ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. อุกามณี

    อุกามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +73
    ทั้งสองพระองค์ ทรงเป็นร่มโพธิ์ของชาวไทยโดยแท้จริง
    จะหาสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศใหน ที่จะประเสริฐที่สุด...เท่าประเทศไทย ไม่มีอีกแล้ว.....
    ขอทุกพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน................
     
  2. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    วธ.ชวนคนไทยชมโขนชุดพิเศษ พระบรมราชาภิเษกรามราชจักรี-ปราบมารร้ายฝ่ายลงกา 5-9 พ.ค.นี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า พร้อมพิมพ์หนังสือ ข้าวของพ่อ แจกประชาชนเฉลิมพระเกียรติในหลวงบรมราชาภิเษกครบ 60 ปี ปลูกจิตสำนึกคนรุ่นใหม่จงรักภักดี

    เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่โรงละครแห่งชาติ เรืออากาศเอกสุริยะ ศึกษากิจ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม แถลงข่าวการจัดงานรวมพลังใจถวายความภักดี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสแห่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครบ 60 ปี ระหว่างวันที่ 5-9 พ.ค.ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ว่า วธ.ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงพระเกษมสำราญ และปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนและเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดี ที่ทรงสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และห่วงใยประชาชน มาตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี...


    Quality of Life - Manager Online
     
  3. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คนไทยควรอ่าน

    เห็นว่าบทความนี้ดี เลยนำมาให้อ่านกัน

    โดย นิติภูมิ นวรัตน์
    http://radio.mcot.net/

    ปี 2553 จุดจบประเทศไทย

    เมื่อหลายปีก่อน คุณนิติภูมิได้ทำนายไว้ว่าประเทศอินโดนีเซียจะแตกเป็น 6 – 14 ประเทศ ซึ่งตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น

    แต่ต่อมา ปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง

    ประเทศอินโดฯ เริ่มแตกเป็นติมอร์และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศอาเจะ และอีกหลายประเทศที่เกิดตามมา ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 – 6 ประเทศแน่นอน ทั้งนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการโดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์ สิค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้าไทย จำนวนมหาศาล ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน


    และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทางเป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำไยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามกินคนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอมกระเทียมจะไม่ซื้อลำไยจากไทย แต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากินเป็นวงจรอย่างนี้ ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกัน เนื่องจากสินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทย เพราะไทยใช้ปัจจัยการผลิตปุ๋ยต่างประเทศพันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้า พันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย


    รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพง ค่าโทรศัพท์ก็แพงขึ้น เนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ ถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่าเขาจะไม่มีกำไร ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้


    ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฎแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนนวมากแล้ว เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ก็ไม่สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ เพราะธุรกิจอื่น ได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus, Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizza hut, Mc Donald, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออกเหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด…เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ รัฐจะอยู่ได้ฤา


    4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรมในปี 2553 คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้นจนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหารก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทับไทย ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน


    จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทยคล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia


    ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร
    ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบ ทุกวันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของคุณนิติภูมิไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ


    ในการวิเคราะห์บ่อยครั้งที่ นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคม ไปพร้อมกันรวมทั้งประวัติศาสตร์ เขามองอาเจนติน่าก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจก่อนล่มจริง …เขาทำนายการเกิดสงครามอเมริกากับอิรัค ข้อคิดรวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ ผมว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้


    นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทยแทนที่ไปเดิน Big-c, lotus, Careflour ผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า… เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้านไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร เพราะเราไปคาร์ฟูร์ เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ บิกซีโลตัสก็เหมือนกัน


    นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลวให้ดู ของ 3 ห้างดัง ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 เปอร์เซ็นต์ สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อ 5 บาทก็ซื้อที่นี่ เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทยกลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ถ้าซื้อจากห้าง 1,000 บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900 บาท ที่เหลือ 100 บาท จ่ายเป็นค่ายามเฝ้าห้างไง


    มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง Careflour ส่งห้างต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร


    ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ คือ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง เลิกกิน KFC และพยายามทานให้ลดลงและจำนวนหนต่อปีน้อยที่สุด ผมอธิบายวิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้านและลูกฟัง หัดให้ลูกทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว


    ดีครับ ได้ผล ลูกเปลี่ยนเปลี่ยนวิธีกิน เปลี่ยนวิธีคิดไปเลย เปลี่ยนไปได้มาก พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขา ไก่ทอดแบบไทย ๆ แล้วผมไป KFC ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกันราคาต่างกันลิบเลย… ผมก็อธิบายว่า เป็นค่าลิขสิทธิ์ ให้ลูกฟัง ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธิ์ ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ใบตองที่ห่อขนมไทยไม่มีค่าลิขสิทธิ์ มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน ขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อ มันมีค่าลิขสิทธิ์ เวลามันหล่นที่พื้นไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย
    ผมทำได้และได้ทำแล้ว

    ปล. ใคร่จะขอความกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อจะเป็นพระคุณมากครับ ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน เพื่อไทยเราจะได้อยู่รวมเป็นชาติไทยต่อไป

