น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ถามถ้าท่านคิดว่า อภิญญาเป็นของพราหม์
    ถ้าอย่างนั้นท่านก็น่าจะรู้ไว้ว่าพระพุทธเจ้ามีมาก่อนนานแล้วหลายองค์ด้วยกัน
    เพราะฉะนั้นท่านที่ว่าพราห์มเป็นพุทธดั่งท่านว่าทำไมจะไม่ใช่ ท่านพูดกลับกันอยู่นะท่าน ท่านบอกว่าฮินดูมาจากการที่พุทธเสื่อม แล้วทำไมท่านถึงไม่เชื่ออย่างนั้นว่าพราห์มก็เป็นส่วนหนึ่งของพุทธ แต่อภิญญาน่าจะเป้นของพุทธเสียมากกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006
  2. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    อืม... เนื่องจากการที่ท่านเป็นสมณะ ผมจะพยายามเอาพระไตรปิฎกมาอ้างละกัน
     
  3. noone

    noone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +392
    ผมคงไม่เก่งทางธรรม แต่ผมเก่งทางโลก ขอฟังความเห็นผมในเชิงวิทยาศาสตร์ดูบ้าง ท่านอาจจะศึกษาพระธรรม โดยที่ยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธเจ้า
    ภพภูมิต่างๆ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ปัจจุบันได้เป็นข้อวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ชีวิตดังที่พระพุทธเจ้าได้อธิบายไว้คือความไม่มีตัวตน ถูก เป็นเพียงพลังงานที่เร่ร่อนในมิติต่างๆ หรือในพุทธศาสนาเรียกว่าภพภูมิ ภพภูมิเป็นมิติของกาลเวลาที่ทับซ้อนกัน โดยที่เมื่อร่างกายอันประกอบไปด้วยธาตุจับต้องได้ หมดสิ้น พลังงานก็จะเข้ายึดเหนี่ยวกับมิติหรือภพภูมิชั้นอื่นอีก หรือที่เรียกกันว่าไปที่ชอบ ที่ชอบ กระทำกรรมดียึดมั่นศรัทธาแต่สิ่งดีก็ย่อมไปสูภพภูมิที่ดีที่สวยงาม เหมือนสวรรค์ กระทำกรรมชั่วจิตใจรุ่มร้อนในอก เมื่อหมดสภาพร่างกายจับต้อง ก็จะไปยึดเหนี่ยวภพภูมิที่ร้อน หรือเรียกว่านรก สิ่งเหล่านี้เป็นภพภูมิที่ใกล้กับภพภูมิที่เราอยู่ในปัจจุบันมากที่สุด มิติที่เหลื่อมล้ำ จับต้องไม่ได้ ไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ เหมือนท่านโดยสารอยู่บนรถไฟ เมื่อรถไฟหยุดกระทันหัน ร่างกายของท่านพุ่งไปข้างหน้า เช่นเดียวกับร่างกายหยุดกระทันหัน แก่นหรือ core ของมนุษย์หรือพลังงานนั้น ถูกกระแทกหลุดออกมา พลังงานไม่มีวันดับสูญเพียงแต่แปรเปลี่ยนสถานะ ไปสู่ธาตุอื่น

