แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. KIRATI_99

    KIRATI_99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,035
    ค่าพลัง:
    +842
    ผมขอภาพหลวงปู่หมุนหนึ่งภาพครับพี่โต้ง แต่ถ้าได้เป็นไฟล์ภาพแบบอัดได้ก็จะดีมากเลยครับ จะได้นำไปอัดภาพเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2011
  2. Hermitt99

    Hermitt99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +914
    อ่า ไม่ทราบว่าทันป่าวนะคับ ถ้าทันก็ขอสักรูปนะคับ ท่านโต้ง
     
  3. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351

    ฮือ ๆ เห็นอยู่ว่าเป็นโต้ง แต่บอกเป็นพี่ภู ...ยังงี้พี่ภูต้องแจกภาพหลวงปู่ทิมให้คุณธีระภัทร ด้วยครับ 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2011
  4. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351

    ทั้ง 4 ท่านนี้ส่ง กรุณาส่งชื่อที่อยู่ ให้ผมทาง PM ด้วยครับ
    ส่วนของพี่เดชา ผมได้มาแล้ว

    หากภาพไม่พอ ทั้ง 5 ภาพ เดี๋ยวส่งเป็นภาพขนาดปกติที่เขาถ่ายกันไปให้ อีก 1 ท่าน
    เมื่อได้ชื่อที่อยู่ครบแล้วผมขอส่งพร้อมกันทีเดียวนะครับ จะได้ไม่เสียเวลาหลายรอบ
     
  5. พญาสุกร

    พญาสุกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +135
    ส่งpm ให้คุณโต้งแล้วครับขอบพระคุณมากๆๆครับ ผมรับมาแล้วจะสแกนหรืออัดเพิ่มครับเพื่อใครอยากได้ผมจะส่งต่อให้ครับผม ขอบคุณครับ
     
  6. พญาสุกร

    พญาสุกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +135
    รบกวนอีกเรื่องนึงครับผมอยากได้รูปหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ครับผม จะเอามาระลึกถึงเท่าและบูชาครับ เอาเป็นไฟร์ก็ได้นะครับเดี่ยวจะไปอัดมาเพื่อใครอยากได้เหมือนผมครับ ขอบคุณครับ ปล.กระทู้อ่านอยู่ตอนนี้ หน้า 315 ดูเวลาวันที่ เมื่อปีที่แล้ว ผมช้าไปหนึ่งปีเลยยย หน้านั้นยังคุยเรื่องการจัดพระขึ้นคออยู่มาก อ่านแล้วได้จินตนาการถึงปี่ที่แล้วว่าเวลานั้น ผมทำอะไรอยู๋ช่วงบอลโลก .... คิดแล้วมีเรื่องราวมากมายๆ ยังไงจะตามให้ทันพี่ๆครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับผม
     
  7. พญาสุกร

    พญาสุกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +135
    วันนี้239แล้วครับบบ ดูคนอวดผีครับบบบ ขอบคุณความรู็ที่พี่หนุ่มให้แล้พี่ๆทุกคนครับผม
     
  8. Hermitt99

    Hermitt99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +914
    ขอบคุณคุณโต้งนะครับ ผม PM แจ้งที่อยู่แล้วนะครับ
     
  9. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    ใจดีจริง ๆ ครับพี่โต้ง อนุโมทนาด้วยครับ
     
  10. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    พอมีมีอยู่ครับ เอาแค่รูปที่ไปเข้ากรอบไว้บูชาที่บ้านรูปเดียวก็พอแล้ว ที่เหลือก็แบ่ง ๆ ให้กับผู้ที่ศรัทธาครับ หลวงปู่ท่านจะได้ไปช่วยเหลือ คุ้มครองครับ
     
  11. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,975
    องค์ที่โชว์แจกหรือเปล่าครับคุณโต้ง เก็บไว้องค์เดียวก็พอ อิอิ

    (เย้าเล่นน้า)
     