    ได้รับจาก Forward Mail ในครั้งแรก และตามหาอ่านอีกทีในอินเตอร์เนตค่ะ ทางสายธาตุ คิดว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ต่อความคิดในการดำเนินชีวิตของคนไทย และส่งเสริมนโยบายการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ที่ควรจะรีบเริ่ม รีบปรับวิถีชีวิตกัน รีบสามัคคีกันไว้ค่ะ อย่างไรก็ตาม เราเห็นรอยร้าวของสังคมแล้วในขณะนี้ แต่เราก็ยังไม่แตกแยก เพราะด้วยพระบารมีแห่งองค์พ่อของแผ่นดิน ที่เป็นศูนย์รวมใจของเราในขณะนี้ ประเทศไทยจึงยังดำรงอยู่เป็นแผ่นดินเดียวกันในพ.ศ.2553นี้ได้ โปรดช่วยกันถนอมศูนย์กลางดวงใจชาติไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม องค์พ่อแห่งแผ่นดิน ที่ชาวไทยรักยิ่ง

    เรื่องนี้คุณนิติภูมิ เขียนไว้นานแล้วค่ะ จากวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ก็คือ 10 ปีก่อนค่ะ

    จาก http://www.thaioctober.com/smf/index.php?topic=2601.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  5. จมื่นราชฯ

    จมื่นราชฯ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +57
    เส้นทางไทย" ที่ต้องมองไกลกว่าเรื่อง "สีเสื้อ"<!-- main-content-block -->
    <!-- 8 พฤษภาคม 2553 - 00:00 -->
    8 พฤษภาคม 2553 - 00:00







    ..... ขอเสียทีเถอะครับ เรารักวัดพระแก้ว รักในหลวง และสวดมนต์ก่อนนอน แล้ว "ใจพระ" ไม่พยาบาทปองร้ายเขา หายไปทางไหน การที่เราไม่ผูกเวรเขา ใช่ว่าเขาจะหลุดกรรมจากริยำที่เขาก่อ ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องแส่ไปทำหน้าที่ "แทนกรรม" หรอก
    เพราะกรรมนั้นจะสนองเขาเองตามต้นทุนบุญ-บาปที่เขามีมา เราอย่าเอาตัวเรา "คือใจ" ไปผูกเวรมาใส่กับตัวเราไว้เป็น "มรดกบาป" เลย การทำอย่างนั้นแหละที่เรียกว่า "เนื้อไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอ".........

    http://palungjit.org/newreply.php?do=newreply&noquote=1&p=3274715


    อนุโมทนา สาธุ ขอรับ คุณ เปลว สีเงิน "ใครทำกรรมอันใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น"
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ตามเหตุการณ์บ้านเมืองหลายวันจนไม่เคยได้ดูทีวีช่องอื่นเลย วันนี้ได้ดูช่อง TPBS

    มีหนังจีนประวัติศาสตร์ที่สร้างด้วยทุนรัฐบาลจีน พระเอกเป็นคนเดียวกับที่เคยเล่าเป็นขงเบ้งในสามก๊กซี่รี่ย์จีนแผ่นดินใหญ่

    ถ่ายทำในสถานที่จริงด้วย เรื่องนี้ก็คือ "มหาบุรุษ จางจวีเจิ้ง"

    ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 13:00-14:00

    จะได้เห็นสภาพของวังหลวงเมืองจีนและราชวงศ์หมิง ซึ่งร่วมสมัยกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ

    Zhang Juzheng Memorial Hall
    Zhang Juzheng Memorial Hall locate Taiyue north road in Jingzhou city of Hubei province, Its area is 10000 square meter, It is the place where Zhang Juzheng was buried.
    Zhang Juzheng was born 1525, Jiangling, Hubei province, China. he died 1582, Beijing. Powerful Chinese minister of the Ming dynasty under the Longqing and Wanli emperors. He is politican and reformer in antiquity, His benevolent rule and strong foreign and economic policies are considered to have brought the Ming dynasty to its peak. He is credited with centralizing government, limiting special privileges, and reclaiming tax-exempt land. 
     
    [​IMG]
    Zhang Juzheng Memorial Hall Gate
    [​IMG]
    half-moon pool
    [​IMG] [​IMG]
    city of the dead Zhang Juzheng statue​
    Zhang Juzheng Memorial Hall make up of eight part, including hall gate、half-moon pool、Zhang Juzheng statue、city of the dead、tombstone、Zhang Juzheng exhibition、Taiyue Hall、Pure Honest Hall. It was building on Mar 20 2004, opening on Jan 15 2005.

