ขอบพระคุณทุกท่านครับ สาธุ...

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย จิตตานุปัสสนา, 2 ธันวาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    กลับมาแล้วครับ..
    พรุ่งนี้เอาของดีให้ชม...
    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดันครับ
    งามแต๊ๆๆๆๆ เด้อครับเด้อ...
     
  2. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ส่งพระให้ 2 ท่านครับ...
    1. คุณ pchaisai รหัส EH 7271 4127 5 TH สาธุครับ...
    2. คุณ ไชยพันธ์ รหัส EH 7271 4128 9 TH สาธุครับ...
     
  3. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ปิดรายการให้พี่นอกเว็บ โทรมาสักครู่เองครับ
    สาธุ...
     
  4. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="78%" align="left" height="30">อ่านประวัติของท่านกันก่ิอนนะครับ..

    หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดคลองมะดัน</td> <td width="22%" align="right">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2" class="line">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2" class="message" align="left">
    [​IMG]

    หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดคลองมะดัน (วัดอัมพวัน) อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี



    ประวัติ
    วัดคลองมะดัน เป็นวัดโบราณไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้าง อยู่กลางทุ่งนา ในสมัยก่อนมีลำคลองผ่าน หน้าวัดและมีต้นมะดันขึ้นอยู่ชุกชุมมาก ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า วัดคลองมะดัน แม้ว่าภายหลังได้มีการ เปลี่ยนชื่อเป็น วัดอัมพวัน แต่ชาวบ้านและคนใน จ.สุพรรณบุรี ทั่วๆ ไปยังนิยมเรียกชื่อเก่าว่า วัดคลองมะดัน เหมือนเดิม
    หลวงพ่อโหน่ง เกิดปีขาล ตรงกับวันอาทิตย์ พ.ศ. ๒๔๐๙ (บางแห่งว่า พ.ศ. ๒๔๐๘) ณ หมู่บ้านท้ายบ้าน ตำบลต้นตาล อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บนฝั่งคลองสองพี่น้อง ฝั่งเดียวกับวัดสองพี่น้อง เป็นบุตรคนที่สอง (บางแห่งว่า เป็นบุตรคนที่ ๔) ของนายโต นางจ้อย โตงาม อาชีพทำนา มีพี่น้องร่วมอุทร ๙ คน อายุได้ ๒๔ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสองพี่น้อง โดยพระอธิการจันทร์ วัดทุ่งคอก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการดิษฐ์ วัดทุ่งคอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ กับพระอธิการสุด วัดท่าจัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌายะว่า อินฺทสุวณฺโณ
    เมื่อหลวงพ่อโหน่งอุปสมบทแล้วเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปหาพระน้าชาย ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณเปรียญ ๙ ประโยค เพื่อศึกษาธรรมวินัย หลวงพ่อโหน่งสังเกตเห็นเจ้าคุณมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ จึงเอ่ยปากถามว่า ท่านละกิเลสหมดแล้วหรือ ท่านเจ้าคุณบอกให้หลวงพ่อโหน่งเข้าไปดูในกุฏิว่ามีอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งไปเห็นโต๊ะหมู่บูชาทำด้วยมุก โต๊ะหมู่ทอง งาช้าง และสิ่งของมีค่าอีกมากมาย เมื่อออกมาจากกุฏิ หลวงพ่อโหน่งกราบลาท่านเจ้าคุณน้าชายกลับมาจำพรรษายังวัดสองพี่น้องตามเดิม แล้วเดินทางไปจำพรรษาที่วัดทุ่งคอกเพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระอธิการ จันทร์ อุปัชฌาย์ของท่าน
    หลวงพ่อโหน่งศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อจันทร์ได้ ๒ พรรษา เดินทางมาศึกษาต่อวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จนกระทั่งมีความรู้แตกฉานเป็นที่ไว้วางใจแก่หลวงพ่อเนียมได้ เมื่อตอนหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยามาเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อเนียมพูดกับหลวงพ่อปานว่า “เวลาข้าตายแล้ว เอ็งสงสัยอะไรก็ให้ไปถามโหน่งเขานะ โหน่งเขาแทนข้าได้”
    นอกจากนี้ยังมีหลักฐานปรากฏว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ หลวงพ่อโหน่ง อายุ ๔๑ ปี จำพรรษาอยู่ ที่วัดสองพี่น้อง พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด) วัดปากนํ้า ได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้องและ พระสงฆ์ที่มีส่วนร่วมในการอุปสมบทในครั้งนั้นคือ หลวงพ่อโหน่ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และต่อมาหลวงพ่อสดก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโหน่งเช่นกัน นอกจากหลวงพ่อสดแล้ว ศิษย์ของท่านยังมี หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น) วัดโพธิ์ หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก
    เมื่อหลวงพ่อโหน่งกลับไปจำพรรษาที่วัดสองพี่น้องตามเดิม จิตใจวาบหวิวชอบกล จึงเดินทางไปหาหลวงพ่อเนียมอีก ยังไม่ทันที่หลวงพ่อโหน่งจะว่าอะไร หลวงพ่อเนียมพูดขึ้นก่อนว่า “ฮื้อ! ทำไปเองนี่นา ไม่มีอะไรหร๊อก กลับไปเถอะ” หลวงพ่อโหน่งรู้สึกสบายใจขึ้น และก็มิได้เป็นอะไรอีกเลย
    เมื่อมาจำพรรษาที่วัดคลองมะดัน ท่านฉันอาหารเจ ก่อนออกบิณฑบาต นมัสการต้นโพธิ์ทุกเช้า เมื่อบิณฑบาตกลับมาใส่บาตรถวายสังฆทาน ท่านเอามารดามาอยู่ที่วัดด้วย ปรนนิบัติจนกระทั่งถึงแก่กรรม เคร่งครัดในการอบรมสั่งสอนพระเณรและลูกศิษย์วัด ไม่รับเงิน เจริญวิปัสสนากรรมในป่าช้าเป็นประจำ ถือสันโดษ ไม่สะสมทรัพย์สินมีค่าเลยแม้แต่น้อย สร้างสาธารณูปการสงฆ์เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก
    จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้ฌานของหลวงพ่อแก่กล้า สามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ พระทำผิดวินัย ท่านสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องเห็น พระที่ไปรุกขมูลทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็รู้ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยไปหาหลวงพ่อโหน่งที่วัดคลองมะดันโดยไม่บอกเล่าเก้าสิบ หลวงพ่อโหน่งสั่งลูกศิษย์เตรียมจัดที่จัดทางไว้ ว่าวันนี้จะมีพระผู้ใหญ่มาหา
    มีเรื่องเล่าว่า ใครนิมนต์ท่านไปไหนมาไหน ท่านต้องถามพระประจำตัวในกุฏิท่านก่อนเสมอ ถ้าพระท่านบอกไปได้ ท่านก็ไป ถ้าพระท่านบอกไม่ให้ไป ท่านก็ไม่ไป
    แม้กระทั่งการสร้างพระประธานองค์ย่อม ท่านก็ถามพระว่า สร้างได้ไหม พระบอกว่าสร้างได้ ท่านก็สร้างตามนั้น แต่ท่านไม่ทราบว่าจะหาช่างปั้นช่างหล่อที่ไหน พระก็บอกให้เดินไปทางโน้นทางนี้ ท่านก็เดินตามนั้น พบช่างมาช่วยปั้นและหล่อตามที่พระบอก
    เมื่อหล่อเสร็จช่างก็หายตัวไปเฉยๆ โดยไม่บอกกล่าว
    ท่านก็ตกใจว่า อ้าว....เงินค่าจ้างยังไม่ได้จ่าย เป็นการเบียดเบียนเขา จึงเดินย้อนไปตามทางเดิมถึงจุดที่พบช่าง ก็บอกลักษณะหน้าตาถามชาวบ้าน ชาวบ้านบอกไม่รู้จัก คงเป็นคนถิ่นอื่น เมื่อกลับกุฏิก็ถามพระว่า จะไปตามช่างได้ที่ไหน
    พระบอกไม่ต้องไปตาม เพราะช่างคนนี้ไม่ธรรมดา เป็น ช่างเทวดา มาช่วย เมื่อหมดหน้าที่ท่านก็ไปตามเรื่องของท่าน ไม่ต้องไปตามหรอก ถึงตามก็ไม่เจอ
    หลวงพ่อโหน่ง เป็นศิษย์รุ่นพี่ของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ร่วมอาจารย์เดียวกันคือ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย
    ก่อนหลวงพ่อเนียมมรณภาพ ท่านได้สั่งเสียกับหลวงพ่อปานว่า ถ้าข้าตาย มีอะไรขัดข้องก็ให้ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง นะ
    เมื่อหลวงพ่อเนียมมรณภาพ แล้วราวหนึ่งปี หลวงพ่อปานก็ธุดงค์มาหาหลวงพ่อโหน่งที่วัดคลองมะดัน มาถึงวัดตอนบ่ายวันหนึ่ง ท่านก็นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ คิดว่าหลวงพ่อโหน่งคงจำวัด
    แต่หลวงพ่อโหน่งรู้ด้วยญาณของท่าน จึงเปิดหน้าต่างออกมา เห็นหลวงพ่อปานนั่งรออยู่ จึงว่า อ้อ มาถึงแล้วเรอะ ฉันรออยู่แต่เช้าเชียว คืนนั้น หลวงพ่อปานต่อวิชากับหลวงพ่อโหน่งในโบสถ์ ทั้งหลวงพ่อโหน่งกับหลวงพ่อปานเข้าสมาบัติเต็มอัตรา ไม่ถึงครึ่งคืนทุกอย่างก็จบสิ้นกระบวนความ
    เมื่อตอนหลวงพ่อโหน่งมรณภาพ ปี 2477 หลวงพ่อปานไปสร้างวัดอยู่ลพบุรีทราบข่าว ได้สั่งกรรมการวัดคลองมะดันว่า อย่าเพิ่งเผาศพหลวงพ่อโหน่ง ถ้าร่างไม่เน่า ให้รอท่านก่อน
    ปรากฏว่าร่างหลวงพ่อโหน่งไม่เน่า แต่กรรมการวัดก็รีบเผาเสีย หลวงพ่อปานมาถึงก็เทศนากรรมการวัดเสียกัณฑ์ใหญ่ว่า พวกแกอยู่กับพระอรหันต์ทุกวี่วัน ช่างไม่รู้บ้างเลย ท่านอธิษฐานทิ้งตัวไว้นะ
    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพ เมื่อปี 2481 ท่านก็อธิษฐานทิ้งตัวไม่เน่าอีกเหมือนกัน
    สรุปแล้ว ตั้งแต่พระอาจารย์ใหญ่คือ หลวงพ่อเนียม ลงมาจนถึง หลวงพ่อโหน่ง และ หลวงพ่อปาน เมื่อมรณภาพแล้ว ร่างกายไม่เน่าทุกองค์ โดยไม่ต้องฉีดยาอย่างปัจจุบัน
    หลวงพ่อเริ่มสร้างวัตถุมงคลตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครนึกออก แต่มีพระดินเผาอยู่องค์หนึ่ง จารึกด้านหลังว่า พ.ศ. ๒๔๖๑ ก็น่าจะสันนิษฐานว่า พระที่ท่านสร้างนั้น คงจะเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ เป็นต้นไป เพราะไม่ปรากฏ พ.ศ. ที่เก่ากว่านั้นเลย ท่านทำมาเรื่อยจนถึง พ.ศ.2470 กว่า จึงยุติ พระที่ท่านสร้างขึ้นมีหลายสิบพิมพ์ เป็นพิมพ์ใหม่ที่ท่านและลูกศิษย์คิดค้นขึ้นเองก็มี ที่ถอดพิมพ์จากพระเก่าก็มาก ท่านและประชาชนพิมพ์พระเสร็จเก็บไว้ในตุ่มน้ำ ในถัง ในปีบ ในลังไม้ เป็นระยะเวลา ๑๐ กว่าปี คาดว่าเกินกว่า ๘๔,๐๐๐ องค์ พิมพ์อาจมากเป็นร้อยพิมพ์
    บางตำราว่า เวลาพุทธาภิเษกของท่านแปลก คือทำพิธีตอนเผาไฟ ไม่ใช่เผาแล้วทำ พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงสมัยนั้นมาประกอบพิธีกันมากหลาย หลวงพ่อปานก็มาร่วมในพิธีพุทธาภิเษกด้วย
    แต่บางตำราก็ว่า การปลุกเสกพระของหลวงพ่อโหน่งนั้นท่านปลุกเสกเดี่ยวเพียงองค์เดียวเท่านั้น และท่านจะปลุกเสกตลอดไตรมาสในช่วงเข้าพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็จะมีการฉลองสมโภชพระที่สร้างใหม่ โดยอาราธนาพระสงฆ์ ในวัดคลองมะดันมาสวดพระพุทธมนต์ ส่วนตัวท่านเป็นประธานพิธี พอเสร็จพิธีในการสวดพุทธมนต์แล้ว ท่านจะขึ้นธรรมาสน์เทศนาสั่งสอนผู้คนที่มารับแจกพระจากมือท่าน
    ในการสร้างพระเครื่องบางครั้งถ้ามีฤกษ์ดิถีที่ดี ท่านก็จะนิมนต์พระอาจารย์แก่กล้าธรรมทั้งหลาย รวมทั้ง หลวงพ่อปาน มาร่วมปลุกเสกพระที่ท่านสร้างเป็นครั้งคราวด้วย
    ลักษณะเนื้อพระมีทั้งละเอียดและหยาบ เนื้อละเอียดบางองค์เหมือนพระทุ่งเศรษฐี จังหวัดกำแพงเพชร สีดง สีหม้อใหม่ แดงปนน้ำตาล สีแดงนวล สีดำปนเทา เฉพาะสีดำปนเทามีจำนวนน้อย ในเนื้อดินมักมีแก้วแกลบ (แร่ยิบซั่ม) ฝังอยู่ ลักษณะเป็นเส้นขาวทึบคล้ายกระดูกหรือแป้งฝังอยู่ในเนื้อพระ อาจจะมีบ้างแต่น้อยมาก แร่ทรายเงินทรายทองก็มี ด้านหลังบางองค์จารึกอักขระขอม บางทีก็ พ.ศ. การสร้าง ภาษาจีนก็มีจารึก
    พระพิมพ์ต่างๆ ของท่านมีอาทิ พิมพ์ซุ้มกอ พิมพ์ลีลา พิมพ์พระสมเด็จสามชั้นและฐานคู่ พิมพ์จันทร์ลอย พิมพ์ปรุหนัง พิมพ์ท่ากระดาน พิมพ์พระชินราช พิมพ์งบน้ำอ้อย พิมพ์กลีบบัว พิมพ์พระตรีกาย พิมพ์โมคคัลลาน์สารีบุตร พิมพ์พระเจ้าห้าพระองค์ พิมพ์พระปิดตา พิมพ์นาคปรก พิมพ์ปางไสยาสน์ พิมพ์กำแพงศอก ฯลฯ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ พิมพ์ซุ้มกอ ซึ่งออกเป็นพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ ค่านิยมก็แตกต่าง กันไปตามสภาพ
    นอกจากนี้ พระพิมพ์ขุนแผนหน้าค่าย ก็ได้รับความนิยมเช่นกันแบ่งออกเป็น ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์ฐานมีบัว และพิมพ์ฐานไม่มีบัว
    ส่วนพระพิมพ์อื่นๆ ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือ พระลีลาหรือพระกำแพงนิ้ว พระสมเด็จฐานคู่ และอีกหลายๆ พิมพ์ที่ไม่ได้เอ่ยนามไว้ ณ ที่นี้ ต่างได้รับความนิยมทุกๆ พิมพ์ตามสภาพความงามของพระองค์นั้นๆ
    พระเครื่องที่ท่านสร้างขึ้นและเสกแล้ว ท่านจะเก็บไว้ในโอ่ง ท่านจะหยิบใส่พานตั้งตรงหน้าท่านจำนวนหนึ่ง เพื่อแจกแก่ญาติโยมไปเรื่อยๆ เมื่อข่าวหลวงพ่อโหน่งสร้างพระและแจกพระแพร่กระจาย ออกไปมีประชาชนทั้งใกล้ และไกลมารับแจกพระจากท่านเป็นจำนวนมาก ทุกๆ วัน หลวงพ่อโหน่งต้องเพิ่มกิจวัตร ในการแจกพระเป็นเวลานาน
    นอกจากนี้แล้ว หลวงพ่อโหน่งยังได้นำพระอีกส่วนหนึ่ง ไปบรรจุไว้ที่ปูชนียสถาน หลายแห่งภาย ในวัดคลองมะดัน และที่วัดทุ่งคอกด้วย ส่วนที่เหลือก็แจกให้แก่ผู้ที่มาขอตลอดอายุขัยของท่าน
    เมื่อหลวงพ่อโหน่งมรณภาพแล้ว พระก็ยังเหลืออยู่ อาจารย์ฉวย ปัญญารตนะ เจ้าอาวาส รูปต่อมาก็ได้ทำตามเจตนารมณ์ ของหลวงพ่อโหน่งทุกประการ คือ แจกพระหลวงพ่อโหน่งให้แก่ผู้ที่มาทำบุญเรื่อย มาจนอาจารย์ฉวยมรณภาพลง พระที่แจกก็ยังไม่หมด
    อาจารย์หนำ ยะสะสี เจ้าอาวาสรูปต่อมา ก็ได้แจกพระหลวงพ่อโหน่ง ตามเจ้าอาวาสรูปก่อน พระหลวงพ่อโหน่ง จึงได้หมดไปในที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระหลวงพ่อโหน่งสร้างไว้หลายพิมพ์และมีจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครทราบจำนวนที่แท้จริงว่าสร้างมากเท่าไร จะรู้เพียงว่าสร้างด้วยเนื้อดินเผาทั้งหมด
    นอกจากพระเครื่องชนิดเล็กๆ สำหรับห้อยคอติดตัวแล้ว หลวงพ่อโหน่ง ยังได้สร้างพระขนาดใหญ่เพื่อเอาไว้บูชาตั้ง ไว้ในบ้านอีกด้วย เช่น พระกำแพงศอกเนื้อดินเผาและพิมพ์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งพระรูปเหมือนหลวงพ่อโหน่ง แบบลอยองค์แบบพระบูชา เนื้อทำด้วยปูน เป็นต้น โดยท่านจะเขียนคำอวยพรไว้ด้านหลังองค์พระเป็นภาษาไทยไว้ด้วย
    ส่วนการสร้างพระของบรรดาศิษย์และผู้ใกล้ชิดสร้างขึ้นไว้เป็น สมบัติส่วนตัวโดยเฉพาะโดยได้ขออนุญาตให้หลวงพ่อโหน่ง ปลุกเสกให้ แต่มีจำนวนน้อยมากยากที่จะเสาะหาในปัจจุบัน เนื่องจากพระหลวงพ่อโหน่งมีของเทียมมาก เช่าหาโปรดจงระวัง
    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๕ ธ.ค. ๒๔๗๗ อายุ ๖๙ ปี พรรษา ๔๖ โดยท่านมรณภาพในปางไสยาสน์แบบอาจารย์ของท่านคือ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย
    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน หรือ วัดอัมพวัน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่มีวิชาพุทธาคมอันเข้มขลังอยู่ระดับแนว หน้าของประเทศไทย กล่าวกันว่า พระเครื่องของหลวงพ่อโหน่งมีพุทธคุณเด่นทางเมตตา มหานิยมมากและแคล้วคลาด จากอันตราย เป็นเลิศ จึงเป็นที่เสาะหาของบรรดานักสะสม เพื่อเอาไว้ใช้ติดตัวเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน นับว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษท่านหนึ่งของประเทศไทย


