พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=Tahoma,]ทางก้าวหน้า

    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร / watdevaraj [Engine by iGetWeb.com]


    ทุก คนเมื่อหวังความเจริญแก่ตน เช่น การศึกษา การประกอบสัมมาอาชีพ เกียรติยศ สุข สรรเสริญ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดถึงเป้าหมายชีวิต คือ การบรรลุคุณธรรม ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ประสบความทุกข์ทรมาน โศกเศร้าเสียใจด้วยปัญหาต่างๆ ควรพัฒนาตนด้วยหลักธรรม 7 ประการ

    ประการแรก ขยันหมั่นเพียร คือ มีความขยันไม่ลดละ อุตสาหะอย่างต่อเนื่อง ตามลักษณะความเพียร 4 คือ เพียรป้องกันมิให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้นในสันดานของตน เพียรลดละเลิกความชั่วร้ายที่เกิดมีในตนแล้วให้น้อยลง จนหมดสิ้นไปในที่สุด เพียรสั่งสมความดีงาม ความฉลาดรอบรู้ให้มีอย่างสมบูรณ์ และเพียรรักษาความดีงามความฉลาดรอบรู้นั้นๆ ให้มั่นคงอยู่ในตนตลอดไป ดุจเกลือรักษาความเค็มไว้ได้ตลอดกาล

    ประการที่ 2 รู้ระลึกสำนึกตนได้ คือ สามารถหวนระลึกสำนึกตนถึงกิจที่เคยทำ คำที่เคยพูดและเรื่องราวต่างๆ ที่เคยคิดมาแล้วแม้เป็นระยะเวลานานได้ และจำทรงไว้ได้อย่างดี แล้วเลือกคัดสิ่งที่ไม่ดีงามทิ้งไป จัดสรรเอาเฉพาะสิ่งที่ดีงาม เป็นแนวทางปฏิบัติปรับปรุงตนเองให้บรรลุคุณธรรมที่สูงกว่าเดิม กระทั่งเพิ่มสติสัมปชัญญะ รู้ระลึกสำนึกตนได้อย่างแกล้วกล้า

    ประการที่ 3 การทำงานให้สะอาด คือ ดำเนินการงานทุกชนิดที่ตนได้รับผิดชอบให้เป็นไปเพื่อไม่เบียดเบียนตนเองและ ผู้อื่นทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่เบียดเบียนทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น ไม่ล่วงล้ำเขตแดนอำนาจหน้าที่ทางการปกครองในส่วนบุคคล และครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ในส่วนทรัพย์สินของคนอื่น

    ประการที่ 4 ทำงานโดยใช้ปัญญา คือ ใช้ปัญญาใคร่ครวญตริตรองอย่างมีเหตุผลครบถ้วนแล้ว จึงทำงานทุกอย่างให้สำเร็จผลดีตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นเหตุให้ผู้ใหญ่เมตตาเชื่อถือไว้วางใจ ให้ผู้เสมอกันยอมรับนับถืออย่างสนิทใจ ให้ผู้น้อยเคารพนับถือ ยกย่องบูชาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

    ประการที่ 5 ระวังตนมิให้ผิดพลาด คือ คอยตรวจตรา บังคับอารมณ์ของตนไม่ให้ขาดความเที่ยงธรรมเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัวอำนาจอิทธิพลใดๆ และไม่ให้ขาดความเที่ยงธรรมเพราะไม่เข้าใจเหตุผลในเรื่องนั้นๆ เพื่อประคับประคองอารมณ์ของตนให้มั่นคงอยู่ในแนวทางศาสนา

    ประการที่ 6 เลี้ยงชีพโดยสุจริตธรรม คือ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข โดยไม่ละทิ้งคุณธรรม มีความสุจริต เป็นต้น ทั้งในการแสวงหา การได้มา และการบริโภค

    ประการที่ 7 ไม่ละทิ้งคุณธรรม คือ ไม่เผลอสติปล่อยใจให้หลงใหลเพลิดเพลินไปตามอารมณ์รัก อารมณ์ชัง เป็นต้น จากการสัมผัสด้วยตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกสูดดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส ร่างกายได้สัมผัสต่างๆ ทั้งที่น่าชอบใจและไม่น่าชอบใจ ก็ควรยับยั้งชั่งใจไว้ในสายกลาง ไม่รัก ไม่ชัง ไม่กลัว และไม่หลงใหลจนลืมตัว เสียตัว เสียเกียรติยศ กระทั่งสูญเสียชีวิต หมดโอกาสบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านต่อไป
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOVEk0TURFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdNUzB5T0E9PQ==-

    .
     
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ผม ขอสนับสนุน ด้วยครับ ไม่มีการพนันที่ไหน ที่เจ้ามือไม่โกง
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แสงไฟแบบไหนเหมาะใช้อ่านหนังสือ?



    เช็ค “แสงไฟ” ในห้องอ่านหนังสือ เลือกใช้ถูกหลักหรือไม่ พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ ช่วยถนอม “สายตา” บอกลา “อาการตาเพลีย”

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลังอ่านหนังสือ มักปวดรอบ ๆ ตา และหน้าผาก ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เคือง แสบ หรือ มีน้ำตาไหลร่วมด้วย นั่นเป็นสัญญาณของอาการ “ตาเพลีย” ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตาขณะแหล่งแสงไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ การเลือกใช้แสงไฟอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

    สำหรับ “แสงจากธรรมชาติ” ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน

    หากเป็น “แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะ” ควรใช้หลอดที่มีแสงสี นวล เลี่ยงแสงสีขาว หรือ เหลืองเกินไป เพราะจะทำให้แสงแยงตา ทั้งนี้ เพื่อการมองตัวหนังสือได้แจ่มชัด แสงที่ตกสะท้อนจากกระดาษไม่ตกเข้าตา ควรจัดวางตำแหน่งโคมไฟให้แสงเข้าด้านข้างซ้ายมือจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ช่วยให้อ่านได้สบายตา และนานขึ้น ทั้งยัง เป็นการลบเงาที่จะเกิดขึ้นด้วย

    นอกจากนั้น ควรเลี่ยงอ่านหนังสือในบริเวณที่เป็น “แสงไฟกระพริบ” เพราะจะส่งผลให้ประสาทตาเสียเร็ว เนื่องจากถูกกระตุ้นตามจังหวะกระพริบของแสงนั่นเอง.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์




    -http://www.dailynews.co.th/citizen/5812-

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกสักพัก ศึกแดงเดือด จะมาแล้วครับ


    ------------------------------------------------

    เช็คความพร้อม“หงส์“ฟัด“ผี“ศึกเอฟเอคัพ


    [​IMG]
    เช็คความพร้อม“หงส์“ฟัด“ผี“ศึกเอฟเอคัพ



    ค่ำคืนนี้ฟุตบอลอังกฤษเป็วคิวของศึกเอฟเอ คัพ รอบ4 โดยคู่ที่แฟนบอลทั้งโลกโฟกัสให้ความสนใจคือศึกแดงเดือดนอกรอบที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะเปิดรังต้อนรับการมาเยือนของ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันนี้เลยขอไปเช็กความพร้อมของผู้เล่น และสถิติเก่าๆ ย้อนหลังของทั้ง2ทีมดูว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
    ลิเวอร์พูล
    "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เพิ่งผ่านเกมหนักกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกคาร์ลิ่ง คัพ รอบรองเมื่อกลางสัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นหลายคนมีความล้าจากเกมดังกล่าว โดยเป็นที่คาดการณ์ว่า เคนนี่ ดัลกลิช จะยังคงใช้ผู้เล่นจากนัดเสมอเรือใบ เป็นหลักในการลงสนาม
    โดย เคร็ก เบลลามี่ ที่โชว์ฟอร์มได้สุดยอดน่าจะได้ลงเป็นตัวจริงในเกมนี้ เพราะ หลุยส์ ซัวเรซ ยังคงติดโทษแบนยาว 8นัด ส่วนแดนกลางยังคงมี สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับตันทีมคนเก่งลงคุมทัพอย่างแน่นอน ในขณะที่บรรดาผู้เล่นตัวหลักน่าจะได้ลงสนามใอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็น โฆเซ่ เรน่า,โฆเซ่ เอ็นริเก้, แดเนียล แอ็กเกอร์,ชาร์ลี อดัม, มาร์ติน สเคอร์เทล เดิร์ค เค้าท์, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บเยอะทั้ง นานี่ , เนมานย่า วิดิช , ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ , แอชลี่ย์ ยัง ส่วนทางด้าน ฟิล โจนส์ ที่เจ็บมาจากเกมบุกชนะ อาร์เซน่อล มีโอกาสเรียกความฟิตกลับมาลงสนามได้
    โดยเกมนี้คู่หน้ายังคงเป็น แดนนี่ เวลเบ็ค ที่โชว์ฟอร์มได้ดีในช่วงหลังจะจับคู่ลงสนามกับ เวย์น รูนี่ย์ อย่างแน่นอน ส่วนในแดนกลาง พอล สโคลส์ ที่รีเทิร์นกลับมาช่วยทีมมีโอกาศลงเล่นเป็นตัวจริงเพราะประสบการณ์สูง ในขณะที่แดนกลางยังคงเป็น ไมเคิ่ล คาร์ริค ลงทำเกมคู่กับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย แผงหลังเป็น คริส สมอลลิ่ง และ ปาทริซ เอวร่า เป็นตัวหลัก ส่วนผู้รักษาประตูน่าจะยังเป็น อันเดอร์ส ลินเดการ์ด ผู้รักประตูชาวเดนมาร์ก

    11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะได้ลงสนาม
    ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : โฆเซ่ เรน่า ; เกล็น จอห์นสัน, แดเนี่ยล แอ็กเกอร์ , มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้ ; สตีเว่น เจอร์ราร์ด, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน; สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, ชาร์ลี อดัม, เคร็ก เบลลามี่ ; แอนดี้ แคร์โรลล์
    ผู้จัดการทีม : เคนนี่ ดัลกลิช
    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-4-2) : อันเดรส ลินเดการ์ด ; คริส สอมลลิ่ง, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์นนี่ อีแวนส์, ปาทริซ เอวร่า ; อันโตนิโอ วาเลนเซีย, ฟิล โจนส์, ไมเคิ่ล คาร์ริค, พอล สโคลส์, แดนนี่ เวลเบ็ค, เวย์น รูนี่ย์
    ผู้จัดการทีม : เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

    สถิติ
    ทั้งสองทีมทั้งสองทีมเคยพบกันมาแล้ว 183ครั้ง โดยเป็น ลิเวอร์พูล ชนะ 61ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ71ครั้ง และเสมอกันไป 51 ครั้ง
    โดยแบ่งเป็นเกมลีก ลิเวอร์พูล ชนะ53ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ60 ครั้ง และเสมอกันไป 44 ครั้ง
    ฟุตบอลเอฟเอคัพ ลิเวอร์พูล ชนะ 3ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ9 ครั้ง และเสมอกันไป 4 ครั้ง
    ฟุตบอลลีกคัพ ลิเวอร์พูล ชนะ3ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ1 ครั้ง และเสมอกันไป 0 ครั้ง
    ฟุตบอลอื่นๆ ลิเวอร์พูล ชนะ 2ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ1 ครั้ง และเสมอกันไป 3 ครั้ง

    ผลงาน5นัดล่าสุดที่พบกัน

    พรีเมียร์ลีก 15/10/11 ลิเวอร์พูล เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1
    พรีเมียร์ลีก 06/03/11 ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1
    เอฟเอ คัพ 09/01/11 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0
    พรีเมียร์ลีก 19/09/10 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 3-2
    พรีเมียร์ลีก 21/03/10 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1



    (ภาพจาก Getty Images)


    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]





    -http://sport.sanook.com/1094269/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9E/-

    .

