คำทำนายภัยพิบัติที่แม่นยำ และการปกป้องภัยพิบัติ ของพระมหาโพธิสัตว์ยุคกึ่งพุทธกาล

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา, 15 กันยายน 2011.

  1. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    จุดประสงค์การสนทนาผมยังยืนยันว่ามาหาทางออกและสร้างภูมิคุ้มกันทางปัญญาร่วมกัน ไม่ได้มาเถียงเพื่อเอาชนะ
    ผมมีความสามารถอธิบายได้แค่นี้ จะเข้าใจหรือไม่ก็พิจารณาเองละกัน ผมว่าผมได้พูดในสิ่งที่อยากพูดแล้ว ถ้าจะมาต่อความยาวสาวความยืดคงไม่มีประโยชน์และเปลืองเนื้อที่ของเจ้าของกระทู้มากไป รบกวนลุงมหาแค่นี้ละกันครับ
     
  2. gamemaster

    gamemaster Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +62
    โอ้วขึ้นมาหน้าหนึ่งอีกแล้ว คารวะ 1 จอก -*- ผมมาดันช่วยครับ ตกไปหลายหน้ารับไม่ได้เหมือนกัน กระทู้ในตำนาน
     
  3. สิงหราชพล

    สิงหราชพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +230
    ^^ เมืองไทยเมืองพุทธ สังคมไทยสวยงามและร่มเย็น คนไทยสมัครสมานสามัคคีและมีน้ำใจ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  4. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ถ้าอยากสนทนาธรรมกับผม ก็ไปตั้งอีกกระทู้ก็ได้ ในหมวดพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้น อยากถามอยากคุยอะไรก็ว่ามา ถ้าตอบได้ ก็จะตอบ แต่จะไม่ตอบ ถ้า
    1 ไม่รู้จริง
    2 รู้แต่บอกไม่ได้ เพราะมีกฎมีเกณฑ์
    3 คุยไปก็เท่านั้น

    ส่วนเรื่องพระใหญ่ชัยภูมินะ ถ้าจะว่าไป ถึงแม้ไม่มีการนำมาโพสต์เป็นหัวข้อนี้ คนเค้าก็ไปสร้างพระใหญ่ชัยภูมิอยู่แล้ว เพราะเค้าบอกกันปากต่อปาก และนับวันมีแต่คนจะเพิ่มมากขึ้น ที่ลุงมหามาตั้งเป็นกระทู้ในหมวดภัยพิบัติ ก็เพราะลุงมหาเจตนาดีอยากให้ชุมชนในที่นี้ได้รับทราบ เพียงแต่ลุงมหาอาจให้ยาแรงและนำเสนอแบบดุดันไปหน่อย (555) คนฟังหลายคนฟังแล้วมีน้ำโหและหมั่นไส้ ยังไงตรงนี้ถ้าอภัยกันได้ก็อภัยกันไป ลุงมหาท่านก็มีบุญเก่าอยู่น่าดูเหมือนกันแหละ อย่าไปประมาทบุญบารมีลุงมหานะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

    แล้วก็เรื่องการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ทิพากรหรือในกระทู้อื่นๆของลุงมหา ก็ไม่มีตรงไหนบอกว่า เอาเว้ย ทำบุญ 100 ได้ขึ้นสวรรค์ 1 ขั้น ทำบุญ 1000 ได้ขึ้นสวรรค์สูงขี้นไปอีก 1 ขั้น เพราะฉะนั้นขอให้พิจารณาให้ดีๆ

    สุดท้าย ใครอยากสร้างกรรม ตอกย้ำกรรมของตัวเอง ก็ทำกันไป ไม่ขออนุโมทนาด้วย เมื่อวานเค้าแค่เตือน บางคนถึงกับขนลุกเลยไม่ใช่เหรอ ระวังครั้งหน้าเค้าจะเอาจริง และเมื่อใครบางคนบุญหมดเมื่อไหร่ เพราะไม่พยายามสั่งสมบารมี เอาแต่สร้างกรรม เมื่อนั้น วิบากกรรมจะมายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าท่าน ก็จงก้มหน้ารับกรรมไป !
     
  5. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ครับ ถ้าย้ายไปกระทู้ไหนฝากแปะลิงค์ไว้หน่อยนะครับเผื่อจะได้ไปคุยกันต่อ
    ขอรบกวนพื้นที่กระทู้นี้เป็นครั้งสุดท้ายละกัน (ขออภัยลุงมหาอีกครั้ง แต่คิดว่าเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันลุงมหาคงเมตตา)
    - เรื่องภัยพิบัติ ครูบาอาจารย์หลายท่านและผู้ที่ผมเคารพท่านบอกแค่ว่าผู้มีศีลมีธรรมจะอยู่รอด ท่านบอกมาแค่นี้ ผมเลยมาพิจารณาต่อว่าทำไมมีศีลจึงอยู่รอด ไม่ต้องเตรียมตัวอย่างอื่นเลยเหรอ ไม่ต้องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเลยเหรอ ทำไมพระท่านไม่เล่าบ้างว่าจะเกิดอะไรจะได้เตรียมตัวถูก (คิดในใจครับ ไม่ได้ถามเซ้าซี้แบบนี้หรอก ท่านเมตตาบอกแค่นี้ก็แค่นี้) พอพิจารณาเองเลยคิดว่าคงเป็นเพราะผู้มีศีลย่อมต้องมีสติปัญญา มีการภาวนา รู้เท่าทันอารมณ์และอกุศลจิตใดๆที่มากระทบ อย่างที่ได้อธิบายไป หรือเป็นเพราะผู้มีศีลก็ย่อมอยู่ใกล้พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เวลามีอะไรก็อาศัยบารมีท่านคุ้มครอง หรือจริงๆแล้วก็คือการถือศีลทำให้มีอานิสงฆ์มาก เพราะเราเกิดได้ก็เพราะบุญ อยู่ได้ก็เพราะบุญ พบคนก็ด้วยบุญ จากคนก็ด้วยบุญ ดังนั้นบุญจึงมีความสำคัญมาก เอาข้อมูลมาให้อ่านเรื่องอานิสงฆ์การทำบุญกันครับตามลิงค์ด้านล่าง