    http://zhangjuzheng.com/e1.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2010
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ปี พ.ศ.2493 นับเป็นปีที่มีหลายเหตุการณ์สำคัญสำหรับคนไทยที่“ร่วมสมัย”ในยุคนั้น.. ม.ร.ว.กิติวัฒนา ปกมนตรีและท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร
    หากย้อนไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว เมื่อปี พ.ศ.2493 นับเป็นปีที่มีหลายเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นสำหรับคนไทยที่ “ร่วมสมัย” ในยุคนั้น นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตสู่ประเทศไทย ตามมาด้วยงานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 28 เมษายนจากนั้นถัดมาอีกสัปดาห์ก็มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2493
    บุคคลสำคัญ 2 ท่านที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญที่หลายคนมักนึกถึงเสมอ คือ ม.ร.ว.กิติวัฒนา ปกมนตรี หนึ่งในราชนิกุลที่ได้ร่วมขบวนพระราชพิธี โดยอัญเชิญวิฬาร์(แมว)ในพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร ผู้เขียนหนังสือ “เขียนถึงสมเด็จฯ ตอนนางแก้วคู่บารมี” และท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร คุณข้าหลวงที่ทำหน้าที่ถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถมายาวนานถึง 60 ปี ทั้งยังเป็นบุคคลหนึ่งที่ร่วมตามเสด็จ ฮันนีมูนหัวหินโดยทางรถไฟในครั้งนั้นด้วย
    แม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านมานับ 60 ปีแล้ว แต่ภาพความประทับใจของทั้งคู่ยังงดงามในความทรงจำ ขณะนั้น ม.ร.ว.กิติวัฒนา ปกมนตรี อายุ 16 ปียังจำถึงห้วงเวลาความสุขของคนไทยทั้งประเทศในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี โดยหนึ่งในพระราชพิธีสำคัญที่เกิดขึ้น คือ “พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร” ในวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2493 ซึ่งตามโบราณราชประเพณีถือเป็น “การขึ้นบ้านใหม่” โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงมอบหมายให้เชื้อพระวงศ์ที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 16 คนอยู่ในริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียรเคลื่อนสู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
    ม.ร.ว.กิติวัฒนา เล่าว่า ต้องเตรียมแมวสีสวาดที่จะต้องอุ้มในวันพระราชพิธีมาเลี้ยงไว้ที่บ้านเพื่อทำคุ้นเคยนานนับเดือน และในวันงานยังแต่งด้วยเครื่องทองโบราณสมัยรัชกาลที่ 1 ความหมายของแมวถือกันว่าให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ในริ้วขบวนยังมีสัตว์อีกหนึ่งชนิดคือ ไก่ขาว ซึ่งถือเคล็ดกันว่าต้องเป็นของคู่กันกับหญิงรูปงาม ตามคำกล่าวที่ว่า หญิงงามอุ้มไก่ขาว ถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ โดยมี ม.ร.ว.บุษษา กิติยากร (ท่านผู้หญิงบุษบา สทธนะพงษ์ พระขนิษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ) ซึ่งเวลานั้นสวยเหลือเกินเป็นผู้อัญเชิญ
    คู่แรกมีผู้นำเทียนตามมาด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งทรงอัญเชิญบรรจุดอกพิกุลเงิน พิกุลทองสำหรับพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรยรายทาง ท่ามกลางบรรยากาศพระราชพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามโบราณราชประเพณี พระมหากษัตริย์ที่เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วแต่ยังมิได้ทรงรับพระบรมราชาภิเษกจะไม่เสด็จประทับในพระที่จักรพรรดิพิมาน ต่อเมื่อได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลราชสมบัติราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณีแล้ว จึงจะเสด็จขึ้นประทับได้ โดยจะต้องมีพระราชพิธีเสด็จขึ้นเฉลิมพระราชมณเฑียรต่อเนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย ......

    แหล่งที่มา:
    งดงามในความทรงจำ60 ปีราชาภิเษกสมรส



    โดย : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง กรุงเทพธุรกิจ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๓



    เรื่องดีๆและเป็นศิริมงคลอย่างสูงสุดนี้ ย่อมไม่มีคำว่าช้าหรือสายไป !!!
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ฝรั่ง "วิสัยทัศน์ไทย" ชี้ทางพ้นทุกข์ : เปลว สีเงิน

    ..."คุณสุทธิชัย หยุ่น" สัมภาษณ์ "นายสตีเฟน ยัง" นักศึกษาฮาร์วาร์ด ลูกชายอดีต "เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย" ผู้เติบโตและเล่าเรียนต่ออยู่ในไทย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครอง ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมจนถึงยุคคอมมิวนิสต์สู่เอเชียอาคเนย์ มาให้ผมอ่าน
    ความจริง บทสัมภาษณ์นี้ ตั้งแต่ ๘ ก.ย.๕๒ ในรายการชีพจรโลก ทาง
    ช่อง ๙ ........
    นายสตีเฟนกล่าวว่า บิดาของเขาใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และใกล้ชิดกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔
    จึงได้เห็นช่องว่างระหว่างคนชนชั้นสูงกับคนจนในชนบทอย่างชัดเจน จนมาถึงปัจจุบัน ปี ๒๕๕๒ ตนได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงพูดว่า ไทยมีช่องว่างระหว่างคนรวยในกรุงเทพฯ กับคนจนในชนบท ทำให้คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะทุกวันนี้ช่องว่างมีเพียงแค่นี้ เทียบกับที่ประเทศสหรัฐก็มีช่องว่างเช่นกัน
    นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเวลากว่า ๔๘ ปีมาแล้ว โดยมาอยู่ตั้งแต่ประเทศไทยยังไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ รวมทั้งถนนยังเป็นดินลูกรัง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ประเทศไทยมักเจอเรื่องราวแปลกประหลาดเสมอ ทำนองว่าประเทศนี้ยังไม่มีสิ่งนั้น-สิ่งนี้ ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยปัญญาชนบางคนที่ต้องการปฏิวัติอำนาจ .......

    นายสตีเฟนกล่าวอีกว่า สำหรับเขาแล้วมุมมองความคิดของ ..........เป็นแบบจักรพรรดิจีน นั่นคือ ในสมัย "ฉิน จื่อ หวาง" ได้มีการแบ่งชนชั้น เสมือนเบื้องบนเป็นสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนนึง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้
    ...........

    แต่ถ้าถามว่าลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ต้องขอตอบว่า คำว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมที่ว่าย่ำแย่ที่สุดแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับความยุติธรรมที่เป็นสิ่งจำเป็นกว่านั้น
    "ย้อนกลับไปที่อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกงทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติลกล่าวไว้ว่า ทุกๆ ระบบไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ" นายสตีเฟนกล่าว
    นายสตีเฟนกล่าวต่อว่า สิ่งที่ประเทศไทยเดินผิดทาง คือการปกครองลักษณะเดียวกับประเทศอาร์เจนตินาที่อยู่ภายใต้การนำของ "ฮวน เปรอง" ที่ไปบอกหากเลือกเขาเป็นผู้นำ จะเอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ทั้งที่เมื่อปี ๑๙๓๐ ก่อนยุค ฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่เมื่อเจอผู้นำเผด็จการทำลายเศรษฐกิจ และสร้างพรรคเผด็จการ ๗๐ ปีต่อมาอาร์เจนตินากลับต้องเป็นประเทศที่เผชิญกับความยากจนและแตกแยก
    หากประเทศไทยยังปล่อยไว้เช่นนี้ ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับอาร์เจนตินา!
    นายสตีเฟนย้ำอีกว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้ หรือใครจะปกครองสังคมอย่างมีศีลธรรม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบและควบคุมกันและกันได้ .....

    ท้ายสุด นายสตีเฟนกล่าวว่า ยังหวังว่าความแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยจะสามารถแก้ไขได้ ถ้าหากทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแล้วทำงานร่วมกัน โดยทุกคนควรมีจิตสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย......

    จากบริบท ปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง
    "ยารสหวานๆ แบบฉบับไทยๆ กินทุกๆ วันเป็นเดือนหรือ 3 เดือนแล้วคุณจะดีขึ้นเอง ดีกว่ายาที่กินวันเดียว แต่คนอาจไม่ชอบ ยานี้คืออะไร ผมว่ามันต้องมาจากผู้นำรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง พวกเขาอาจต้องกลืนยาขม จะต้องไม่มีใครรับสินบน ใช้เวลา 3 ปี ตำรวจและทุกๆ คนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นี่คือยาขมทำให้คนไทยได้เห็นว่านี่คือกฎเกณฑ์ใหม่" นายสตีเฟนกล่าว
    ขอให้ความสุข ความเจริญ จงมีกับประเทศไทย-คนไทย และคนที่รัก-รู้จักประเทศไทย "ด้วยเข้าถึง" ทุกคน-ทุกท่าน เทอญ.


    ขอขอบคุณ: http://www.thaipost.net/news/130510/22134
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อ่านจบก็ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มแล้ว สาธุอย่างเดียว ขอให้เป็นจริง ยาสำหรับประเทศไทย สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ

     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ...พฤติกรรมโจรก่อการร้าย พฤติกรรมเด็กเลี้ยงแกะ เขา "รู้เช่น-เห็นชาติ" กันทั้งโลกไปแล้วว่า...
    แบบนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้!
    ฉะนั้น ผมจึงอยากให้พวกเราชาวประชาสังคม "มีราก-มีสติ" ในการมองปัญหา และรับรู้เหตุการณ์ ควรเข้าใจ-เห็นใจ-ให้กำลังใจรัฐบาล ทหาร-ตำรวจเขา อย่าเอามัน เอาแต่ใจ ต้องอยู่กับเหตุผลที่เป็นจริงในสถานการณ์และปัญหาที่เป็นจริงให้มาก อย่าอยู่กับอารมณ์พอใจ-ไม่พอใจ หรือฟังนักวิชาการ นักนั้น-นักนี้ พูดอย่างนั้น อย่างนี้ ก็เป็น "สวะลอยน้ำ" ตามขึ้น-ตามลงไปเรื่อย
    ต้องยอมรับว่า สังคมยุ่งเหยิงทุกวันนี้ จาก ส.ส.ส่วนหนึ่งในระบบรัฐสภาแล้ว อีกส่วนก็มาจากพวก "นักวิชาการ" ประเภท "ถังสังฆทาน" ล้นเต็ม ตั้งแต่กระดาษเช็ดตูดถึงยาสระหัว เป็นสินค้าใหม่ แต่ไร้คุณภาพบ้าง หมดอายุบ้าง ครึ่งค่อนชีวิต บางคนทั้งชีวิตเรียนแต่ตำราเข้ามานั่งพ่นตามหน้าจอ แต่ไม่เคยทำอะไรที่เรียกว่า "เผชิญปัญหา" แล้วแก้สำเร็จจนสร้างเป็นตำราให้คนอื่นเขาได้เรียนตามเลย!
    ฉะนั้น นักวิชาการพวกนี้ พูดได้ทุกมุม-ทุกทรรศนะ รัฐบาลไม่ทำอะไร เขาก็กางตำรามาพูดได้ว่าเป็น "รัฐบาลล้มเหลว" ครั้นรัฐบาลทำอะไร เขาก็พูดได้อีกว่า "รัฐบาลทำรุนแรง"
    ครั้นถามว่า "แล้วมีวิธีการอะไรแนะนำเพื่อแก้ปัญหา?"
    ปัญญาถังสังฆทานก็กำปั้นทุบจักรวาลตรงกันว่า "ประนีประนอม" คุยกันหาทางออก!
    โอ้โห...เป็นเลิศอะไรปานนั้น มิน่า... (เปลว สีเงิน)

    .................................................................................

    ....สำหรับบรรดาประชาชนทั้งหลาย...ที่จะมีส่วนในการให้ความร่วมมือ เพื่อให้สถานการณ์ต่างๆ กลับคืนมาสู่ความสงบได้อย่างถาวร ยั่งยืน อันดับแรก...คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเลิกทำตัวเป็น นางสนม ยุคกรุงแตก ที่ดันกลับชาติมาเกิดในยุคนี้ อย่างน้อยก็ควร ทำใจ และ ทำความเข้าใจ เอาไว้ให้ชัดเจนว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้ว เราไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับมวลชน หรือ ประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างเป็นปกติ แต่เรากำลังเผชิญหน้ากับการก่อการร้าย หรือ ขบวนการก่อการร้าย ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ให้เป็นไปเช่นเดิม...อันเป็นสิ่งที่ คนไทยแท้ๆ มิอาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ตาม มันล้วนแล้วแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย หรือเป็นเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป...นั่นเอง...
    ---------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีก...คนตายเท่านั้น...ที่ได้เห็นอวสานแห่งสงคราม ( ท่านขุนน้อย)

    แหล่งที่มา : http://www.thaipost.net/
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    วลีหรือโวหาร ที่ว่าอย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก !!!