    เช็คความพร้อม“หงส์“ฟัด“ผี“ศึกเอฟเอคัพ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    จบครึ่งแรกแล้วครับ

    ผลเสมอกัน 1 - 1


    ต้องขอโทษท่านน้องคนดัง ที่คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง ตาดูทีวี ปากก็กินเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ท่านน้องคนดัง นำมาฝากไง

    ตอนที่ถามพิมพ์ราชกุมาร ดันเป็นตอนที่ลิเวอร์พูล ยิงนำ 1 - 0 ด้วยสิ ยิ่งไม่ได้ฟังว่า ที่ถามลักษณะพิมพ์ มัวแต่ควันออกหู กองหลังของแมนฯยูไนเต็ด คุมกันยังไง

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบมากก็คือ เวลาที่เอฟร่าได้บอล แฟนลิเวอร์พูลจะโห่ (กรณีที่ซัวเรสเหยียดผิวเอฟร่า) ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการไม่ีมีวัฒนธรรมและอารยธรรม ครับ



    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อีกสักพัก ศึกแดงเดือด จะมาแล้วครับ


    ------------------------------------------------

    เช็คความพร้อม“หงส์“ฟัด“ผี“ศึกเอฟเอคัพ


    [​IMG]
    เช็คความพร้อม“หงส์“ฟัด“ผี“ศึกเอฟเอคัพ



    ค่ำคืน นี้ฟุตบอลอังกฤษเป็วคิวของศึกเอฟเอ คัพ รอบ4 โดยคู่ที่แฟนบอลทั้งโลกโฟกัสให้ความสนใจคือศึกแดงเดือดนอกรอบที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะเปิดรังต้อนรับการมาเยือนของ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันนี้เลยขอไปเช็กความพร้อมของผู้เล่น และสถิติเก่าๆ ย้อนหลังของทั้ง2ทีมดูว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
    ลิเวอร์พูล
    "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เพิ่งผ่านเกมหนักกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกคาร์ลิ่ง คัพ รอบรองเมื่อกลางสัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นหลายคนมีความล้าจากเกมดังกล่าว โดยเป็นที่คาดการณ์ว่า เคนนี่ ดัลกลิช จะยังคงใช้ผู้เล่นจากนัดเสมอเรือใบ เป็นหลักในการลงสนาม
    โดย เคร็ก เบลลามี่ ที่โชว์ฟอร์มได้สุดยอดน่าจะได้ลงเป็นตัวจริงในเกมนี้ เพราะ หลุยส์ ซัวเรซ ยังคงติดโทษแบนยาว 8นัด ส่วนแดนกลางยังคงมี สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับตันทีมคนเก่งลงคุมทัพอย่างแน่นอน ในขณะที่บรรดาผู้เล่นตัวหลักน่าจะได้ลงสนามใอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็น โฆเซ่ เรน่า,โฆเซ่ เอ็นริเก้, แดเนียล แอ็กเกอร์,ชาร์ลี อดัม, มาร์ติน สเคอร์เทล เดิร์ค เค้าท์, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บเยอะทั้ง นานี่ , เนมานย่า วิดิช , ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ , แอชลี่ย์ ยัง ส่วนทางด้าน ฟิล โจนส์ ที่เจ็บมาจากเกมบุกชนะ อาร์เซน่อล มีโอกาสเรียกความฟิตกลับมาลงสนามได้
    โดยเกมนี้คู่หน้ายังคงเป็น แดนนี่ เวลเบ็ค ที่โชว์ฟอร์มได้ดีในช่วงหลังจะจับคู่ลงสนามกับ เวย์น รูนี่ย์ อย่างแน่นอน ส่วนในแดนกลาง พอล สโคลส์ ที่รีเทิร์นกลับมาช่วยทีมมีโอกาศลงเล่นเป็นตัวจริงเพราะประสบการณ์สูง ในขณะที่แดนกลางยังคงเป็น ไมเคิ่ล คาร์ริค ลงทำเกมคู่กับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย แผงหลังเป็น คริส สมอลลิ่ง และ ปาทริซ เอวร่า เป็นตัวหลัก ส่วนผู้รักษาประตูน่าจะยังเป็น อันเดอร์ส ลินเดการ์ด ผู้รักประตูชาวเดนมาร์ก

    11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะได้ลงสนาม
    ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : โฆเซ่ เรน่า ; เกล็น จอห์นสัน, แดเนี่ยล แอ็กเกอร์ , มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้ ; สตีเว่น เจอร์ราร์ด, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน; สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, ชาร์ลี อดัม, เคร็ก เบลลามี่ ; แอนดี้ แคร์โรลล์
    ผู้จัดการทีม : เคนนี่ ดัลกลิช
    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-4-2) : อันเดรส ลินเดการ์ด ; คริส สอมลลิ่ง, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์นนี่ อีแวนส์, ปาทริซ เอวร่า ; อันโตนิโอ วาเลนเซีย, ฟิล โจนส์, ไมเคิ่ล คาร์ริค, พอล สโคลส์, แดนนี่ เวลเบ็ค, เวย์น รูนี่ย์
    ผู้จัดการทีม : เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

    สถิติ
    ทั้งสองทีมทั้งสองทีมเคยพบกันมาแล้ว 183ครั้ง โดยเป็น ลิเวอร์พูล ชนะ 61ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ71ครั้ง และเสมอกันไป 51 ครั้ง
    โดยแบ่งเป็นเกมลีก ลิเวอร์พูล ชนะ53ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ60 ครั้ง และเสมอกันไป 44 ครั้ง
    ฟุตบอลเอฟเอคัพ ลิเวอร์พูล ชนะ 3ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ9 ครั้ง และเสมอกันไป 4 ครั้ง
    ฟุตบอลลีกคัพ ลิเวอร์พูล ชนะ3ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ1 ครั้ง และเสมอกันไป 0 ครั้ง
    ฟุตบอลอื่นๆ ลิเวอร์พูล ชนะ 2ครั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ1 ครั้ง และเสมอกันไป 3 ครั้ง

    ผลงาน5นัดล่าสุดที่พบกัน

    พรีเมียร์ลีก 15/10/11 ลิเวอร์พูล เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1
    พรีเมียร์ลีก 06/03/11 ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1
    เอฟเอ คัพ 09/01/11 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0
    พรีเมียร์ลีก 19/09/10 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 3-2
    พรีเมียร์ลีก 21/03/10 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1



    (ภาพจาก Getty Images)


    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]

    • [​IMG]





    -http://sport.sanook.com/1094269/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9E/-

    .

    เช็คความพร้อม“หงส์“ฟัด“ผี“ศึกเอฟเอคัพ

    .
    </td> </tr> </tbody></table>

    ลิเวอร์พูล 2 - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1


    .
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันนี้เป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ บ่ายวันนี้ วัดท่าซุงจัดพิธีพุทธาภิเษกสมเด็จองค์ปฐมทองคำ เลยจุดธูป ๑๖ ดอก ขอรับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน เพื่อนกัลยาณมิตรธรรมท่านหนึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์สมใจ(ศิษย์หลวงปู่สรวง เจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง) ได้ทำตามคำแนะนำการรับยันต์เกราะเพชรที่พูดให้ฟังเมื่อวันพฤหัส ก็ไม่ทราบว่า วันนี้เป็นวันเสาร์ ๕ ที่ช่วงเช้า ๘ โมงเช้าพี่ท่านหนึ่งไปรอร่วมพิธีที่วัดท่าซุงโทรมาบอก เลยทราบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ๕ เพื่อนท่านนี้ได้รีบโทรมาบอกช่วงบ่าย ๒ บอกเล่าอาการที่ผมบอกให้สังเกตอาการทางกายภาพของยันต์เข้าตัว โดยไม่บอกอาการว่าเป็นอย่างไร ให้ไปสังเกตเอง เพราะบอกไปเกรงจะเป็นการไปสร้างอุปทาน ปรากฎว่า เพื่อนท่านนี้บอกอาการที่แสดงออกได้ถูกต้อง แสดงว่า อานุภาพยันต์เกราะเพชรเข้าตัว เข้ากระดูกแล้วนั่นเอง ทั้งๆที่เพื่อนท่านนี้ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาก่อน เคยได้ยินแต่นามของท่านเท่านั้น แต่อาศัย"ศรัทธาจริต"เป็นสื่อนำทาง ก็สามารถรับยันต์เกราะเพชรที่เป็นการเป่าครอบจักรวาลได้ เพื่อนท่านนี้ไม่ธรรมดาครับ วันหนึ่งๆทำสมาธิเป็นส่วนใหญ่ และเห็นสมาธิเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องงานเป็นเรื่องรอง ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อานุภาพยันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อปาน

    Posted by ศูนย์พุทธศรัทธา on July 18th, 2010 3 Comments


    [​IMG] <CENTER>ยันต์เกราะเพชร
    สุดยอดแห่งพุทธานุภาพ จากตำราของพระร่วง</CENTER>

    <CENTER>[​IMG] [​IMG]</CENTER>
    หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์บูรพาจารย์ของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เป็นต้นตำรับการเป่ายันต์เกราะเพชร
    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเมตตาเล่าว่า งานเป่ายันต์แต่ละครั้ง เรือแพแน่นขนัดไปทั้งแม่น้ำ เดินข้ามไปอีกฝั่งได้สบาย ๆ ผู้คนหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน หุงข้าวพร้อมกันทีละแปดกระทะ ตั้งแต่เช้ายันเย็นยังไม่พอเลี้ยงคนเลย…!



