของคนไทใหญ่ คนไทย หรือกระทั่งคนลาว คนเขมร จึงไม่ได้ต่างกันเลยสักน้อย สำหรับคนไทใหญ่ สถาบันกษัตริย์ยังเป็นศูนย์รวมของจิตใจ เป็นแบบอย่างทางศีลธรรมอันดีงาม และเป็นสัญลักษณ์ของบารมีที่จะปกแผ่พระราชอำนาจมาปกป้องคุ้มครองพวกเขา เมื่อไม่มีเจ้าฟ้า ความรักความศรัทธานี้ก็ได้ทุ่มเทสู่กษัตริย์ไทยอย่างมั่นคงและเต็มที่ โดยเฉพาะในยามซึ่งพวกเขาต้องประสบกับชะตากรรมอันขมขื่น และต้องการขวัญกำลังใจในช่วงเวลาของการกอบกู้เอกราชของชาติไทใหญ่ อันลำบากตรากตรำในยุคปัจจุบัน.........



    ขอขอบคุณ: คุณ เพนกวินขี้ลืม www.puansanid.com "สมเด็จพระนเรศวร ในประวัติศาสตร์ไทใหญ่ โดยคุณ ปองพล สีแตง "
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ข่าวในพระราชสำนัก
    วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พุทธศักราช 2552

    <DD>เวลา 16.02 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ บริเวณบึงแก่งใหญ่ โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก <DD>เวลา 16.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์อาคารศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ จังหวัดพิษณุโลก ณ พระราชวังจันทน์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก </DD>
     
  3. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    </DD>
    อนุโมทนา

    กับข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่งเลยค่ะ ท่านจงรักภักดี
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <DD><DD>ปลาบปลื้มใจ ได้ยินข่าวนี้ ขอบคุณมากค่ะที่นำมาเผยแพร่ คืนนี้จะรอดูข่าวในพระราชสำนักค่ะ<DD> <DD> <DD>กลับบ้านปั๊บรีบพาแมวไปหาหมอกลัวกลับเกินสองทุ่ม กลับถึงบ้านรีบมาจ้องหน้าจอตู้จะดูข่าวสมเด็จพระเทพฯและสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ดูจนจบข่าวสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงที่ทรงฝึกซ้อมการเล่นกู่เจิงที่เซี้ยงไฮ้แล้ว ก็ไม่เจอข่าวทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กดไปดูข่าวพระราชสำนักซ้ำอีกสองช่อง จึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่ 17 แต่เป็นวันที่ 18 ^^'' (ยิ้มเหงื่อหยดสองเม็ด)


    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2009
  5. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชวังต้องห้ามแบบเสมือนจริง

    [​IMG]
    เศรษฐกิจแบบนี้ เราคงหาโอกาสไปเที่ยวเมืองจีนยากยิ่งขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เดี่ยวนี้เราไม่ต้องบินไปเที่ยวสถานที่จริงๆแล้วครับ ทาง IBM ได้สร้างพระราชวังต้องห้าม ( The Virtual Forbidden City ) ขึ้นมาเพื่อให้เราเที่ยวชมผ่านคอมพิวเตอร์ของเรา

    [​IMG]
    ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง IBM กับ พิพิธภัณท์ของจีน ในการสร้างจำลองพระราชวังต้องห้ามขนาด 178 เอเคอร์ขึ้นมาในโลกเสมืองจริง หลังจากใช้เวลาสร้างกันถึง 3 ปีเลยทีเดียวครับ ขณะนี้พระราชวังต้องห้ามในโลกเสมืองจริงได้เสร็จเรียบร้อยพร้อมเปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีแล้วครับ แต่ไฟล์ที่ดาวน์โหลดขนาด 275MB ไม่ใช่น้อยเลยครับ แต่ก็น่าจะคุ้มค่าสำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปะแบบจีน
    [​IMG]

    ภายในโปรแกรมคุณต้องเลือก avatar, ชุดแต่งตัว, และ อื่นๆ อาทิเช่น เลือกแผนที่, เลือกตึก อาคารที่จะเข้าไปเยี่ยมชม ซึ่งพระราชวังต้องห้ามเสมืองจริงนี้สร้างจากระบบเกมส์ที่ชื่อ Torque ครับ

    สำหรับคนมีเนทกระต่ายนะคะ เนทเต่าอาจจะโหลดไม่ไหวค่ะไฟล์ใหญ่มาก สังเกตุศิลปการก่อสร้างสำหรับพระจักรพรรดิในพระราชวังต้องห้ามนะคะ นำรูปแบบนี้มาสร้างวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ค่ะ

    สนใจดาวน์โหลดพระราชวังต้องห้ามเสมืองจริง
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เพลงตื่นเถิดไทย

    ตื่นเถิดไทย
    เรียบเรียงเสียงประสานโดย หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช





    <DIR>เราเผ่าไทย ต่างคนจากแดนไกล
    ต่างมารวมใจ สามัคคีทุกหมู่เหล่า พวกเราพร้อมพรั่ง
    งามถิ่นเรา ถิ่นไทย ในแดนทอง
    แหล่งดีคนปอง ไทยเข้าครองต้องรวมกัน ผูกพันรักเผ่า

    โบราณนานมาชาติไทยแกร่งเกรียงไกรกล้า
    ฝ่าฟันมาทุกเวลาไม่หวั่น
    พรั่นพรึงอันตราย ผ่านความลำเค็ญ
    ร้อนเย็นมิหน่าย ทอดกายเป็นชาติพลี

    ตื่นเถิดไทย มาพร้อมใจน้องพี่
    เราเลือดไทยเสรี ปฐพีรักยิ่ง
    ตื่นเถิดไทย จงร่วมใจทุกฝ่าย
    เรามิยอมแพ้พ่าย ศัตรูร้ายมุ่ง

