หากต้องการเรียนวิชาควายหรือวัวธนู ต้องไปศึกษากับอาจารย์สำนักใดดีครับ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย thiravut_keng, 13 กรกฎาคม 2010.

  1. thiravut_keng

    thiravut_keng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +609
    ผมชอบเรื่องคาถาอาคมนะครับ เลยอยากทราบว่า พี่ๆพอรู้บ้างไหมว่าอาจารย์ท่านใดที่ท่านมีวิชาเกี่ยวกับการทำควายหรือวัวธนูน่ะครับ ต้องการที่จะศึกษาเรียนไว้ป้องกันตัวเองและผู้อื่นน่ะครับ ขอรบกวนด้วยได้มั้ยครับ
    หากเป็นการตั้งกระทู้ผิดห้องผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
     
  2. suko

    suko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +333
    แนะนำครับ อย่าไปเรียนเลยครับปฎิบัติธรรมดีกว่า
     
  3. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    กฏแห่งกรรม ถ้าเราเจตนากระทำกรรมแล้วเราก็ต้องได้รับผลกรรมจากเจตนานั้นด้วย
    เขาเจ็บเขาทรมาณ=เราเจ็บเราทรมาณ เอาเหรอครับ
    สู้อยู่อย่างมีความสุขหรือหาวิธีให้ตัวเองไม่ต้องทนทุกข์ได้จะไม่เยี่ยมกว่าอย่างนั้นหรือครับ
     
  4. เซียนเหินทะยานคลื่น

    เซียนเหินทะยานคลื่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +312
    วันหนึ่งมีลูกค้าเป็นลุงแก่ๆอายุประมาณเกือบๆ 60 เข้ามาซื้อของที่ร้านผมครับแก่เป็นหมอเขรมรักษาคนที่โดนคุณไสยหรือโดนกระทำมาอะไรทำนองนี้แก่บอกว่าไปเรียนที่จังหวัดสุรินทร์มาแก่ทำได้ทุกอย่าง เสกตะปู เสกหนังควาย น้ำมันพรายสาระพัดวิชาของเขรมลุงแก่ชวนผมไปที่สำนักแก่ประจำ แต่ผมไม่กล้าไปครับเพราะแก่อยากให้ผมเป็นผู้สืบทอดวิชาของแก่ครับแก่หาคนสืบทอดไม่ได้ (ที่แก่อยากให้ผมเป็นผู้สืบทอดเพราะเห็นผมอ่านพวกหนังสือแนวๆอิทธิฤทธิ์ ไสยศาสตร์อะไรทำนองนี้แต่ผมชอบไสยศาสตร์ของพุทธศาสนาคับไม่ใช่ของ แขก เขรม)แล้วที่ไม่น่าไปสำนักแก่เลยเพราะแก่จะไม่ไหว้พระเลยครับแก่บอกว่าแก่นับถืออะไรก็ไม่รู้ฟังแล้วน่ากลัว แก่ก็พยายามชวนผมไปที่ตำหนักแก่ประจำไปดูแก่ไล่ผีบ้าง ถอนของให้ผู้หญิงบ้าง เรียกผัวกลับมาหาเมียหลวงบ้าง แต่ผมไม่ไปคับเพราะผมกลัว แก่แวะมาหาผมที่ร้าน 2 ครั้งติดๆกันเลยจนผมต้องหลบหน้าแก่ เจ้ผมกับลูกน้องที่ร้านก็เกรงๆแก่แต่จะไล่แก่ก็ไม่ได้แก่มาซื้อของที่ร้านผมไปต่อแท่นประรำพิธีอะไรแก่ไม่รู้แก่ก็ชวนผมไปอีกนั่นแระเหมือนแก่ติดใจอะไรผมก็ไม่รู้ช่วงนั้นผมกลัวมากก่อนนอนสวดมนต์มากกว่าเก่าอีก ตอนนี้ลุงแก่หายไป 2 อาทิตย์แล้วก็ขอให้แก่อย่ามาอีกเลย
    เพราะว่าลูกน้องที่ร้านผมเป็นคนจันทบุรีบ้านอยู่ติดชายแดนเขรมเลยมันบอกว่าเวลาวันพระวันโกนยังมีให้เห็นกันอยู่เลยปล่อยผีที่เลี้ยงออกมาบ้างบางครั้งก็เห็นเป็นแสงสีๆพุ่งผ่านไปบ้าง
    แต่ที่ผมไม่ชอบแก่เลยตรงที่แก่บอกว่าไม่นับถือพระไม่ไหว้พระแถมยังคุยอีกว่ามีวิชาเก่งกว่าพระฟังแล้วหมั่นไส้ด้วย ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าของพวกนี้มันน่ากลัวทำเขาแล้วท่าตัวเองไม่แข็งจริงของก็เขาตัวเอง
     
