การเดินทางและความคิดของกาขาว (เตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 19 เมษายน 2012.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379


    กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้รวมคำทำนายหรือคำเตือนภัยพิบัติ
    แต่เป็นเรื่องของความคิดจากการเดินทางและการรับรู้ข่าวสาร
    เป็นการวิเคราะห์และมุมมองของผู้เขียนถึงโอกาสความเป็นไปได้ต่าง ๆ
    หากมีคัดลอกคำเตือนของท่านผู้อื่นมาลงไว้ก็เพราะเห็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือน่ารับฟังไว้


    **********************************************************









    เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (12-30 พ.ค. 55)


    วันที่ 21 พ.ค. 2555 เป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่ง เนื่องจากมีปรากฏการณ์สุริยคราส
    หรือที่เรียกกันว่า สุริยุปราคา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจักรวาลและโลกของเรา
    เนื่องจากการเกิดสุริยคราสไปตรงกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลพอดี
    จึงส่งผลให้ดวงอาทิตย์มีการ reset มากเป็นพิเศษ
    นอกเหนือจากนี้ ในทางโหราศาสตร์ การเกิดคราสยังหมายความถึง จุดดับ จุดบัง
    ถ้าท่านใดที่ชะตาอยู่ในช่วงนี้จะมีปัญหา จะได้รับผลกระทบ ซึ่งเรียกกันว่า ”ถูกคราส”
    อีกทั้งเลข 21 ยังหมายถึงจักรวาล
    ซึ่งเมื่อถอดความตามตัวเลขแล้ว อาจหมายถึง “จักรวาลกำลังมีปัญหาหรือความแปรปรวน”


    จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จึงให้คณะศิษย์อย่าได้ประมาท
    ให้เตรียมตัว เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว
    และเตรียมรับพลังจากการเกิดสุริยคราสในวันที่ 21 พ.ค. 2555
    ซึ่งตามศาสตร์โบราณ จะทำการบวกลบเอาจากวันที่เกิดไปอีก 7 วัน
    เมื่อนับว่าวันที่ 21 พ.ค. คือวันที่มีพลังงานรุนแรงที่สุด (Peak)
    และพลังจะลดลงมาเป็นลำดับในวันก่อนและหลังจากวันนั้นอีก 7 วัน
    จึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ (Normal)

    หากเป็นไปได้ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 -30 พ.ค. 2555
    แต่หากจะนับเอาวันที่โลกรับเอาพลังงานสูงสุดจากจักรวาลอย่างเต็มที่นั้น
    จะเป็นวันที่ 12-23 พ.ค. 2555<sup>1</sup> (แก้ไขข้อมูลเป็น วันที่ 12- 23 พ.ค. 2555)
    นับรวมแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 วัน
    ซึ่งเลข 12 นั้นมีความหมายถึง “จักรวาล” แต่หากติดภารกิจ หรือไม่สะดวกปฏิบัติตามจริงๆ
    วันที่สำคัญที่สุด และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดคือวันที่ 20-22 พ.ค. 2555
    ซึ่งถือเป็นช่วงใจกลางคราสและเป็นจุดรวมพลังที่สำคัญมาก
    ดังนี้

    1. ให้ทานอาหารมังสวิรัติ หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงหรืองดของที่มีน้ำมันหรือเนื้อสัตว์
    เพราะเป็นของแสลง เนื่องจากเนื้อสัตว์มีโปรตีน ซึ่งรังสีจากนอกโลกจะไปทำปฏิกิริยาต่อเซลล์
    และเกิดผลเสียต่อร่างกาย (ตามคำกล่าวของพระอาจารย์รัตน์)
    สำหรับน้ำมันนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากสัตว์ หรือน้ำมันพืช อาจจะเกิดการหืน (rancidity)
    ซึ่งทำให้เกิดสารตัวนึงที่ชื่อ peroxide และทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโทษต่อร่างกาย
    หากมีความจำเป็นที่จะต้องทานเนื้อสัตว์ สามารถทานเนื้อปลา และกุ้งแทนได้
    นอกจากนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร ขอให้เลือกใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันงาแทน

    2. ให้รักษาศีลอย่างน้อยคือศีล 5 โดยศีลข้อ 3
    ให้เปลี่ยนจาก “กาเมสุมิจฉาจารา ฯ” เป็น “อพรหมจริยา ฯ”

    การรักษาศีล จะเป็นการทำให้สนามแม่เหล็กในตัวเราเกิดรัศมีหรือเกราะคุ้มกัน
    ซึ่งส่งผลให้สนามแม่เหล็กในตัวเราเกิดความเข้มแข็ง
    ป้องกันไม่ให้รังสีอันอาจจะเกิดขึ้นจากภายนอกเข้ามาทำอันตรายได้
    เราจึงจำเป็นต้องเสริมภูมิคุ้มกันของเราด้วยตนเอง
    ดังที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก็นี่แหละ
    เพราะกระแสแม่เหล็กในตัวเรานั้น ถ้ามีสภาพที่ดี แข็งแกร่ง พลังปรานก็จะดีด้วย

    3. ท่านที่เกิดในวันที่ 15 – 27 พ.ค. ถือว่าอยู่ในช่วงวันที่มีพลังงานรุนแรงมาก
    จึงควรถือศีล 8 ควบคู่ไปกับการทานอาหารข้างต้น
    และถ้าเป็นไปได้ควรเว้นไม่ออกจากบ้านในวันที่ 20 – 22 พ.ค. 2555
    <sup>2</sup>
    (แก้ไขข้อมูลเป็น 15 – 27 พ.ค.)

    หากมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง ขอให้กลับเข้าที่พักก่อนอาทิตย์ตกดิน
    เพราะผู้ที่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าได้รับอิทธิพลจากคราสเท่ากันกับ
    ท่านที่เกิดวันที่ 21 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เกิดสุริยคราสพอดี ถือเป็นวันแรง จะได้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย

    ในรายละเอียดวิธีการข้างต้นนั้น อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ได้กล่าวย้ำคณะศิษย์ว่า
    หากมีความจำเป็นที่จะปฏิบัติไม่ได้ตามนั้นทั้งหมดทุกข้อ ในช่วงเวลาดังกล่าว (12 – 30 พ.ค. 55)
    อย่างน้อยขอให้ปฏิบัติให้จริงจังครบทุกข้อในช่วงที่พลังงานรุนแรงคือวันที่ 20 – 22 พ.ค. 2555

    นอกจากนี้อาจารย์ยังได้สรุปเป็นแนววิธีการให้เข้าใจง่ายๆ 2 ข้อดังนี้
    1. อย่ารับเอาสารอาหารที่เป็นของแสลงเข้าไปทางปาก อันจะทำให้พลังปรานในตัวลดลง
    2. เพิ่มพลังปรานในตนเองด้วยการปฏิบัติ และรักษาศีล สวดมนต์ ภาวนา


    หากมีรายละเอียดเพิ่มเติม อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จะทำการชี้แจง บอกกล่าว ให้คณะศิษย์ทราบในโอกาสถัดไป
    และสุดท้ายอาจารย์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้คุณพระคุ้มครอง และจงพยายามสร้างคุณพระในใจ”

    หมายเหตุ :

    แก้ไขเพิ่มเติมจากข่าวสารฉบับแรกที่ส่งไป เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2555 เวลา 21.00 น.โดยปรับแก้ในหัวข้อดังนี้
    1. วันที่โลกรับเอาพลังงานสูงสุดจากจักรวาลอย่างเต็มที่ ซึ่งคือวันที่ 12- 23 พ.ค. 2555
    2. ช่วงวันเกิดที่ได้รับผลกระทบจากคราส เดิมระบุไว้ว่าเป็นวันที่ 20 – 22 พ.ค. แก้ไขเป็น 15 – 27 พ.ค.



