แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. Tawatchai1889

    Tawatchai1889 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    6,406
    ค่าพลัง:
    +16,785
    ผมมีตะกรุดอยู่ 1 ดอก ใช้แผ่นทองแดง 2 แผ่น ม้วนทำเป็นตะกรุด

    ด้านในเป็นพรของพ่อกับแม่ ผมขอให้ท่านทำให้ จากนั้นให้ท่านอธิฐานให้อีกครั้ง

    ใช้บูชาระลึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่ เรียกตะกรุดพรบิดามารดา

    ผมเคยอ่านเจอที่ไหนสักที่ จากนั้นก็จึงทำตามดูครับ รู้สึกดีครับ

    บิดามารดาคือพรหมของบุตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  2. sutketb

    sutketb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,592
    พี่หนุ่มครับ
    รบกวนดูพระมงคลมหาลาภให้หน่อยครับใช่วัดสารนาถ?


    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
    Sutketb
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. chanayut

    chanayut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    384
    ค่าพลัง:
    +1,671
    ยามที่ท้อแท้
    ขอแค่มี"..."อยู่ข้างๆ
    ยามที่ล้มลุกคลุกคลาน
    ขอแค่มี"..."อยู่ใกล้ๆ
    ยามที่สมหวังในเรื่องที่หวังไว้
    ทุกๆคนอยากมีใครสักคน
    ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นแรงผลักดัน
    ใ้้ห้ก้าวต่อไปข้างหน้า
    "เธอ"คือใครก็ได้
    ขอเพียงเป็นคนที่หวังดีและจริงใจกับเรา
     
  4. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    เก็บตกจากInbox "หมาขี้เรื้อน" เปลี่ยนใจคนใจร้าย

    .....ทำไม ถึงทำให้คน ใจร้าย เปลี่ยนแปลงตัวเอง.....เพราะอะไร??


    เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชิตแกเป็นคนชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับ แม่แกบอกมันบาปนะลูก (ไม่สนโว้ย)

    เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่ กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก "xxxกินไม่ลงว่ะ"

    แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ) มันไปหาของกินทีบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้

    คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป แกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป
    คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้ เรื้อนวิ่งช้ามาก

    แกทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชัก ทันที (แกบอกว่าหากตีตรงจุดแค่ไม้บรรทัดก็ตาย)
    แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่ จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ
    (แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้

    ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้

    ก็ต้องวิ่งตามอย่าง เดียวพร้อมบ่น "ทำไมมันไม่ตายวะ"


    พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า
    แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................


    หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมี ลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหาร เป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดีที่สุด

    มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย


    ไม่ อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย

    พี่ ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน

    แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก
    แก ไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอสายตาอ่อนโยนลง

    ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิก หางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า "ขอโทษ" พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย เราช่วยกันฝังแม่หมา

    แกรับเลี้ยงหมานั่น ไว้ ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก "มันอาจมีลูกรออยู่ก็ใด้"

    เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆที่ไม่เคยทำ

    พูดกับแม่ว่า "แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ"

    แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป1ตัว
    กลับทำให้คนใจร้ายอย่าง แกเปลี่ยนไปขนาดนี้


    รักแม่ . . .
     
  5. โอ ท่าซุง

    โอ ท่าซุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,291
    ค่าพลัง:
    +8,435
    สวัสดียามเช้าทุกท่านครับ ขอบคุณพี่หนุ่มฯครับ
     
  6. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    สวัสดีครับพี่หนุ่มและพี่ๆทุกท่านครับ มีบทความดีๆมาฝาก

    "เพราะเหตุที่"กตัญญูมารดา" เป็นเหตุให้บรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ<!-- google_ad_section_end -->




    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG]