    <CENTER>อานุภาพยันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อปาน
    โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    </CENTER>

    <CENTER>[​IMG]
    ธงมหาพิชัยสงคราม</CENTER>
    ยันต์เกราะเพชรนี้ หลวงพ่อปานศึกษาจากตำราพระร่วง โดยตัดมาจากส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม เป็นการนำเอาพุทธคุณบทต้นมาเขียนเป็น ตัวขอม อ่านตามขวางว่า

    <CENTER>อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
    ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
    ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
    โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
    ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
    คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
    วา โธ โน อะ มะ มะ วา
    อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ
    </CENTER>
    สำหรับ ยันต์เกราะเพชร คือ เป็นคาถา อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ เรียกกันว่า ห้องพระพุทธคุณ
    แต่เขียนลงมาอย่างหนังสือเจ๊ก เขียนลง ไม่เขียนตามบรรทัด เขียนลงมา ๗ คำ แล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่เรียงกันไป ก็ว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจโตโรถินัง นี่เรียกว่า อิติโส ๘ ทิศ อย่างนี้แหละ แล้วก็ชักเป็นยันต์ เรียกสูตรตามเส้นที่เขาชักไป
    สำหรับยันต์เกราะเพชรนี่หลวงพ่อปานปลุกได้ดีมาก เพราะว่าเวลาท่านจะเป่าให้ใครนั้น ท่านเขียนยันต์ใส่กระดานดำไว้

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างหลังให้ทุกคนจุดธูปเทียน แล้วภาวนาว่า พุทโธ ถ้าคนไหนมีครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์ก็ให้จุดธูป ๑ ดอกแทนลูกในครรภ์ แล้วท่านก็เป่า เวลาเป่ายันต์เข้าตัวจะมีความรู้สึกหนักที่ศีรษะหรือว่าคันที่หน้า ยังงี้เรียกว่ายันต์เข้าจับตัวแล้ว ถ้ายันต์เข้าจับตัวทุกคนก็เป็นอันว่าเลิกกัน
    ท่านเป่าเฉพาะวันเสาร์ห้า คือว่าเป็นเดือนอะไรก็ตาม เป็นขึ้น ๕ ค่ำวันเสาร์ หรือวันเสาร์ตรงกับ ๕ ค่ำ อันนี้ใช้ได้ เรียกว่าท่านทำเป็นปกติ แล้วก็วันเสาร์ ๕ นี่แหละเป็นวันยกครูของท่าน ท่านจะยกครูหมอ ครูอะไรก็ตาม ก็ทำกันวันเสาร์ห้า
    คนเยอะยิ่งกว่ามีงานวัดอีก ศาลาของท่านใหญ่จุคนเป็นพัน แต่เวลาเป่ายันต์เกราะเพชรจริง ๆ ต้องผลัดกัน ๔-๕ รุ่น เรียกว่านั่งเต็มศาลาเป่า ๑ คราว ใครเป่าแล้วก็ลงมา คนที่ยังก็ขึ้นไป ยังงี้เปลี่ยนกันถึง ๔-๕ รุ่น
    คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชรก็เป็นการกันการกระทำการกลั่นแกล้งจากคนอื่นด้วย วิชานี้ดีมาก หากว่าใครขืนทำเข้าคนนั้นก็เคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายเพราะอะไร ของเหล่านั้นจะกลับสะท้อนย้อนเข้าไปหาตัว
    คราวหนึ่ง พระผลบวชพรรษาเดียวกับฉัน แกอยู่อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แกไปรับยันต์เกราะเพชร พอรับแล้วแกก็ออกไปหลังวัด ปรากฏว่าถูกงูเห่ากัดเห็นตัวชัดเพราะเป็นกลางคืนเดือนหงาย เห็นว่าเป็นงูเห่าแน่ เอาไฟส่องดูก็แผ่แม่เบี้ยหราเป็นงูเห่า แกก็วิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ถามว่า แกรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า พระผลก็บอกว่ารับขอรับ ท่านบอกว่าถ้ารับไม่รักษา ฉันอยากจะดูคนที่รับยันต์เกราะเพชรมันตายเพราะถูกงูกัดสักคน ถ้าหากว่าแกตายฉันจะดีใจมาก ท่านผลหน้าซีด
    ปรากฏว่าในขณะที่ท่านพูด พิษมันวิ่งขึ้นมาถึงเข่า แล้วก็ถอยไปปวดอยู่ปากแผล เดี๋ยวมันก็ปวดขึ้นมาถึงเข่า แล้วก็ปวดที่ปากแผล ๓ ครั้ง พอวาระที่สามปรากฏว่า อาการปวดหายไปหมดเลย พิษหมดเลย พระผลดีใจมาก บอกว่าหายปวดแล้วครับ
    หลวงพ่อปานก็บอกว่านั่นนะซิ ฉันแน่ใจว่ายันต์เกราะเพชรของฉันดี แต่ถ้าแกรับแล้วแกตายเพราะงูกัด ฉันก็จะเห็นว่าแกเป็นคนเลวมาก ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่ฉันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองนะไม่ใช่อื่น ถ้าแกตายแล้วก็เป็นพระด้วย แกรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วด้วย ถ้าถูกงูกัดแล้วตายเพราะงูพิษ ก็น่าจะตายหรอก เพราะว่าคนที่บวชแล้วไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เป็นคนเลวก็ควรจะตาย แต่ว่าแกไม่ตาย นี่ก็แสดงว่าแกเป็นคนดีแล้ว ความมั่นคงในพระพุทธเจ้าใช้ได้ นี่ว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <CENTER>หลวงพ่อฤาษี เป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง</CENTER>
    หลวงพ่อฤาษีฯ เริ่มเป่ายันต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ที่ศาลาพระพินิจอักษร คนมารับยันต์หลายพันคน ต้องทำพิธีเป่าอยู่หลายรอบ ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ ศาลา ๒ ไร่ ผู้คนแห่กันมาหลายหมื่นคน ต่อมาหลวงพ่อได้สร้างศาลา ๓ ไร่, ๔ ไร่ และศาลา ๑๒ ไร่ เพื่อรองรับศรัทธา เพราะมีผู้มาร่วมพิธีเป่ายันต์กันมากขึ้นทุกปี ขนาดศาลา ๑๒ ไร่ คนก็เต็มและต้องเป่าหลายรอบ
    การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่เป่าทีละเต็มศาลา กี่หมื่นกี่แสนคนก็เป่าพร้อมกันทีเดียว “พระ”ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพ ก็มีผลเช่นเดียวกับคนที่มาเข้าพิธีด้วยตัวเอง…
    หลวงพ่อจะให้ผู้รับยันต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน แล้วดูภาพยันต์ที่ตั้งไว้ในพิธี ตั้งใจจำภาพยันต์ไว้ในใจ แล้วหลับตาภาวนาว่า พุทโธ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าเสร็จพิธี…
    ยันต์เกราะเพชร คือ พุทธานุภาพ ขณะที่เราหลับตาภาวนา พระพุทธเจ้าจะเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมา ครอบคลุมท่านที่ตั้งใจรับยันต์ หลวงพ่อท่านจะคอยดูอยู่ พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว หลวงพ่อก็จะบอกให้เลิกภาวนา…
    เมื่อยันต์เกราะเพชรเริ่มจับตัว ผู้รับจะมีอาการต่าง ๆ กัน เช่นร้อนหู ร้อนหน้า ขนลุกขนชัน หนักศีรษะ หรือ คันยุบยิบเหมือนมีตัวไรไต่ บางคนจับไข้ไปเลย อาการเหล่านี้จะทรงอยู่ไม่เกิน ๒-๓ วัน พอยันต์เข้าตัวหมดก็หายไปเอง…
    ผู้ที่ถูกไสยศาสตร์มา ไม่ว่าจะเป็นคุณผี-คุณคน หรืออะไรก็ตาม เมื่อเริ่มทำการเป่ายันต์ ท้าวจตุมหาราชและ บริวารจะช่วยขับของเหล่านั้นออกให้ คนที่โดนของมาจะทั้งดิ้นทั้งร้อง ต้องปล่อยให้สงบไปเอง เลิกดิ้นเลิกร้องเมื่อไร แปลว่า ของอาถรรพ์สลายตัวหมดแล้ว…!
    การเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวด้วย ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด หรือ เครื่องรางใด ๆ ก็ตาม เวลาเข้าพิธีให้วางไว้บนตักตัวเอง เสร็จพิธีเป่ายันต์ ก็นำไปใช้ได้เลย…
    การรักษายันต์เกราะเพชรให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล ๒ ข้อ คือ ห้ามกินเหล้า และ ห้ามลักขโมย ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไว้พระ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาราธนาบารมีของท่าน ลงมาเป็นเกราะเพชรคลุมกายเรา ภาวนา “พุทโธ”ให้ใจสบาย แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวัน อานุภาพของยันต์เกราะเพชรจะคุ้มครองรักษา ให้ท่านมีความปลอดภัยทุกประการ…
    ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้
    ๑.จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
    ๒.จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
    ๓.ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
    ๔.ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง
    ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป…
    ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เมื่อตายแล้วเผามียันต์ติดที่กระดูก บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน…
    รายหนึ่งอยู่ลพบุรี ผู้เป็นแม่รับยันต์ไปแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ลูกเกิดมามียันต์เป็นสีแดง และปรากฏขึ้นทุกวันพระ อีกรายมียันต์ติดกระหม่อมเป็นรูปกงจักร ซึ่งลวดลายยันต์เหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อ ไปอยู่ที่กระดูกจนหมด.

