แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. Dhanainan

    Dhanainan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,174
    ส่วนผม กี่ครั้งก็รู้สึกเบาและโล่งเหมือนมีพลังครับ คล้ายตอนนั่งสมาธิครับ ไม่รู้สึกตัว คล้ายหลับไป จนหลวงพ่อบอก "เอ้าโชคดี" จึงรู้สึกตัว แต่ชอบแบบนี้ครับ เพราะรู้สึกโล่งมาก
    ฝากล๊อกเกต ที่ด้านหลังมีเกศาหลวงพ่อ ที่เปิดบูชาที่ตู้ด้วยนะครับ ของดีที่อยากแนะนำ
     
  2. มะบอม

    มะบอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,255
    ค่าพลัง:
    +5,352
    สาธุ ครับ เรื่องนี้ยังจำได้ดี ขอบคุณมากครับ
     
  3. ภูวดิท

    ภูวดิท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,050
    ค่าพลัง:
    +8,086
    สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะครับ ขอให้มีความสุขมากๆๆๆครับ
     
  4. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    เผยแพร่พระดีศรีสุโขทัยครับ

    [​IMG]



    อัตชีวประวัติพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฤิทธิ์ เทวะ

    ก่อนอื่นกระผมต้องขอออกตัวเสียก่อนว่าเกล้าฯกระผมเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นที่มีความเคารพ รัก ศรัทธาจนเป็นยิ่งกว่าศรัทธา ซึ่งเรียกว่า “อจละศรัทธา “ในครูบาอาจารย์ ตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ หลวงพ่อห้อม
    อมโร หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว และครูบาอาจารย์ในสายนี้ทุกๆพระองค์
    ประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ มิได้เคยถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมาก่อนนี้เลย นับว่าเป็นครั้งแรกที่จะนำมาเปิดเผย ตามคำเรียกร้องของหลายๆท่านซึ่งอยากทราบประวัติอาจารย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม อมโร และหลวงพ่อซวง อภโย
    ประวัตินี้คงหาความสมบูรณ์มิได้เลย คงต้องมีผู้ที่รับรู้เรื่องราวต่างๆได้โปรดเติมเต็ม เกล้าฯกระผมเป็นเพียงผู้เล่าเพียงเศษเสี้ยว จากความทรงจำที่ได้รับทราบเรื่องราวจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์เท่านั้นเอง และจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกิดทันในสมัยของท่านเท่านั้น หากมีส่วนใดขาดตกบกพร่อง ข้าพเจ้าขออภัยเป็นอย่างสูง..และพร้อมรับ การวิพากษ์-วิจารย์ แต่เพียงผู้เดียว เท่านั้น.
    การเล่าเรื่องคงค่อยๆเล่าไปทีละตอนๆ และก็จะมีปัญหาว่าเกล้าฯกระผม เล่าเรื่องราวในเรื่องที่บุคคลบางคนเชื่อและบางคนก็ไม่เชื่อ ผมเคารพการตัดสินใจ
    ของทุกๆท่าน เพราะเรื่องที่เล่ามาผมทราบจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม อย่างไรหรือจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเกียง วัดวังน้ำเย็น อย่างไร หรือจากปากของผู้ใหญ่อย่างไรผมจะเล่าไปแบบนั้น จะไม่ตกแต่งใดๆทั้งสิ้น เพราะเกรงเหลือเกินว่าสิ่งที่เล่าจะเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ ซึ่งทำให้บางคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาหรือบางท่านบางสายก็เพียง สุขวิปัสโก (ภาวนาอย่างมีความสุข แล้วก็หลุดพ้นเข้าสู่นิพพาน)แต่บางสายก็เป็นประเภทฤทธิ์อภิญญา เหมือนครั้งอดีตกาล ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสสรรเสริญว่าพระโมคคัลลา พระสาวกเบื้องซ้าย เป็นผู้เป็นเอตัคทัคคะ ทางฤทธิ์ มาก ซึ่งมีมาแต่ครั้งโบราณกาลมาแล้ว
    เรามาเริ่มกันเลยครับ.... พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม ท่านเล่าว่าหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ อดีตเจ้าอาวาสวัดฤทธิ์ศิริราษฎร์เจริญธรรม ท่านเป็นคนที่ตำบลบ้านสวน นี่เอง บ้านเกิดท่านอยู่แถวๆหมู่บ้านคลองตะเคียน ท่านได้บวชเป็นพระ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าท่านใดเป็นพระอุปัฌาย์หรือพระอนุเสาวนาจารย์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมื่อโตขึ้นมาก็มาอยู่ที่บ้านนายพลอย-นางตาล สุวรรณโรจน์(โยมลุง-ป้า หลวงพ่อ) ซึ่งบ้านติดกับวัดฤทธิ์ศิริราษฎรเจริญธรรมแล้ว ซึ่งขณะนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ทุกครั้งที่มีการจัดงานในวัดจะมีผู้คนเมื่อรู้ก็จะมาช่วยกันเป็นจำนวนมาก



    [​IMG]
    พร เดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าย้อนไปว่าสมัยนั้นเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม มีชื่อเสียงโด่งดังมาก หลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ พร้อมด้วยหลวงพ่อเจ๊ก วัดหัวฝาย หลวงพ่อแป๊ะ วัดคุ้งยางใหญ่ ที่ตำบล บ้านสวน ได้ตกลงเดินทางเพื่อไปเรียนวิชากับเจ้าประคุณสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต ที่วัดระฆังฯ การเดินทางไปครั้งนี้ท่านร่ำเรียนอยู่กับสมเด็จพุฒา จารย์โต ถึง 6 พรรษา เมื่อสำเร็จจึงเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดสุโขทัย ส่วนหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ ขอแยกเดินธุดงค์ไปกราบพระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี ณ ที่แห่งนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่าขณะที่ไปปักกรดอยู่ ณ ป่าใกล้กับพระพุทธบาท ปรากฏว่าในตอนเช้าขณะ หลวงพ่อฤทธิ์ กำลังจะออกไปบิณฑบาต ได้มีเสือโคร่งตัวใหญ่ มานอนอยู่บริเวณหน้ากรดของหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านไม่ได้ตกใจกลัวเลย ท่านบอกกับเสือตัวนั้นว่า เฝ้ากรดไว้ให้ดีอย่าไปไหน จนกระทั่งท่านไปบิณฑบาตกับมาแล้ว ปรากฏว่าเสือโคร่งตัวนั้นก็ยังคงนอนอยู่กับที่ ท่านจึงบอกว่าไปได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเขาเห็นเขาจะทำร้ายเอา เสือโคร่งตัวใหญ่จึงเดินหลีกหนีไป ท่านอยู่ที่นี่และกราบรอยพระพุทธบาท พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่า บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายผู้ชื่นชอบการธุดงค์ ส่วนมากจะไปที่นี่กันมากมายเพื่อกราบรอยพระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี (พระที่ไปที่นี่ต่อมาทราบภายหลังว่า หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก็มักพาลูกศิษย์คือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก หรือแม้แต่หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก) ก็มาที่นี่ ท่านไม่ได้เร่งรีบที่จะกลับไปบ้านที่สุโขทัยแต่ท่านเดินธุดงค์มาเรื่อยๆ สมัยนั้นเส้นทางเดินนี้เป็นป่ารกชัด มีทั้งสิงสาราสัตว์ดุร้าย มากมาย หลังจากกราบไหว้พระพุทธบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านก็เดินทางไปกราบหลวงพ่อ แสง วัดมณีชลขันธ์ ผู้เป็นพระอาจารย์สมเด็จเจ้าประคุณพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่จังหวัดลพบุรี
    [​IMG]
    ระหว่างทางเดินธุดงค์กลับเส้นทางลพบุรีเพื่อกลับมายังสุโขทัย ในป่าของเมืองลพบุรี หลวงพ่อฤทธิ์ ได้เล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว
    ว่า ณ ที่นี้ท่านได้มาพักปักกรดหน้าภูเขาแห่งหนึ่งและอยู่ที่บริเวณหน้าถ้ำ ท่านสังเกตุเห็นว่าจะมีคนนำห่อข้าวอะไรสักอย่างหนึ่งมาแขวนไว้ที่ต้นไม้ที่ ปากถ้ำ แล้วสักพักหนึ่งท่านก็เห็นมีคนลักษณะคล้ายชีเปลือยผม หนวดเครายาว ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด เดินลงมาเอาห่อข้าวนั้นไป ท่านสังเกตอยู่ 2-3 วัน ในวันที่ 3 ท่านตัดสินใจเดินขึ้นไปบนถ้ำนั้น และเมื่อไปถึงท่านก็กราบไปที่ชายคนนั้น ท่านนำผ้า
    อาบน้ำฝนและจีวร เข้าไปถวายให้ท่านบอกว่าท่านนี้เป็นพระอรหันต์ แล้วขออนุญาตโกนผม โกนหนวด และเมื่อครองผ้าเสร็จเรียบร้อย ท่านก็กราบขอเรียนวิชา
    กับพระอรหันต์พระองค์นี้ ท่านเล่าพระอรหันต์องค์นี้อยู่ในถ้ำจนสบง-จีวร ขาด เปื่อยไปหมด ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยปี ท่านไปบิณฑบาตนำอาหารมาถวาย หาน้ำมาถวายและท่านก็ได้เรียนวิชาจากพระอรหันต์ท่านนี้จนจบหมดทุกอย่าง ในวันสุดท้ายพระอรหันต์ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่านได้พาท่านเดินไปที่ๆ แห่งหนึ่งเมื่อเดินไปถึงก็เป็นเหวลึกมาก ท่านพระอาจารย์พระอรหันต์นั้นบอกให้หลวงพ่อฤทธิ์ กระโดดลงไปที่ก้นเหว ท่านเชื่อมั่นในตัวพระอาจารย์มาก เมื่อพระอาจารย์บอกให้กระโดดท่านก็กระโดดลงไปเลยกลับปรากฏว่า เหวเบื้องหน้าของท่านที่ลึกมาก กลับเหมือนตื้นมากกระโดดลงไปปุ๊บก็ถึงทันที แต่เมื่อมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสุดลูกตา
    พระอาจารย์ของท่านพาท่านไปชมทรัพย์สมบัติจำนวนมากมีทั้งเพชร-นิลจินดา ทองคำมากมายเป็นกองๆ พระอาจารย์ก็บอกว่าเอาไปสิ เอาไปได้ แต่หลวงพ่อฤทธิ์ ก็บอกพระอาจารย์ว่า ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับกระผม กระผมบวชเพื่อบรรลุความหลุดพ้นหาใช่เพื่อทรัพย์สินเหล่านี้ พระอาจารย์บอกท่านหลายครั้งแต่ท่านก็ไม่เอาทรัพย์เหล่านี้เลย พระอาจารย์จึงกล่าวชมและพาท่านไปเที่ยวสวรรค์
    นรก แล้วก็กลับมาที่ถ้ำแห่งนั้น วันรุ่งขึ้นท่านจึงกราบลาพระอาจารย์เพื่อเดินทางกลับมาที่ วัดฤทธิ์ ต.บ้านสวน จังหวัดสุโขทัย ระหว่างทางธุดงค์กลับผ่านป่าใหญ่
    ไม่มีบ้านเรือนของผู้คนเลย เป็นระยะเวลา 2 วันเต็มๆที่ท่านไม่ได้ฉันท์อาหารเลย ท่านบอกกับหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาวว่า คุณซวงเอ๋ย... ในช่วงนี้ไม่มีอะไรอร่อยไปมากกว่าเปลือกมะม่วงอีกแล้ว ท่านเล่าว่าเห็นทางล้อ-ทางเกวียน คงมีคนเข้าตัดไม้และปอกเปลือกมะม่วงทิ้งไว้ ท่านเก็บกินเปลือกมะม่วงที่ชาวบ้านทิ้งไว้กินอย่างเอร็ดอร่อย เพื่อปะทังความหิว
    หลังจากกลับมาอยู่ที่วัดชื่อเสียงของท่านก็ขจรขจายโด่งดังมาก เอาไว้เรามาเล่าต่อตอนต่อไปนะครับ.







    อัตชีวประวัติพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฤิทธิ์ เทวะ
    อัตชีวประวัติพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ ก่อนอื่นกระผมต้องขอออกตัวเสียก่อนว่าเกล้าฯกระผมเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้นที่มีความเคารพ รัก ศรัทธาจนเป็นยิ่งกว่าศรัทธา ซึ่งเรียกว่า “อจละศรัทธา “ในครูบาอาจารย์ ตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ หลวงพ่อห้อม อมโร หลวงพ่อซวง อภโย วัดชีปะขาว และครูบาอาจารย์ในสายนี้ทุกๆพระองค์ ประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ มิได้เคยถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมาก่อนนี้เลย นับว่าเป็นครั้งแรกที่จะนำมาเปิดเผย ามคำเรียกร้องของหลายๆท่านซึ่งอยากทราบประวัติอาจารย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม อมโร และหลวงพ่อซวง อภโย ประวัตินี้คงหาความสมบูรณ์มิได้เลย คงต้องมีผู้ที่รับรู้เรื่องราวต่างๆได้โปรดเติมเต็ม เกล้าฯกระผมเป็นเพียงผู้เล่าเพียงเศษเสี้ยว ความทรงจำที่ได้รับทราบเรื่องราวจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์เท่านั้นเอง
    และจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกิดทันในสมัยของท่านเท่านั้น หากมีส่วนใดขาดตกบกพร่อง ข้าพเจ้าขออภัยเป็นอย่างสูง..และพร้อมรับ การวิพากษ์-วิจารย์
    แต่เพียงผู้เดียว เท่านั้น. การเล่าเรื่องคงค่อยๆเล่าไปทีละตอนๆ และก็จะมีปัญหาว่าเกล้าฯกระผม เล่าเรื่องราวในเรื่องที่บุคคลบางคนเชื่อและบางคนก็ไม่เชื่อ ผมเคารพการตัดสินใจ

    ของทุกๆท่าน เพราะเรื่องที่เล่ามาผมทราบจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม อย่างไรหรือจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเกียง วัดวังน้ำเย็น อย่างไร หรือจากปากของผู้ใหญ่อย่างไรผมจะเล่าไปแบบนั้น จะไม่ตกแต่งใดๆทั้งสิ้น เพราะเกรงเหลือเกินว่าสิ่งที่เล่าจะเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ ซึ่งทำให้บางคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาหรือบางท่านบางสายก็เพียง สุขวิปัสโก(ภาวนาอย่างมีความสุข แล้วก็หลุดพ้นเข้าสู่นิพพาน)แต่บางสายก็เป็นประเภทฤทธิ์อภิญญา เหมือนครั้งอดีตกาล ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสสรรเสริญว่าพระโมคคัลลา พระสาวกเบื้องซ้าย เป็นผู้เป็นเอตัคทัคคะ ทางฤทธิ์ มาก ซึ่งมีมาแต่ครั้งโบราณกาลมาแล้ว เรามาเริ่มกันเลยครับ....
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม ท่านเล่าว่าหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ อดีตเจ้าอาวาสวัดฤทธิ์ศิริราษฎร์เจริญธรรม
    ท่านเป็นคนที่ตำบลบ้านสวน นี่เอง บ้านเกิดท่านอยู่แถวๆหมู่บ้านคลองตะเคียน ท่านได้บวชเป็นพระ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าท่านใดเป็นพระอุปัฌาย์หรือพระอนุเสาวนาจารย์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมื่อโตขึ้นมาก็มาอยู่ที่บ้านนายพลอย-นางตาล สุวรรณโรจน์(โยมลุง-ป้า หลวงพ่อ) ซึ่งบ้านติดกับวัดฤทธิ์ศิริราษฎรเจริญธรรมแล้ว ซึ่งขณะนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ทุกครั้งที่มีการจัดงานในวัดจะมีผู้คนเมื่อรู้ก็จะมาช่วยกันเป็นจำนวนมาก
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าย้อนไปว่าสมัยนั้นเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม มีชื่อเสียงโด่งดังมาก หลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ พร้อมด้วยหลวงพ่อเจ๊ก วัดหัวฝาย หลวงพ่อแป๊ะ วัดคุ้งยางใหญ่ ที่ตำบล บ้านสวน ได้ตกลงเดินทางเพื่อไปเรียนวิชากับเจ้าประคุณสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต ที่วัดระฆังฯ การเดินทางไปครั้งนี้ท่านร่ำเรียนอยู่กับสมเด็จพุฒา จารย์โต ถึง 6 พรรษา เมื่อสำเร็จจึงเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดสุโขทัย ส่วนหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ ขอแยกเดินธุดงค์ไปกราบพระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี ณ ที่แห่งนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่าขณะที่ไปปักกรดอยู่ ณ ป่าใกล้กับพระพุทธบาท ปรากฏว่าในตอนเช้าขณะ หลวงพ่อฤทธิ์ กำลังจะออกไปบิณฑบาต ได้มีเสือโคร่งตัวใหญ่ มานอนอยู่บริเวณหน้ากรดของหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านไม่ได้ตกใจกลัวเลย ท่านบอกกับเสือตัวนั้นว่า เฝ้ากรดไว้ให้ดีอย่าไปไหน จนกระทั่งท่านไปบิณฑบาตกับมาแล้ว ปรากฏว่าเสือโคร่งตัวนั้นก็ยังคงนอนอยู่กับที่ ท่านจึงบอกว่าไปได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเขาเห็นเขาจะทำร้ายเอา เสือโคร่งตัวใหญ่จึงเดินหลีกหนีไป ท่านอยู่ที่นี่และกราบรอยพระพุทธบาท พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่า บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายผู้ชื่นชอบการธุดงค์ ส่วนมากจะไปที่นี่กันมากมายเพื่อกราบรอยพระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี (พระที่ไปที่นี่ต่อมาทราบภายหลังว่า หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ็มักพาลูกศิษย์คือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก หรือแม้แต่หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก) ก็มาที่นี่ ท่านไม่ได้เร่งรีบที่จะกลับไปบ้านที่สุโขทัยแต่ท่านเดินธุดงค์มาเรื่อยๆ สมัยนั้นเส้นทางเดินนี้เป็นป่ารกชัด มีทั้งสิงสาราสัตว์ดุร้าย มากมาย หลังจากกราบไหว้พระพุทธบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านก็เดินทางไปกราบหลวงพ่อ แสง วัดมณีชลขันธ์ ผู้เป็นพระอาจารย์สมเด็จเจ้าประคุณพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่จังหวัดลพบุรี ระหว่างทางเดินธุดงค์กลับเส้นทางลพบุรีเพื่อกลับมายังสุโขทัย ในป่าของเมืองลพบุรี หลวงพ่อฤทธิ์ ได้เล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว ว่า ณ ี่นี้ท่านได้มาพักปักกรดหน้าภูเขาแห่งหนึ่งและอยู่ที่บริเวณหน้าถ้ำ ท่านสังเกตุเห็นว่าจะมีคนนำห่อข้าวอะไรสักอย่างหนึ่งมาแขวนไว้ที่ต้นไม้ที่ ปากถ้ำแล้วสักพักหนึ่งท่านก็เห็นมีคนลักษณะคล้ายชีเปลือยผม หนวดเครายาว ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด เดินลงมาเอาห่อข้าวนั้นไป ท่านสังเกตอยู่ 2-3 วัน ในวันที่ 3 ท่านตัดสินใจเดินขึ้นไปบนถ้ำนั้น และเมื่อไปถึงท่านก็กราบไปที่ชายคนนั้น ท่านนำผ้า อาบน้ำฝนและจีวร เข้าไปถวายให้ท่านบอกว่าท่านนี้เป็นพระอรหันต์ แล้วขออนุญาตโกนผม โกนหนวดและเมื่อครองผ้าเสร็จเรียบร้อย ท่านก็กราบขอเรียนวิชา กับพระอรหันต์พระองค์นี้ ท่านเล่าพระอรหันต์องค์นี้อยู่ในถ้ำจนสบง-จีวร ขาด เปื่อยไปหมด ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยปี ท่านไปบิณฑบาตนำอาหารมาถวาย หาน้ำมาถวายและท่านก็ได้เรียนวิชาจากพระอรหันต์ท่านนี้จนจบหมดทุกอย่าง ในวันสุดท้ายพระอรหันต์ผู้เป็นพระอาจารย์ของท่านได้พาท่านเดินไปที่ๆแห่ง หนึ่งเมื่อเดินไปถึงก็เป็นเหวลึกมาก ท่านพระอาจารย์พระอรหันต์นั้นบอกให้หลวงพ่อฤทธิ์
    กระโดดลงไปที่ก้นเหว านเชื่อมั่นในตัวพระอาจารย์มากเมื่อพระอาจารย์บอกให้กระโดดท่านก็กระโดดลงไป เลยกลับปรากฏว่าเหวเบื้องหน้าของท่านที่ลึกมาก

