พญามาร, เป็นใคร มาจากไหน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย birdkub, 5 มกราคม 2010.

  1. birdkub

    birdkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +401
    พญามาร คือ พญามาร อยู่ในโลกของมารซึ่งอยู่นอกเหนือจากภพสาม มารโลก จะตรงข้ามกับ พระนิพพาน
    เป็นต้นกำเนิดของ อกุศลธาตุ อกุศลธรรม เป็นผู้สร้างกิเลส กรรมชั่ว วิบากชั่ว
    เป็นผู้เซตผังบาป บังคับครอบคลุม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดีในภพสามทั้งหมด

    มารมีอยู่มานานแล้ว อยู่มานานพอๆกับพระนิพพาน จะสู้รบกับพระนิพพานมาโดยตลอด
    นานมาก นานจนนับไม่ได้ว่านานเท่าไร มารมีก่อนมวลมนุษย์ชาติ มีก่อนจักรวาลทั้งหมด มีก่อนสรรพสัตว์สรรพสิ่งทุกอย่าง

    ฤทธิของมารจะตรงข้ามกับพระนิพพาน คือจะกลั่น แก้ เก็บ บุญกุศล ทุกสิ่งทุกอย่างในใจของมุษย์เพื่อลากไปเป็นขี้ข้าของตัวเอง
    เพื่อ ให้มนุษย์ลืมความตั้งใจเดิมที่จะมาปราบมาร เพราะมนุษย์ทุกคน มีหน้าที่หยุดใจนิ่งเพื่อให้เข้าถึงผู้รู้ภายใน แล้วนำกายหยาบของตนเองเพื่อเป็นฐานทัพท์พระนิพพาน และใช้อานุภาพของพระนิพพานเพื่อทำลายมาร

    แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้ ก้อจะรบราฆ่าฟันกันเองจนบาดเจ็บล้มตายกันเอง มารก็จะเอาไปขังไว้ในนรกขุมต่างๆบ้าง เพื่อไม่ให้มาเกิดใหม่ เขาก็สร้างภพภูมิขึ้นมาครอบความเป็นมนุษย์เอาไว้ เอารูปแบบกายต่างๆมาครอบเอาไว้ เช่น เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง เอาความแก่ ความตายมาครอบงำมนุษย์ เพื่อจุดประสงค์เดียวคือไม่ให้มุนษย์รู้เรื่องราวดั้งเดิมของตัวเองแล้วปราบ เขา

    ส่วนบางพวกที่ใจหมองมากจนดำมืด มิดสนิท จนดิ่งไม่มีสัมมาทิฏฐิ มีแต่มิจฉาทิฏฐิดำดิ่ง มืดมิดสนิทมากๆๆ จะถูกมารเก็บเอาไว้ในโลกันต์นรก หมดสิทธิมาเกิดเป็นอะไรทั้งสิ้น กว่าจะพ้นกรรมก็คงจะโ่น่นแหละครับ การศึกระหว่างมารกับพระเสร็จสิ้น หรือที่เราเรียกที่สุดแห่งธรรมนั่นแหละครับ

    ***อ้างอิงและถอดความให้เข้าใจโดยง่าย จาก
    <!--sizeo:2--><!--/sizeo-->วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา ปริเฉทที่ ๑๗ ปัญญาภูมินิเทศ หน้าที่ ๑๔๑ - ๑๔๕<!--sizec--><!--/sizec-->

    ปัจจยาการวิภังค์ - อภิธรรมภาชนีย์ - อวิชชามูลกกุศลนิเทส พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
     
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    พญามาร คือ มหาเทพองค์ที่ปกครองแดนเทพที่มีใจอกุศล อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖
    สวรรค์ชั้นนี้มี ๒ แดน แดนเทพที่มีใจอกุศลและแดนเทพที่มีใจเป็นกุศล ๒ แดนนี้จะแยกกันต่างคนต่างอยู่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
    มหาเทพองค์นี้ (พญามาร ) มีอายุขัย ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๑๖,๐๐๐ ปีของโลกมนุษย์ = ๑ วัน ๑ คืน ของสวรรค์ชั้นที่ ๖ )
    พญามารมีหน้าที่คอยขวางคนบำเพ็ญบารมี และขวางคนที่จะไปนิพพาน
     