    โบราณนานมา ชาติไทยแกร่งเกรียงไกรกล้า
    ฝ่าฟันมาทุกเวลาไม่หวั่น
    พรั่นพรึงอันตราย ผ่านความลำเค็ญ
    ร้อนเย็นมิหน่าย ทอดกายเป็นชาติพลี

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.804116/[/MUSIC]


    ชนในชาติไทยเรานี้รวมมาจากชนหลายๆเชื้อชาติจนมีไทยในวันนี้ได้

    ขอใช้เพลงปลุกใจตื่นเถิดไทยเพื่อปลุกความรักและความหวงแหนในแผ่นดินแม่ของเรา

    เพลงเหล่านี้ได้ยินบ่อยตอนเด็กเรียนประถมอยู่ร้องเพลงปลุกใจหลายเพลงเลย

    เป็นยุคที่คอมมิวนิสต์จะยึดภูมิภาคนี้ทั้งหมด ตามทฤษฏีโดมิโนแล้วประเทศไทยจะต้องล้มไปด้วย

    ด้วยเดชะพระบารมีแห่งบูรพมหากษัตริย์และพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ประเทศไทยรอดแบบเฉียดฉิว กองทัพแดงจากเวียดนามประกาศว่าจะเข้ามากินอาหารเที่ยงที่โคราช และจะมากินอาหารเย็นที่กรุงเทพฯ


    ปีนั้นพ.ศ. 2518 ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า กองทัพแดงของเวียดนามเข้ามาถึงโคราชแล้วด้วยกำลังประมาณสองแสน


    เดชะพระบารมีปกเกล้าฯ ไทยรอดพ้นจากสงครามครั้งนั้นเพราะจีนแดงเปิดศึกกับเวียดนามที่ชายแดนเวียดนามในวันนั้น


    มื้อเที่ยงกองทัพเวียดนามได้มากินที่โคราชแต่มื้อเย็นไม่ทันได้เข้ากรุงเทพฯต้องยกกลับไปป้องกันประเทศตนเองเสียก่อน


    ตอนนั้นใครๆก็ว่าไทยต้องล้มแน่นอน แล้วไทยเราก็รอดได้ในที่สุด ใครได้ยินเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าไทยจะรอดได้


    พระสยามเทวาธิราชทรงปกป้องชาติไทยจนรอดได้แบบเฉียดฉิวที่สุดค่ะ





    </DIR>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2009
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ได้ลองเข้าไปใช้โปรแกรมพระราชวังต้องห้ามเสมือนเพื่อเดินไปดู เก๋งจีนศิลปย่อมุมไม้สิบสองที่สวนหลังวัง มีอยู่สององค์ คืออยู่ด้านซ้ายองค์หนึ่ง อยู่ด้านขวาองค์หนึ่ง คงมีความหมายเป็นพิเศษที่จะต้องสร้าง ซ้ายองค์หนึ่ง ขวาองค์หนึ่งแน่เลยค่ะ

    ศิลปะที่ใช้กับพระราชวังต้องห้ามนี้นำมาใช้กับวัดบรมราชาฯด้วยค่ะ น่าสนใจ

    เดี๋ยวต้องไปซื้อสมุนไพรสูตรตำราที่คุณโมเยแนะนำ แล้วคงจะได้กลับมาสมัครสมาชิกโปรแกรมนี้

    อาจได้คำตอบว่าทำไมจึงสร้างเก๋งจีนสององค์ซ้ายและขวา และทำไมจึงสร้างด้วยศิลปะย่อมุมไม้สิบสองด้วยค่ะ

    ถ้าโชคดีอาจจะหาคำตอบได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  8. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    เมื่อวานวันที่ 19 ธ.ค 2552 ที่ อ .เชียงดาว จ. เชียงใหม่

    ได้มีการแสดง งาน แสง สี เสียง เทิดไท้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    จะติดตามข่าวและนำภาพมาให้ชมนะคะ

    <table id="post2754638" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt1" id="td_post_2754638" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"><table bordercolorlight="silver" bordercolordark="white" width="780" align="center" bgcolor="white" border="1" bordercolor="silver" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td border="0" cellspacing="0" cellpadding="0" width="620" bgcolor="#f8fbff" valign="top"><center><table width="100%" border="0" cellpadding="2" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table width="100%"><tbody><tr bgcolor="#586dbf"><td class="TDNEWS"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="100%">[​IMG] 16 ธันวาคม 2552 / 16:51:46 พิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ --> </td><td>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="middle">
    </td></tr><tr><td class="TDNEWS" bgcolor="#fcfdff">อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่เตรียมจัดงานละครฉลอง 100 ปีเชียงดาว [​IMG] <dd>อำเภอ เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่เตรียมจัดงานละครฉลอง 100 ปีเชียงดาว ประกอบแสง สีเสียง ริมฝั่งน้ำแม่แตง ย้อนประวัติศาสตร์เมื่อครั้งก่อตั้งเชียงดาว ดินแดนแห่งนักรบโบราณ

