ใครศรัทธา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มาพูดคุยกันครับ

องค์นี้ไม่ได้เช่าหรอกครับ ท่านอาจารย์หย่วนเจ้าอาวาสเมตตาให้มา วันนั้นไปกัน 3 คนเข้าไปกราบท่าน 2 คนเลยได้มากันคนละองค์ หลังจากนั้นผมเข้าไปที่วัดช้างไห้อีกถามลุงตามที่เล่านั่นแหละครับ ในวัดช้างไห้ผมเห็นมีที่ให้เช่าวัตถุมงคลอยู่ 2 จุด คือมูลนิธิฯ เป็นตึกใหญ่ข้างห้องน้ำ กับทางด้านซ้ายของตึกมูลนิธิครับ

ผมเข้าไปวัดทรายขาว 2 - 3 ครั้งๆสุดท้ายปี 51 ไม่เห็นมีวัตถุมงคลให้บูชาเผอิญไม่ได้สอบถามพระในวัดด้วยครับ สภาพโดยรวมของวัดทรายขาวช่วงนั้นเงียบมากๆ ครับ

 

คุณ tong5959

ขอความกรุณา PM แจ้งที่อยู่ ขอรับ

 

สวัสดีครับคุณนวลพรรณ ผมเพิ่งเริ่มศึกษาหลวงพ่อท่านครับ
เพื่อนว่า ขับรถใจร้อนอย่างนี้ให้หาหลวงพ่อท่านมาบูชา
ยินดีที่ได้รู้จักครับ

 

สวัสดีครับคุณล้างใจ....(^_^)..วันนี้มา new version นะครับ อิอิ
หากชอบแนวแอบถ่ายประมาณนี้..ผมยกรูปนี้ให้คุณล้างใจนะคร้บ ฮ่าๆ (^_^)

 

เนื้อพระสวยมากครับ....

 

ทัพหนุนเตรียมพร้อมอยู่ข้างหลังเพียบบบบบบบบบบ

 

อยากนิมนต์ทัพหลัง..มาเสริมทัพของผมบ้างจังครับคุณcharoen.. อิอิ

 

หูยย ถูกใจมากครับชอบๆอวบๆ

เขาเรียกว่าใช้กล้องให้เปนประโยชน์ครับ ^^

 

อีกองค์หนึ่งขอรับกะผม ที่ห้อยอยู่ประจำ ส่วนองค์เนื้อเมฆพัตผมไม่ทราบว่าเป็นของวัดไหน ออกปีอะไร ใครทราบช่วยบอกด้วยขอรับ

 

ใกล้หมดแล้ว.ๆ..^^:'(

 

องค์แรกสวย..องค์ที่สองไม่รู้..แต่ก็สวย...พิมพ์เหมือนปี05เลย..

 

ตรงทรายขาว เป็นทางขึ้นวัดทั้งสองทางจากเส้นโคกโพธิ์และเส้นนาประดู่ เป็นจุดเสี่ยงเหมือนกันครับ คนเลยไม่ค่อยขึ้นไปกันเท่าไหร่ครับ

 

องค์ที่3 ดูจากนิ้วมือก็ดูดีนะ ถ้าหลังมีเสาอากาศ แล้วก็ไม้โท..ตรงคำว่า"ช้าง"หางยาวๆ ตรงๆปลายหางไม้โทไม่ม้วนขึ้น 300บาทน่าเสี่ยงนะ องค์เป็นแสน..แต่ก็นะ ของดังไม่มีถูก

แต่ได้ฟรีไม่แน่ อาจได้ของดีและดัง....

 

เหรียญนี้ผมว่าจัดรูปแบบสวย คล้ายๆเคยผ่านตาว่าของวัดบรรลือคชาวาส แต่ไม่แน่ใจ

 

โมทนาสาธุครับ

นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

กราบ กราบ กราบ
กราบ กราบ

 

สวัสดียามเย็นค่ะ ทุกท่าน ไปเจอเรื่องมงคลมาฝากค่ะ


เรื่องเล่าเรื่องฝากจากชายแดนใต้

​

เมื่อต้นเดือน ธันวาคม ๒๕๕๒ ผมได้รับการติดต่อประสานงานให้สนับสนุนการจัดทำสูจิบัตรการประกวดมหกรรมพระเครื่องซึ่งจัดโดย นนร.จปร.๓๒ ดังนั้นจากการลงมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ผมจึงนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในจังหวัดปัตตานีผ่านบทเขียน “เรื่องเล่าเรื่องฝาก จากชายแดนใต้” ลงในสูจิบัตรดังกล่าวด้วยในโอกาสนี้ ผมจึงใคร่ขอนำมาฝากท่านผู้อ่านผ่านเว็บไซด์ ของ นพค.๔๔ ดังนี้ครับ