  12. daychar

    daychar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    714
    ค่าพลัง:
    +12,050
    แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตและหลวงตามหาบัว
    ผู้ที่อัฐิธาตกลายเป็นพระธาตุ สนใจอ่านได้ตามลิงค์นี้ครับ มี 2 เวอร์ชั่น

    http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=105

    -:-
     
  13. โต้งชลบุรี

    โต้งชลบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,474
    ค่าพลัง:
    +18,351
    องค์ไหนครับ องค์รูปแทนตัวผมหรือเปล่าครับ
    หากเป็นองค์นี้ รักมากมายครับ...อิอิ
     
  14. พญาสุกร

    พญาสุกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดีครับพี่ๆทุกท่านครับผมขอนอกเรื่องพระตามกระทู้นิดนึงครับผม คือป้าผมไม่สบายครับหมอบอกว่าเป็นมะเร็งครับก็เลยจะไปหาคุณหมอสมหมายครับ
     
  15. พญาสุกร

    พญาสุกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +135
    อยากถามว่าการเดินทางไปนี้ใช้เส้นทางไหนครับผม แล้วก็สิงบุรีมีวัดไหนที่มีพระอาจาร์เก่งๆเป่ากระหม่อม ให้เป็นสิริมงคล ครับ ขอบพระคุณครับ หรือ ใครพอมีแนวทางในการรักษาโรคมะเร็งจะเป็นพระคุณมากครับผมม
     
  16. พญาสุกร

    พญาสุกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +135
    คืนนี้ราตรีสวัสครับ มาถึงหน้า383 ครับเรื่องนางไม้เนีย น่ากลัวนะครับ กัวใจเราเองหงะครับ สวัสดีครับ ขอบคุณพี่หนุ่มและพี่ๆทุกท่านครับผม
     
  17. ลูกน้ำเค็ม

    ลูกน้ำเค็ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,022
    ค่าพลัง:
    +14,548
    เรื่องนางไม้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนชอบกันมากครับ โดยเฉพาะลุงจอเดะ 555
     
  18. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573


    หมอเทวดารักษามะเร็งที่จ.สิงห์บุรี
    ใน สัปดาห์นี้ มีข่าวเกี่ยวกับนายแพทย์ที่รักษามะเร็งโดยใช้วิธีผสมผสานระหว่างยาสมุนไพร และยาแผนปัจจุบัน ได้มีการนำไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การเภสัชกรรมโดยเตรียมจะผลิตออกจำหน่ายในปี2555ผมจึงขอนำเสนอประวัติของท่านเผื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วย