    ขอบคุณที่มา...

    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่ง

    จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน

    [​IMG]

    ในกาลต่อมา เมื่อหลวงพ่อเนียมมรณภาพแล้ว หลวงพ่อปานก็มีความสงสัยในหลวงพ่อโหน่ง คำว่าสงสัยน่ะ ไม่ใช่สงสัยอะไรหรอก หมายความว่าอยากจะพบ อยากจะรู้ถึงคุณสมบัติของหลวงพ่อโหน่ง อยากจะเรียนต่อกันนั่นเอง พระสมัยนั้นน่ะท่านไม่ได้แข่งดีกันนะ ท่านพยายามขอดีกัน หมายความว่าถ้ารู้ว่าใครเขามีดีแล้วก็ไปขอดีจากเขา ไม่ใช่เอาดีไปแข่งหรือเอาดีไปอวด หลวงพ่อปานก็ธุดงค์ไปเพื่อจะไปหาหลวงพ่อโหน่ง ตอนไปก่อนจะถึง ท่านบอกว่าแดดมันร้อนจัด ท่านก็พักอยู่โคนต้นพุทรา อยู่ไม่ไกลจากกุฎิของหลวงพ่อโหน่งนัก ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมาร้องว่า แหม พ่อคุณ มาแล้วยังดันมานั่งเสียอีกนะ ไอ้เราน่ะคอยมาตั้งแต่เช้า คิดว่าจะมาถึงแต่เช้า มาโอ้เอ้ ๆ อยู่ได้ เข้ามาให้ถึงนี่ซี มาพักผ่อนที่นี่ มานั่งคุยกัน เราคอยมาตั้งนานแล้ว ผลที่สุดหลวงพ่อปานก็เข้าไปหาท่าน แล้วคุยกันถึงเรื่องพระกรรมฐาน สอบกันไปสอบกันมา สอบกันมาสอบกันไป เอาใครดีกว่าใครไม่ได้ เรียกว่าไม่มีใครกล้าดีกว่ากัน จนแต้มด้วยกัน ท่านบอกว่าไล่ไปตามลำดับ เมื่อถึงที่สุดหลวงพ่อโหน่งก็บอกว่าผมก็หมดแค่นี้แหละ ไปไม่รอดอีก ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่งเวลานั้นยันกัน เรียกว่ายันกันไป

    ตอนนี้ก็อยากจะเล่าประวัติของหลวงพ่อโหน่งสักนิดหนึ่ง ประวัติของหลวงพ่อโหน่งเป็นอย่างนี้ นี่ท่านเป็นพระแท้ ๆ นะ พระอย่างนี้ลูกหลานหายาก คือว่าหลวงพ่อโหน่งน่ะเป็นคนใกล้ ๆ วัดคลองมะดันนั่นเอง ไม่ใช่ลูกเศรษฐีคหบดีที่ไหน เวลาครบบวชท่านบวชอยู่ที่วัดคลองมะดัน ๑ พรรษา พอพรรษาที่ ๒ ก็อยากจะเรียนปริยัติธรรม ท่านมีน้าชายอยุ่ที่วัดโพธิ์ วัดพระเชตุพน ท่าเตียน เป็นเจ้าคุณ แล้วเจ้าคุณองค์นี้ได้เปรียญ ๙ ประโยค ท่านก็ไปหาน้าชายบอกว่าอยากจะขออยู่ด้วย อยากจะเรียนบาลี น้าชายก็ดีใจ เห็นหลานชายมีความสนใจในพระปริยัติธรรม ก็บอกว่าอยู่กับน้าเถอะ เรื่องอาหารการบริโภคไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัวอด น้าจะเลี้ยงเอง มีอะไรเท่าไรจะสอนให้หมด ไม่เก็บละ ดีใจว่าหลานสนใจในการศึกษา เมื่อคุยกันไปคุยกันมา หลวงพ่อโหน่งก็ถามว่า คุณน้าขอรับ คุณน้าเป็นเปรียญ ๙ ประโยค แล้วก็เป็นเจ้าคุณด้วย คุณน้าละกิเลสได้หมดรึยัง และน้าชายก็แสนจะดีไม่ตอบตรง ๆ หรอก ท่านบอกว่า โหน่ง คุณเข้าไปดูในกุฎิฉันซิว่าฉันมีอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งก็เดินเข้าไปดูในห้องท่าน มีโต๊ะหมู่มุกบ้าง โต๊ะหมู่ทองบ้าง งาช้างอย่างดีบ้าง ของมีค่าเยอะแยะอยู่ในกุฎิภายในห้อง นับราคาไม่ไหว ของมีค่าสูง ๆ มาก พอดูทั่วแล้วท่านก็ออกมา หลวงน้าก็ถามว่าโหน่ง คุณเห็นอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งท่านก็จาระไนหมดทุกอย่างเท่าที่เห็น ท่านก็เลยบอกหลวงพ่อโหน่งว่า คุณโหน่ง นี่ถ้าฉันละกิเลสได้น่ะ ของทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มีหรอก ถ้ามันจะมีมันก็เป็นของสงฆ์ แต่นี่ฉันมีไว้แล้วก็เป็นของส่วนตัว ก็แสดงว่าฉันนี่ละกิเลสไม่ได้เลย ฉันบวชเป็นเปรียญ ๙ ประโยค และพระราชาทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ เรียกกันว่า เจ้าคุณ แต่ฉันก็ละกิเลสไม่ได้สักตัว ราคะ โทสะ โมหะ นี่ฉันละไม่ได้สักตัว หลวงพ่อโหน่งได้ยินอย่างนั้นก็สลดใจ เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นละก็กระผมไม่เรียนแล้วละครับหลวงน้า ถึงจะเรียนกันถึง ๙ ประโยคแล้วละกิเลสไม่ได้ เป็นเจ้าคุณแล้วยังละกิเลสไมได้ ในเมื่อเรียนแล้วละกิเลสไม่ได้ ไม่เรียนให้เหนื่อยหรอกขอรับ ขอลากลับไปวัดคลองมะดัน หลวงน้าก็ไม่ว่าอะไร บอกว่าตามใจ ๆ คุณ ในเมื่อคุณไม่สมัครใจฉันก็ไม่ว่า แต่ว่าถ้าต้องการเรียนเมื่อไร มาอยู่กับหลวงน้านะ หลวงน้าพร้อมที่จะอุปการะ ความจริงท่านก็ดีมาก แต่ตอนกลับมาอยู่วัดคลองมะดัน ตอนเรียนพระกรรมฐานนี่น่ากลัวจะไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม ตอนนี้หลวงพ่อปานไม่ได้บอก ท่านบอกว่าท่านไปนั่งกรรมฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง คือว่าตรงนั้นมันใกล้ป่าช้า พอมีที่เตียนอยู่นิดหนึ่ง จะแล้งขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นมีแผ่นดินชุ่มอยู่เสมอ ผืนแผ่นดินที่ชุ่มมีบริเวณประมาณสัก ๔ ตารางวา ไม่กว้างนัก ท่านบอก ท่านไปนั่งกรรมฐานอยู่ตรงนั้น ตอนดึกวันหนึ่งปรากฎว่ามีพระสงฆ์องค์หนึ่งรูปร่างเรียกว่าสวยมาก มีลักษณะดี บอกว่าลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้า มายืนอยู่ข้างหน้าบอกว่า โหน่ง ที่ตรงนั้นมีพระบรมสารีริกธาตุ ใต้ที่เธอนั่งลงไปน่ะมีขันทองคำขนาดใหญ่มีน้ำเต็ม และในขันทองคำนั้นมีเรือสำเภาทองคำ แล้วก็มีมณฑปทองคำ มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในนั้น เธอควรจะสร้างวิหารทับตรงนี้เข้าไว้ ชาวบ้านเขาจะได้ไม่เดินผ่าน คือ ไม่เดินเหยียบเดินย่ำไปบนพระบรมสารีริกธาตุ หลวงพ่อโหน่งท่านก็บอกกับพระองค์นั้นว่าท่านเพิ่งบวชได้ ๒ พรรษา ยังไม่มีปัญญาจะสร้าง ไม่ทราบว่าใครเขาจะเชื่อถ้าบอกบุญเขา ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกโหน่ง ตอนเช้าวันพระนะ วันนั้นเป็นวันโกน ตอนเช้าเธอลงศาลาแล้วบอกกับญาติโยมเขา บอกว่าเธออยากจะสร้างวิหาร เท่านี้ละจะมีคนช่วยสร้างจนเสร็จ หลวงพ่อโหน่งท่านรับฟัง แล้วก็ถอนจากกรรมฐาน ตอนเช้าเป็นวันพระ เวลาฉันข้าวท่านก็พูดกับทายกว่า อยากจะสร้างวิหารตรงนั้นตรงที่ท่านเจริญพระกรรมฐาน ชาวบ้านพอเขารู้เข้าก็พร้อมใจกันช่วยกันสร้างวิหาร ภายในระยะ ๑ ปี วิหารหลังนั้นก็โตนะ เดี๋ยวนี้วิหารหลังนั้นก็ยังอยู่ วิหารหลังนั้นไม่เล็ก ภายใน ๑ ปี ก็สร้างเสร็จ เมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านก็นั่งกรรมฐานในพระวิหารนั้น พระองค์นั้นก็บอกว่าให้สร้างพระประธาน คือว่า สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ในวิหารสักองค์ หลวงพ่อโหน่งก็บอกไม่ทราบจะไปเอาช่างที่ไหน พระองค์นั้นก็บอกว่าตอนเช้าให้ออกธุดงค์ ๆ ไปที่เมืองกรุงเก่า ไปถึงหลังวัดประดู่ทรงธรรมละก็ให้ไปปักกลดตรงนั้น แล้วตอนเช้าจะมีคนมาใส่บาตร คนที่มาก่อนเพื่อน นุ่งขาวห่มขาวผมก็ขาวมีขันข้าวมาลูกเดียวไม่มีกับข้าว ถ้าคนนั้นมาละก็ให้พูดกับคนนั้นเขา เขาเป็นช่าง เขาจะมาช่วยปั้นพระ หลวงพ่อโหน่งก็เชื่อ พอตอนเช้าท่านก็ออกธุดงค์ไป จังหวัดอยุธยาสมัยนั้นเขาเรียกกันว่าเมืองกรุงเก่า เพราะว่าเป็นเมืองหลวงเก่า ไปถึงหลังวัดประดู่ทรงธรรม พอถึงตอนเช้าก็เป็นไปตามนั้น คนที่มาก่อนเพื่อนเป็นคนนุ่งขาวห่มขาวผมขาวมีข้าวขันเดียวและไม่มีกับ มาถึงก็มานั่งใกล้ท่าน คนอื่นมาทีหลัง หลวงพ่อโหน่งก็ปรารภเรื่องปั้นพระประธาน ตาคนนั้นก็บอกว่าแกเป็นช่าง แกรับรองจะปั้นให้ ตกลงกันว่าแกจะไปปั้นให้ แต่ว่าหลวงพ่อโหน่งลืมบอกวัด ลืมบอกว่าท่านอยู่วัดไหน นี่ท่านไม่ได้บอก เมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วแกก็บอกว่าแกจะตามไป ให้หลวงพ่อโหน่งไปก่อน หลวงพ่อโหน่งก็ถอนกลดเดินกลับวัด แต่พอมาถึงวัดแล้วก็มานึกขึ้นได้ว่า อ้าวตาย .. เราไม่ได้บอกกับนายช่างเขานี่ว่าเราอยู่วัดไหน แล้วก็นายช่างเขาจะมาถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ แต่ว่าวันนั้นมันก็บ่ายเสียแล้ว ก็คิดว่าถ้านายช่างไม่มาภายใน ๓ วัน หลวงพ่อโหน่งก็จะต้องกลับไปอยุธยาใหม่ ไปปักกลดตรงนั้นอีกแหละ ไปบอกเขาว่าอยู่วัดไหน ในเมื่อพอวันรุ่งขึ้นก็ปรากฎว่านายช่างมาถึง ไม่ได้บอกวัดก็มาถูกเหมือนกัน มาถึงก็ลงมือปั้นพระ พระองค์นั้นรู้สึกว่าปั้นได้สวยมาก มองดูลักษณะน่าดู เมื่อปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฎว่าช่างหายไป หลวงพ่อโหน่งก็ตกใจว่า เอ๊ะ .. นี่เรามาใช้ให้เขาปั้นพระ นี่ควรให้ค่าจ้างเขา นี่ค่าจ้างก็ยังไม่ทันให้ แล้วช่างก็มาหายไปเฉย ๆ มาหนีไปเสีย ไม่ได้รับค่าจ้าง มันก็จะเป็นการใช้กันฟรีเกินไป ท่านจะหาที่ไหนไม่พบ ในที่สุดก็ไปใหม่ ออกธุดงค์ไปอีก ไปปักกลดที่หลังวัดประดู่ทรงธรรม ทีนี้พวกชาวบ้านเขาก็มาใส่บาตรกัน แต่ปรากฎว่านายช่างไม่มา ก็ถามชาวบ้านว่ารู้จักตาช่างคนนั้นไหม ชาวบ้านเขาก็บอกว่าไม่รู้จัก เมื่อปีที่แล้วนี้ที่ฉันมาปักกลด มีคนนุ่งขาวห่มขาวมีผมยาว ๆ ถือขันข้าวขันเดียวไม่มีกับ แล้วฉันให้เขาไปปั้นพระ เขาไปปั้นแล้วยังไม่ทันให้ค่าจ้างก็ปรากฎว่าเขาหายมา เข้าใจว่าเขามาบ้าน คนแถวนั้นก็เลยพากันบอกว่า คนนั้นไม่ใช่คนที่นี่ เป็นคนที่อื่น เขาเองเขาก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเป็นคนที่ไหนมา ก็เห็นเขาวันนั้นวันเดียว วันอื่นก็ไม่เคยเห็น เป็นอันว่าหลวงพ่อโหน่งไม่ได้จ่ายค่าจ้าง ช่างคนนั้นเป็นใคร ตอนนี้ก็เห็นจะไม่พยากรณ์นะ แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกว่า ช่างคนนั้นไม่ใช่คน แล้วจะเป็นใครก็ตามใจซิ เขาไม่บอกวัดก็ไปถูก ปั้นแล้วก็ไม่เอาสตางค์ หนีเจ้าของงานเปิดฉิบ ไม่เหมือนช่างสมัยนี้นี่ รับเงินไปมากกว่างาน หนีเจ้าของงาน ตาช่างคนนั้นไม่ได้รับเงินแต่ว่าหนีเจ้าของงาน แปลกกันนะ แปลกกันหน่อย แปลกกันตรงนี้

    ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. เท่าไร ฉันก็จำไม่ได้ แต่ฉันบวชแล้ว ปรากฎว่าหลวงพ่อโหน่งตาย พระที่วัดหลวงพ่อโหน่งก็มาบอกหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานติดธุระไปไม่ได้ วันที่จะเผาหลวงพ่อโหน่ง ท่านติดกำหนดยกช่อฟ้าวัดช่องลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะท่านไปสร้างศาลาไว้ที่นั่น ท่านสั่งพระไปบอกว่า ถ้าหากว่าศพหลวงพ่อโหน่งไม่เน่าละก็อย่าเพิ่งเผานะ ให้รอท่านก่อน ถ้าหากว่าศพหลวงพ่อโหน่งแห้งหรือว่าเน่าก็จงเผาเถิด เพราะเก็บศพไว้ ๑๓ เดือนแล้ว ปรากฎว่าเวลาเขานำศพออกมามีสภาพเหมือนคนนอนหลับ เวลาท่านจะตายท่านนอนตะแคงขวา พนมมือเหมือนกับคนนอนหลับ สภาพการเน่าเหม็นอะไรก็ไม่มี สมัยนั้นไม่มีการฉีดยา แต่ทว่ากรรมการส่วนใหญ่เขาพากันเผาเสีย ต่อมาหลวงพ่อปานรู้เข้าไปที่วัดนั้น ฉันก็ไปด้วย ท่านเรียกกรรมการวัดบ้าง พระบ้าง มาเทศน์เสียเยอะ เรียกว่าเทศน์ให้ฟัง เพราะไม่รู้ค่าของความดีว่าหลวงพ่อโหน่งนี่เป็นพระอรหันต์ พวกแกนี่อยู่กับพระอรหันต์นะ ไม่รู้ค่าของความดีของพระอรหันต์ นี่ท่านอธิษฐานตัวทิ้งเข้าไว้นะ วันนั้นฉันมาไม่ได้ ฉันก็สั่งแล้วว่าถ้าศพไม่เน่าไม่ควรจะเผา เขาก็ไม่เถียง ท่านพูดแล้วเขาไม่เถียง ท่านก็แพ้เขาน่ะซิ ทีนี้คุณสมบัติหลวงพ่อโหน่งมีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง หลวงพ่อปานบอกว่า เวลาใครเขานิมนต์ท่านละก็ ท่านต้องถามพระเสียก่อน เพราะว่าท่านไม่เคยเรียนนี่ เวลานิมนต์ไปเทศน์ท่านบอกว่าต้องถามพระก่อน แล้วท่านก็จุดธูปถามพระของท่าน ถ้าพระให้ไปท่านไป ถ้าพระบอกว่าไม่ควรไป ท่านไม่ไป ใครจะนิมนต์ก็ตามท่านไม่ไป แล้วปฏิปทาพิเศษของท่านมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านเอาแม่ของท่านไปเลี้ยงไว้ โยมผู้หญิงนะ เรียกภาษาธรรมดาว่าแม่ มันชัดดีไม่แปลกไม่เปลิกหรอก เรียกแม่ก็ได้ เวลาท่านบิณฑบาตมาแล้วท่านก็เอาข้าวไปให้แม่ของท่านกิน แล้วท่านก็ฉัน แบบนี้ไม่ผิดนะ เคยฟังมาแล้ว เมื่อเวลาแม่กินข้าวแล้วท่านก็เทศน์ให้แม่ของท่านฟังกัณฑ์หนึ่งทุกวัน ท่านทำอย่างนี้เป็นปกติจนกระทั่งแม่ของท่านตาย เอาละ .. บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เป็นอันว่าวันนี้ก็ขอยุติกันเพียงเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกหลานที่น่ารักทุกคน สวัสดี

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงหลวงพ่อปานที่ไปอยู่กับหลวงพ่อเนียม มันป้ำเป๋อไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ขอให้ทราบในตอนนี้นะว่าหลวงพ่อปานท่านอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือน ถ้าบังเอิญไปพูดว่า ๑ เดือนละก็ผิดนัก เวลาเลิกแล้วไปนอน ไปนึกขึ้นมาได้ว่า ฉันพูดว่าอยู่กี่เดือนก็ไม่ทราบ เอาเป็นรู้กันว่าหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือนก็แล้วกัน

    การบวงสรวงก็เหมือนกัน เป็นการเชิญเทวดาทั้งหมด อาราธนาพระ แม้แต่บารมีของพระพุทธเจ้าลงมาทั้งหมด และพรหมทั้งหมด ในการบวงสรวงแบบนี้ ถ้าลูกหลานยังไม่สามารถจะเห็นบุคคลผู้มาได้ ฉะนั้น ก่อนที่จะฟังเสียงของฉัน จุดธูปจุดเทียนแล้วก็เปิดเครื่อง ได้ยินเสียงบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดาแล้ว ก็จงคิดว่าพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ทั้งหมดที่ฉันเชิญมาเวลาบันทึกเสียงนี้ มีกี่องค์ก็ตาม พวกเธอทั้งหลายแสดงความนอบน้อมว่า ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพในทุกท่าน แล้วก็ขอทุกท่านจงสงเคราะห์ให้จิตใจของพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสัมมาทิฎฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี มีธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วขอให้คุ้มครองอะไรบ้างก็ว่ากันไปตามใจนึก แต่ว่าอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านเล่นหวย เล่นการพนัน หรือไปลักไปปล้นกัน ท่านไม่เอาด้วย เท่านี้ก็เกิดความสุข ท่านจะช่วยได้ตามความสามารถ หรือที่เรียกว่าไม่เกินอำนาจของกรรม นี้ว่ากันถึงเรื่องบวงสรวงนะ ว่ามันดียังไง

    นี่ฉันว่าจะพูดเรื่องอะไร ขึ้นต้นนี่ฉันก็ลืมเสียแล้ว เอายังงี้ก็แล้วกันนะ มาพูดกันถึงว่าหลวงพ่อปานนี่น่ะเป็นหมอ เป็นหมอสาธารณประโยชน์ แล้วก็อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญ ตอนนี้มาฟังกันเป็นเรื่องเกร็ด ๆ นะ เป็นเรื่องเกร็ดความรู้ ก็อยากจะให้จบเร็วที่สุด เพราะว่าเรื่องของท่านถ้าจะเล่าให้จบจริง ๆ นะ มันจบไม่ได้หรอก ฉันพูดไปก็มีเรื่องมาบอกกันทุกจังหวะ แล้วเรื่องธัมมะธัมโม กฎข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน สมเด็จท่านเตือนมาในตอนต้น ๆ ก็สมควรแล้วนะ เห็นจะไม่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ จะได้เล่าเรื่องของหลวงพ่อปานให้มากเข้า

    ตอนนี้มาว่ากันถึงหลวงพ่อปานถูกเขาทำบ้าง หมายความว่าหลวงพ่อปานนี่เป็นคนรักษาโรค ๒ อย่าง โรคที่เกิดจากทางการโดยตรงอย่างหนึ่ง แล้วเกิดจากวิชาอีกอย่างหนึ่ง นี่มาย้อนรอยถอยหลังสมัยที่ฉันเป็นนาคอยู่ที่วัด ตอนนี้ฉันเป็นนาคบ้างนา ตอนก่อนเล่าเรื่องหลวงพ่อปานเป็นนาค คำว่า "นาคะ" นี่ เขาแปลว่า "ผู้ประเสริฐ" ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงที่ละกามคุณเข้าวัด เอาจิตตั้งไว้ในด้านเนกขัมมบารมี อันนี้นาคแท้นะ แต่เจ้านาคจอมปลอมน่ะไม่ได้เรื่องเหมือนกัน เวลาไปเป็นนาค คือ ไปอยู่วัดเตรียมการจะบวช ยังมีอารมณ์ไปติดพันผู้หญิง นี่ใช้ไม่ได้นะ ใช้ไม่ได้ เขาต้องหัดกันตั้งแต่ยังเป็นนาค คือ อยู่วัด เอาละ ตอนนี้ทิ้งไว้ ถ้าขืนพูดละมันจบยาก ตอนนั้นฉันกำลังอยู่วัด ใกล้จะบวช ก็มีเด็กสาว ๆ คนหนึ่งอยู่บ้านสามกอ บ้านสามกอนี่เป็นตำบลบ้านแพน ใกล้ ๆ กับอำเภอเสนา คือ ชิดกับอำเภอ เด็กสาวคนนี้อายุราว ๑๕ - ๑๖ รูปร่างรู้สึกจะไปวัดไปวากับเขาได้ดี รูปร่างอวบ ๆ ขาว เนื้อเต็ม ส่วนสัดต่าง ๆ ก็เกือบจะประกวดได้เลย ถ้าบังเอิญนะ บังเอิญเขาประกวดนางงามกันขึ้น เด็กคนนี้ก็อาจจะประกวดได้ หรือว่ามีสิทธิ์เข้าประกวด แต่ว่าจะได้เป็นนางงามหรือไม่ได้เป็นก็เป็นเรื่องของกรรมการ ในสายตาของฉันถือว่าเป็นเด็กสวยคนหนึ่ง เป็นสาวรุ่น ๆ แต่ทว่าตอนบ่ายที่เขานำมาหาหลวงพ่อปาน ต้องหามขึ้นมา เดินไม่ได้ เป็นไข้ขนาดหนัก พอหามขึ้นมาวาง หลวงพ่อปานก็บอกว่าไม่ต้องลอง ไม่ต้องใช้หมากลอง นี่ถูกเขาทำมาแล้วนี่ เออ .. อีหนูนี่หน้าตามันไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เลยนะ ท่านว่ายังงั้น มันเป็นคนสวยก็มีคนรักมาก แล้วคนรักก็รักแบบดีก็มี รักแบบทุจริตก็มี นี่คนรักเขาอยากได้มัน แต่มันก็ไม่ตามใจเขา เขาก็เลยแกล้งกระทำเอ็ง จะทำให้ตาย เพราะปรากฏว่าเจ้าเด็กคนนี้มันไปรักเด็กชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนนั้น ในเมื่อเขาไม่มีความหวัง เขาก็เลยคิดว่าในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็จงอย่าได้ ให้มันตายไปเสีย จะได้ไม่มีใครได้ไว้เป็นสมบัติ เขาไปจ้างลาวทำ หลวงพ่อปานท่านบอกเสร็จว่าคนทำนี่นะเป็นลาว เขาจ้าง ๒๐๐ บาท นี่ท่านรู้เอาตามชอบใจ พอเขาเอาคนไข้มาวาง ท่านก็พูดเลย ไม่เห็นท่านตั้งท่าหลับตาอะไรนี่ หลับตาปี๋นี่ชาวบ้านติดกันนัก เวลาไปถามพระถามเจ้า ที่ท่านพอจะรู้ มีสมาธิพอสมควร พอจะรู้อะไรได้บ้าง พอท่านบอกไปเฉย ๆ โดยไม่หลับตา ก็บอกว่าไม่เห็นหลับตาเลย อึกอักอะไรก็พูดส่ง ไม่เห็นหลับตาสักนิดหนึ่ง นี่ชาวบ้านน่ะเป็นคนติดการหลับตาแบบนี้ไปโดนหลอกเข้า พระประเภทชอบหลับตาโกหก พ่อก็เลยบอกเอา ทีนี้เห็นเขานั่งหลับตาปี๋ ทำตายิบ ๆ ๆ ๆ ก็รู้สึกว่าพระองค์นี้เคร่งครัดมัธยัสถ์ อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ นี่ควรเข้าใจเป็นอย่างนั้นนา แต่ความจริงน่ะเละ ประเภทหลับตาอวดชาวบ้านนี่น่ะเละ ไม่ได้ความ เพราะแม้แต่สะเก็ดแห่งความดีของพระศาสนาก็ยังเข้าไม่ถึง จะไปเอาอะไรท่าน พระโสดา สกิทาคา อนาคา หรือพระอรหันต์ ไม่ได้เรื่องหรอก ไปดูคำสั่งของพระพุทธเจ้าให้ดี ในอุทุมพริกสูตร พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ถ้าฉันจำไม่ผิดก็ว่าอยู่เล่ม ๑๒ หากว่าฉันจำผิดก็แล้วไปนะ ไอ้เล่ม ๆ นี่ฉันก็ไม่ค่อยได้จำเหมือนกัน จะเป็นเล่มที่ ๑๑ หรือเล่มที่ ๑๒ ก็ไม่แน่นัก ฉันดูมันผ่านมา ๓๐ กว่าปีแล้วนี่ ฉันไม่ได้ดูอีก เล่าเรื่องนี้ต่อไป