    กลับเหมือนตื้นมากกระโดดลงไปปุ๊บก็ถึงทันทีแต่เมื่อมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสุดลูกตา
    พระอาจารย์ของท่านพาท่านไปชมทรัพย์สมบัติจำนวนมากมีทั้งเพชร-นิลจินดา ทองคำมากมายเป็นกองๆ พระอาจารย์ก็บอกว่าเอาไปสิ เอาไปได้ แต่หลวงพ่อฤทธิ์ ก็บอกพระอาจารย์ว่า ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับกระผม กระผมบวชเพื่อบรรลุความหลุดพ้นหาใช่เพื่อทรัพย์สินเหล่านี้ พระอาจารย์บอกท่านหลายครั้งแต่ท่านก็ไม่เอาทรัพย์เหล่านี้เลย พระอาจารย์จึงกล่าวชมและพาท่านไปเที่ยวสวรรค์ นรก แล้วก็กลับมาที่ถ้ำแห่งนั้น วันรุ่งขึ้นท่านจึงกราบลาพระอาจารย์เพื่อเดินทางกลับมาที่ วัดฤทธิ์ ต.บ้านสวน จังหวัดสุโขทัย ระหว่างทางธุดงค์กลับผ่านป่าใหญ่
    ไม่มีบ้านเรือนของผู้คนเลย เป็นระยะเวลา 2 วันเต็มๆที่ท่านไม่ได้ฉันท์อาหารเลย ท่านบอกกับหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาวว่า คุณซวงเอ๋ย...ในช่วงนี้ไม่มีอะไรอร่อยไปมากกว่าเปลือกมะม่วงอีกแล้ว ท่านเล่าว่าเห็นทางล้อ-ทางเกวียน คงมีคนเข้าตัดไม้และปอกเปลือกมะม่วงทิ้งไว้ ท่านเก็บกินเปลือกมะม่วงที่ชาวบ้านทิ้งไว้กินอย่างเอร็ดอร่อย เพื่อปะทังความหิว หลังจากกลับมาอยู่ที่วัดชื่อเสียงของท่านก็ขจรขจายโด่งดังมาก เอาไว้เรามาเล่าต่อตอนต่อไปนะครับ
    เมื่อกลับมาอยู่ที่วัดฤทธิ์ท่านก็เริ่มทำการสร้างบูรณะวัดอย่างเป็นกำลังท่านตัดไม้ถางหญ้าเองมีชาวบ้านมาช่วยท่านสร้างกุฎิสงฆ์ จนแล้วเสร็จ