    พระสุวรรณสาม ปรมัตถเมตตาบารมี มหาชาติที่ 3 ของบารมี 30 ทัศ

    ครั้งหนึ่ง มีสหายสองคนรักใคร่กันมาก ต่างก็ตั้งบ้านเรือน อยู่ใกล้เคียงกัน ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ทั้งสองคนตั้งใจว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชาย ก็จะให้แต่งงาน เพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลาย อยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่า ทุกูลกุมาร อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว ชื่อว่า ปาริกากุมารี เด็กทั้งสองมีรูป ร่างหน่าตางดงาม สติปัญญาฉลาดเฉลียว และมีจิตใจมั่นอยู่ในศีล เมื่อเติบโตขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองก็ตกลงจะทำตามที่เคย ตั้งใจไว้ คือให้ลูกของทั้งสองบ้านได้แต่งงานกัน แต่ทั้งทุกูลกุมารและปาริกากุมารี ต่างบอกกับพ่อแม่ ของตนว่า ไม่ต้องการแต่งงานกัน แม้จะรู้ดีว่า ฝ่ายหนึ่ง เป็นคนดี รูปร่างหน้าตางดงาม และเป็นเพื่อนสนิท มาตั้งแต่เด็กก็ตาม ในที่สุด พ่อแม่ของทั้งสองก็จัดการแต่งงานให้จนได้ แต่แม้ว่าทุกูลและปาริกาจะแต่งงานกันแล้ว ต่างยังคงประพฤติ ปฏิบัติเสมือนเป็นเพื่อนกันตลอดมา ไม่เคยประพฤติต่อกัน ฉันสามีภรรยา

    ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง สองคนมีความปราถนาตรงกัน คือประสงค์จะออกบวช ไม่อยากดำเนินชีวิตอย่างชาวบ้าน ธรรมดาซึ่ง จะต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเป็นอาหารบ้าง เพื่อป้องกันตัวเองบ้าง เมื่อได้อ้อนวอนพ่อแม่ทั้งสองบ้านอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ทั้งสองก็ได้รับคำอนุญาตให้บวชได้ จึงพากัน เดินทางไปสู่ป่าใหญ่ และอธิษฐานออกบวช นุ่งห่มผ้าย้อม เปลือกไม้และไว้มวยผมอย่างดาบส บำเพ็ญ ธรรมอยู่ ณ ศาลาในป่านั้น ด้วยความเมตตาอันมั่นคง ของทั้งสองคน บรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ต่างหากินอยู่ด้วยความสุขสำราญ ต่อมาวันหนึ่ง พระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่ ทุกูลดาบส และ ปาริกาดาบสินี จึงตรัสบอกแก่ ดาบสว่า "ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่า อันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่าน ขอให้ท่านจงมีบุตร เพื่อเป็น ผู้ช่วยเหลือ ปรนนิบัติในยามยากลำบากเถิด" ทุกูลดาบสจึงถามว่า "อาตมาบำเพ็ญพรตเพื่อความพ้นทุกข์ อาตมาจะมีบุตรได้อย่างไร อาตมาไม่ต้องการดำเนินชีวิต อย่างชาวโลก ที่จะทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์อีก" พระอินทร์ตรัสว่า

    "ท่านไม่จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติ อย่างชาวโลก แต่ท่านจำเป็นต้องมีบุตรไว้ช่วย เหลือปรนนิบัติ ขอให้เชื่อข้าพเจ้าเถิด ท่านเพียงแต่เอามือลูบท้องนางปาริกา ดาบสินี นางก็จะตั้งครรภ์ ลูกในครรภ์นางจะได้เป็นผู้ดูแล

    ท่านทั้งสองต่อไป"เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกดังนั้น ทุกูลดาบสจึงทำตาม ต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนด ก็คลอดบุตร มีผิวพรรณงดงามราวทองคำบริสุทธิ์ จึงได้ชื่อว่า "สุวรรณสาม" ปาริกาดาบสสินี เลี้ยงดู สุวรรณสามจนเติบใหญ่อยู่ในป่านั้น มีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพื่อนเล่น ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ สุวรรณสามหมั่นสังเกตจดจำสิ่งที่ พ่อและแม่ได้ปฏิบัติ เช่น การไปตักน้ำ ไปหา ผลไม้เป็นอาหาร เส้นทางที่ไปหาน้ำและอาหาร สุวรรณสามพยายามช่วยเหลือ

    พ่อและแม่ กระทำกิจกรรมต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ่อแม่ ได้มีเวลาบำเพ็ญธรรมตามที่ประสงค์ วันหนึ่ง เมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกา ออกไปหาผลไม้ในป่า เผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ ต้นไม้ใหญ่ใกล้ จอมปลวก โดยไม่รู้ว่าที่จอมปลวกนั้นมีงูพิษอาศัยอยู่ น้ำฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้า และมุ่นผมของ ทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงู งูตกใจจึงพ่นพิษออกมาป้องกันตัว พิษร้ายของงูเข้าตาทั้งสองคน ความร้ายกาจของพิษทำให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันที

    ทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินี จึงไม่สามารถจะกลับไปถึง ศาลาที่พักได้ เพราะมองไม่เห็นทาง ต้องวนเวียนคลำทางอยู่แถวนั้นเอง คนทั้งสองต้องเสียดวงตา เพราะกรรมในชาติก่อน เมื่อครั้งที่ ทุกูลดาบสเกิดเป็นหมอรักษาตา ปาริกา เกิดเป็นภรรยาของหมอนั้น วันหนึ่งหมอได้รักษาตาของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายขาดแล้ว แต่เศรษฐีไม่ยอมจ่ายค่ารักษา ภรรยาจึงบอกกับสามีว่า

    "พี่จงทำยาขึ้นอย่างหนึ่งให้มีฤทธิ์แรง แล้วเอาไปให้เศรษฐีผู้นั้น บอกว่าตายังไม่หายสนิท ขอให้ใช้ยานี้ป้ายอีก" หมอตาทำตามที่ภรรยาบอก ฝ่ายเศรษฐีเชื่อในสรรพคุณยา ของหมอ ก็ทำตาม ตาของเศรษฐีก็กลับบอด สนิทในไม่ช้าด้วย บาปที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่งผลให้ทั้งสองคนต้องตาบอดไปในชาตินี้

    ฝ่ายสุวรรณสาม คอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลา ไม่เห็นกลับมาตามเวลา จึงออกเดินตามหา ในที่สุดก็พบพ่อแม่ วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวก เพราะนัยน์ตาบอด หาทางกลับไม่ได้ สุวรรณสามจึงถามว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟัง สุวรรณสามก็ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะ พ่อแม่จึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้แล้วก็หัวเราะ เช่นนั้น สุวรรณสาม ตอบว่า

    "ลูกร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอด แต่หัวเราะ เพราะลูกดีใจที่ลูกจะได้ ปรนนิบัติดูแล ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ที่เลี้ยงดูลูกมา พ่อแม่อย่าเป็นทุกข์ไปเลย ลูกจะปรนนิบัติ ไม่ให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่อย่างใด"

    จากนั้น สุวรรณสามก็พาพ่อแม่กลับไปยังศาลาที่พัก จัดหาเชือก มาผูกโยงไว้โดยรอบ สำหรับพ่อแม่จะได้ใช้จับเป็นราวเดินไป ทำอะไรๆ ได้สะดวกในบริเวณศาลานั้นทุกๆ วัน สุวรรณสาม จะไปตักน้ำมา สำหรับพ่อแม่ได้ดื่มได้ใช้ และไปหา ผลไม้ในป่ามาเป็นอาหารและตนเอง เวลาที่สุวรรณสามออกป่าหาผลไม้ บรรดาสัตว์ทั้งหลาย จะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจ

    เพราะสุวรรณสาม เป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่เคยทำอันตรายแก่ฝูงสัตว์ สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดา สัตว์นานาชนิด พ่อแม่ลูกทั้งสามจึงมีแต่ความสุขสงบ ปราศจาก ความทุกข์ร้อนวุ่นวายทั้งปวง

    อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาแห่งเมืองพาราณสี พระนามว่า "กบิลยักขราช" เป็นผู้ชอบออกป่าล่าสัตว์ พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์ มาจนถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักน้ำไปให้พ่อแม่ พระราชาสังเกตเห็น รอยเท้า สัตว์ชุกชุมในบริเวณนั้น จึงซุ่มคอยจะยิงสัตว์ที่ผ่านมากินน้ำ ขณะนั้น

    สุวรรณสามนำหม้อน้ำมาตักน้ำไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคย มีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมาย พระราชาทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงแปลกพระทัยว่า สุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดา เหตุใดจึง เดินมา กับฝูงสัตว์ ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสาม จะตกใจหนีไป ก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมด กำลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม เมื่อสุวรรณสามลงไปตักน้ำแล้ว กำลังจะเดินกลับไปศาลา พระราชากบิลยักขราชก็เล็งยิงด้วยธนูอาบยา ถูกสุวรรณสาม ที่สำตัวทะลุจากขวาไปซ้าย สุวรรณสามล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่ถึงตาย จึงเอ่ยขึ้นว่า "เนื้อของเรากินไม่ได้ หนังของเราเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ จะยิงเราทำไม คนที่ยิงเราเป็นใคร ยิงแล้วจะ ซ่อนตัวอยู่ทำไม" กบิลยักขราชได้ยินวาจาอ่อนหวานเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกพระทัย ทรงคิดว่า

    "หนุ่มน้อยนี้เป็นใครหนอ ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ยังไม่โกรธเคือง กลับใช้ถ้อยคำอันอ่อนหวาน แทนที่จะด่าว่า ด้วยความ โกรธแค้น