    อภิญญาต่างๆ คือพลังงานของจิตที่มีความสามารถ บางครั้งอาจเป็นเพียงมโนภาพปรุงแต่ง แต่บางครั้งคือจิตว่างที่สามารถรับรู้ เหมือนแก้วเปล่า
    การหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้ปราศจากการหลุดพ้น แก้วเต็มอยู่ตลอดเวลา การรับรู้ตื่นจึงมองผ่านผิวเผิน ด้วยการพิสูจน์ การติดยึดเหนี่ยวไม่ว่าหลงใหลในอภิญญาก็ดี ความอยากมีอยากเป็น ความต้องการแสดงบทบาทตัวตนของตนเองให้โดดเด่น แปลกแยก เป็นสิ่งปรุงแต่งอย่างที่ท่านกล่าวทั้งสิ้น
    หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ ความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นเพียงความหลงใหลชั่วครู่เช่นกัน ทุกท่านในเว็บพลังจิตนี้ก็คงมีหลายคนที่ไม่สามารถพิสูจน์สิ่งนั้นได้ด้วยวิทยาศาสตร์ หลายเรื่องราวก็มีความงมงาย แต่อะไรคือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง กลับไม่มีใครต้องการพิสูจน์ ชีวิตในสังคมหล่อหลอมมาจากสังคม ตัวตนที่แท้จริง ความชอบความอยากมีอยากเป็น มาจากประสบการณ์ เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าจิตพลังงานคือ Sim มือถือ ที่มีความจำขั้นต้นมาจากโรงงาน มีความจำที่จะพัฒนาความสามารถต่อเนื่องเมื่อได้เข้าไปอยู่ในมือถือนั้นๆ ตัวมันเองมีเมโมรี่เพียงเพื่อพัฒนา ไม่ได้มีไว้เพื่อทำการ ความทรงจำหรือเบอร์มือถือเพื่อนเมื่อเปลี่ยนเครื่อง จะจำได้มั๊ย ไม่ได้ครับ มีเพียงค่าเบื้องต้นมาเพื่อสนองความหิว ความอบอุ่น ความรักเท่านั้น

    หลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามิได้มีเพื่อให้ทุกคนบรรลุนิพพาน คือไม่เกิดอีกอย่างที่ท่านเป็น แต่การดำเนินชีวิตในสายกลางต่างหากที่ท่านสอน มีความต้องการ มีความรัก แต่ไม่ยึดติดกับมัน ทุกคนเกิดมามีสิทธิ์ที่จะมีความสุข แต่ความสุขของทุกคนคืออะไร การยึดติดเช่นความรักมีความสุขหรือไม่ ก็มีครับ แต่การยึดติดแล้วทำให้เกิดความโลภโกรธหลง มีความสุขหรือไม่ ไม่มีครับ
    พระพุทธเจ้าเพียงต้องการบอกต้องการสอนให้ทุกคนมีสติอยู่ตลอดเวลาและมีความสุขกับชีวิตที่ดำเนินอยู่ โดยเลือกการกระทำที่ปราศจากการยึดติด โลภ โกรธ หลง เลือกทางดำเนินชีวิตให้ตอบสนองความต้องการเบื้องต้นเพียงพอเหมาะ และไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นๆ เช่นนี้ศีล 5 จึงเพียงพอเหมาะกับมนุษย์ที่อยู่ทางโลกเหมือนตัวข้าพเจ้า
     
  4. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ๑.พระพุทธเจ้าสอนให้หลุดพ้นครับ
    แต่คนบางคนปัญญาไม่ถึง ศีลไม่ถึง สมาธิไม่ถึง
    แล้วจะหลุดพ้นได้ยังไง
    บางคนก็ไม่อยากจะสอนเลย ปัญญามันไม่ถึง
    บางคนก็ไม่อยากยุ่งเลย ศีลมันไม่ถึง เนื่องจากปัญญามันไม่ถึง
    ๒.คำสอนของพระพุทธองค์แปดเปื้อนเพราะอวิชชาของมนุษย์
    ทางสายกลางมีไว้ทำไมหนอ
    มันไม่เป็นไปตามธรรมชาติ...
    เกิดจากการที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรเห็นผิดอันเกิดจากการอดอาหารหรือไม่
    ถ้ามันขัดกับทำความดีละความชั่วทำจิตบริสุทธิ์
    เพราะไม่งั้นท่านคงสอนให้ทำอะไรครึ่งๆกลางๆแล้วละ