  5. ปกาศิต

    ปกาศิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +72
    เท่าที่ผมอ่านจากประวัติเมืองฝาง-ไชยปราการ จำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้เขียน มีหน้าหนึ่งที่เขียนว่า ตุ๊แก้วเสือเย็น (พระภิกษุแก้วเสือสมิง) เป็นผู้ศึกษาวิชาอาคมจนแก่กล้าสามารถแปลงกายเป็นเสือได้ เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในวิชาข่าม อยู่ยงคงกระพันของทางเหนือ เรียกว่าเสือเจ็ดป็อด ( เจ็ดท่อน) หากใครศึกษาวิชานี้จนชำนาญได้ที่เเล้วก็สามารถแปลงกายได้เป็นไสยดำ ทั้งนี้ผู้เรียนต้องเพิ่มพลังงานให้แก่วิชานี้คือต้องกินคนเป็นอาหารจะทำใหญาณบารมีของพญาเสือแก่กล้า อยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า วิชานี้ผู้เรียนต้องตั้งขันไหว้ครูจนเป็นที่เชื่อมั่นแล้ว ก็จะบริกรรมคาถาว่าดังนี้ โอมปิติอิ พยัคโฆ ก๋ายะวัณโณ จิตตะเทโห กูจักเป๋นเสือโดโลดเต้นไปมา อาวุธานะกริสสันติ เนื้อหนังกูแข็งอย่างเพชรต้านหอกดาบและปืนไฟ กูจักเป๋นเสือในบัดนี้ จงมีฤทธียิ่งกว่าพญาจ๊างสารในบัดเดียว มะอะอุ อุอะมะ สวาหะคงๆ ( บางท่อนเท่านั้นนะครับ พอเป็นหัวเชื้อ) หากวิชาแก่กล้าแล้วก็จะแปลงกายเป็นพญาเสือสมิงได้
    ตุ๊แก้ว มีวิชานี้เที่ยวลองวิชาเสาะหากินคนจนเป็นที่เกรงกลัวขยาดของคนแถวนั้น เที่ยวกินคนไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งคนแก่ ลูกเล็กเด็กแดง สามเณรในวัด
    ต่อมามีพ่อค้าวัวต่าง (พ่อค้าเกวียน)ผ่านทางมาจึงได้หาที่พักกระทั่งไปเจอวัดหนึ่ง (ขอสงวนชื่อวัดนะครับ) พ่อค้าจึงขอพักคืนค้างแรมในวิหารของวัดนั้น ซึ่งมีตุ๊แก้วอยู่อาศัยในวัดนี้ ค่ำคืนดึกสงัดพ่อค้าวานิชที่กำลังจะหลับตานอนอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงเรียกของพระภิกษุ ป้อออกหลับละกาๆ (โยมหลับหรือยังๆ) บรรดาพ่อค้าต่างพากันเงียบไขนตอบเสียงเรียกนั้น เสียงเรียกนั้นก็ดังขึ้นอีก 2 ครั้ง 3ครั้ง บรรดาพ่อค้าต่างพากันสงสัยว่าวันนี้น่าจะมีอะไรแปลกชอบกลอยู่ เมื่อสถานะการณ์คับขันจำเป็นพ่อค้าเหล่านั้นได้นำของวิเศษของตนออกมา สิ่งนี้ทำมาจากตอก (ไม้ไผ่) สานเป็นรูปวัวขนาดเท่ากำปั้นบริกรรมเสกคาถาว่า โอมโคโณ มาหาโคโณ งัวย่าเขาบิดขวิดแต่ต๊องรอดห้องหัวใจ๋ ลุกเป๋นไฟโหว่ไหม้ โอมจนๆ สาวหะ เมื่อบริกรรมคาถาพร้อมเสกเป่าเป็นที่พอใจแล้ว ก็แง้มประตูวิหารออกไป พลันสายตาเหลือบไปจับต้องกับสิ่งหนึ่ง มีลำตัวยาวแปดศอก เสือร้องคำรามมีอำนาจประดุจอสุนีบาต บรรดาพ่อค้าพยายามตั้งสติระลึกถึงครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้คุ้มครองพวกของตน จึงได้วางวัวธนูลงกับพื้นพร้อมกับตบมือเชียร์วัวให้ชนเสือ พลันใด วัวที่สานด้วยตอกนั้น ได้กลายร่างเป็นกระทิงดุตัวใหญ่ มีดวงตาแดงเท่าบาตรพระดั่งอัญมณีในรัตติกาล พร้อมกำลังมหาศาลเข้าจู่โจมเสือสมิงทันที สู้กันเกือบฟ้าสาง ฝ่ายเสือสมิงเห็นท่าจะไม่ได้การณ์เสียแล้วจึงโดดหนีเข้าไปในความมืด ฝันร้ายของพ่อค้าได้สลายไป เกือบเอาชีวิตไม่รอด ต่างมีความรู้สึกประดุจดังยกภูผาออกจากอก ทันใดวัวธนูอาคมก็ได้แปลเปลี่ยนเป็นวัวที่สานด้วยตอกเหมือนเดิม รุ่งเช้าบรรดาญาติโยมได้มาถวายข้าวปลาอาหารสำหรับพระต่างถามพ่อค้าว่าเมื่อคืนที่วัดมีอะไรกันอึกกระทึกครึกโครม พ่อค้าจึงเล่าเหตุการณืให้ชาวบ้านฟังตั้งแต่ต้นจนจบ และได้สังเกตุเห็นรอยเลือดไหลเป็นทางออกนอกวัดไป ชาวบ้านต่างสงสัยว่าตุ๊แก้วเป็นเสือเย็นอย่างที่พวกตนคิดจึงได้พากันไปที่โฮง(กุฏิ) ของตุ๊แก้ว พากันเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับจึงได้พากันผลักประตูเข้าไปแต่ไม่เห็นพระภิกษุแก้ว แต่สิ่งที่เจอคือบรรดากระโหลกศรีษะ กระดูกส่วนอื่นๆของมนุษย์เรี่ยราดอยู่ใต้เตียงนอน ใช่แล้ว ตุ๊แก้วเป็นเสือเย็นแน่แล้ว จึงได้พากันตามรอยเลือดนั้นไป สุดตรงที่ท่าน้ำกก (ท่าตอน) นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นพระภิกษุแก้วอีกเลย เวลาผ่านมาเนิ่นนานประวัติกลายเป็นตำนาน จะเท็จจริงประการใดนั้นสุดแล้วแต่ผู้อ่านจะพิจารณา นี่เป็นเพียงเรื่องบอกเล่าที่เขียนผ่านอักษรเป็นตัวหนังสือเท่านั้น
    นี่เป็นเพียงการเขียนพอสังเขปเท่านั้น หากขาดตกบกพรองไปบ้างก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย วิชาอาคมต่างๆเป็นเพียงเปลือกนอกของผู้ประพฤติธรรมมีไว้เพื่อใช้ต่อต้านความกลัว และสิ่งที่ไม่พึงปารถนา เวทยาอาคมทั้งหลายเปรียบประดุจดังดาบสองคมหากใช้เพื่อบรรเทาความทุกข์ของตนเองและผู้อื่นได้ก็สมควรทำ หากจะไปกระทำย่ำยีให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อนย่อมเป็นอกุศลกรรมบาปมหันต์
    เท่าที่ผมได้ร่ำเรียนมา (สายทางเหนือ) วัวธนู มีไว้เพื่อข่ม ต่อสู้ กับภูติผีปีศาจให้ลดมิจฉาทิฏฐิ (ธรรมะย่อมชนะอธรรม) มิได้มีไว้ประหารผลาญชีวิตศรัตรูแต่ประการใด เป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองตนเองและบริวารจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
    การสร้างวัวธนู อาจสร้างด้วย โลหะ ไม้ ครั่งพุทรา แม้กระทั่งก้อนหิน ( ตรงสายน้ำชนกัน) นำมาบริกรรมเสกเป่า ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่สำคัญอยู่ที่ใจของผู้สร้าง หากมีใจเป็นกุศลสัมมาทิฏฐิแล้วย่อมศักดิ์สิทธิ์มีฤทธาปาฏิหาริย์ หากคิดชั่วมั่วบาปวิชานั้นก็จะเสื่อมถอยคุณลดหมดสิ้นไป
    ทั้งนี้ผู้ศึกษาต้องเลือกเองว่าศึกษาเล่าเรียนไปเพื่อใคร ทำทำไม และเพื่ออะไร ดังที่ผมได้เรียนท่านไปแล้วข้างต้นสรรพวิทยาอาคมเป็นดาบสองคม มีทั้งคุณอนันต์แลโทษมหันต์ ขอให้ท่านที่คิดจะศึกษาอยู่ก็ดี ศึกษาอยู่แล้วก็ดี จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและสาธารณะชน บรรเทาความเดือดร้อนที่ไม่เกินกว่าแรงกรรม ที่ไม่ใช่ผลจากกรรมเก่า เหล่านี้จงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนเถิด

    สวัสดีมีโชคชัยยะชนะมาร
    บุตรพระชินะมหาทศพลญาณ
     
  6. thiravut_keng

    thiravut_keng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +609
    ก็ปฏิบัติควบคู่ไปพร้อมเรียนไม่ได้เหรอครับ ผมว่าก็ไม่ได้เป็นการขัดแย้งกันนะ(ในความคิดเห็นน่ะครับไม่ทราบจริงเท็จประการใด) เพราะเรียนเพื่อป้องกันสิ่งร้ายๆไม่ได้เรียนเพื่อทำสิ่งร้ายๆ ไม่เช่นนั้นอาจารย์ที่เป็นพระเก่าๆท่านคงไม่ทำไว้ให้สาธุชนศิษย์ทั้งหลายหรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2010
  7. หนองสะลาบ

    หนองสะลาบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +564
    สุดยอดขนาด ปี้อ้ายปกาศิต ศาสตร์ทางล้านนาน่าศึกษาค้นคว้ามากอยากให้ผู้รู้ได้นำมาเผยแพร่อีก ผมว่าอย่างพี่ปกาศิตคงเป็นคลังภูมิรู้แห่งล้านนาได้อย่างแน่นอน จะรออ่านเน่อปี้หนาน
     
  8. ปกาศิต

    ปกาศิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +72
    วันนี้ข้าพเจ้าในนาม ปกาศิต จะขออนุญาตทุกท่าน อันจะกล่าวด้วยโองการชุมนุมครูแบบฉบับของล้านนา ตามที่ได้ศึกษามา เผื่อว่าจะเป็นความรู้ใหม่ สำหรับท่านผู้มีความประสงค์ที่อยากจะร่ำเรียนพระคาถาทั้งปวงให้มีความศักดิ์สิทธิ์ตามปรารถนา ทั้งนี้ต้องเรียนให้ท่าน ท. ทราบว่าการบูชาครู ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อบูรพาจารย์ นัยยะที่ท่านได้วางไว้ให้พวกเราได้ปฏิบัติคือความกตัญญูรู้คุณท่าน หรือที่เรียกว่ากตัญญูกตเวทิตาคุณ