    โดยสรุปคือ อานิสงฆ์ของการทำบุญ ทาน < ศีล < ภาวนา
    ทานที่ได้บุญมากคือการทำทานกับผู้มีศีล การสร้างศาสนสถาน สร้างสาธารณูประโยชน์ต่างๆ แต่ที่อานิสงฆ์มากสุด คือ อภัยทาน
    แต่ศีลนั้นอานิสงฆ์มากกว่า ส่วนภาวนานั้นมากสุดโดยเฉพาะการภาวนาจนเกิดปัญญาทางธรรม

    ดังนั้นที่คุณกล่าวว่าบุญมีความสำคัญทำให้รอดพ้นได้ ตรงนี้ผมเห็นด้วย (ตอนแรกคิดไปเองว่าศีลกับบุญคนละเรื่อง ทั้งที่ก็เรื่องเดียวกัน เป็นเหตุเป็นผลกัน) เห็นด้วยว่าต้องหมั่นสร้างบุญบารมี
    เมื่อเห็นความสำคัญของการทำบุญก็พิจารณากันเองละกันว่าทำบุญแบบไหนได้บุญสูงสุด ถ้าเรามีทุนทรัพย์ไม่มากจะทำอย่างไรให้ได้อานิสงฆ์มาก คงฝากไว้แค่นี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  6. นางไพจิตต์

    นางไพจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +956
    "ขออนุญาตครับ

    วันนี้ผมขอเสนอเรื่องสองเรื่อง

    คือ คำทำนายอันแม่นยำ ของท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์
    ผู้ที่มีอดีตชาติเป็นช้างป่า "ปาลิไลยกะ"
    และเป็นผู้ที่พระพุทธองค์ของเราได้ทำนายว่า ท่านจะไปเกิดเป็น
    พระพุทธเจ้าพระองค์ที่สิบ พระนามว่า "สุมังคละ"

    เรืองที่1 คำทำนายเรื่องน้ำท่วมในปีนี้

    จากคลิปวีดีโอข้างล่างที่ผมได้ถ่ายทำไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2554

    เวลาในคลิป นาทีที่ 25:46 - 26:00

    ด้วยเวลาเพียงแค่
    15 วินาที

    ท่านอาจารย์ทิพากรได้บอกเล่าออกมาว่า

    "ปีนี้ฝนจะตกกว่าปีที่แล้วนะ"
    "น้ำจะมากกว่าปีที่แล้ว...นะครับ"
    "ทุกคนควรจะหาที่สูงๆอยู่นะครับ"
    "ทุกคนควรจะหาที่สูงๆอยู่"
    "ต่อไปควรจะหาที่สูงอยู่"


    ถึงวันนี้ก็ได้พิสูจน์ คำพยากรณ์อันแม่นยำนั้นแล้ว

    เรื่องที่ 2 ผู้ปกป้องภัยพิบัติของประเทศไทยตัวจริง"
    ......................................................

    ขออนุญาต...นะค่ะ...ที่สูงๆๆๆๆ...นะระดับไหน
    ที่อำนาจพอไหวไหมค่ะดูให้หน่อย...ใกล้ๆ พระมงคลมิ่งเมืองเขาดานพระบาท...ดูให้หน่อยค่ะ:cool:

     
  7. ณ เขาควง

    ณ เขาควง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +304
    ณ เขาควง >>> ผมทำสมาธิภาวนาประจำครับ ผมระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นประจำ กำหนดลมหายเข้า-ออก พุทโธ ตามหลักคำสอนของหลวงปู่มั่นจนเป็นเรื่องปกติ

    khomeraya>>> ก็ดีแล้วนี่ครับ ว่าแต่ว่า อุทิศส่วนกุศลเป็นประจำด้วยมั้ย ถ้าไม่ทำ ก็ทำเสีย........

    แล้วที่สำคัญ ถ้ายึดมั่นตามแนวหลักธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่นจริง ก็ต้องหัดวางเฉยให้มากกว่านี้ ไม่ใช่หรือ ? หลวงปู่มั่นท่านสอนให้ผู้เดินตามแนวทางของท่านมีไฟลุกโชนอยู่ในใจมั้ยละ ? >>>>


    ผมไม่ต้องการให้ พระศาสนา ถูกนำไปใช้ในสิ่งที่ผิด ผมจึงต้องออกมาปกป้องพระศาสนา ขจัดเหลือบของพระศาสนา ให้หมดสิ้นไป
    จำไว้... ผมจะร่วมขจัดเหลือบพระศาสนา...หลังสิ้น..ภัยพิบัติใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2012
  8. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    .........
    ผมไม่ต้องการให้ พระศาสนา ถูกนำไปใช้ในสิ่งที่ผิด ผมจึงต้องออกมาปกป้องพระศาสนา ขจัดเหลือบของพระศาสนา ให้หมดสิ้นไป
    จำไว้... ผมจะร่วมขจัดเหลือบพระศาสนา...หลังสิ้น..ภัยพิบัติใหญ่


    555 เอางั้นเลยเหรอ ยังคิดว่าเหลือบพระศาสนาเหลือรอดหลังภัยพิบัติใหญ่เหรอ อย่าว่าแต่เหลือบพระศาสนาเลย คนตาดำๆนี่แหละ จะเหลือถึงหนึ่งส่วนหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่................
     