    บางทีท่านน่ารู้สึกว่าเวลากินท่านเคยเป็นสัตว์นั้นๆมาเมื่อชาติก่อน แต่ปัจจุบันท่านจำไม่ได้ แล้วสุดท้ายท่านก็จะทุกข์เองนั่นแหละ
    เมื่อมนุษย์กินสัตว์ที่กินคน มนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่กินคนด้วยกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เรื่องการพิสูจน์นรก-สวรรค์หรือเรื่องลึกลับไกลตัวนี้ พระพุทธองค์ทรงชี้ว่ามันเปล่าประโยชน์ เพราะครั้งหนึ่งมีพระไปถามพระพุทธเจ้าเรื่องว่า โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง?ใครสร้างโลก? สัตว์ตายแล้วไปไหน? เหล่านี้เป็นต้น ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงตอบ เขาก็จะสึกไปเสีย <o:p></o:p>
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระองค์ไม่เคยรับรองว่าจะตอบปัญหานี้เมื่อพระองค์นั้นมาบวช ถ้าอยากจะสึกก็สึกไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้พระพุทธองค์ทรงสอนว่า เปรียบเหมือนกับชายคนหนึ่งที่ถูกลูกธนูที่มีคนยิงมาปักอกอยู่ แทนที่ชายคนนี้จะรีบไปหาหมอแล้วให้หมอผ่าเอาลูกธนูออก เพื่อจะได้รอดชีวิต กลับไม่ยอมไป แต่ชายคนนี้บอกว่าเขาจะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าใครเป็นคนยิง? ใช้ธนูหรือหน้าไม้ยิง? ใช้อะไรทำสาย? เป็นต้น เมื่อรู้แล้วเขาจึงจะไปให้หมอผ่าเอาลูกธนูนั้นออก ถ้าเป็นดังนี้ชายคนนี้ก็ต้องตายไปเสียก่อนที่จะได้รู้ความจริงเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่ควรทำก่อนที่สุดก็คือ ไปให้หมอผ่าเอาลูกธนูนั้นออกเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาสืบหาคนทำทีหลัง<o:p></o:p>
    ซึ่งในเรื่องคำถามเหล่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรามัวแต่มาสนใจหาคำตอบว่า โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ใครสร้างโลก? คนเราตายแล้วไปหน?นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า หรือชาติก่อน ชาติหน้ามีจริงหรือไม่?เป็นต้นเหล่านี้ ก็ตายเปล่า เพราะมาเสียเวลาค้นหาคำตอบ แล้วก็ยังไม่พ้นทุกข์ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำก่อนที่สุดก็คือ
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อีกเรื่องคือเราก็เชื่อกันมากว่าพระเถระองค์นั้นองค์นี้เป็นอรหันต์ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้รู้จริงเลยว่าท่านเป็นหรือไม่? ซึ่งดูว่าเราจะเชื่อจากเขาว่ามาเสียมากกว่า การจะอ้างมหาปเทศ ๔ ว่าให้เอาคำสอนที่พบเห็นไปเทียบเคียงกับพระเถระรูปนั้นรูปนี้นั้น จะทำได้อย่างไร? เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพระเถระรูปนั้นรู้จริงหรือเปล่า? อีกทั้งสมัยนี้ก็มีพระเถระมากมาย และต่างก็สอนไม่เหมือนกัน แล้วเราจะเอาคำสอนที่เราพบเห็นนี้ไปเทียบกับใครจึงจะพบความจริง? นี่แสดงถึงจุดอ่อนของมหาปเทศ ๔ ที่ไม่น่าจะเป็นหลักที่พระพุทธองค์ตรัสไว้จริง คงเป็นหลักที่พระรุ่นหลังๆแต่งขึ้นมาเอง เพราะยังมีจุดบกพร่องอยู่(ถ้าพระพุทธองค์ตรัสไว้จริงจะโต้แย้งด้วยเหตุผลไม่ได้)<o:p></o:p>
    การเป็นชาวพุทธที่แท้จริงจะต้องกล้าที่จะสู้กับความจริง ด้วยเหตุด้วยผล อย่าเอาแต่กลัวหัวหดไม่กล้าท้าทายนรก-สวรรค์ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้และเป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะใช้เหตุผลมาพิจารณาอย่างจริงจัง <o:p></o:p>
    อยากจะถามสักนิดว่า ถ้าคนที่ไม่เชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าเลย แต่เขาไม่ทำความชั่ว เขาทำแต่ความดี ถ้านรก-สวรรค์นั้นมีจริง เมื่อคนๆนี้ตายไปเขาจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์?(อย่าบอกนะว่าคนที่ไม่เชื่อจะทำความดีไม่ได้)<o:p></o:p>
    ส่วนอีกคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า แต่เขากลับทำชั่ว ไม่ทำความดี เมื่อเขาตายลงเขาจะได้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก? (อย่าบอกนะว่าคนที่เชื่อแล้วจะไม่ทำชั่วเลย)<o:p></o:p>