    ข้าพเจ้าขออนุญาตจากท่านผู้รู้ทั้งปวง หากข้าพเจ้ามีปัญญาน้อย ก็ต้องขอคำชี้แนะจากท่านทั้งหลาย หากสิ่งใดมีความขาดตกบกพร่องไปบ้างขอได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้า ณ ที่นี้ด้วย หากแต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำ ณ โอกาสนี้ เป็นไปเพื่อสิ่งที่ครูบาอาจาริย์เจ้าท่านได้ถือปฏิบัติมา ขอความสวัสดิมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า แลท่านทั้งหลายด้วยเทอญฯ


    ประการแรกเราท่าน ท. ผู้จะศึกษาในศาสตร์แขนงนี้ขอให้ระลึกไว้ว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่งมงายไร้สาระแต่ประการใด หากเป็นเพียงการสร้างความเชื่อมั่น ฝึกทักษะ สมาธิไปในตัว เป็นการระลึกถึงบูรพาจาริย์โดยแท้จริง โดยการแสดงออกทางกาย วาจา และทางใจ



    อันดับแรกของผู้ที่จะศึกษาคือการแสดงความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ที่ว่ามานี้ คือศีล หากเป็นฆราวาส ก็ให้สมาทานเอา ศีล ๕ ศีล ๘
    เพื่อเป็นฐานที่ตั้งแห่งความหมดจด รับศีลมาแล้ว ต้องปฏิบัติด้วยนะจ๊ะ
    จากนั้น ก็ไหว้พระสวดมนต์ บูชาพระรัตนตรัย อาจจะทำในห้องพระถ้าหากเป็นไปได้

    หลังจากที่ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้ว พึงกล่าว นะโม ๓ จบ แล้วต่อด้วยไตรสรณะคมน์ หลังจากนั้นให้กล่าวคำชุมนุมเทพยดา ( สัคเค กาเม)

    เมื่อชุมนุมเทวดาเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านว่าโองการไหว้ครูดังนี้ โอมปิสนู๋กัญ จุ่งจักมาตันกั๋นจุหน้า ตังงัวธนู ตองขวานฟ้า ตังต๊าวหล้าเวสสุวรรณ ตังกุมภัณฑ์ตังแปด ก็จุ่งมาแวดล้อมอ้อมเป๋นปริวาร โอมพระฤาษีสิทธิการป้อหมอเฒ่า ครูเก๊า ครูปล๋าย ครูต๋าย ครูยัง แสนผาวัง เป๋นเก๊า พระเพลิง พระพาย เจ้าต๋นมีฤทธี ตังแม่พระธรณีครุฑนาคน้ำ จุ่งอยู่มาช่วยก๊ำ อรหัง เอหิๆ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ ปริเทวันติ ฯ สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการยะ ตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโย นิจจัง สิทธิกัมมัง ประสิทธิ เม ฯ กราบพระ ๕ ครั้ง (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ) หลังจากกล่าวจบดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ท่านมีคาถาอะไร ก็สามารถเรียนได้ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ด้วยแรงครูแรงอธิฐานบารมี


    ป.ล. สิ่งศักดิ์สิทธิจะอยู่คู่กับคนมีศีล ธรรม และผู้กตัญญูรู้คุณ

    ข้าพเจ้าได้ลงไว้เพื่อเป็นวิทยาทานหากท่านใดมีความประสงค์ จะเรียนเอาก็เรียนเถิดหากใจท่านชอบแล้ว ขอความสวัสดิมงคล มหาผลสำเร็จ จงมีแก่ท่าน ท. ทุกทิวาราตรีกาล เทอญฯ


    โชคดีมีชัยยะชนะมาร
    บุตรพระชินะมหาทศพลญาณ



    ดาบงามขนาดคับ ปี้หนาน หนองสะลาบ ไว้วันหลังเฮามาแลกฮูปดาบกันน่อครับ ผมมีอยู่เล่มหนึ่ง บ่ได้ออกฝักนาน ท่าจะมีขี้เหมี้ยงละ ดีใจ๋ครับปะคนเมืองเหมือนกั๋น ไว้ปะกั๋นวันหน้าเน้อคับ ปี้หนาน
     
  9. yuth01

    yuth01 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +1,152
    แนะนำผู้ที่ผมเคยรู้จักอยู่คนหนึ่ง
    ลุงอินทร์ ครับ ผมเคยดูหนังเรื่อง "ภูติพิศวาส"
    นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา เพชรา เชาวราชย์
    ลุงอินทร์ แกปล่อยควายธนูมาต่อสู้กับ "ไอ้ใหญ่"
    ผู้เป็นหัวหน้าผี

    ว่าแต่คุณจะเรียนไปทำไม?
     
  10. ปกาศิต

    ปกาศิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +72
    [​IMG]

    หลวงพ่อน้อย คนฺธโต อดีตเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง จ.นครปฐม นอกจากท่านจะสร้างกะลาแกะราหูอมจันทร์อันลือลั่นสะท้านแผ่นดินแล้ว หลวงพ่อน้อยท่านยังได้สร้าง ? วัวธนู ? ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่งที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
    โดยตามตำนานที่แท้จริง หลวงพ่อน้อยท่านได้สร้างวัวธนูขึ้นตามตำราที่ได้ตกทอดกันมาโดยเชื่อกันว่าสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว ( เดิมชื่อวัดพระยาไทย ) หรือในปัจจุบันก็คือวัดใหญ่ชัยมงคลนั่นเอง เป็นเจ้าของต้นตำรับในการสร้างวัวธนู ซึ่งวิธีการสร้างวัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น ท่านจะสร้างในโบสถ์ โดยมีการจัดเตรียมโรงพิธีซึ่งใช้ผ้าขาวขลิบทองขึงปิดทั่วห้องพิธี รวมทั้งเพดานฝ้าด้วย มีเครื่องเซ่นบัดพลีเป็นหัวหมู พร้อมทั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้นานาชนิด ล้อมวงด้วยด้ายสายสิญจน์รอบโบสถ์ พอถึงฤกษ์สิทธิโชคที่หลวงพ่อได้กำหนดไว้ ก็เริ่มพิธีด้วยการจุดธูปเทียนชัย
    ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าพิธีปลุกเสกวัวธนู ต้องเป็นผู้ชายล้วนที่บำเพ็ญเพียรถือศีลห้าก่อนพิธีเจ็ดวัน อีกทั้ง ต้องนุ่งขาวห่มขาว ทั้งนี้ ซึ่งการสร้างวัวธนูนั้น จะต้องสร้างให้เสร็จภายในเวลา ๒ ชั่วโมง ๒๗ นาที และต้องสร้างในวันมาฆบูชาหรือในวันวิสาขบูชาเท่านั้น จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่น ๆ
    การสร้างวัวธนูนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าพิธีก็มี....
    ๑.ผูกโครงสร้างของวัวธนูด้วยเส้นลวด
    ๒.เตรียมแผ่นโลหะสำหรับทำตะกรุดดอกเล็ก ๆ
    ๓.ชันโรงจากต้นพุทรา ซึ่งมีทั้งหลวงพ่อน้อยท่านเก็บไว้และผู้ให้สร้างวัวธนูนำมาเองโดยนำ ไปใส่ในภาชนะตั้งไฟ แล้วทำการเคี่ยวเตรียมไว้
    การสร้างวัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น ก่อนอื่นต้องสร้างโครงสร้างให้เป็นรูปร่างวัวธนูขึ้นมาก่อนด้วยเส้นลวดที่ทำจากเนื้อโลหะ ซึ่งโลหะที่นำมาทำเส้นลวดนั้น มักได้แก่โลหะจำพวกทองแดง เงิน นาค ทองคำ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นพวกทองแดงเสียมากกว่า
    ส่วนแผ่นโลหะที่นำมาทำเป็นตะกรุดดอกเล็กก็เช่นกัน มีทั้งโลหะเนื้อทองแดง เงิน นาคและทองคำ
    พอถึงฤกษ์ที่กำหนดไว้ หลวงพ่อน้อยจะลงจารอักขระขอมในแผ่นโลหะพร้อมกับม้วนเป็นตะกรุด ท่านลงจารด้วยคาถาหัวใจพระฉิม ? นะชาลิติ ? บางแผ่นอาจมีลงจารคำว่า ? นะ ๑๒ ? และ ? โม ๒๑ ? เข้าไว้ด้วย ซึ่งหมายถึงพระคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิด )
    เสร็จแล้วท่านจะส่งต่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีนำไปใส่บรรจุในโครงลวดที่จะสร้างวัวธนู แล้วให้เอาชันโรงที่เคี่ยวไว้พอกทับโครง แล้วจึงปั้นเป็นวัวธนูต่อไป
    วัวธนูที่ปั้นเสร็จแล้ว ท่านจะนำมาเจิมเขาด้วยน้ำมันจันทน์ทุกตัว พร้อมทั้งภาวนาพระคาถากำกับซ้ำอีกครั้ง
    นอกจากสร้างด้วยโครงลวดแล้ว วัวธนูของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองที่สร้างด้วยชันโรงล้วน ๆ ก็มี แต่ไม่มากนัก โดยเกิดจากการที่ว่าในขณะที่ทำพิธีนั้น ชันโรงที่เคี่ยวเตรียมไว้เกิดมีเหลือ และผู้เข้าร่วมพิธีต้องการวัวธนูเพิ่มอีก หลวงพ่อท่านก็จะปั้นให้โดยไม่ต้องมีลวดเป็นโครงร่าง
    วัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น จะมีรูปลักษณ์ขนาดเล็กและใหญ่ต่างกันไป แล้วแต่ผู้สร้างจะออกรูปแบบโครงสร้างของลวดเป็นแบบไหน วัวธนูตัวที่ใหญ่ที่สุด มีการสร้างตัวยาวขนาด ๖ นิ้วก็มี แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก
    ส่วนวัวธนูที่สร้างด้วย ? เขากระทิง ? นั้น จะมีการสร้างไว้ไม่มาก ส่วนใหญ่ผู้สร้างแกะเขาเป็นรูปวัวมาแล้วเอาเข้าร่วมในพิธี ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายฝีมือทีเดียว

    ลักษณะที่พึงสังเกตวัวธนูของหลวงพ่อน้อย:
    ๑.วัวธนูที่แท้จริง จะมีโครงลวดและแผ่นตะกรุด จึงทำให้มีน้ำหนัก หากวัวธนูตัวใดมีน้ำ หนักเบา ต้องถามที่มาที่ไปให้ละเอียดถี่ถ้วนแน่ชัด
    ๒.วัวธนูที่สร้างจากชันโรง เนื้อชันโรงจะมีความแห้งและแน่นตัวมาก เมื่อใช้กล้องส่องดู จะเห็นเนื้อชันโรงเหมือนผสมผงอยู่ด้วย แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือเปลือกต้นพุทราผุที่เอามาเคี่ยวรวมกันนั่นเอง
    ๓.ชันโรงที่ปั้นเป็นวัวธนู จะต้องมีสีแดงดำอมน้ำตาล สีจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผิวกายของวัวธนู จะมีลักษณะหยาบ ไม่เรียบร้อย
    ๔.ไม่มีการลงอักขระใด ๆ ที่ตัววัวธนูทั้งสิ้น หากมีนั่นย่อมแสดงว่าเอามาลงในภายหลัง นอกจากนี้ ไม่มีการปิดทองที่ตัววัว ถ้ามีปิดก็ปิดเป็นบางจุดเท่านั้น ถ้าปิดทั้งตัวเป็นการปิดทีหลังแน่นอน ทั้งนี้ เพราะการสร้างวัวธนูนั้น มีกำหนดเวลาในการทำพิธีน้อยและต้องเสร็จให้ทันภายในพิธีด้วย

    วิธีบูชาวัวธนู:
    ในการบูชาวัวธนูของหลวงพ่อน้อย จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงครั้งแรกเท่านั้น กล่าวคือจะต้องไปหาน้ำจากสระถึง๕แห่ง สระละนิดสระละหน่อยมาใส่แก้วไว้บูชา ต่อจากนั้นให้หาใบพุทรา ๕ ใบ หาใบหญ้าคา ๕ ใบ แล้วนำมารวมเป็นขอดไว้ใบละเปาะ แต่ละขอดให้ภาวนาพระคาถา ? อุปคุตมัดมาร ? ที่ว่า ? อิมํ อฺงคพนฺธนํ อธิฎฐามิ ?
    เสร็จแล้วให้จุดเทียน ๑ คู่ ธูป ๔ ดอกบูชา แล้วให้น้อมรำลึกถึงปรมาจารย์ผู้ริเริ่มการสร้างวัวธนู ซึ่งก็คือสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้วเป็นท่านแรก และองค์สุดท้ายให้น้อมรำลึกถึงหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เสร็จแล้วให้ภาวนาพระคาถากำกับวัวธนู ซึ่งมีข้อความดังนี้....
    ? เวทาสากุกุ ทาสาเวทา ยัสสะตะถะสาสา ทิกุกุทิสาสา กุตะกุ ภูตะภุโค โหตุเต ชัยยะมังคลานิ ?

    พุทธคุณและคุณประโยชน์ของวัวธนู : เชื่อกันว่าวัวธนูของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองนั้น มีพุทธคุณแบบที่เรียกว่าครอบจักรวาลเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมตตามหานิยม มีเสน่ห์ การค้าการขายดีเยี่ยม ทั้งปกป้องคุ้มครองตนเองและบ้านพักอาศัย ทำให้ศัตรูกลับมารัก ทำน้ำมนต์ก็ดีเลิศ กล่าวคือใช้น้ำที่อาบวัวธนูนั้นมาอาบตัวเรา เชื่อว่าจะไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยอยู่ ก็จะหายวันหายคืน ถ้าอาบประจำ ก็จะทำให้เกิดมีโชคลาภทั้งปี


    <TABLE id=ncode_imageresizer_warning_1 class=ncode_imageresizer_warning width=600><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">รูปภาพนี้ได้ถูกปรับขนาดให้เหมาะสมกับการแสดง ต้องการดูเท่าขนาดต้นฉบับคลิกที่นี่... </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    <TABLE id=ncode_imageresizer_warning_2 class=ncode_imageresizer_warning width=600><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">รูปภาพนี้ได้ถูกปรับขนาดให้เหมาะสมกับการแสดง ต้องการดูเท่าขนาดต้นฉบับคลิกที่นี่... </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    หลวงพ่อน้อย คนฺธโชโต วัดศีรษะทอง เดิมชื่อว่า ? น้อย ? นามสกุล ? นารารัตน์ ? ชา ตะเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕ แรม ๑๓ ค่ำ ปีมะโรง ณ ตำบลศีรษะทอง จ.นครปฐม ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๘ เวลาเพลพอดีด้วยอาการสงบ


    ที่มาhttp://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11700
     
  11. ปกาศิต

    ปกาศิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +72
    [​IMG]