    ข้อความโดย อ.ศุภรัตน์ แสงจันทร์ (ศิษย์หลวงปู่ดู่)


    ********************************************************


    เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (12-30 พ.ค. 55)

    admin <abbr class="published" title="Friday, May 11th, 2012, 8:44 pm">May 11, 2012</abbr>
    ตามหลักความรู้ทางโหราศาสตร์ โดยปกติพระอาทิตย์จะทำการย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน
    ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีเมษไปสู่กลุ่มดาวราศีพฤษภ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง
    ซึ่งในกรณีนี้จะขอเรียกว่าเป็นการย้ายราศีของพระอาทิตย์บนโลก

    หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า จริงๆ แล้ว เมื่อมองในภาพของจักรวาล
    พระอาทิตย์ก็จะต้องมีการย้ายราศีเช่นเดียวกัน แตกต่างกันที่ในภาพของจักรวาล พระอาทิตย์จะทำการย้ายราศีทุกๆ 2,160 ปี
    ซึ่งการย้ายราศีของจักรวาลนั้นจะวิ่งสวนทางกับการย้ายราศีบนโลก
    กล่าวคือ เดิมพระอาทิตย์ของจักรวาลได้สถิตย์อยู่ที่ราศีมีน
    และได้เริ่มทำการย้ายเข้าราศีกุมภ์ตั้งแต่ปี 2540
    จนเข้ามาสถิตย์ในราศีกุมภ์เต็มที่เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2555 ที่ผ่านมา
    จึงเรียกได้อีกนัยหนึ่งว่า วันที่ 21 เม.ย. 2555 คือวันสิ้นปีของจักรวาล
    สิ้นสุดราศีมีน และเริ่มต้นเข้าราศีกุมภ์ในลำดับถัดไป
    เมื่อราศีของพระอาทิตย์ในจักรวาลได้ทำการย้ายราศี จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งระบบจักรวาล
    แต่จะขอสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกและระบบกาแลคซี่ของเราง่ายๆ ดังนี้

    1. ผลกระทบต่อดวงอาทิตย์
    กล่าวง่ายๆ ว่า เหมือนเป็นการเริ่มต้นระบบใหม่ (reset) ของดวงอาทิตย์
    ถ้าเปรียบดวงอาทิตย์เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกใช้ไปเรื่อยๆ
    จากเดิมที่ใช้พลังงานได้เต็มที่ 100% ก็จะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาของการใช้งาน
    การเริ่มต้นระบบใหม่นี้ก็เป็นเหมือนกับการที่เราทำการประจุไฟให้แบตเตอรี่ใหม่
    ซึ่งจะต้องมีการล้างเอาสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ออกไปจนหมด
    เมื่อนั้นพลังงานแบตเตอรี่จึงจะกลับมาใช้งานได้เต็มที่ 100% อีกครั้ง
    กล่าวได้ว่าปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ในช่วงที่ผ่านมานี้
    ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดของดวงอาทิตย์ที่มีมากขึ้นกว่าเดิม
    ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุสุริยะในระดับปานกลางจนถึงขั้นรุนแรงหลายครั้ง
    (มีการสนับสนุนแนวคิดที่ว่าพายุสุริยะมีผลโดยตรงต่อการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ของโลก
    ไม่ว่าจะเป็นสภาวะอากาศแปรปรวน หรือแผ่นดินไหว โดยนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า ดร.ก้องภพ อยู่เย็น)
    ก็คือการเคลียร์สิ่งต่างๆ ของดวงอาทิตย์ เพื่อเตรียมที่จะกลับมามีพลัง 100%
    ตามที่ยกตัวอย่างเทียบเคียงกับแบตเตอรี่ เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของดวงอาทิตย์เช่นกัน
    ซึ่งจะกินเวลาไปจนถึงปี 2560 จึงจะเข้าสู่สภาวะปกติ

    2. ผลกระทบต่อโลก และดวงดาวต่างๆ ในระบบกาแลคซี่ทางช้างเผือก
    จากการที่พระอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือก
    เมื่อพระอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลง จึงส่งผลให้สิ่งต่างๆ ในระบบต้องเปลี่ยนแปลงตาม
    เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ด้วย
    ในส่วนของโลกนั้น แกนโลกและสนามแม่เหล็กโลกจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
    ดังข้อมูลที่มีการกล่าวว่า แกนโลกมีการเอียงไปจากเดิม
    จึงทำให้เกิดภาวะฤดูกาลผิดเพี้ยน รวมไปถึงน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น

    3. ผลกระทบต่อมนุษย์บนโลก
    ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ที่จะต้องได้รับผลกระทบด้วย
    ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็จะต้องมีการล้างระบบ
    เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างใหม่ ล้างสิ่งที่ไม่ดี เพื่อเตรียมสร้างสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น
    จะมีโรคระบาดแปลกๆ ที่ยาแผนปัจจุบันรักษาไม่ได้
    รวมไปถึงภัยธรรมชาติต่างๆ ที่มีมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อทำการเริ่มต้นระบบใหม่ (reset) เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์
    ดังนั้นมนุษย์เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมจิต เตรียมใจ ปรับธาตุขันธ์ของเรา
    เพื่อให้พร้อมรับหรือเข้ากันได้กับพลังงานใหม่
    และการรับรู้ของคลื่นพลังงานที่จะต้องไปกับโลกยุคใหม่
    ซึ่งจะต้องมีการรีเซ็ทระบบใหม่ทั้งหมดเช่นกัน
    นอกเหนือจากข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ในสายของพระอาจารย์หลายท่าน ก็มีการแจ้งข่าวให้คณะศิษย์ในสายของตน
    เตรียมตัว เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เช่นกัน อาทิเช่น

    1. พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
    “พระอาจารย์รัตน์ห่วงเรื่อง จุดดับจากดวงอาทิตย์
    ถ้ามีจุดดับใหญ่ เกิน 7 จุด และจุดดับที่ประกอบด้วยรังสีแกมม่า
    จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พอมีการระเบิดจากดวงอาทิตย์
    แล้วรังสีนี้พุ่งมายังโลก จะเกิดพลังงานดึงดูด ทำให้โลกดึงพลังงานนี้ลงไปยังศูนย์กลาง ใจกลางโลก
    ลมจะถูกดึงลงไปใจกลางโลก อย่างกรณีที่ผ่านมา ที่ฝนตกหนักที่เมืองไทย
    มีการระเบิดและมีการดึงลมและความเย็นจากฟ้าลงมาอย่างฉับพลันและจำนวนมาก ทำให้เกิดฝนจำนวนมาก
    นอกไปจากนี้พระอาจารย์ยังเกรงว่า
    ถ้ามีการดึงลมและพลังงานต่างๆ ลงไปใจกลางโลก
    พลังงานจะไปกระแทกแผ่นเปลือกหินที่อยู่ใต้แผ่นโลก
    จะทำให้แผ่นหินขยับตัวขนานใหญ่ อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้
    นอกจากนี้รังสีแกมม่านี้ ยังอันตรายต่อมนุษย์มาก
    กรณีที่สัมผัสกับผิวหนังของมนุษย์ รังสีนี้จะไปทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโน (พวกโปรตีน)
    โดยเฉพาะโปรตีนที่ถูกสร้างมาจากเนื้อสัตว์ (คนที่บริโภคเนื้อสัตว์)
    แต่ถ้าเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากพื้นจะไม่เป็นอะไร
    เมื่อโปรตีนนี้ทำปฏิกิริยาเซลล์มนุษย์ตรงนั้นก็จะเสีย จะทำให้เซลล์เกิดเป็น สีม่วง และเน่าไปในที่สุด

    (แจ้งข่าวโดยคุณ Falkman ที่มา : เวบพลังจิต)