    เราจะต้องแสดงตัวให้เขาเห็น" คิดดังนั้นแล้ว พระราชาจึงออกจากที่ซุ่มไปประทับอยู่ข้างๆ สุวรรณสาม พลางตรัสว่า "เราชื่อกบิลยักขราช เป็นพระราชา แห่งแมืองพาราณสี เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรอยู่ในป่านี้" สุวรรณสามตอบไปตามความจริงว่า "ข้าพเจ้าเป็นบุตรดาบส ชื่อว่าสุวรรณสาม พระองค์ยิงข้าพเจ้าด้วยธนูพิษ ได้รับ ความเจ็บปวดสาหัส พระองค์ประสงค์อะไรจึงยิงข้าพเจ้า" พระราชาไม่กล้าตอบความจริง จึงแสร้งตรัสเท็จว่า "เราตั้งใจจะยิงเนื้อเป็นอาหาร แต่พอเจ้ามาเนื้อก็ เตลิดหนีไปหมด เราโกรธจึงยิงเจ้า " สุวรรณสามแย้งว่า "เหตุใดพระองค์จึงตรัสอย่างนั้น บรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านี้ไม่เคยกลัวข้าพเจ้า ไม่เคยเตลิด หนีข้าพเจ้าเลย สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า" พระราชาทรงละอายพระทัยที่ตรัสความเท็จแก่สุวรรณสาม ผู้ถูกยิงโดยปราศจากความผิด จึงตรัสตามความจริงว่า "เป็นความจริงตามที่เจ้าว่า สัตว์ทั้งหลายมิได้กลัวภัย จากเจ้าเลย เรายิงเจ้าก็เพราะความโง่เขลาของเราเอง เจ้าอยู่กับใครในป่านี้ ออกตักน้ำไปให้ใคร" สุวรรณสามบ้วนโลหิตออกจากปาก ตอบพระราชาว่า "ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งตาบอดทั้งสองคน อยู่ในศาลา ในป่านี้

    ข้าพเจ้าทำหน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่ ดูแลหาน้ำและอาหาร สำหรับท่านทั้งสอง เมื่อข้าพเจ้า มาถูกยิงเช่นนี้ พ่อแม่ก็จะไม่มี ใครดูแลปรนนิบัติอีกต่อไป อาหารที่ศาลายังพอสำหรับ 6 วัน แต่ไม่มีน้ำ พ่อแม่ของข้าพเจ้าจะต้องอดน้ำและอาหาร เมื่อปราศจากข้าพเจ้า โอ พระราชา ความทุกข์ ความเจ็บปวด ที่เกิดจากถูกยิงด้วยธนูของท่านนั้น ยังไม่เท่าความทุกข์ ความเจ็บปวดที่เป็นห่วงพ่อแม่ของข้าพเจ้า จะต้องได้รับ ความเดือดร้อนเพราะขาดข้าพเจ้าผู้ปรนนิบัติ ต่อไปนี้พ่อแม่คงไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก แล้ว" สุวรรณสามรำพันแล้วร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอย่างยิ่ง พระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็เสียพระทัยยิ่งนักว่า ได้ทำร้าย สุวรรณสามผู้มีความกตัญญูสูงสุด ผู้ไม่เคยทำอันตราย ต่อสิ่งใดเลย จึงตรัสกับสุวรรณสามว่า "ท่านอย่ากังวลไปเลย สุวรรณสาม เราจะรับดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของท่านให้เหมือน กับที่ท่านได้เคย ทำมา จงบอกเราเถิดว่าพ่อแม่ของท่านอยู่ที่ไหน" สุวรรณสามได้ยินพระราชาตรัสให้สัญญาก็ดีใจ กราบทูลว่า