  9. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ครับ ถ้าย้ายไปกระทู้ไหนฝากแปะลิงค์ไว้หน่อยนะครับเผื่อจะได้ไปคุยกันต่อ
    ขอรบกวนพื้นที่กระทู้นี้เป็นครั้งสุดท้ายละกัน (ขออภัยลุงมหาอีกครั้ง แต่คิดว่าเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันลุงมหาคงเมตตา)

    เอาเป็นว่า ถ้าคุณสงสัยอะไร ก็ไปตั้งกระทู้แล้วกัน

    - เรื่องภัยพิบัติ ครูบาอาจารย์หลายท่านและผู้ที่ผมเคารพท่านบอกแค่ว่าผู้มีศีลมีธรรมจะอยู่รอด ท่านบอกมาแค่นี้ ผมเลยมาพิจารณาต่อว่าทำไมมีศีลจึงอยู่รอด ไม่ต้องเตรียมตัวอย่างอื่นเลยเหรอ ไม่ต้องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเลยเหรอ ทำไมพระท่านไม่เล่าบ้างว่าจะเกิดอะไรจะได้เตรียมตัวถูก (คิดในใจครับ ไม่ได้ถามเซ้าซี้แบบนี้หรอก ท่านเมตตาบอกแค่นี้ก็แค่นี้) พอพิจารณาเองเลยคิดว่าคงเป็นเพราะผู้มีศีลย่อมต้องมีสติปัญญา มีการภาวนา รู้เท่าทันอารมณ์และอกุศลจิตใดๆที่มากระทบ อย่างที่ได้อธิบายไป หรือเป็นเพราะผู้มีศีลก็ย่อมอยู่ใกล้พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เวลามีอะไรก็อาศัยบารมีท่านคุ้มครอง หรือจริงๆแล้วก็คือการถือศีลทำให้มีอานิสงฆ์มาก เพราะเราเกิดได้ก็เพราะบุญ อยู่ได้ก็เพราะบุญ พบคนก็ด้วยบุญ จากคนก็ด้วยบุญ ดังนั้นบุญจึงมีความสำคัญมาก เอาข้อมูลมาให้อ่านเรื่องอานิสงฆ์การทำบุญกันครับตามลิงค์ด้านล่าง


    ท่านบอกว่าผู้มีศีลมีธรรมจะรอด เพราะถ้าเป็นผู้มีศีลมีธรรมจริงๆนั้น ทั้งทาน ศีล ภาวนา เค้ากวาดหมด ไม่เหลือ
    ท่านไม่ได้หมายความว่า เอ้า เอ็งรักษาศีลไปเท่านั้น แต่เอ็งไม่ต้องทำบุญ เอ็งไม่ต้องภาวนา เราฟังครูบาอาจารย์สอน ต้องปัญญาไว........

    โดยสรุปคือ อานิสงฆ์ของการทำบุญ ทาน < ศีล < ภาวนา
    ทานที่ได้บุญมากคือการทำทานกับผู้มีศีล การสร้างศาสนสถาน สร้างสาธารณูประโยชน์ต่างๆ แต่ที่อานิสงฆ์มากสุด คือ อภัยทาน

    พระพุทธเจ้าโปรดองคุลีมาร เพราะอภัยทาน หรือธรรมทานกันแน่ ? ถ้าพระพุทธเจ้าเพียงให้อภัยทาน แต่ไม่สอนองคุลีมารต่อ องคุลีมารยังจะเลิกฆ่าคนมั้ย ?

    หากแต่เป็นเพราะพระพุทธเจ้าตรัสออกมาว่า "เราหยุดแล้ว แต่ท่านซิไม่หยุด" เท่านั้นแหละ องคุลีมารวางดาบและเริ่มมีดวงตาเห็นธรรม นั่นแหละ เค้าถึงบอกว่า การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง..........

    แต่ศีลนั้นอานิสงฆ์มากกว่า ส่วนภาวนานั้นมากสุดโดยเฉพาะการภาวนาจนเกิดปัญญาทางธรรม

    เรื่องทาน ศีล ภาวนา เนี่ย ฟังที่ผมพูดต่อไปนี้นะ ไม่ต้องเชื่อผมมากก็ได้

    ทาน ศีล ภาวนา ที่เค้าบอกว่าให้เป็นขั้นๆ ทาน อานิสงส์ต่ำกว่าศีล และถ้าอยากดี ก็ต้องภาวนา อันนั้นนะ ฟังให้ดีๆนะ.... เค้าหมายถึง คนที่ยังทำไม่ครบทั้ง 3 ส่วน เค้าถึงได้กระตุ้นให้คนทำให้ครบไง ! ทีนี้เข้าใจหรือยัง

    ดังนั้นที่คุณกล่าวว่าบุญมีความสำคัญทำให้รอดพ้นได้ ตรงนี้ผมเห็นด้วย (ตอนแรกคิดไปเองว่าศีลกับบุญคนละเรื่อง ทั้งที่ก็เรื่องเดียวกัน เป็นเหตุเป็นผลกัน) เห็นด้วยว่าต้องหมั่นสร้างบุญบารมี
    เมื่อเห็นความสำคัญของการทำบุญก็พิจารณากันเองละกันว่าทำบุญแบบไหนได้บุญสูงสุด ถ้าเรามีทุนทรัพย์ไม่มากจะทำอย่างไรให้ได้อานิสงฆ์มาก คงฝากไว้แค่นี้ครับ

    จริงๆเรื่องการทำบุญอย่างเดียวนะ มันมีหลายแง่มุมมากที่คนไม่เข้าใจ และคาดไม่ถึง

    แต่ผมจะเล่าเรื่องผลแห่งบุญให้ฟังอย่างหนึ่ง

    เคยได้ยินหลวงพ่อสายทอง วัดป่าห้วยกุ่มมั้ย ท่านจะเป็นพระอภิญญาหรือไม่ ไม่ทราบ

    วันหนึ่งผมก็ไปกับคณะตั้งใจจะไปกราบหลวงพ่อสายทอง ไม่เคยไปวัดป่าห้วยกุ่มมาก่อน ก็ถามทางเค้าไปเรื่อย ไปถึงหน้าประตูวัดป่าห้วยกุ่ม ประตูวัดปิด มีหลวงตาแก่ๆรูปหนึ่งกวาดลานวัดอยู่หลังประตูวัด ที่สำคัญมีรถของใครไม่รู้อยู่ข้างหน้ารถของทางคณะผม ก็คงจะมากราบหลวงพ่อสายทองแหละ พอรถคันนั้นเห็นประตูวัดปิด เค้าทำไงทราบมั้ยครับ เค้าหันรถกลับทันที แบบไม่ลงไปถามอะไรด้วย

    พอทางคณะผมจอดรถ พวกผมก็เดินไปถามหลวงตาแก่ๆรูปนั้นว่าหลวงพ่อสายทองอยู่มั้ย หลวงตารูปนั้นไม่ตอบ แต่ชี้ให้พวกผมเดินไปศาลาใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าโน่น พวกผมก็นึกว่าหลวงพ่อสายทองคงอยู่ในศาลานั้น ก็เดินไปรอ สักพักหนึ่ง หลวงตาแก่ๆรูปนั้นแหละก็เดินมา ที่แท้ท่านก็คือหลวงพ่อสายทองเอง

    นี่แหละ บางครั้งเรื่องบางเรื่องในโลกนี้ เรานึกว่าเป็นปัญญา เป็นความสามารถ หรือเป็นเหตุบังเอิญ แต่มันอาจไม่ใช่อย่างที่เรานึกเสมอไป..............
     