    2. หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ วัดเพชรบุรี สุสานทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่เมตตาเตือนภัยพิบัติเรื่อง
    1. น้ำท่วม
    2. โรคปากแห้ง (อดอยาก ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ปล้นฆ่ากัน)
    3. โรคระบาดที่มาทางอากาศ เกี่ยวกับทางเดินหายใจ
    หลวงปู่เมตตาบอกว่าให้ถือ ศีลห้า ให้ได้ แล้วทุกคนที่ถือได้ จะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติเพราะว่าไม่มียาชนิดใดรักษาได้
    สำหรับเรื่องที่หลวงปู่เมตตาเตือนนั้นท่านเตือนตั้งแต่กลางปี 2553 แล้วว่า
    ประมาณต้นปี 2554 จะเกิดการนองเลือด และตอนปลายปีจะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพ
    (เกิดแล้ว ซึ่งครั้งนี้แค่มาเตือนยังมีครั้งใหญ่ที่จะตามมาอีก ซึ่งถ้าเกิดครั้งนี้ก็คงอยู่ไม่ได้แล้วต้องหนีอย่างเดียว
    น้ำจะท่วมกรุงเทพสูง 5 เมตร และน้ำจะไม่ลดเลย)
    และเมื่อประมาณกลางปี 2554 หลวงปู่ยังเมตตาเตือนอีกว่าซื้อเรือรึยัง
    (หลังจากนั้นไม่กี่เดือนน้ำก็เริ่มท่วมเลย)
    และเมื่อตอนปลายปี 2554 หลังจากที่น้ำเริ่มลดแล้วหลวงปู่เมตตาเตือนอีกว่า
    ของกินของใช้ที่เก็บไว้ อย่าพึ่งเลิกเก็บ เพราะว่าเดี๋ยวจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่อีก
    และล่าสุดที่ท่านเตือนอยู่ทุกวันคือให้ลูกศิษย์ตัดผมให้สั้นทั้งชายและหญิง

    สรุปใจความและแจ้งข่าวโดยลูกศิษย์หลวงปู่หงษ์ ชมคลิปต้นฉบับได้จากลิงค์ [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2fLGBg8-bi4&feature=player_embedded"]หลวงปู่หงษ์ เมตตาเตือนภัยพิบัติ - YouTube[/ame]



    คัดลอกจาก เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (12-30 พ.ค. 55)

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ "คนดีไม่ตีใคร"
    หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  3. skyroad

    skyroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +259
    โมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ไม่ต้องกลัว....


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.7 KB
      เปิดดู:
      1,633
    • 02.jpg
      02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105 KB
      เปิดดู:
      1,663
    • 03.jpg
      03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.6 KB
      เปิดดู:
      1,697
  5. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ผมขอให้กำลังใจทุกท่านนะครับ หากท่านทำไปด้วยเจตนาดีจริงๆ

    ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าบางท่านเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักของเพื่อนๆผู้ติดตาม
    เพราะท่านก็ได้ผ่านการทดสอบและติดตามมายาวนานพอสมควร

    ดังนั้นหากบางท่านจะอาสาทำหน้าที่ีตรวจสอบ
    ก่อนอื่นเลยตัวท่านเองคงต้องถูกทดสอบเองเสียก่อน
    ทั้งเรื่องการชี้แจงอ้างอิงบนหลักเหตุผล ตลอดจนภาวะทางอารมณ์และธรรมะในจิตใจ

    หลายท่านที่ออกมาเตือนหรือทำนายแล้วได้รับคำชื่นชม
    เป็นเพราะไม่ได้มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องการเรี่ยไรเงินทอง
    ซึ่งการที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องนั้นแม้ไม่ได้ทำให้ข้อมูลน่าเชื่อถือก็จริง
    แต่เหตุผลดังกล่าวทำให้หลายๆท่านยินดีรับฟังเพราะไม่สงสัยหรือมีอคติว่า
    เป็นการออกมาเตือนหรือทำนายเพื่อผลประโยชน์
    แต่เห็นว่าจะเป็นการทำประโยชน์ (อัตถจริยา)
    อีกทั้งผู้ออกมาเตือนภัยหรือทำนายบางท่านยังมีวาจากริยาและการวางตัวที่เหมาะสม
    คือไม่โอ้อวดจนเกินไป ไม่จาบจ้วงล่วงเกินผู้อื่น (ปิยวาจา)
    นอกจากนี้ยังมีการแบ่งปันและการให้ (ทาน)

    ตามตัวอย่างที่ยกมา บางท่านมีคุณสมบัติถึง 3 ข้อ จากสังคหวัตถุ 4
    สิ่งนั้นเองเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจให้เป็นที่รักของผู้อื่น
    ส่วนข้อที่ 4 คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย (สมานัตตา) นั้น
    ข้อสุดท้ายนี้คงต้องติดตามต่อไป

    อันนี้จะเห็นได้ว่าต่างจากผู้มาท้วงติงหรือคัดค้านหลายท่านที่มักจะขาดปิยวาจา
    จึงอาจพลอยทำให้ที่ผู้ที่ท้วงติงบนหลักเหตุผลและมีปิยวาจาจะโดนลูกหลงคำตำหนิไปด้วย

    ขอให้กำลังใจแด่ทุกท่านที่มีธรรมะในจิตใจ
    ขอให้มีเมตตาจิตต่อกันมากๆ

    ภัยพิบัติใกล้เข้ามา ศีลห้า พรหมวิหารสี่ อย่าให้ขาดจากใจ
    หลวงปู่ดู่ท่านว่า " คนดีเขาไม่ตีใคร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2012
  6. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=e5OhzFRDdjo"]ความต่างระหว่างการจับผิดตามหน้าที่กับการเพ่งโทษ【๒¸๑】 - YouTube[/ame]


    ปัญญาทางโลกแบบที่ต้องคอยสังเกตสังกาหรือตรวจสอบการกระทำของผู้อื่นนั้นมีหลายแบบครับ
    ลองดูแล้วกันว่าของคุณเข้าข่ายแบบใด

    ๑) การตรวจสอบแบบที่มีเจตนาป้องกัน หรือระงับยับยั้งความเสื่อมเสียของตัวเขาเอง
    หรือลดความเสียหายของส่วนรวม โดยมีสติ มีเหตุผล ปราศอคติชอบชังเป็นส่วนตัว
    อย่างนี้บางทีเมื่อต้องตักเตือนก็อาจทำให้เกิดเวรต่อผู้เจ็บใจก็จริง เพราะคนเราไม่ชอบถูกใครว่า
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการรายงานหรือบันทึกความประพฤติที่ผิดพลาดเอาไว้
    ก็จะเป็นเหมือนการไปสร้างบาดแผลไว้กลางใจคนที่โดน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้มีหน้าที่ตรวจสอบในแนวทางนี้ตายไป
    ก็จะไม่ไปอบายเพราะกรรมที่ต้องตรวจสอบผู้อื่นโดยสุจริต
    และแม้เกิดใหม่ก็จะไม่ไปอยู่ในบ้านหรือที่ทำงานที่ราวีกันอย่างไร้เหตุผล
    ภัยเวรที่อาจมีบ้างก็จะมาในรูปของการเจรจาแก้ปัญหากันด้วยสันติวิธีมีเหตุผล
    ถ้าเจอคู่เวรแบบที่ต้องพบกันประจำก็มักเป็นประเภทมีทิฐิมานะน้อย ไม่เอาชนะกันด้วยวิธีสกปรก
    (ใช่จะไม่มีสิทธิ์เจอคนประเภทพยายามเอาชนะด้วยวิธีสกปรกเสียเลย
    เพียงแต่จะไม่ใช่คู่กัดถาวร ไม่ต้องทนทู่ซี้อยู่กับเขาเป็นปีๆ)

    ๒) การตรวจสอบแบบที่มีเจตนาหาจุดอ่อนของคู่แข่งเพื่อนำมาสร้างอาวุธทำลายล้างกัน
    กรรมข้อนี้นับเป็นการก่อเวรอย่างชัดเจน เหมือนเกมที่ต้องเอาชนะกัน
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์
    บุคคลละความชนะและความแพ้เสียแล้ว จึงสงบระงับ นอนเป็นสุข
    คนที่ต้องทำงานหรือทำกิจกรรมแบบจ้องชิงชัยหักล้างกันย่อมทราบผลกรรมอันเป็นปัจจุบันได้อยู่แล้ว