    "พ่อแม่ของข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มาก นัก ขอเชิญเสด็จไปเถิด" พระราชาตรัสถามว่า สุวรรณสามจะสั่งความไปถึงพ่อแม่ บ้างหรือไม่ สุวรรณสามจึงขอให้พระราชาบอกพ่อแม่ว่า ตนฝากกราบไหว้ลาพ่อแม่มากับพระราชา เมื่อสุวรรณสาม ประนมมือกราบลงแล้ว ก็สลบไป ด้วยธนูพิษ ลมหายใจหยุด มือเท้าและร่างกายแข็งเกร็งด้วยพิษยา พระราชาทรงเศร้า เสียพระทัยยิ่งนัก รำลึกถึงกรรมอันหนักที่ได้ก่อขึ้นในครั้งนี้ แล้วก็ทรงระลึกได้ว่า ทางเดียวที่จะช่วยผ่อนบาปอันหนักของ พระองค์ได้ก็คือ ปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสาม คือไป ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สุวรรณสาม เหมือนที่สุวรรณสามได้เคยกระทำมา พระราชากบิลยักขราชจึงนำหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้น ออกเดินทางไปศาลาที่สุวรรณสามบอกไว้ ครั้นไปถึง ทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้าพระราชา ก็ร้องถามขึ้นว่า "นั่นใครขึ้นมา ไม่ใช่สุวรรณสามลูกเราแน่ ลูกเรา เดินฝีเท้าเบา ไม่ก้าวหนักอย่างนี้" พระราชาไม่กล้าบอกไปในทันทีว่าพระองค์ยิงสุวรรณสาม ตายแล้ว จึงบอกแต่เพียงว่า "ข้าพเจ้าเป็นพระราชา แห่งเมืองพาราณสี มาเที่ยวยิงเนื้อในป่านี้" ดาบสจึงเชิญ ให้พระราชาเสวยผลไม้ และเล่าว่าบุตรชายชื่อสุวรรณสาม เป็นผู้ดูแลจัดหาอาหารไว้ให้ ขณะนี้สุวรรณสาม ออกไปตักน้ำ อีกสักครู่ก็คงจะกลับมา พระราชาจึงตรัสด้วยความเศร้าเสียพระทัยว่า "สุวรรณสาม ไม่กลับมาแล้ว บัดนี้สุวรรณสามถูกธนูของ ข้าพเจ้าถึงแก่ ความตายแล้ว" ดาบสทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เสียใจยิ่งนัก นางปาริกาดาบสินีนั้นแต่แรกโกรธ แค้นที่พระราชา ยิงสุวรรณสามตาย แต่ทุกูลดาบสได้ปลอบประโลมว่า

    "จงนึกว่าเป็นเวรกรรมของสุวรรณสามและของเราทั้งสองเถิด จงสำรวมจิตอย่าโกรธเคืองเลย พระราชาก็ได้ยอมรับผิดแล้ว" พระราชาตรัสปลอบว่า "ท่านทั้งสองอย่ากังวลไปเลย ข้าพเจ้าได้สัญญากับสุวรรณสามแล้วว่าจะปรนนิบัติ ท่านทั้งสองให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยทำมาทุกประการ" ดาบสทั้งสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสาม นอนตายอยู่ เพื่อจะได้สัมผัสลูบคลำลูกเป็นครั้งสุดท้าย พระราชาก็ทรงพาไป ครั้นถึงที่สุวรรณสามนอนอยู่ ปาริกาดาบสินีก็ช้อนเท่าลูกขึ้นวางบนตัก ทุกูลดาบส ก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามประคองไว้บนตัก ต่างพากัน รำพันถึงสุวรรณสามด้วยความโศกเศร้า บังเอิญปาริกา ดาบสินีลูบคลำบริเวณหน้าอกสุวรรณสาม รู้สึกว่ายังอบอุ่นอยู่ จึงคิดว่าลูกอาจจะเพียงแต่ สลบไป ไม่ถึงตาย

    นางจึงตั้ง สัตยาธิษฐานว่า

    [​IMG]"สุวรรณสามลูกเราเป็นผู้ที่ประพฤติดีตลอดมา มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่อย่างยิ่ง เรารักสุวรรณสาม ยิ่งกว่าชีวิตของเราเอง ด้วยสัจจวาจาของเรานี้ ขอให้พิษ ธนูจงคลายไปเถิด ด้วยบุญกุศลที่สุวรรณสามได้เลี้ยงดู พ่อแม่ตลอดมา ขออานุภาพแห่งบุญจงดล บันดาลให้ สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาเถิด"[​IMG]

    เมื่อนางต้งสัตยาธิษฐานจบ สุวรรณสามก็พลิกกายไป ข้างหนึ่งแต่ยังนอนอยู่ ทุกูลดาบสจึงตั้งสัตยาธิษฐาน เช่นเดียวกัน สุวรรณสามก็พลิกกายกลับไปอีกข้างหนึ่ง ฝ่ายนางเทพธิดาวสุนธรี ผู้ดูแลรักษาอยู่ ณ บริเวณ เขาคันธมาทน์ ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า

    [​IMG]"เราทำหน้าที่ รักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน เรารักสุวรรณสาม ผู้มีเมตตาจิต และมีความกตัญญูยิ่งกว่าใคร ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้พิษจงจางหายไปเถิด" [​IMG]