    นายแพทย์สมชาย ทองประเสริฐ

    ปัจจุบันอายุ ๘๙ ปี ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ การศึกษา เมื่อครั้งยังเยาว์ ท่านได้ศึกษาภาษาจีนที่โรงเรียนหยกฮั้ว ซึ่งอยู่ติดกับบ้านท่าน และเข้าโรงเรียนประจำกินนอนที่โรงเรียนเซ็นปีเตอร์ ถนนสี่พระยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑-๒๔๗๘ จบชั้น ม.๕ จึงย้ายมาเรียนที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ในชั้น ม.๖-๘ (พ.ศ. ๒๔๗๙-๒๔๘๑) เป็นนักเรียนห้องคิง สอบได้ที่ ๑
    เมื่อจบชั้น ม.๘ แล้ว ความใฝ่ฝันตอนต้น ๆ อยากเรียนนายเรือ เนื่องจากชอบเครื่องแบบ แต่พี่ชายนายแพทย์ประจักษ์ ทองประเสริฐ ไม่ยอมให้ไปเรียน ท่านจึงต้องไปเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ไม่จบต้องขอลาออก ต่อมาเข้าเรียนคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบเภสัชแล้ว ได้สมัครเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมี ที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่สอนอยู่ได้ไม่นานก็ขอลาออก เพื่อสมัครเข้าเรียนแพทย์ที่คณะแพทย์ศาสตร์ (ซึ่งสมัยนั้นสามารถเข้าเรียนต่อได้ โดยใช้วิธีดูคะแนนที่สอบได้เมื่อเรียนเภสัช ปี ๒) เรียนจบแพทย์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นแพทย์รุ่นที่ ๕๕ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
    การทำงาน
    ๑.ทำงานสถานที่สถานเสาวภาสภาชาดไทย ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนเซรุ่ม
    ๒.เป็นแพทย์ประจำบ้าน แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล
    ๓.เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ แพทย์ประจำบ้านโรงพยาบาลศิริราช (พ.ศ.๒๔๙๕-๒๔๙๖)
    ๔.ควบคุม ดูแล คลังโลหิต แผนกศัลยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
    ๕.แพทย์ประจำโรงพยาบาลสิงห์บุรี
    ๖.ผู้อำนวยโรงพยาบาลสิงห์บุรี
    ๗.นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี
    งานด้านการรักษาพยาบาล
    นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นแพทย์แผนปัจจุบันสาขาเวชกรรม เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการรักษาพยาบาลมาก นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร คือ ใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง ตัวยาสำคัญคือ ต้นพุทธรักษา ท่านได้แนะนำและส่งเสริมให้คนทั่วไปปลูกต้นพุทธรักษา โดยการหาพันธุ์มาให้ เพราะนอกจากจะใช้รักษาโรคได้แล้วยังให้ความสวยงามแก่บริเวณ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีงาม ถือว่าเป็นแพทย์ทางเลือกคนแรกของจังหวัดสิงห์บุรี
    ใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง
    นพ.สมหมาย เปิดเผยที่มาที่มาของการเปิดรักษาโรคมะเร็งให้ประชาชนว่า ที่ผ่านมาตนได้ทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง มาตั้งแต่ปี 2512 จนประสบผลสำเร็จเมื่อปี 2520 จึงได้ลาออกจากราชการ มาทำการรักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะโดยใช้วิธีผสมผสานระหว่างยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมากระทั่งปัจจุบันยาสมุนไพรของตนได้มีการนำไปทดลองทางวิทยา ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และองค์การเภสัชกรรมโดยเตรียมจะผลิตออกจำหน่ายในปี 2555 เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศมาขอสัมภาษณ์ และนำผลงานของท่านเผยแพร่ไปทั่วโลก
    ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้
    บ้านเลขที่ ๙๓๑ ถนนวิไลจิตติ์ ตำบลบางพุทรา อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
    โทร.036-511066 , 036-511265, 086-1235599



    มะเร็งที่คุณหมอรักษาไม่ได้ มะเร็งตับ (ท้องโต ตาเหลือง)
    มะเร็งที่คุณหมอไม่รับรักษา มะเร็งตับอ่อน มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งท่อ

    น้ำดี มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งรังไข่

    ติดตามรายการเจาะใจวันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2553

    ทางช่อง 5 เวลา 22.30 น.
    .

    [​IMG]
    [​IMG]

    ข้อมูลและที่อยู่ของนพ.สมหมายครับ ,,,,

    ที่นครศรีธรรมราช มีพระที่รักษาทางนี้อยู่บ้างครับ แต่ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลมากนัก จะหาทางสอบถามข้อมูลมาให้นะครับ,,,,

    เครดิตจาก http://www.oknation.net/blog/Smartlearning/2010/08/25/entry-1
     
  19. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
    จิตนั่นแหละเป็นแก่นของชีวิต
    โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

    วัดอรัญญบรรพต
    ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


    จิตนั่นแหละเป็นแก่นของชีวิต

    พุทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย จิตใจเบิกบานผ่องใส พุทโธ คือเป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ตื่นที่ว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย

    "สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั่นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย"

    นี่เป็นคำสอนของ พระสุธรรมคณาจารย์ หรือที่รู้จักกันในนาม หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

    หลวงปู่เหรียญ ได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศพม่าและลาว เพื่อแสวงหาความวิเวกสำหรับการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ระหว่างที่ธุดงค์อยู่นั้น หลวงปู่ยังได้ไปเรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อีกด้วย

    โดยวิชาวิปัสนากรรมฐานของหลวงปู่มั่นนั้น ได้เน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ตั้งใจถามตอบตัวเองว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต

    หลวงปู่เหรียญท่านก็ได้นำคำสอนต่างๆ มาสอนเป็นธรรมะให้กับญาติโยมผ่านช่องทางการพระธรรมเทศนาอย่างต่อเนื่อง และท่านได้อนุญาตให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ดังนี้


    ๏ หลวงปู่เคยคิดสึกออกไปเป็นฆราวาสบ้างไหมครับ ?