    หากการเอาชนะเป็นประเภทคอขาดบาดตาย
    จัดเป็นกรรมที่ยืนพื้นอยู่บนโทสะ สังเกตง่ายๆว่าถ้าแพ้จะโกรธฉุนเฉียว
    ถ้าชนะจะสะใจสมน้ำหน้าคู่แข่ง เมื่อละจากโลกนี้อาจได้ไปอบาย
    เพราะอบายเป็นสถานที่รองรับกรรมซึ่งยืนอยู่บนพื้นกิเลส (คือราคะ โทสะ โมหะ)
    แต่ถ้ามีกรรมดีอื่นอุ้มไว้ก็อาจไม่ตกต่ำลงถึงอบาย
    ทว่าถึงคราวกลับมาเป็นมนุษย์อีกก็จะเข้ามาอยู่ในวังวนภัยเวรวงจรเดิมๆ
    มีแพ้มีชนะ มีการก่อเวร มีการนอนอมทุกข์ และมักเจอะเจอคนใกล้ชิดที่ชวนให้ระหองระแหงง่าย
    ต่างฝ่ายต่างชอบเอาชนะ แม้จะเป็นพ่อแม่ลูกกันแท้ๆก็ตาม ประเภทขิงก็ราข่าก็แรง
    เมื่อทำงานก็มักเจอแต่ภาระประเภทต้องเอาหอกดาบจริงๆไปทิ่มแทง
    หรือเอาขวานในปากไปจามแก้วหูผู้อื่น

    ๓) การตรวจสอบแบบที่มีอคติ มีความเกลียดชัง มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกประมาณว่าเพื่อด่าเอามัน
    พูดง่ายๆว่าแกพูดหรือทำอะไรมาฉันด่าแหลก จับผิดลูกเดียว
    เที่ยวไปโพนทะนาให้เจ็บใจโดยไม่มีความปรารถนาดีต่อกันอยู่เลย

    ตายจากชาติปัจจุบันมีสิทธิ์ไปอบายมากกว่าข้ออื่น
    เพราะกรรมยืนพื้นอยู่บนโทสะและโมหะอย่างแรง
    คือคนเราต้องมีโทสะมากถึงเกลียดกันได้ขนาดทำอะไรมาด่าหมด
    และจะต้องมีโมหะ (หลงสำคัญผิด) ห่อหุ้มจิตมืดมิดยิ่งถึงไม่เห็นความดีของเขาเลย
    คล้ายม้าโดนครอบให้เห็นลู่วิ่งทางเดียว พุ่งไปในทางเดียว
    ไม่มีมุมมองอื่นที่แตกต่างไปจากนั้น

    หากมีสิทธิ์เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ในคราวหน้า ก็อาจระเห็จไปอยู่ในบ้านที่ญาติๆจ้องแต่จะหาแพะรับบาป
    จะรู้เห็นเรื่องการโยนโทษให้คนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ โยนผิดได้เป็นโยน
    ไม่เผื่อใจไว้เห็นความผิดตัวเองบ้างเลย
    พอโตขึ้นก็จะมองโลกในแง่ร้ายเสียมาก
    ความดีชัดๆของคนอื่นมองไม่ค่อยเห็น
    เห็นแต่ความเลวแม้เพียงเล็กน้อยของเขา

    โลกนี้ไม่มีคนปราศจากอคติ แต่ก็มีการฝึกฝนอบรม ขัดเกลานิสัยให้อคติน้อยลงได้
    ปัจจุบันชั้นเรียนประถมของบางโรงเรียนก็สอนให้หาที่ติของเพื่อนๆ รวมทั้งฝึกให้ยอมรับเสียงติติงจากคนอื่น
    นี่ก็เป็นแนวทางลดความลำเอียงลงได้มาก

    ในทางพุทธมีข้อธรรมประการ หนึ่งคือในพรหมวิหาร ๔
    คือพระพุทธเจ้าสอนให้มองผู้อื่นอย่างมีเมตตา
    เมื่อมีเมตตาก็ยากขึ้นที่เราจะอยากก่อเวรแม้ด้วยความคิดกับเขา
    แต่เมื่อต้องทำงานร่วมกัน จำเป็นต้องตักเตือนหรือบันทึกความผิดของผู้อื่นตามหน้าที่
    ก็จะมีความเป็นกลาง เป็นอุเบกขา คือไม่ได้ตักเตือนหรือบันทึกความผิดของเขาด้วยอคติหรือมีเจตนาประทุษร้าย
    ทว่าเห็นกรรมหรือข้อบกพร่องของเขาตามจริง และทราบว่าที่ต้องเตือนหรือบันทึกความผิดไว้นั้น
    จัดเป็นการที่เขาต้องเสวยผลที่เขาทำมาเอง
    อย่างนี้ได้ชื่อว่าเราสานเวรไว้น้อยที่สุดหรือไม่มีเวรเลย (ถ้าเขาไม่ผูกใจเจ็บ)

    อยู่ในโลกมนุษย์นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กระทบกระทั่งกัน
    แม้แต่ในวินัยของพระ ยังมีบัญญัติว่าถ้าเห็นพระด้วยกันทำผิดแล้วไม่ตักเตือนจัดเป็นอาบัติเลยทีเดียว
    สิ่งที่ควรคำนึงก็มีแต่ว่าจะคิดอย่างไร
    ตั้งจิตไว้อย่างไรจึงตักเตือนหรือบันทึกความผิดผู้อื่นโดยปราศจากการครอบงำ ของอคติและความชิงชังเท่านั้น

    คัดลอกมาจาก เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว โดยดังตฤณ
     
  7. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    มิตรที่ไม่ว่ากล่าวตักเตือน เอาแต่ป้อยอจนเกินความจริงนั้น
    อาจไม่ใช่มิตรแท้ ไม่มีกัลยาณมิตรธรรม

    ****************************************

    [​IMG]


    เช้านี้ฟังรายการ FM 103.25 ของท่านหลวงตามหาบัว
    ก่อนตัดเข้ารายการสดได้มี ธรรมบทแทรกอยู่ เรื่อง ผู้ชี้ขุมทรัพย์
    แต่ผู้ชี้ขุมทรัพย์เองก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะผู้ที่ได้รับการชี้บอก อาจโกรธหรือเกลียดได้

    ดังนั้นเราซึ่งเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ จึงต้องเป็นผู้มีเปี่ยมด้วยเมตตาต่อคนนั้น และหวังดีอยากให้ผู้นั้นได้ดี

    ผู้ตำหนิเรามี 2 ประเภท คือ
    1) ผู้ปรารถนาให้เราทุกข์ เพราะพูดให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ
    2) ผู้ปรารถนาให้เราพ้นทุกข์ เพราะท่านเปี่ยมด้วยเมตตา
    ปรารถนาให้เรามีสุข เจริญรุ่งเรือง

    ผู้ชี้ขุมทรัพย์ เป็นได้ทั้งครูบาอาจารย์ พ่อแม่ พี่น้อง กัลยาณมิตร ที่ปรารถนาให้เราได้ดี
    ปรารถนาให้เราเป็นผู้รุ่งเรือง ดังนั้นเราจึงควรเป็นผู้อ่อนน้อม ถ่อมตน น้อมฟังคำกล่าวเตือน

    เมื่อวันออกพรรษาที่ 7 ตค. 2549
    วันที่ 8 ตค. 2549 เป็นวัดตักบาตรเทโว
    เราได้ไปตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งที่วัดอ้อน้อยมา มีพระจำพรรษาอยู่ประมาณ 40 รูป
    ตอนสายหลวงปู่ฯ ท่านได้ให้ฆารวาสมากล่าวมหาปาวรณากัน
    ท่านบอกว่าดีกว่าไปรดน้ำมนต์ 7 วัด 7 วา เสียอีก
    เพราะวันนี้เป็นวันมหาปาวรณา ที่ผู้น้อยเตือนผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่เตือนผู้น้อยได้ แม้ตัวหลวงปู่เอง

    ท่านก็ได้กล่าวเตือนลูกหลานไว้ว่า
    1) เวลาตักบาตรพระ อย่าเจ้ากี้เจ้าการมาจัดของในบาตรพระ
    เพราะเป็นเรื่องไม่สมควรที่ผู้หญิงจะมาจับบาตรของพระ

    2) หลวงปู่จะไม่รับของบิณฑบาตรขาไป แต่จะรับตอนขากลับ

    และหลวงปู่ได้กล่าวขออภัยต่อลูกหลาน หากว่าท่านได้ทำสิ่งใด
    หรือพูดสิ่งใดที่ทำให้ลูกหลานโกรธหรือไม่พอใจ ท่านก็ขอโทษด้วย