  10. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936




    ทานที่มีอานิสงค์มากที่สุด คือ อภัยทาน

    ผมชอบคำนี้ของท่านมากเลย..สาธุครับ
     
  11. Anond

    Anond สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    คำทำนายภัยพิบัติฯ

    สวัสดีครับคุณลุงมหาที่เคารพยิ่ง ผมบังเอิญได้มาอ่านคำตอบของคุณ ที่กล่าวว่าแม้แต่พราหมณ์ที่มาพบพระพุทธยังไม่เชื่อเลยว่าท่านตรัสรู้แล้ว ผมได้ศึกษาพระพุทธศาสนามานานพอสมควรแม้จะยังไม่มีโอกาสได้บวชเลย แต่ผมมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากท่านบัณฑิตย์ทางธรรมทั้งหลายที่แปลบาลี ว่า พราหมณ์ที่ได้พบพระพุทธเจ้าตอบว่าท่านตรัสรู้แล้ว ได้ส่ายหน้าไม่พูดอะไรก็เดินจากไปนั้นว่าเขาไม่เชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่ผมมีความเห็นตรงกันข้าม คือเห็นว่าที่เขาส่ายหน้านั้นแปลว่าเขาเชื่อ!!! ทำไมผมจึงมีเห็นเช่นนั้นก็เพราะในประเทศอินเดียแต่โบราณกาลนั้น การแสดงกิริยาส่ายหน้าของคนอินเดียมีความหมายว่า YES การจะปฏิเสธหรือ NO นั้น เขาพยักหน้าครับ นี่คือประเพณีของคนอินเดียครับ ไม่เชื่อก็ลองไปถามแขกอินเดียแถวพาหุรัดดูก็ได้ครับ และนี่ก็เป็นความผิดเพี้ยนของการแปลพระไตรปิฏกมาแต่โบราณกาล โดยแปลตามตัวอักษร แต่ไม่ได้พิจารณาประเพณีปฏิบัติของคนพื้นเมืองอินเดียประกอบด้วย อีกตัวอย่างหนึ่งก็ได้ กว่าจะแปลว่าพระพุทธเจ้าป่วยและเสด็จเข้าปรินิพพานโดยฉันเห็ดอ่อนชนิดหนึ่งซึ่งหมูชอบ ก็สอนกันมานานว่า ไปฉันเนื้อหมูอ่อนเป็นต้น ขอแสดงความคิดเห็นเพียงเท่านี้ ผิดถูกอย่างไรผมขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยครับ
    Anond
     
  12. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ต้องขออภัยต่อทุกๆท่านที่ตอบช้านะครับ

    ขออนุญาตครับ

    ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณท่าน khomeraya ที่ได้เมตตาเข้ามาแจมด้วย
    เห็นท่านหายไปนานมากๆ ตั้งแต่เข้ามาครั้งแรก
    ผมยังแอบดีใจ แถมน้อยใจนิดๆที่ท่านหายไปนาน


    ส่วนท่านที่ปฏิบัติไม่ถึงทำให้ไม่เข้าใจในธรรมมากพอทั้งๆที่ผมก็เตือนไปมากแล้ว ก็ขอยกคำสอนของท่านอาจารย์ปู่มาบอกเล่าอีกที

    ท่านอาจารย์ปู่ท่านสอนว่า


    "ไปว่าเขาเราดีพอหรือยัง?"
    "ถ้าเราดีพอแล้ว ไปว่าเขาทำไม?"
    "ใครจะมาบริจาคเงินมากมายเท่าใด ผมก็ไม่ได้สนใจ"
    "ผมสนใจแต่ว่า จิตของผู้ใดสว่าง ไสว จากการปฏิบัติเท่านั้น"


    เมื่อท่านผู้ใดชอบไขว่คว้าหากิเลส หาบาป หาอกุศล ใส่ตัวเอง
    ผมก็บอกอย่างชัดแจ้งแล้วว่า "ผมคงไปห้ามท่านไม่ได้"
    ผมก็เตือนท่านแล้วว่า "ท่านถามครูบาอาจาีย์ของท่านหรือยัง"


    ขออนุญาตตอบปัญหาของผู้ถามนะครับ

    ขอให้ท่านพิจารนาที่เหตุและผลนะครับ

    เหตุคือมีพราหมท่านหนึ่ง ได้มีโอกาสพบเจอพระพุทธองค์เป็นคนแรก

    ผลก็คือ พราหมท่านนั้นเดินผ่านพระพุทธองค์ไป เพราะความไม่เชื่อว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้จริงๆ

    วิเคราะห์วิจาร ถ้าพราหมท่านนั้นเชื่อ ท่านคงกราบนมัสการ พระพุทธองค์ พร้อมกับขอฟังธรรม คำสอน
    พราหมท่านนั้นก็จะกลายเป็นพุทธมามกะ ท่านแรก

    (เวลาชาวอินเดียในปัจจุบันเจอกัน เขาจะยกมือไหว้กันและกัน แล้วพูดว่า "นมัสการ")

    นี่ละครับที่ชาวพุทธต่างก็เสียดายแทนพราหมท่านนั้น

    โอกาสอันดีอยู่ข้างหน้า กลับปล่อยปะละเลยไปเสีย

    ผมก็เลยยกขึ้นมาเปรียบเทียบว่า ชาวพุทธที่รู้ข่าวการประกาศสร้างพระใหญ่ชัยภูมิของท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์