    อาตมาก็เคยคิดสึกเหมือนกัน แต่อาตมาคิดว่าบุญบวชของเรามันมีมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับความอยากสึกของเรา ทำให้การอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ก็เลยชนะกับการไม่สึกนั่นเอง สิ่งที่สำคัญอาตมาคิดแล้วการบวชอยู่อย่างนี้ก็ทำให้ชีวิตเรามีความสุข เป็นการปลงภาระและการครองเรือน ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่มีแต่ความวุ่นวายก็เท่านั้น แต่ถ้าถามจริงๆ ครั้งหนึ่งอาตมาก็อยากสึกเหมือนกันนะ (หัวเราะ)


    ๏ มีเหตุอันใดที่ทำให้อยากสึกครับ ?

    ครั้งนั้นด้วยความเป็นพระหนุ่มๆ ก็เกิดรักผู้หญิงเข้าคนหนึ่ง ก็ได้รีบหนีกลับมาอยู่ที่วัดอรัญบรรพต แต่ก็ไปเกิดรักใหม่จนต้องตัดสินใจแล้วว่าจะลาสึก และต่อมาอาตมาจึงเดินทางไปหาพระอุปัชฌาย์เพื่อลาสึก แต่ในคืนวันนั้นเองอาตมาได้พิจารณาเห็นถึงความทุกข์ในโลก จนในที่สุดจึงคลายจากความอยากสึกลงอย่างกะทันหัน จากนั้นอาตมาจึงได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาระวารีอีกครั้ง เป็นพรรษาที่ ๓ พอย่างเข้าเดือน ๑๐ อาตมาก็ล้มป่วยลง พอออกพรรษา พ่อจึงได้พามารักษาตัวที่วัดอรัญบรรพต เป็นการเจ็บป่วยที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด


    ๏ หลังจากหลวงปู่ไม่คิดที่จะสึกแล้วได้มุ่งมั่นทำอะไรต่อครับ ?

    ในปี ๒๔๗๖ อาตมาได้พบกับท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ท่านอาจารย์บุญมาได้พาไปบวชเป็นพระธรรมยุติที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ในพรรษาแรก ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาระวารี จ.อุดรธานี เมื่อออกพรรษาแล้วจึงธุดงค์ขึ้นไปพักวิเวก ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง จ.เลย

    ต่อมาในปี ๒๔๗๗ จึงได้กลับลงมาจำพรรษาที่วัดอรัญวาสี จ.หนองคาย ในพรรษานี้อาตมาก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ด้วยการไม่นอนกลางวัน เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร จนถึง ๔ ทุ่มจึงจำวัด พอถึงตี ๒ จึงลุกขึ้นทำความเพียรต่อ จนถึงสว่าง พอออกพรรษาอาตมาจึงธุดงค์ไปอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีกครั้ง พอถึงเดือนหกก็ได้กลับมาที่วัดป่าบ้านค้อ ในวันออกพรรษาปีนั้นเอง

    อาตมาได้ปฏิบัติธรรมด้วยการภาวนา ก็ทำให้จิตสงบลงเรื่อยๆ จนสงบดีแล้ว แต่พอมีเรื่องต่างๆ เข้ามากระทบ เช่น ทางตา ก็ทำจิตใจหวั่นไหว แก้อย่างไรก็ไม่ตก อาตมาจึงได้คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักเลย เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จากนั้นก็ชวนเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางมาหาท่านอาจารย์มั่นด้วยกันที่ จ.เชียงราย ในคืนวันหนึ่งที่ยังเดินไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่ในป่าข้างทาง คืนนั้นได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น พอถึงรุ่งเช้าก็ได้ทราบว่าเพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นเช่นกัน พอสอบถามถึงลักษณะที่ปรากฏก็ทราบว่าเป็นเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้อาตมาแน่ใจว่า จะต้องได้พบท่านอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน


    ๏ แล้วได้ไปพบพระอาจารย์มั่นเมื่อไรครับ ?