    หลวงพ่อน้อย คนฺธโต อดีตเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง จ.นครปฐม นอกจากท่านจะสร้างกะลาแกะราหูอมจันทร์อันลือลั่นสะท้านแผ่นดินแล้ว หลวงพ่อน้อยท่านยังได้สร้าง ? วัวธนู ? ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่งที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
    โดยตามตำนานที่แท้จริง หลวงพ่อน้อยท่านได้สร้างวัวธนูขึ้นตามตำราที่ได้ตกทอดกันมาโดยเชื่อกันว่าสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว ( เดิมชื่อวัดพระยาไทย ) หรือในปัจจุบันก็คือวัดใหญ่ชัยมงคลนั่นเอง เป็นเจ้าของต้นตำรับในการสร้างวัวธนู ซึ่งวิธีการสร้างวัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น ท่านจะสร้างในโบสถ์ โดยมีการจัดเตรียมโรงพิธีซึ่งใช้ผ้าขาวขลิบทองขึงปิดทั่วห้องพิธี รวมทั้งเพดานฝ้าด้วย มีเครื่องเซ่นบัดพลีเป็นหัวหมู พร้อมทั้งอาหารคาวหวาน ผลไม้นานาชนิด ล้อมวงด้วยด้ายสายสิญจน์รอบโบสถ์ พอถึงฤกษ์สิทธิโชคที่หลวงพ่อได้กำหนดไว้ ก็เริ่มพิธีด้วยการจุดธูปเทียนชัย
    ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าพิธีปลุกเสกวัวธนู ต้องเป็นผู้ชายล้วนที่บำเพ็ญเพียรถือศีลห้าก่อนพิธีเจ็ดวัน อีกทั้ง ต้องนุ่งขาวห่มขาว ทั้งนี้ ซึ่งการสร้างวัวธนูนั้น จะต้องสร้างให้เสร็จภายในเวลา ๒ ชั่วโมง ๒๗ นาที และต้องสร้างในวันมาฆบูชาหรือในวันวิสาขบูชาเท่านั้น จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่น ๆ
    การสร้างวัวธนูนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าพิธีก็มี....
    ๑.ผูกโครงสร้างของวัวธนูด้วยเส้นลวด
    ๒.เตรียมแผ่นโลหะสำหรับทำตะกรุดดอกเล็ก ๆ
    ๓.ชันโรงจากต้นพุทรา ซึ่งมีทั้งหลวงพ่อน้อยท่านเก็บไว้และผู้ให้สร้างวัวธนูนำมาเองโดยนำ ไปใส่ในภาชนะตั้งไฟ แล้วทำการเคี่ยวเตรียมไว้
    การสร้างวัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น ก่อนอื่นต้องสร้างโครงสร้างให้เป็นรูปร่างวัวธนูขึ้นมาก่อนด้วยเส้นลวดที่ทำจากเนื้อโลหะ ซึ่งโลหะที่นำมาทำเส้นลวดนั้น มักได้แก่โลหะจำพวกทองแดง เงิน นาค ทองคำ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นพวกทองแดงเสียมากกว่า
    ส่วนแผ่นโลหะที่นำมาทำเป็นตะกรุดดอกเล็กก็เช่นกัน มีทั้งโลหะเนื้อทองแดง เงิน นาคและทองคำ
    พอถึงฤกษ์ที่กำหนดไว้ หลวงพ่อน้อยจะลงจารอักขระขอมในแผ่นโลหะพร้อมกับม้วนเป็นตะกรุด ท่านลงจารด้วยคาถาหัวใจพระฉิม ? นะชาลิติ ? บางแผ่นอาจมีลงจารคำว่า ? นะ ๑๒ ? และ ? โม ๒๑ ? เข้าไว้ด้วย ซึ่งหมายถึงพระคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิด )
    เสร็จแล้วท่านจะส่งต่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีนำไปใส่บรรจุในโครงลวดที่จะสร้างวัวธนู แล้วให้เอาชันโรงที่เคี่ยวไว้พอกทับโครง แล้วจึงปั้นเป็นวัวธนูต่อไป
    วัวธนูที่ปั้นเสร็จแล้ว ท่านจะนำมาเจิมเขาด้วยน้ำมันจันทน์ทุกตัว พร้อมทั้งภาวนาพระคาถากำกับซ้ำอีกครั้ง
    นอกจากสร้างด้วยโครงลวดแล้ว วัวธนูของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองที่สร้างด้วยชันโรงล้วน ๆ ก็มี แต่ไม่มากนัก โดยเกิดจากการที่ว่าในขณะที่ทำพิธีนั้น ชันโรงที่เคี่ยวเตรียมไว้เกิดมีเหลือ และผู้เข้าร่วมพิธีต้องการวัวธนูเพิ่มอีก หลวงพ่อท่านก็จะปั้นให้โดยไม่ต้องมีลวดเป็นโครงร่าง
    วัวธนูของหลวงพ่อน้อยนั้น จะมีรูปลักษณ์ขนาดเล็กและใหญ่ต่างกันไป แล้วแต่ผู้สร้างจะออกรูปแบบโครงสร้างของลวดเป็นแบบไหน วัวธนูตัวที่ใหญ่ที่สุด มีการสร้างตัวยาวขนาด ๖ นิ้วก็มี แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก
    ส่วนวัวธนูที่สร้างด้วย ? เขากระทิง ? นั้น จะมีการสร้างไว้ไม่มาก ส่วนใหญ่ผู้สร้างแกะเขาเป็นรูปวัวมาแล้วเอาเข้าร่วมในพิธี ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายฝีมือทีเดียว

    ลักษณะที่พึงสังเกตวัวธนูของหลวงพ่อน้อย:
    ๑.วัวธนูที่แท้จริง จะมีโครงลวดและแผ่นตะกรุด จึงทำให้มีน้ำหนัก หากวัวธนูตัวใดมีน้ำ หนักเบา ต้องถามที่มาที่ไปให้ละเอียดถี่ถ้วนแน่ชัด
    ๒.วัวธนูที่สร้างจากชันโรง เนื้อชันโรงจะมีความแห้งและแน่นตัวมาก เมื่อใช้กล้องส่องดู จะเห็นเนื้อชันโรงเหมือนผสมผงอยู่ด้วย แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือเปลือกต้นพุทราผุที่เอามาเคี่ยวรวมกันนั่นเอง
    ๓.ชันโรงที่ปั้นเป็นวัวธนู จะต้องมีสีแดงดำอมน้ำตาล สีจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผิวกายของวัวธนู จะมีลักษณะหยาบ ไม่เรียบร้อย
    ๔.ไม่มีการลงอักขระใด ๆ ที่ตัววัวธนูทั้งสิ้น หากมีนั่นย่อมแสดงว่าเอามาลงในภายหลัง นอกจากนี้ ไม่มีการปิดทองที่ตัววัว ถ้ามีปิดก็ปิดเป็นบางจุดเท่านั้น ถ้าปิดทั้งตัวเป็นการปิดทีหลังแน่นอน ทั้งนี้ เพราะการสร้างวัวธนูนั้น มีกำหนดเวลาในการทำพิธีน้อยและต้องเสร็จให้ทันภายในพิธีด้วย

    วิธีบูชาวัวธนู:
    ในการบูชาวัวธนูของหลวงพ่อน้อย จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงครั้งแรกเท่านั้น กล่าวคือจะต้องไปหาน้ำจากสระถึง๕แห่ง สระละนิดสระละหน่อยมาใส่แก้วไว้บูชา ต่อจากนั้นให้หาใบพุทรา ๕ ใบ หาใบหญ้าคา ๕ ใบ แล้วนำมารวมเป็นขอดไว้ใบละเปาะ แต่ละขอดให้ภาวนาพระคาถา ? อุปคุตมัดมาร ? ที่ว่า ? อิมํ อฺงคพนฺธนํ อธิฎฐามิ ?
    เสร็จแล้วให้จุดเทียน ๑ คู่ ธูป ๔ ดอกบูชา แล้วให้น้อมรำลึกถึงปรมาจารย์ผู้ริเริ่มการสร้างวัวธนู ซึ่งก็คือสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้วเป็นท่านแรก และองค์สุดท้ายให้น้อมรำลึกถึงหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เสร็จแล้วให้ภาวนาพระคาถากำกับวัวธนู ซึ่งมีข้อความดังนี้....
    ? เวทาสากุกุ ทาสาเวทา ยัสสะตะถะสาสา ทิกุกุทิสาสา กุตะกุ ภูตะภุโค โหตุเต ชัยยะมังคลานิ ?