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ

    .....สวรรค์ชั้นสูงสุดแห่งแดนสุขาวดี มีนามปรากฎว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ที่ได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภุมิ ก็เพราะว่า สวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าพวกหนึ่ง ซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ ที่เทวดาอื่นรู้ความต้องการของตน แล้วนิรมิตให้ เป็นที่อยู่อันประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่า สวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหมด โดยมี สมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี ฉะนั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ - ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดา ที่มีพระสมเด็จปรนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี นอกจากจะมีทิพยสมบัติ เช่น ปราสาททอง เป็นต้น สวยงามประณีตวิจิตรบรรจง กว่าสวรรค์ชั้นอื่นแล้ว การเป็นอยู่ของผู้ที่อุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ยังแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ

    ฝ่ายเทพยดา... มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่พระนามว่า สมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพญาเจ้าปกครองเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขสำราญ ตามควรแก่อัตภาพ
    ฝ่ายมาร... มีมาราธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่า ท้าวปรนิมมิตวสวตตีมาราธิราช เป็นพญาเจ้าฟ้า ปกครองหมู่มารทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขสำราญ ตามควรแก่อัตตภาพ

    เป็นอันว่า สวรรค์เมืองฟ้า ปรนิมมิตวสวัตตี มีการปกครอง แบ่งออกเป็น ๒ ภาค คือ ภาคเทพยดาพวก ๑ ภาคหมู่มารพวก ๑ มีเขตแดนกั้นระหว่างทั้งเทพยดา และมาร ต่างฝ่ายต่างก็เสวยสุขสมบัติ ณ. ทิพยสถานวิมานแห่งตน ด้วยความสุขอันประณีต ยิ่งล้นกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าอื่น ๆ เพราะ เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในมงคลจักรวาฬ
    จักขอกล่าวถึงพระบรมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประทับอยู่ ณ. สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ภาคหมู่มาร พระบรมโพธิสัตว์พระองค์นั้น ก็คือ พญาเจ้าฟ้าแห่งหมู่มารนั่นเอง


    วสวัตตีมาราธิราช

    พญาวสวัตตีมาราธิราช เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมี เช่น ทานศีล เป็นอาทิ มามากต่อมาก แต่กองพระบารมีกองหนึ่ง ซึ่งปรากฎยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลาย เรียกว่า ปรมัตถบารมี ควรที่จะยังพุทธสมบัติให้สำเร็จ ก็คือ พระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณเจ้า บรมโลกุตมาจารย์ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พญามาราธิราชผู้นี้ เกิดเป็นมนุษย์นามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่ง อรรคมหาเสนาบดี ของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยนักหนา กาลวันหนึ่ง พระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ เสวยวิมตุติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ. ภายใต้ต้นไทรใหญ่ และ ใกล้จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงมีพระราชดำริว่า "พระมหากรุณาธิคุณเจ้า เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ ผลบุญมหาศาลล้ำเลิศ บัดนี้ เราจักถวายทานแด่พระองค์" แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฏีกา ประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า

    "ถ้าบุคคลผู้ใด ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักลงอาญาแก่ผู้นั้น" แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฏีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฏีกา ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้อาลัยในชีวิต พอรุ่งเช้า จึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยารวมเป็น ๒ ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนั้น จึงถามด้วยคารวะว่า "ข้าแต่ท่านเสนาบดี เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฏีกาที่ทรงห้ามไว้" ท่านอำมาตย์ใหญ่ ชั้นเสนาบดี ได้ฟังแล้วดำริว่า

    "ถ้าเราจะบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จว่า พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนา พระพุทธเจ้าเข้าไปในวัง ก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่ เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแด่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้ว ทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริง แม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่" แล้วจึงบอกไปว่า "เราจะเข้าไปถวายทาน แด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า" พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลัง นำไปถวายพระราชา เพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศรีษะประหารชีวิตเสียทันที

    สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิอำมาตย์ จึงเนรมิตพระพุทธนิมิต ให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่ ส่วนพระองค์เสด็จปาฎิหารย์ไปประดิษฐาน ณ. สถานที่ประหารท่านเสนาบดี ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียว แล้วมีพระพุทธฏีกาว่า "ดูกร โพธิเสนาบดี ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำจิตให้เลื่อมใสในตถาคตเถิด" โพธิเสนาบดี ได้สดับพระพุทธฏีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ จึงนำห่อภัตตาหารของตนกับภรรยา อัญชลีน้อมเกล้า ฯ เข้าถวายแด่องค์พระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ชีวิตของข้าพระบาท ก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นด้วยเถิด" สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศรีษะท่านเสนาบดี แล้วยังทรงพยากรณ์ว่า "ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่าน จงพลันสำเร็จเถิด ดูกร ท่านเสนาบดี ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิด ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง"

    เวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้ บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง เพราะ ยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ทดลองพระบารมีสมเด็จพระศรีศากมุนีสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญด้วยประการต่าง ๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลัง มีความเศร้าเสียใจอย่างหนัก ถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิ ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง..........

    ที่มา ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ - Windows Live
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2010
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    โมทนาครับ ตอนนี้ไม่มีพญามารแล้วครับ ท่านเป็นสัมมาทิฐิแล้ว
    หลังจากโดน "พระอุปคุต" ทรมานจนยอมกลับใจจาก "มิจฉาทิฐิ" เป็น "สัมมาทิฐิ" ครับ

    ขอยกคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้อ่านครับ

    <!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    พระยามาราธิราช โดย หลวงพ่อฤาษี

    --------------------------------------------------------------------------------

    วันที่ไปเยี่ยมจาตุมหาราชที่เล่ามาแล้วนั้น ก็เลยไปดาวดึงส์ ไปยามาแล้วก็ดุสิต ที่ชั้นดุสิตหลวงพ่อปานมารับ ก็กราบๆ ท่าน ท่านถามว่า เออ อยากพบพระศรีอาริย์ไหมล่ะ ตอบว่า อยากจะ เจอะ จะเจอะ ยังไงได้ล่ะ ท่านบอกว่า ไม่ต้องไปหรอก ท่านมาแล้ว สวย ดุสิตนี่สวยจริง ๆ ยามาน่ะ เขาขาวพรึ่ดหมด ต้นไม้น่ะมีแค่ ดาวดึงส์แห่งเดียวนะ เทวดานักฟ้อนก็มีแต่ดาวดึงส์แห่งเดียวเพราะว่า เป็นเมืองหลวง ชั้นยามาสวดมนต์ ตะพึด ดุสิตสวยสดงดงาม ไปถึงชั้นนิมมานรดี เทวดาที่ทำหน้าที่นิรมิตต่างๆเป็นชั้นที่ 5 ที่ว่า "ชั้น"น่ะไม่ใช่เป็นชั้นซ้อนๆ กันนะ เป็นพื้นเดียวอย่างโลกเรานี่แหละ แบ่งเป็นเขตเท่านั้นเองแต่เป็นทิพย์ ไปถึงแวะ เยี่ยมท่านแก้วจินดาก่อน ท่านแก้วจินดา ท่านก็มาด๊งเด๊ง ๆ ตามมสภาพของท่าน องค์นี้เคยทะเลาะกันมาเรื่อย

    ท่านถามว่ามาไงล่ะ ตอบว่า มาเที่ยวซี
    ถามท่านว่า เออ วิมาน พระยามาราธิราช อยู่ไหน หัวเราะก้ากเลย บอกว่า พระโง่ยังงี้ก็มีด้วย
    ถามว่าทำไมล่ะ ตอบว่า ที่นี่เขาเรียก ท้าวมาลัย ครับ ที่นี่ไม่มีพระยามาราธิราชหรอก มีแต่สมัยพระพุทธเจ้า