    ดูซี...
    แม้แต่ พระผู้ประเสริฐเอง ท่านก็ไม่ได้ยึดติดในตัวตนว่าสูงกว่าเลย

    กราบแทบเท้าองค์หลวงปู่พุทธะอิสระด้วยกาย จิต วิญญาณ
    คูรผู้ประเสริฐ ผู้จุดแสงสว่างแห่งปัญญาให้กับสรรพสัตว์ผู้มืดบอด

    คัดลอกจาก ผู้ชี้ขุมทรัพย์



    *****************************



    ผู้ชี้ขุมทรัพย์


    นะ เต อะหัง อานันทะ ตะถา ปะรักกะริสสามิ
    อานนท์ เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
    ยะถา กุมภะกาโร อามะเก อามะกะมัตเต
    เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
    นิคคัยหะนิคคัยหาหัง อานันทะ วักขามิ
    อานนท์ เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
    ปะวัยหะปะวัยหาหัง อานันทะ วักขามิ
    อานนท์ เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
    โย สาโร, โส ฐัสสะติ
    ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

    มหาสุญฺญตสุตฺต อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖



    นิธีนังวะ ปะวัตตารัง ยัง ปัสเส วัชชะทัสสินัง
    นิคคัยหะวาทิง เมธาวิง ตาทิสัง ปัญฑิตัง ภะเช
    คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
    คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ, ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น

    ตาทิสัง ภะชะมานัสสะ เสยโย โหติ นะ ปาปิโย
    เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.

    ปณฺฑิตวคฺค ธ.​ ขุ. ​๒๕/๒๕/๑๖



    กัลยาณมิตรธรรม 7 ประการ

    องค์คุณของกัลยาณมิตร, คุณสมบัติของมิตรดีหรือมิตรแท้
    คือท่านที่คบหรือเข้าหาแล้วจะเป็นเหตุให้เกิดความดีงามและความเจริญ
    ในที่นี้มุ่งเอามิตรประเภทครูหรือพี่เลี้ยงเป็นสำคัญ
    1. ปิโย น่ารัก ในฐานเป็นที่สบายใจและสนิทสนม
    ชวนให้อยากเข้าไปปรึกษา ไต่ถาม

    2. ครุ น่าเคารพ ในฐานประพฤติสมควรแก่ฐานะ
    ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นที่พึ่งใจ และปลอดภัย

    3. ภาวนีโย น่าเจริญใจ หรือน่ายกย่อง ในฐานทรงคุณคือความรู้และภูมิปัญญาแท้จริง
    ทั้งเป็นผู้ฝึกอบรมและปรับปรุงตนอยู่เสมอ ควรเอาอย่าง
    ทำให้ระลึกและเอ่ยอ้างด้วยซาบซึ้งภูมิใจ

    4. วตฺตา จ รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไรอย่างไร
    คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดี

    5. วจนกฺขโม อดทนต่อถ้อยคำ คือ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษาซักถามคำเสนอแนะวิพากษ์วิจารณ์
    อดทน ฟังได้ไม่เบื่อ ไม่ฉุนเฉียว

    6. คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา แถลงเรื่องล้ำลึกได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซับซ้อน ให้เข้าใจ
    และให้เรียนรู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป

    7. โน จฏฺฐาเน นิโยชเย ไม่ชักนำในอฐาน คือ ไม่แนะนำในเรื่องเหลวไหล
    หรือชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย

    อ้างอิงจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2012
  8. นิติทอง

    นิติทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +585
    ขอรบกวนสอบถามครับ พระโสดาบัน ต้องมีความคิดที่จะนิพพานชาตินี้ หรือ แค่ต้องการแค่โสดาบันในชาตินี้เพื่อไปนิพพานในยุคพระศรีอารย์ ขอความกรุณาด้วยครับจะได้วางความคิดได้ถูกต้อง ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  9. Limtied

    Limtied เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    822
    ค่าพลัง:
    +3,662
    (good)(good)(good)


    pity_pig
     
  10. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นิติทอง [​IMG]
    ขอรบกวนสอบถามครับ พระโสดาบัน ต้องมีความคิดที่จะนิพพานชาตินี้ หรือ แค่ต้องการแค่โสดาบันในชาตินี้เพื่อไปนิพพานในยุคพระศรีอารย์ ขอความกรุณาด้วยครับจะได้วางความคิดได้ถูกต้อง ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
    </td> </tr> </tbody></table>


    ขอตอบคำถามของท่านโดยอ้างถึงคำสอนของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง หรือ พระราชพรหมยาน


    "...ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล
    ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง
    นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
    ..."

    คัดลอกจาก http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=195




    ".....การตั้งใจไว้เพื่อ นิพพาน นี่ผมเคยถาม หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญเรียกว่า "หลวงพ่อสด" ก็แล้วกัน
    เวลานั้นผมไปหาท่าน ท่านยังไม่ได้เป็นพระครู ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณ
    เมื่อท่านเป็นแล้ว ท่านก็บอกว่าเขาเอาหัวโขนมาตั้งให้ มาสวมให้
    แต่ฉันจะไม่เต้นไปตามจังหวะของโขน
    ฉันจะเต้นตามปกติของฉันตามเดิม พระองค์นี้น่ารักมาก ผมนับถือมาก
    ท่านเคยบอกว่าควรจะหวัง นิพพาน ผมก็ถามว่า
    "คนอย่างกระผมจะไปนิพพานกับเขาได้หรือครับ?"
    ท่านก็บอกว่า "เราตั้งใจไว้ก่อน เหมือนกับคนขึ้นยอดไม้
    เธอขึ้นต้นไม้ตั้งใจเราจะขึ้นให้สุดยอด ถ้าบังเอิญเราตั้งใจขึ้นสุดยอดแรงมันไปไม่ถึง
    มันก็ต้องไปถึงกิ่งใดกิ่งหนึ่งเป็นที่พักจนได้
    ถ้าเราตั้งใจต่ำ ดีไม่ดีมันขึ้นไม่ถึงเลย"


    ท่านบอกว่า "หวังนิพพานก็เช่นเดียวกัน ถ้ากำลังอย่างอ่อนมันก็ไปค้างที่สวรรค์ได้
    กำลังอย่างกลางก็ไปค้างที่พรหม
    ถ้าเราเกิดจิตไม่นิยมมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก
    หรือไม่นิยมร่างกายด้วยความจริงใจ เราก็ไปนิพพาน"


    คติของหลวงพ่อสดนี่ดีมาก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและญาติโยมทั้งหลาย
    พยายามปฏิบัติทำตามไว้เถอะ ตัวท่านตาย แต่ความดีของท่านยังไม่ตาย
    ผมยอมรับนับถือองค์นี้ท่านดีจริง ๆ วิชาความรู้นี้ผมก็เรียนกับท่านไว้เยอะ
    ที่นำมาใช้นี่ก็เอาของท่านมาใช้เยอะเหมือนกัน ท่านก็บอกเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของท่าน
    ท่านค้นคว้าเอามาเป็นพระองค์แรกที่ทำให้คนมีความเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก ได้ชัดแจ้งแจ่มใส
    และเรื่องนิพพานด้วย แต่ก็น่าแปลก หลวงพ่อสดกับผมก็คล้ายคลึงกันอยู่อย่าง
    ถูกด่าแหลกเหมือนกัน ด่าท่านเท่าไรท่านก็ยิ้มตลอดเวลา ผมก็เลยจำยิ้มของท่านมา...."