    ในเมื่อเขาเอาคนไข้มาวาง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็หาย ท่านพูดเฉย ๆ แล้วก็หัวเราะกั๊ก ๆ ๆ ๆ บอกว่า เอ้อ .. ไม่เป็นไรหรอกลูกเอ๊ย ท่านบอกกะพ่อแม่ของเด็ก ถ้ามันเป็นใหม่ ๆ ยังงี้มาหาพ่อละก็ ไม่เกิน ๒๐ นาทีหรอก หายแน่ หมอชั้นสำคัญ ประเดี๋ยวก็มีพระบัญชาแล้ว เจ้าลิงดำเอ๊ย เสียงก้องขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นฉันนั่งอยู่ไม่ไกลท่านนักหรอก นั่งอยู่ไกลประมาณสัก ๖ - ๗ วา ลิงดำเอ๊ย เอ็งไปรดน้ำมนต์ให้ข้าที อ้าว! นี่ฉันไม่ได้เป็นหมอกับเขาสักนิดหนึ่ง เรียนอะไรก็ไม่ได้เรียนตอนนั้น ท่านก็บอกให้ไปรดน้ำมนต์ ก็เลยเข้าไปกราบ ๆ ท่าน ถามว่ารดแล้วว่าอะไรบ้างขอรับ ท่านก็บอกว่าแกมีหน้าที่รดอย่างเดียว ไม่ต้องว่าอะไรหมด น้ำในตุ่มน่ะรดลงไปจนกว่าฉันจะบอกเลิก เอาละซิ นี่มันก็ดีเหมือนกัน หมอรดนี่ ไม่ใช่หมอว่า ไม่ใช่หมอเป่า เขาก็เอาเด็กคนนั้นไปนั่งพื้นข้างล่างต่ำลงไป ฉันยืนรดอยู่ข้างบน รดน้ำหมดไปประมาณ ๒ ปีบ พอถูกน้ำรดทีแรกรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดิ้นบอกไม่ถูก โอ๊ย .. แกดิ้นใหญ่ ดิ้นไปดิ้นมา ดิ้นมาดิ้นไป น้ำหมดไปประมาณ ๒ ปีบนี่แหละ แกฉีกเสื้อของแกออกหมด เหลือแต่ตัวล้อนจ้อน แต่ว่าเดชะบุญนะ ถ้าแกดันฉีกผ้านุ่งแกออกหมดอีก บางทีน่ะหมอขันหล่นมือไม่รู้ตัวเชียวนะ นี่ดีว่าแกฉีกแต่เสื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ดี หมอก็ใจเต้นตึ้ก ๆ ๆ ๆ ตอนนั้นหมอก็ยังเป็นกระทิงเปลี่ยวอยู่นา แล้วคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นนาคอยู่วัด เจอะแบบนี้เข้าก็น่ากลัวจะรบกัน น่ากลัวจะต้องประกาศสงครามกันแน่ เวลานั้นจิตใจไม่เป็นอะไรหรอก เห็นว่าแกเป็นคนไข้ เห็นว่าแกมีทุกข์ ในจิตใจก็คิดอย่างเดียว อาราธนาในจิต ถึงบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงพระพุทธเจ้าหรือพระองค์ยิ้มของฉัน เวลาฉันไปหยิบขันฉันก็นึกถึงท่าน ท่านก็มายืนอยู่ข้าง ๆ ท่านก็ยิ้มแล้วสั่งว่า รดลงไปเถอะลูก ประเดี๋ยวจะปรากฏเหตุอัศจรรย์ ท่านปานน่ะเป็นคนดี เป็นพระดีนะ ท่านปานนี่น่ะเป็นพระเต็มตัว คุณรับฟังคำสั่งของท่านแล้วปฏิบัติเถอะ ไม่ผิด ท่านปานนี่มีที่ปรึกษาใหญ่ เวลาท่านปานสงสัยอะไรก็ปรึกษาพระ ปรึกษาพรหม ปรึกษาเทวดาเสมอ นี่ ตอนที่รดน้ำมนต์ฉันก็นึกถึงหลวงพ่อองค์ยิ้มของฉัน เห็นท่านบอกว่ายังงั้น ฉันก็ดีใจ ฉันก็รดไปเด็กก็ดิ้นไปใหญ่ ผลที่สุดเสื้อเธอก็ขาดหมด เสื้อขาดหมดนี่ คนมันสวยอยู่แล้วนา มันก็ชักจะยังไง ๆ อยู่นา แล้วเจ้าคนรดนี่ก็เป็นคนหนุ่มอยู่เสียด้วย แต่เปล่า อย่าเข้าใจผิด ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร สงสารอย่างเดียว ตั้งใจสงเคราะห์อย่างเดียว คนยืนดูกันหลายสิบคน เรียกว่าคนทั้งหมดพระทั้งหมด เห็นแกดิ้นบอกไม่ถูกแบบนั้นก็มายืนดูกัน เมื่อเสื้อแกขาดแล้วก็ฟุบลงไป ตอนเสื้อขาดนี่แกนอนดิ้น แกฉีกเสื้อขาดหมด เห็นแล้วว่ามีแต่เนื้อ เนื้อกะหนัง อย่างอื่นเขาเรียกอะไรกันบ้างฉันไม่รู้หรอก มันก็ไอ้แค่เนื้อแค่หนังเท่านั้นแหละ จะสมมติปุ่มโน้นเป็นยังงั้น ตรงนี้เป็นยังงั้น มันก็แค่เนื้อแค่หนัง มันไม่มีความสำคัญอะไร มันผุมันพังหมด พอเห็นแกไม่มีเสื้อแล้ว แกก็พลิกคว่ำ ที่นั่นมันไม่มีอะไร หลวงพ่อปานก็สั่งให้รดใหญ่ ไอ้ลิงดำเอ๊ย รดหนักเข้า รดหนักเข้า ท่านก็นั่งคุยอยู่ ไม่เห็นท่านว่าอะไร ไม่เห็นไปว่าคาถาหมุบหมิบ ๆ อะไร คุยโอ้อยู่ข้างหลังนั่นแหละ คุยกะแขก ไม่เห็นว่าคาถาสักนิด แปลก ดูแล้วก็แปลก ฉันรดไปประมาณดูน้ำหมดอีก ๑ ปีบ เด็กคนนั้นก็หยุดดิ้น พอหยุดดิ้นเธอก็ลุกขึ้น เรียกว่าโงหัวขึ้นมา ปรากฏว่ามีมีดโต้เล่มหนึ่ง มีดโต้ขนาดใหญ่ ผูกสายตราสัง ๓ เปลาะอย่างกับผูกผี หล่นเป๊งลงมาจากหน้าอกของเธอ นี่เป็นเรื่องแปลกมาก ก็เวลาที่เธอดิ้นน่ะ เธอฉีกเสื้อออกหมดแล้วนี่ ก็เห็นหนังเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไร เนื้อนี่ก็มองไม่เห็น ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด บอกว่าอัศจรรย์ แล้วเขาก็หยิบมีดมาให้หลวงพ่อปาน ตอนนี้เธอก็หมดทุกขเวทนา รู้สึกว่าอายจัด รีบคว้าผ้าขาวม้าพ่อมาปิดอก แน่ะแปลก ตอนนี้อายแฮะ เอามาปิดเนื้อที่อก เอ้อ ไอ้เนื้อที่อื่นไม่อาย ไปอายเนื้อที่อก แปลกจริง ๆ คน ไม่น่าเลย แปลก ฉันรู้สึกว่าแปลก ไปอายเอาเนื้อที่เขาต้องการ เนื้อนั่นมันน่าจะโชว์กันนะ แต่โชว์นาน ๆ ก็ไม่มีราคาเหมือนกัน เพราะตาคนเรามีสภาพเหมือนงู ถ้าของอะไรที่เขาปกปิดอยู่มันก็อยากดู ถ้าเขาเปิดแล้ว เปล๊า ไม่อยากดูหรอก เดินหลีกไป นี่เป็นยังนั้น นี่ฉันก็ว่าเรื่อยไป ไอ้ฉันน่ะไม่ได้เรื่องแล้ว ไม่ได้ความแล้ว ถูกตอนเสียตั้งแต่บวชพรรษาแรก หมดเรื่องกันไป สบาย เรื่องนี้สบาย ไม่ยุ่ง พอเขาเอามีดไปให้หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็บอกว่า นี่เขาทำมา เขาเสกมีดเข้าอก แล้วท่านก็เสกมงคลให้ แล้วก็เอาผ้ายันต์ทอ เสกยันต์ทอผูกในมงคลแล้วก็คล้องคอให้อีหนูคนนั้น บอกว่า อีหนู เอ็งกลับไปบ้านละก็เอ็งอย่าถอดมงคลนะลูกนะ เขายังจะเล่นงานเอ็งต่อไป คำว่าเล่นงานนี้ แหม .. ฟังแล้วจะตีความหมายกันมาก ฟังกันเพียงเหมาะ ๆ นะ ตีความหมายในคำพูดกันเพียงเหมาะ ๆ นี่ฉันพูดอย่างพระ อย่าตีความหมายอย่างชาวบ้าน มักจะลึกซึ้งเกินไป แล้วหลวงพ่อปานท่านก็สั่งให้กลับ ความจริงรักษากันเดี๋ยวเดียวจริง ๆ นี่คนขนาดหามมานา พอเขาไปแล้วหลวงพ่อปานก็บอกว่า ลิงดำเอ๊ย เอ็งเข้าใจไหมลูก มีดเล่มนี้เขาทำยังไง ตอบว่ากระผมไม่เข้าใจขอรับหลวงพ่อ ก็มีดนี่มันเป็นเหล็ก มันเอาเข้ามาในอกคนได้ยังไง ท่านก็เลยบอกว่าประเดี๋ยวพ่อจะทำให้ดู คนเยอะ คนที่มาดูน่ะยังไม่ไป คนไข้ที่ว่าจะไปก็ไปไม่หมด หมายความว่าเด็กคนนั้นน่ะลงเรือไปแล้ว แต่ญาติของเด็กมาด้วยกันหลายลำนี่ มาเรือ ยังไปไม่หมด ท่านบอกว่าพ่อจะทำให้ดู วิธีที่เขาจะเอาเข้าคนเขาทำอย่างนี้ ท่านก็เอามีดวางข้างหน้า หมอบางคนเขาเอาใบตองรอง แต่นี่ไม่เห็นท่านรองท่านเริงอะไร ท่านเอามีดวางข้างหน้า ท่านก็บอกว่า ลิงดำ .. เอ็งไปหาไม้ลำที่มีปล้องตัน ๆ มาให้พ่อลำหนึ่ง ไม่ต้องยาวหรอก เขาเรียกว่าขังข้อ คือ ข้อหัวข้อท้ายมันไม่เปิด มันก็หาไม่ยาก ใกล้ ๆ ที่ท่านนั่งมันมีอยู่ ฉันก็ไปหยิบมา แล้วท่านก็ให้ไปวางไว้ พอวางไว้แล้วท่านก็บอกว่า คอยดูนะ พ่อจะเอามีดนี่น่ะเข้าไปอยู่ในลำไม้ เราก็ดูแล้วไม่เห็นมันเป็นรูปที่ไหน มันจะเข้ายังไง ไม้ลำนั้นก็รู้สึกว่ามีความกว้างของลำไม้ไม่เท่ากับมีดโต้ แต่ท่านก็ทำให้ดู ทุกคนตั้งใจดู ท่านบอก ทุกคนตั้งใจดูนะ แล้วก็เอานิ้วจี้ลงไปข้างมีด ไม่เห็นว่าไง ปากก็ไม่หมุบหมิบ สักไม่ถึง ๓ นาทีเป็นอย่างช้า นี่ฉันนึกไม่ออกนะว่าเป็นกี่นาทีนะ ตอนนี้ถ้าเสียงหมามันเข้ามาละก็ทราบด้วยนะว่าวัดฉันน่ะหมาเยอะ ฉันนี่น่ะเผ่าเดียวกับหลวงพ่อเนียมนะ เลี้ยงหมาเยอะ แล้วก็หมาที่เลี้ยงนี่ก็ให้อาหารมันกินเอง ซื้ออาหารให้มา ๒ - ๓ ปี ต่อมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นต้นมา นนทา อนันตวงษ์ อุทัยธานี เขารับภาระซื้อข้าวสาร ซื้อกับ ซื้อขนมให้หมากินแทน ตอนนี้เบาใจไป การเลี้ยงหมานี่ป้องกันนรกได้ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเมตตาบารมี เราเลี้ยง เราก็เลี้ยงเพื่อไม่หวังผลตอบแทน ไม่เคยจะใช้มันตักน้ำถูบ้าน ใช้อะไรไม่เคย อย่างนี้ชื่อว่าเลี้ยงโดยการสงเคราะห์ อย่างนี้เป็นการป้องกันนรกได้ดี นี่คนเลี้ยงหมาแบบนี้ละก็ จำไว้นะ คนเลี้ยงหมาแบบปล่อยแบบนี้ได้บุญขนาดไหนลุงพุฒิ แน่ะลุงแกมานั่งนานแล้ว พูดตอนนี้ก็ยิ้ม เลยลืมถามแก ลุง ถามจริง ๆ นะ คนเลี้ยงหมานี่น่ะ อ๋อ แกรีบบอกมาเลย บอกว่าล้างบาปไม่ได้ จำไว้นะ ฉันพูดมันก็ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เหมือนกัน บอกว่ากันนรกได้จะกลายเป็นล้างบาป แกบอกว่าเรื่องบาปเรื่องความชั่วนี่ล้างไม่ได้นะ แต่ว่าอานิสงส์ของหมาด้วยการเลี้ยงปล่อย หมายความว่าเลี้ยงไม่หวังผลตอบแทน ลุง .. ไปทางไหน แกบวกว่ามันหลายทาง ความจริงนี่มันจะไม่เหมือนกับที่ฉันเทศน์เสียแล้วละ ฉันเคยเทศน์ว่าเลี้ยงหมานี่ได้ผลขั้นกามาวจรสวรรค์ สามารถจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ ลุงพุฒิแกตอบไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลุงว่ามาซิ อ๋อ .. ยังงั้นหรือ บอกว่าถ้าเลี้ยงหมาด้วยการสงเคราะห์ใช่ไหมล่ะ สงเคราะห์ให้หมามีความสุข อย่างนี้เป็นผลแห่งกามาวจรสวรรค์ งั้นนะลุงนะ ดาวดึงส์เลยหรือ บอกว่าถึงดาวดึงส์เลย นี่ฟังแกพูดนา แล้วฉันเทศน์น่ะมันเห็นจะผิด ผิดไหมลุง บอกว่าไม่ผิด แต่อธิบายไม่ครบ อ้อ .. แหม .. ดีจริง ๆ อย่างนี้ดีจริง ๆ แล้วขั้นที่สองเล่าลุง การเลี้ยงหมาถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ทานหมา หมายความว่า การให้ทานนี่น่ะมีจิตห่วงใยมากยังงั้นรึ ใช่ อ๋อ แกบอกว่าใช่ ไปไหนก็ห่วงกลัวจะอด นอนก็คิดว่าพรุ่งนี้หมาจะกินอะไร จะมีกับข้าวอะไรให้หมากิน พยายามหามาให้สิ่งที่มันต้องการ ที่เรียกว่าพอจะกินได้ หรือว่าขนมพวกนี้หมาจะมีกินไหม ตั้งใจอยู่อย่างนี้เป็นปกติก่อนหลับ หรือว่าปกติก็คิดเป็นห่วงอยู่ แกบอกว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน คือ เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ อันนี้ฉันไม่ได้เคยคิดเลยนะลูกหลาน ตอนนี้ฉันไม่เคยคิด หรือไม่เคยเทศน์มาเลยนะ แกยิ้ม แกบอกจะเทศน์ยังไงล่ะ ก็คนมันโง่บัดซบ นี่แกว่ายังงั้น แกบอกว่าโง่บัดซบแล้วจะเทศน์ยังไง ก็เทศน์ไปเพียงแค่กามาวจรสวรรค์ อ่านหนังสือมายังงั้น แกบอกว่า จิตถ้าจับอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์ เขาเรียกว่า อารมณ์ฌาน แล้วก็อารมณ์ฌานนี่น่ะเวลาใกล้จะตาย ถ้าจิตห่วงใยอยู่กับแมวหมาที่เราเลี้ยงไว้ คิดหวังจะให้ทานมันอยู่เป็นฌาน ตายไปเป็นพรหม ถ้าเวลาตายไม่คิด เวลาตายไปแล้วก็ไปเกิดบนกามาวจรสวรรค์ แล้วบุญอันนั้นบันดาลให้เกิดเป็นพรหมได้ เมื่อหมดอายุในสวรรค์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม จำไว้ให้ดีนะลูกหลานนะ ฉันไม่เคยเทศน์แบบนี้เลยนะ ฉันไม่เคยเทศน์ ลุงแกยิ้มใหญ่ แล้วแกบอกว่าต่อไปคนเลี้ยงหมานี้น่ะไปนิพพานได้ เพราะว่าเอาหมาเป็นวิปัสสนาญาณ เอาอาหารเป็นวิปัสสนาญาณ ถาม .. ทำไงล่ะลุง วันนี้มีประโยชน์มาก จำให้ดีนะ นี่คนรู้เขารู้จริง ๆ อย่างลุงพุฒินี่แกเป็นพรหม ลุงพุฒิเป็นพรหมแล้วเป็นอนาคามีพรหมด้วย จะบอกไว้ให้เสียก็ได้ แล้วลุงพุฒิน่ะไม่มีโอกาสจะมาเกิดเป็นมนุษย์ จะนิพพานต่อไป นี่แกใกล้นิพพานเต็มทีแล้วใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ พอสิ้นศาสนานี้แล้วประมาณ ๕๐ ปี ๕๐ ปีนรกหรือว่า ๕๐ ปีมนุษย์ลุง ๕๐ ปีมนุษย์หรือ ไปนิพพาน เวลานี้อยู่โต๋งเต๋งเล่นโก้ ๆ ยังงั้นนะ เอาล่ะ จำไว้นะว่าลุงพุฒิแกจะไปนิพพาน เอ้า .. ลุงว่าต่อไปซิ วิธีที่เอาขนมเป็นวิปัสสนาญาณทำยังไง คืออาหารหรือขนมที่ให้สัตว์ แกว่ายังงั้น เป็นวิปัสสนาญาณ เราซื้อมามันก็กินหมดไปน่ะซิ กินหมดไปนี่มันเป็นอนัตตานี่ ซื้อมามากมันค่อย ๆ ยุบไปทีละน้อย ๆ มันเป็นอนิจจัง กินหมดไปเป็นอนัตตา นี่อีกอย่างหนึ่งนะ แล้วก็หมาที่มันกินของ ๆ เรานี่น่ะ มันก็มีชีวิตอยู่ไม่ตลอด ในที่สุดมันก็ตาย นี่แสดงว่าถึงแม้เราจะเลี้ยงมันยังไงก็ตามสภาพความเที่ยงมันไม่มี เวลามันตายก็เป็นอนัตตา เราไม่อยากให้มันตาย มันก็ตาย ท่านเคยเอายารักษาหมาใช่ไหม บอกว่าใช่ แล้วเวลามันจะตาย รักษารอดไหม พุทโธ่ ลุง ก็ฉันจะตายเองฉันยังรักษาไม่รอด หมามันจะตายฉันจะรักษารอดยังไง แกก็เลยบอกว่านั่นแหละมันเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาหรือกฏธรรมดานี่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ ประการนี่ไม่มีใครบังคับได้ มันเป็นกฎตายตัว นี่ถ้าอารมณ์จิตคิดอย่างนี้ว่าหมาเราเลี้ยงแล้วมันก็ตาย เราจะต้องตายอย่างนี้ เวลาหมามีชีวิตอยู่มันก็จะต้องมีความทุกข์ ต้องการอาหาร ต้องการความสบาย เราได้เกิดอีกเราก็มีทุกข์อย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องตายอย่างนี้ เราก็เบื่อความตายมันเสีย เบื่อความเกิดมันเสีย เราไม่ต้องการมัน ขึ้นชื่อว่าความเกิด ไม่ว่ามันจะเป็นคนก็ตามสัตว์ก็ตามเราไม่ต้องการ เราไม่เอาทั้งหมด คิดแค่นี้เราก็ไปนิพพาน เท่านี้น่ะหรือลุง แกบอกว่าเท่านี้แหละไม่ต้องมาก ถ้ายังงั้นก็ต้องตั้งสรณะใหม่กระมังลุง เราว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ขอให้ถึงซึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทีนี้ก็ต้องมาตั้งกันใหม่ว่า ติรฉานัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงหมาเป็นที่พึ่ง เป็นยังไง แกก็หัวเราะ แกบอกว่าไม่ถูก อย่างนี้มันเป็นธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เออ .. นี่นักเทศน์ฟังไว้นะ ที่ฟังนี่ คุณสุรินทร์ เจ้าอาวาสวัดสุขุมาราม มีส่วนจะได้ฟังอยู่ด้วย ยังหนุ่มอยู่นะ ถ้าใครเขามาถามละก็จำไว้ให้ดี นี่เป็นปัญญาลุงพุฒิ บอกว่าการตายของหมานี่ไม่ใช่เอาหมาเป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง หมายความว่าเราให้ทานตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และแกก็บอกว่า การที่เราจะรู้พระธรรมได้ก็เพราะพระพุทธเจ้านำมา ก็เป็น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ คือถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ตานี้เราไม่สามารถจะพบพระพุทธเจ้าได้ด้วยตนเอง เรารับฟัง เรารู้มาจากพระสงฆ์ ก็เป็นสังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เอ๊ะ .. ก็แปลว่าไตรสรณาคมณ์ซิลุง แกก็ตอบว่าใช่ จะทำอะไรก็ตามมันก็แค่ไตรสรณาคมณ์ แปลว่า ที่พึ่ง ๓ อย่าง มีแค่นี้นะลุงนะ แกบอกไม่เลยนี้หรอก พูดกันไปเถอะ ร้อยแปดพันเก้าก็ไม่พ้น ๓ อย่างนี้