    ชื่อแกจริงๆ ชื่อ ท้าวมาลัย เป็นหัวหน้าเทวดาชั้น ที่ 6 เป็นผู้ว่าการ ก็เลยไปหากัน ท่านก็ออกมารับแหม สวยแฉ่งเลย รัศมีกายผ่องใส มารับที่เขตวิมานเชียวนะ ที่ไปกันตอนนี้สมทบกันไปหลายชั้น จำนวนมันก็ หลายหมื่นซี ท่านเชิญเข้าไป ไอ้หน้ามุขมันนิดเดียวแหละถามท่านว่า ขึ้นหมดรึนี่ ท่านตอบว่า ไม่เป็นไร หรอก วิมานเทวดายืดได้ แน่ะ เก่งเสียด้วย ไม่เหมือนเมืองมนุษย์หรอก ตั้งแค่ไหนก็แค่นั้น มองดูกะว่า จุสัก 200 ก็แย่แล้ว แต่เราเข้าไป เป็นหมื่นยังเต็มไม่ถึงครึ่ง คุยไปคุยมา

    ถามท่านว่า ทำไมถึงไปลิดรอนพระพุทธเจ้า ตอบว่า ปัดโธ่ ท่านไม่รู้จักความโง่ของผม
    ถามว่า ทำไมล่ะ ตอบว่า ผมกลัวพระพุทธเจ้าจะเทศน์สอนเอาคนไปนิพพานเสียหมด พอเวลาผมเป็นพระพุทธเจ้าบ้างแล้ว ผมจะสอนใครล่ะ

    เราก็นึกในใจว่า โธ่ ไม่น่าโง่เลย จะขนไปยังไงหมด ถามท่านว่า เวลานี้ยังเป็น พระยามาร ไหม ท่านตอบ ไม่ ๆ ๆ ๆ พวกท่านมีหลายคน แหม เขากลัวพระยามารกันจริง ๆ ก็ไอ้มารอยู่ในตัวเองน่ะไม่ยักกลัว พระยามารนี้เวลานี้ช่วยชาวบ้าน พวกพุทธมามกะทุกคน พระยามารต้องบังคับให้ลูกน้องไปช่วยเหลือ คือ ที่ประคับประคอง พวกเรานี่แหละ จะเรียกว่า พระยามาร ไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียกว่า ท้าวมาลัย

    ทีนี้ย้อนมาตอนต้น ตามตำนานที่พระพุทธเจ้าตรัส มีคนถามว่า ทำไม่ท่านไม่ทรมานพระยามาราธิราชล่ะ ท่านตอบว่า ไม่ใช่คู่ปรับกัน พระยามารนี่จองขัดคอ ให้ปั่นป่วนนิดหน่อย ไม่จองเวรแรงขนาดเทวทัต เมื่อสมัยนั้น ท่านเป็นคนเลี้ยงม้าด้วยกันทั้งคู่ จะม้าแข่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี ท่านไปเกี่ยวหญ้าม้ากัน เกี่ยวไปก็แยกห่างกันไปที ทีนี้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จจาก ภูเขาคันธมาส กุฏิของท่าน มันไม่ค่อยดี ท่านต้องการ ต้นหญ้านี่ ไปผสมกับดินทาฝา เพราะพระจะเกี่ยวหญ้าเองก็ไม่ควร เมื่อเห็นสองคนนี้เกี่ยวหญ้า ท่านก็เหาะลงมายืนเฉย พระพุทธเจ้าของเรา ก็นึกในใจว่า เราเอาของเราถวายท่าน ก็เป็นการสมควร อยากจะเอาของเพื่อนถวายบ้างสักก้อนหนึ่ง แต่ถ้าเพื่อนกลับมาแล้วแสดงความไม่พอใจ ก็จะมีโทษมาก เพราะพระพุทธเจ้า เป็นพระที่มีบุญหนัก ก็เลยไม่ได้ถวายไป พอตอนเย็นกลับมารวมกัน ขนหญ้าขึ้นเกวียน ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟัง เท่านั้นแหละแกโกรธหาว่า กลัวจะดีเท่าเทียม เอาละ ท่านไปไหนก็ตาม เราจะตามไปขัดคอ แต่ทุกชาติไม่ได้ขัด มาขัดเอาชาติสุดท้าย เมื่อ ระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยออกมหาภิเนษกรมณ์ เห็นท่าไม่เป็นเรื่องแล้ว สิทธัตถะนี้ไปแน่ กูไม่ทันนี่หว่า แล้วก็มาขัดคอ ต่าง ๆ อย่างที่ทราบ กันดีอยู่แล้ว