    หลังจากนั้นท่านก็ดำริที่จะสร้างศาลาการเปรียญ สมัยก่อนมีไม้จำนวนมากต้นใหญ่ๆมากมายตั้งแต่บ้านครุ หนองไผ่เตียบ และดงดีปลี ล้วนแต่เป็นป่ารกชัด รกชัดขนาดไหน พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่าตอนเป็นเด็กท่านต้องทำดินปืนไว้จุดให้เสียง ดังเพื่อไว้ไล่ช้างแถวบริเวณบ้านเหมืองใหญ่ซึ่งช้างชุกชุมมาก ถ้าไม่ตีปี๊บก็ต้องจุดปะทัดดินปืนไล่ช้างไม่อย่างนั้นช้างจะเข้าไปทำลายบ้าน เรือน ถนนสายเก้าหรือเส้นปัจจุบันถนนจรดวิถีถ่องบริเวณหนองคิง ก่อนถึงปั๊ม ป.ต.ท.บ้านสวน มีจระเข้มานอนข้างถนนมากมาย เมื่อคนเดินมามันก็วิ่งลงบึงหนองคิง ฉะนั้นเมื่อหลวงพ่อฤทธิ์จะสร้างศาลาการเปรียญก็ต้องส่งคนไปดูต้นไม้ใหญ่ๆก็ ได้ต้นไม้หลายต้น แต่มีต้นหนึ่งใหญ่มากเป็นต้นสำโรงอยู่ที่ดงดีปลี ชาวบ้านที่ไปตัดก็ตกลงว่าจะตัดก็ปรากฏว่าตัดไม่ได้มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ เป็นนางไม้ จึงหยุดตัดกลับมาหาหลวงพ่อฤทธิ์ที่วัดซึ่งหลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกว่าอย่าพึ่งตัด พรุ่งนี้ค่อยไปเดี๋ยวจะเป็นอันตรายเจ้าของเขาหวง(นางไม้เขาหวงเขาไม่ยอม) วันรุ่งขึ้นท่านจึงให้ชาวบ้านไปตัดโดยท่านบอกว่าให้เอาเลื่อยกับขวานไปพิง ไว้ที่โคนต้นสำโรง ให้สังเกตหากใบสำโรงไม่เหี่ยวเฉาก็อย่าตัด ผลปรากฏว่าใบสำโรงเหี่ยวเฉา ชาวบ้านจึงลงมือตัดแต่เมื่อตัดไปแล้วต้นไม้กลับไม่ล้มอีกจึงต้องมาบอกหลวง พ่อฤทธิ์ๆท่านจึงให้เอาน้ำมนต์ไปรดต้นไม้ก็ล้มลงทันที แต่เมื่อจะนำลากขึ้นล้อเกวียนก็ปรากฏว่าวัวกลับไม่เดินแม้มีคนลากก็ไม่ สามารถขับเคลื่อนได้ ทั้งเชือกและหนังวัวก็ขาดหมด จึงต้องกลับไปบอกหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านจึงบอกว่า”แหมมันมีฤทธิ์มากเหลือเกินนะ” ท่านจึงให้เอาขวานไปสับไว้ที่หัวไม้ก็ปรากฏว่าพอชักลากมาได ้แต่เมื่อมาถึงเหมืองใหญ่พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่าท่านเป็นหนุ่มมา ช่วยเขาตัดไม้ต้นนี้พอลากมาถึงเหมืองใหญ่กลับปรากฏว่า
    ล้อกับหยุดและไม่ว่าจะดึงลากเท่าไรก็ไม่ไปและส่ายไปมา เกือบโดนหัวหลวงพ่อห้อมท่านว่า” เกือบโดนคอกูหักเลย”ไม้มันส่ายไปมา เดือดร้อนต้องให้คนไปกราบเรียนหลวงพ่อฤทธิ์ที่วัด ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวเราจะไปรับมันเอง แล้วหลวงพ่อฤทธิ์ก็เดินทางไปรับไม้ต้นนี้ที่เหมืองใหญ่เมื่อไปถึงท่านจึงบอก นางไม้ว่าร่วมสร้างบุญกุศลด้วยกันนะเราจะนำไปสร้างศาลาการเปรียญ
    แล้วท่านก็ไปนั่งคร่อมไม้สำโรง ปรากฏว่าไม้สำโรงกลับวิ่งไปได้อย่างง่ายดายจนถึงวัด ชาวบ้านต่างทึ่งในอิทธิบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์เป็นอย่างมากเมื่อมาถึงท่านจึงเลื่อยไม้และทำศาลาการเปรียญวัดฤทธิ์ ท่านสร้างด้วยกรรมวิธีที่คนบ้านสวนไม่ได้ทำกันคือแทนที่ท่านจะขุดหลุมฝังเสาศาลาท่านกลับใช้หล่อปูนเป็นฐานทุกเสา
    แล้วเอาเสาไม้ไปตั้งบนปูนใช้วิธีการต่อเดือยไม้ทั้งหลังเข้ากันอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในตำบลบ้านสวน การก่อสร้างทำกันทั้งวัน-ทั้งคืน ท่านสั่งให้ชาวบ้านหุงข้าวเลี้ยงทั้งคนทั้งพระ ท่านบอกว่าถ้าไม่กินพระจะมีแรงได้อย่างไรก็ให้กินได้ เสียดายศาลาเก่าถูกรื้อไปทิ้งไป และสร้างใหม่(หากมีภาพผมจะนำมาให้ชมครับ)
    ระหว่างก่อสร้างศาลาการเปรียญท่านพระครูเผื่อน อุตโม อดีตเจ้าอาวาสวัดฤทธิ์ องค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านเป็นเด็กมาวิ่งเล่นเห็นเขาทำศาลาการเปรียญ กันก็ปรากฏว่ามีฝูงอีแร้งมาบินวนอยู่เหนือบริเวณวัดฤทธิ์ ชาวบ้านที่มาทำศาลาการเปรียญก็ดูกันส่งเสียงอื้ออึง หลวงพ่อฤทธิ์จึงบอกว่า”พวกมึงอยากดูมันใกล้ๆมั๊ย เดี่ยวจะเรียกมันให้ลงมา” มีบางคนก็บอกว่าอยากดูครับ ท่านจึงบอกว่าถ้าเราเรียกมันลงมามึงต้องไปอุ้มมันนะ ชายคนนั้นก็บอกว่าถ้าหลวงพ่อฤทธิ์เรียกมันลงมาได้ผมจะอุ้มมันเอง แล้วก็หัวเราะกันสนุกสนาน แล้วท่านก็เห็น พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ ยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอามือกวักไปที่ฝูงนกอีแร้ง ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์หรืออย่างไรไม่ทราบ นกอีแร้งฝูงนี้ค่อยๆบินลงมาที่หลวงพ่อฤทธิ์ยืนอยู่ทั้งฝูงส่งกลิ่นเหม็นสาบ เต็มไปหมดเพราะมันชอบกินหมาเน่า ผู้ชายที่บอกว่าจะอุ้มก็ไม่ได้อุ้มได้แต่หัวเราะกัน แล้วหลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกกับนกที่เป็นจ่าฝูงว่า ให้รอที่นี่นะแล้วท่านก็ขึ้นไปที่กุฎิท่าน ท่านลงมาพร้อมกับเศษจีวรท่านและมัดตะกรุดไว้ที่ขาของอีแร้งที่เป็นจ่าฝูง หลังจากนั้นจึงให้มันบินจากไปทั้งฝูง พระครูเผื่อนท่านเล่าต่อไปว่าหลังจากนั้นไม่มีใครยิงนกอีแร้งฝูงนี้ออกเลย สักคนเดียว ปืนด้านหมด เพราะคนทั่วไปเมื่อเห็นอีแร้งบินก็จะยิงเล่น มีคนไปพบอีกทีปรากฏว่านกอีแร้งจ่าฝูงนี้ไปแก่ตาย ที่หนองยายจีนห่างจากวัดฤทธิ์ไปสัก 6-7 กิโลเมตร คนที่ไปพบก็ได้ตะกรุดดอกนั้นไป
    หลังจากก่อสร้างศาลาการเปรียญเสร็จแล้วก็มีงานฉลอง ในงานมีการละเล่นจำนวนมากก่อนงานฉลองสัก 1 วัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ได้ทำกรงไม้ขนาดใหญ่แล้วให้คนเอาไปดักเสือโคร่งบริเวณบ้านหนองไผ่เตียบซึ่งเป็นป่าดงดิบ

    ต้นไม้เยอะมากใกล้กับดงดีปลีซึ่งไปตัดต้นสำโรงมา เมื่อเอากรงไปดักไว้ก็มีเสือมาติด ท่านเอามาให้เด็กดูผู้คนต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นเสือโคร่งจริงแม้แต่แม่ ของกระผม(ผู้เขียน)-น้าของผม ก็เห็น ตกลงมีงานฉลอง 3 วัน หลังจากครบ 3 วัน ท่านก็ให้เอาเสือโคร่งไปปล่อยที่หนองไผ่เตียบที่เดิม หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อมีฝนฟ้าคะนอง ลมพายุ ผู้คนก็จะวิ่งไปที่วัดเพื่อดูว่าศาลาการเปรียญของหลวงพ่อฤทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ บนเสาตอหม้อปูนเล็กๆจะพังหรือไม่แต่ก็แปลกครับผ่านไป 70 กว่าปี ก็ไม่พังแต่เมื่อชำรุดกรรมการวัดเลยรื้อสร้างใหม่เป็นศาลาการเปรียญหลัง ปัจจุบัน
    วัดฤทธิ์ก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมบวชเต็มไปด้วยผู้คนที่เคารพรักศรัทธาในตัวหลวงพ่อฤทธิ์ มาหาท่านจำนวนมาก

    ท่าน้ำบริเวณหน้าวัดคลาคล่ำไปด้วยเรือที่มาจอดบริเวณวัด มีเรือมอญขายสินค้าขนาดใหญ่จอดอยู่ มีคนจีนเริ่มมาปักหลักทำมาหากิน แขกประจำผู้หนึ่งซึ่งเมื่อว่างเว้นงานราชการท่านก็จะมาหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์เป็นประจำคือ ท่านเจ้าเมืองสุโขทัยสมัยนั้นคือพระยาวิเชียรปราการ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่าท่านมักชอบมาทางเรือเพราะสะดวกโดยนำเรือขึ้นไปทางบางคลอง แล้วเลี้ยวเข้าคลองต้นข้อก็จะผ่านไปทางตาลเตี้ยและถึงที่วัดฤทธิ์พอดี และท่านผู้ว่านี่เองที่นำมะม่วงน้ำดอกไม้รสชาติดี มาถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ทำให้เกิดสายพันธ์มะม่วงน้ำดอกไม้ที่ตำบลบ้านสวนหลายต้นต่อมา
    หลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม ท่านได้บวชและมาจำพรรษาที่วัดน้อยหรือวัดฤทธิ์แห่งนี้ ณ เวลานี้วัดคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มีทั้งแขกใกล้-แขกที่เดินทางไกลมาเยี่ยมหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เสมอ หนึ่งในนั้นคือพระเดชพระคุณหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ อำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว อีกรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้หลวงพ่อซวง เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ บรรยากาศของวัดฤทธิ์ขณะนั้นภายในวัดร่มรื่นมาก มีสะพานเดียวคือทางด้านทิศตะวันออกเป็นสะพานไม้ที่หลวงพ่อฤทธิ์ท่านสร้างขึ้น เมื่อเดินทางจากวัดคุ้งยางใหญ่มาเส้นทางบ้านเกาะและเลี้ยวซ้ายมีต้นไม้ร่มรื่นมีป่าไผ่แล้วก็ข้ามสะพานมีน้ำเต็มคลองทั้งสองฝั่ง เมื่อข้ามฝั่งแล้วก็จะพบศาลาการเปรียญทางด้านซ้ายมือ มีต้นมะม่วงลูกใหญ่ทางขวามือ และมีแนวต้นโพธิ์อยู่ริมฝั่งน้ำถึง 3 ต้น ใหญ่โตมากเมื่อลมพัดเสียงใบโพธิ์ก็อื้ออึง ฟังแล้วรู้สึกเย็นสบาย แล้วก็จะเห็นต้นพิกุลต้นใหญ่อยู่กลางสนามอย่างเด่นชัด เมื่อเลี้ยวซ้ายก็มีต้นมะพร้าวสูง มีบ่อน้ำ แล้วก็มีบันไดขึ้นไปบนหมู่กุฏิที่เรียงรายเป็นห้องๆ ห้องแรกเดิมพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์พักที่นี่และมีห้องถัดไปอีกหลายห้อง ตรงกลางหมู่กุฏิเป็นหอฉันท์ภัตราหาร พระทุกองค์มาฉันท์รวมที่นี่ ที่หอฉันท์มีสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งเป็นหอกลอง ใช้ตีกลองเพลมีบันไดขึ้นไป ทุกเวลา 11 นาฬิกา จะมีเสียงกลองดัง ผู้คนจะเริ่มนำกับข้าวมาถวายพระ ส่วนข้างกุฏิมีต้นมะม่วงอกร่องเรียงรายไปตลอดจนสุดทาง และกลางเด่นวัดมีต้นมะม่วงกะล่อน
    ซึ่งเมื่อเด็กๆผมก็เคยมาเก็บมะม่วงที่นี่เสมอ มีต้นมะขามใหญ่อยู่กลางเด่นวัดเยื้องไปทางทิศตะวันออก สุดหลังของกุฏิเป็นสระน้ำซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ท่านขุดไว้เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง

    ทุกครั้งฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วมวัดเสมอทำให้สระนี้มีน้ำ เต็มสระ และถัดไปคือโบสถ์ ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีต้นโพธิ์ใหญ่อีกต้นหนึ่ง และถัดไปทางทิศเหนือของต้นโพธิ์คือเมรุที่ใช้เผาศพหรือป่าช้านั่นเอง เมื่อผมเล่าบรรยากาศในวัด ณ ขณะนั้นวัดฤทธิ์นี้จึงรื่นรมย์มาก ฉะนั้นเมื่อแขกเดินทางไกลมาตกตอนเย็น พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมก็จะต้องเตรียมก่อไฟต้มน้ำชาเพื่อถวายแก่หลวงพ่อ ฤทธิ์และแขกผู้มาเยือน พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมรู้จักแขกของหลวงพ่อฤทธิ์เกือบทุกคนที่มา และที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมได้รู้เรื่องราวต่างๆมากมายก็จากวงสนทนาน้ำชา เพราะหลวงพ่อฤทธิ์ไม่ได้หวงหรือห้ามฟัง หรือแม้ไม่มีใครมาท่านก็ตั้งวงน้ำชาเป็นประจำเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆให้ลูก ศิษย์ฟังเป็นที่สนุกสนาน บางเรื่องบางคาถาก็สอนกัน ณที่แห่งนี้ หลวงพ่อฤทธิ์มีอีกสถานที่หนึ่งคือเครื่องสูบทอง ท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำเป็นทองได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ท่านก็มาเรียนวิธีทำพระเนื้อชินกับหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านเป็นพระสหธรรมมิกกับหลวงพ่อฤทธิ์รักใคร่ชอบพอกันมาก ท่านมาที่วัดบ่อยมากส่วนอาหารพิเศษที่เมื่อท่านมาที่วัดนี้ทั้งหลวงพ่อฤทธิ์ และหลวงพ่อแป้น ชอบมากคือแกงขี้เหล็ก
    แล้ววันหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ก็ส่งให้หลวงพ่อ ซวง วัดชีปะขาว มาเรียนวิชาคาถาเพิ่มเติมที่นี่จากหลวงพ่อฤทธิ์ วันที่ท่านมาถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมยังเป็นพระหนุ่มพรรษา 2 ส่วนหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว
    พรรษา 7 หลวงพ่อห้อมเรียกท่านว่าหลวงพี่ซวง ท่านเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มว่า “ หลวงพี่ซวง มาพร้อมกับน้องชายตัวเล็กๆ เมื่อมาถึงก็ไปกราบหลวงพ่อฤทธิ์ ที่ลานหน้ากุฏิ หลวงพ่อฤทธิ์ขณะนั้นเริ่มชราภาพแล้ว หลวงพ่อซวงเมื่อกราบเสร็จก็พูดว่า
    หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ท่านได้ให้กระผมมาเรียนคาถาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ หลวงพ่อฤทธิ์จึงถามว่า “ ทางใตไม่มีไม้ดีหรืออย่างไร จึงต้องขึ้นมาหาไม้ทางเหนือ “ หลวงพ่อซวงตอบว่า “ ไม่มีครับ “ หลวงพ่อฤทธิ์ก็ตอบว่า” มีซิไม้ทางใต้งามมากคือหลวงพ่อแป้นไง “ แล้วหลวงพ่อฤทธิ์ก็พูดว่า ผมไม่มีคาถาอะไรหรอก ผมเป็นพระแก่ๆองค์หนึ่ง แต่หลวงพ่อซวงก็มีเชาว์ปัญญามากท่านตอบว่าหลวงพ่อฤทธิ์ว่า ไหนๆ ผมมาแล้วก็ขอพักอาศัยอยู่กับหลวงพ่อด้วย ซึ่งหลวงพ่อฤทธิ์ก็ให้หลวงพ่อห้อมพาหลวงพ่อ ซวงไปหาห้องพักในกุฏิ อาบน้ำ เพราะเดินทางมาไกลจากสิงห์บุรี พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมกับหลวงพ่อซวง จึงสนิทสนมกันมาก หลังจากนั้นไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งก็มีพระอาคันตุกะจากแดนไกลก็มาหาหลวงพ่อฤทธิ์อีกหนึ่งองค์พระ เดชพระคุณหลวงพ่อห้อมบอกว่าน่าเสียดายจำชื่อท่านไม่ได้ ท่านมาจากกรุงเทพ เที่ยวเสาะหาหลวงพ่อฤทธิ์วัดน้อยมาตลอดทางเมื่อมาพบหลวงพ่อฤทธิ์จึงกราบบอก เจตนาว่า เกล้ากระผมสอบเปรียญแปดได้แล้ว แต่สอบเปรียญเก้าไม่ได้สักที มีท่านบอกว่าให้ไปหาหลวงพ่อฤทธิ์ วัดน้อย ตำบลบ้านสวน จังหวัดสุโขทัยให้ช่วยสอน กระผมจึงเดินทางมาที่นี่ หลวงพ่อฤทธิ์ จึงให้ไปอาบน้ำ หาที่พักก่อนตกเย็นวันนั้นในวงน้ำชานอกจากมีหลวงพ่อฤทธิ์ หลวงพ่อห้อม หลวงพ่อซวงแล้ว ก็มีพระองค์นี้มาร่วมวงสนทนากัน หลวงพ่อฤทธิ์ถามว่า ท่านจะให้แปลหนังสืออย่างไร พระองค์นั้นตอบว่าขอให้แปลโดยละเอียด หลวงพ่อฤทธิ์ จึงเริ่มต้นสอนที่ตัวอิ(ภาษาขอม) ว่าตัวอิ เป็นอย่างนี้ ผันได้เป็นอย่างนี้ แล้วก็เป็นอย่างนี้ก็ได้ ตกลงวันนั้นดึกแล้ว หลวงพ่อฤทธิ์จึงบอกว่า ให้แยกย้ายกันไปนอนพรุ่งนี้ค่อยมาต่อ หลังจากฉันท์เช้าแล้ว หลวงพ่อฤทธิ์ก็สอนต่ออีก ว่า อิ เป็นอย่างนี้ทำเป็นอย่างนี้ได้อีก ผันเป็นอย่างนี้ก็ได้ จนเพลก็ฉันท์เพล เมื่อเสร็จแล้ว ท่านก็ยังสอนเรื่อง อิ ตัวเดิมอีกจนมืดดึกก็ให้แยกไปนอน เป็นอย่างนี้วันที่ 3 พระองค์นี้จึงถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ว่า ตัว อิ ยังไม่จบอีกหรือครับ หลวงพ่อฤทธิ์ก็ตอบไปว่า” คุณอย่าว่าไปนะแค่ อิ ตัวเดียวก็นั่งบนเมฆได้แล้ว “ แล้วทั้งหมดในวงสนทนาก็หัวเราะกันสนุกสนาน พระองค์นั้นจึงบอกกับหลวงพ่อฤทธิ์ว่า หลวงพ่อครับ ผมไม่เอาแล้วเปรียญเก้า ผมขอเรียนวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงพ่อดีกว่า ตกลงพระองค์นั้นได้เรียนกรรมฐานเมื่อกลับไปกรุงเทพเก่งคาถาอาคมมาก แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมบอกว่าน่าเสียดายจำชื่อท่านไม่ได้
    นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อทิม ท่านเป็นคนอำเภอมหาราช จังหวัดอยุธยา ท่านก็มาพักจำพรรษา ด้วยความเคารพศรัทธาในพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ ท่านนี้มาอยู่จนกระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ มรณะภาพ ท่านจึงเดินทางกลับไปอยุธยา วันที่ท่านกลับไปอำเภอมหาราชก็มีครูลาภ อาจใหญ่ (อาท่านพระครูทองดี)ลาออกจากราชการ เดินทางตามไปด้วย ซึ่งต่อมาท่านบวชและมาจำวัดอยู่ที่
    วัดบางเพียร จังหวัดพิจิตร และมีชื่อเสียงโด่งดังมาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่า หลวงพ่อฤทธิ์นี้มีฤทธ์มากเหลือเกิน