    พูดกันถึงลุงพุฒิแล้วก็อย่าลืมเรื่องนั้น ว่าหลวงพ่อปานท่านทำมีดเล่มนั้นเล็กลง ๆ แล้วก็วิ่งเปี๊ยะไปเข้ากระบอก เล็กจนเกือบไม่เห็น เสียงกระบอกดังเพี๊ยะ ฉันไปเว้นไว้ตรงไหนฉันก็จำไม่ได้แล้ว ถ้าเล่าตรงนี้มันไม่ต่อกันละก็อย่าว่าฉันเลย เมื่อเสียงกระบอกดังเพี๊ยะ ท่านก็สั่งให้หยิบกระบอกมา แล้วผ่ากระบอกออกดูเห็นมีดเล่มเล็กนิดหนึ่งเกือบจะมองไม่เห็น แล้วท่านก็หยิบน้ำมนต์ของท่านมาพรมลงไป พอมีดเล่มนั้นถูกน้ำมนต์มันก็โตขึ้นตามปกติ แล้วท่านก็อธิบายว่าของเหล่านี้เขาทำมาเข้าร่างกายของคน คราวแรกมันมีพิษไม่มาก ถ้าถึง ๗ วัน มีดเล่มนี้หรือของอะไรก็ตามที่เขาทำมามันจะขยายตัวทีละน้อย ๆ ถึง ๗ วันมันจะโตเต็มที่ของมัน มันก็จะเบียดอวัยวะภายใน ในที่สุดคนก็ตาย นี่เป็นอันว่าเรื่องนี้ผ่านไป รับฟังกันไว้นะว่าหมอไสยศาสตร์มีความหมายเพราะกำลังจิตเป็นสำคัญ ต่อมาอีกไม่กี่วันก็ปรากฏว่าเด็กคนนั้นถูกหามมาใหม่ มาถามได้ความว่าเวลาจะเข้าส้วม วันนั้นน่ะเธอนึกยังไงก็ไม่ทราบ มันก็คงจะเป็นกฎของกรรม เธอถอดมงคลแขวนไว้หน้าส้วม พอถอดมงคลเท่านั้นก็ล้มตึงทันที ปรากฏว่าของนี้เขาทำมาเข้าตัว ก็รดน้ำมนต์แบบนั้นอีก คราวหลังนี่ปรากฏว่าได้เลื่อยตัดเหล็ก ๒ ปื้น เขาผูกไขว้กันไว้เป็น ๘ แฉก แล้วก็สายสิญจน์ทำเป็นสายตราสังเหมือนกัน ก็รดน้ำมนต์กันแบบนั้นจนหาย ต่อไปหลวงพ่อปานก็สั่งบอกว่าอย่าถอดมงคลนะอีหนู เมื่อไปแล้วหลวงพ่อปานก็บอกว่า ยัง ต้องโดนอีก อีเด็กคนนี้ยังไม่หมดเคราะห์ ในที่สุดอีกไม่กี่วันก็หามมาอีก คราวนี้รดน้ำมนต์ก็ได้ตะปูกลุ่มเบ้อเร่อ ตะปู ๓ - ๔ นิ้ว หนักประมาณ ๑ ก.ก. เขาเอาเชือกมัดเข้าไว้ ผูกเป็นพวง ๆ หลายพวงด้วยกัน เข้าไปอยู่ในอกเธอแล้วก็หล่นมาตามเดิม นี่นักฟังที่ไม่อยากจะเชื่อก็มีนะ ก็ไม่ได้บังคับให้เชื่อนี่

    การพูดนี่ไม่พูดให้ใครเชื่อนะ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็บอกเหมือนกัน ท่านบอกว่าท่านไม่พูดให้ใครเชื่อ ตถาคตนี้มีหน้าที่พูดให้เขาฟัง ครั้งหนึ่งท่านเทศน์จบแล้วท่านถามพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเชื่อไหมที่ตถาคตพูดนี่น่ะ พระสารีบุตรบอกว่าไม่เชื่อ พระที่นั่งฟังอยู่ด้วยชักทำตาเขียว หาว่าพระสารีบุตรเบ่งเกินไป ยกย่องเป็นอัครสาวกแล้วยังจะเบ่งเกินไป พระพุทธเจ้าจึงถามต่อไปว่าทำไมสารีบุตรจึงไม่เชื่อ พระสารีบุตรก็กราบทูลว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามแล้วมีผลจริง ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะเชื่อ พระพุทธเจ้ายกมือขึ้นสาธุ บอก .. ดีแล้ว สารีบุตรคิดอย่างนี้ถูก นี่เธอทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่นี่จงจำคำของสารีบุตรไว้ ปฏิบัติตามอย่างสารีบุตรนี่ เวลาฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ จงจำไว้ให้ดี เธอเอาไปปฏิบัติ เอาไปพิสูจน์กันก่อน เมื่อมันทำได้ผลจริงแล้วจึงเชื่อ จำไว้ไหมลูกหลาน นี่พระพุทธเจ้าเองเป็นแบบนี้นะ ฉันเป็นลูกศิษย์ของท่าน เป็นพุทธสาวก แต่พุทธสาวกรุ่นปลายดงปลายแขมอะไรก็ช่างเถอะ เวลาฉันพูดนี่ฉันไม่ได้พูดให้ชาวบ้านเขาเชื่อนี่ ฉันพูดให้ฟังเฉย ๆ คนที่เชื่อแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเชื่อแล้วไม่ทำตามนะไม่เกิดประโยชน์ เชื่อก็เชื่อไปอย่างนั้นแหละ เชื่อแบบหลวงตาเล่าให้ฟัง คนที่ไม่เชื่อก็ไม่เสียประโยชน์ ฟังไว้ซี ดีไม่ดีคิดว่ามีหลวงตาแก่โกหกคนหนึ่งไปเล่าให้ฟังก็แล้วกัน มันเป็นนิทานปรัมปราไป หนัก ๆ เข้าก็จำไปเล่าให้เด็กฟัง มันก็ทำความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้เหมือนกัน แก้กลุ้ม เรื่องนี้มันยังไม่จบนา ความจริงเรื่องนี้ฉันจะพูดให้มันสั้นมันก็ไม่สั้นสักที เอา..ว่ากันไปซิ ต่อมาเจ้าลาวที่รับจ้างทำเด็กคนนั้นไม่ได้รับค่าจ้าง ๒๐๐ บาท มันไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะเด็กไม่ตาย วันหนึ่ง ตอนที่ฉันบวชแล้ว บวชแล้วไม่นาน หมายความว่าวันเวลามันล่วงไปสักเดือนกว่า ๆ ก็มีเจ้าลาวคนหนึ่งมาพักอยู่ที่ป่าช้า พระถามว่ามายังไง ก็ตอบเดินมา ให้มาพักในกุฏิ แกก็ไม่ชอบ แกบอกว่าแกชอบพักในป่าช้า แกก็แสดงวิชาการต่าง ๆ ให้ปรากฏ พระก็ชอบใจ พระอยากเรียนมั่ง ก็ตักน้ำตักท่าเอาผ้าเอาเสื่อเอาหมอนเอามุ้งไปให้ แต่พอตกกลางคืนตอนตี ๒ หลวงพ่อปานลุกขึ้นมาเรียกฉัน เอาไม้เอาหวายของท่านนะ ที่สำหรับตีผี เอาหวายสำหรับตีผีมาแหย่หลังฉันเรียกว่า ลิงดำเอ๊ย ลุกเถอะ พ่อมีธุระ ฉันก็ลุกทันที ตอนนั้นฉันเป็นคนตื่นไว เพียงแต่ไม่ต้องจับตัวหรอก ยืนห่าง ๆ เรียกเบา ๆ ฉันก็ตื่น เพราะจิตคิดอยู่เสมอว่าพร้อมจะตื่น ทีนี้จิตน่ะมันฝึกง่าย เมื่อตื่นขึ้นมาท่านก็พาไป ตะเกียงมันจุดอยู่ ท่านก็ชี้ให้ดูบอกว่า ลิงดำเห็นอะไรไหมลูก ตอบว่าเห็นขอรับหลวงพ่อ ตะขาบทำไมตัวมันใหญ่นักล่ะ ตะขาบตัวขนาดแขนฉันเลยนะ เอาแค่ขนาดโคนแขนนะ ไม่ใช่ข้อมือ ขนาดโคนแขน ตัวยาวมาก มันนอนขดตัวกลมดิก ท่านก็เลยบอกว่าไปเรียกพระในวัดลุกขึ้นมาให้หมดไป๊ ไปตีระฆังเรียกประชุมพระ บอกว่าตีไม่มีใครตื่นหรอกขอรับหลวงพ่อ มันตี ๒ แล้ว ท่านบอกว่าตีระฆังก่อน เมื่อตีระฆังก่อนแล้วก็ไปตีประตูเขา เรียกให้ลุกขึ้นมาให้หมดทุกคน มาพร้อมกันที่กุฏิฉัน ในเมื่อหลวงพ่อสั่งฉันก็ทำ สักครู่หนึ่งพระก็มาพร้อมกัน รู้สึกว่าปลุกง่าย เขาสนใจ ถ้าได้ยินเสียงฉันเขาก็รู้เลยว่าหลวงพ่อปานมีคำสั่ง เพราะปกติฉันเป็นไอ้ลิงหน้าพลับพลาอยู่ ลิงประจำพลับพลา ในเมื่อเขามาพร้อมกัน หลวงพ่อปานก็ชี้ให้พระดู ถามว่านี่อะไร พระก็บอกว่า ตะขาบขอรับ ทำไมตัวมันโตนัก มีพระบางองค์จะเข้าไปจับ ท่านบอกว่าอย่านะลูกนะอันตรายถึงชีวิต ท่านก็เลยเล่าให้ฟัง ท่านถามก่อนว่าเมื่อตอนเย็นนี่น่ะมีลาวสักคนหนึ่งมาพักอยู่ในป่าช้าหรือเปล่า พระก็บอกว่ามี มีพระหลายองค์บอกว่ารับอาสาจัดที่นอนให้ เอาน้ำไปให้ ท่านบอกว่าไอ้บาวคนนั้นมันทำตะขาบมากัดฉัน มันเจ็บใจฉันที่ฉันรักษาโรคอีเด็กบ้านสามกอหาย มันจะฆ่าให้ตาย เพราะมันรับจ้างเขา ๒๐๐ บาท พระอย่างนี้มีเยอะเหมือนกัน พอได้ฟังเท่านั้นขัดเขมรกันแล้ว จะไปเล่นงานเจ้าลาว หลวงพ่อปานยกมือห้ามบอกว่า อย่าลูก บาป ไม่ต้องทำเขา กฎของกรรมที่เขาสร้างไว้มันจะสนองตัวเขาเอง แล้วท่านก็เลยบอกว่า เอายังงี้นะ เราจะทำยังไงนี่ ถ้ามันกัดฉัน ฉันก็ตาย แต่ความจริงฉันรู้ตัวมาตั้งแต่ตอนหัวค่ำว่าวันนี้ลาวมันจะฆ่าฉัน ฉันก็เลยไม่หลับ นอนคอยมัน ก็พอดีเห็นตะขาบเลื้อยมา ฉันก็เลยเอาหวายวน ๆ เข้า มันก็ม้วนไปตามที่ฉันวนหวายเป็นวงกลม แล้วท่านบอกเอายังงี้ดีไหม ของ ๆ เขาคืนให้เขาดีไหม พระทุกองค์ก็รับว่าดีขอรับ แต่พระบางองค์บอกยังไม่ดี อยากจะเอาขวานไปทุบหัวลาวเสียอีก นี่อย่างนี้ก็มีไม่น้อย หลายองค์ขัดเขมรกันเป็นแถว หลวงพ่อปานบอกไม่ต้อง ๆ ไป คืนเขาเท่านี้แหละ เธอรีบไปแบกเขามาก็แล้วกัน ของ ๆ เขาเราคืนให้เขา เราไม่บาป ฉันจะทำให้ดู ท่านก็เอาหวายวนกับกระดานคลายตัว มันขดไปทางขวานี่ ท่านก็ลากหวายวนมาทางซ้าย เจ้าตะขาบตัวนั้นมันก็ค่อย ๆ ยืดตัวออกตาม ในที่สุดมันก็ทำตัวตรง พอทำตัวตรง ท่านก็เอาหวายตีกระดานด้านหลัง ไม่ถูกหลังหรอก เลยตัวมาหน่อย ๓ กั๊ก เอาเคาะแก๊ก ๆ ๆ ๓ ที พอทีที่ ๓ ตะขาบวิ่งพรืดพริบตาเดียวไม่รู้หายไปไหน หลวงพ่อปานสั่งด่วน บอก รีบไปแบกไอ้ลาวเข้ามา เดี๋ยวมันตาย ความจริงถ้าเป็นฉันตอนนั้นฉันไม่แบกหรอก ปล่อยให้มันม่องตี่ไปดีกว่า แต่ว่าตอนนี้น่ากลัวจะแบกเหมือนกัน สงสารมัน ผลที่สุดพระทั้งวัดก็วิ่งไปในป่าช้า พระที่เขารู้จักทางว่าเจ้าลาวพักอยู่กระท่อมไหนก็นำทางไป ถือตะเกียงกันไปเป็นแถว เมื่อไปถึงปรากฏว่าเจ้าลาวบวมทั้งตัวเลย ร้องครวญครางอย่างบกไม่ถูก หากำลังไม่ได้ต้องแบกกันมา ถามว่าเป็นไง บอกว่าถูกตะขาบกัด พระแบกเจ้าลาวมา เจ้าลาวร้องครวญคราง หลวงพ่อปานก็ถามมัน ทำท่านใช่ไหม มันก็บอกว่า ใช่ มันยอมรับทุกอย่าง มันขอให้หลวงพ่อถอนให้มัน เห็นไหมล่ะ ทำเขาทำได้ เขาเจ็บแล้วแล้วไป เขาไม่มีความสุขช่างเขา เขาถูกทรมานยังไงช่างเขา ครั้นตัวโดนเข้าบ้างละร้อง นี่สันดานของคนที่มีกิเลสเป็นอย่างนี้นะ กิเลสน่ะมีทุกคน แต่กิเลสเจ้านี่มันชั่วมาก หลวงพ่อปานก็ถามว่าจะให้รักษาให้ไหม มันขอร้องให้รักษา ท่านบอกรักษาได้แต่ต้องบวช ถ้าไม่บวชท่านไม่รักษาให้ แล้วก็บวชนี่น่ะถอนความรู้ทั้งหมด วิชาทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดจะเลิกทำ รับปากกับท่านได้ไหม ถ้ารับปากกับท่านไม่ได้ ท่านไม่บวชให้ ท่านไม่รักษาให้ ตายก็ตายไปซี ฉันไม่ได้ทำเธอนี่ มันเป็นกฎของกรรมที่เธอสร้างขึ้นเท่านั้น เจ้าลาวหมดท่า มันก็ร้องไห้เสียดายของ ผลที่สุดไม่รู้จะทำยังไง ความปวดมันก็ทวีมากขึ้น ในที่สุดมันก็ยอมรับว่าจะเลิก ท่านก็รักษาให้ ฉันไม่เห็นท่านทำยังไง ท่านก็ไปหยิบน้ำมนต์มา แล้วให้เจ้าลาวกิน เจ้าลาวดื่มเข้าไป ๓ อึก ประเดี๋ยวก็บอกว่าปวดอุจจาระ ท่านก็ให้ไปที่ร่อง มันก็ถ่ายออกมา ไอ้ที่ถ่ายออกมานะ ไม่ใช่มีอุจจาระหรอก มันเป็นโซ่เส้นเล็ก ๆ เหมือนโซ่ลิง ที่มันทำเป็นตะขาบนั่นแหละ พอกัดปั๊บเป็นพิษ แล้วเข้าไปในท้องเลย ตาย ตายแน่ ถ่ายออกมาเป็นโซ่ลิง หลวงพ่อปานก็ให้พระไปคีบเอามา พระไปคีบมาแล้วก็มาดู บอกว่าเอ็งน่ะมันระยำ เอ็งคิดจะฆ่าฉัน เอ็งน่ะระยำมาก แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันน่ะไม่ตายเพราะมือเอ็งแน่ ถ้าฉันจะตายฉันต้องตายของฉันเอง ถ้าจะฆ่าฉันละไม่ตายแน่ เอาละเป็นอันว่าพรุ่งนี้บวชกัน ว่ากันยังงั้นเลยนะ ท่านเอาจริง ๆ พอวันรุ่งขึ้นท่านก็ให้บวชเลย แล้วเจ้าลาวคนนี้พอบวชแล้วก็เจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน อาศัยอารมณ์ไสยศาสตร์ที่เขามีอยู่ จิตเป็นสมาธิระดับสูง ภายในพรรษาเดียวเขาก็ได้อภิญญาสมาบัติ นั่นเป็บพระอภิญญาไปอีกองค์ พอได้อภิญญาถามว่า แกจะทำยังงั้นอีกไหม ตอบว่าไม่ทำหรอก ไปดูในเมืองนรกแล้ว เขาจดไว้เป็นแถวเชียว ไม่มีทางหรอก ผมหนีแน่ วิชาความรู้ กรรมชั่วอย่างนี้ผมไม่เอาอีก ผมหนี สิ่งใดที่จะเป็นบุญ ทางใดที่จะหนีได้ผมรีบเปิด เป็นอันว่าแกอยู่กับหลวงพ่อปาน ๒ พรรษา ช่วยหลวงพ่อปานรักษาโรค หลวงพ่อปานให้เรียนวิชารักษาโรคแทนแล้ว ต่อจากนั้นแกก็ลาเข้าป่าไป เป็นอันว่าพระอภิญญาเข้าป่าไปหมด เห็นไหม นี่เขาไม่อยู่กันนา นี่ตอนนี้ก็จบไปเสียทีซิ