    </dd><dd>
    </dd><dd>นายสุพจน์ หอมชื่น นายอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีอายุครบ 100 ปีในปีนี้ อำเภอเชียงดาว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ได้จัดละครฉลอง 100 ปี คนดีศรีแผ่นดิน ตอน แผ่นดินนี้ใครครอง ซึ่งจะแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีของชาวเชียงดาว ที่ร่วมต่อสู้ทัพพม่าที่บุกมายึดเมืองเชียงใหม่จนแตกกระเจิง อีกทั้งถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีผ่านการแสดงละคร ประกอบ แสง สี เสียง โดยละครดังกล่าวจะสะท้อนวิถีชีวิตของคนเชียงดาว ส่งผลให้เกิดความรัก ภาคภูมิใจในแผ่นดินเกิด โดยใช้นักแสดงกว่า 300 คน ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อเนื่องมาถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งในปัจจุบันอำเภอเชียงดาวมีพระสถูปเจดีย์พระนเรศวรมหาราช จากในอดีตเคยเป็นทางผ่านและเมืองหน้าด่านในการต่อสู้กับทัพพม่า </dd><dd>ละคร ฉลอง 100 ปี คนดีศรีแผ่นดิน ตอน แผ่นดินนี้ใครครอง จะระหว่างวันที่ 18-21 ธันวาคม 2552 ณ ริมฝั่งแม่น้ำแตง วัดจันทราราม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยมีนักแสดงกิตติมศักดิ์ นายอำเภอเชียงดาว แสดงเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช </dd>
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center></td></tr></tbody></table><!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --> ขวัญเอ๋ย แม่อยู่แห่งใด กลับฟ้าเมืองไทยอโยธยา
    ++ ค ว า ม รั ก มิ ติ ที่ 10 พุ ท ธ ภู มิ นิ ย ม ++<!-- google_ad_section_end -->
    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px 1px;"> [​IMG] [​IMG] <script type="text/javascript"> vbrep_register("2754638")</script> </td> <td class="alt1" style="border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color; border-width: 0px 1px 1px 0px;" align="right">
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2009
  9. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    <table class="tborder" width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 17 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> <center"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </center"></td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> โมเย+</td></tr></tbody></table>

    ขออนุโมทนา

    กับท่านผู้อ่านที่แวะเวียนเข้ามาค่ะ
     
  10. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับทุกเรื่องที่ทุกท่านนำมาลงให้ได้รับรู้ในเรื่องที่ยังไม่รู้ให้มีความรู้มากขึ้น(ทางประวัติศาสตร์ของเราชาวอโยธยา)ขอบคุณมากครับ...สวสดีครับ
     
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อนุโมทนาค่ะ คุณชานนคนไทย
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    The Pavilion of Myriad Springs (Wan Chun Ting) lies in the east of the garden. It was built in 1535 and restored during the Qing Dynasty. This pavilion is coordinating from afar with Qiangiu (Thousand Pavilion) in the west. It is formed by four verandas surrounding a square pavilion with marble steps leading to the pavilion. This pavilion is regarded the best pavilion in the Palace.

    ชื่อศาลาเก๋งจีนย่อมุมไม้สิบสอง ด้านทิศตะวันออก (หันหน้าเข้าพระราชวังต้องห้าม อยู่ขวามือ เพราะพระราชวังต้องห้ามหันไปทิศใต้) ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Pavilion of Myriad Springs ชื่อภาษาจีนว่า Wan Chun Ting แปลว่า ศาลาหมื่นฤดูใบไม้ผลิ

    ส่วนองค์ซ้ายมืออยู่ทางทิศตะวันตก ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Pavilion of Thousand Autumns ชื่อภาษาจีนว่า Qian Giu Ting แปลว่า ศาลาพันฤดูใบไม้ร่วง

    ทั้งสองศาลาสร้างในปี ค.ศ. 1535 หรือปี พ.ศ. 2078 ตรงกับรัชสมัย

    <TABLE style="WIDTH: 638px; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 15pt" height=20><TD style="BORDER-RIGHT: #aaaaaa 1pt solid; PADDING-RIGHT: 1px; BORDER-TOP: medium none; PADDING-LEFT: 1px; FONT-WEIGHT: 400; FONT-SIZE: 11pt; BACKGROUND: #8064a2; VERTICAL-ALIGN: bottom; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 222px; COLOR: white; PADDING-TOP: 1px; BORDER-BOTTOM: #aaaaaa 1pt solid; FONT-STYLE: normal; FONT-FAMILY: Tahoma, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; TEXT-ALIGN: left; TEXT-DECORATION: none">สมเด็จพระไชยราชาธิราช</TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaaaaa 1pt solid; PADDING-RIGHT: 1px; BORDER-TOP: medium none; PADDING-LEFT: 1px; FONT-WEIGHT: 400; FONT-SIZE: 11pt; BACKGROUND: #8064a2; VERTICAL-ALIGN: bottom; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 85px; COLOR: white; PADDING-TOP: 1px; BORDER-BOTTOM: #aaaaaa 1pt solid; FONT-STYLE: normal; FONT-FAMILY: Tahoma, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; TEXT-ALIGN: center; TEXT-DECORATION: none">ศักราช
    895-908
    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaaaaa 1pt solid; PADDING-RIGHT: 1px; BORDER-TOP: medium none; PADDING-LEFT: 1px; FONT-WEIGHT: 400; FONT-SIZE: 11pt; BACKGROUND: #8064a2; VERTICAL-ALIGN: bottom; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 86px; COLOR: white; PADDING-TOP: 1px; BORDER-BOTTOM: #aaaaaa 1pt solid; FONT-STYLE: normal; FONT-FAMILY: Tahoma, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; TEXT-ALIGN: center; TEXT-DECORATION: none">ปี พ.ศ.
    2076-2089
    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaaaaa 1pt solid; PADDING-RIGHT: 1px; BORDER-TOP: medium none; PADDING-LEFT: 1px; FONT-WEIGHT: 400; FONT-SIZE: 11pt; BACKGROUND: #8064a2; VERTICAL-ALIGN: bottom; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 81px; COLOR: white; PADDING-TOP: 1px; BORDER-BOTTOM: #aaaaaa 1pt solid; FONT-STYLE: normal; FONT-FAMILY: Tahoma, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; TEXT-ALIGN: center; TEXT-DECORATION: none">ปี ค.ศ.
    1533-1546
    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #aaaaaa 1pt solid; PADDING-RIGHT: 1px; BORDER-TOP: medium none; PADDING-LEFT: 1px; FONT-WEIGHT: 400; FONT-SIZE: 11pt; BACKGROUND: #8064a2; VERTICAL-ALIGN: bottom; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 74px; COLOR: white; PADDING-TOP: 1px; BORDER-BOTTOM: #aaaaaa 1pt solid; FONT-STYLE: normal; FONT-FAMILY: Tahoma, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; TEXT-ALIGN: center; TEXT-DECORATION: none">(13 ปี)</TD></TR></TBODY></TABLE>