    ※ หมายเหตุ :
    การเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นวิชาที่หลวงพ่อปานท่านศึกษาจากตำราพระร่วง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า :
    หลังจากหลวงพ่อปานตายแล้วปีหนึ่ง ฉันนอนนึกถึงสมุดตำราของหลวงพ่อปาน ที่อาจารย์แจงขอยืมไป ฉันนึกขึ้นมาได้ว่า ท่านขอยืมเอาไปปีหนึ่งแล้วท่านจะมาส่ง นี่ไม่เห็นท่านมาส่ง แล้วหลวงพ่อปานก็ตายแล้ว จะลองๆ ไปถามท่านว่าจะให้ไหม จะได้เอามาใช้บ้างเผื่อจะฮิตขึ้นมา
    เมื่อไปถึงอำเภอสวรรคโลก พอไปถึงที่นั่น ได้ยินข่าวว่าอาจารย์แจงตายตายไล่ๆ กับหลวงพ่อปาน เลยแจ้งภรรยาของท่านว่า ฉันนี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน จะมาขอตำราคืนไป จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์
    ภรรยาของท่านก็หยิบหนังสือขึ้นมา อาจารย์แจงเขียนเป็นตัวหนังสือคล้ายๆ โบราณ บอกว่า ตำราเล่มนี้เป็นตำราของอาจารย์พระร่วง ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมาจากต้นตระกูล เพราะตระกูลของข้าพเจ้าเป็นตระกูลของพระร่วง ถ้าหากว่า บุคคลใดจะนำตำรานี้ไปใช้เป็นประโยชน์ ให้นำดาบ ๒ เล่มนี้ ไปรำที่กลางนอกชาน รำกลางแจ้ง ถ้ารำดาบแล้วมีฟ้าผ่ามาใกล้ๆ ฟังเสียงชัด ก็มอบตำรานี้ให้ได้
    ภรรยาอาจารย์แจงบอกว่า พออาจารย์แจงตาย ก็มีคนมารำกันเยอะ ฟ้าไม่ผ่า แกก็ส่งดาบให้ ฉันก็หยิบดาบ เอาตำราไปวางไว้ที่หน้าพระพุทธรูป แล้วฉันก็จุดธูปเทียนบูชา อธิษฐานว่า ถ้าวาสนาบารมีของฉันนี้เคยเกี่ยวข้อง กับท่านเจ้าของตำราเล่มนี้มาบ้าง และควรได้รับตำรานี้ไว้เป็นสมบัติของตน และคาถาในตำรานี้ จะเป็นประโยชน์แก่ฉัน ขอให้ฟ้าผ่าลงมาขณะที่ฉันถือดาบ ออกไปกลางแจ้ง
    ในที่สุด พอเดินออกไปกลางนอกชาน ไม่ทันถึง ๒ นาที ฟ้าผ่าเปรี้ยง หูอื้อไปตามๆ กัน เป็นอันว่าฉันมีสิทธิ์ในการใช้ตำรา แล้วฉันก็รับตำรามา
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="headline" valign="baseline" align="left">“วัดปันเสา” วัดโบราณ ปาฏิหาริย์พระธาตุเสด็จ</td><td valign="baseline" width="102" align="right">[​IMG]</td></tr></tbody></table><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td></tr></tbody></table><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td height="40"><table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="center" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td><td class="date" valign="center" align="left">23 มกราคม 2555 16:25 น.</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    <table width="100%" border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="top" align="center"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="baseline" align="left"><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" align="center"><table width="350" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" width="350" align="center">[​IMG] </td></tr><tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">พระเจ้าแสงคำเมือง พระพุทธรูปคู่วัดปันเสา</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td></tr></tbody></table> หน้าหนาวมาเยือนเมืองไทยเมื่อไหร่ บรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายคงจะก็มีโปรแกรมอยากจะไปเที่ยวภาคเหนือ ที่มีอากาศหนาวจะได้สัมผัสกับความเย็นสบาย และภาคเหนือก็มีหลายจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามให้ได้เลือกไป เที่ยวกัน และหนึ่งในจังหวัดยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบและนิยมไปแอ่วเหนือกัน ก็เห็นจะหนีไม่พ้นจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวอันมากหลายที่ชวนให้ไปเที่ยวกัน

    โดยถ้าใครที่พิสมัยการเที่ยวแบบอิ่มบุญชอบเข้าวัดไหว้พระแล้วล่ะก็ ภายในตัวเมืองเชียงใหม่ มีวัดตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก และแต่ละวัดก็มีความเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ มีความน่าสนให้ไปเที่ยวชมและกราบไหว้ขอพรพระกัน และหนึ่งในวัดที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ที่เชิญชวนให้ไปสักการะขอพรและสัมผัสกับความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับ ความเชื่อ ของผู้ที่มีจิตศรัทธาในเรื่องของพระธาตุที่เสด็จมาได้เอง

    </td></tr><tr><td class="body" valign="baseline" align="left"><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" align="center"><table width="350" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" width="350" align="center">[​IMG] </td></tr><tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">เจดีย์โบราณที่ตั้งอยู่ภายในวัดปันเสา</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td></tr></tbody></table> วัดที่ว่านี้คือ “วัดปันเสา” ตั้งอยู่ภายในศูนย์มาลาเรีย เขต 2 จ.เชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมากล่าวไว้ว่า เมื่ออดีตมีชื่อว่า วัดปันเส่า หรือว่า พันเส่า ( คำว่า เส่า เป็นภาษาล้านนา หมายถึงเตาสำหรับหลอมโลหะ คำว่า ปัน เป็นการนับจำนวนของชาวล้านนา หมายถึง จำนวน 1,000) ตามประวัติศาสตร์ที่พบจากจารึกต่าง ๆ พบว่า วัดปันเสา เป็นวันที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย เริ่มก่อสร้างในรัชสมัยของพญาผายูถึงรัชสมัยของพญากือนา

    โดยมีร่องรอยโบราณคดีที่เห็นได้จากภายนอก คือ เจดีย์ทรงกลมแบบเชียงใหม่ ที่ได้รับอิทธิพลจากสุโขทัย ประกอบด้วยฐานเป็นหน้ากระดานสี่เหลี่ยมประมาณสามชั้น รองรับด้วยฐานบัวย่อเก็จลูกแก้ว ถัดขึ้นไปเป็นหน้ากระดานกลมประมาณ 3 ชั้น รองรับมาลัยเถาที่เป็นแบบบัวคว่ำหน้ากระดาน 3 ชั้น แบบสุโขทัย องค์ระฆังใหญ่ที่บังลังก์เป็นสี่เหลี่ยมยอกเป็นปล้องไฉนแบบสุโขทัย

    </td></tr><tr><td class="body" valign="baseline" align="left"><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" align="center"><table width="400" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" width="400" align="center">[​IMG] </td></tr><tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">พระธาตุจำนวนมากมายที่ทางวัดจัดแสดงไว้</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td></tr></tbody></table> วัดปันเสาถูกทิ้งรกร้างมานาน จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ. 2550 ทางศูนย์มาลาเรีย เขต 2 เชียงใหม่ ได้บอกคืนพื้นที่ของวัดให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ทางคณะสงฆ์จึงได้มอบหมายให้พระเทพวรสิทธาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ประธานมูลนิธิพระบรมธาตุดอยสุเทพ ฟื้นฟูให้เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้พระมหาอาวรณ์ ภูริปญฺโญ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งริเริ่มจัดตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดปันเสา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับศรัทธาประชาชนโดยทั่วไป และสร้างเป็นสถานที่สำหรับรองรับพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมา รับการรักษาพยาบาลที่ตึกสงฆ์ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ แต่ไม่มีที่พักก็จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักชั่วคราว และจะสร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    </td></tr><tr><td class="body" valign="baseline" align="left"><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" align="center"><table width="400" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" width="400" align="center">[​IMG] </td></tr><tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">วิหารจันทรสถิตมหาทานบารมีศรีชัยมงคลที่ประดิษฐานพระเจ้าแสงคำเมือง</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td></tr></tbody></table> ปัจจุบันนี้มีพระมหาอาวรณ์ ภูริปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสวัด และก็ได้มีเรื่องปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างโด่งดัง ว่าพระมหาอาวรณ์ สามารถทำให้พระธาตุเสด็จมาได้โดยการพรมน้ำมนต์ของท่าน ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจมากราบสักการะขอพรเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อท่านสวดมนต์และพรมน้ำมนต์เมื่อใด ก็จะมีพระธาตุเสด็จมากับน้ำมนต์ร่วงหล่นลงมาเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเหมือนผลึกแก้วใสหลากสีสัน ให้พุทธศาสนิกชนได้นำไปกลับไปกราบไหว้บูชา ซึ่งเป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น

    และภายในวัดยังมีวิหารจันทรสถิตมหาทานบารมีศรีชัยมงคลเป็นที่ประดิษฐาน "พระพัฒนนพบุรีศรีล้านนาประชานาถ" หรือ “พระเจ้าแสงคำเมือง” เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ และดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชน ชาวไทย ได้ทรงหายจากพระอาการประชวร

    </td></tr><tr><td class="body" valign="baseline" align="left"><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" align="center"><table width="400" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td valign="top" width="400" align="center">[​IMG] </td></tr><tr><td class="Image" valign="baseline" align="left">พระธาตุจำนวนมากที่เสด็จมาเอง</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td valign="top" align="center" height="5">[​IMG]</td></tr></tbody></table> พระเจ้าแสงคำเมือง ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธ์ โดยมีความเชื่อที่ว่าหากว่าได้มากราบไหว้จะช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ อีกทั้งภายในวิหารยังมีตู้จัดแสดงพระธาตุต่างๆ จำนวนมากมายที่เสด็จมาเอง ให้ได้สักการะขอพร ถือว่าเป็นมงคลชีวิตอย่างยิ่งหากได้มากราบบูชาพระธาตุ

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    “วัดปันเสา” (พัน เส่า) ตั้งอยู่ภายในศูนย์มาลาเรีย เขต 2 จ.เชียงใหม่ ถ.บุญเรืองฤทธิ์ ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โทร. 0-5328-9155, 08-9756-6219
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000007760-

    .