    วันหนึ่งท่านต้องการจะล้อโยมเล่น ท่านจึงบอกว่าให้ไปที่ห้องท่านไปหยิบเงินให้หน่อยวางอยู่ที่หัวนอน โยมก็วิ่งขึ้นไปกุฏิเข้าไปในห้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์ เมื่อไปดูก็ไม่พบเงินเห็นแต่มีใบตองตัดพับไว้พับๆวางเรียงกัน โยมก็ลงมาบอกหลวงพ่อว่าไม่เห็นมีเงินเลยครับมีแต่ใบตองครับ หลวงพ่อฤทธิ์จึงขึ้นไปบนกุฏิพร้อมกับโยมท่านก็บอกว่ามึงตาเซ่อจัง แล้วท่านก็หัวเราะโยมท่านนั้นก็หัวเราะว่าหลวงพ่อแกล้งบังตาผม เรื่องนี้ก็เล่าต่อๆมาจนกระทั่งปัจจุบัน อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านสามารถย่นระยะทางได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าว่า มีวันหนึ่งท่านบอกกับพระกับโยมว่าท่านจะไปบางกอกแล้วท่านก็ไป พอถึงตอนเย็นท่านก็กลับมาพร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรังและบางคราวในวงของฉันท์ ข้าวเช้าก็ปรากฏว่ามีกับข้าวดีๆ มีผลไม้แปลกๆที่แถวบ้านสวนไม่มี ท่านว่าท่านไปบิณฑบาตที่บางกอก แล้วท่านก็สอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อซวง หลวงพ่อห้อม ว่าถ้าสามารถทำสมาธิจิตให้เป็นหนึ่งได้จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
    หลวงพ่อฤทธิ์ ใช้กระสุนคดปราบคนเมา ป้าแป้นโยมผู้ศรัทธาหลวงพ่อฤทธิ์เป็นอย่างมากท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยท่านเป็น เด็กมาวิ่งเล่นที่วัดงานประจำปีของวัดน้อย ขณะที่ผู้คนกำลังสนุกสนานก็มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อมี เมาเหล้าเดินเข้ามาในวัดส่งเสียงดัง โวยวาย หลวงพ่อฤทธิ์ จึงให้คนไปบอกว่าอย่าดัง แต่นายมีก็ไม่เชื่อกลับส่งเสียงดังมากขึ้น หลวงพ่อฤทธิ์จึงใช้กระสุนยิง ซึ่งปรากฏว่าไม่ว่านายมีจะไปหลบที่ไหนก็ได้ยินเสียงดังโอยๆ กระสุนไม่โดนใครเลยทั้งที่คนเต็มวัดถูกเฉพาะนายมีคนเดียวเท่านั้น จนนายมีนี้ต้องร้องบอก หลวงพ่อครับ ผมยอมแล้วครับ หลวงพ่อฤทธิ์ จึงหยุดยิง นอกจากนี้มีเด็กๆชอบไปกระโดดน้ำที่สะพานท่านกลัวว่าสะพานจะพังก็มีเด็กบางคน โดนเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครโกรธหลวงพ่อฤทธิ์เลยกลับ รักท่านมากขึ้น เรื่องนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเกียง วัดวังน้ำเย็นก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อ ซวง ได้วิชานี้มาเพราะเคยนั่งอยู่กับหลวงพ่อซวง สักพักหนึ่งหลวงพ่อซวงก็บอกว่า ไอ้พวกนี้มันไม่ค่อยฟังกูบอกว่าอย่าเล่นพนันในวัด แล้วท่านก็คว้าคันสุนยิงไปทันที สักพักหนึ่งก็ได้ยินที่ศาลางานศพแตกฮือปรากฏว่าพวกเล่นไฮโล แตกกระเจิง ทั้งที่กุฏิหลวงพ่ออยู่ห่างจากศาลางานศพและท่านก็มองไม่เห็นด้วย จากนั้นมาไม่มีใครกล้าเล่นเลย หลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ ท่านสามารถใช้คาถาแปลงกายได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมได้เล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านนั่งคุยอยู่ด้วยกันกับพระ
    ลูกวัดอยู่บริเวณริมฝั่งคลองข้างวัด แล้วท่านก็ชวนหลวงพ่อทิม อาบน้ำคลองด้วยกันซึ่งหลวงพ่อทิมก็ตกลง ลงไปอาบน้ำที่คลองข้างวัดนั่นเอง หลวงพ่อฤทธิ์จึงชวนหลวงพ่อทิมว่ายน้ำข้ามไปฝั่งบ้านเกาะซึ่งหลวงพ่อทิมก็ตกลง เมื่อว่ายไปถึงกลางคลองปรากฏว่าหลวงพ่อทิมกลับแสดงความตกใจกลัวรีบว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งทันที

    เมื่อกลับมาหลวงพ่อฤทธิ์จึงถามว่าทำไมไม่ว่ายน้ำไปให้ ถึง หลวงพ่อทิมบอกว่าระหว่างว่ายไปแทนที่จะเห็นหลวงพ่อฤทธิ์ว่ายไปด้วยกันกลับ เห็นเป็นจระเข้ตัวใหญ่ว่ายน้ำไปท่านจึงตกใจมาก ระหว่างหลวงพ่อทิมตกใจหลวงพ่อฤทธิ์กลับนั่งหัวเราะ มีครั้งหนึ่งระหว่างที่หลวงพ่อฤทธิ์อยู่ด้วยกันกับหลวงพ่อซวงพร้อมญาติโยม ที่ริมคลองข้างวัดบริเวณวังสำโรงใกล้ต้นมะขาม วังนี้ได้ขึ้นชื่อว่าวังน้ำวนสมัยก่อน น้ำจะไหลมาหมุนวนที่นี่น่ากลัวมาก จู่ๆหลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกว่าผมมีพระจะให้ใครกล้าบ้าง แล้วท่านก็โยนไปที่บริเวณที่วังสำโรงน้ำไหลวนอยู่ หลวงพ่อซวง ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า น่าอัศจรรย์ใจมาก เห็นพระลอยอยู่เหนือน้ำไม่จมไป กับสายน้ำแต่ยังลอยอยู่ซึ่งบริเวณนั้นเป็นวังสำโรง หลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกว่าใครอยากได้ก็ให้ไปเอาแต่ตรงนั้นเป็นวังสำโรงผู้คนต่าง กลัวไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เนื่องจากเป็นวังน้ำวนหมุน แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกล้ามากเขาบอกหลวงพ่อว่าเขาจะไปเอา แล้วเขาก็เดินลงไปที่ในน้ำ แต่สิ่งน่าอัศจรรย์ใจก็คือเขาเดินบนผิวน้ำได้อย่างสบายโดยที่เท้าไม่เปียก น้ำเลย แล้วก็หยิบเอาพระนั่นใส่กระเป๋าแล้วก็กลับมากราบที่เท้าหลวงพ่อฤทธิ์ หลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกคนอื่นๆว่า”กูบอกแล้วว่าใครกล้าก็ไปเอาแต่พวกมึงไม่กล้า เอง” ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อซวง ถึงเคารพรักพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่ง นอกจากหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ ของท่าน
    เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้แล้วก็อยากเล่าเรื่องพระเดชพระคุณหลวงพ่อแป้น แห่งวัดเสาธงใหม่ ซึ่งท่านก็ทรงอิทธิฤทธิ์ไม่แพ้กันเลย พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อม เล่าให้ฟังวันหนึ่งว่า ท่านเป็นพระสหธรรมิกหลวงพ่อฤทธิ์ที่รักและสนิทกันมาก หลวงพ่อแป้นเดินทางมาบ่อย ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแป้นเล่าให้ท่านและหลวงพ่อฤทธิ์ฟังว่า ในงานศพโยมแม่ของหลวงพ่อแป้น ระหว่างกำลังสาละวนกับการจัดงานศพอยู่
    โยมมาบอกว่ามีเณรมายืนเรียกอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามคลองของวัด ท่านจึงให้โยมพายเรือไปรับ โยมเมื่อไปรับเณรขณะที่เณรนั่งอยู่ในเรือก็ถามโยมที่พายเรือว่า “ ไอ้แป้น
    มันทำอะไรอยู่ “ ซึ่งโยมที่พายเรือก็เป็นผู้เคารพศรัทธาในหลวงพ่อแป้นจึงรู้สึกโมโหว่าเป็นแค่เณร