    เรื่องเปลี่ยนม้ากลางศึก มีการยกเรื่องนี้ขึ้นมาเปรียบเทียบเพื่อจะได้ไม่ต้องจัดการอะไร ใครไม่ทำงานหรือใครไม่รับผิดชอบก็ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ปล่อยให้ประเทศไทยและคนไทยเสี่ยงภัยกันเอาเอง ซึ่งไม่ถูกต้องเอาเสียเลย

    คนพูดเรื่องนี้พูดราวกับว่าเป็นผู้บัญชาการศึกสงคราม รู้เรื่องการศึกสงคราม แต่แท้ที่จริงกลับทำให้ประชาชนหัวเราะเยาะและอีกฝ่ายหนึ่งเย้ยหยัน เพราะคนพูดนั้นไม่ใช่ผู้บัญชาการในการศึกสงคราม และไม่ได้ทำศึกสงคราม ที่ทำให้เห็นก็คือการโต้วาทีตีฝีปาก ซึ่งขณะนี้คนทั้งปวงก็เห็นแล้วว่าน้ำลายแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองไม่ได้

    โวหารว่าอย่าเปลี่ยนม้ากลางศึกนั้น เป็นโวหารที่เกิดขึ้นหลังจากบังทองเปลี่ยนม้าที่ขี่กับเล่าปี่ เพราะม้าที่บังทองขี่อยู่แต่เดิมเกิดพยศ เล่าปี่จึงเอาม้าสีขาวที่ตัวเองขี่ไปเปลี่ยนให้กับบังทอง บังทองขี่ม้าของเล่าปี่นำทัพไปตามซอกเขา พวกเตียวหยินซึ่งเป็นข้าศึกซุ่มทหารอยู่ เห็นม้าขาวของเล่าปี่ก็เข้าใจว่าเป็นเล่าปี่ จึงระดมยิงเกาทัณฑ์จนบังทองถึงแก่ความตาย เหตุการณ์นั้นจึงเป็นที่มาของโวหารว่าอย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก แต่บ่งบอกความหมายว่าในท่ามกลางศึกสงครามอย่าเปลี่ยนผู้บัญชาการการศึกสงครามหรือขุนพลที่บัญชาการศึก จะพ่ายแพ้เสียทีแก่ข้าศึก

    นั่นเป็นเรื่องที่คนไม่รู้พิชัยสงครามและเรื่องราวแต่หนหลังจึงพูดเอาแต่ข้างเดียว ด้านเดียว ไม่รู้และไม่พูดถึงอีกข้างหนึ่ง คือข้างเล่าปี่ เพราะเปลี่ยนเอาม้าของบังทองมาขี่ ข้าศึกจึงไม่ได้สนใจ และธรรมเนียมการเปลี่ยนม้ากลางศึกก็มีมามากมายหลายกรณี เช่น เมื่อครั้งโจโฉทำศึกปราบอ้วนเสี้ยว ส่งแม่ทัพนายกองออกรบ ก็เจอยอดขุนพลของอ้วนเสี้ยวคืองันเหลียงและบุนทิว กองทัพโจโฉสู้ไม่ได้ ดังนั้นโจโฉจึงต้องออกหมายเรียกกวนอูมาจากเมืองหลวง ให้ไปรบกับงันเหลียงและบุนทิว ในที่สุดกวนอูก็ฆ่างันเหลียงและบุนทิวได้สำเร็จ นี่ก็เปลี่ยนม้ากลางศึก หากไม่เปลี่ยนม้ากลางศึกแล้วกองทัพโจโฉก็ไม่มีทางชนะกองทัพอ้วนเสี้ยวได้

    หรือเมื่อครั้งซุนกวนรับศึกใหญ่ กำลังพลกว่าแปดสิบหมื่นของพระเจ้าเล่าปี่ที่ยกไปตีเมืองกังตั๋ง เพื่อแก้แค้นให้กับกวนอู เตียวหุย ครั้งนั้นซุนกวนตั้งแม่ทัพนายกองคนสำคัญที่มีตำแหน่งหน้าที่ออกไปรับศึกใหญ่ แต่ก็ถูกกองทัพเล่าปี่ตีจนถอยกรูด สูญเสียดินแดนและไพร่พลเป็นจำนวนมาก ซุนกวนจึงต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก ตั้งให้ลกซุนบัณฑิตหนุ่มหน้าหยกเป็นแม่ทัพใหญ่ออกไปรับศึกแทน ลกซุนแม้เป็นบัณฑิตหนุ่มหน้ามนก็หาใช่บัณฑิตเต้าหู้ยี้หรือนักวิชากลวงแต่ประการใดไม่ เพราะชำนาญการพิชัยสงคราม และชำนาญภูมิประเทศและภูมิประชากรเป็นอย่างดี คิดอ่านแผนการแยบยล ในที่สุดก็ใช้เพลิงเผากองทัพเล่าปี่จนแตกพ่าย พระเจ้าเล่าปี่เสียพระทัยจนป่วยไข้และตรอมใจตายที่เมืองเป๊กเต้ นั่นก็เพราะเปลี่ยนม้ากลางศึก หากดื้อรั้นดึงดันใช้คนที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่หรือไม่มีน้ำยาต่อไป เมืองกังตั๋งก็คงเสียแก่เล่าปี่ไปแล้ว