    มาในระยะหลังๆที่พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา อีตอนนั้นซี พระอุปคุต ท่านไปคุดอยู่กลาง มหาสมุทร บรรดาพระทั้งหลายนั่งประชุมกันว่า พระเจ้าอโศกมหาราช จะฉลองพระศาสนา เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน คราวนี้ ยังไง ๆ พระยามารต้องเล่นงานแน่ แล้วเราจะมีใครป้องกันได้บ้าง พระอรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีอภิญญาก็มี ไม่มีใครสู้พระยามารได้หรือ ? สู้ได้ ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่ทุกองค์บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา

    ทีนี้ในการประชุมคราวนั้น พญานาค ขึ้นมาฟังด้วย พอดี พญาครุฑ บินมาในอากาศเห็นเข้าก็จะ ฉะพญานาคละซี ปฏิปักษ์กันนี่ โฉบลงมา พญานาควิ่งพรวดเข้าไปกลางวงพระ พระทั้งหลายตกตะลึง บอกว่าเณร ช่วยพญานาคเดี๋ยวนี้ เณรแกอายุ 7 ปีเท่านั้น เป็นพระอนาคามีได้อภิญญา พอท่านสั่ง เณรก็ยิ้ม เข้ามา วาโยกสิณ เอาลมหอบพยาครุฑไปเสียไกล พระได้ท่า บอกว่า เณรฉันบอกให้แกช่วยพญานาค แกยิ้มนั่นยิ้มเยาะพระ นี่ต้องลงทัณฑกรรม นั่น แน่ ไม่ใช่เล่น หาเรื่องคน เป็นที่หนึ่ง เณรก็ยอม แล้วแต่พระคุณเจ้าจะ ลงทัณฑ์ ท่านก็สั่งว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงลงไปตาม อุปคุต มานั่น ตอนแรกปรึกษากันว่า ใครจะเป็นคน ไปนิมนต์พระอุปคุต ที่จำพรรษาอยู่กลางทะเล พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มีอุปคุตคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นคู่ ปรับพระยามาธิราช ปราบให้แพ้น่ะได้ แต่คู่ปรับนี้ ต้องปราบ ให้แพ้ด้วย แล้วทำให้ เลื่อมใส กลับเป็นคนดีด้วย ความประสงค์เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านจะปราบก็ปราบได้ แต่ท่านไม่สามารถทำให้ พระยามาร เป็นคนดีได้ ตอนก่อนจะนิพพาน ท่านจึงบอกไว้ว่า พระยามาราธิราชนี้มีคู่ทรมานเป็นพระอรหันต์ เบื้องหลัง เมื่อเรานิพพานไปแล้ว 200 ปี มีนามว่า อุปคุต

    พอพระอุปคุตมาถึง พระทั้งหลายก็ว่า นี่อุปคุตเป็นอรหันต์แล้ว หาความสุขแต่ผู้เดียว ไม่ช่วยกันบำรุง พระพุทธศาสนา ไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่กลางทะเลอย่างนี้ ต้องถูกลงทัณฑกรรม เอาอีกแล้ว ทัณฑกรรมเฟ้อจริง ๆ พระอุปคุตก็ยอมรับว่า ไม่เป็นไรครับ เอาไงก็ว่ามาเถอะ เลยได้รับมอบหมายให้ต่อต้าน พระยามาราธิราช ในอีก 7 วันข้างหน้า พระอุปคุตก็ยอม แต่ขอกินข้าวให้อ้วนเสียก่อน ไม่อ้วนนี่ ท่าจะไม่เป็นเรื่อง เอา 7 วันก็พอ ตอนเช้าท่านก็เดินย่องแย่งเป็นขี้ยาเข้ามาในเมือง มีคนเขาบอกว่า นี่องค์นี้แหละที่เขาไป ตามมาต่อต้านพระยามาร พระเจ้าอโศกมหาราช ว่า โถ ! พระขี้ยาผอม เหลือแต่กระดูกยังงี้หรือ จะไปต่อต้านพระยามาราธิราช ไม่ได้ต้องลอง เลยเอาช้างพระที่นั่ง ตัวดุที่ตกมัน มายืนดักข้างทาง พอพระอุปคุต คล้อยหลังก็ไสช้างไล่แทงเลย พระอุปคุตได้ยินเสียงข้างหลัง เอ๊ะ อะไรกันแน่ เห็นช้างวิ่งเข้ามาใกล้ท่านก็ เอานิ้วจิ้มปั๊บ บอกว่า "หยุด" ช้างกันจ้ำเบ้าเลย นั่งเหมือนกะ หินอยู่ตรงนั้น จะขี้แตก ด้วยหรือเปล่าจำไม่ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชเลยบอกว่า ไม่ต้องไป บิณฑบาตหรอก แล้วท่านก็เอามาเลี้ยงเสียอ้วนปี๋เลย