    การที่คนเราจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรกมันขึ้นอยู่กับการทำดี-ทำชั่ว หรือขึ้นอยู่กับความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า? ดังนั้นระวังถ้าใครเอาเรื่องนี้มาเป็นจุดขายเพื่อหวังลาภสักการะ ถ้าเป็นพระสงฆ์พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบว่าเป็นมหาโจรเลยทีเดียว<o:p></o:p>
    การที่คนจำนวนมากเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นจะถูกต้องไปเสียทั้งหมด คนจำนวนมากนั้นอาจจะโง่เหมือนๆกันหมดก็ได้ถ้าเขาไม่รู้จริง แต่พลังของคนโง่จำนวนมากก็ย่อมที่จะมีพลังมากกว่าคนฉลาดเพียงน้อยนิดได้ แล้วความโง่(อวิชชา)ก็ครองโลกอยู่จนทุกวันนี้.<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p>
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จากคำกล่าวที่คุณโยมเวบมาสเตอร์วีระชัยว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2006
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เรื่องการภาวณา(ด่า)ขอให้อาตมาตกนรกนั้นก็ด่าได้ตามสบาย อาตมาไม่ถือสาเด็กๆ และรับรองไม่เสียหายแก่คนด่า ๑๐๐ % เพราะอาตมาเข้าใจดี คือทุกคนก็หวังดี(แต่ว่าอาจหวังดีโดยไม่ใช้สติปัญญาก็ได้) และรับรองคนด่าไม่ตกนรก(ใต้ดิน)แน่นอน เพราะถ้านรกนั้นมีจริง อาตมาก็ต้องไปตกเสียเอง ส่วนคุณโยมก็ไม่ต้องไปตก(ซ้ำอาจจะได้บุญอีก) แต่ถ้านรกนั้นจะไม่มี คุณโยมก็ไม่มีนรกให้ไปตกอยู่อีกนั่นเอง (แต่อาจตกนรกในใจนิดหน่อย) คุณโยมจึงสบายใจได้เต็มที่ แต่ก็ขอให้ด่าอย่างมีเหตุผลหน่อย เดี๋ยวจะกลายเป็นการทำลายสติปัญญาและความดีงามของตัวเองไปเสียโดยไม่รู้ตัว <o:p></o:p>
    อีกอย่างเรื่องนรก-สวรรค์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในพระไตรปิฎกก็มี ใครอยากรู้ก็ลองไปหาอ่านดู แล้วลองคิดดูว่านรก-สวรรค์อย่างไหนที่เป็นสิ่งที่เราสามารถรู้สึกได้จริง และไม่มีใครคัดง้างได้ รวมทั้งน่าเชื่อถือมากกว่ากัน<o:p></o:p>
    ส่วนที่จะมาอ้างว่า
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จากข้อความที่อ้างอิงมานี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Sciencetific Method )<o:p></o:p>
    มี 5 อย่าง<o:p></o:p>
    1. Problem ตั้งปัญหา<o:p></o:p>
    2. Observation สังเกต<o:p></o:p>
    3. Hypothesis ตั้งสมมุติฐาน<o:p></o:p>
    4. Experiment ทำการทดลอง<o:p></o:p>
    5. Conclusion สรุปผล<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จากที่อาตมาว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์หมายความว่า การศึกษาพุทธศาสนาจะยึดหลักวิทยาศาสตร์ (คือคล้ายทั้ง ๕ อย่างที่อ้างอิงมานั่นเอง) แต่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ไม่ใช่ด้านวัตถุ คือเอาเรื่องทางจิตใจที่มีอยู่จริง เกิดอยู่จริงในปัจจุบันมาสอนศึกษา เช่นให้ลองสังเกตดูว่าขณะที่จิตของเรากำลังเกิดความโลภ หรือความโกรธ หรือความหลงลังเลใจอยู่นั้น จิตของเรามันมีความเร่าร้อน กระวนกระวาย หนัก เหนื่อย ไม่สบายใจ ที่สรุปเรียกว่าเป็นทุกข์หรือไม่? ถ้ารู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ก็เชื่อได้จริงว่ากิเลสทำให้จิตเป็นทุกข์ และให้ลองสังเกตดูว่าขณะที่จิตไม่มีกิเลสใดๆ(รวมทั้งนิวรณ์ที่เป็นไออุ่นของกิเลสด้วย) จิตจะสงบเย็น สดชื่นแจ่มใส ปลอดโปร่งเบาสบายหรือไม่? ถ้ารู้สึกว่ามันสงบเย็นจริงก็เชื่อได้ว่าถ้าจิตไม่มีกิเลสมันก็สงบเย็น(นิพพาน) เป็นต้น<o:p></o:p>
    สรุปว่าการเชื่อนี้เราเชื่อจากการทดลองปฏิบัติมาแล้วด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่ไปเชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ไหน หลักพุทธศาสนานั้นมันเป็นวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่สมัยนั้นไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์ พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า
     