“เรื่องเล่าเรื่องฝาก จากชายแดนใต้”​

วันหนึ่งผมได้รับภาพอันทรงคุณค่าจากน้องในพื้นที่พร้อมกับเสียงบอกกล่าวว่า...”ขออัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์องค์พ่อหลวงทรงเจิมฉัตรทองคำยอดเจดีย์วัดช้างไห้...เมื่อปี พ.ศ. 2520 มาฝากเพื่อให้พระบารมีขององค์หลวงปู่ทวดและองค์พ่อหลวงได้ปกป้องคุ้มภัยในภารกิจชายแดนใต้” ซึ่งตัวกระผมเองไม่เคยทราบประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่านี้มาก่อนเลย จึงได้สืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักราชเลขาธิการ (www.ohmpps.go.th) ทำให้ได้รับทราบว่า
“ในวันจันทร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๐ เวลา ๑๔.๑๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา จากพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ไปทรงประกอบพิธียกฉัตรทองเจดีย์ ณ วัดช้างไห้ราษฎร์บูรณาราม ตำบลป่าไร่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดปัตตานี ครั้นเสด็จพระราชดำเนินถึงวัดช้างไห้ราษฎร์บูรณารามแล้ว เสด็จเข้าอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาประธาน ต่อจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังวิหารหลวงพ่อทวด ทรงจุดธูปเทียนนมัสการรูปเหมือนหลวงพ่อทวด เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังวิหารพระพุทธไสยาสน์พวงชมพูซึ่งเป็นมณฑลพิธีสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนนมัสการบูชาพระรัตนตรัยและประทับศีล จบแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กราบบังคมทูลถวายรายงานการสร้างเจดีย์ ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากพุทธบริษัทที่มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนา และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงยกฉัตรทอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ไปยังที่ประดิษฐานฉัตรทอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม ทรงปิดทอง และทรงผูกผ้าสีชมพูที่ฉัตรทอง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ทรงปิดทองฉัตรทอง พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา แล้วทรงถือสายสูตรยกฉัตรทองขึ้นประดิษฐานยังยอดเจดีย์เสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา ถวายอดิเรก ต่อจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินออกจากวิหาร ทรงเยี่ยมราษฎรและลูกเสือชาวบ้านที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่อย่างล้นหลามภายในบริเวณวัด ทรงพระราชปฎิสันถารอย่างใกล้ชิดกับราษฎรเหล่านั้น ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หน่วยแพทย์หลวงเดินทางล่วงหน้ามาตั้งหน่วยทำการตรวจรักษาและแจกจ่ายยาแก่ราษฎร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้แพทย์ที่โดยเสด็จพระราชดำเนิน ทำการรักษาผู้เจ็บป่วย และทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ สมควรแก่เวลาจึงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับ ถึงพระตำหนัก ทักษิณราชนิเวศน์ เมื่อเวลา ๑๙.๑๐ น.”​

นี่เป็นภาพและเรื่องราวประวัติศาสตร์จากชายแดนใต้ที่ผมอยากถ่ายทอดให้ทุกท่านรับทราบ ซึ่งตัวผมเองเมื่อมีภารกิจในพื้นที่ ก็จะหาโอกาสไปนมัสการหลวงปู่ทวดและชื่นชมความงดงามของฉัตรทองคำยอดเจดีย์อยู่บ่อยครั้ง ครั้งล่าสุดได้นมัสการตั้งจิตอธิษฐานและเสี่ยงเซียมซีในวิหารหลวงปู่ทวด ได้หมายเลข ๒๕ ตามเลขรุ่น มีความว่า “ ใบที่ยี่สิบห้านี้แจ้งแถลงสาร โชคของท่านเปรียบดังสร้างสะพาน.....แรกลงรากต้องเหนื่อยเมื่อยเต็มที่ พอลุล่วงสำเร็จสิ้นดี สะพานจะช่วยให้หทัยสบาย........... (ยังมีต่อครับ)” ส่วนที่เหลืออยากเชิญชวนทุกท่านได้แวะเวียนมาอ่านต่อที่วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี ได้มาชื่นชมความงดงามของฉัตรทองคำยอดเจดีย์ และขอพรหลวงปู่ทวดอันเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวสืบไป

พันเอก เดชา พันธมิตร
ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๔๔​

ที่มา....จากhttp://www.mdu44.com/mdu/index.php?option=com_content&task=view&id=10&Itemid=3​

 

สถานที่สำคัญ
พระธาตุเจดีย์วัดช้างให้
รูปแบบเป็นเจดีย์ ๕ ยอด โดยมีองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นห้องโถง มีระเบียงเป็นวิหารคตรอบองค์พระเจดีย์ ฉัตรทองคำหนัก ๑๐๐ บาท เป็นฉัตร ๗ ชั้น ประดับทับทิมประดิษฐานอยู่บนยอดเจดีย์ ภายในองค์พระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ความสูง ๕๙.๐๙ เมตร
วางศิลาฤกษ์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๙
พิธียกฉัตรทองคำยอดเจดีย์ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๐
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในองค์พระเจดีย์ วันจันทร์ ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๐
พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันพุธที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๑

 

ขอบพระคุณ คุณnuanpan มากขอรับกะผมที่นำเรื่องอันเป็นมงคลมาฝากครับ

 

เรื่องความเป็นมาของฉัตรทองคำ
สำเภาทองและสำเภาเงิน

​

ความตั้งใจเดิมของท่านอาจารย์ทิม เจ้าอาวาสวัดช้างให้จากทองคำที่มีผู้บริจาคมากน้อยแค่ไหน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดจะขอดูด้วย เป็นแต่ท่านอาจารย์ทิมพูดให้ฟังว่ามีทองคำที่มีผู้บริจาครวมไว้สร้างสำเภาทองคำ สำเภาเงินและฉัตรทองคำ เพื่อนำไปประดิษฐานไว้บนยอด พระเจดีย์ ส่วนสำเภาเงิน สำเภาทองจะสร้างไว้ลอยในขันน้ำมันคู่ใหญ่ของวัดช้างให้ เผอิญท่านมรณภาพก่อนที่จะได้สร้างสิ่งที่ท่านตั้งใจไว้ ต่อมาคณะกรรมการได้จัดสร้างฉัตรทองคำตามประโยชน์ของท่านอาจารย์ทิม ก่อนสร้างดิฉันได้ไปเขียนสั่งที่วัดไว้ว่า ดิฉันจะบริจาคทับทิมเม็ดใหญ่ น้ำหนัก ๗๑ การัตครึ่งเพื่อประทับไว้บนยอดสูงสุดของฉัตร ชั้นที่ ๙ แต่ทางคณะกรรมการมิได้บอกให้ช่างทำฉัตรทราบ คงไม่ได้เปิดสมุดบันทึกการบริจาคทับทิมของดิฉัน ซึ่งจดไว้ที่กุฏิท่านอาจารย์ทิม ดิฉันมาทราบก็ต่อเมื่อช่างได้ทำฉัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ต่อว่าคณะกรรมการ ตอนที่จะสร้างทำไมไม่บอกให้รู้ หนังสือเขียนเรื่องการบริจาคทับทิมก็เขียนไว้ให้อยู่ คณะกรรมการบอกว่าเมื่อสร้างแล้วคุณประภาศรีมีปัญญาจะนำทับทิมที่บริจาคไปประดับไว้ที่ส่วนไหนของฉัตรก็สุดแต่จะทำเถอะ ดิฉันจึงรีบไปที่ร้านทองซึ่งรับทำฉัตรนี้ บอกช่างถึงเจตนารมณ์ของดิฉัน เพราะตั้งใจจะทำบุญด้วยทับทิมเม็ดนี้ให้ได้ ร้านทองลิ่มเซี้ยบอกว่านำทับทิมมาเถอะจะติดให้ ดิฉันก็เอาเงินไปซื้อทองคำหนัก ๔ บาท๕๐ สตางค์ ให้นายมีเคี่ยม ผู้เจริญทรัพย์ร้องทองในตลาดทำให้และให้ นายจิราพันธุ์ เป็นผู้เขียนแบบโดยเอาทับทิมเม็ดใหญ่ ๗๑ การัตครึ่งติดไว้ตรงกลาง ส่วนเม็ดเล็กๆ วางรายรอบทับทิมเม็ดใหญ่อีกทีหนึ่ง รวมทับทิมที่ใช้ประดับแล้วมีน้ำหนัก ๑๐๗ การัตครึ่ง ระหว่างที่ทำยังไม่ไม่แล้วเสร็จ ดิฉันไปทรงหลวงปู่ทวดและบอกท่านว่าจะนำแผ่นทองคำประดับทับทิมไปประดับบนฉัตรทองคำชั้นที่เก้าถวายให้หลวงปู่ทวด เพราะตั้งใจจะให้ได้อยู่บนชั้นยอดสุด หลวงปู่ท่านบอกว่าบุญของลูกยังไม่ถึงชั้นเก้าได้เพียงชั้นเจ็ดเท่านั้น พอช่างทำเสร็จดิฉันก็รับเอาไป ตั้งใจจะไปติดชั้นเก้าให้ได้ พอนำไปทาบที่ชั้นเก้าติดไม่ได้อย่างที่หลวงปู่บอกไว้ว่าบุญมีได้เพียงชั้นเจ็ดเท่านั้น พอนำไปทาบชั้นเจ็ดติดได้พอดีเพราะแผ่นทองที่ทำมาใหญ่มากจนติดชั้นที่เก้าไม่ได้ สกรูขันติดลงมาจากชั้นที่เก้าลงมาที่ชั้นเจ็ดพอดี ขันสกรูได้สี่ตัวตรงดังที่หลวงปู่บอกไว้ บุญยังไม่ถึงชั้นเก้าต้องเพียรทำต่อไป เมื่อทำไปติดกับฉัตรทองคำได้สำเร็จดิฉันก็พอใจแล้ว เพราะตั้งใจจริงๆ และมีผู้ร่วมบุญหลายราย อนึ่ง คุณประภาศรี ตุลารักษ์ ได้ซื้อทับทิมเม็ดเล็กๆ เพิ่มอีก ๙๕ เม็ด หนัก ๑๘ การัต