    ทันใดนั้น สุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้น หายจาก พิษธนูโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นดวงตาของพ่อและแม่ ของสุวรรณสามก็กลับแลเห็นเหมือนเดิม พระราชา ทรงพิศวงยิ่งนัก จึงตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมา ได้อย่างไร สุวรรณสามตอบพระราชาว่า "บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครองบุคคลนั้น นักปราชญ์ย่อม สรรเสริญ แม้เมื่อตายไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิด ในสวรรค์ เสวยผลบุญแห่งความกตัญญูกตเวทีของตน" พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัสตรัสกับ สุวรรณสามว่า "ท่านทำให้จิตใจและดวงตาของ ข้าพเจ้า สว่างไสว ข้าพเจ้ามองเห็นธรรม

    ต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจะรักษาศีล จะบำเพ็ญกุศลกิจ จะไม่เบียด เบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว" ตรัสปฏิญญาณแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษที่ได้กระทำ ให้สุวรรณสามเดือดร้อน แล้วพระองค์ก็เสด็จ กลับพาราณสี ทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการจนตลอดพระชนม์ชีพ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่ บำเพ็ญเพียรใน ทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ร่วมกับพ่อแม่ ด้วยกุศลกรรมที่กระทำมาคือ ความเมตตากรุณาต่อมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย และความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา อันเป็นกุศลกรรมสูงสุดที่บุตรพึงกระทำต่อบิดามารดา



    คติธรรม : บำเพ็ญเมตตาบารมีว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใดๆ ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้

    [​IMG]


    เนื้อเรื่องประกอบ www.learntripitaka.com/Chadok/Chadok03.html<!-- google_ad_section_end -->




    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  7. wee99

    wee99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +1,897

    ขอบคุณมากครับคุณหนุ่ม ขอร่วมสมัครด้วยตามชื่อที่ PM ให้คุณหนุ่มครับ หลายๆท่านคงดีใจ และ ขอให้ทุกท่านสมหวังกับสิ่งทีรอคอย อนุโมทนากับ คุณหนุ่มและทุกท่านด้วยครับ
     
  8. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    สวัสดียามเช้าครับ ทุกท่าน ขอให้มีความสุขตลอดวันนะครับ
     
  9. sutketb

    sutketb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,592
    Good Morning เช่นกัน (f)
     
  10. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    สิ่งนี้คือสิ่งที่พี่หนุ่ม อยากให้พวกเราทุกคนเข้าใจ และปฏิบัติมากที่สุดครับ
     
  11. wee99

    wee99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    653
    ค่าพลัง:
    +1,897
    สวัสดียามเช้าครับ ทุกท่าน ขอให้มีความสุขตลอดวันเช่นเดียวกันนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. iamTHA.chincho

    iamTHA.chincho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +830
    ...........
    ขอบคุณครับพี่หนุ่ม รอวันนี้มานาน:cool: หวังในใจอยากกลับไปทำงานแถวบ้านเกิดครับพี่ จะได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ และพ่อตาแม่ยาย จะได้เลี้ยงดูท่านครับ
    ขอบคุณครับพี่
     
  13. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    สวัสดียามเช้าครับทุกๆท่าน..(^_^)
     
  14. นำทาง

    นำทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,181
    ค่าพลัง:
    +7,865
    สวัสดีตอนเช้า...ยินดีกับทุกคนด้วยนะครับ รีบๆๆเขียนใบสมัครนะครับเดี๋ยวส่งไม่ทัน
    ตรงไหนที่เขาบอกให้เขียนความคิดเห็น หรืออะไรทำนองนี้...อยากบอกว่าให้เขียนเต็มที่เลยครับ เขียนในลักษณะเรียงความและสิ่งนั้นๆๆจะต้องเกิดจากความรู้สึกจริงๆๆไม่ต้องแต่งเติมมากครับ (ถ้าแต่งมากเมื่อไหร่คนอ่านเขาสื่อได้ครับว่ามัน อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดก็ได้ บางครั้งการเขียนซื่อๆๆตรงๆๆบางครั้งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ)..ขอให้สมหวังทุกคน​
     