    คัดลอกจาก ตอนที่ ๑๕ บ้าเรื่องแผ่นดินไหว จาก คำสอน พระราชพรหมยาน




    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงท่านเมตตาสอนว่า
    " มนุษย์หัวแถวยังดีไม่เท่าเทวดานางฟ้าท้ายแถว
    ท่านเป็นผู้ไม่มีขันธ์ ๕ ไม่สกปรก ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่หิวกระหาย
    และขี้ก็ไม่เหม็นอย่างเรา ๆ " อ้างอิง

    แต่ทั้งนี้ท่านไม่ได้ให้หมายความว่า เราควรพอใจในการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม
    ท่านหมายความว่า ให้ละสักกายทิฏฐิ อย่าเห็นร่างกายมนุษย์เป็นของดี
    ครูบาอาจารย์ท่านว่า ละร่างกายมนุษย์ตัวเดียวก็พอ
    ถ้าหมดความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ การพอใจในการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็หมดไปด้วย
    เพราะรู้แล้วว่าถ้าเป็นเทวดาหรือพรหมก็ยังต้องกลับมาเป็นมนุษย์อยู่ดี
    ดีไม่ดีจากเทวดาและพรหมอาจดิ่งลงนรกและสัตว์เดรัจฉานเลยนั้นก็มี เช่น สุปติฏฐิตาเทพบุตร อ้างอิง
    แต่โชคดีที่ท่าน สุปติฏฐิตาเทพบุตร ได้กัลยานมิตรที่ดีตักเตือน
    จนในที่สุดได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและรอดพ้นจากการรับทุกขเวทนาในนรก

    ดังนั้นหลวงพ่อจึงสอนว่าให้ตั้งใจไปพระนิพพาน
    อย่าพอใจในการการเกิด ท่านหมายถึงอย่าพอใจการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดาหรือพรหม
    คือให้มุ่งพระนิพพานไว้ก่อน แต่หากพลาดเราก็ไปพักที่สวรรค์หรือพรหม
    รอพระศรีอาริยเมตไตรยมาเทศน์โปรด
    แต่ให้ตั้งใจสูงไว้ก่อนเหมือนขึ้นต้นไม้หากไปไม่ถึงยอดเรายังค้างที่กิ่ง


    คัดลอกจาก รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง (ชั่วโมงที่ 6)



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  11. นิติทอง

    นิติทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +585
    "จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ"

    หรือไม่นิยมร่างกายด้วยความจริงใจ เราก็ไปนิพพาน"


    ขอบคุณมากๆครับ จะตั้งเป้าให้สูงกว่าเดิมครับ
     
  12. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เมื่อเร็วๆนี้....
    เดินทางไปที่จังหวัดจันทบุรีและได้พบกับคุณลุงทองใบ (พ่อของเด็กชายปลาบู่)
    ดูท่าทางคุณลุงเป็นคนซื่อๆตามแบบฉบับชาวบ้านตามต่างจังหวัดในสมัยก่อน
    คุณลุงดูไม่ถือตัวและมีอารมณ์ขัน ท่านมาร่วมงานต้อนรับคณะเดินทางจากกรุงเทพ
    แม้คุณลุงจะเคยทำนายเรื่องภัยพิบัติผิดพลาด แต่พวกเราไม่ได้ถือโกรธ
    ต่างคนต่างยิ้มแย้มมีเมตตา ผู้เขียนยังเข้าไปขอถ่ายรูปร่วมกับคุณลุงเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก

    ย้อนนึกถึงเรื่องคำเตือนเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เด็กชายปลาบู่บอกไว้
    ซึ่งคำเตือนดังกล่าวได้ส่งผ่านทางคำบอกเล่าและการตีความของคุณลุงทองใบ
    ผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2554
    ว่าคำเตือนดังกล่าวอาจมีการตีความผิดพลาด
    คือเหตุการณ์ภัยพิบัติจะไม่เกิดในวันปีใหม่ 2554 และจะไม่เกิดในวันสงกรานต์ 2555
    แต่ให้จับตาดูว่าอาจจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2556
    (หมายถึงระหว่าง 31 ธันวาคม 2555 - 1 มกราคม 2556)


    อ่านเพิ่มเติมจาก
    วิเคราะห์เรื่องเด็กชายปลาบู่และภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 - 2556

    คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ (อาจ) ไม่ได้หมายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554

    และข้อมูลจากเด็กชายปลาบู่ผ่านคำบอกเล่าของคุณลุงทองใบยังสอดคล้องกับ
    ข้อมูลจากพระอาจารย์รัตน์ ว่าจะมีปรากฏการณ์เรียงตัวของดวงดาว 12 ดวง
    จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. 55 – 14 ก.พ. 56

    ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกอย่างรุนแรง
    โดยลูกศิษย์พระอาจารย์ได้บอกเล่ากันต่อๆมาว่าให้ระมัดระวังวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นพิเศษ

    อ่านเพิ่มเติมจาก
    วิเคราะห์ข้อมูลจากพระอาจารย์รัตน์และภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในปลายปี พ.ศ.2555 - 2556

    ความจริงผู้เขียนมีข้อมูลอยากจะเล่าให้ชัดเจนกว่านี้
    แต่ก็ติดที่กระแสปรามาสและอาจมีผู้ไม่พอใจจึงขอนำข้อมูลเก่าๆมาย้ำเตือนไว้เพียงเท่านี้

    เรื่องที่อยากจะเตือนต่อไปคือการรับข้อมูลข่าวสารนั้นต้องใช้วิจารณญาณให้มากๆ
    เพราะข่าวที่ออกมาค่อนข้างสับสน

    การที่มีผู้รู้เห็นข้อมูลผ่านทางจิตหรือผ่านทางเครื่องมือใดก็ตาม
    หากเขารู้เช่นนั้นจริงๆแล้วนำมาบอกเล่าโดยบริสุทธิ์ใจ
    ต่อมาเหตุการณ์ไม่เกิดขึ้นตามที่บอกเล่าไว้
    จะถือไม่ได้ว่าผู้บอกเล่านั้นผิดศีล คือโกหกหรือมุสา
    เพราะองค์ของศีลข้อหนึ่งคือ เจตนา
    หากไม่ได้คิดจะโกหกหลอกลวง แต่บอกไปตามที่ตนรับรู้มา
    ต่อมาภายหลังมีความคลาดเคลื่อนไป เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น เช่นนี้จะถือว่าผิดศีลไม่ได้
    (ตรงนี้อาจจะจะต่างจากกฏหมายในบางกรณี)

    มุสาวาทา เวรมณี
    (เว้นจากการพูดเท็จ) ศีลข้อนี้จะขาดต่อเมื่อล่วงพร้อมด้วยองค์ ๔
    ๔.๑ อตฺถํ วตฺถุ เรื่องไม่จริง
    ๔.๒ วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพูดให้ผิด
    ๔.๓ ตชฺโช วายาโม พยายามพูดออกไป
    ๔.๔ ปรสฺส ตทตฺถวิชานนนํ คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น
    อ้างอิงจาก http://www.dhammajak.net/book/sila/sila14.php

    ดังนั้นการไปวิพากษ์วิจารณ์พระหรือบางท่านที่เป็นอริยบุคคลนั้นต้องระวัง
    บางท่านเห็นว่าท่านเป็นพระสงฆ์และคำเตือนของท่านเกิดคลาดเคลื่อน
    แล้วเผลอคิดว่าศีลของท่านคงจะขาด และขาดจากความเป็นพระ
    แล้วก็ไปวิพากษ์เสียดสีปรามาสท่าน ก็นับว่าผู้นั้นเข้าใจผิดเรื่องศีล
    นอกจากนี้ยังไม่เข้าใจอีกด้วยว่าเพียงการมุสานั้นไม่ถึงขนาดทำให้ปราชิก

    ภัยพิบัติในอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ อ่านเพิ่มเติมได้จาก
    'ภัยพิบัติถูกเลื่อนออกไป' นั้นเป็นได้แค่ 'ข้ออ้าง' ?