    -http://palungjit.org/threads/%E2%80%9C%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E2%80%9D-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93-%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88.323318/-

    “วัดปันเสา” วัดโบราณ ปาฏิหาริย์พระธาตุเสด็จ



    http://palungjit.org/threads/“วัดปันเสา”-วัดโบราณ-ปาฏิหาริย์พระธาตุเสด็จ.323318/

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับการถวายผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

    ตามในกระทู้ เชิญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพจัดทำเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมรับของที่ระลึก


    การเขียนชื่อไว้ที่ฐานนั้น ผมบอกว่า อันตรายมาก

    การกราบไหว้ พระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระธาตุ โดยมีชื่อของท่านอยู่ที่ฐานของผอบ

    หากผู้ที่มากราบไหว้ มีศีลและธรรมสูงกว่าท่าน กายทิพย์ท่านจะลำบาก และส่งผลที่ไม่ดีต่อตัวท่านเอง แต่ไม่ดีอย่างไร ผมไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาวะทางธรรมของแต่ละท่าน

    (การมีศีลและธรรมสูงกว่า ใช้การเทียบโดยการเป็นอริยบุคคล คือ โสดาบัน , สกิทาคามี , อนาคามี และ อรหันต์)


    หากจะร่วมทำบุญ ผมแนะนำแจ้งเจ้าของกระทู้ไปครับว่า ไม่ต้องการลงชื่อที่ฐานผอบ ดีที่สุด บุญที่ท่านทำ อย่างไรท่านต้องได้ และให้กรวดน้ำดีกว่าครับ

    การกรวดน้ำ ไปดูตามกระทู้ กรวดน้ำตามสไตล์sithiphong เว็บ ใต้ร่มธรรม

    อ่านทั้งกระทู้น๊ะครับ (หากจะนำไปใช้ ให้ใช้บทที่อยู่ล่างสุดครับ)


    .
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    มันเป็นความบังเอิญ หรือ ไม่มีความบังเอิญในโลกนี้ ตาลุงข้างบ้านผมเพิ่งได้รับมอบพระธาตุ จากวัดปันเสา เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็นำรูปพระธาตุที่ได้รับมอบให้มาโมทนาสาธุกันครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2012
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ภาษา: ปริศนาและการอารักษ์ <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" valign="middle" align="left">โดย สุทัศน์ ยกส้าน</td> <td class="date" valign="middle" align="left">27 มกราคม 2555 09:28 น.</td> </tr></tbody></table>

    [​IMG]

    อักษร Hieratic ที่แกะสลักบนหินปูน

    [​IMG]

    ภาษา cuneiform ของชาว sumerian อายุ 5,000 ปี

    [​IMG]


    อักษรของภาษาฟินิเธียน (บน) ภาษากรีกยุคต้น (กลาง) ภาษากรีก (ล่าง)


    [​IMG]

    หอคอย Babel



    .


    คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงกำเนิดของเอกภพว่า หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างโลกแล้ว พระองค์ทรงสร้างสัตว์และพืช แล้วสร้างมนุษย์ ในเวลาต่อมาพระองค์ทรงไม่พอพระทัยในจิตใจ นิสัยและพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์จึงทรงลงทัณฑ์มนุษย์สามครั้ง ในครั้งแรกทรงขับไล่ Adam กับ Eve ออกจากสวนสวรรค์ Eden หลังจากที่คนทั้งสองได้แอบบริโภคผลไม้ต้องห้าม ครั้นเมื่อลูกหลานของ Adam กับ Eve ได้กระทำบาปกรรมมากมาย พระเจ้าจึงทรงตัดสินพระทัยทำลายล้างมนุษยชาติเป็นการลงโทษครั้งที่สอง โดยทรงบัญชาให้ Noah สร้างเรือบรรทุกครอบครัวและสัตว์ผู้-เมียทุกชนิด แล้วทรงบันดาลให้ฝนตกหนักจนน้ำท่วมโลก และเมื่อน้ำลดจนหมด พระเจ้าทรงประทานสัญญาแก่ Noah ว่าจะไม่ผลาญชีวิตมนุษย์อีก แต่พระองค์มิได้ทรงรักษาคำมั่นสัญญา เพราะเมื่อเก้าปีก่อนคริสตกาลซึ่งเป็นเวลาที่อาณาจักรสุเมเรียนกำลังเจริญ รุ่งเรืองสุดขีด ชาวสุเมเรียนได้อพยพจากถิ่นอาศัยบริเวณแถบเทือกเขาสู่บริเวณที่ราบลุ่ม และเมื่อมวลชนประสงค์จะเข้าเฝ้าพระเจ้าที่ตนนับถือ จึงได้ตกลงใจสร้างหอคอยเทียมฟ้า ความทะเยอทะยานเช่นนี้ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย จึงทรงบันดาลให้มนุษย์พูดคนละภาษากัน เมื่อไม่มีภาษาร่วมกัน โครงการสร้างหอคอยแห่งเมือง Babel จึงต้องล้มเลิก (Babel ในภาษาฮิบรูแปลว่า ทำให้สับสน) จากนั้นเมื่อมนุษย์หมดความสามารถในการสื่อสาร มนุษย์ก็ได้กระจัดกระจายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ของโลกโดยต่างมีภาษาของตนเอง

    นี่คือตำนานเรื่องการถือกำเนิดภาษา ตำนานนี้ได้ชักนำให้จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ ชื่อ พีเทอร์ บรูเกล (Pieter Bruegel) วาดภาพ The Tower of Babel ใน ปี 1563 (รัชสมัยพระมหาจักรพรรดิ) ภาพวาดขนาด 1.14 x 1.55 เมตร ขณะนี้อยู่ที่ Kunsthislorisches Museum ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

    ส่วนหอคอย Babel ที่กษัตริย์ Nimrod ทรงโปรดให้สร้างขึ้นนั้นยังมีซากหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้ขุดพบเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองว่ามีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ยาวด้านละ 91 เมตร อาคารเป็นหอคอยเจ็ดชั้น และชั้นที่อยู่สูง มีขนาดเล็กกว่าชั้นที่อยู่ต่ำกว่า นักประวัติศาสตร์ชื่อ Herodotus เคยปรารภว่าได้เห็นหอคอยนี้ก่อน ค.ศ.458 ปี แต่เมื่อจักรพรรดิ Alexander เสด็จถึงกรุง Babylon (ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของ Babel) ในอีก 130 ปีต่อมา หอคอยได้พังทลายไปจนเกือบหมดแล้ว

    จะอย่างไรก็ตามจนกระทั่งวันนี้นักภาษาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ชัดว่า มนุษย์เริ่มพูดและเขียนตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็รู้ว่า ณ วันนี้ภาษาที่มนุษย์ใช้มีประมาณ 6,000 ภาษา และภาษา ก็เช่นเดียวกับบรรดาสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลาย คือมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย สูญพันธุ์หรือกลายพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บางครั้งเกิดขึ้นเร็วมาก โดยเฉพาะภาษาท้องถิ่นซึ่งกำลังสูญพันธุ์เร็ว สำหรับเหตุผลที่ทำให้ เกิดการสูญเสียนี้ นักภาษาศาสตร์พบว่า เกิดจากการที่ผู้คนที่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นนั้นล้มตายเพราะความชรา หรือได้อพยพหลบภัยไปอาศัยในสถานที่อื่น จนทำให้ผู้คนที่เหลืออยู่ไม่สามารถธำรงรักษาภาษาท้องถิ่นของตนต่อไปได้ หรือผู้คนในชุมชนนั้น มีวัฒนธรรมที่อ่อนแอ จึงกันไปนิยมพูดภาษาต่างถิ่นแทน และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาษาตายคือ ชาติที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร ได้บุกยึดครองชาติอื่นเข่นฆ่าคนพื้นเมือง และบังคับให้คนใต้ปกครองใช้ภาษาของตน เช่นอังกฤษและฝรั่งเศสที่ล่าอาณานิคมในเอเชีย แอฟริกา มักบังคับให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้นใช้ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสในการสื่อ สาร

    แต่สำหรับประเทศโกตดิวัวร์ในแอฟริกา การสูญสลายทางภาษามีสาเหตุแตกต่างไป เพราะประเทศนี้มีชนหลายเผ่า ดังนั้นภาษาพูดจึงมีหลากหลาย และมีคนพูดภาษานั้นไม่เกิน 100 คน บางภาษามีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน ดังนั้นถ้าบรรดาลูกหลานเหลนของชนแต่ละเผ่าคิดว่าตนไม่สามารถใช้ภาษาท้องถิ่น ของตนติดต่อกับโลกภายนอกได้ เขาก็จะไม่สนใจอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่นของตนทันที หรือถ้าเขาดูถูกเหยียดหยามภาษาที่บิดามารดาตนพูดว่าเป็นภาษาเหน่อที่บอก “กำพืด” ว่าต่ำต้อย เขาจะไม่สอนลูกหลานให้พูดภาษานั้นอีกต่อไป เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้ภาษาสูญพันธ์

    ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจถ้ารู้ว่าเมื่อ 1,000 ปีก่อนมนุษย์ใช้ภาษาประมาณ 15,000 ภาษา แต่บัดนี้มีภาษาพูดประมาณ 6,000 ภาษา โดย 1,000 ภาษาเป็นภาษาราชการ และอีก 5,000 ภาษาเป็นภาษาท้องถิ่นที่กำลังสูญพันธุ์ จนนักภาษาศาสตร์มีความกังวลว่า อีกไม่นานภาษาหลัก เช่นภาษาอังกฤษ จีน หรืออาหรับ จะค่อยๆ กลืนภาษาท้องถิ่นต่างๆ ไปจนหมด และนั่นก็หมายถึงการล่มสลายของวัฒนธรรมท้องถิ่น เพราะภาษาของใครเป็นสิ่งที่คนเผ่านั้นสร้างขึ้นเพื่อใช้บรรยายความรู้สึกและ จินตนาการของเขา มันจึงเป็นผลผลิตทางความคิดและเป็นจิตสำนึกเฉพาะของคนในท้องถิ่นนั้นๆ การสูญเสียภาษาจึงเปรียบเสมือนการสูญพันธุ์รูปแบบหนึ่ง

    J. Nichols แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ Berkeley เป็นนักภาษาศาสตร์ที่เชื่อว่าภาษาของชนชาติใดสามารถบอกประวัติความเป็นมาของ ชนชาตินั้นได้ โดยเขาได้วิเคราะห์เปรียบเทียบภาษาโบราณตระกูล Nakh กับตระกูล Daghestanian ซึ่งปัจจุบันปรากฏในภาษา Ingush, Batsbi และ Checken ที่ชาวรัสเซีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน ยังใช้พูดกันอยู่ การศึกษาโครงสร้างไวยากรณ์ของภาษาปัจจุบันกับภาษาอดีต ทำให้ Nichols รู้ว่า ชนเผ่าที่พูดภาษา Ingush, Batsbi และ Checken ในปัจจุบัน ในอดีตเคยอาศัยอยู่ในเมโสโปเตเมีย และอีก 8,000 ปีต่อมา ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณภูเขาคอเคซัส และยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้