    ก็จะเข้ามาร่วมสร้าง ช้า เร็ว มาก น้อย ตามบุญวาสนาบารมีของตน

    อย่าได้ให้ปล่อยให้โอกาสอันดีผ่านไปเสีย

    ส่วนท่านที่หลงผิดเข้ามาต่อต้าน ด้วยเหตุผลของเขาว่า

    1.ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ เป็นพระโพธิสัตว์ยุคกึ่งพุทธกาล
    2.ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ มีอดีตชาติเป็นช้างปาลิไลยกะ
    3.ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ มีญาณที่สูงกว่าพระอรหันต์
    4.ไม่เชื่อว่า การสร้างพระใหญ่ชัยภูมิแล้ว จะลด จะป้องกัน จะแก้ไขภัยพิบัติได้
    5.ไม่เชื่อว่า ลุงมหา รู้ธรรม เห็นธรรม ในระดับที่สูงกว่าตน

    ก็ขอชี้แจงให้เข้าใจง่ายๆ เฉพาะท่านที่มีปัญญาที่พอจะเข้าใจเท่านนั้น


    1.ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ เป็นพระโพธิสัตว์ยุคกึ่งพุทธกาล

    ก็ท่านรู้ท่านเห็น ภัยพิบัติที่จะเกิดอย่างละเอียด จนประกาศสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ
    เพื่อแก้ไขภัยพิบัติ
    ความเสียสละ ความทรหดอดทน ต่อสู้ของท่านนั้น ยากจะหาผู้ใดมาเทียบได้


    2.ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ มีอดีตชาติเป็นช้างปาลิไลยกะ

    ก็ท่านได้เมตตาบอกเล่าออกมาเอง หลายกรรม หลายวาระ
    จนที่แม้แต่หนังสือประวัติของท่านก็เขียนไว้อย่างเด่นชัด
    ญาติธรรมพระใหญ่ต่างก็รับรู้กันทั่ว


    3.ไม่เชื่อว่า ท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ มีญาณที่สูงกว่าพระอรหันต์

    หรือมีท่านผู้ใด รู้ เห็นว่า
    มีพระอรหันต์พระองค์ใด ท่านรู้ ท่านเห็น ภัยพิบัติโดยละเอียด
    มีพระอรหันต์พระองค์ใด ประกาศ นำพาแก้ไขภัยพิบัติบ้าง

    แม้การเกิด แผ่นดินไหว สึนามิ ที่เพิ่งผ่านมา
    ท่านอาจารย์ทิพากร ท่านก็บอกอย่างชัดแจ้ง มาตั้งแต่เดือนมกราคม แล้วว่า




    เห็นไหมละครับ เชื่อไหมละครับ ก็สึนามิมันมาแค่ 30 เซ็นติเมตร
    น้อยกว่า คลื่นลม ประจำวันซะอีก

    เห็นสำนักอื่นๆ ทำนายใหญ่โต หน้าแตกไปตามๆกัน


    4.ไม่เชื่อว่า การสร้างพระใหญ่ชัยภูมิแล้ว จะลด จะป้องกัน จะแก้ไขภัยพิบัติได้

    สร้างพระใหญ่มาถึงแค่นี้ ก็ลด ก็แก้ ก็กัน ได้ขนาดนี้ พอจะเชื่อได้หรือยัง

    5.ไม่เชื่อว่า ลุงมหา รู้ธรรม เห็นธรรม ในระดับที่สูงกว่าตน

    ก็ ธรรม เป็นของรู้ได้เฉพาะตนไม่ใช่หรือ


    ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้เมตตาเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น
    แต่ถ้าท่านไม่สำรวมระวัง ไม่ใช้สติปัญญา พิจารนา ไตร่ตรอง ให้รอบคอบ
    แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นของท่าน มีประโยชน์ตรงที่
    ทำให้ผมทราบว่า ท่านที่ไม่เข้าใจ ข้องใจประเด็นไหน จะให้ผมอธิบายเพิ่มเติมอย่างไร

    แต่ถ้าท่านแสดงความคิดเห็น ไปในเชิงต่อต้าน รวมถึงชักชวนให้ผู้อื่นต่อต้านการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิแล้ว

    ผลที่ตามมาที่จะเกิดแก่ท่าน ยากจะมีผู้ใด บอกเล่า คิดคำนวณได้

    ขออนุโมทนาญาติธรรม ผู้มีจิตเป็นบุญเป็นกุศลทุกๆท่าน
    ขออนุโมทนา
    ขอขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  13. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อย่าเรียกผมว่า ท่านเลยครับ เรียกว่าคุณ khomeraya หรือเรียกชื่อ โคมระย้า เฉยๆก็ได้ครับ มีคนมาเรียกผมว่าท่านแล้วบอกตรงๆว่ารู้สึกแปลกๆ

    จริงๆ ก็เข้ามาอ่านหลายกระทู้แหละครับ รวมทั้งกระทู้ของลุงมหาด้วย และทำอย่างที่คนในเวบนี้หลายๆคนทำกัน คือ อ่านแบบไม่เปิดเผยตัว พอจะตอบค่อยแสดงตน 555 (รู้ทัน)

    ขอเสริมข้อความข้างล่างนี้นะครับ

    เรื่องภัยพิบัติ อย่าได้ไปคิด ไปกังวล ไปพูดถึงมันมาก
    เมื่อเรามุ่งสร้างพระใหญ่ไป ก็ขอให้เชื่อว่า

    ภัยพิบัติมันจะไม่เกิด
    ถึงจะเกิด ก็เกิดน้อย ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย

    ถ้ามัวแต่ ไปคิด ไปกังวล ไปพูดถึงมันมาก
    อาจกลายเป็นไปน้อมนำให้มันเกิดขึ้นไปเสีย