    แต่อย่างไรก็ตามการที่ตนบอกเล่าไว้แล้วต่อมาภายหลังเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น
    แต่กลับประกาศตนว่า ตนไม่เคยทำนายผิดพลาดมาก่อน เช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นการโกหก ผิดศีล คือมุสา

    ได้เจอท่านหนึ่งอ้างว่าท่านทำนายอะไรไม่เคยพลาด ไม่มีที่พูดแล้วจะไม่เกิด
    แต่ผู้เขียนจำได้ว่าท่านเคยทำนายพลาด
    เมื่อมาเสริชหาใน Google ก็เจอคำทำนายของท่านในอดีตที่ผิดพลาด

    ที่ท่านทำนายพลาด เราไม่ถือ เราไม่ว่าท่าน เราไม่ถือว่าท่านผิดศีล
    แต่การที่ท่านอ้างว่าท่านไม่เคยทำนายพลาด เราถือว่าท่านอาจจะผิดศีล

    สุดท้ายท่านผิดศีลหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน
    แต่ผู้เขียนเตือนตัวเอง สอนตัวเองว่า คนที่ดูเหมือนเป็นนักปฏิบัติธรรม
    อ้างว่าฝึกสมาธิจนมีญาณรู้ แต่กลับรักษาศีล 5 ไม่ได้ เราควรฟังหูไว้หู

    ช่วงนี้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารต้องใช้วิจารณญาณให้มากๆ
    ศรัทธาต้องควบคู่ด้วยสติและปัญญาจึงจะถูก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  13. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    บางทีพระท่านจะเตือนเฉพาะศิษย์ใกล้ชิด
    เพราะคนที่ไม่มีศรัทธาและไม่เข้าใจเรื่องศีล
    คนเหล่านี้เอะอะอะไรก็จะกล่าวหาพระว่าท่านอวดอุตริ
    จะกล่าวหาว่าท่านขาดจากความเป็นพระอย่างเดียว (จะจับพระสึก)

    เรื่องอวดอุตรนั้นต้องเข้าใจว่า...
    การอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปราชิก (ขาดจากความเป็นพระ)
    การอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน เป็นไปเพื่อลาภสักการะ ต้องอาบัติปาจิตตีย์



    ดังนั้นหากท่านผู้ใดมีธรรมพิเศษหรือญาณเครื่องรู้และไม่ได้
    มีเจตนาทำไปเพื่อลาภสักการะ
    ก็ไม่ควรต้องอาบัติใดๆ แม้แต่ปาจิตตีย์



    ขอคัดลอกคำตอบของหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน (ศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    ท่านได้ตอบคำถามไว้ดังนี้

    ถาม : คำว่าอวดอุตริมนุสธรรมนี้หมายถึงอย่างไรคะ ?

    ตอบ : ก็คือว่า กล่าวถึงธรรมอันยิ่งของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป
    คือว่าคนทั่วไปไม่สามารถจะมีได้ ว่าตัวเองมีตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้จริง เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม
    ถ้าหากว่าเป็นพระเขาปรับอาบัติปาราชิก คือขาดความเป็นพระไปเลย

    ธรรมอันยิ่งนั้นเขากล่าวเอาไว้ชัดเลยว่าเรื่องของฌานสมาบัติ เรื่องของวิมุติ เรื่องของวิโมกข์ เหล่านี้เป็นต้น
    ถ้าหากว่าตัวเองไม่ทรงฌานจริงไม่หลุดพ้นจริง
    แล้วกล่าวว่าตัวเองเป็นผู้ทรงฌาน เป็นผู้หลุดพ้นแล้วอะไรอย่างนี้เขาจะปรับขาดจากความเป็นพระไปเลย
    ถ้าหากว่ามี ปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์ เพราะว่าไปบอกอุตริมนุสธรรมที่ตัวเองมีกับผู้อื่นเขา

    ถาม
    : คำว่าบอกนี่ขอบเขตแค่ไหนคะ ถึงเรียกว่าบอก ?

    ตอบ
    : ตั้งใจอวดเขาเพื่อให้คนเลื่อมใส แล้วลาภผลและชื่อเสียงทั้งหมดจะเกิดแก่ตัว
    ถ้าหากว่าในการสอนธรรมกัน อย่างเช่นว่ากล่าวถึงนรกสวรรค์โดยใช้มโนมยิทธิไปอะไรก็ดีเหล่านี้ไม่ถือว่าอวดเพราะว่าเป็นการสอนเป็นการบอกต่อ

    แต่ถ้าหากว่าตั้งใจจะอวดเขาเพราะว่าฉันทำได้เพื่อให้คนเขาเลื่อมใส อย่างนั้นเสร็จแหง ๆ เลย
    อุตริสมนุสธรรมก็คือธรรมอันยิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปไม่สามารถจะเข้าถึงไม่สามารถจะมีได้

    คัดลอกจาก http://www.grathonbook.net/book/19.5.html


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  14. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [​IMG]



    ลองมองข้ามไปถึงปีหน้า ดูจากดวงเมืองหลวง ปี 2556 แล้ว
    กรุงเทพไม่ค่อยน่าอยู่เลย ถือว่าปี 2555 นี่เป็นแค่การเตือน
    ดวงเมืองจะเปลี่ยนในวันที่ 21 เมษายน 2556

    หมายเหตุ : ไม่ได้เป็นการทำนายว่าจะเกิดอะไรในวันที่ 21 เมษายน 2556
    เพียงแต่การตั้งดวงเมืองกรุงเทพ ทางโหราศาสตร์จะกำหนดเอาวันที่ 21 เมษายน เป็นเครื่องพิจารณา




    [​IMG]

    .

    [​IMG]


    [​IMG]



    .
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2012
  15. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    นิมิต หรือ จิตหลอน ???





    [​IMG]


    ภาพยนตร์ขวัญใจคอหนัง ชนะเลิศรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ จากเมืองคานส์ 2011

    Take Shelter Movie Trailer Official

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=I5U4TtYpKIc"]Take Shelter Movie Trailer Official (HD) - YouTube[/ame]

    TAKE SHELTER หนังชนะเลิศรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ จากเมืองคานส์ 2011
    เข้าฉายในเมืองไทยวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 เฉพาะที่เอเพ็กซ์ สยามสแควร์ และ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ

    เคอร์ติสทำงานเป็นหัวหน้าคนงานในเหมืองขุดทราย
    ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเขาแบกรับค่าใช้จ่ายเกือบทุกอย่างในบ้าน
    ซาแมนธาช่วยแบ่งเบาภาระนี้ด้วยการทำงานเย็บปักถักร้อยเพื่อไปขายในตลาดนัดสุดสัปดาห์
    สถานะทางการเงินของครอบครัวลาฟอร์ชเป็นไปอย่างกระเบียดกระเสียร
    แต่กระนั้นเคอร์ติสก็เชื่อว่าชีวิตของเขาโชคดีกว่าใครๆ แล้ว

    จนกระทั่งความฝันประหลาดได้มาเยือนเขาในนิทราหนึ่ง...
    ฝันเกี่ยวกับพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมาพัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
    ในภาพฝันนั้นเคอร์ติสเข้าใจได้โดยอัตโนมัติว่ามันคือวันสิ้นโลก

    มันคงเป็นแค่ความฝันธรรมดาๆ หากเคอร์ติสไม่สังเกตเห็นว่า ลางบอกเหตุหลายอย่างปรากฏขึ้นจริงๆ
    จนตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเห็น คือภาพพยากรณ์ล่วงหน้าที่ชัดเจนว่า วันหนึ่งพายุลูกนั้นจะต้องพัดเข้ามา
    อย่างไม่รอช้า เคอร์ติสพยายามทุกวิถีทางเพื่อปกป้องครอบครัวที่เขารัก
    โดยไม่เอะใจแม้แต่นิดเดียวว่า หายนะมฤตยูดังกล่าวไม่ได้อยู่ข้างนอกหรือบนฟ้านั่น
    หากแต่อยู่ภายในจิตใจของเขาต่างหาก...และมันกำลังก่อตัวขึ้นแล้วอย่างเงียบเชียบ





    TAKE SHELTER
    ตอนที่ 1
    <embed src="http://www.4shared.com/embed/1426199501/b0eb2eb3" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" height="320" width="420">

    TAKE SHELTER ตอนที่ 2
    <embed src="http://www.4shared.com/embed/1426199491/60ebffcd" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" height="320" width="420">
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2012
  16. kimjung2012

    kimjung2012 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +277
    รอลุ่นปี 2013 กันต่อไป ตอนนั้นผมคงต้องสมัคร login ใหม่ ให้เข้ากับปี 2013 ด้วย ฮ่าๆ