    ทำไมมาเรียกหลวงพ่อแป้นซึ่งขณะนั้นอายุก็เกิน 60 ปี แล้วว่าไอ้แป้น ระหว่างที่คิดโมโหอยู่กลับปรากฏว่าเมื่อถึงกลางคลองหันมาดูอีกทีเณรองค์นั้นกลับกลายเป็นพระหนุ่ม แกตกใจมากเอ๊ะเมื่อตะกี้รับขึ้นเรือมาเป็นเณร ทำไมเป็นพระหนุ่มเสียเล่า ระหว่างที่ยังคิดงงไปงงมาเรือถึงฝั่งวัดเสาธงใหม่ กลับกลาย
    ว่าเณรกลายเป็นพระแก่ไปแล้ว โยมคนนั้นตกใจมากแต่ก็นิมนต์ไปที่หน้าห้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อแป้น ระหว่างที่โยมกำลังไปหาน้ำ น้ำชามาถวายกลับมาอีกที
    ก็ปรากฏว่า เณรองค์นั้นกลับกลายเป็นพระแก่อายุเกือบร้อยปี นั่งหัวเข่าสูงกว่าหัวท่าน ไฝ ฝ้า ขี้แมลงวัน เต็มหน้าไปหมด แล้วท่านก็บอกว่า” มึงไปตามไอ้แป้นให้มาหากูหน่อย” โยมคนนั้นจึงไปตามหลวงพ่อแป้นที่ศาลาที่จัดงานศพ แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อแป้นฟัง หลวงพ่อแป้นจึงรีบเดินทางมาที่กุฏิ เมื่อมาถึง หลวงพ่อแป้น ก็เข้าไปกราบพระองค์นั้นทันที หลวงพ่อแก่ๆองค์นั้นถามหลวงพ่อแป้นว่า “ มึงท่องอิติปิโสจบหรือยัง ” หลวงพ่อห้อมเล่าให้ฟังพร้อมกับหัวเราะว่าใครไม่เข้าใจจะหัวเราะเอาหลวงพ่อ แป้นท่านเป็นเจ้าอาวาสบวชมาจนแก่จะท่องอิติปิโส ไม่ได่อย่างไร แต่คำถามนี้มีนัยยะว่า บำเพ็ญเพียรบรรลุอรหัตผล หรือยังพูดง่ายๆ ว่าตอนนี้ทำถึงพระอรหันต์แล้วหรือยัง หลวงพ่อแป้นก็ตอบว่า “ยังครับ” มึง
    รีบทำให้จบนะ แล้วท่านก็บอกว่า เดี๋ยวกูจะไปแล้วมีโยมเขานิมนต์ให้ไปฉันท์เพลที่สระบุรี หลวงพ่อแป้นก็ถามว่า จะไปทันหรือนี่ก็จะเพลแล้วฉันท์เพลที่นี่มั๊ย ท่านบอกว่า ไปทันซิ แล้วก็ส่งย่ามให้หลวงพ่อแป้นในย่ามนั้นหนักมากแล้วหลวงพ่อองค์นั้นก็ลุกขึ้นยืน ฉับพลันนั้นร่างที่เป็นพระแก่ๆกลับไม่มีแล้วเห็นเป็นเพียงพระหนุ่มรูปหล่อมาก หลวงพ่อแป้นเดินไปส่งจนถึงริมคลองก็เรียกโยมให้ไปเอาเรือมาไปส่งท่านฝั่งตรงข้าม พระหนุ่มองค์นั้นบอกไม่ต้อง หลวงพ่อสะพายย่ามมาย่ามหนักมาก จึงถามว่าในย่ามมีอะไรครับถึงหนักมาก พระหนุ่มจึงบอกว่าเปิดดูซิ หลวงพ่อแป้น จึงเปิดย่ามดูปรากฏว่ามีแต่ก้อนหินเต็มไปหมด แล้วพระหนุ่มองค์นั้นก็เอาย่ามมาสะพายแล้วก็ลอยตัวเหาะขึ้นเมื่อยืนเหนือศรีษะหลวงพ่อแป้นแล้วพูดว่า เอาก้อนหินถ่วงไว้เดี๋ยวจะไปเร็วนัก แล้วท่านก็หัวเราะแล้วก็ค่อยๆเหาะไป
    จนลับสายตาหลวงพ่อแป้น เมื่อเล่าเสร็จทั้งหลวงพ่อแป้นหลวงพ่อฤทธิ์หลวงพ่อห้อมขณะนั้นเป็นเพียงพระพรรษาที่ 2 ก็หัวเราะชอบใจ
    หลวงพ่อแป้นเล่าให้ฟังต่อภายหลังพระองค์นี้มาหาอีกก็ถามเหมือนเดิมว่า ท่อง อิติปิโสจบแล้วหรือยัง พระเดชพระคุณหลวงพ่อแป้นก็ตอบว่าจบแล้ว ท่านบอกว่าไหนทำให้ดูซิ หลวงพ่อแป้นก็เนรมิตตัวเองให้ไปอยู่ในร่องไม้แตกของฝากุฏิ ไปอยู่ที่เพดาน ไปอยู่ที่เสาไม้ ท่านก็ชมว่าดีแล้ว สาธุ ..หลังจากนั้นพระองค์นี้ก็ไม่มาอีกเลย



    เพิ่ม....01-09-2553
    หลวงพ่อฤทธิ์ท่านมีเจโตปริญาณแจ่มใสนัก พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมเล่าให้ฟังว่าในขณะที่หลวงพ่อห้อมมาพำนักเพื่อเรียน หนังสืออยู่ที่วัดคูหาสุวรรณ นั้นปรากฏว่าหลวงพ่อขำ วัดปลักไม้ดำ จังหวัดกำแพงเพชร มีชื่อเสียงมากและพระคาถาหนึ่งซึ่งหลวงพ่อขำเก่งคือน้ำมนต์สึกพระ หากพระที่ต้องการสึกปรารถนาอย่างไร เมื่ออาบน้ำมนต์แล้วก็จะเป็นไปตามนั้นทันที จึงมีพระจากที่ต่างๆเมื่อจะสึกจึงเดินทางไปสึกกับหลวงพ่อขำ วัดปลักไม้ดำ หลวงพ่อห้อมจึงอยากได้คาถานี้มาก วันหนึ่งหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านเดินทางกลับมาจากการสร้างโบสถ์วัดบ้านกล้วย จึงแวะมาหาหลวงพ่อห้อม ที่วัดคูหาสุวรรณ แล้วก็บอกว่าอยากได้คาถานี้หรือจึงเอามือเขียนในฝ่ามือของท่านแล้วบอกคาถา หลวงพ่อห้อมบอกว่าจำคาถาได้เลยและท่านก็ใช้คาถานี้ในการทำน้ำมนต์สึกพระ ท่านทึ่งในอิทธิบารมีของหลวงพ่อฤทธิ์ผู้เป็นพระอาจารย์มาก ท่านว่าหลวงพ่อฤทธิ์นี้สามารถล่วงรู้วาระจิตของคนได้แม้ว่าจะอยู่ไกลเพียงใด
    หลวงพ่อฤทธิ์ ท่านเป็นพระนักก่อสร้างด้วยหลวงพ่อห้อมเล่าว่าท่านมาช่วยสร้างโบสถ์วัดบ้านกล้วยและอีกหลายๆวัด ท่านมักจะใช้ทองคำที่ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุมาจำหน่าย โดยท่านจะมีกำหนดว่าท่านจะทำทองวันละไม่เกิน 2 บาทแล้วจำหน่ายให้แก่พ่อค้าทองที่มาซื้อแต่ปัจจัยที่ได้ท่านก็นำมาสร้างในพุทธศาสนาจนหมด และท่านได้ให้ปริศนาในการสร้างทองนี้แก่หลวงพ่อห้อม 1 บท และหลวงพ่อซวง 1 บท ไม่เหมือนกัน หลวงพ่อห้อมว่าทั้งท่านและหลวงพ่อซวงต่างแปรปริศนานี้ได้และทำเป็นทองคำได้จริงๆ หลวงพ่อห้อมว่าส่วนตัวท่านใช้เวลาในการแปรปริศนาบทนี้ถึง 10 ปี จึงทำเป็นทองสำเร็จ แต่เมื่อทำได้แล้วก็จบไม่ติดยึดอะไร ให้รู้ว่าที่ครูบาอาจารย์สอนเป็นเรื่องจริงที่ทำได้
    พระสหธรรมิกอีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อฤทธิ์ ซึ่งจะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือหลวงพ่อเจ๊ก วัดหัวฝาย ตำบลบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย หลวงพ่อห้อมเล่าว่าท่านเก่งมาก หลวงพ่อห้อมเล่าว่าตอนสมัยหลวงพ่อห้อมเป็นหนุ่มยังไม่ได้บวชวันหนึ่งปรากฏ ว่ามีลูกไฟลอยเต็มท้องฟ้าตะวันแดงฉานบริเวณทางใต้ของวัดน้อย ผู้คนต่างวิ่งหาบน้ำไปเพื่อไปช่วยดับไฟมีเสียงผู้คนว่าบริเวณวัดหัวฝาย ไฟไหม้ใหญ่ ท่านจึงวิ่งไปดูด้วย เมื่อไปถึงทุกคนก็เห็นหลวงพ่อเจ๊กยืนอยู่บริเวณนั้น ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นเล่าว่าไผ่ตายขุย(ออกดอกแล้วตายจำนวนมากข้างวัดหัว ฝาย)หลวงพ่อเจ็กท่านใช้ไม้เท้าเดินขีดวงจนรอบไผ่ทุกกอแล้วท่านสั่งให้ชาว บ้านเอาไฟจุดแม้ไฟจะลุกโชติช่วงประการใด แต่ก็ไม่ไปลุกลามบ้านใครเลยแม้แต่หลังเดียว