    งานวิจัยของ Nichols เมื่อสิบปีก่อนนี้ ได้สร้างความตื่นเต้นให้แก่วงการวิชาการมาก เพราะเป็นงานวิจัยบุกเบิกที่สามารถบอกที่มาของภาษาได้ เพื่อหาคำตอบว่า เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนนี้ ชนพื้นเมืองที่พูดภาษาทั้งสามมีวัฒนธรรมและอารยธรรมรูปแบบใด

    ตามปกติเวลานักประวัติศาสตร์ต้องการรู้ประวัติความเป็นมาของชาติใด เขาจะต้องการหลักฐาน เช่น ศิลาจารึก โครงกระดูก วัตถุโบราณ หรือแม้กระทั่ง DNA ฉันใดก็ฉันนั้น เวลานักภาษาศาสตร์ต้องการจะรู้ที่มาของภาษา เขาก็ต้องศึกษาภาษาโบราณโดยการวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงของภาษาพูด ภาษาเขียน และไวยากรณ์ที่ใช้ ดังนั้นการอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูด และการรู้ภาษาที่ใช้ในอดีต จึงเป็นกระบวนการหนึ่งที่สามารถทำให้รู้ความเป็นมาของชาติได้ ในส่วนของภาษาไทยเพื่อรู้ว่าภาษาไทยถือกำเนิดเมื่อใด และเหตุใดบรรพบุรุษเราจึงคิดสร้างภาษาไทย และใช้เหตุผลอะไรในการออกเสียงกำกับกลุ่มตัวอักษร ฯลฯ เหล่านี้คือคำถามที่นักภาษาศาสตร์กำลังสนใจใคร่รู้คำตอบ เพราะถ้ามีคำตอบ เราก็จะเข้าใจและมีความรู้สึกเป็นไทยดีขึ้น

    นักภาษาศาสตร์ปัจจุบันบางคนสนใจประเด็นที่ว่า ภาษาเขียนถือกำเนิดเมื่อใด และเหตุใด มนุษย์จึงสร้างภาษาเขียน

    นักประวัติศาสตร์ด้านภาษาเคยเชื่อว่า เมื่อ 5,000 ปีก่อน นักบวชชาวสุเมเรียนแห่งเมือง Uruk ในอาณาจักรเมโสโปเตเมีย (ปัจจุบันคือ อิรัก ซีเรีย และอิหร่าน) ใช้ลำต้นอ้อแกะสลักอักษรลงบนดินเหนียว แล้วตากแผ่นดินเหนียวจนแห้ง ภาพแกะสลักที่เกิดขึ้นคือภาษาเขียนภาษาแรกของมนุษย์ และอักษรบนแผ่นดินเหนียวนั้นคือ อักษรลิ่ม (cuneiform) ที่ Pietro della Valle นักท่องเที่ยวชาวอิตาลีได้ขุดพบในวิหารแห่งหนึ่งที่อยู่ทางใต้ของเมือง Uruk และห่างออกไปประมาณ 200 กิโลเมตร เมื่อปี 1615

    แต่การค้นคว้าทางโบราณคดีในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าชาวอียิปต์และชาวปากีสถานโบราณก็มีภาษาเขียนใช้มานานพอๆ กับชาวสุเมเรียน

    นักภาษาศาสตร์รู้ดีว่า ความยากลำบากในการสืบค้นประวัติความเป็นมาของภาษาเขียนเกิดจากความขาดแคลน หลักฐานและความไม่แน่นอนของเทคนิคการวัดอายุ นอกจากอุปสรรคด้านกายภาพแล้ว อุปสรรคด้านจิตใจก็มีส่วนในการพยายามรู้อดีตของเรื่องด้วย เช่นผู้มีวัตถุวัฒนธรรมมักไม่ยินยอมหรือยินดีให้นักวิทยาศาสตร์นำวัตถุ ปริศนาไปวัดอายุ เพราะเกรงว่าวัตถุที่มีค่าควรเมืองเหล่านี้จะถูกทำลาย และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ D.S. Schmidt-Bessert แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัสในสหรัฐอเมริกาได้พบวัตถุทรงกลมลูกหนึ่งที่ทำด้วยดิน เหนียวซึ่งผิวมีลวดลายเรขาคณิตปรากฏการเห็นสัญลักษณ์และรูปต่างๆ ทำให้ Schmidt-Bessert คิดว่าชาวสุเมเรียนคงเขียนตัวอักษรลงบนทรงกลมที่ทำด้วยดินเหนียวก่อน แล้วจึงแกะสลักลวดลายเป็นอักษรลิ่มในภายหลัง การวัดอายุของก้อนดินเหนียวทรงกลมพบว่ามีอายุตั้งแต่ 4,000-9,000 ปี แต่ภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ในอิรักไม่ยินยอมให้ Schmidt-Bessert นำลูกกลมไปวัดอายุและเจาะภายในเพื่อค้นหาอักษร (หากมี) ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าภาษาของชาวเมโสโปเตเมียกำเนิดเมื่อใด

    ส่วนอาณาจักรอียิปต์โบราณ ถึงจะตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของอาณาจักรเมโสโปเตเมีย และอยู่ห่างประมาณ 1,000 กิโลเมตร แต่ก็เป็นไปได้ที่ชาวสุเมเรียนและชาวอียิปต์จะติดต่อค้าขายกัน ถึงกระนั้นนักประวัติศาสตร์ก็คิดว่าชาวอียิปต์คงรู้จักใช้อักษรภาพหลังชาวสุ เมเรียนประมาณ 100 ปี แต่เมื่อ Gunther Dreyer แห่ง German Archaeological Institute ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เปิดหลุมฝังศพของฟาโรห์องค์หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เมือง Abydos ในปี 1989 เขาได้เห็นงาช้าง กระดูกสัตว์ และภาชนะเครื่องปั้นดินเผา และเห็นผิวของวัสดุเหล่านี้มีอักษรภาพ ซึ่งทำให้เขารู้ว่ามันคือภาษาภาพที่ใช้รูปต้นอ้อแทนเสียง i รูปปากคนแทนเสียง r และรูปเรือแทนเสียง p และเมื่อนำภาพทั้งสามมาเรียงกันเป็นอักษร i r p ก็ได้คำที่มีความหมายว่า เหล้าองุ่น เป็นต้น

    การวัดอายุของวัตถุโบราณทำให้ Dreyer รู้ว่า อักษรภาพที่พบมีอายุประมาณ 5,200 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับอายุของอักษรลิ่ม และเมื่อคณะนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Heidelberg ของเยอรมนี วัดอายุของวัตถุโบราณที่พบในเมือง Abydos โดยใช้เทคนิคคาร์บอน-14 ก็พบว่า อักษรภาพมีอายุประมาณ 5,320 ปี ในขณะที่อักษรลิ่มมีอายุประมาณ 5,450 ปี

    เพราะเทคโนโลยีการวัดอายุทุกรูปแบบไม่แม่นยำ คือมีความคลาดเคลื่อน ดังนั้นความแตกต่างเพียง 130 ปี จากเวลาทั้งหมด 5,000 ปี จึงทำให้นักประวัติศาสตร์และนักภาษาศาสตร์ไม่สามารถฟันธงได้ว่า ชาวสุเมเรียนหรือชาวอียิปต์รู้จักประดิษฐ์อักษรเป็นภาษาเขียนขึ้นใช้เป็นชน ชาติแรกของโลก

    ส่วนในเอเชียก็มิได้น้อยหน้าในการคิดสร้างอักษร เพราะมีการขุดพบโบราณวัตถุในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus) ในปากีสถาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดินแดนแถบนี้เคยมีอารยธรรมสินธุ (Indus Civilization) ที่เคยรุ่งเรืองเมื่อ 5,000 ปีก่อน การวัดอายุของหลักฐานที่พบในเมือง Harappa แห่งแคว้นปัญจาบและ Mohenjo-daro ในแคว้น Sind โดย Daya Ram Sahni เมื่อ 90 ปีก่อน ทำให้โลกรู้ว่าอารยธรรม Harappan มีภาษาเขียนอายุ 5,400 ปี

    ดังนั้นการขุดพบอักษรภาพทั้งในอียิปต์และปากีสถาน จึงทำให้เรารู้ว่า ความรู้เดิมที่ว่าชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าแรกที่รู้จักใช้ภาษาเขียนนั้น อาจไม่ถูกต้องเพราะชาวอียิปต์และชาว Harappan ต่างก็รู้จักประดิษฐ์อักษรขึ้นใช้ในเวลาไล่เลี่ยกัน

    คำถามที่นักภาษาศาสตร์กำลังมุ่งหาคำตอบต่อไปคือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มนุษย์รู้จักสร้างภาษาเขียน ความจำเป็นทางเศรษฐกิจหรือความศรัทธาทางศาสนาที่ผลักดันให้มนุษย์สร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้ ทั้งนี้เพราะได้พบว่าเนื้อหาที่ภาษาโบราณเหล่านี้สื่อ มีทั้งคำสวดมนต์และข้อมูลการค้าขาย โดยอักษรภาพของอียิปต์มักบรรยายเรื่องพิธีกรรมทางศาสนา แต่อักษรลิ่มของชาวสุเมเรียนมักกล่าวถึงการค้าขายและบัญชีทรัพย์สิน

    ในวารสาร History Today ฉบับเดือนสิงหาคม 2002 Andrew Robinson ได้กล่าวถึงความยากลำบากในการอ่านและเข้าใจความหมายของภาษาโบราณที่สาบสูญไป จากโลกเป็นเวลานาน เพราะนักภาษาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีมักสนใจใคร่รู้ว่า มนุษย์ที่ใช้ภาษาเขียนเหล่านั้นคือใคร และข้อมูลที่ถูกบันทึกมีความหมายอย่างไร ปริศนาภาษาจึงเป็นเรื่องที่ยากจะหาคำตอบ เพราะคนที่เขียนและพูดภาษานั้นๆ ได้ตายไปหมดแล้ว