    สำหรับพระที่ผมจะให้บูชามี 1 พิมพ์ครับ..


    1. ขุนแผนหน้าค่าย เบาๆ มีองค์เดียว 4,500 บาทครับ...

    พิมพ์ขุนแผน บางที่เล่นหากันเป็นหมื่นครับ
    สวยๆ ดูง่ายแบบนี้ สบายใจ

    ลดสุดๆๆๆๆ รับปีใหม่ เหลือ 3,000 ครับ...

    </td></tr></tbody></table>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05039.jpg
      DSC05039.jpg
      ขนาดไฟล์:
      636.1 KB
      เปิดดู:
      737
    • DSC05042.jpg
      DSC05042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      609.9 KB
      เปิดดู:
      154
    • DSC05043.jpg
      DSC05043.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      132
    • DSC05044.jpg
      DSC05044.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      144
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  5. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    พระสรรค์ยืน หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม


    [​IMG]

    หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร มีนามเดิมว่า กวย ปั้นสน เกิดเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้าน บ้านแค หมู่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของคุณพ่อ ตุ้ย ปั้นสน ซึ่งบ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้าน แค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน

    คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)
    คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)
    คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)
    คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)
    คนที่ ๕ พระกวย ชุตินฺธโร (มรภาพเเล้ว)
    เด็กชายกวย เมื่อโตขึ้นมา โยมบิดาได้ส่งมาเรียนหนังสือกับหลวงปู่ขวด วัดบ้านแค หลังจากหลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวยมาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น ซึ่งใกล้ ๆ กับวัดบ้านแค หลังจากนั้นก็มาช่วยทางบ้านประกอบอาชีพ ทำไร่ไถนาตามประสาอาชีพของทางครอบครัว

    อุปสมบท







    ต่อมาเมื่อครบอายุบวช จึงเข้าอุปสมบท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี มีหลวงพ่อปา วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เเละพระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"

    วิชาการเเหล่เเละเทศน์

    เมื่ออุปสมบทแล้วก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านแค ตอนนั้นหลวงปู่มา เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กันฑ์กุมาร, ทานกัณฑ์ ท่านชอบเทศน์แหล่หญิงหม้ายซึ่งกล่าวถึงพระนางมัทรี ตอนที่องค์พระเวสสันดร ถูกเนรเทศออกนอกเมือง ไปบวชอยู่ในป่า หลักฐานในเรื่องนี้คือใบลานเทศน์ต่างๆที่หลวงพ่อเก็บรักษาไว้ เเละบางอันท่านได้ประทับตราสิงห์ชูคอเอาไว้ บางอัน หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย หรือพระกวยสร้างส่วนตัวหลังจากนั้นหลวงพ่อได้ไปเรียนวิชาแพทย์โบราณกับหมอเขียน เพื่อเรียนวิชารักษาโรคระบาด หรือโรคห่าเเละ โรคไข้ทรพิษ

    เรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์

    ต่อมาในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ท่านได้มาอยู่ที่วัดวังขรณ์ ต.โพธิ์ชนไก่ ๒ พรรษา ในพรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอสอบไล่ เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่าอิติ ของหลวงพ่อกวยก็เช่นกันและท่านยังได้ได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง กับหลวงพ่อศรีนี้ หลวงพ่อกวยได้ ยันต์เเรกที่หลวงพ่อสำเร็จเเละท่านมั่นใจในยันต์นี้มาก นั่นคือ ยันต์มงกุฎพระเจ้า ซึ่งหลวงพ่อมักใช้ปลุกเสกพระเเละเครื่องรางต่างๆ ท่านมั่นใจในยันต์นี้มากเเละได้ใช้ยันต์นี้ลงในหลังเหรียญรุ่นเเเรกของท่าน โดยบรรจุยันต์นี้ครบสูตร เเละท่านยังได้ทำเป็นตรายางเพื่อประทับผ้ายันต์เเละรูปถ่ายบางรุ่น คือมีความหมายทางคุ้มครองเเละช่วยเสริมดวง จนกลายมาเป็นชื่อยันต์เสริมดวงที่เรียกกันนั่นเองนอกจากนี้ ตามที่ได้ข้อมูลว่า ยันต์เเละคาถานะโมตาบอด หลวงพ่อก็ได้มาจากหลวงพ่อศรี ยันต์นี้ นอกจากใช้จารเครื่องรางเเล้ว ท่านยังใช้บรรจุที่หลังเหรียญรุ่นสองของท่าน หลังจากเล่าเรียนกับหลวงพ่อศรี ท่านก็มาจำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่วัดตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัดหนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อ เพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่มๆต้นสมอที่หลวงพ่อลงอาคมนี้ ปัจจุบันยังอยู่เเละไม่มีใครกล้าไปตัดหรือทำอะไร เพราะกลัวอาถรรพ์ เคยมีพระบางรูปขึ้นไปตัด เเต่ก็ต้องเจอกับอาถรรพ์จนเสียชีวิตมาเเล้ว

    ตำราในโพรงไม้

    ต่อมา ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท อีก ๑ พรรษา ได้เรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระ ในขณะที่พักจำพรรษาที่วัดหนองแขม ได้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม ได้เดินทางท่องเที่ยว ไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่โพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาใต้โคนไม้ พระภิกษุกวย จึงได้จุดธูปบอกเล่าและอธิษฐานว่า "ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก" แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานขึ้นมาใหม่ว่า "ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้ ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือ ประชาชนเท่านั้น" แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓ ดอก หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำราและอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้ เกี่ยวกับตำรานี้ มีคำร่ำลือกันว่า ก่อนหน้านั้นมีคน ๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติ เจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ที่ดังกล่าว พระภิกษุกวย เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดู ก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอกไว้ในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใคร ๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย ท่านจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่มนี้ ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่า “ครูแรง” ด้วยสีแดง นับว่าหลวงพ่อกวยท่านเป็นพระที่ได้ตำราเเบบเเปลกกว่าพระอื่นๆทั่วไป ส่วนพระภิกษุเเจ่มที่เป็นคนพาหลวงพ่อไปเอาตำรานี้ภายหลังได้สึกเเละผันชีวิตไปเป็นอ้ายเสือ เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้ ปัจจุบันบางส่วนยังอยู่ที่วัด บางส่วนอยู่ที่ศิษย์หลวงพ่อหลายๆท่าน เช่นที่อาจารย์เหวียน มณีนัย บ้านท่าทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี อยู่ที่วัดท่าทอง อยู่ที่อาจารย์โอภาสหรือ(มรณภาพเเล้ว) วัดซับลำใย จ.ลพบุรี อยู่ที่อาจารย์แสวง(มรณภาพเเล้ว) วัดหนอง อีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ตำราเก่า สมุดบันทึก ตลอดจนของเก่าๆที่หลวงพ่อเก็บไว้ บางอย่างท่านจะห่อปกด้วยกระดาษ เเละมักจะเขียนว่าห้ามทำสกปรก จะจับถือให้เบามือ เเสดงว่าหลวงพ่อท่านเป็นคนรักของเเละมีระเบียบ หลวงพ่อไม่หวงของเเต่ไม่ชอบให้ทิ้งขว้าง ตำรายาเเละเลขยันต์ต่างๆ ที่ท่านได้จดบันทึกไว้ บางเล่มท่านจะเขียนหน้าปกไว้ ว่า ห้ามหยิบ ห้ามจับ ครูเเรง บางเล่มจะเขียนสั่งว่า เปิดดูจุกตาย เป็นต้น

    เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้เรียนวิชาทำ แหวนแขน, ตะกรุด, มีดหมอ และอื่นๆ ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่เป็นที่รู้กันคือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย จากคำบอกเล่าจากพระภิกษุแบนและพระหลวงตา ตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า หลวงพ่อกวยตอนที่อยู่ที่วัดก็เป็นพระที่มีอาคมเหมือนพระทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง นครสวรรค์) เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้ มีหลักฐานคือมีรูปถ่ายของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วย เป็นรูปถ่ายพรรษาท้ายๆของหลวงพ่อเดิมลายมือ พบในกุฏิของหลวงพ่อ หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงหล่อน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อ ตอนนั้นลุงหล่อนได้ทำบุญเเละได้รูปหลวงพ่อเดิมมาสองรูปกับเเหวนหลวงพ่อเดิมหนึ่งวง รูปนั้นเป็นรูปหลวงพ่อเดิมพรรษาท้ายๆ อีกรูปเป็นรูปหลังเเววหางนกยูง ข้อมูลจากลุงหล่อน ได้กรุณาเล่าว่า สมัยนั้นเดินไปกับหลวงพ่อ ตอนนั้นลุงยังหนุ่มๆอายุยี่สิบเศษๆ เดินเท้าจากบ้านเเคไปตาคลี ใช้เวลาหนึ่งวัน ไปค้างที่วัดหนองโพสามคืน ลุงหล่อนได้คุยเเละนวดให้หลวงพ่อเดิมด้วย ลุงบอกว่าหลวงพ่อเดิมนั้นใจดี มีเมตาตามาก หลวงพ่อกวยเคยขอเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ แต่หลวงพ่อเดิมไม่สอนให้ ท่านจึงเรียนมาเท่านั้น

    การสักยันต์

    ต่อมาเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อได้ทำการสักให้ศิษย์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันกลางคืน ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินเท้าเอา ลำบากมาก อย่างดีก็ขี่จักรยาน รถ ๒ แถว มีเข้าวัด ๑ คัน ออก ๑ คัน เท่านั้น มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ ๔ หมื่น ๔ พันคน ต่อมา หลวงพ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา หลวงพ่อได้หยุดสัก เปลี่ยนมาทำพระเเละแต่เรื่องรางของขลัง เช่น ตะกรุด, มีดหมอ, แหวนแขน เป็นต้น ช่วงนั้น ข้าวยากหมากเเพง โจรร้ายเต็มบ้านเมือง โดยเฉพาะ เเถวภาคกลางตอนล่าง เเถบนครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี เป็นเเหล่งกบคานของก๊กเสือร้ายหลายกลุ่ม ชาวบ้านเเคก็ได้อาศัยบารมีหลวงพ่อเพื่อคุ้มครองครอบครัวเเละทรัพย์สิน ของมีค่าต่างๆ ก็จะเอามาฝากหลวงพ่อที่วัด ลูกเมียก็จะมาขอนอนที่วัดเพราะกลัวโจรฉุด วัวควายก็พากันเอามาผูกในลานวัด จากคำบอกเล่าของคนเก่าๆที่บ้านเเค เล่าว่า พวกโจร เสือต่างๆไม่มีใครกล้ากับหลวงพ่อ มีอยู่รายนึงเป็นเสือมาจากอ่างทอง พาสมุนล้อมวัดบ้านเเคตอนกลางคืน เห็นว่าวัวควายของชาวบ้านที่ลานวัดมีเยอะมาก เเต่ก็โดนตะพดหลวงพ่อจนต้องรีบพาสมุนกลับเเละก็ไม่มาเเถวบ้านเเคอีกเลย เขาว่าในสมัยนั้นเมื่อเสือ เดินผ่านวัดหลวงพ่อ ต้องยิงปืนถวายทุกครั้ง