    จนไฟวอดดับไปเอง และหลวงพ่อห้อมยังเล่าอีกว่าหลวงพ่อเจ๊กท่านทำผ้ายันต์และผ้าปะเจียดเสร็จ แล้วเอาใส่เตาอั้งโล่(เตาไฟ)ซึ่งไฟกำลังลุกโชนแม้แต่ด้ายรอบผ้าปะเจียดยัง ไม่ไหม้เลยท่านเก่งมาก มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นทหารจากลพบุรีมาหาท่านจำนวนมากจะมาให้ท่านทำตะกรุดให้ ด้วยปรากฏว่าตะกรุดท่านยิงไม่ออกเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งมีทหารท่านหนึ่งถามท่านว่าตะกรุดของหลวงพ่อ(เจ๊ก)ปืนใหญ่ ยิงออกมั๊ย ท่านหัวเราะ แล้วบอกว่าถ้าปืนใหญ่ยิงไม่ออกคุณมาสร้างโบสถ์ให้ผมหนึ่งหลังนะ เอามั๊ย ? แต่ทหารท่านนั้นก็ไม่กล้ารับคำหลวงพ่อเจ๊ก หลังจากท่านมรณะภาพลงแล้วหลวงพ่อห้อมบอกว่าในกุฏิท่านมีแผ่นทองเหลืองอยู่ใน หีบเต็มไปหมดด้วยเขามาขอให้ท่านทำตะกรุดให้แต่ท่านก็ไม่ทำให้ทุกคนท่านเลือก เพียงบางคนเท่านั้นท่านเกรงว่าจะไปกระทำไม่ดี หลวงพ่อห้อมบอกว่าน่าเสียดายคาถาอาคมท่านเหลือเกิน ท่านหวงวิชา และไม่ได้ถ่ายทอดพระคาถา อาคมไว้ให้ใครพระคาถาต่างๆจึงสูญหายไปพร้อมกับท่าน และวันที่เผาศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ๊กนี้ผู้คนหลั่งใหลกันมาจำนวนมาก หลังจากเผาแล้วหลวงพ่อห้อมท่านเก็บกระดูกบางส่วนของหลวงพ่อเจ๊กซึ่งเป็นพระ อนุเสาวนาจารย์ของหลวงพ่อห้อมด้วยมาใส่โกฎแก้วบรรจุไว้ที่ผนังโบสถ์ด้านหน้า ของวัดน้อยหรือวัดฤทธิ์ทางด้านซ้ายและกระดูกของหลวงพ่อฤทธิ์ผู้เป็นพระ อาจารย์ หลังจากมรณะภาพท่านก็ใส่โกฎแก้วไว้ด้านหน้าขวาของโบสถ์วัดน้อยเช่นกัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อห้อมทำอย่างนี้ด้วยความเคารพรักศรัทธาต่อพระอาจารย์และ พระอนุเสาวนาจารย์ของท่านเป็นอย่างมาก.
     
  5. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624

    ผมขอให้สุขสันต์ในวันคล้ายวันเกิด และ ขออนุโมทนาสาธุครับ
     
  6. ก้องครับ

    ก้องครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    2,447
    ค่าพลัง:
    +10,647
    รบกวนพี่ๆ ลงที่อยู่ที่จัดส่งมวลสารอีกทีครับ

    ผมนั่งไล่หามาครึ่งชม.แล้ว ยังหาไม่เจอเลยครับ

    ขอบคุณครับ
     
  7. ชัยชโย

    ชัยชโย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +261
    ขอบคุณสำหรับคำอวยพรจากทุกๆท่านครับ ขอให้คำอวยพรเหล่านี้จงมีแด่ทุกท่านเช่นกันครับ
     
  8. ตรีนิสิงเห

    ตรีนิสิงเห เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    810
    ค่าพลัง:
    +1,339
    อ่านประวัติของหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ แล้วทึ่งครับ คงต้องหาโอกาสไปกราบรูปหล่อท่านที่วัดซักวันแล้ว
     
  9. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    สุขสันต์วันครบรอบวันเกิดนะครับ ขอให้มีความสุขมาก ๆ ครับ HBDs
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bd07-31.jpg
      bd07-31.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.9 KB
      เปิดดู:
      1,289
  10. มะบอม

    มะบอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,255
    ค่าพลัง:
    +5,352
    หนุ่ม เมืองแกลง
    บริษัท สยามอารยา จำกัด 61/538 หมู่ 6 ถ.ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140
     
  11. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ญาติธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ชัยชโย

    ชัยชโย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +261
    ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ขอให้มีความสุขเช่นกันครับ
     
  13. Tawatchai1889

    Tawatchai1889 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    6,406
    ค่าพลัง:
    +16,785
    วันนี้ทั้งวัน หรืออาจเริ่มตั้งแต่เมื่อวาน ที่เชียงราย และภาคเหนือ มีอากาศหนาวเย็น
    มีลมตลอดทั้งวัน คล้ายๆหน้าหนาว เหมือนเมื่อครั้งก่อนเกิดแผ่นดินไหว

    เมษายน นี้ คงจะเป็นหน้าหนาวมากกว่าหน้าร้อนครับ แล้วที่อื่นเป็นอย่างไรบ้างครับ
     
  14. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204

    สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังคะคุณชัยชโย
    ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ
    และมีความสุขค่ะ
     
  15. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2011
  16. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    ขอบคุณมากครับพี่นก ผมฟังท่านก็ไม่ค่อยได้ใจความ ขนาดมีเพื่อนอิสานสมัยเรียนพอสมควร ทั้งย้อสกล ทั้งกาฬสินธ์ ขอนแก่น ยังฟังไม่ค่อยได้ความเลย เรื่องสัจจะนี่เป็นข้อหนึ่งที่ผมต้องยึดถือครับ หากจะไปลงของลงครูที่ไหนต้องถามก่อน ว่าให้ถืออะไรบ้าง ถ้าถือได้ก็ลง ปัจจุบันนี้ยังถือในเรื่องเวลาบอกใครว่ารักก็จะรักไปตลอด ถ้าพี่นกไม่เชื่อหาฝรั่งสวยๆมารักกับผมก็ได้ครับ ฮ่าๆๆ
     
  17. chainerror

    chainerror เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +7,901
    สวัสดียามเช้าเพื่อนสมาชิกทุกๆท่าน
    วันนี้กทม.ฝนโปรยปรายมาแต่เช้า ระวังรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ
     
  18. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,341
    หลายวันก่อนผมได้ไปตัดผมก็คุยกับช่้างตัดผมที่เค้าชอบพระเหมือนกัน เค้าให้ผมดูพระกริ่งหลวงพ่อเกียง วัดวังน้ำเย็น อยู่ที่อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง เป็นกริ่งรุ่นแรกของท่าน ที่เค้าห้อยคออยู่ทั้งเล่าประสบการณ์ ว่าเ้คยโดนขโมยขึ้นพระไปที แต่เค้าอฐิษธานขอให้พระกริ่งกลับมาได้ หลังจากกลับมาก็ได้โชคจากพระกริ่ง ผมบอกไปตามตรงว่าผมไม่รู้จัก พี่เค้ายังบอกผมว่าหลวงพ่อเกียงเป็นพระที่เก็บตัว ไม่ค่อยออกวัตถุมงคลเป็นสายวิชาหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ และหลวงพ่อซวงวัดชีปะขาว ตอนนี้พระกริ่งของแกเล่นกันหลักหมื่น และไม่ต้องไปหาเพราะออกมาแค่เก้าสิบกว่าองค์ ผมเลยลองๆหาข้อมูลดูและนำมาฝากกัน เผื่อใครมีโอกาสไปเจอ

    http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=11986
     
  19. เปิดโลก

    เปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปขอบคุณ คุณCHAINERROR,คุณภูวดิท,คุณนำทาง ที่ต้อนรับเข้าบ้านหลังนี้ อบอุ่นครับ เมื่อวานเย็นนำคอมฯเก่าไปถวายหลวงพ่อสุนทร ท่านเมตตามาก เป็นกันเองใจดี ผมมีโชคได้บูชาตะกรุดเงินคู่มา 2 ชุด ขอความเป็นมงคลจงบังเกิดกับพวกเราทุกคน
     
  20. Tawatchai1889

    Tawatchai1889 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    6,406
    ค่าพลัง:
    +16,785
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...