  15. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” พูดกันมานานนับร้อยปี แต่หลักฐานว่าเหยียบน้ำทะเลจืดที่พิสูจน์ได้อยู่ที่ไหนกันเล่า? เป็นคำถามคาใจผู้เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ทวดมาช้านาน บ้างก็ว่าไม่จริง บ้างก็ว่าเกินจริง บ้างก็ว่าเป็นนิทาน แต่วันนี้มีคำตอบได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ที่กลางทะเลอำเภอขนอม ชาวบ้านชาวทะเลย่านเกาะท่าไร่ เล่าว่า ตั้งแต่ปู่ย่าตายายเล่าสืบต่อกันมาว่า บ่อน้ำรูปรอยเท้าเล็กๆ สองบ่อบริเวณเกาะนุ้ย เมื่อน้ำทะเลลดลงหาดทรายเล็กโผล่ให้เห็นรอยเท้าทั้งสอง เมื่อตักน้ำในบ่อนั้นน้ำก็จืดสนิทเหมือนปาฏิหาริย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่หลวงปู่ทวดมาเหยียบไว้คราวเดินเรือผ่านและแวะพักหลบลมมรสุม ณ แห่งนี้ ท่านอธิษฐานบารมีเหยียบให้ลูกเรือดื่มกินเมื่อน้ำจืดหมดลง เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเดินทางไปดูกับตา กองบรรณาธิการลานโพธิ์ เดินทางไปดู และชิมน้ำทะเลจืดมาแล้ว ภายใต้การแนะนำและให้คำรับรองของนายอำเภอสันทัด ณ นคร นายอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช คนปัจจุบัน
    [​IMG] [​IMG][​IMG]
    [​IMG]หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดไว้ที่ เกาะท่าไร่ อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เหลือเกิน เมื่อมีคนเล่าให้ฟังว่า ในท้องที่ อำเภอขนอม มีบ่อน้ำจืดอยู่กลางท้องทะเล เมื่อน้ำขึ้นน้ำทะเลจะท่วมบ่อสูงหลายเมตร แต่เมื่อน้ำลงจนหาดทรายโผล่พ้นน้ำจะมีบ่อน้ำจืดไหลออกมา ตักชิมดูน้ำจืดสนิท ทำให้นึกต่อไปว่า ตามตำนานหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เมื่อหลวงปู่ทวดออกเดินทางจากวัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยทางเรือ มุ่งไปสู่พระนครศรีธรรมราช เพื่อศึกษาธรรมชั้นสูงนั้น ขณะเดินทางผ่านไปยังน่านน้ำทะเลบริเวณเมืองชุมพร ได้ถูกคลื่นลมพายุ ต้องทอดสมอหลบกำบังอยู่ข้างเกาะแห่งหนึ่งหลายวัน จนน้ำจืดและอาหารร่อยหรอลงมาก ไม่เพียงพอสำหรับคนในเรือ จนลูกเรือมีความคิดที่จะนิมนต์หลวงปู่ทวดส่งขึ้นไปบนเกาะเสีย แต่หลวงปู่ทวดทราบโดยญาณว่า ตนจะถูกจับปล่อยเกาะจึงยื่นเท้าชี้ลงไปในทะเล (เหยียบ) จนเท้าเปียกน้ำ และกล่าวว่า
    “น้ำทะเลตรงนี้จืด ดื่มกินได้” เป็นที่น่าอัศจรรย์ ลูกเรือลองตักชิมดูเห็นว่าจริง จึงกราบหลวงปู่และเลิกคิดจะจับปล่อยเกาะ พากันเดินทางต่อไปจนถึงกรุงศรีอยุธยา
    เมื่อมาถึงตรงนี้ ทำให้คิดว่าบริเวณที่หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด จึงน่าจะเป็นบริเวณบ่อน้ำจืดใต้ทะเลที่อำเภอขนอมเป็นแน่ ผู้เขียนเดินทางไปดูด้วยตนเอง ปรากฏว่าภูมิประเทศเป็นเกาะใหญ่ ชื่อเกาะท่าไร่ มีราษฎรตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ 2-3 หลังคาเรือน ระหว่างเกาะท่าไร่กับแผ่นดินใหญ่ มีเกาะเล็กๆ อยู่เกาะหนึ่ง ชื่อเกาะนุ้ย หน้าเกาะนุ้ยมีบ่อน้ำเล็กๆ ลักษณะเหมือนฝ่าเท้าข้างขวา ขนาดกว้าง 1 ฟุต อยู่ 1 บ่อ และข้างซ้ายอีก 1 บ่อ ตักชิมดูน้ำจืดสนิท น่าอัศจรรย์
    การเดินทางไปดูน้ำทะเลจืด ที่หลวงปู่ทวดเหยียบไว้นี้ ที่สะดวกที่สุด ต้องเดินทางไปที่บ้านแหลมประทับ หมู่ที่ 5 ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช

    ( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 912 เดือนตุลาคม 2547 : “ลานโพธิ์”)
     
  16. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    เจ๊กหมดทุนเจ๊กหมดทุน.....

    มีชายคนหนึ่งอยู่สุไหงโกลก..ชื่ออาฮัง..
    อาฮังหรือ..เจ๊กฮัง..ค้าขายขาดทุนปีเดียวสามสี่แสนบาท....