    และลวดลายประดับที่บานประตูของศาลานี้เป็นลาย เชียง เป่า หวา หรือลายกลีบบัวมีไส้

    ดังนั้นทั้งลวดลายย่อมุมไม้สิบสองที่เป็นลายช่องกระจกประดับองค์พระเจดีย์ทรงปราสาท และปูนปั้นประดับพระปรางค์ลายกลีบบัวมีไส้ ที่วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) จะต้องสร้างหลังจากปี พ.ศ. 2078 ไปแล้ว

    กรอบระยะเวลาของการสร้างวัดจึงแคบเข้ามาอีก ว่าพระปรางค์และพระเจดีย์ต่างๆในวัดวรเชษฐ์นี้ สร้างในสมัยอยุธยาตอนกลางแน่นอนเลยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • fc123.jpg
      fc123.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.3 KB
      เปิดดู:
      314
    • 94_big.jpg
      94_big.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.5 KB
      เปิดดู:
      329
    • fc122.jpg
      fc122.jpg
      ขนาดไฟล์:
      132.6 KB
      เปิดดู:
      318
  13. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    [​IMG]
    พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองกึ๊ด

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.739395/[/MUSIC]


    เรื่องเล่า ที่เกี่ยวกับวัดเมืองกึ๊ดและศาลปู่ดำ ขอบคุณที่มา View Topic

    ขออนุญาติเผยแพร่

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ศาลปู่ดำ(ศาลองค์ดำ)ที่วัดเมืองกื้ด อ.แม่แตง เฃียงใหม่ [/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]เมื่อวาน ข้าพเจ้าเดินทางไปวัดเมืองกื้ดพบเรื่องราวที่ควรเผยแพร่ให้ทราบ แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ก็พึงสดับรับฟัง[/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ไว้ เรื่องเล่ามีว่า นานมาแล้วขณะที่เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเมื่อครั้งเป็นพระลูกวัดเมืองกื้ดได้ปัดกวาดลานบริเวณศาลปู่ดำซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดเมืองกื้ด ครั้นเข้านอนฝันพบชายผิวดำรูปร่างสูงใหญ่ พร้อมกับบริวารสวมชุดผ้าโจงกระเบน แล้วชายคนหนึ่งเข้ามาจับบริเวณบั้นเอวของเจ้าอาวาส ครั้นสะดุ้งตื่นให้ปวดบั้นเอวเป็นอย่างมาก จนสายก็ยังไม่บรรเทาจึงเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแล้วทานยาตามแพทย์สั่งเป็นเวลาหลายวันอาการดังกล่าวก็ยังไม่หาย จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าอาวาสวัดเมืองกื้ดในขณะนั้นทราบครั้นท่านทราบแล้วจึงนำพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาที่ศาลปู่ดำ(องค์ดำ)หลังจากนั้นอาการปวดที่บั้นเอวก็อันตรธานหายไป..และ[/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ท่านเจ้าอาวาสองค์นั้นก็ยังเล่าเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันว่า..ครั้งหนึ่งฝันว่าชายผิวดำสูงใหญ่มาพบท่านโดยบอกว่ามีสิ่งสำคัญรักษาอยู่ภายในวัดจะให้เจ้าอาวาสเห็น ครั้นเดินตามท่านไปก็พบหีบบรรจุทองคำ และสร้อยสังวาลเป็นจำนวนมาก ...[/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ศาลปู่ดำ(องค์ดำ) ภาค ๒(ต่อจากกระทู้) [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]หลังจากนั้น อีก ๒ วันให้หลัง (๒ ธันวาคม ๒๕๕๐) ข้าพเจ้าเดินทางไปวัดเมืองกื้ด อีกครั้งเพื่อขอสัมภาษณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัด(ปัจจุบันได้ลาสิกขาบทมาประมาณ ๑ ปีเศษ) ท่านเล่ารายละเอียดไว้หลายประการเช่น [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]..ในขณะที่ท่านจำวัดในช่วงบ่ายของวัน หากมีญาติ โยมเดินทางเข้ามาในวัด จะมีเสียงกระซิบที่ข้างหู บอกให้ตื่น โยมกำลังมาพบ ท่านก็จะตื่นจากจำวัด และเดินออกจากห้องจำวัด ก็จะพบญาติ โยม อยู่พอดี เป็นอย่างนี้อยู่เป็นประจำ หาใช่หลับฝันไม่... [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]....บางเหตุการณ์หากปู่ดำ(องค์ดำ)จะมาปรากฏ ขณะท่านกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น จะเห็นชายผิวดำรูปร่างสูงใหญ่ เดินมายังท่าน ขณะเดียวกันร่างกายของท่านจะไม่มีแรงยกแขนขาไม่ขึ้น จนปู่ดำเดินผ่านไปแล้วจึงจะมีเรี่ยวแรงกลับคืนมา.... [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]....เหตุการณ์สำคัญ ก็คือในคืนหนึ่งหลังจากท่านจำพรรษามาแล้ว ๓ พรรษา ท่านหลับฝันไปว่า ปู่ดำ(องค์ดำ) บอกว่ามีสิ่งของสำคัญ และมีค่า เก็บรักษาไว้ในบริเวณวัดแห่งนี้จะบอกให้ท่านทราบ จึงเดินตามปู่ดำไป พลันก็พบหีบสมบัติฝังไว้ในดินอยู่จำนวน ๓ หีบ หีบแรกบรรจุทองคำ หีบที่สองบรรจุเครื่องเพชร สร้อย แก้ว แหวน และหีบสุดท้ายเป็นเป็นเครื่องสูงประกอบด้วยปิ่น ตุ้มหู ฯลฯ ...หลังจากนั้นปู่ดำจึงปิดหีบทั้ง ๓ ใบ และบอกเป็นปริศนาว่า "กุญแจไขหีบสมบัติมีอยู่ที่ แม่...แต่ไม่บอกว่าแม่ หมายถึงแม่ใด? ...... ครั้นตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นจึงนำความในฝันไปปรึกษาหลายท่าน แต่ก็ไม่สามารถแก้ ปริศนา "แม่" ได้ จนถึงปัจจุบันนี้ ....[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  14. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210