    พุทธคุณและคุณประโยชน์ของวัวธนู : เชื่อกันว่าวัวธนูของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองนั้น มีพุทธคุณแบบที่เรียกว่าครอบจักรวาลเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมตตามหานิยม มีเสน่ห์ การค้าการขายดีเยี่ยม ทั้งปกป้องคุ้มครองตนเองและบ้านพักอาศัย ทำให้ศัตรูกลับมารัก ทำน้ำมนต์ก็ดีเลิศ กล่าวคือใช้น้ำที่อาบวัวธนูนั้นมาอาบตัวเรา เชื่อว่าจะไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยอยู่ ก็จะหายวันหายคืน ถ้าอาบประจำ ก็จะทำให้เกิดมีโชคลาภทั้งปี


    <TABLE id=ncode_imageresizer_warning_1 class=ncode_imageresizer_warning width=600><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">รูปภาพนี้ได้ถูกปรับขนาดให้เหมาะสมกับการแสดง ต้องการดูเท่าขนาดต้นฉบับคลิกที่นี่... </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    <TABLE id=ncode_imageresizer_warning_2 class=ncode_imageresizer_warning width=600><TBODY><TR><TD class=td1 width=20>[​IMG]</TD><TD class=td2 unselectable="on">รูปภาพนี้ได้ถูกปรับขนาดให้เหมาะสมกับการแสดง ต้องการดูเท่าขนาดต้นฉบับคลิกที่นี่... </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    หลวงพ่อน้อย คนฺธโชโต วัดศีรษะทอง เดิมชื่อว่า ? น้อย ? นามสกุล ? นารารัตน์ ? ชา ตะเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕ แรม ๑๓ ค่ำ ปีมะโรง ณ ตำบลศีรษะทอง จ.นครปฐม ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๘ เวลาเพลพอดีด้วยอาการสงบ


    ที่มา
     
  12. ปกาศิต

    ปกาศิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +72
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD>วัวธนู คอลัมน์ มุมพระเก่า

    สรพล โศภิตกุล



    <TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>มี เรื่องเล่าขานจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่เล่าสืบต่อเนื่องกันมาถึงเรื่องการต่อสู้ ของวัวธนูกับเสือสมิง 4 ตัว ว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์แสวงหาความสงบเงียบ วันหนึ่งขณะธุดงค์เข้าไปในราวป่าปราศจากบ้านเรือนของผู้คน เป็นเวลาที่ตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปแล้วนั้น สิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในสายตาไกลลิบๆ คือ อุโบสถร้างกลางป่า

    ระหว่างทางนั้นก็ได้พบกับชายชรานุ่งขาวห่มขาวคนหนึ่ง ซึ่งได้ขอติดตามพระธุดงค์ไปด้วยความห่วงใย ระหว่างเดินไปได้พบต้นไผ่ที่โน้มกิ่งลำต้นขวางทาง ชายชราได้หยิบมีดหมอจากย่ามฟันกิ่งไผ่นั้นแล้วจัดการจักเป็นตอกได้กำใหญ่ ก็เดินทางกันต่อไป แต่ขณะเดินไปชายชราก็นำตอกไผ่นั้นมาสานเป็นสิ่งหนึ่ง เมื่อสานเสร็จก็นำใส่ไว้ในย่าม จนกระทั่งเดินมาถึงอุโบสถร้าง ที่ด้านหลังอุโบสถยังมีศาลาหลังเล็กซึ่งผุพังหลังคาโหว่ และเห็นพระภิกษุ 4 รูปชุมนุมกันอยู่ แต่ก็หาได้ทักทายกับพระธุดงค์และชายชราไม่ อีกทั้งยังก้มหน้าไม่ยอมสบสายตา แต่ที่เห็นนั้นสายตาของพระภิกษุทั้ง 4 หาเหมือนดังสายตาคนปกติไม่ ดูไปเหมือนสายตาของสัตว์ร้าย ชายชราจึงรีบนำพระธุดงค์เข้าไปในอุโบสถร้างและปิดประตูหน้าต่างลงกลอนอย่าง รีบเร่ง แล้วจึงปัดกวาดพื้นอุโบสถให้พอพักอาศัยได้ จากนั้นชายชราได้ล้วงย่ามหยิบเอาเทียนขี้ผึ้งออกมา 2 เล่ม พร้อมธูปสามดอก จุดบูชาพระรัตนตรัย และบอกให้พระธุดงค์ทำวัตรเย็น

    เสร็จสิ้นแล้วชายชราได้นั่งจักสานตอกไผ่ของแกไปเรื่อยๆ ตรงมุมอุโบสถ จนตะวันลับฟ้าไปแล้ว ทันใดก็มีเสียงของเสือคำราม พร้อมสายลมพัดพา กลิ่นสาบลอยเข้ามา ชายชรากระซิบบอกพระธุดงค์ให้ตั้งสมาธิจิตบริกรรมพระพุทธคุณ มีสิ่งใดผิดปกติอย่าได้สนใจเป็นอันขาด เสียงของเสือนั้นดูใกล้เข้ามาจนได้ยินเสียงหายใจครืดคราด และเสียงตะกุยตะกายที่ประตูอุโบสถ จากเสียงนั้นกะประมาณอย่างน้อย 3-4 ตัว

    ทัน ใดนั้นชายชราได้ผุดลุกขึ้นไปที่ประตูอุโบสถ แล้วสอดไม้ไผ่ที่สานนั้นออกไปตามรูช่องดาลอันแล้วอันเล่าจนหมด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงของสัตว์ต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนกระทั่งเสียงนั้นสงบนิ่งไป ครั้นรุ่งเช้าเมื่อเปิดประตูอุโบสถออกมา ปรากฏเห็นเสือโคร่ง 4 ตัว มีขนาด 6 ศอก นอนตายไส้ทะลักออกมา ชายชราได้บอกกับพระธุดงค์ว่า พระภิกษุทั้ง 4 ที่พบเมื่อเย็นวานล้วนเป็นเสือสมิงทั้งนั้น สังเกตได้ว่าที่คอยังมีผ้าเหลืองพันอยู่ทุกตัว และถ้าชายชราไม่มากับพระธุดงค์ด้วย เสือสมิงทั้ง 4 ตัว คงทำอันตรายแก่พระธุดงค์ไปแล้ว

    ส่วนที่ชายชราจักสานไม้ไผ่นั้น เป็นวัวธนู

    วัวธนูนั้นสร้างขึ้นจากวัตถุแต่ละชนิดได้ 3 ประเภท คือ

    1. วัวทอง เป็นวัวธนูชั้นหนึ่งสร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ มีตะปูตรึงโลงศพ เหล็กขนันผีตายทั้งกลม งั่ง (ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง) ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวานฟ้า เงินปากผี ทองยอดนพศูล นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกันแล้วลงอักขระตามตำราที่บังคับ หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน

    2. วัวขี้ผึ้ง เป็นวัวธนูชั้น 2 ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกด ตาแร้ง ตาชะมด กำลังวัวเถลิง เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผงผสมกับเถ้าฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้น เป็นรูปวัวหรือควายก็ได้ เสกด้วยอาการ 32 บางตำราเพิ่มคนเลี้ยง 1 คน

    3. วัวไม้ไผ่ เป็นวัวธนูชั้น 3 ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง กลั้นหายใจตัดด้วย นะโม ตัสสะ กะทีเดียวให้ขาดจากกัน นำมาสานเป็นรูปหัววัว คล้ายเฉลวปักหม้อยาแผนโบราณ