    และโวหารเรื่องเปลี่ยนม้ากลางศึกนี้ ในบทอรรถาธิบายคัมภีร์พิชัยสงครามบางฉบับก็ได้ขยายความเอาไว้ว่า การจะเปลี่ยนม้ากลางศึกหรือไม่ ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ตามที่เป็นจริง ว่านั่นม้าศึกหรือว่าลากันแน่ หากเป็นแค่ลาหรือม้าป่วยพิกลพิการ ไม่สามารถทำการศึกได้ ก็ต้องเปลี่ยนในทันที ดังนั้นการเปลี่ยนม้ากลางศึกจึงมิใช่บทห้ามเด็ดขาดที่จะเปลี่ยนไม่ได้ และเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจที่ต้องพิเคราะห์ไตร่ตรองว่าอย่างไหนเป็นม้าศึก อย่างไหนเป็นม้าป่วย อย่างไหนเป็นลาหรือว่าหมาขี้เรื้อน หากไม่ใช่ม้าศึกที่จะทำการสงครามได้ ก็ต้องรีบเปลี่ยนแม้จะเป็นกลางศึกก็ตาม มิฉะนั้นเสียเมืองแล

    แหล่งที่มา www.paisalvision.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2010
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ดูหนัง มหาบุรุษจางจวีเจิ้ง แล้วคิดว่าพระเอกมีสีหน้าขี้กังวลไปหน่อย คิดว่าถ้าเป็นลักษณะหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ ไม่ขมวดคิ้วจะดีกว่า
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วาทกรรมแห่งปีนี้ โดย พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/qtgJMOEREMw width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true">

    ฟังเถิด ทุกท่านจะซึ้งมากค่ะ​
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ความฝันอันสูงสุด

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/OmvYxLDochI width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true">​

    ตั้งใจฟังช่วงต้น ซึ้งงงงงงค่ะ​
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,918
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คำพูดจากใจนักแสดงรุ่นใหญ่ คุณพงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง



    เนื้อหาคำพูดของคุณพงษ์พัฒน์ ที่ถอดออกมาจากเทป ไพเราะประทับใจ​
     
  16. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    สาธุ ขออนุโมทนา ครับ ยามชาติบ้านเมืองเดือดร้อนอย่างนี้ คนไทยที่รักชาติ

    รักแผ่นดิน จงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะออกมาช่วยกันคนละไม้คน

    ละมือเยี่ยงนี้แหละครับ เยี่ยงคุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ....

    “เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ... ผมรักในหลวงครับ ... และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน”
    ................................................................

    ด้วยจิตคารวะ ครับ
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พี่น้อง-ประชาชนครับ ท่านจะทุกข์ จะหวาดกลัว จะท้อแท้-สิ้นหวัง ในภาวะคล้าย "บ้านแตก-สาแหรกขาด" นี้ก็ตามเถิด แต่ขอให้ "มีสติ" ในการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และขอให้มั่นใจว่า พวกเรา-คนไทยทุกคนจะต้องก้าวผ่าน "มิคสัญญี" ร้ายแรงในรอบ ๒๒๘ ปีแห่ง "กรุงรัตนโกสินทร์" นี้ร่วมกันไปได้แน่นอน
    ถึงแม้ ณ กาลนี้ ยอดปราสาทราชวัง และวัดพระแก้วมรกต "ศูนย์รวมใจ" ของไทยเรา จะหม่นเศร้าอยู่ในม่านหมอกแห่งควันดำที่คลุ้มคลุมเมืองไปบ้าง นั่นก็ขอให้เข้าใจเถิดว่า ก่อนฟ้าเปิด "สู่อนาคตใหม่" ที่สดใสของไทยเรา วิบากกรรมที่เราทุกคนร่วมสร้างกันไว้ ณ กาลนี้...เราทั้งหลาย ได้ชดใช้แล้ว!
    เราจะรับอนาคตใหม่ ก็ต้องจ่ายให้อดีดผ่านปัจจุบันนี้ไปบ้างเป็นธรรมดา อย่าเอาแต่โทษใคร อย่าทุกข์ทนหม่นเศร้ากันไปเลย ตู่เอ๋ย ณัฐวุฒิเอ๋ย และทุกคนในแกนนำ นปช.ไม่มีใครผิด-ใครถูกหรอก เพียงแต่สิ่งที่ทำนั้น ฝืนมติฟ้า-ดิน หยามหมิ่นแผ่นดินบรรพบุรุษสร้าง และสวนทางใจแห่งมหาประชาชนไทย ....


    คัดลอกจาก http://www.thaipost.net/news/170510/22290
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    ................