    ที่ไม่น่าจะเกิด ก็เลยพลอยเกิดขึ้น
    ที่น่าจะเกิดน้อย ก็เลยพลอยเกิดมากไปซะอีก

    พลังจิตของคนเรามีพลังมหาศาล ยิ่งถ้าเป็นพลังจิตของคนหมู่มากก็ดี พลังจิตของผู้มีบุญสูงมากๆก็ดี พลังจิตของผู้ที่จิตสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่าก็ดี พลังจิตเหล่านี้สามารถดึงดูดทั้งสิ่งเลวร้ายและสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นเร็ว หรือดึงให้เข้ามาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    ผู้รู้ท่านหนึ่งสอนผมว่า เรื่องภัยพิบัติ อย่าไปขยันเรียกมัน ท่านไม่ได้บอกว่าให้ประมาทนะครับ เพียงแต่ท่านสอนว่า ให้ระมัดระวังตัวไว้ แต่ไม่ต้องถึงกับไปเรียกหามันมาบ่อยๆ และไม่ต้องไปท้าทายมันด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นพลังเหนือธรรมชาติ มนุษย์แค่เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง


    ท่านยังสอนอีกว่า เวลาที่มนุษย์เกิดความทุกข์ขึ้นในใจ ให้พยายามเปิดประตูใจ ทำใจให้เบา ทำใจให้ว่าง ถ้าเราเอาแต่หมกมุ่นกับกองทุกข์ ก็เหมือนกับเราปิดประตูปิดหน้าต่างบ้านของเราเอง ก็แล้วใครเล่าจะเข้ามาช่วยเราได้ เพราะเราปิดรับความช่วยเหลือเสียแล้ว

    หลักนี้ถ้าคิดให้ลึกจะพบว่า เป็นการสอนให้ปล่อยวางนะ และทำได้ยากมาก เพราะเวลามนุษย์เจอความทุกข์ มนุษย์ก็จะเอาใจไปจมอยู่กับมัน คิดๆๆๆๆๆๆ และเมื่อหมดกำลังใจ มนุษย์ผู้นั้นก็อาจจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่พบทางออกนั่นเอง

    อ้อ การที่ท่านบอกอย่างนี้ อย่าไปตีความว่า ท่านให้ทำใจ แล้วให้นั่งเฉยๆนะ ผมกลัวจริงๆ กลัวคนไม่เข้าใจตีความผิด ท่านบอกให้การแก้ไขปัญหา สิ่งแรกและสำคัญที่สุด ก็คือ "แก้ที่ใจ" นั่นเอง.................

     
  14. gamemaster

    gamemaster Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2010
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +62
    เพราะบารมี ของพระใหญ่แห่งพระโพธิสัตว์ทิพากร รินไธสงค์ นี่เอง สึนามิยังเข้าไทยได้กระจิ๋วเดียว ขอบคุณมากครับ ตอนน้ำลดในภูเก็ตผมวิ่งก่อนเพื่อนเลย ว่าจะอุเบกขาแต่ทำไม่ได้ เสียว
     
  15. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ก็ทำถูกแล้วนี่ ถ้าในตอนนั้นเห็นน้ำลด แถมมีประกาศเตือนภัยอย่างนั้น ยังไม่รีบหนีอีก เค้าเรียกว่าประมาท....... (โง่อีกต่างหาก)

    เรื่องคำทำนายนั้น ขอให้คิดว่า ดีแล้วละ ที่เค้าออกมาเตือน มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ถ้ามันไม่เกิดก็ถือว่าเป็นโชคดีของอีกหลายๆชีวิต
    ถ้ามันเกิดขึ้นมาจริงๆ แม้เพียงครั้งเดียวของคำทำนาย มันก็สร้างความสูญเสียอย่างประมาณค่ามิได้ ไม่ใช่หรือ พูดง่ายๆคือ ไม่คุ้มอะไรเลย มีแต่เสียกับเสีย

    เพราะฉะนั้น อย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท หันมาพิจารณาว่าในแต่ละวัน วันคืนที่ผ่านไป เราใช้ชีวิตด้วยความประมาทมั้ย เราสั่งสมบุญบารมีทุกวันหรือปล่าว ถ้าปล่าว นั่นแสดงว่า .............ท่านใช้ชีวิตด้วยความประมาท และเมื่อใดที่บุญหมด ท่านก็จะต้องพบกับวิบากกรรม
     
  16. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    อนุโมทนาครับ..ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกไว้ ให้คิดดี ทรงอารมย์ให้ดีไว้ตลอดเวลา
    เพราะเมื่อเราคิดไม่ดี คิดอกุศล กรรมที่เคยมีมาแต่ในอดีตจะตามมาเป็นพรวนเลย
    ตรงข้ามกับคิดดี คิดในทางกุศล ด้วยอารมย์ที่สบายๆ บุญกุศลที่เคยทำมาจะเข้ามาสู่เราได้เร็ว
    และส่งผลได้มากขึ้น...เพราะสามารถน้อมนำและเหนี่ยวนำเข้าหากันได้ด้วยจิตของเรา

    คิดดี ก็ดึงดูสิ่งที่ดี.. คิดไม่ดี ก็ดึงดูดสิ่งที่ไม่ดี ...เป็นเรื่องธรรมดา

    สาธุด้วยครับ
     
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ครับ อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ ให้เลี่ยงอกุศลกรรมที่ทำกับคนหมู่มาก และให้พยายามสร้างกุศลกรรมกับคนหมู่มากแทน

    เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลมาก ถ้าเราสร้างอกุศลกรรมร่วมกับคนหมู่มาก วันเวลาผ่านไป ผ่านภพผ่านชาติ เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม เราก็ต้องมารับวิบากกรรมร่วมกับคนหมู่มากนั้น

    ตรงกันข้าม การสร้างกุศลกรรมกับคนหมู่มากนั้น ก่อให้เกิดพลังด้านดีอย่างมากมายมหาศาล บางคนบางท่าน อาจไม่นึกอยากสร้างพระใหญ่ ไม่เป็นไรครับ เราไม่ว่ากัน แล้วแต่จริต แต่ท่านสวดมนต์เป็นมั้ย ?