    อนุโมทนาค่ะ

    พี่ชานนคนไทย สบายดีหรือเปล่าคะ
     
  15. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    <table class="tborder" width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 25 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 24 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> <center"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </center"></td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> EEEEaa</td></tr></tbody></table>
    อนุโมทนากับท่านผู้อ่านทุกท่าน

    ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นได้ ค่ะ
     
  16. จมื่นราชฯ

    จมื่นราชฯ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +57
    อดีต/ปัจจุบัน/อนาคต

    ชิตพงษ์ วุทธานันท์ | 2007.10.25 | บันทึกของชีวิต พรรณาจากใจ พุทธจากใจ |
    คนเราก็แปลก อดีตล่วงเลย แก้ไขไม่ได้ มักคิดถึงย้อนลำลึกเสมอ อนาคตยังไม่ถึง ก็ชอบคาดหวังไว้เกินไป
    สุดท้ายนั่งจมกับความสุขความผิดหวังในอดีต และผิดหวังกับอนาคตที่ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เสมอ
    ผมโดนทักเป็นประจำว่าเป็นคนคิดมาก ซึ่งเมื่อก่อน ก็จะเถียงๆ กับคนที่พูดหรือแม้แต่ตนเองว่า ที่คิด เพราะต้องการเห็นหลายมุมมอง จะได้วางแผนล่วงหน้าทันท่วงที เป็นเช่นนี้ประจำ
    จนมาตอนหลัง รู้สึกว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์(อันแสนนาน)และความสุข(ชั่ววูบ) นั่นคือ อดีต กับอนาคต นั่นเอง
    พระพุทธเจ้าและผู้รู้หลายท่าน มักสอนเสมอๆ ให้เราอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
    ตอนแรกไม่เข้าใจหรอกว่า อยู่กับปัจจุบันคืออะไร? ทำปัจจุบันให้ดีแล้วจะได้อะไร? สู้มองการใกลเพื่อวางแผนแล้วทำให้ดีไม่ดีกว่าหรอ?
    หลังจากเจอเหตุการณ์ต่างๆ นานา ทำให้ได้ครุ่นคิด ได้อยู่คนเดียว บังเกิดปัญญาขึ้นมาเล็กน้อยว่า
    การที่เราอยู่กับปัจจุบัน มันจะทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทุ่มเทกำลังสติปัญญา แรงกาย แรงใจ ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ เวลานั้น จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
    เมื่อทำปัจจุบันดีแล้ว ต่อไป ปัจจุบันที่ดี มันก็จะกลายไปเป็นอดีตที่ดี ไม่ต้องมาหวนรำลึกว่า ทำไมไม่ทำให้ดีตั้งแต่แรก ทำไมไม่คิดตั้งแต่แรก สุดท้ายก็มานั่งทุกข์ ทน รันทด โง่ จน เจ็บ เสียใจกับการกระทำในอดีตให้ปวดหัวเป็นทุกข์ตามมาอีกนานแสนนาน
    แล้วถามตัวเองต่อไปว่า อนาคตล่ะ ไม่ต้องมาวางแผนกันเลยหรือ?
    ก็ขอตอบตัวเองอีกเช่นกันว่า ก็ต้องวางสิ! แต่อย่ายึดติดกับมันสิ! ว่ามันจะต้องเป็นจริง
    เพราะทุกสถานการณ์ล้วนเกิดจาก การกระทำของตัวเรา (กรรมที่ก่อขึ้นในชาตินี้) และสิ่งที่มากระทบจากนอกตัวเรา (กรรมที่ก่อขึ้นในชาติที่แล้ว) ทั้งอดีตและปัจจุบัน มาเป็นตัวแปรผันเสมอ
    ถึงแม้จะมั่นใจว่าทำดีมาตลอด สามมารถควบคุมการกระทำตนเองได้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งกระทบจากภายนอกได้ว่ามันจะมารูปแบบไหน
    เป็นเช่นนี้แล้ว คาดการณ์ไปก็มีโอกาสผิดพลาดสูง
    แม้โบรกเกอร์ให้เก่งแค่ไหน ก็วิเคราะห์หุ้นผิดมันแทบทุกนาที…
    แม้คนทำเว็บเก่งแค่ไหน ก็วิเคราะห์ปริมาณคนเข้าเว็บผิดมันแทบทุกชั่วโมง
    แม้พยากรณ์อากาศด้วยเทคโนโลยีใหม่แค่ไหน ก็พยากรณ์ผิดมันแทบทุกวัน
    นับประสาอะไรกับปุถุชนสิ้นสติ ไร้ปัญญา ที่เดินดินกินข้าวจานแกงไปวันๆ
    “ความไม่แน่นอนคือความแน่นอนอย่างที่สุด ตั้งแต่ควอนตัม ยัน จักรวาล”
    วันนี้สอนตัวเองแค่นี้
    หยุดความฟุ้งซ่านในตน
    เลยแบ่งให้ทุกท่านที่อ่านได้หยุดด้วยกัน
    เอวัง ขอจบการบ่นด้วยประการฉะนี้