    กล่าวสำหรับวัวธนูนั้น มีอิทธิฤทธิ์ 108 ยอดยิ่งในโชคลาภค้าขาย เป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยม เรียกคู่ แก้เคราะห์ร้าย เฝ้าบ้านกันขโมย ป้องกันอาถรรพ์คุ้มครองบ้าน ป้องกันปราบปรามภูตผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ สรรพคุณล้ำเลิศไม่มีภัยอันตรายใดๆ จะกล้ำกรายได้เลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา
     
  13. ปกาศิต

    ปกาศิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +72

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    เรื่องราวไสยศาสตร์นับเป็นวิถีชีวิตหนึ่งของสังคมใดใดในโลกมาเนิ่นนาน เรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นในโลกก็ว่าได้ และศาสตร์แห่งความเชื่อ แขนงนี้ได้สอดแทรกในทุกเรื่องราวของการดำเนินชีวิตนับตั้งแต่เเรกเกิดจนถึงตายละร่างกายจากโลกนี้ วัตถุอาถรรพ์มีที่มาจากไสยศาสตร์จึงมีมากมายหลากหลาย หนึ่งในเรื่องราวที่เล่าขานถึงความน่า สะพรึงกลัวและความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้เรืองวิทยาคมต้องแสวงหาหรือสร้างขึ้น เพื่อป้องกันตนจากอาถรรพ์ไสยเวทของศัตรู และปกป้องพื้นที่จากพลังคุกคามต่างๆก็คือสิ่งที่เรียกว่า “วัวธนู” ซึ่งในบางครั้งอาจเรียกว่า “โคสวาลา” หรือ “โค อศุภราช”
    ศาสตร์การสร้างวัวธนูนี้มีต้นเรื่องมาจากตำนานของศาสนาพราหมณ์ โดยจับเค้า ตั้งแต่ครั้งตำนานโลกยุคดึกดำบรรพ์คราวเกิดเทวาสุรสงคราม (เทวดารบกับอสูร) เป็นรากเหง้าความเชื่อมาแต่โบราณว่าเมื่อเทพยดารบแพ้อสูรเป็นเหตุให้โลกต้อง วุ่นวายจนพระนารายณ์เป็นเจ้าให้กวนเกษียรสมุทรเพื่อให้กำเนิดน้ำอมฤต และท้าวมหาพรหมทรงประทาน “นิติปกาศิตา” กำเนิดมหาเวทสำคัญคือ “ธนุรเวท”ซึ่งศาสตร์ธนุรเวทนี้เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เทวดา รบชนะอสูรในกาลต่อมาจนถูกบันทึกในตำราพิไชยสงครามฮินดู ที่เหล่ายุวกษัตริย์ของภารตะทวีปครั้งอดีตได้ศึกษาเล่าเรียนแม้ “เจ้าชายสิทธัตถะ” ก็เคยศึกษาเล่าเรียนปรากฏต้นเค้าให้สอบทานได้ในปริตตเจ็ดตำนานที่ชื่อว่า “ธชัคปริต” ที่กล่าวถึงคราวที่เทพยดารบกับอสูร(แสดงนัยของธรรมะกับอธรรมใน จิตใจมนุษย์ที่คอยหักล้างกันเสมอมา)หากหวาดกลัวเกิดแก่หมู่เทวะก็ ให้ดูธงแห่งมหาราชเทวะ(พระอินทร์ทั้งห้า) พุทธศาสนิกชนหากหวาดหวั่นภัยใดให้นึกถึงพระรัตนตรัยฉันใดฉันนั้น ตรงนี้จะเห็นว่า ศาสนาในครั้งอดีตนั้นเอื้ออาทรกันยอมรับสายวัฒนธรรมที่ต่างเกิดขึ้นเข้า ผสมผสานกลมกลืนแม้จะเเตกต่างในเรื่องความคิดก็หักล้างด้วย “ธรรมยุทธ” ยุติความขัดเเย้งโดยธรรม คือแสดงปัญญาในข้อธรรมเข้าหักล้างกัน

    [​IMG] โดยสันติเมื่อชนะไม่เหยียดหยามเมื่อแพ้ก็ปรับปรุงวิธีคิดยอมรับ หลักการเพื่อศึกษาเข้าหาแก่นแท้ที่ถูกทางในการรู้เเจ้งชีวิต ผิดกับปัจจุบันที่มักอ้างความแตกต่างในความเชื่อเป็น เงื่อนไขในการประหัตประหารหักล้างกัน ผลที่ได้หาใช่ความไพบูลย์ของมวลมนุษยชาติแต่กลับ จบลงด้วยความเศร้าเสียใจเครียดความแค้นที่ ผลลัพธ์ต้องจมอยู่กับเถ้ากระดูก เลือด น้ำตา หญิงหม้าย เด็กกำพร้า ผู้บริสุทธิ์อันมิอาจจะรู้ประมาณได้วัวธนูหรือโคสวาลาเป็นการสร้าง “ชีวะ” คือ สัญญาซึ่งเป็นศาสตร์ทางจิตวิญญาณขั้นสูงในภาษาไสยศาสตร์พื้นบ้าน จะเรียกว่า “มีตัว” ความรู้เรื่องนี้นำไปสร้างเป็นเครื่องรางหลากชนิดที่เรียกว่า “ผูกพยนต์”โดยการกำหนดรูปสร้างสัญญาของสิ่งนั้นขึ้นปรุงแต่งด้วย “เวท” หรือ “อาคม” เป็นสังขารจิตประจุในวัตถุนั้น

    [​IMG] วิชาสัตว์พยนต์ธนูนั้นจะนิยมสร้างเป็นสองรูปคือ “วัวธนู” และ “ควายธนู” ตามรูปร่างที่จัดสร้างของเดิมนั้นจัดเป็น คุณไสยแบบหนึ่งเช่นเดียวกับที่ทางจีนเรียก “ม่อซุก” (ที่เรียก ม่อ-อสูร เพราะจีนนิยมเรียกชาวเปอร์เชีย หรือภารตะที่เข้ามาทางตะวันตกของประเทศว่า มารซึ่งไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมเลยเป็นการ สร้างกลไกการต่อต้านวัฒนธรรมแบบหนึ่งเท่านั้น) เป็นตำนานของมีดบินเซี่ยวลี้ปวยตอที่นักเขียนนวนิยายกำลังภาย ในของจีนนำมาเป็นเรื่องวิชาอาวุธชั้นยอดมีดบินก็คือใช้จิตบังคับลมปราณให้ส่งมีด ไปยังเป้าหมายแบบเดียวกับวิชาธนุรเวทนั่นเอง ที่เล่ามานี่เป็นแบบหนึ่งของการผูกสายเรื่องราววัฒนธรรมเท่านั้น เพราะต่างพื้นที่ต่างชนชาติก็ต่างคติความคิดเรื่องเดียวกันพอ ผ่านเวลานานเข้าก็กลายเป็น”คนละเรื่องเดียวกัน”อย่างน่าใจหาย

    การสร้างวัว(ควาย)ธนูมีหลายรูปแบบเลือกสรรตามวัสดุที่สามารถหามาจัดสร้างได้ โดยจะเรียกวัว(ควาย)ธนูในกรณีที่ใช้ในการต่อสู้ คุกคาม, ป้องกัน ศัตรู ส่วนคำว่า “โคสวาลา”นั้นเป็นวัวแก้วสารพัดนึกเพื่อผลในความรุ่งเรืองลาภผล เรื่องนี้เพิ่มเติมจากที่ทราบกันโดยทั่วไป โดยแบ่งชั้นของวัว(ควาย)ธนูออกตามวัสดุที่นำมาสร้างได้สามชนิดคือ