    อย่างน้อยที่สุดนะ ในวันหนึ่งๆ ให้ท่านสวดมนต์ จะสวดมนต์บทอะไรก็ได้ แต่ขอให้ในวันหนึ่งๆท่านสละเวลาของท่านสวดมนต์ แล้วหาโอกาสที่มีการสวดมนต์ครั้งใหญ่ๆ ที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก ท่านก็ไปเข้าร่วมสวดมนต์กับเค้าด้วย

    สวดเสร็จทุกครั้ง ก็อุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของท่าน อุทิศให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกป้องประเทศไทย ปกป้องโลกนี้ ขอให้ท่านเหล่านั้นมีพลังมากขึ้น

    และอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้มีหน้าที่ทำลาย ขอให้ท่านเหล่านั้นอนุโมทนาบุญและลดความเกรี้ยวกราดลง

    ทำไปเหอะ ไม่เสียหายอะไรเลย แล้วอยากจะบอกว่า เสียงสวดมนต์ของพระอริยสงฆ์ รวมทั้งเสียงสวดมนต์ของคนหมู่มาก มันดังสะท้านสะเทือนทั่วทั้งไตรภพ แม้กระทั่งเทวดาก็ยังต้องสวดมนต์เลย เพราะฉะนั้น อย่าประมาทเรื่องการสวดมนต์นะ

    ขออนุโมทนากับดวงจิตทุกดวงที่ใฝ่ดีใฝ่กุศล และขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  18. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    834
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ศีลไม่รักษา ภาวนาไม่ทำ ขยันติเตียนผู้ทรงศีล ทรงธรรม อนาถแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2012
  19. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ขอมาเพิ่มเติมในส่วนของการสวดมนต์

    ถ้าเราเกิดจับพลัดจับผลูไปเจอภัยพิบัติเข้ากับตัวเอง หันซ้ายหันขวา รู้ตัวแน่ว่ายังไงหนีก็หนีไม่รอด คราวนี้ต้องตายแน่ๆแล้ว ก็นึกถึงบทสวดมนต์ที่เคยสวดนั่นแหละ ถ้านึกไม่ออกก็นึกถึงพุทโธ หรือนึกถึงหลวงปู่หลวงตาที่เคารพนับถือ แต่ถ้านึกอะไรไม่ออกเลย เพราะสติแตก อย่างนั้นชีวิตหลังความตายก็คงต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน

    มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า บ้านอื่นเมืองอื่น เวลาเค้าสวดมนต์ เค้าอธิษฐานก็จริง แต่ส่วนมากเค้าทำเพื่อตัวเค้า เค้าไม่ได้ทำเพื่อคนอื่น ซึ่งต่างจากบ้านเรา บ้านเรายังรู้จักอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้อื่น รู้จักโมทนาบุญ แต่ของเค้า เค้าไม่รู้จักเลยนะ นี่ยังไม่พูดถึงบ้านเค้าขาดอริยสงฆ์นะ เพราะฉะนั้น ไม่แปลกเลยว่า ถ้าเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงๆ บ้านเค้าจะบอบช้ำยิ่งกว่าบ้านเรามั้ย ก็เพราะของเค้ามันแทบไม่มีเกราะคุ้มกันภัยเลย..........

    เพราะฉะนั้น พยายามสร้างบุญสร้างกุศลไว้ อย่างน้อยที่สุด แม้ภัยพิบัติไม่เกิด แต่บุญกุศลที่ท่านสร้างนั้น มันไม่ไปไหนเสีย มันก็เป็นทรัพย์ของท่านนั่นแหละ ไม่มีใครมายื้อแย่งไปได้
     
  20. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    การทรงอารมณ์ของฌาณ

    ขออนุญาตนะครับ

    การทรงอารมย์ของฌาณนั้น ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมี
    ที่สร้างไว้แต่ชาติปางก่อน


    ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเป็น 4 ระดับคือ อุคคติปัญโญ, วิปติปัญโญ, ....., เนยยะ

    ท่านอาจารย์ปู่ท่านบอก ท่านสอนว่า

    "ที่ตะเกียตตะกาย พากันปฏิบัติอยู่นี่ ส่วนมากเป็นเนยยะ"

    แต่ในเนยยะนั้น ท่านอาจารย์ปู่ ท่านก็บอก สอนต่อว่า

    แบ่งออกเป็น อีก 4 ระดับคือ

    1. พวกปฏิบัติง่าย รู้ได้เร็ว ท่านบอกว่ามีแค่ 2 % ของนักปฏิบัติ
    2. พวกปฏิบัติง่าย รู้ได้ช้า
    3. พวกปฏิบัติยาก รู้ได้เร็ว
    4. พวกปฏิบัติยาก รู้ได้ช้า

    สำหรับท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์นั้น ท่านก็บอกเอาไว้ใน ประวัติของท่านว่า
    ท่านปฏิบัติเพียงแค่ 3 ปี ท่านก็รู้ธรรม เห็นธรรม ในระดับที่ไม่มีที่สิ้นสุด
    ฌาณบารมีของท่านนั้น จะถูกพิสูจน์เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

    พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ส่วนมากประวัติของท่านก็บอกอย่างชัดแจ้งว่า
    ท่านนั้นๆ ท่านสำเร็จพรรษาที่เท่าไร บวชมากี่พรรษา ปฏิบัติมากี่พรรษา

    ผมจึงอยากจะเตือนท่านที่ ภูมิรู้ ภูมิธรรม ไม่ถึง เลิกกล่าวหาว่า
    ท่านอาจารย์ทิพากรก็ดี ตัวผมเองก็ดี ปรามาสพระอรหันต์

    ขอเตือน ขอย้ำอีกครั้งว่า

    อันนั้น เป็นความเห็นของท่านเอง

    ด้วยฌาณบารมีอันสูงส่งของ ครูบาอาจารย์หลายๆท่าน
    ผมไม่เชื่อว่า จะไม่มีท่านใด เล็งฌาณมาที่ท่านอาจารย์ทิพากร
    เมื่อเล็งมาแล้ว จะเห็นอะไร จะรู้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    พระสงฆ์นั้น ท่านมีหน้าที่ สืบทอดพระศาสนา มีหน้าที่อบรมสั่งสอน กุลบุตร กุลธิดา ดังที่เราเห็นๆกันอยู่
    พระสงฆ์นั้น ท่านจะมุ่งปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น เพื่อจะอบรมสั่งสอนผู้อื่นได้

    แม้พระอริยะเจ้าผู้มีฤทธิ์ ที่สูงส่งที่สุด ท่านก็มุ่งไปที่ การอบรมสั่งสอนพระรุ่นต่อไป