ผู้เขียนคือ น.ส.ประภาศรี ตุลารักษ์ ไม่ระบุปี พ.ศ.ที่พิมพ์
จากหนังสือประวัติวัดช้างให้ปัตตานี

 

สำเภาทองและสำเภาเงิน

เรื่องของการสร้างสำเภาเงิน ดิฉันก็เอาขันเงินถาดเงินที่ซื้อมาจากเชียงใหม่เอาไปละลายทำสำเภาเงิน เสียค่าจ้างไป ๓,๐๐๐ บาท ทำเสร็จก็ไปบอกพระที่วัดโดยมีท่านเจ้าคุณวัดนาประดู่จัดดูแลบอกท่านว่าทำสำเภาเงินเสร็จ และวท่านก็บอกว่าให้เก็บไว้ที่บ้านรอสำเภาทองก่อน ดิฉันก็ว่าทองแพงเหลือเกิน น้ำหนักทองหนึ่งบาทต่อ ๖-๗ พันบาท ในคณะนั้นไม่ลดเลย คงไม่มีปัญญาสร้างได้หรอก ถ้าทองถูกมากๆ ดิฉันคนค้าคนขายมีเงินก็จะสร้างสำเภาทองให้เอง สำเภาเงินสร้างแล้วเสร็จเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี จึงจัดหาซื้อทองคำได้ในราคาบาทละ ๔,๓๐๐ บาท เพื่อนำมาสร้างเป็นทองคำถวาย หลวงปู่ทวดและอาจารย์ทิมได้ เป็นบุญของอาจารย์ทิมด้วยที่ทองในตลาดโลกลดราคา ดิฉันจึงได้รวบรวมเงินที่เก็บไว้นำไปซื้อทองคำซึ่งมีน้ำหนัก ๒๕ บาทมาสร้างถวายหลวงปู่ทวดได้สำเร็จเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๗ นี้เอง โดยมอบให้ท่านผู้ว่าวิโรจน์ ราชรักษ์ เป็นกรรมการ คุณมุกดาวรรณ เป็นกรรมการ คุณอุบล ราชรักษ์ เป็นกรรมการ ส่วนน.ส.ประภาศรี ตุลารักษ์ เจ้าของทองคำเป็นผู้ว่าจ้าง นายมีเคี่ยมผู้เจริญทรัพย์ ผู้รับจ้างสำเภาทองคำ เพื่อจะนำไปถวายหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ และท่านอาจารย์ทิมผู้ที่ตั้งใจจะสร้างแต่มามรณภาพเสียก่อนและทองคำของวัดก็หมดแล้วสร้างได้เพียงฉัตรเท่านั้นก็หมดเนื้อทอง...