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ส่วนบางคนที่ถามมาอย่างรุนแรงว่าบวชมาเพื่ออะไร?ปฏิบัติมามากน้อยแค่ไหน? หรือเป็นพระอริยะบุคคลหรือไม่?นั้น แสดงว่าผู้ถามไม่ได้มีความรู้เรื่องธรรมะวินัยเลย คือเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ผู้ที่รู้เขาจะไม่ถามและตอบคำถามเหล่านี้ คือถ้าคนที่มีใจคิดคดก็จะตอบโกหกไปเพื่อหวังผลประโยชน์ แล้วคนฟังจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาพูดจริงหรือโกหก ถ้าใครเชื่อก็โง่เพราะตนเองไม่รู้จริง ถ้าใครไม่เชื่อก็โง่อีก เพราะตนเองก็ไม่รู้จริง <o:p></o:p>
    คนฉลาดหน่อยเขาจะไม่ถามเรื่องอย่างนี้ และไม่สนใจคำตอบที่มีคนเอาไปบอกอีกด้วย แต่เขาจะสนใจว่าคนๆนั้นเขาสอนอย่างไร มีเหตุมีผลที่สมเหตุสมผลอย่างไร? ซึ่งคนที่เราเห็นภายนอกว่าต้อยต่ำ แต่นำคำสอนที่มีเหตุผลมาสอน ก็ยังจะดีเสียกว่าคนที่เห็นภายนอกว่าสูงศักดิ์ แต่ว่านำคำสอนที่ไม่มีเหตุผลมาสอน.<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ส่วนคนที่บอกว่า
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อีกเรื่องคือเรื่องศรัทธา หรือความเชื่อ ซึ่งก็ได้เคยบรรยายไว้แล้วว่าพุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาสร้างศรัทธา ไม่ใช่ใช้ศรัทธาสร้างปัญญา ถ้าใช้ศรัทธามาสร้างปัญญามันก็ไม่เกิดปัญญาได้จริง มันก็จะเป็นปัญญาทึบไปเสีย ไม่มีทางเป็นปัญญาจริงได้ เพราะสติปัญญามันไม่เป็นอิสระ <o:p></o:p>
    พวกปัญญาทึบนั้นจะคิดอะไร จะอ้างอะไรก็จะอ้างแต่ตำรา หรือครูอาจารย์ท่าเดียว ไม่สามารถอธิบายเหตุผลให้คนอื่นที่เขามีใจเป็นกลางเข้าใจได้จริง <o:p></o:p>
    คำว่าปัญญาในทางโลกๆเขาก็จะหมายถึงความรู้ในเรื่องต่างๆ แต่ในทางธรรมะ คำว่าปัญญาจะหมายถึง ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ คือถึงใครจะมีความรู้ทางโลกมากมายสักเท่าใดก็ตาม แต่ถ้ายังไม่มีความรู้ในเรื่องการดับทุกข์ก็ยังจัดว่าเขาคนนั้นยังโง่อยู่ เพราะยังมีทุกข์อยู่ แต่คนที่มีความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ ถึงแม้เขาจะไม่มีความรู้เรื่องทางโลกบางอย่างหรือหลายๆอย่างก็ตาม ก็เรียกว่าเขามีปัญญาอย่างแท้จริงได้ เพราะเขาจะมีชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ไม่ว่าเขาจะร่ำรวยหรือยากจนก็ตาม.<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p>
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จะขอตอบปัญหาที่คุณ toutou ถามมา<o:p></o:p>
    กราบนมัสการท่านเตชปญโญ ภิกขุ
    1. ในความเห็นของท่าน นิพพานคืออะไร?วิสัชนา - นิพพาน หมายถึงความไม่มีทุกข์ ที่ตรงข้ามกับความทุกข์ ที่สามารถเห็นได้จริงในปัจจุบัน โดยทำจิตให้ว่างจากกิเลส นิพพานก็จะปรากฏ
    2. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านนิพพานเมื่อใด?วิสัชนา- เมื่อตรัสรู้อริยสัจ ๔
    3. ตัวท่านเองนิพพานแล้่วหรือยัง?วิสัชนา- อาตมาเป็นสมณะ ในวินัยห้ามตอบปัญหานี้<o:p></o:p>