    ถึงเวลาแล้ว...ที่สังคมทั้งสังคม จะต้องร่วมกันสร้างแรงกดดันอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อไม่ให้ประเทศทั้งประเทศ และชีวิตเพื่อนมนุษย์ในสังคมทั้งสังคม ต้องพังพินาศ ยับเยิน เพื่อแลกมากับ ผลประโยชน์ของคนคนเดียว ผู้ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เป็นผู้ที่มีอำนาจในการควบคุม บงการ บีบบังคับให้แกนนำมวลชนเท่าที่เหลือ ตลอดไปจนถึงกองกำลังก่อการร้าย แสดงอาการดื้อดึง ยื้อยุด ฉุดกระชาก สถานการณ์ให้จ่อมจมอยู่กับความเลวร้ายหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่ามัวแต่หงุดหงิด งุ่นง่าน จนหันไปกล่าวโทษรัฐบาล หรือ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผู้พยายามปกป้อง กฎ ระเบียบ ภายในสังคม หรือพยายาม ทำหน้าที่ ของตัวเองแล้วอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การนำเอาสัญชาตญาณพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ มาใช้ในการแยกแยะ ความถูก-ผิด นำมาใช้เป็นแรงกดดันทางสังคม เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมและขบวนการก่อการร้าย ยุติปฏิบัติการลงไปได้นั่นเอง ที่จะนำมาซึ่ง ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองอย่างยั่งยืนและถาวร หรือทำให้ ความขัดแย้ง ทั้งหลาย กลายเป็นเพียงแค่ ความแตกต่าง อันไม่จำเป็นจะต้องนำเอา เลือดเนื้อ ชีวิต ของเพื่อนมนุษย์ไปใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของใครต่อใครต่อไปอีก...

    http://www.thaipost.net/news/170510/22281
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ประเทศไทย แพ้ไม่ได้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 พฤษภาคม 2553 16:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    www.manager.co.th

    .................................................




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ฉันรักเธอประเทศไทย"
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE class=tborder id=post3302051 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 15-05-2010, 02:36 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->wellrider<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3302051", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2007
    ข้อความ: 3,725
    Groans: 0
    Groaned at 29 Times in 22 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 39
    ได้รับอนุโมทนา 33,907 ครั้ง ใน 3,171 โพส
    พลังการให้คะแนน: 1619 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3302051 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->เทวดาที่วัดบวรฯ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    บทความนี้นํามาจาก อารยาฟอรั่ม • View topic - เทวดาที่วัดบวรฯ

    วันเสาร์ที่ผ่านมาดิฉันได้นำอาหารไปถวายพระสงฆ์ที่วัดใกล้บ้านเช่นที่เคยทำทุกสัปดาห์
    ปกติท่านเจ้่าอาวาสจะเทศนาเป็นภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่ภาษาไทยไม่แข็งแรง(รวมทั้งลูกๆ
    ของดิฉันด้วย) แต่สัปดาห์นี้ ท่านตอบคำถามของคุณแม่สามีของดิฉัน

    คุณแม่เป็นคนที่กลัวผีมาก และเพิ่งกลับจากไปเที่ยวที่ Smoky Mountains, Tennessee
    ท่านเล่าว่าถูกคนดึงขาถึงสองคืนที่พักอยู่ที่นั่น พบว่าโรงแรมสร้างอยู่ข้างๆสุสาน ท่านจึง
    ถามว่า "ผี" มีจริงหรือไม่? ท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า "อาตมามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แล้วโยม
    คิดกันเอาเองว่า "ผี" มีจริงหรือไม่? แล้วท่านก็เล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ ที่แปลเป็นไทย
    ได้คล้ายๆแบบนี้

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2510 ได้มีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย
    ชาวต่างชาติผู้นี้มีความนิยมชมชอบในวัฒนธรรมไทย และยังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่าง
    แรงกล้า เมื่อมาอยู่เมืองไทยจึงชอบที่จะไปท่องเที่ยวตามวัดวาอารามต่าง ๆ อยู่มาวันหนึ่งฝรั่ง
    ต่างชาติคนนี้ก็นั่งแท็กซี่มาที่วัดบวรนิเวศฯ แต่เช้าตรู่ รถก็พามาจอดตรงประตูทางเข้าพระอุโบสถ
    ซึ่งขณะนั้นฟ้ายังไม่สว่างประตูจึงยังไม่เปิด และในเวลาปกติ ประตูตรงหน้าพระอุโบสถนี้ก็จะ
    ไม่เปิดอยู่แล้ว

    นอกจากจะเป็นวันพระหรือภายในวัดมีงาน แต่เพราะความไม่รู้ฝรั่งคนนั้นจึงยืนรออยู่บริเวณนั้น
    สักพักต่อมาประตูก็เปิดออก มีชายวัยกลางคนสวมชุดชาวทั้งชุด เดินตรงมาหาฝรั่งคนนั้น
    และทักทายด้วยภาษาอังกฤษถามว่า "มายืนอยู่ทำไม" ฝรั่งก็บอกว่า "ต้องการจะมาดูพระสงฆ์
    ออกบิณฑบาต" ชายปริศนาในชุดขาวตอบว่า "อีกนานกว่าพระจะออกมาบิณฑบาต ควรเข้าไป
    ชมในวัดก่อนดีกว่า" ฝรั่งก็ตกลง และเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในวัด ชายปริศนานำฝรั่งเดินตรง
    ไปเปิดประตูพระอุโบสถ พร้อมเชื้อเชิญให้เข้าไปชมความงดงามของศิลปะไทย ๆ ภายในพระอุโบสถ
    และยังอธิบายประวัติพระประธานคือ พระพุทธชินศรี ซึ่งงดงามแบบพระพุทธชินราชที่ จ.พิษณุโลก

    [​IMG]

    และยังให้ดูพระรูปโลหะของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระมหาสมณเจ้า
    กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พร้อมยังเล่า
    ประวัติให้ฟังด้วยเมื่อ ออกจากพระอุโบสถชายชุดขาวก็พาฝรั่งไปชมพระพุทธรูปที่พระวิหารพระศรีศาสดา
    และ ที่พระเจดีย์ แล้วยังพาเดินผ่านกุฏิต่าง ๆ พร้อมบอกชื่อและความสำคัญของอาคารต่าง ๆ แถวนั้น
    อย่างละเอียด สุดท้ายก็พาฝรั่งออกมาส่งที่นอกประตูวัดบอกให้รอประเดี๋ยวจะมีพระบิณฑบาต ผ่านมา
    พูดจบแล้วชายชุดขาวก็เดินกลับเข้าไปในวัดและปิดประตูลงดังเดิม