    ข้าพเจ้าขออนุญาตเริ่มต้นด้วย อดีต/ปัจจุบัน/อนาคต ที่ชาวพุทธทุกท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว เป็นการโหมโรง ทั้งนี้ก็ต้องขอขอบพระคุณ คุณโมเย ที่ได้
    กรุณานำเรื่องหีบสมบัติมากล่าวถึง หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินหรือเคยได้รู้เรื่องและเข้าใจกันไปหลายทิศทางที่ค่อนข้างจะมีแนวโน้มไปในแนวที่คล้ายๆ
    กัน ซึ่งเป็นการมิบังควรอย่างยิ่ง กระผมเห็นว่าเป็นโอกาสและจังหวะที่สมควร
    จะได้เสนอข้อคิดเห็นอย่างน้อยที่สุดก็เป็นการป้องกันพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน
    ประการแรก ในสถานการณ์ศึกสงครามที่ต้องรบราฆ่าฟันกันนั้น ความเป็นพระ
    มหากษัตริย์ชาตินักรบนั้นย่อมต้องมีความเป็นผู้นำที่จะต้องกระทำพระองค์ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่เหล่าทหารทั้งปวง ทรงลำบากตรากตรำร่วมกันกับทหาร
    เชื่อ ว่าต้องไม่มีอิสตรีร่วมไปในกองทัพแน่นอน โดยเฉพาะการยกไปตีอังวะ
    ในครานั้น เพราะฉะนั้นข่าวที่เคยมีการพูดกันว่ามีหีบสมบัติที่เป็นเครื่องถนิมพิมพาภรณ์จึงเป็นไปไม่ได้
    ประการที่สอง กาลครั้งนั้นเป็นการไปรบทัพจับศึกไม่จำเป็นที่จะต้องขนทรัพย์
    สมบัติติดตัวไปให้เป็นภาระกับการศึกสงคราม ไปหาเอาข้างหน้ามีมากมายมหาศาล

    ประการสุดท้าย ถ้าหีบสมบัติมีอยู่จริง ถูกขุดพบกันไปนานแล้วล่ะขอรับ


    ***กระผมขอแสดงความเคารพทุกๆท่านมาโอกาสนี้ขอรับ ผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขออภัยด้วยนะขอรับ
     
  17. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    อนุโมทนากับพี่ท่านจมื่นขอรับ

    -<TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    โอปนยิโก

    คนเราถ้ามีโอปนยิกธรรม จิตใจก็เป็นธรรมคุณ เป็นจิตใจที่มีสัมมาทิฏฐิ
    เมื่อใจเป็นธรรม เห็นอะไร ๆ ก็โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ใจ
    เช่น ธรรมดาเมื่อเห็นรูปด้วยตา บางทีเห็นว่ารูปนั้นสวย จิตก็ปรุงไป
    เกิดราคะ เกิดความยินดีพอใจ อยากได้เป็นของเรา
    ทีนี้ถ้าใจของเราเป็นธรรมแล้ว พอเห็นรูปสวยก็ โอปนยิโก
    น้อมเข้ามาดูกาย พิจารณากาย เห็นกายตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร
    พิจารณาตั้งแต่เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ของตนเอง
    หรือพิจารณาข้างในกายว่า มีกระดูกบ้าง เลือดบ้าง น้ำเหลือง น้ำหนองบ้าง
    ตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าร่างกายของมนุษย์นี้ล้วนเป็นปฏิกูล
    ของเน่าเปื่อยสกปรกเหมือนกันทั้งหมด
    เห็นเป็นอสุภะบ้าง เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้าง
    ทำให้สามารถระงับราคะ ระงับตัณหา คือความยินดีรักใคร่ในรูปลงเสียได้
    หรือถ้าเห็นรูปไม่สวย เห็นใครทำอะไรน่าเกลียด ก็โอปนยิโก
    พิจารณาว่าลักษณะอย่างนี้น่าเกลียดจริง ๆ ไม่น่าศรัทธาเลย
    เราก็ดูว่าเรามีลักษณะอย่างนี้บ้างหรือไม่ ธรรมดาก็มีกันทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง
    เราต้องรีบตั้งสติเตือนตัวเองว่า ลักษณะอย่างนี้ไม่น่าทำ ไม่ควรทำ
    เราอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ น้อมเข้ามาดูตัวเองพัฒนาตัวเอง ไม่คิดฟุ้งซ่าน
    ไม่คิดอัตตาตัวตน ว่าเขาว่าเรา เขาไม่น่าเป็นคนอย่างนั้น เขาไม่น่าทำอย่างนั้น
    คิดอะไร ๆ ไปสารพัดอย่าง ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดกิเลส ความจริง
    คนอื่น ๆ ไม่สำคัญ สำคัญที่เรานี่แหละ
    ให้เราพัฒนาตัวเอง ระวังกิเลสตัณหาของตัวเอง
    ชำระจิตใจตัวเองไปเรื่อย ๆ