    แต่ในกรณีอักษรภาพบางครั้งก็สามารถอ่านได้ เช่นนักภาษาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Jean-François Champollion ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่อ่านภาษาโบราณได้ในปี 1827 โดยอาศัยศิลา Rosetta Stone ซึ่งมีแสดงการแปลอักษรภาพเป็นภาษากรีก และภาษาอียิปต์ (demotic) บนศิลาแผ่นเดียวกัน และ Champollion ได้พบว่าภาษาทั้งสามมีความหมายเดียวกัน เพราะภาษากรีกเป็นภาษาที่สามารถเข้าใจได้ดีที่สุดการรู้เช่นนี้ทำให้ Champollion สามารถอ่านอักษรภาพออกได้หมด
    การอ่านภาษาของอารยธรรมที่สาบสูญออกจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและ ยากลำบากมากที่สุดแบบหนึ่ง เพราะความรู้ที่ได้จากการอ่านภาษาของชาวสุเมเรียน จะทำให้นักประวัติศาสตร์รู้ว่า กษัตริย์ Hammurabi แห่งอาณาจักรบาบิโลนเมื่อ 3,800 ปีก่อนทรงออกกฎหมายฉบับแรกของโลกบังคับให้ประชาชนของพระองค์ปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าถ้าทุกคนปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายที่จารึกไว้บนแผ่นหิน basalt แล้วอาณาจักรจะเจริญรุ่งเรือง และประชาชนทุกคนจะมีความสุข

    การถอดความหมายของอักษรภาพทำให้โลกรู้ว่า ชาวอียิปต์โบราณมีต้องการความเป็นอมตะ ดังนั้นจึงได้จารึกอักษรตามบริเวณหลุมฝังศพ และตามตัวมัมมี่ เป็นคำพูดของผู้ที่เสียชีวิต เสมือนจะให้ทุกคนยึดมั่นในคำสั่งสองของคนคนนั้นทั้งๆ ที่เขาได้ตายไปแล้ว

    ความต้องการจะล่วงรู้อนาคตก็เป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งในการใช้ภาษาเขียน ของชาวมายาการอ่านภาษาในจารึกทำให้รู้ว่า มีข้อความมากมายในภาษานี้ ที่ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะมีลักษณะเป็นข่าวทั่วไปที่พบในหนังสือพิมพ์ปัจจุบัน

    Rongo-rongo เป็นภาษาโบราณของผู้คนบนเกาะ Easter ที่ยังไม่มีใครอ่านออก คำ Rongo-rongo แปลว่า ท่องจำ เป็นคำที่ชาวเกาะ Easter เคยใช้ในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน และไม่มีใครในโลกปัจจุบันอ่านภาษานี้ออก เพราะชาวเกาะ Easter ผู้รู้ความหมายของภาษาได้ตายจากและอพยพไปจากเกาะจนหมดสิ้นแล้ว

    สำหรับภาษา Harappan นั้นก็ไม่มีใครรู้ความหมายเช่นกัน เพราะภาพที่ใช้ในภาษานี้เป็นภาพของแรด ช้าง เสือ และควาย แต่ไม่ปรากฏภาพของลิง นกยูง หรืองูเห่า ที่พบในอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือเลย ครั้นเมื่อนักภาษาศาสตร์พยายามอ่านและแปล รูปเหล่านี้ข้อความที่ได้ยังขัดแย้งกันมาก

    เราต้องอนุรักษ์ภาษาของเราให้คงอยู่ตลอดไป เพื่อไม่ให้อนุชนรุ่นหลังอีก 3,000 ปีถามว่า อักษรไทยที่เราเขียนใช้กัน ณ วันนี้มีความหมายอย่างไร แต่ปริศนาภาษาไทยก็ยังคงมีอยู่ว่า รูปแบบของอักษรไทยก่อนศิลาจารึกมีลักษณะเช่นไร มีใครจะสืบค้นคำตอบนี้บ้าง


    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000002876-


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    รู้จัก ประเทศอาเซียน ก่อนก้าวสู่ ประชาคมอาเซียน 2558




    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก flagspot.net , สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

    ใน สภาวะแห่งยุคทุนนิยม ที่เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับประเทศต่าง ๆ นั้นอยู่รวมกันเป็นสังคมโลก ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายได้ จึงต้องมีการรวมตัวกันของประเทศในแต่ละภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและพัฒนาประเทศในภูมิภาคไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน จึงได้มีข้อตกลงให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภาย ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)

    แต่ ก่อนที่เราจะมาดูเนื้อหาสาระของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนนี้ เราจะมาย้อนดูกันรวมตัวกันของประเทศในอาเซียนว่ามีการรวมตัวกันได้อย่างไร จนมาเป็นอาเซียนในปัจจุบัน

    โดยอาเซียนหรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อ พ.ศ. 2538 ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกใน พ.ศ.2540 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อ พ.ศ. 2542 ปัจจุบันอาเซียนมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ

    [​IMG] รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน


    [​IMG]


    1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)

    ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็น เมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

    [​IMG] อ่านข้อมูลของประเทศบรูไนได้ที่นี่


    [​IMG]


    2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

    เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศกัมพูชา ได้ที่นี่


    [​IMG]


    3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

    เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศอินโดนีเซีย ได้ที่นี่


    [​IMG]


    4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)

    เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศลาว ได้ที่นี่


    [​IMG]


    5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

    เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศมาเลเซีย ได้ที่นี่

    [​IMG]


    6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

    เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศฟิลิปปินส์ ได้ที่นี่


    [​IMG]


    7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

    เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศสิงคโปร์ ได้ที่นี่


    [​IMG]


    8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

    เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศไทย ได้ที่นี่


    [​IMG]

    9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

    เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศเวียดนาม ได้ที่นี่


    [​IMG]


    10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

    มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ

    [​IMG] อ่านข้อมูลประเทศพม่า ได้ที่นี่



    [​IMG]


    ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา อาเซียนได้เกิดความร่วมมือ รวมทั้งมีการวางกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างความเข็มแข็ง รวมถึงความมั่นคงของประเทศสมาชิกทั้งด้านความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนได้วางแนวทางก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ภายใต้คำขวัญคือ "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม" (One Vision, One Identity, One Community) โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประชาคม คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political Security Community : APSC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community : ASCC)

    โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2552 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ค.ศ. 2009-2015) เพื่อจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประชาคมอาเซียนประกอบด้วยเสาหลัก 3 เสา ดังต่อไปนี้

    [​IMG] 1.ประชาคม การเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community – ASC) มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูป แบบใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและมั่นคง

    [​IMG] 2.ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน โดย

    [​IMG] มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020

    [​IMG] ทําให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base)

    [​IMG] ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและ ช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน

    [​IMG] ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคตลาดการเงินและตลาดทุน การปะกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพิ้นฐานและการคมนาคม พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน

    กลุ่มสินค้าและบริการนำร่องที่สำคัญ ที่จะเกิดการรวมกลุ่มกัน คือ สินค้าเกษตร / สินค้าประมง / ผลิตภัณฑ์ไม้ / ผลิตภัณฑ์ยาง / สิ่งทอ / ยานยนต์ /อิเล็กทรอนิกส์ / เทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) / การบริการด้านสุขภาพ, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน) กำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีที่เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ โดยผ่อนปรนให้กับประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียตนาม สำหรับประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ทำ Roadmap ทางด้านท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน)


    [​IMG]


    [​IMG] 3.ประชาคม สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้อ อาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม

    สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาอาเซียน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษา ซึ่งจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่น ๆ ให้มีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และจะมีการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันในประชาคมอาเซียน



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    สมาคมอาเซียน-ประเทศไทย


    -http://hilight.kapook.com/view/67028-

    .
     
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อาหารต้านเพลีย

    วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.
    [​IMG]
    <!-- /.images-list-items -->
    <!-- /.images-list-container -->
    <!-- /.images-list-wrapper -->

    <!-- /.featured-img -->บำบัดอาการเพลียด้วย “สารอาหารธรรมชาติ” ช่วยบำรุงกำลัง คืนจิตสดใส กายกระปรี้กระเปร่า
    “อ่อนเพลีย” เป็นหนึ่งในอาการยอดฮิตของหลาย ๆ คน ไม่เพียงเกิดจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ตรากตรำเรียน-ทำงานหนัก เครียด หรือ กังวลเท่านั้น เมื่อใดที่ร่างกายอยู่ในภาวะพร่อง “สารอาหารบางจำพวก” ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รู้สึก “เหนื่อยล้า” ได้เช่นกัน
    สารอาหารแรกคือ “ธาตุเหล็ก” พบมากในเนื้อสัตว์ ทั้งหมู ไก่ กุ้ง หอย ปลา ไข่ ตับ และจากพืช จำพวกผักกาดหอม ฟักทอง ต้นหอม มะเขือพวง ใบขี้เหล็ก มันเทศ เผือก ลูกพรุน ถั่ว ลูกเดือย งา มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด เมื่อร่างกายขาดจะทำให้โลหิตจาง อ่อนเพลีย สมาธิสั้น การเรียนรู้ลดลง เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อในร่างกาย และสมองได้น้อยลง
    ถัดมาเป็น “แมกนีเซียม” จากเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักใบเขียว อัลมอนด์ มีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อระบบประสาท สมอง และช่วยการทำงานของทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นในการเสริมสร้างสารเมลาโตนิน หรือ สารสื่อประสาท ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ วิตกกังวลน้อยลง เมื่อร่างกายขาดจะทำให้เกิดความรู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้
    นอกจากนั้น ยังรวมถึง “วิตามินซี” ซึ่งมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ อย่างกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี โดยขณะประกอบอาหารไม่ควรต้ม หรือ ผัดนานเกินไป เนื่องจากความร้อนจะทำลายวิตามินซีได้ง่าย นอกจากนั้น ยังพบในมะเขือเทศ ส้ม ฝรั่ง มะละกอ กล้วย สับปะรด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เมื่อร่างกายขาดจะมีอาการอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียได้ง่าย
    สารอาหารข้างต้นถือเป็นยาชูกำลังชั้นดี รับประทานประจำในปริมาณพอเหมาะ นอกจากจะอิ่มท้อง ยังได้คุณค่าทางโภชนาการด้วย.
    ที่มา เดลินิวส์ออนไลน์
     
  16. TrainSSS

    TrainSSS สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +4
    สวัสดีครับ...พี่ๆทุกท่าน
    มีเรื่องขอสอบถามเกี่ยวกับเบี้ยแก้ครับ พอดีได้มา 1ชิ้น แต่ว่าเมื่อไปเลี่ยมพลาสติกแล้วพบว่าพอเขย่าแล้วน้ำปรอทรั่วออกมาได้ดังรูป ไม่รู้ว่าทำอย่างดีครับ จะไม่รั่วออกจนหมดหรือครับ...
    กะว่าจะพกไว้ช่วยหน่อย...เผื่อว่าจะกลับร้ายกลายเป็นดีได้บ้างครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC08882.JPG
      DSC08882.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      98
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มกราคม 2012
  17. TrainSSS