    ฝรั่ง ชาวต่างชาติผู้นี้ในภายหลังด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้มาขอบวชกับสมเด็จพระญาณสังวร
    เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ และด้วยความที่ยังติดใจอยู่กับชายปริศนาในชุดขาวที่เคยพาเที่ยวชมวัดบวรฯ
    จึงพยายามตามหาอยู่ตลอด เพราะคิดว่าชายคนนั้นคงอาศัยอยู่ภายในวัด แต่หลังจากพยายามตามหาเท่าไร
    ก็ยังหาไม่พบ แม้จะถามหาจากใครหลายคนที่เป็นคนเก่าแก่ และพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เคยมีใครรู้จัก
    หรือพบเห็นชายในลักษณะดังกล่าวเลย

    รูปการณ์นี้จึงมีการสันนิษฐานกันว่า ชายคนดังกล่าวน่าจะเป็น "เทพ" ที่สถิตอยู่ในวัดบวรฯ เพราะมี
    พฤติการณ์หลายอย่างที่ประหลาด อย่างแรกก็คือ ประตูพระอุโบสถนั้นจะมีผู้ถือกุญแจอยู่ประจำ ซึ่งไม่ใช่
    ชายในลักษณะดังกล่าว และอีกประการสำคัญ ประตูกำแพงวัดกับประตูพระอุโบสถนั้นจะไม่มีการเปิดใน
    เวลานั้นเด็ดขาด ที่น่าอัศจรรย์คือ วิธีการเปิดประตูของชายคนนั้นไม่ได้ใช้กุญแจแต่เป็นการผลักเข้าไปเฉยๆ
    ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงประตูทุกบานจะลั่นกุญแจไว้เสมอ ฉะนั้นคนธรรมดาไม่อาจถือวิสาสะเปิดเข้ไปได้
    แน่นอน คนที่ทำเช่นนี้ได้เห็นจะมีแต่ "เทพยดา" และผู้มีฤทธิ์เท่านั้น

    จาก ประสบการณ์ที่พบเห็นเรื่องราวน่าประหลาดของภิกษุหนุ่มชาวต่างชาติ จึงเป็นเหตุให้ต่อมาเขาได้
    อุทิศเวลา และความตั้งใจศึกษาปฏิบัติพระกรรมฐาน เพื่อให้ได้สมาธิชั้นสูง โดยหวังว่าวันหนึ่งคงได้พบ
    ชายชุดขาวนั้นอีกครั้ง ซึ่งสำหรับผู้ปฏิบัติแล้วไม่เกินวิสัยที่สามารถทำได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่


    ดิฉันคัดลอกบทความนี้มาจาก "เทพ" และ "ผี" ที่วัดบวรนิเวศฯ
    คิดว่าหลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินหรือได้อ่านมาก่อน เพราะเรื่องเคยตีพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์นานมาแล้ว

    ดิฉันนำเรื่องนี้มาเล่าอีกครั้งก็เพราะว่าในระหว่างที่เล่า ท่านเผลอใช้สรรพนามว่า "I" อยู่หลายครั้ง ก็เลย
    จับได้ว่าท่านคือ "ฝรั่ง" เจ้าของเรื่องตัวจริง! จึงได้ฟังรายละเอียดต่อว่า ไม่เพียงแต่ท่านได้ชมวัดหากแต่
    ได้ฟังประวัติของวัดบวรฯโดยละเอียด ท่านเล่าว่าชายในชุดขาว(ใส่โจงกระเบนแบบแขกยาม) บอกกับ
    ท่านว่าจริงๆแล้ววัดบวรฯเป็นวัดสองวัด โดยชายชุดขาวเรียกอีกวัดหนึ่งว่า "วัดเหนือ" พร้อมทั้งแสดง
    ความผิดหวังที่ไม่มีการบูรณะซ่อมแซมในส่วนนั้นเลย ท่านเล่าว่า ท่านได้พักอยู่ที่คณะสูง โดยอยู่ในความ
    ดูแลของพระขันติปาโล (พระภิกษุชาวอังกฤษ)ถึงสามสัปดาห์

    เมื่อท่านเอ่ยถามเรื่องชายในชุดขาว

    สมเด็จพระญาณสังวร(เป็นเจ้าคุณพระสาสนโสภณ ในขณะนั้น) ก็ได้เรียกให้ไปพบ และเมื่อท่านเล่าเรื่อง
    จบพร้อมทั้งบอกเริ่องที่ชายในชุดขาวผิดหวัง สมเด็จฯได้เอารูปภาพหลายๆภาพให้ท่านดู ท่านก็ได้พบ
    ชายในชุดขาวในภาพๆหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็ได้รู้จักชื่อของชายในชุดขาวที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วว่า
    "King Rama 4Th" หรือคนไทยรู้จักท่านในชื่อ "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๔"
    ผู้ทรงก่อตั้ง"คณะธรรมยุตินิกาย" ที่วัดบวรนิเวศวิหารแห่งนี้ ดิฉันฟังแล้วก็ขนลุก

    พลเอกเปรม ติณสูลานนท์พูดเตือนสติคนไทยอยู่บ่อยๆว่า"พระสยามเทวาธิราช มีจริง อย่าทำชั่่วต่อบ้านเมือง"

    ดิฉันคิดว่า คำเตือนนี้ไม่ควรมองข้าม!!

    [​IMG]
    Venerable Bhikkhu Khemasanto





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...