    ประมาณปี ๒๔๘๑ อาตมาก็ได้พบท่านอาจารย์มั่น เมื่ออาตมาเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ ไปที่วัดเจดีย์หลวง ก็ได้พบกับหลวงตาเกต ซึ่งได้พาอาตมาไปพบท่านอาจารย์มั่น ที่ป่าละเมาะใกล้ๆ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในวันนั้นพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทแก่อาตมาว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่พื้นดินนี่แหละจึงได้รับผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั่นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดในความสงบโดยส่วนเดียว


    ๏ แล้วพระอาจารย์มั่นสอนอะไรให้กับหลวงปู่บ้างครับ ?

    ก็สอนหลายอย่างเกี่ยวกับการทำวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งท่านก็สอนและเน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็ให้วกเข้ามาสู่จิต จิตเป็นผู้รับรู้ โดยจิตนั่นแหละเป็นผู้เพ่งร่างกาย เมื่อเพ่งร่างกายเสร็จแล้วก็ให้ย้อนเข้ามาหาจิต ตั้งใจถามตอบตัวเองแบบนี้ว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต


    ๏ จิตเป็นแก่นของชีวิตคืออะไรครับ ?

    อ้าว !...ก็จิตมันไม่ตาย มันตายแต่ร่างกาย การเวียนว่ายตายเกิดก็มาจากจิตดวงเดียวนี้นั่นแหละ จะว่าไม่เป็นแก่นอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นภพหน้าชาติหน้า จิตดวงนี้แหละก็ต้องตามพวกเราทั้งหมด ร่างกายจะไปได้ที่ไหนล่ะ เมื่อร่างกายถูกไฟเผาร่างกายก็เหลือแต่กระดูกเป็นเถ้าถ่านไปหมด ดังนั้น จิตดวงเดียวถ้าผู้นั้นยังไม่สิ้นกิเลส มันก็มีบาปมีบุญติดตามไป และบาปบุญนั่นแหละที่จะนำดวงจิตไป และถ้าทุกคนสิ้นหรือหมดจากกิเลสแล้วก็จะไม่มีอะไรนำก็จะเป็นการนิพพานนั่นเอง


    ๏ แสดงว่าหลวงปู่เชื่อชาติหน้ามีจริงซิครับ ?

    ก็มีจริงซิ (หัวเราะ) ถ้าไม่มีจิตเรานั้นจะไปได้อย่างไรกัน แต่ที่คนเรายังไม่ค่อยเชื่อเรื่องชาติหน้าชาตินี้หรืออย่างเรื่องนรกสวรรค์ อาตมาก็อยากให้เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้นั่นแหละ หากถามอาตมาว่าคนทั่วไปทำไมเชื่อก็เป็นเรื่องของคนที่ยังมองไม่เห็น มองแล้วยังไม่รู้เพราะยังไม่สิ้นกิเลส


    ๏ หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลบ้างหรือเปล่าครับ ?

    อาตมาไม่ได้สร้างวัตถุมงคลเลย มีแต่ลูกศิษย์เขาสร้างกันมาให้อาตมาก็แจกหมดเลย ตอนนี้เลยไม่มี (หัวเราะ) จริงๆ อาตมามองว่า วัตถุมงคลไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อาตมาเห็นถึงคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะคุณของพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่รูปหรือเหรียญ แต่อยู่ที่ใจของคนเราต่างหาก เมื่อใจเชื่อเลื่อมใสภาวนาทำใจให้สงบลงได้ พระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงอยู่ที่ใจได้กลายมาเป็นความสงบนั่นเอง


    ๏ แล้วทำไมคนเราบางส่วนยังยึดติดอยู่กับวัตถุมงคลครับ ?