    ครูบาอาจารย์ ที่องค์ท่านทั้งเก่งทางปัญญา และชำนาญทางฤทธิ์นั้น
    ล้วนไม่ปฏิเสธว่า ท่านเคยปรารถนา พุทธภูมิ มาก่อนทั้งสิ้น
    หลายๆท่านถึงกับบอกเล่าถึงวิธี การลาพุทธภูมิ ก็ยังมี

    เห็นบางท่านในเว็บนี้ ก็บอกเล่าเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ ยุคกึ่งพุทธกาล
    เรื่องอิทธิปาฏิหาร ของท่านซะจนสูงส่ง อย่างกับท่านเป็นเทพเจ้า

    ลืมพิจารนาว่า ท่านเป็นคนธรรมดาที่มี ธาตุสี่ มีขันธ์ห้า เหมือนคนทั่วไป
    ลืมพิจารนาว่า แม้พระพุทธองค์ พระองค์ท่านก็ใช้ชีวิตแบบคนทั่วๆไป
    ยืน เดิน นั่ง นอน ฉันอาหาร อาบน้ำ ล้างหน้า ขับถ่ายของเสีย .....


    ถ้าท่านมองหาพระโพธิสัตว์ ในอุดมคติของท่าน อยู่อย่างนั้น ท่านจะหาเจอหรือไม่

    หรือจะรอให้เขาสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ให้เด่นชัด ให้ชัดเจนมากกว่านี้
    หรือจะรอให้การป้องกัน การแก้ไขภัยพิบัติ ให้ชัดเจนกว่านี้

    หรือจะรอให้โอกาสอันดีงาม ที่ไขว่คว้าได้ง่ายๆ แค่กล่าวคำว่า "อนุโมทนา" ก็ได้แล้ว

    ในท่านที่ภูมิรู้ ภูมิธรรมไม่ถึง มองธรรมที่ครูบาอาจารย์ อบรมสั่งสอน เข้าใจเฉพาะในส่วนของการ

    การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้น

    เมื่อได้ยิน เมื่อได้ฟัง ธรรมส่วนอื่นๆ กลับผ่านหู ผ่านตาไปเสีย

    แล้วหลงเข้าใจว่า ตนเองรู้ธรรม เห็นธรรม เป็นอย่างดี ก็ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านสอน ชัดเจนออกอย่างนี้

    ลืมกระทั่งพิจารนาว่า

    "มีธรรม อื่นๆ ที่เรายังไม่รู้ เรายังไม่เข้าใจหรือเปล่า"
    "ธรรมที่ อยู่เหนือ ที่อยู่เกิน ภูมิรู้ ภูมิธรรมของตนหรือเปล่า"
    "มีผู้อื่นที่รู้ธรรม ที่เกิน ภูมิรู้ ภูมิธรรมของตน หรือเปล่า"

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงอบรมสั่งสอนพระเจ้าพระสงฆ์นั้น
    พระองค์ก็บอกอย่างชัดแจ้งว่า ให้เผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระองค์ออกไปๆ
    พระท่านก็มุ่งศึกษาธรรม มุ่งสอน มุ่งอบรมฆราวาส ญาติโยม จนเรามีคนดีมากมายในสังคม

    แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า

    "การป้องกันแก้ไขภัยพิบัตินั้น เกินกำลังของพระสงฆ์จะทำได้"

    เมื่อท่านอาจารย์ทิพากร ท่านนำพา สร้างพระใหญ่ชัยภูมิ นำพาแก้ไขภัยพิบัติ

    แล้วจะมาบอกว่าท่านอาจารย์ทิพากร

    ยกตนไปเทียบกับพระพุทธองค์บ้าง
    ปรามาสพระอรหันต์บ้าง

    หรือแม้แต่กล่าวหาว่า ผมปรามาสพระอรหันต์บ้าง

    ลืมแม้แต่ จะมองว่า เราชาวมูลนิธิพระใหญ่ชัยภูมิ
    สู้อย่างทรหด อดทน เพื่อสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ

    เพื่อเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    เพื่อให้พระพุทธองค์สามารถแผ่พระมหาพุทธานุภาพ แก้ไขภัยพิบัติได้
    เพื่อให้ ญาติธรรมผู้ร่วมบริจาค ร่วมสร้าง ร่วมอนุโมทนา
    ได้รับกุศลผลบุญ พอที่จะแผ่ไปให้เจ้ากรรมนายเวร ให้วิญญาณเร่ร่อน ให้เหล่าทวยเทพเทวดา
    ได้รับกุศลผลบุญโดยทั่วหน้า


    เพื่อต้าน เพื่อลด เพื่อแก้ไขภัยพิบัติ

    ยังดีกว่า ยังกล้าหาญกว่า ท่านที่บอกว่า ภัยพิบัติ แก้ไขไม่ได้
    ยังดีกว่า ยังกล้าหาญกว่า ท่านที่บอกว่า เตรียมตัวหลบภัยอย่างเดียว


    ขออนุญาตวกกลับมาเรื่อง การทรงอารมณ์ของฌาณต่อกันนะครับ

    ท่านนักปฏิบัติ ท่านต้อง พิจารนาว่า
    ท่านต้องปฏิบัติ วันละกี่ชั่วโมงต่อวัน
    ท่านจะจึงสามารถนำเอา สติ สมาธิ ไประวังรักษา
    อารมณ์ของฌาณตลอดวันได้

    หรืออย่างน้อยรักษาให้จิตคิดแต่เรื่องดีๆ
    เรื่องที่เป็นบุญ เป็นกุศล เท่านั้น


    ส่วนท่านที่เฝ้าโจมตี ผู้สร้างคุณงามความดี ผู้สร้างพระใหญ่ชัยภูมิ
    ด้วยเหตุผลที่ตนคิดเอง เออเอง
    ยังจะมาอ้างว่า ตนเองรู้ธรรม เห็นธรรมอันใด
    ผู้รู้ธรรม เห็นธรรม เขาจะมาเฝ้าโจมตี ผู้ทำคุณงามความดีหรือ?


    ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับท่านที่มีจิตเป็นบุญ เป็นกุศลทุกๆท่าน
    ขออนุโมทนา
    ขอขอบพระคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...