    ทีนี้พอวันเริ่มต้นงาน พระยามารก็แสดงเดช ทำมืดครึ้ม ไม่ให้เห็นแสงอาทิตย์เลย พระทั้งหลายก็เตือนว่า นั่นไง ท่านอุปคุต พระยามารแสดงแล้ว ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรเรื่องเล็กพอแต่งตัวรัดประคดเรียบร้อย ก็ไปหาพระยามาร บอกว่า คลายฤทธิ์เดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่คลายเป็นพัง เราอุปคุต พระยามารได้ยินก็ชักขนลุกซู่ ๆ รู้ฤทธิ์ รู้เดช ฉะกันมาหลายชาติแล้ว ตาเขาก็หนึ่ง ในตองอูเหมือนกัน เอ้า เก่งจริง ก็เชิญเลย นี่พระยามาราธิราชไม่เคยกลัวใคร แม้แต่ พระสมณโคดม ก็ยังไม่กลัว เลยสู้กัน ความจริง เอาเสียที่เดียว ก็ได้เหนือ ชั้นกว่ามาก ล่อกันไปล่อกันมา ท่านอุปคุต ท่านขี้เกียจขึ้นมา ก็จับเอามือไพล่หลัง อธิษฐาน ให้แก้ไม่ออก ไม่ใช่แต่เท่านั้น อธิษฐานเอาหมาเน่ามาผูกคอเสียอีกด้วย พระยามาราธิราชแกก็เทวดาองค์หนึ่งเทวดา นี่แต่กลิ่นคนเขาก็เหม็นเสียแล้ว โดนหมาเน่าเข้าวิ่งโร่ไปหาพระอินทร์เจ้านายใหญ่ พระอินทร์บอกว่า อ้าว ทำไมไปเล่นกับพระอุปคุตเล่า เขาจะทำบุญพระศาสนากันดันไปแกล้งเขา ใครจะไปมีฤทธิ์เท่าพระอรหันต์ ได้ไม่มี มีทางเดียวท่านไปขอขมาท่านอุปคุตเสีย แล้วสัญญาว่า จะไม่ทำพยศอีก พระอุปคุตก็จะอภัยแก่ เธอ ท่านก็จำเป็นจำยอมไปขอโทษขอโพย พระอุปคุตถามว่า ยังไง สิ้นฤทธิ์แล้วรึ ? แกบอกว่า ยอมๆ ยอม ทุกอย่าง ต่อไปไม่แกล้งอีกแล้ว พระอุปคุต ก็แก้หมาเน่า แก้มัดมือออก แต่ยังเอารัดประคต ผูกเข้าไว้ กับ เขาพระสุเมรุเสียอีกหลายเปลาะ ปล่อยพระยามารดิ้นด็อกแด็กอยู่ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ดิ้นเสียเขาพระสุเมรุ หวั่นไหว ดาวดึงส์ สะเทือนไปหมด