    สังคมทุกวันนี้เป็นเหมือนมีค่านิยมแบบใหม่ตามๆ กันไป เมื่อมีผู้หนึ่งจัดทำ หรือบางคนถือแขวนพระนั้นติดตัว ผู้อื่นก็อยากได้บ้าง ก็ทำให้คนเราแสวงหาต่อๆ กันไป บางครั้งกระแสข่าวว่า หลวงพ่อนั้นหลวงพ่อนี้มีความวิเศษแบบนั้นแบบนี้ก็เชื่อต่างก็หลั่งไหลกันไปขอไปบูชา เขาจึงเรียกว่า มงคลตื่นข่าว เพราะพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ให้เชื่อเรื่องมงคลตื่นข่าว แต่ให้เชื่อเรื่องกรรม ให้เชื่อเรื่องผลของกรรม เราทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว


    ๏ บางคนรอดตายแล้วบอกว่ามีพระดีเป็นไปได้ไหมครับ ?

    ถ้าให้อาตมามองถึงเหตุปัจจัย เป็นเพราะว่าบุคคลนั้นกรรมตายโหงไม่มี ชาติที่แล้วอาจสร้างบุญกุศลไว้มาก บุญกุศลนั่นแหละที่ตามรักษาเขา หรือที่เขาเรียกกันว่าบุญเก่านั่นแหละ ถ้าผู้นั้นมีกรรมมีเวร กรรมเวรตามสนองก็ตายโหง ถ้ากรรมเวรนั้นไม่มีก็ไม่ตาย และปาฏิหาริย์มีจริงก็เกิดขึ้นได้เฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียวนั่นแหละ แม้แต่อาตมาเองก็ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ไม่ได้ดอก (หัวเราะ)


    ๏ ตอนนี้สุขภาพหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้างครับ ?

    สุขภาพของอาตมาก็เป็นไปตามสภาพของคนแก่ ดีบ้างสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มันก็เป็นไปแบบนั้น กำลังแรงกายของอาตมาก็ไปไหนมาไหนก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่อายุจะยืนยาวนานแค่ไหนก็แล้วแต่บุญกรรมจะนำพาชีวิตอาตมาไป อาตมาเลยบอกไม่ได้ว่าจะอยู่อีกกี่ปี (หัวเราะ)


    ๏ สุดท้ายนี้หลวงปู่อยากให้ธรรมะอะไรกับผู้อ่านบ้างครับ ?

    พุทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย เพ่งจนพุทโธไม่ถอย เพ่งลงไปจนหายใจเกิดเป็นความสงบ รวมกันเป็นหนึ่งลงไป พุทโธก็คือ เป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ภาวนาพุทโธไปแล้วจิตใจก็เบิกบานผ่องใส ตื่นที่อาตมาว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เชื่ออะไรงมงาย และเราเกิดมาในชาตินี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก สมควรที่จะลงมือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์โดยความไม่ประมาท กิเลสบาปกรรมจะได้น้อยเบาบางจากดวงจิตของตน การที่คนเราจะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง


    ชาติภูมิหลวงปู่เหรียญ

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ อายุ ๙๒ ปี พรรษาที่ ๗๒ ชื่อเดิม นายเหรียญ ใจขาน เกิดวันที่ ๘ มกราคม ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย บิดา นายผา ใจขาน มารดา นางพิมพา ใจขาน มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน ๗ คน (เสียชีวิตแต่ยังเล็ก ๖ คน) ร่วมบิดาเดียวกัน แต่ต่างมารดา ๒ คน อาชีพ กสิกรรมครอบครัวมีอาชีพทำนา ทำสวนและเลี้ยงสัตว์

    เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ มารดาท่านได้เสียชีวิตลง ไม่นานบิดาท่านมีภรรยาใหม่ หลวงปู่จึงได้ไปอยู่อาศัยกับยายจนอายุได้ ๑๓ ปี เรียนหนังสือจบ ก็ได้ย้ายไปอยู่กับบิดา ช่วยบิดาและมารดา ทำงานร่วมกับพี่น้อง ที่เป็นลูกของมารดาใหม่อย่างขยันขันแข็ง