    เสียงที่ได้ยินทางหูก็เหมือนกัน ใครพูดน่าเกลียด
    คำนินทาหรือดูหมิ่นดูถูก ใครด่าเรา พูดไม่ถูกใจเรา เราเกิดความไม่พอใจ
    เกิดความไม่สบายใจ เมื่อใจเป็นธรรมแล้วจะยกขึ้นพิจารณาทันทีว่า
    ความไม่ใจเกิดขึ้นเพราะอะไร สาวหาสาเหตุ
    เหตุก็อยู่ที่ใจ เราจะเห็นกิเลสตัณหาที่ใจของเราเอง
    จะพบว่าทุกข์อยู่ที่ใจของเราเอง เหตุก็อยู่ที่ใจของเรานี่แหละ
    คำพูดของเขาการกระทำ ของเขาเป็นเพียงปัจจัย
    เราควรพิจารณาเหตุผลและปัจจัย
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อทุกข์เกิดขึ้นให้ระงับเหตุ
    ทุกข์เป็นผล คำนินทาเป็นปัจจัย
    ไม่ใช่ไปเปลี่ยน ปัจจัยไม่ให้เขาพูดไม่ให้เขาทำ
    พระพุทธองค์ไม่ให้สนใจปัจจัย ไม่ให้สนใจที่คนอื่นมากนัก
    เพราะเราจะไปแก้คนอื่นทั้งโลกเพื่อให้เขาทุกคน ทำทุกอย่างให้เราพอใจ
    ให้เราสบายใจไม่ได้ดอก ต้องแก้ที่ใจเรา แก้ที่ตัวเรา
    แก้ที่ความคิดของเราเอง "อัตตนา โจทยัตตานัง"
    ให้กล่าวโทษโจทย์ความผิด ตรวจความผิดของตัวเอง และหมั่นแก้ไขเสมอ ๆ
    อย่าไปเสียเวลากล่าวโทษและพยายามแก้ไขที่คนอื่นเลย
    นี่เป็นการเข้าใจตามอริยสัจสี่ เป็นโอปนยิโก

    ฉะนั้นเมื่อเกิดทุกข์เกิดความไม่พอใจขึ้น ให้รีบสำรวมกายวาจา
    สำรวมกายให้เรียบร้อย วาจาให้ระงับ รีบอบรมจิตใจให้คิดถูกคิดดี
    เพื่อระงับกิเลสตัณหาของตัวเอง คนอื่นช่างเขา
    ให้น้อมเข้ามาพิจารณาว่า คำนินทาสรรเสริญเป็นโลกธรรม 8
    เป็นของธรรมดาประจำโลก
    แม้แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ
    ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลกถึงปานนั้น ก็ยังไม่พ้นคนนินทา
    และพระองค์ อาจจะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกนินทามากที่สุดในโลกก็ได้
    ฉะนั้นการที่เราถูกนินทาจึงเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ที่ทำงานรับผิดชอบมาก
    มีหน้าที่การงานสูง ยิ่งจะต้องถูกนินทา มากขึ้นเป็นธรรมดา
    เมื่อเขานินทาว่าเราทำผิดทำไม่ดี เราก็รับฟังด้วยใจเป็นกลาง ๆ
    และพิจารณาดูว่า เราไม่ดีหรือทำผิดตามที่เขาพูดหรือเปล่า
    ถ้าเห็นว่าเขาพูดถูก เราก็ขอบคุณเขา และนำมาแก้ไขตัวเอง
    ถ้าเราพิจารณาแล้วเห็นว่าเราไม่ได้ผิดตามที่เขาพูด
    ก็เมตตาสงสารเขา เพราะเขาไม่รู้จริง เราไม่ต้องโกรธเขา
    " สิขีภูโต " เอาตนเป็นพยานของตน
    แม้แต่รอบด้านจะนินทาเรา ถ้าเราไม่ผิด ปกติเราก็จะทุกข์มาก
    ทำใจไม่ได้คือไม่เชื่อธรรมะ เชื่อคำพูดของคนอื่น
    แต่ถ้าใจเป็นธรรมะจริง ๆ เราก็ไม่หวั่นไหวไม่เสียใจ
    แล้วให้น้อมเข้ามาดูใจเราว่ายังทุกข์ยังโกรธเขาอยู่หรือเปล่า
    ถ้ายังทุกข์อยู่ก็พยายามระงับเหตุ คือตัณหาอุปาทานที่ใจเรานี่แหละ
    ทุกข์เกิดเพราะเหตุปัจจัยพอดีกัน ถ้าเราระงับเหตุได้
    ถึงแม้จะยังมีปัจจัย คือยังมีคำนินทาอยู่ เราก็ไม่เป็นทุกข์

    ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอกุศลมูลนอนนิ่งอยู่ในสันดาน
    อยู่ในจิตใจของคนเรา นี่คือมูลเหตุของทุกข์ เมื่อมีปัจจัยมาจากภายนอก
    รูปไม่สวย คำพูดไม่ไพเราะ มากระตุ้นก็ปรุงขึ้นมา ถ้าเราได้สติปุ๊บ
    พอเกิดทุกข์หรือยินร้ายหรือเกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น
    หรือเกิดอารมณ์แล้วต้องรีบโอปนยิโก น้อมเข้ามาหาเหตุที่ใจเรา
    ไม่ต้องนึกถึงเขา เพราะนึกถึงเขาก็เกิดเรา เกิดเป็นอัตตาตัวตน
    เขาไม่ดีขนาดไหน ไม่สำคัญ อย่าปล่อยจิตใจเราให้ฟุ้งซ่านออกไป
    จิตคิดมากก็เกิดปฏิกิริยาออกทาง หน้าตา วาจา กาย
    จนรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไม่ได้ ธรรมดาเราน่าจะรักษา
    กายวาจาให้เรียบร้อยได้ ยิ่งรักษาใจได้ศีลจะยิ่งสมบูรณ์ขึ้น
    ทำใจเฉยได้ เรียกว่าศีลเป็นปกติ กาย วาจา จิตเรียบร้อย
    ศีลหนักแน่นเหมือนศิลา ถูกนินทาด่าว่า ก็ทำใจเฉยได้
    ใจเป็นศีล ฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นรูปที่สวย ไม่สวย เห็นคนทำดี ทำชั่ว
    ได้ยินเสียงสรรเสริญ เสียงนินทา เสียงที่ไพเราะ เสียงที่ไม่ไพเราะ
    กลิ่นที่เหม็น หอม ชิมรสที่อร่อย ไม่อร่อย
    สัมผัสที่กาย เกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา อะไร ๆ ก็แล้วแต่
    ก็มีโอปนยิโกน้อมเข้ามาดูตัวเองพัฒนาตัวเอง ละความชั่ว บำเพ็ญความดี
    ยังประโยชน์ให้เกิดแก่ตัวเองฝ่ายเดียว เอากำไรไปเรื่อย ๆ