    ป.ล. ขอย้ำอีกครั้งว่า ถ้าใครคิดว่าอาตมาสอนผิดหรือคิดบิดเบือนทำลายพุทธศาสนาจริงๆก็ให้ร้องเรียนไปยังเถรสมาคมหรือองค์กรพระพุทธศาสนาไหนก็ได้ เรื่องจะได้จบเสียที
    <o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2006
  14. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ผมเองก็ยังไม่ได้อ่านกระทู้นี้ตั้งแต่เริ่มต้นหรอกนะครับ แต่ขอถามท่าน เตชปญฺโญ ภิกขุ ดังนี้ครับ เพราะผมคิดว่าการปฎิบัติของท่านยังไม่ได้เรื่องครับ ถ้าแน่จริงก็ตอบมานะครับ

    ท่านเชื่อว่า พระพุทธดำรัส ในพระไตรปิฎกเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเป็นพระพุทธดำรัส จริง แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่า พุทธดำรัส ที่ท่านว่า เป็นพุทธดำรัสจริง อ้างอิงจากที่ใดครับ

    ป.ล. ผมไม่ใช่คนธรรมดานะครับ กรุณาใช้ปัญญาในการตอบให้ละเอียดรอบครอบหน่อยนะครับ ไม่งั้นก็เชิญคนที่ท่านคิดว่า เป็นพระอรหันต์ มาสนทนากับผมก็จะดี นะครับ ถ้าท่านคิดว่ายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ เพราะตอบไปก็ผิดหมดนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2006
  15. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ผมฟันธงว่าท่านตกนรกแน่นอนครับ
     
  16. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    เพราะเท่าที่รู้มามันเหมือนนโยบายของพรรคมิวนิสต์สายพระครับ เดี๋ยวผมจะแฉต่อไปเรื่อยๆนะครับ
     
  17. บรรพต อ.