    ครั้นเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี มีความปรารถนาจะออกบวช โดยพิจารณาเห็นว่าชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ทำงานไม่รู้จักจบจักสิ้น ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป โลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์ แต่ความสุขที่ว่านี้เป็นความสุขชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้คนเราติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น คนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตายด้วยกันทุกคน ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว ท่านจึงไปขออนุญาตบิดาและมารดาเพื่อขอลาบวช

    โยมพ่ออนุญาตท่านก็ได้ออกบวชเมื่อเดือนมกราคม ๒๔๗๕ ณ อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย โดยมีท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังกัด ธรรมยุติกนิกาย บวชแล้วจึงกลับมาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ โดยท่านอาจารย์วัดโพธิ์ สอนให้ท่านภาวนาอนุสติ ๑๐ ท่านก็ได้ท่องเอา แล้วบริกรรมไปเรื่อยๆ ตั้งแต่พุทธานุสติ ธรรมานุสติ ไปจนถึงอุปสมานุสติแล้วจึงตั้งใหม่

    ครั้นถึงเดือนพฤษภาคม ปีนั้น ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดศรีสุมัง ท่านจึงได้เข้าไปเรียนถามวิธีเจริญภาวนา กับท่านอาจารย์บุญจันทร์ รองเจ้าอาวาส ซึ่งได้รับคำสอนให้เลือกเอากรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ที่ถูกกับนิสัยของตน บริกรรมเฉพาะบทเดียวเท่านั้น พร้อมกับแนะนำให้บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ท่านจึงได้บริกรรมพุทโธมาตั้งแต่นั้น พอถึงเดือนธันวาคมสอบนักธรรมเสร็จ ท่านจึงได้เดินทางกลับวัดโพธิ์ชัย

    ในระหว่างนั้นบิดาท่านได้นำหนังสือของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มาถวายหลวงปู่ เมื่ออ่านแล้วท่านรู้สึกสนใจในเรื่องกายานุปัสสนา ซึ่งในหนังสือได้แนะนำ ให้พิจารณากายแยกย่อยไปเป็นส่วนต่างๆ ให้สติได้รู้ว่า ร่างกายนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว เมื่อท่านพิจารณาได้ดังนี้จึงมีดำริจะออกไปอยู่ในป่า แต่ก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้เพราะใจหนึ่งอยากสึกไปครองเรือน แต่อีกใจหนึ่ง อยากออกปฏิบัติธรรมตามที่ตั้งใจไว้ ท่านจึงได้นั่งสมาธิตัดสินใจ แล้วก็ได้คำตอบว่าไม่สึกถึง ๓ ครั้ง ซึ่งไม่นานท่านจึงได้ออกจากวัดไปอยู่ป่าที่ ผาชัน ริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมกับศึกษาต่อกับท่านอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ซึ่งท่านก็ได้รับฟังจนเข้าใจดี


    วัดอรัญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    โทรศัพท์ ๐-๔๒๔๒-๐๒๙๙, ๐-๑๙๑๔-๕๒๘๓, ๐-๑๓๗๗-๒๘๕๙



    .................................................................

    คัดลอกมาจาก
    หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 26 พ.ค. 2547
    คอลัมน์ พระเครื่อง คม ชัด ลึก เรื่องโดย สุทธิคุณ กองทอง
     
  20. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,204
    ใจเราถ้าเฝ้าสังเกตดู
    อยู่โดยสม่ำเสมอ
    การประกอบกิจทั้งปวง
    ย่อมจะมีวันรอบคอบไปด้วยกันกับงาน
    ไม่บกพร่องทั้งใจและงาน
    จนกลายเป็นความเคยชิน
    ต่อการระวังรักษา



    ธรรมะชาวบ้าน
    (พบตัวเอง)
    ของ
    พระราชญาณวิสุทธิโสภณ
    (ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...