    โอปนิยิโก คือ การน้อมเข้ามาสู่ใจ เป็นกระบวนการของจิตที่พิจารณา
    ตามกระแสของอริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท
    ปฏิจจสมุปบาทนี่ให้ทบทวนบ่อย ๆ ตั้งแต่ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน
    ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัสอุปายาส
    คอยตั้งสติทวนกระแสของปฏิจจสมุปบาท ไม่ให้ไหลไปตามวัฏฏสงสาร
    ตั้งสติได้ตรงไหน เมื่อไร ก็ทวนกระแสเมื่อนั้นตรงนั้น
    ถ้าสติปัญญาว่องไว เมื่อผัสสะเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
    ก็รู้ทันทีว่า สักแต่ว่ารูป สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่ากลิ่น
    สักแต่ว่ารส สักแต่ว่ารู้ สัมผัสทางกาย สักแต่ความคิด คิดอะไรก็รู้
    สักแต่ว่ารู้ เวทนา ตัณหาก็ไม่เกิด "สักแต่ว่า" เป็นเรื่องของปัญญาเป็นวิปัสสนา
    ถ้าจับผัสสะไม่ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบ เป็นเวทนา
    ถ้าปรุงแต่งต่อไปก็จะเกิดตัณหา อุปาทาน อันเป็นตัวทุกข์
    ตามกระแสของปฏิจจสมุปบาท และถ้าคิด ๆ ต่อไปก็จะเกิดเป็นภวะเป็นภพ
    ถ้าปรุง ๆ ต่อไปมากขึ้น ๆ จนเกิดเป็นเรื่องราว ก็จะเป็นชาติ โสกะปริเทวะ
    ทุกขโทมนัส อุปายาสก็จะตามมามากมาย
    ฉะนั้นเมื่อความรู้สึก คือเวทนาเกิดขึ้น พยามยามให้เห็น ว่าเป็นอนิจจัง
    ปล่อยวางเสีย อย่ายึดมั่น ถือมั่น ทุกข์ก็ไม่เกิด
    สอนใจตัวเอง ด้วยคำที่หลวงพ่อสอนง่าย ๆ ว่า
    "ชอบหรือไม่ชอบ อย่ายึดมั่นถือมั่น"
    พยายาม จับความรู้สึกแล้วก็ปล่อย หรือ เมื่อทุกข์เกิดแล้ว
    ก็น้อมเข้ามาดูใจตัวเอง สาวหาเหตุของทุกข์ตามปฏิจจสมุปบาท
    หรืออริยสัจ 4 ก็จะพบตัณหาอุปาทาน
    ให้พยายามทวนกระแสปฏิจจสมุปบาท
    เพื่อระงับเหตุ คือตัณหาอุปาทานทุกข์ทั้งหลายก็จะดับไป
    การทวนกระแสนี้คือ การดำเนินตามมรรค
    จึงควรที่เราจะพยายามตั้งมรรคตลอดเวลา

    --------------------------------------------------------------------------------



    ท่านต้องขจัดความคิด ว่าตัวฉลาด สามารถ ออกไปเสีย
    ถ้าท่านคิดว่า ท่านดีกว่าผู้อื่น ท่านก็จะมีแต่ทุกข์
    เป็นเรื่องน่าสงสาร
    อย่าขุ่นเคืองใจ
    แต่จงเฝ้าดูตนเอง
    อย่าเปรียบเทียบ แบ่งเขา แบ่งเรา
    จงละทิฏฐิของตนเสีย และเฝ้าดูตัวท่านเอง
    นี่แหละคือธรรมะของเรา


    จากหนังสือที่ระลึก พระโพธิญาณเถร
    (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : หนู [ 4 เม.ย. 2543 / 16:17:17 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 199.100.49.112 ]
    [/SIZE]


    ๐ ขอขอบคุณแหล่งที่มา www.larndham.net
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210

    อนุโมนาด้วยค่ะท่านจมื่นราช

    เรื่องหีบสมบัตเป็นเรื่องที่ไปเจอในเวปไซด์หนึ่งค่ะ

    ที่มีการเล่าและเสนอข้อคิดเห็นต่อๆกันมา
    (ต้องขออนุญาติเวปไซด์และผู้เขียนอีก ครั้งหนึ่งค่ะ)

    โมเยได้หลักธรรมะหลายข้อ และ ต้องขอบคุณเมื่ออ่านเรื่องราว หีบสมบัติ และ ข้อคิดเห็นของท่านจมื่นราช
    ถือว่าเรื่องนี้ ล้วนแต่เป็นครูธรรมะชั้นดีทีเดียว


    ธรรมะที่ได้จากเรื่องนี้ มีอยู่หลายข้อหาก ลองพิจาณาดีดี

    เมื่อได้อ่านแล้วตีเป็นข้อธรรมะ แ้ล้วเกิดความเข้าใจ

    ทำให้ภาวะจิตและภาวะธรรมเจริญ ได้ด้วยค่ะ



    เหมือนโมเยเจอ คนเมานอนข้างทาง โมเยรีบนึกในในว่า

    ขอบคุณเขาจริงๆที่แสดงธรรมะให้ดู


    ใดใดในโลกนี้ล้วนอนิจจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2009
  19. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    สวัสดีครับพี่โม สบายดีไม๊ขอรับ เจียงใหม่เฮา หนาวบ่นานนัก

    บ่ฮู้ว่าจะเป็นเหมือนเดิมเมื่อใด
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,915
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เป็นข้อเสนอที่น่าคิดตามค่ะ

    คิดว่าเจ้านายฝ่ายในคงไม่มีพระองค์ใดตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรในการสงครามนะคะ

    เป็นความเห็นส่วนตัวเช่นเดียวกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...