    พอพระเจ้าอโศกมหาราช ฉลองศาสนาเสร็จ ไปถึง พระยามาร ก็บ่นว่า โธ่เอ๋ย พระสมณโคดม ท่านก็ใจดี นะ แต่สาวกนี่แหมใจร้ายเต็มที ท่านอุปคุตไปถึงก็ต่อว่า สาวกสมัยก่อน อย่างพระโมคคัลนา พระสารีบุตร พระบิณโฑลภารทวาชะ ใคร ๆ ก็มีฤทธิ์ มากกว่าท่านเสียอีก แต่ไม่ใจร้าย มีท่านคนเดียว ใจร้ายกับเรา ท่านอุปคุตก็โต้ว่า รู้แล้วไม่ใช่หรือ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านกับเราเท่านั้น ที่เป็นคู่ปรับกัน ความจริงแล้ว ท่านผู้มีฤทธิ์ ทั้งหมดน่ะ ตัวท่านสู้ไม่ได้หรอก ไม่มีทางสู้ เวลานี้ แม้แต่เณร 7 ขวบ ที่ไปตามเรา ท่านก็สู้ไม่ได้ แต่ที่ท่านทั้งหลายไม่ทำ ก็เพราะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แต่เป็นหน้าที่ของเราผลที่สุดพระอุปคุตท่านก็ปล่อย แต่บอกว่า ก่อนปล่อย ต้องสัญญากับเราก่อนว่า จะไม่รบกวน บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา ผู้ปรารถนาในธรรม ถ้ารบกวนเมื่อไรโทษจะหนักกว่านี้หลายพันเท่า พระยามารก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไอ้ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นี่ก็พอแล้ว

    พระอุปคุตท่าน ก็ขอร้องให้พระยามาร แสดงเป็นรูปพระพุทธเจ้า สมัยยังทรงพระชนม์อยู่ให้ดู พระยามาร ตอบว่า ได้ ๆ ๆ เรื่องเล็ก แต่สัญญากันก่อนนะ จะไหว้ผมไม่ได้ นะห้ามไหว้ โดยเฉพาะ พวกท่าน เป็นอรหันต์ เป็นพระอริยะ มาไหว้ผมละ ไม่เป็นเรื่องหรอก พระอุปคุต ก็ตกลง พระยามาราธิราช บอกว่า ผมจะ เดินไปทางหลังเขา ถ้าออกมา ห้ามไหว้เด็ดขาดนะ เพราะ บาปจะตกอยู่กับผม พอพระยามาร ไปหลังเขา พระอุปคุต ก็ให้สัญญาณ เรียกพระอรหันต์มาทั้ง 2 แสนรูป สักครู่หนึ่ง พระยามารก็ออก เป็นพระพุทธเจ้า มีฉัพพรรณรังสี รัศมี สว่างไสว สวยสด งดงามมาก มี พระโมคคัลลา พระสารีบุตร อยู่เบื้อง ซ้าย ขวา ครบ เครื่องมาเลย พระทั้งหมด ลืมสัญญา ลุกขึ้นกราบพร้อมกัน กราบพระพุทธเจ้า พระยามารรีบคลายตัว ทันทีบอกว่า ท่านทำไมทำยังงี้ เป็นโทษกับผม ท่านอุปคุตก็บอกว่า ท่านไม่ต้องวิตก เพราะว่า การกราบนี้เขา ไม่ได้กราบท่าน เขากราบพระพุทธเจ้า โทษของท่านไม่มี พระยามาราธิราชก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระคุณเจ้าทั้งหมดงดโทษให้ผมด้วย พร้อมด้วยพระรัตนตรัย เพราะว่า ผมเอง ก็ปรารถนาพุทธภูมิ แล้วท่าน ก็กลับไป เรื่องก็จบลงแต่เพียงนี้

    ที่มา : http://palungjit.org/posts/2823440

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  5. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    แต่ลูกน้องของพระยามารที่เป็นมิจฉาทิฐิยังมีอีกเยอะนะครับ

    ถ้ามองแง่ดี ก็ต้องขอบคุณ "มาร" ที่มาทดสอบกำลังใจของเราครับ

    ดังคำกล่าวที่ว่า

    "มาร บ่ มี บารมี บ่ เกิด"

    โมทนาครับ
     
  6. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้น อนุโมทนาครับ..

    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=undefinedxundefined&output=html&lmt=1263091232&ea=0&flash=10.0.32.18&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Fnewreply.php%3Fdo%3Dnewreply%26p%3D2823455&dt=1263091232796&correlator=1263091232796&frm=0&ga_vid=1537181911.1261179349&ga_sid=1263088953&ga_hid=1281538040&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=2&u_java=1&u_h=864&u_w=1152&u_ah=830&u_aw=1152&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1135&bih=695&ifk=4036705118&fu=0&ifi=1&dtd=32" frameBorder=0 scrolling=no allowTransparency></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     

แชร์หน้านี้

Loading...