    TrainSSS สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +4
    สงสัยว่าจะเฝ้าอยู่คนเดียว...ไม่เห็นใครเลยครับ
    โหวงๆอีกและครับ...อิอิ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเลี่ยมพลาสติกปิดทั้งหมด ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยครับ

    หากเป็นผม จะเก็บไว้ที่บ้าน โดยแกะพลาสติกออกครับ

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>การศึกษาบุตรกับค่าอุปการะเลี้ยงดู...คนละเรื่องเดียวกัน/มังกรซ่อนกาย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=40><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>29 มกราคม 2555 22:41 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT src="http://platform.twitter.com/widgets.js" type=text/javascript></SCRIPT>


    <SCRIPT src="https://apis.google.com/js/plusone.js" type=text/javascript> {lang: 'th'}</SCRIPT><?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><G:pLUSONE size="medium"></G:pLUSONE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    การให้การศึกษาที่ดีแก่บุตรถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้บางครอบครัวบิดามารดาจะขัดแย้งกันถึงกับต้องหย่าขาดจากกัน แต่หากยังคงให้ความสำคัญแก่บุตร โดยให้การอุปการะส่งเสียให้บุตรได้มีโอกาสทางการศึกษาที่ดี ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่บิดามารดาที่ดีแล้วในระดับหนึ่ง แต่เรื่องการศึกษาของบุตรบางครั้งก็อาจถูกนำมาเป็นข้อเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูได้เช่นกัน จึงขอนำเรื่องที่มีปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรมาให้ได้ศึกษากัน กล่าวคือ


    นายช้างกับนางหนูนา เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตร 2 คน คือ ด.ช.หมี อายุ 7 ปี และด.ญ. กวาง อายุ 5 ปี นายช้างเป็นวิศวกรมีรายได้ประมาณ 100,000 - 120,000 บาทต่อเดือน ส่วนนางหนูนา ทำกิจการร้านเสริมสวย มีรายได้ 20,000 - 30,000 บาทต่อเดือน มีที่พักอาศัยอยู่ที่จังหวัดลำพูน แต่เนื่องจากนายช้าง เป็นวิศวกรต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อคุมงานก่อสร้างหลายแห่ง ส่วนนางหนูนา ต้องอยู่ดูแลร้านเสริมสวยที่จังหวัดลำพูน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองห่างเหินกัน ในที่สุดทั้งสองจึงตกลงสมัครใจหย่าขาดกัน เพื่อให้ต่างฝ่ายได้มีอิสระในการทำงาน

    เมื่อสมัครใจแยกกันจึงได้ตกลงเรื่องการเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง โดยตกลงว่าบุตรทั้งสองให้ให้อยู่กับนางหนูนาเป็นผู้เลี้ยงดู และต้องร่วมกันส่งเสียให้บุตรทั้งสองได้เรียนจนจบในระดับอุดมศึกษา โดยนางหนูนาเสนอว่าจะให้บุตรทั้งสองได้เรียนโรงเรียนนานาชาติที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาสูง และนางหนูนาต้องย้ายไปประกอบอาชีพอยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียนที่บุตรทั้งสองต้องเข้าเรียน ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นางหนูนาขอให้นายช้างช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุตรจำนวน 60,000 บาทต่อเดือน ส่วนที่เหลือตนเองจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง

    นายช้างเห็นว่าการให้โอกาสบุตรได้ศึกษาที่โรงเรียนนานาชาตินั้นเป็นผลดีกับบุตรที่จะมีทักษะการเรียนรู้ทางด้านภาษาและวิชาการอื่น ๆ ที่ดี และทันสมัยจึงตกลงกับนางหนูนาตามนั้น ซึ่งในปี 2550 นั้นเอง นายช้างกับนางหนูนา จึงได้จดทะเบียนหย่ากันที่จังหวัดลำพูน โดยได้ทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าว่าให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่ในอำนาจปกครองของนางหนูนาแต่ผู้เดียว ให้นายช้างจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ 60,000 บาท

    เมื่อจดทะเบียนหย่ากันแล้ว นายช้างได้ไปทำงานในจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัด และได้ส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูให้นางหนูนาตามที่ตกลงกัน จำนวน 60,000 บาททุกเดือนโดยตลอด ต่อมาในปี 2552 นายช้างได้มีโอกาสที่จะได้ไปคุมงานที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ติดต่อนางหนูนาสอบถามถึงบุตรทั้งสองว่าพักอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติหรือไม่ อย่างไร นายช้างจะได้ไปพบบุตรทั้งสองในช่วงที่ไปคุมงานที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ปรากฏว่านางหนูนาไม่ได้ให้บุตรทั้งสองเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติที่จังหวัดเชียงใหม่ตามที่ได้ตกลงไว้กับนายช้าง แต่กลับให้เข้าเรียนภายในจังหวัดลำพูน และยังพักอาศัยอยู่ที่เดิม โดยนางหนูนาอ้างว่าลูกค้าที่ร้านเสริมสวยมีมากขึ้น หากย้ายไปทำที่จังหวัดเชียงใหม่เกรงว่าจะไม่มีลูกค้าเท่าเดิม จึงไม่ได้ย้ายไปที่จังหวัดเชียงใหม่ บุตรทั้งสองจึงไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติตามที่ตกลงกับนายช้างไว้

    นายช้างทราบเรื่องรู้สึกโกรธและเสียใจที่บุตรทั้งสองไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติตามที่ตกลงกันไว้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองส่งเงินจำนวน 60,000 บาทให้แก่นางหนูนาทุกเดือน ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา นายช้างจึงได้ให้ทนายความยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ถอนอำนาจปกครองของนางหนูนา และขอว่า หากศาลยังคงให้นางหนูนามีอำนาจปกครองบุตรต่อไป ก็ให้ลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเหลือเพียงเดือนละ 20,000 บาท นางหนูนาโต้แย้งว่านายช้างไม่มีสิทธิยื่นคำร้องให้ถอนอำนาจปกครองและลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากความสมัครใจของนายช้าง และได้มีการบันทึกข้อตกลงไว้ท้ายทะเบียนหย่าแล้ว นายช้างไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ และการถอนอำนาจปกครองบุตรและลดค่าอุปการะเลี้ยงดูมิได้เกิดจากการยื่นคำฟ้อง ดังนั้น การยื่นคำร้องของนายช้างดังกล่าวจึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายที่จะทำได้ขอให้ศาลยกคำร้อง

    ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าตามคำร้องของนายช้าง นอกจากมีคำขอให้ลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแล้วยังขอให้มีคำสั่งถอนอำนาจปกครองของนางหนูนาและตั้งผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองด้วย ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อค่าอุปการะเลี้ยงดูด้วยหากศาลมีคำสั่งตามคำร้องให้นายช้างเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง นายช้างก็ไม่จำต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่นางหนูนาตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าอีกต่อไป ซึ่งศาลมีอำนาจแก้ไขได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ มิใช่ไม่มีดังข้อเถียง คำขอให้ถอนอำนาจปกครองจึงเป็นคำขอหลักส่วนคำขอให้ลดค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นคำขอรองที่เกี่ยวเนื่องกับคำขอหลัก แม้ตามข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าจะกำหนดให้นางหนูนาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร แต่ถ้าภายหลังพึงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ใช้อำนาจปกครอง ศาลก็มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1527 ประกอบ มาตรา 1566 (5) แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดวิธีการที่คดีจะมาสู่ศาล แสดงว่าบทบัญญัติดังกล่าวประสงค์จะให้คดีขึ้นสู่ศาลได้โดยทำเป็นคำฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาท และทำเป็นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทได้ด้วย นายช้างผู้ร้องจึงชอบที่จะเสนอคดีขอให้ถอนอำนาจปกครองโดยทำเป็นคำร้องขอ รวมทั้งชอบที่จะเสนอคดีขอให้ลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งเกี่ยวเนื่องกันเข้ามาให้คำร้องขอฉบับเดียวกันได้ ส่วนการลดค่าอุปการะเลี้ยงดู ตามป.พ.พ.มาตรา 1598/39 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อผู้มีส่วนได้เสียแสดงว่าพฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีได้เปลี่ยนแปลงไปศาลจะสั่งแก้ไขเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยให้ เพิ่กถอน ลด เพิ่ม หรือ กลับให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกก็ได้ มาตรา 1598/38 ที่ว่าค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี

    เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่นายช้างตกลงให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ 60,000 บาทนั้น เป็นไปในข้อไขอนาคตว่านางหนูนาจะให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองเรียนหนังสือที่โรงเรียนนานาชาติในจังหวัดอื่น แต่ปรากฏว่านางหนูนาให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองเข้าเรียนที่โรงเรียนในจังหวัดลำพูนซึ่งเป็นภูมิลำเนาของนางหนูนาเอง อันเป็นพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเหมาะสมที่จะให้ลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองลงมา คงให้นางหนูนาใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง ให้นายช้างจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองในระหว่างเรียนชั้นอนุบาล และชั้นประถมคนละ 10,000 บาทต่อเดือน ในระดับชั้นมัธยมศึกษาคนละ 15,000 บาทต่อเดือน ในระดับชั้นอุดมศึกษาคนละ 20,000 บาทต่อเดือนจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 4681/2552)

    -hiddendragon2552@gmail.com-

    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000013068-

    .
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สงสัยว่า ตัวปรอท จะเริงร่าออกมาให้ดูหน้าตาข้างนอก....ไปเขย่าเล่นทำไม???

    ลักษณะนี้ ตามหลักเภสัชฯ หรือเวชกรรม เรียกธาตุกำเริบ หย่อน พิการ เบี้ยแก้ที่ไม่สามารถคงคุณสมบัติเดิมได้ จะนำมาแก้ร้ายเป็นดีไม่ได้ ๑๐๐% กลับจะทำดีให้ร้ายด้วยซ้ำไป..

    ให้ดีหากทราบที่มาที่ไป ก็ลองสอบถามครูบาอาจารย์ผู้สร้างอีกที..
     

แชร์หน้านี้

Loading...