    วัวไม้ไผ่ เป็นวัว(ควาย)ธนูชั้นสามสร้างแบบชั่วคราวใช้งานเร่งด่วนโดยนิยมใช้ไม้ไผ่หรือที่ขึ้นคร่อมทางมา
    สร้างเวลาตัดมีเคล็ดต้องกำหนดคาถาอาคมเฉพาะ การสานจะใช้ไม้ไผ่ที่ตัดได้มาจักตอกภาวนาคาถากำกับตลอดจนได้ตอกตามต้องการแล้วนำมาขัดเป็นวัว(ควาย)ไม้ไผ่ขึ้น มีการขึ้นแบบสองตอก สี่ตอก โดยต้องสานแบบไขว้หลังจะถือว่าขลัง วัว(ควาย)ธนูชนิดนี้อาจสร้างด้วยวัสดุอื่นอย่างด้ายตราสังก็มี

    วัวขี้ผึ้งหรือวัวผงปั้นด้วยครั่งจัดเป็นวัวชั้นสอง โดยนิยมใช้วัสดุอาถรรพ์เข้าภูตประเภท ขี้ผึ้งปิดหน้าศพ ตานกกด ตาชะมด ตาแร้ง กำลังวัวเถลิง ผมหรือเถ้ากระดูกผีที่นับว่าดุร้ายมีอาถรรพ์ ดินตามป่าช้า ดินโป่ง ขี้ครั่งพุทราทางทิศตะวันออก

    วัวทอง เป็นวัว(ควายธนู)ที่สร้างจากโลหะผสมประเภทสำริดจัดว่าคงทนและมีอานุภาพสูงสุด โดยผสมโลหะมวลสารอาถรรพ์ เช่น สำริดยอดเจดีย์ นพศูล เหล็กขนันผี ขวานฟ้า โลหะฟ้าผ่าฯ หลอมเป็นวัวชนหรือควาย ลงอาคม ยันต์ ตามตำราซึ่งจะเเบ่งเป็น ยันต์เปิด(กำเนิด) ยันต์ปิด(ทำลาย) ลงนะธนูกับมหาศาสตราพระเจ้า สำหรับรูปวัวทองมักนิยมให้มีลักษณะมงคลตามแบบวัวนนทิ พาหนะของพระอิศวร ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรให้ดูลักษณะของพระโค (วัว)ในพระราชพิธีแรกนาขวัญ จะเห็นชัดเจนที่สุดวัวชนิดนี้นอกจากทำด้วยโลหะแล้วอาจสร้างด้วยวัตถุอาถรรพ์อย่างเขาวัว(ควาย)ฟ้าผ่ามาเเกะลงอาถรรพ์ก็ได้

    เนื่องจากลัทธิไสยศาสตร์ที่มาจากพราหมณ์ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในชั้นหลังจึงกำหนดฤกษ์ในพิธีการปลุกเสกดังนี้


    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    วันมาฆบูชา (เพ็ญเดือนสาม) เวลาสร้างพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นห้าม ในวันนี้กำหนดให้ใช้ดอกไม้๔สีประกอบเครื่องบูชาครู

    วันวิสาขบูชา (เพ็ญเดือนหก) เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่จนพระอาทิตย์ขึ้นเที่ยงวัน มีคติอย่างหนึ่งคือเวลาเที่ยงวันทางไสยศาสตร์จะห้ามลงของเพราะถือว่า เงาหัวหายจะเป็นนิมิตรไม่ดี ความเชื่อนี้ปัจจุบันนักเลงไสยศาสตร์รุ่นหลังมักไม่รู้หรือละเลย วันนี้ใช้ดอกไม้ ๘ สีบูชาครู

    วันอาสาฬหบูชา (เพ็ญเดือนแปด) เริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์เรี่ยยอดไม้บ่ายแก่ๆจน ตะวันลับฟ้าในวันนี้มีข้อพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ต้องตัดฤกษ์ในช่วงเวลาทำพิธีเหมือนวันอื่น

    วัว(ควาย)ธนูนี้ ผู้เขียนเคยเห็นอาจารย์ฆารวาสท่านหนึ่งที่จังหวัดลำพูนท่านเสกเพียง ห้านาทีก็ยื่นส่งให้ปรากฏว่าวัวโลหะ(ซื้อจากสนามพระทั่วไป)ที่ลองส่งให้ท่าน ประจุอาคมร้อนเหมือนเอาไปเเช่ในน้ำร้อนซึ่งเหตุการณ์นี้มีผู้ร่วม .รู้เห็นหลายคนนับเป็นเรื่องที่แปลกมาก บางครั้งก็เคยเห็นอาจารย์บางท่านเสกจนวัวไม้ไผ่ขยับได้ ซึ่งเรื่องนี้จัดเป็นความเชื่อเฉพาะตัวบุคคลจึงให้ใช้วิจารณญาณเอง

    [​IMG] การบูชาวัวทองนิยมใช้ผ้าสีแดงปู และเลี้ยงด้วย หญ้าคา ที่ต้องบริกรรมคาถาเสกด้วยมือเดียว กับน้ำสะอาดและตามตำราหากได้น้ำค้างยอดหญ้า หรือกลางหาวก็ระบุว่าจะทำ ให้มีกำลังมากเป็นพิเศษสำหรับคาถาวัว(ควาย)ธนูนั้นมีมากมายแตกต่างกันตามพื้นที่ ภูมิภาค การเลี้ยงก็ตามแต่คติใครจะมีว่าอย่างไร บางแห่งเคร่งครัดขนาดเวลาใส่ชุดออก จากบ้านเป็นชุดอะไรกลับมาก็ต้องเป็นชุดเดิมด้วยมิฉะนั้นเชื่อว่า เจ้าวัวธนูนี้อาจ “ งี่เง่า”(ศัพท์นี้ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๔๒แล้วแปลว่า โง่มากจึงไม่ใช่ศัพท์สแลงอีกต่อไป)จำเจ้าของไม่ได้ทำพิษเอาถึงเจ็บป่วย ก็มีสำหรับเรื่องวัว(ควาย)ธนูเป็นความเชื่อไสยศาสตร์ ที่มีมานานในสังคมไทยที่มักกล่าวถึงจนเป็นเรื่องเล่าขานแต่น้อยคนนักจะ รู้จักหรือพบเห็นที่แท้จริงในส่วนที่นำมาเล่านี้เป็นเพียงข้อปลีกย่อย เล็กน้อยในการสร้างวัว(ควาย)พยนต์ชนิดนี้ขึ้นมา จัดเป็นศาสตร์ยอดฮิตของนักเลงไสยศาสตร์ที่ต้องรู้จักแม้จะไม่มีในครอบครองก็ตาม....


    ที่มา
     
  14. thiravut_keng

    thiravut_keng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +609
    ????

    ก็บอกแล้วครับว่าป้องกันตนเองและอื่น และที่ท่านบอกมาว่า ลุงอินทร์ นั้น ผมรู้สึกว่าจะเป็นละครนี่ครับ ผมหาคนจริงๆมีชิวิตครับ ไม่ใช่ในนิยายและละคร ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  15. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ
    และ
    หลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียงนะครับ
     
  16. thiravut_keng

    thiravut_keng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +609
    ขอบคุณมากครับพี่ๆที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ
     
  17. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ทางใต้เกจิอาจารย์ที่เก่งด้านนี้มีหลายรูปค่ะ
     
  18. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    ได้ยินว่าทําไม่ดีจะโดนมันขวิดตาย
    ไม่ได้เรียนกับคนเก่งก็อย่าทําเลย
     
  19. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    ผมีวัวธนู 1 คู่ แต่ผมซื้อจากเขาเอามาขาย แต่ยังไม่ได้ปลุกเสก ใช้วิธีเอาไปเข้าปลุกเสกพิธีพุทธาภิเสกเสาร์ห้า เอาไว้สำหรับป้องกันตัว
     
  20. aaa12345

    aaa12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +119
    คุณปกาศิต ครับสนใจอยากศึกษาด้วยได้ไหมboora4@gmail.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...