    ผลงานทางศาสนา

    หลวงพ่อไม่ชอบการก่อสร้าง ชอบความเป็นอยู่แบบสมถะ แม้กุฏิของหลวงพ่อก็เป็นไม้ทรงไทยโบราณ แต่การก่อสร้างนั้น หลวงพ่อยกหน้าที่ให้กรรมการวัด แม้การก่อสร้างก็ให้กรรมการวัดและชาวบ้านทำ ยกเว้นส่วนที่ยากจึงจ้างช่างทำ ฉะนั้น ทางวัดจึงมีแต่กุฏิเก่า ๆ ที่สร้างใหม่ก็มีมีแต่พระอุโบสถ, ศาลาทำบุญ กุฏิชุตินฺธโร ที่ศิษย์สร้างถวายเท่านั้น เกี่ยวกับพระอุโบสถนั้น ศิษย์หลวงพ่อ โยมเช้า เเผ้วเกตุ ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของท่านเจ้าอาวาสวัดโมสิตารามรูปปัจจุบัน เล่าว่า สมัยก่อนได้ไปกับหลวงพ่อ ไปหาอิฐเก่าๆตามวัดร้าง โดยใช้เกวียนขน เพื่อมาทำฐานพระอุโบสถ นอกจากนี้คนในตระกูลยิ้มจูบางท่าน ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของหลวงพ่อ ได้เล่าให้ฟังว่า เคยมาช่วยหลวงพ่อถมดินรอบพระอุโบสถ เวลาไปช่วยงาน หลวงพ่อจะเเจกพระให้ทุกครั้ง

    สมณศักดิ์

    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน และมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ อายุ ๗๔ ปี ๕๔ พรรษา ด้วยอาการสงบ ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ หลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท หมอได้วินิจฉันโรค ว่าหลวงพ่อเป็นโรคขาดอาหารมาเป็นเวลา ๓๐ ปี ได้ให้สารอาหารประเภทโปรตีนกับหลวงพ่อ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย อยู่โรงพยาบาลได้ไม่นาน ก็กลับวัด เมื่อกลับวัดหลวงพ่อก็ยังได้ฉันอาหารเพียงวันละ ๑ ครั้ง เช่นเดิม โดยไม่เปลี่ยนความตั้งใจ หลวงพ่อยังคงคร่ำเคร่งในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล

    มรณภาพ

    ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อได้วงปฏิทิน วันที่ท่านเริ่มเจ็บเอาไว้ด้วยสีน้ำเงิน และวงปฏิทิน วันที่ท่านมรณภาพเอาไว้ด้วยตัวหนังสือสีแดง คือวันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒ พร้อมทั้งเขียน พระคาถา นะโมตาบอด ให้ไว้เป็นคาถาแคล้วคลาดและกำบัง หลวงพ่อเขียนว่า "อาตมาภาพพระกวย " นะตันโต นะโมตันติ ตันติ ตันโต นะโม ตันตัน" จะมรณภาพ วันที่ ๑๑ เมษายน เวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที" พอวันที่ ๑๑ มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลย ไม่มีรสชาติ บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉัน แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขึ้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์ ปลุกเสกวัตถุมงคล กลางคืนก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้วกลับผอมหนักเข้าไปอีก วันที่ ๑๐ เมษายน กลางคืนมีศิษย์มาเฝ้าท่านเต็มไปหมด ตอนเช้ายิ่งมาก เพราะท่านจะมรณภาพ แต่ท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านผอมมากมีแต่หนังหุ้มกระดูก มีแต่ประกายตาที่สดใสเท่านั้น จนกระทั่งตกกลางคืนท่านก็ไม่มรณภาพ ค่อนสว่างวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ ทางกรรมการวัดและศิษย์ใกล้ชิดได้ประชุมปรึกษากันว่า สงสัยในกุฏิท่านจะลงอาถรรพณ์เอาไว้ ตลอดจนตำราอักขระเลขยันต์ ตลอดจนรูปครูบาอาจารย์ คงจะไม่มีใครกล้ามารับท่านแน่ อยากเห็นท่านไปดี จึงปรึกษากัน นำท่านออกมาที่หอสวดมนต์ เมื่อเตรียมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุ้มท่านมาจำวัดที่เตียงที่หอสวดมนต์ ท่านลืมตาขึ้นเป็นการสั่งลา ครั้งสุดท้าย แล้วหลับตาพนมมือเกิดอัศจรรย์ ระฆังใบใหญ่ที่หอสวดมนต์ได้ขาดตกลงมา ดังหง่าง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ดังยาวนาน ศิษย์ที่อยู่ศาลาเข้าใจว่าท่านมรณภาพแล้ว จึงได้ตีระฆัง คือคาดว่ามีคนตีระฆัง เมื่อจับเวลาดู เป็นเวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที จับชีพจรท่านดู ปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยโบราณ ปัจจุบันทางวัดเเละเหล่าบรรดาศิษย์หลวงพ่อจึงยึดเอาในวันที่ ๑๒ เมษายนของทุกปี เป็นวันทำบุญ ประจำปีเพื่ออุทิศและระลึกถึงหลวงพ่อ จบประวัติของหลวงพ่อคร่าวๆเเต่เพียงเท่านี้ ขอให้หลวงพ่อคุ้มครองทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญ ชีวิตไม่ตกต่ำเหมือนกับคำพรของหลวงพ่อ ที่เคยให้ไว้

    "ขอศิษย์ทั้งหลาย จงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา"

    หมายเหตุ ข้อมูลต่างๆ เเกัไขเเละดัดเเปลงจาก ข้อมูลของเก่าครูสมจิต(เฒ่า สุพรรณ)ที่เขียนไว้ในหนังสือนะโมเเละหนังสืออิทธิปาฎิหารย์หลวงพ่อกวยเล่มเเดงที่เขียนโดยครูสมจิต เเละจากการบอกเล่าของศิษย์รุ่นเก่าของหลวงพ่อ


    เบาๆ ครับ เล่นหาตามสภาพ ด้านหน้าสึกไปหน่อยครับ
    1,500 บาทครับ...สาธุ รวยๆๆๆๆ



    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228

    รบกวนค่าจัดส่ง EMS 50 บาทด้วยครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05029.jpg
      DSC05029.jpg
      ขนาดไฟล์:
      828.7 KB
      เปิดดู:
      169
    • DSC05032.jpg
      DSC05032.jpg
      ขนาดไฟล์:
      926.9 KB
      เปิดดู:
      154
    • DSC05034.jpg
      DSC05034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      119
    • DSC05035.jpg
      DSC05035.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      180
    • DSC05036.jpg
      DSC05036.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      153
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2011
  6. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ส่ง EMS รายการเหรียญครูทรงฤทธิ์ ลป.สมชาย วัดคงคาให้กับผู้สนใจนอกเว็บแล้วครับ
    รหัส EH 724 875 997 TH สาธุ
     
  7. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    ลดกันไปครับพี่น้อง...ก่อนปีใหม่ รวยๆๆๆ สาธุ
    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  8. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    ลดกันสุดๆๆๆๆ 3,000 ถ้วนครับ สาธุ...
    ราคานี้สุดคุ้ม สาธุ...
     
  9. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ช่วงนี้ลดกันกระจาย...
     
  10. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ตะกรุดหลวงปู่เจียม ออกในงานฉลองอายุครบ 83 ปี ครับ สภาพเก่าเก็บบนหิ้งครับ...
    คุณก้านมะยมจองแล้วครับ...

    [​IMG]

    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่เจียม อติสโย

    วัดอินทราสุการาม (วัดหนองยาว)
    ต.กระเทียม อ.สังขะ จ.สุรินทร์


    ๏ อัตโนประวัติ

    “พระครูอุดมวรเวท” หรือ “หลวงปู่เจียม อติสโย” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองสุรินทร์ เป็นพระที่มีศีลาจารวัตรดีงาม ไม่บกพร่องเสื่อมเสีย ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด กอปรด้วยวิทยาคม มีลูกศิษย์ลูกหามากมายให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก

    หลวงปู่เจียม มีนามเดิมว่า เจียม นวนสวัสดิ์ (เดือมดำ) เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2454 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 2 ปีกุน สายเลือดกัมพูชา ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่บ้านดองรุน ต.ประเตียเนียง อ.มงคลบุรี จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน ท่านเป็นบุตรคนโต


    ๏ การศึกษาเบื้องต้น

    ในเยาว์วัย เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนประชาบาล อ.มงคลบุรี จ.พระตะบอง ศึกษาภาษาเขมรและภาษาฝรั่งเศส ตามหลักสูตรที่รัฐบาลกัมพูชากำหนดไว้

    เมื่อเรียนจบในระดับชั้นประถมศึกษา ได้สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนในจังหวัดพระตะบอง แต่เรียนได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น มีเหตุให้ต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคัน เนื่องจากฐานะทางบ้านยากจน อีกทั้งได้รับผลกระทบจากสภาวะสงครามภายในประเทศ เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ได้ประกอบอาชีพทำนาและค้าขาย เช่น ค้าข้าว ค้าวัว รวมทั้งเป็นช่างไม้ เป็นต้น ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น ครั้นเมื่ออายุ 26 ปี ท่านได้สมรสกับหญิงสาวในหมู่บ้านเดียวกัน มีบุตรธิดารวมทั้งหมด 4 คน

    เนื่องจากขณะนั้นประเทศกัมพูชาตกอยู่ภายใต้การยึดครองของประเทศฝรั่งเศส ท่านเป็นคนหนึ่งที่มีความรักชาติรักแผ่นดิน ต้องการให้ประเทศชาติบ้านเมืองเป็นเอกราช จึงได้ร่วมมือกับกลุ่มชาวเขมรที่รักชาติ จัดตั้งกองกำลังเขมรเสรีเพื่อกอบกู้ประเทศชาติ โดยสู้รบกับทหารฝรั่งเศสอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และต่อมากองกำลังเขมรเสรีถูกปราบปรามอย่างหนัก จนต้องหลบหนีเข้ามายังเขตประเทศไทย โดยหวังว่าจะรวมตัวกันกลับเข้าไปต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชอีกครั้งหนึ่ง

    พ.ศ.2485 จึงตัดสินใจอพยพครอบครัว มุ่งหน้าเข้าสู่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ โดยเดินทางมากับพระสงฆ์ชาวเขมรชื่อ พระครูดี ใช้วิธีเดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆ ค่ำไหนก็พักนอนที่นั่น แล้วออกตระเวนรับจ้างชาวบ้านในพื้นที่อำเภอสังขะ เพื่อหาเลี้ยงชีพไปตามอัตภาพ ในที่สุดได้แวะพักที่วัดทักษิณวารี (วัดทักษิณวารีสิริสุข) บ้านลำดวน ต.ลำดวน อ.ลำดวน จ.สุรินทร์ พร้อมทั้งได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวาง ธัมมโชโต ที่วัดแห่งนี้ ซึ่งท่านได้ประพฤติปฏิบัติตนรับใช้หลวงพ่อวางอย่างดียิ่ง จนทำให้บรรดาโยมอุปัฏฐากของหลวงพ่อวาง เกิดความรักความศรัทธา จึงขอเป็นเจ้าภาพอุปสมบทให้ ในขณะที่ท่านมีอายุได้ 47 ปี


    ๏ การอุปสมบท

    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2501 ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดทักษิณวารี ต.ลำดวน อ.ลำดวน จ.สุรินทร์ โดยมี หลวงพ่อวาง ธัมมโชโต พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเรืองวิทยาคม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาว่า “อติสโย”


    ๏ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวาง-หลวงพ่อเปราะ

    หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านสมัครใจอยู่จำพรรษา ณ วัดทักษิณวารี เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน เรียนภาษาไทย และอุปัฏฐากปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อวาง ธัมมโชโต พระอุปัชฌาย์ จนเป็นที่ยอมรับไว้เนื้อเชื่อใจ พร้อมกับฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขอรับการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ อาทิ การเสกน้ำมนต์ เขียนแผ่นทอง เป็นต้น

    รวมทั้ง ในแต่ละพรรษา หลวงปู่เจียมได้มีโอกาสแวะเวียนไปนมัสการ หลวงพ่อเปราะ พุทธโชติ วัดสุวรรณรัตนโพธิวนาราม อ.ลำดวน พระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปหนึ่ง เพื่อปรนนิบัติรับใช้และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขอรับถ่ายทอดวิทยาคม อาทิ การเขียนอักขระลงแผ่นทอง ทำตะกรุด วิชาเสริมสิริมงคล ฯลฯ ให้อย่างครบถ้วน เพื่อคอยปัดเป่าทุกข์ภัยให้ชาวบ้านในถิ่นจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีผู้เจ็บป่วยด้วยวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้แล้ว ท่านยังวนเวียนออกเดินธุดงค์ ปลีกวิเวก ไปตามถ้ำและป่าเขาลำเนาไพรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ในเขตพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชายแดนประเทศลาว โดยยึดป่าเขาเป็นสถานศึกษา ได้พบกับพระอาจารย์หลายท่านในระหว่างเดินธุดงค์ ได้สนทนาธรรมและเรียนรู้วิธีการปฏิบัติสมาธิภาวนาจากพระอาจารย์เหล่านั้น เป็นเวลายาวนานถึง 13 ปี แล้วกลับมาเข้าพรรษาที่วัดทักษิณวารี


    ๏ สร้างวัดอินทราสุการาม (วัดหนองยาว)

    ภายหลังกลับจากเดินธุดงค์ปลีกวิเวกแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2513 กลุ่มคณะศรัทธาญาติโยมชาวบ้านหนองยาง ได้มานิมนต์หลวงปู่เจียมให้ไปสร้างวัดในเขตพื้นที่บ้านหนองยาว ถ.โชคชัย-เดชอุดม ต.กระเทียม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ โดยตอนแรกตั้งเป็นเพียงสำนักสงฆ์ ด้วยการสร้างกุฏิเล็กๆ สำหรับการปฏิบัติธรรม หลวงปู่เจียมจึงได้มาอยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ต่อมาสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นวัดตามกฎหมายโดยสมบูรณ์ นามว่า “วัดอินทราสุการาม”

    ขณะเดียวกัน ท่านก็เพียรอุทิศตนเผยแผ่พระพุทธศาสนา คอยเทศน์อบรมบรรยายธรรมให้แก่คณะศรัทธาญาติโยมและชาวบ้าน หมั่นให้ทาน รักษาศีล และปฏิบัติธรรม


    ๏ การสร้างวัตถุมงคล

    ต่อมา หลวงปู่เจียมได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นครั้งแรก เป็น “ตะกรุดโทน” ลักษณะม้วนแผ่นทองสอดสายยางร้อยกับสายร่ม และผูกห้อยพระแก้วมรกตและเหรียญรูปเหมือน เป็นต้น

    ปรากฏว่าผู้ที่มีวัตถุมงคลหลวงปู่เจียมไว้ในครอบครอง มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์นานัปการ ทำให้มีฝูงชนแห่แหนไปร่วมทำบุญกันอย่างเนื่องแน่น โดยมีชาวบ้านบางส่วนนิยมนำยานพาหนะส่วนตัว ตลอดทั้งรถยนต์โดยสารในท้องถิ่นสุรินทร์ หรือต่างจังหวัด ผูกห้อยตะกรูดโทนของหลวงปู่เจียม เพื่อความเป็นสิริมงคล

    ขณะเดียวกัน ในแต่ละวันจะมีฝูงชนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลไปกราบขอให้หลวงปู่เจียม เสริมสิริมงคล ถอดถอนคุณไสย ด้วยการอาบน้ำมนต์

    นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ไปกราบนมัสการขอให้เขียนตะกรุดโทนแขวนคอ ลงเหล็กจารในแผ่นทองกับมือของท่าน เพื่อสวมใส่เป็นขวัญกำลังใจ ในการออกไปรับใช้ชาติในต่างแดน อาทิ เวียดนาม ลาว และเขมร จนได้รับการกล่าวขานเลื่องลือระบือไกล ด้วยพุทธคุณเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดภยันตราย

    พ.ศ.2515 หลวงปู่เจียมอนุญาตให้คณะศิษยานุศิษย์จัดสร้างวัตถุมงคลกริ่งรูปเหมือน รุ่น 1 จำนวน 7,000 องค์ เหรียญรูปเหมือน รุ่น 1 จำนวน 7,000 เหรียญ พร้อมตะกรุดแขวนคอชุดใหญ่ จำนวน 7,000 เส้น