    บรรพต อ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +306
    ถ้าท่านยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็อย่ามาพูดให้เมื่อยเลยครับ อายเขาเปล่าๆ
     
  18. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ๑. ผมเห็นว่า ถ้าปล่อยไว้จะเกิดมิจฉาทิฏฐิ
    ๒.การเขียนแสดงเจตจำนง และเหตุผลต่างๆนานา
    นั้นไม่สามารถทำให้ทิฏฐิของบุคคล ที่เห็นผิดนั้นถูกได้
    เพราะบุคคลนั้น ถือตัวว่าตัวเองเก่ง จึงไม่คิดว่าคนอื่นจะถูก
    เพราะเค้าถือว่าถูก เค้าได้อ้างบุคคลว่าบุคคลที่เชื่อตาม นั้นแสดงให้เห็นว่าเค้าถูก
    เพราะบุคคลนั้นคิดว่าถูกเค้าจึงคิดว่าถูก
    ถึงแม้ศาสดาจะบอกว่าผิดเค้าก็บอกว่าเค้าถูก
    ถึงแม้ศาสดาจะมาปรากฎกาย เค้าก็ไม่คิดว่าถูก
    เพราะเมื่อเค้าคิดว่าไม่มีนรกสวรรค์ เค้าจึงคิดว่ามนุษย์ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิด
    เท่ากับเค้าผู้นั้นคิดว่านิพพานไม่มีจริง(แต่เห็นว่านิพพานคือการไม่คิดร้าย) จึงเป็นผู้ที่ไม่ได้มุ่งสู่ทางนิพพาน


    เมื่อมนุษย์ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิด
    การสอนให้คนทำดี
    จึงเท่ากับการสอนให้บุคคลอื่นๆที่แข็งแกร่งกว่าตัวไม่มาทำร้ายตัวเอง
    เพื่อตัวเอง
    แต่ มนุษย์ผู้นั้นคงจะลืมสังคมอันมีประเพณีที่ดีงาม อันเนื่องมาจากบิดามารดาของตัวเองแล้วกระมัง

    พุทธทาสไม่ได้ถูกหรอกนะท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤศจิกายน 2006
  19. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ปุจฉา

    กราบนมัสการท่านเตชปญโญ ภิกขุ ขอบพระคุณที่ท่านกรุณาตอบคำถามของ ํToutou ดังกล่าว วันนี้ Toutou มีปัญหามาถามท่านดังต่อไปนี้คะ

    1. ท่านคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า "วัฏฏสงสาร เป็นภัยอันใหญ่หลวง"
    2. ขอให้ท่านอรรถธิบาย ปฏิจจสมุปบาท ให้ฟังหน่อยคะ
    3. เวลาญาติโยมไปทำบุญที่วัดของท่าน ท่านให้พวกเขากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับและ เจ้ากรรมนายเวรหรือไม่?
    4. พรหมวิหารสี่คืออะไร?

     
  20. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    ๑.เหตุผลที่ว่าเปล่าประโยชน์ก็คงเหมือนว่า "ไม่มีประโยชน์"
    เพราะพระองค์สอน"การรู้แจ้ง" พระองค์ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์
    ธนู-ทุกข์
    คนยิง-ต้นเหตุทุกข์
    หมอ-หนทางดับทุกข์
    ...มรรคละ...
    จึงเหมือนว่าคนที่หาต้นเหตุถือคนที่หลงทางนั่นเอง
    "แต่ไม่ได้บอกว่ามันไม่มีจริง"
    และ"ไม่ได้บอกว่าการไม่บอกว่ามีนรก-สวรรค์ เป็นหนทางดับทุกข์"
    และไม่ได้บอกว่า
    "หลังจากที่ดับทุกข์แล้วไม่ให้ตามคนที่ยิงเรา เพราะว่าเค้าอาจจะยิงเราอีกก็ได้(จริงไหม)"

    ถ้าไม่ห่วงจะมีอริยสัจ๔ไหมครับ ถามกลับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...