    ไม่เป็นอันทำมาหากินเลย..พอขาดทุนสี่แสนก็มานั่งทำท่าเหมือนลิงป่วย.....
    หมดแรง..หมดอาลัยตายอยาก....
    พูดพร่ำอยู่คำเดียวทั้งวัน...อั๊วขาดทุนหมดแล้ว..อั๊วขาดทุนหมดแล้ว
    จนญาติๆระอา...ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยหามมาส่งที่วัดสวนโมกข์...

    อาตมาอยู่สวนโมกข์ได้ 7 ปีพอดี ปรากฏว่า..มันก็มานั่งที่ตรงหินโค้ง...นั่งเป็นทุกข์ในท่าเจ๊กหมดทุนท่าเดิม...

    นั่งบ่น..อั๊วเจ๊งหมดแล้ว..อั๊วขาดทุนหมดแล้ว........
    อาจารย์พุทธทาสก็เลยเข้าไปถามว่า....
    ฮัง...ลื้อขาดทุนแน่หรือ....
    แน่ซิครับ...สี่แสนปีเดียวหมดเกลี้ยง..ผมขาดทุนย่อยยับหมดเลย....
    คิดให้ดี...ขาดทุนจริงๆนะเหรอ....
    จริงซิครับ...อย่ามาถามยั่วโทสะผมนะ......
    อาจารย์พุทธทาสก็เลยถามต่อว่า...โยมอาฮัง...
    ที่ลื้อบ่นขาดทุน..ขาดทุนนี่..ลื้อเกิดมาลื้อมีทุนติดตัวมาเท่าไร.......
    วันที่ลื้อเกิดมานะ

    อาฮังนั่งคิดอยู่พักหนึ่ง..เอ๊ะ..ใครมันจะไปดึงทุนออกมาจากท้องแม่ได้ในวันเกิดนะ พระนี่ถามอะไรแปลกๆ...
    อาฮังตอบว่า ..ไม่มี..
    อาจารย์พุทธทาสท่านก็ถามต่อ...เดี๋ยวนี้หม้อหุงข้าวลื้อมีไหม...
    หม้อหุงข้าวมี..
    เสื้อผัามีใส่ไหม...
    มี...
    บ้านมีอยู่ไหม......
    มี...
    ถามอะไรต่อมิอะไร..มันก็ตอบว่า..มีๆๆ...
    อาจารย์พุทธทาสท่านจึงบอกว่า ..อาฮัง...ลื้อไม่ได้ขาดทุนหรอก
    เพียงแต่กำไรมันลดลงไปนิดหน่อยเท่านั้น.


    กอปมาจากกระทู้คุณน้ำดีครับ
     
  17. 9046

    9046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +2,503
    ...สวัสดีครับ พี่หนุ่ม และพี่ๆทุกท่านในบ้าน...
     
  18. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    รายละเอียดของงานที่เคยลงไว้แล้ว หาอ่านได้ในกระทู้นี้ ตั้งแต่หน้าที่ 236 เป็นต้นมา ได้ลงไว้บ้างแล้ว 4 ครั้ง ขอให้เข้าใจว่า สำหรับในการเปิดโอกาสในกระทู้นี้ ไม่ใช่เป็นการเปิดให้คนทั่วไปเข้ามาสมัครแข่งขัน แต่เป็นการยื่นโอกาสเท่าที่จะพอทำได้ เฉพาะสำหรับคนที่เคยมีน้ำใจต่อกันในเวปนี้เท่านั้น

    เพื่อไม่ให้ลงรายละเอียดผิดพลาดในข้อมูลเบื้องต้น จึงได้แก้ไขให้ชัดเจนมากขึ้นตามรายละเอียดใน attach files
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. ืarpapon

    ืarpapon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +47
    สวัสดีค่ะ พี่หนุ่ม และพี่ๆ ในบ้านทุกท่านนะค่ะ...
    หนูขอสมัครด้วยอีกคนนะคะ พี่หนุ่ม..
     
  20. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    พระเนื้อดินดิบ หายากจังครับพี่ ตอนนี้ผมไปรื้อหนังสือพระเก่า ๆ ที่เก็บสะสมไว้ มาดู อยากถามพี่หนุ่มว่า พระสมเด็จ วัดไผ่ล้อม ปี 13 ที่ว่ากันว่าหลวงปู่ทิมท่านปลุกเสกด้วย มีเนื้อดิน และเนื้อผง ไม่ทราบว่าเนื้อดินนั้นเป็นดินดิบหรือเปล่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...