    พ.ศ.2537 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมหลวงปู่เจียม ที่วัดอินทราสุการาม เป็นการส่วนพระองค์ เพื่อสนทนาธรรม ในโอกาสนี้ หลวงปู่เจียมได้ทูลเกล้าฯ ถวายวัตถุมงคลพระกริ่งรูปเหมือน รุ่นรับเสด็จ ตะกรุด เป็นที่ระลึกด้วย

    พ.ศ.2546 หลวงปู่เจียมอนุญาตให้จัดสร้างวัตถุมงคล รุ่นมูลนิธิอติสโย เป็นวัตถุมงคลหล่อโบราณรูปเหมือน (เททองในวัด)

    สรุปรวมวัตถุมงคล ทั้งวัดจัดสร้าง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนจัดสร้าง รวมทั้งสิ้นประมาณ 50 รุ่น ทั้งนี้ เพื่อรวบรวมปัจจัยนำไปสร้างถาวรวัตถุมากมายและจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติม


    ๏ สมณศักดิ์ที่ได้รับ

    พ.ศ.2527 หลวงปู่เจียมได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูอุดมวรเวท”


    ๏ พระนักพัฒนา

    นอกจากมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคม ท่านยังเป็นพระนักพัฒนา ได้ช่วยสร้างวัดที่อำเภอบัวเชด จ.สุรินทร์ 2 แห่ง สร้างสถานีอนามัยที่บ้านหนองยาว มอบครุภัณฑ์ให้โรงพยาบาลสุรินทร์ สร้างศาลาประชาคม 61 แห่ง รวมทั้งสาธารณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย


    ๏ การมรณภาพ

    ย่างเข้าสู่วัยชรา หลวงปู่เจียมเริ่มมีอาการเหน็ดเหนื่อย สายตาพร่ามัว ประสาทหูฟังไม่ค่อยชัด คณะศิษยานุศิษย์ได้นำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ ครั้นเมื่อออกจากโรงพยาบาล หลวงปู่เจียมก็ยังต้องรับกิจนิมนต์จากชาวบ้านญาติโยมที่เลื่อมใสศรัทธา เพื่อคอยปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขไม่เว้นแต่ละวัน บ้างต้องไปนั่งประพรมน้ำมนต์ เป่ากระหม่อมให้ลูกศิษย์ลูกหาสม่ำเสมอ

    กระทั่งเมื่อเวลา 16.59 นาฬิกา ของวันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2549 คณะศิษยานุศิษย์วัดอินทราสุการาม ได้ตีระฆังรัวกลองเป็นชุด เพื่อแจ้งเหตุว่า บัดนี้ชาวเมืองสุรินทร์ได้สูญเสียปูชนียสงฆ์รูปสำคัญ คือ หลวงปู่เจียมได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคไตวาย ภายในกุฏิวัดอินทราสุการาม หลังเข้ารับการรักษาตัวด้วยอาการอาพาธจากโรคไตมาเป็นเวลานาน ประกอบกับวัยที่ชราภาพมาก สิริอายุรวม 96 พรรษา 47 ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ชาวบ้าน และพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เคารพนับถือเป็นยิ่งนัก

    คณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์รวมไปถึงชาวบ้านได้นำร่างหลวงปู่บรรจุไว้ในโลงแก้ว ตั้งไว้ ณ ศาลาการเปรียญวัดอินทราสุการาม เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้รำลึกถึงคุณงามความดี สำหรับกำหนดการเบื้องต้น จะมีการบรรจุศพหลวงปู่เจียมที่วัดอินทราสุการาม เป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้บรรดาพุทธศาสนิกชนได้ร่วมบำเพ็ญกุศลโดยทั่วกัน



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    1. หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 1 คอลัมน์ มงคลข่าวสด
    วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5764
    2. หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก คอลัมน์ พระเครื่อง คม ชัด ลึก
    ฉบับวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2549

    เปิดเบาๆ ครับ 950.-...
    โปรโมชั่่นเหลือ 550.-


    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228

    รบกวนค่าจัดส่ง EMS 50 บาทด้วยครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05048.jpg
      DSC05048.jpg
      ขนาดไฟล์:
      518.9 KB
      เปิดดู:
      217
    • DSC05050.jpg
      DSC05050.jpg
      ขนาดไฟล์:
      525.3 KB
      เปิดดู:
      133
    • DSC05052.jpg
      DSC05052.jpg
      ขนาดไฟล์:
      473.2 KB
      เปิดดู:
      111
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2011
  11. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    หลวงปู่หุน วัดบางผึ้ง...เหรียญรุ่นมหาเศรษฐีเสริมบารมี...93 ปี
    เนื้อตะกั่ว มีจาร..


    ปิดรายการแล้วครับ หมดทุกเหรียญแล้ว...

    [​IMG]

    หลวงปู่หุนหรือพระครูศุภมงคล วัดบางผึ้ง ฉะเชิงเทรา....

    ท่านถือเป็นพระสุปฏิปันโนแห่งภาคตะวันออก

    หลวงปู่หุนอายุ 93 ปี ท่านบวชตั้งแต่เป็นเณร จนเมื่อครบบวชพระ ท่านก็ได้บวชพระและออกร่ำเรียนกับพระอาจารย์เก่ง ๆ ในสมัยนั้นมากมาย โดยเฉพาะหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา
    เมื่อครั้งเกิดสงครามยุคมหาเอเชีย (พ.ศ. 2483) จอมพล พิบูลย์สงครามได้ขอให้หลวงพ่อจาด ช่วยทำตะกรุดแจกทหาร จนเกิดประสบการณ์มีชื่อเสียงเรียงสนั่นในยุคนั้น ครั้นมีเครื่องบินของฝรั่งเศสมาทิ้งระเบิดใส่ทหาร หากแต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลย
    หลวงปู่หุนนี่่แหละที่ท่านเป็นผู้ม้วนตะกรุดและพันตะกรุดให้หลวงพ่อจาดในเวลานั้น และคอยรับใช้ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย
    จนกระทั่งหลวงพ่อจาดเมตตาในความขยันและความเป็นผู้อ่อนน้อมของท่าน จึงเมตตามาก รักเหมือนลูก สอนวิชาอาคมต่าง ๆ ให้จนหมดสิ้น สอนวิชาปลุกเสกพระ วิชาเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี
    โดยเฉพาะวิชาบังไพร หลวงพ่อจาดท่านเก่งมากหลายครั้งหลวงพ่อจาดท่านจะเรียกหลวงพ่อหุนให้มาร่วมปลุกเสกเหรียญและตะกรุดด้วยกันเพื่อต้องการทดสอบลูกศิษย์ จนหลวงพ่อจาดเอ่ยชมว่า

    "เอ็งนี่แน่ เสกได้เหมือนข้าไม่มีผิด ได้ดั่งใจข้าจริง ๆ "

    จากนั้นหลวงพ่อหุนท่านก็ได้ขอลาหลวงพ่อจาด ออกร่ำเรียนต่อไปอีกจนมาพบหลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว ชาวบ้านแถวนั้นรู้จักดี เพราะหลวงพ่อทองท่านเก่งมากในเรื่อวิปัสสนากรรมฐาน ช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เดือดร้อนล้มละลายเจ็บไข้หลวงพ่อทองท่านช่วยได้

    หลวงพ่อหุนท่านจึงฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์อยู่นานถึง 7 ปี เรียนวิชาท่านมาทั้งหมด หลวงพ่อทองท่านได้แนะนำหลวงพ่อหุนให้ไปหาหลวงปู่คำปั่น พระสายเขมรเพื่อร่ำเรียนวิชา ต่อ
    หลวงพ่อหุนท่านก็ออกธุดงไปจนได้พบและโดนหลวงปู่คำปั่นทดสอบวิชามากมาย

    มีคืนหนึ่ง หลวงปู่คำปั่น ได้เสกท่อนฟืนเผาผีเป็นตะขาบนับร้อยตัว ยั๊วเยี๊ยไปหมด หลวงปูหุนได้ร่างคาถาท่องมนต์และลูบตัวตะขาบ เท่านั้นตะขาบก็กลับไปเป็นท่อนฟืนดังเดิม ถัดจากตะขาบก็เสกก้อนถ่าน กลายเป็นผึ้งนับพันตัว หลวงปู่หุนท่า่นหยิบดิน 1 กำเสกคาถา1 อึดใจ แล้วลืมตาโปรยดินใส่ฝูงผึ้ง จากนั้นผึ้งก็กลายเป็นกองถ่านดังเดิม เมื่อทดสอบวิชาผ่าน หลวงปู่คำปั่นจึงสอนวิชาให้จนหมดสิ้น แล้วท่านจึงได้ลาหลวงปู่คำปั่นเพื่่อศึกษาต่อไป

    ปัจจุบันหลวงปู่หุนท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดบางผึ้ง ฉะเชิงเทรา จากวิชาที่ท่านร่ำเรียนมา ท่านคอยช่วยเหลือลูกศิษย์มากมาย ช่วยได้ทุกเรื่อง เศรษฐีแถวนั้นนับถือท่านมาก เพราะหลวงปู่ได้ช่วยไว้เยอะจากล้มละลายกลายเป็นอภิมหาเศรษฐี จากคนจนกลายเป็นคนรวย หลวงปู่นี่แหละเสกแผ่นทองเข้าตัว เสกตั๋วให้เป็นเงิน นับว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโนแห่งลุ่มน้ำบางปะกง


    แรงจริง ขลังจริง นักจับพลังต้องสดุ้งโหยง หลวงปู่เสกนานหลายปี กว่าจะออกให้บูชา หลวงปู่ท่านเชิญครูบาอาจารย์ทางจิตมาเสกทุกองค์เสกทุกวัน วันไหนไม่เสกท่านนอนไม่หลับ เสกจนเหรียญกระเด็นกระดอนออกจากพานเพราะพลังเติมเต็มยังไงก็ไม่เข้ารุ่งเช้าลูกศิษย์ต้องช่วยกันเก็บเหรียญใส่พานดังเดิมเพราะบารมี หลวงปู่หุนท่านช่วยลูกศิษย์มาหลายราย รวยเป็นเศรษฐีมากมาย มีอยู่รายหนึ่งเป็นเจ้าของสวนอาหารชื่อดังแถวปากน้ำเมื่อ 5 ปีก่อนกิจการล้มละลายเป็นหนี้หลายล้านมาขอให้หลวงปู่ช่วย ท่านก็ช่วยจนดี่ยวนี้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็น 10 ล้านแถมยังเปิดสวนอาหารอีกหลายสาขา หลวงยังเมตตาช่วยลูกสาวคนเล็กของเถ้าแก่คนนี้ให้รอดชีวิตได้จากเหตุการณ์ไฟใหม้ซาติก้าผับได้ คืนนั้นลูกสาวคนเล็กนัดเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่นั้นกำลังจะก้าวออกจากบ้าน หลวงปู่หุนท่านโทรมาบอกให้อยู่บ้านห้ามออกไปไหน เด้กคนนั้นก้เชื่อไม่ออกไป แค่ไม่กี่ชั้วโมง เพื่อนที่ไปตายกันเรียบ รุ่งเช้ารีบมากราบหลวงปู่หุนทันที บ้านนี้เขานับถือหลวงปู่เป็นชีวิตจิตใจห้ามอะไรฟังหมด


    เปิดเบาๆ รับปีใหม่ให้ทุกท่านเอาไปรวยครับ
    เบาๆ เหรียญละ 400 บาทครับ...



    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228

    รบกวนค่าจัดส่ง EMS 50 บาทด้วยครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04857.JPG
      DSC04857.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      333
    • DSC04858.JPG
      DSC04858.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      239
    • DSC04860.JPG
      DSC04860.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.1 MB
      เปิดดู:
      117
    • DSC05054.jpg
      DSC05054.jpg
      ขนาดไฟล์:
      807.2 KB
      เปิดดู:
      108
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2011
  12. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]
    สถานะ : พระโชว์ครับ...สวยงามมมาากกกกกกๆๆๆๆๆๆ​

    ขอบารมีสมเด็จโตให้ทุกท่านร่ำรวย
    เจริญสุขสดชื่น
    สมบูรณ์พูนผล
    ลาภผลพูนทวี
    ตลอดปี 2554 ครับ...
    สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05070.JPG
      DSC05070.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.6 MB
      เปิดดู:
      292
    • DSC05074.JPG
      DSC05074.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      135
    • DSC05077.JPG
      DSC05077.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      160
    • DSC05078.JPG
      DSC05078.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      223
    • DSC05079.JPG
      DSC05079.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      113
    • DSC05081.JPG
      DSC05081.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      187
    • DSC05082.JPG
      DSC05082.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      188
    • DSC05083.JPG
      DSC05083.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      143
    • DSC05084.JPG
      DSC05084.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      112
    • DSC05085.JPG
      DSC05085.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      277
  13. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    หลังปีใหม่ ชมรมคนรักเด็ก คงจะสนุกขึ้นมาทันตา..
    อิอิ จะเป็นอะไรนั้น จับตาดู อิอิ..
    วันนี้กลับก่อนนะครับ
    ไปส่งพัสดุให้คุณ pikarzo ครับ..
    สาธุ รวยๆๆๆๆ


    MERRY*•˚° ★。 ° ˛˚˛★* •。* •。★* •。★*˚
    ° 。* •。˛˚*° 。˚*•★*CHRISTMAS★ 。*˚° 。 ° ˛˚*° 。˚*• °
    ° 。 ° ˛˚˛ * _Π_____*。*˚° 。 ° ˛˚*˚° • 。 ° ˛˚*˚° • 。 ° ˛˚
    ˚ ˛ ˛•˚ */______/~\。˚ ˚ ° 。• ° ˛˚˚° 。 ° ˛˚˛˚˚° 。 ° ˛˚˛
    ˚ ˛˛ ˚ *|田田|門| ˚˚˚° 。 ° ˛˚˛˚*And a Happy New Y...ear!!2011...for you
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2010
  14. mrdon

    mrdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +2,499
    มีทั้งหมด 16 เหรียญ โดยมีหมายเลขต่อไปนี้ (ขออภัยไม่ได้เรียงหมายเลข)

    313, 387, 388, 355 , 386, 359, <!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND></FIELDSET>
    [​IMG]
    สวัสดีครับคุณจิตตานุปัสสนาผมขอจอง6เหรียญครับ หมายเลขตามข้างบน ขอโอน1-2วันนะครับขอบคุณครับ:cool:
     
  15. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    เปิดเบาๆ รับปีใหม่ให้ทุกท่านเอาไปรวยครับ
    เบาๆ เหรียญละ 400 บาทครับ...

    พิเศษ ใครเอา 6 เหรียญ จาก 2,400 ผมให้สุดๆๆๆ 2,000 เลยครับ เอาไปรวยรับปีใหม่

    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228

    รบกวนค่าจัดส่ง EMS 50 บาทด้วยครับ..

    มีทั้งหมด 16 เหรียญ โดยมีหมายเลขต่อไปนี้ (ขออภัยไม่ได้เรียงหมายเลข)

    313, 317, 376, 387, 370, 385, 301, 388, 392, 355, 330, 342, 312, 386, 359, 388


    รับทราบครับ สาธุครับ
    ได้ของดีรับปีใหม่
    ตอนนี้เหลือ 10 เหรียญ

    หมายเลขที่เหลือ

    1.317
    2.312
    3.330
    4.301
    5.370
    6.342
    7.350
    8.385
    9.376
    10.392
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2011
  16. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ส่งของเ้ช้าไม่ทัน ส่งให้ตอนเย็นนะครับ
    จะทันก่อนปีใหม่มั้ยน้อ..
    แต่มีของแถมดีๆ ให้ไปแน่นอน อิอิ...
     
  17. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    กลับบ้านก่อนนะครับ..
    เจอกันใหม่ พรุ่งนี้
    ชิลด์ๆๆๆๆ ปีใหม่ครับ
    สาธุ​
     
  18. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ส่งพระให้คุณ วาตานาเบ้ แล้วครับ... EH 7271 5367 5 TH รวยๆๆๆ ครับ..

     
  19. ไชยพันธุ์

    ไชยพันธุ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +782
    เมื่อวานได้รับแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
     
  20. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    สุขสันต์วันปีใหม่
    เจอกันใหม่วันที่ 4 ม.ค. 2554 นะครับ
    รวยๆๆๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...