    ปล.เข้ามาให้กำลังใจจขกท.ในการเขียนบทความดีๆออกมาเตือนสติเพื่อนมนุษย์ ขอโมทนาบุญในเมตตาจิตครับ
     
  17. treethip

    treethip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +17
    วันที่ 31 พ.ค. 2555
    เวลา 17:24:14 Bangkok, Thailand (GMT +7:00)

    ชื่อบัญชี
    ปัณฑิตาภา เลิศประเสริฐทวี / คาร์ฟูร์คลอง3
    โอนเงินไป:
    บัญชีผู้รับโอน BBL 253-4-387036
    ชื่อบัญชี วัดพระบรมธาตุดอยผาส้ม; ทำบุญทอดผ้าป่า/งานบุญต่างๆของวัด
    จำนวนเงิน
    1,000.00
    ค่าธรรมเนียม
    20.00

    บัญชีผู้รับโอน BBL 544-0-152063
    ชื่อบัญชี พระ สังคม ขุนศิริ ธนปัญโญ / กองทุนดับไฟป่าและอนุรักษ์ป่าต้นน
    จำนวนเงิน
    1,000.00
    ค่าธรรมเนียม
    20.00

    ข้าพเจ้าปัณฑิตาภา เลิศประเสริฐทวี พร้อมครอบครัว ร่วมทำบุญด้วยนะคะตามแต่ทางวัดนำไปใช้ประโยช์เพื่อสร้างฝาย ปลูกป่า ดับไฟป่า เพื่อป้องกันภัยพิบัติ เพื่อประเทศชาติของเราค่ะ ถ้ามีโอกาสจะพาครอบครัวไปร่วมงานสาธารณะประโยชน์พร้อมกับเรียนรู้วิชาอยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพ่อหลวงของเราด้วยนะคะ อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     
  18. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379


    ผมได้แจ้งหลวงพ่อสังคมผ่านทางข้อความเรียบร้อยแล้วครับ
    ขอโมทนาทั้งหมดทั้งมวล ขอให้บุญรักษานะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2012
  19. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้รวมคำทำนายหรือคำเตือนภัยพิบัติ
    แต่เป็นเรื่องของความคิดจากการเดินทางและการรับรู้ข่าวสาร
    เป็นการวิเคราะห์และมุมมองของผู้เขียนถึงโอกาสความเป็นไปได้ต่าง ๆ
    หากมีคัดลอกคำเตือนของท่านผู้อื่นมาลงไว้ก็เพราะเห็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือน่ารับฟังไว้




    อ้างอิงจาก กระทู้ของคุณ interpoo

    <table id="post6203298" class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%" align="center"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] 30-05-2012, 06:50 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #937 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> interpoo
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2011
    ข้อความ: 878
    Groans: 0
    Groaned at 11 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3
    ได้รับอนุโมทนา 981 ครั้ง ใน 111 โพส
    พลังการให้คะแนน: 151 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_6203298" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> เดือนมิ.ย. อยากให้ระวังไว้ คือ

    1. เศรษฐกิจ จะทรุดตัวรวดเร็ว... จากปัญหาภัยพิบัติ... ทั้งในประเทศเราเอง และจากรอบๆ ประเทศเรา... จะมีความย่ำแย่มาก... ใครคิดจะซื้อรถยนต์ บ้าน ที่ดิน ให้คิดดีๆ ... เพราะว่า จะมีคนตกงานอีกมาก... สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี

    2. ภัยแผ่นดินไหว จะลามไปทั่ว... เคยบอกเนอะว่า แถบจะทุกทวีปเลย... แต่ในบ้านเรา ที่ปูกลัวคือ ญี่ปุ่น พม่า และอินโด... ประเทศเราด้วยนะ ภาคเหนือบนๆ และใต้ เช่น ระนอง ภูเก็ต กระบี่ น่าเป็นห่วง

    3. ภัยน้ำท่วม... จะกระจายพื้นที่น้ำท่วมมากขึ้น แต่น้ำตอนแรกๆ จะไม่เยอะ... เป็นฝนตกที่ต่อเนื่อง ทำให้ระบายน้ำไม่ทัน แต่ความเสียหายเรื่องพายุน้อยลงแล้วในเดือน 6 ไฟ ก็เช่นกัน แต่ไฟจะไปเกิดที่ต่างประเทศแทน เช่น อเมริกา...

    ฉะนั้น ประหยัดการใช้จ่าย และเตรียมพร้อมกับสถานะการณ์เสมอนะคะ ด้วยสติ... แล้วจะปลอดภัย

    4. เรื่องการเมือง จะรุนแรงที่สุดเดือน สิงหา...

    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG]</td></tr></tbody></table>

    <table id="post6112241" class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%" align="center"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] 09-05-2012, 03:41 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #59 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> karan20
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2010
    ข้อความ: 1,217
    Groans: 0
    Groaned at 3 Times in 3 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 11
    ได้รับอนุโมทนา 701 ครั้ง ใน 164 โพส
    พลังการให้คะแนน: 312 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_6112241" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> วันหนึ่งในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2555
    แฟนของผู้เขียนฝันว่ามีชายแก่มาพูดเตือนด้วยประโยคที่ว่า "เหลือเวลาอีก 75 ก้าวแล้วนะหนู"
    อีกวันต่อมาเราฝันบ้างเห็นเป็นตัวเลขสองตัว ตัวแรกเป็นเลข 7 แต่อีกตัวเห็นไม่ชัด หรือจำไม่ได้

    หาก 75 ก้าวหมายถึงอีก 75 วัน นับแล้วจะตรงกับวันที่ 2 มิถุนายน 2555

    มันจะเป็นเรื่องฝันเพ้อเจ้อหรือเป็นการบอกอะไรกันแน่
    เรายังไม่ทราบเหมือนกันว่าวันที่ 2 มิถุนายนนั้นจะมีอะไรพิเศษหรือไม่
    แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันหวยออกเลขท้ายสามตัว 074

    ในเดือนพฤษภาคมนี้มีบางท่านเตือนว่าจะมีเหตุการณ์ภัยธรรมชาติร้ายแรง
    ผู้เขียนรู้สึกว่าเดือนพฤษภาคมน่าจะมีเหตุการณ์สำคัญ แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร

    นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - เดือนกันยายน
    คาดว่าอาจจะมีเรื่องความรุนแรงจากการกระทำของคน (การเมือง)

    แต่คาดว่าคงไม่ใช่วันฟ้ามืด หรือเป็นวันมหาภัยพิบัติใหญ่

    ก็เป็นเรื่องความฝันและการคาดเดาเล่นๆ อย่าได้ถือเป็นจริงจังแต่อย่างใด
    เพราะผู้เขียนไม่ได้มีญาณวิเศษหยั่งรู้ใดๆ เพียงบ่นไปตามความรู้สึก

    ในเดือนพฤษภาคมนี้บางท่านอาจวางแผนอพยพออกจากกรุงเทพ
    แต่ต้นเดือนมิถุนายนคือวันที่ 2 - 3 มิถุนายน มีพระอาจารย์ที่ผู้เขียนให้เคารพ 2 ท่านเดินทางมากรุงเทพ
    คือหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ (เชียงใหม่) และพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ วัดดอยเกิ้ง (แม่ฮ่องสอน)

    หลวงตาม้าท่านจะมาเป็นประธานในการหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    ส่วนพระอาจารย์รัตน์ท่านจะมาอบรมกรรมฐานให้คณะผู้สนใจ
    ทราบว่าก่อนหน้านี้พระอาจารย์รัตน์ท่านมีกิจนิมนต์ต้องไปออสเตรเลีย
    แต่ท่านยกเลิกเพราะกลัวลูกศิษย์ที่ติดตามไปออสเตรเลียจะลำบาก

    ผู้เขียนวางแผนว่าจะไปกราบนมัสการพระอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน
    ก็ท่านอุตส่าห์เดินทางไกลลงมาโปรดคณะศิษย์ถึงที่กรุงเทพ

    หมายเหตุ : มีคนแย้งว่าที่พระอาจารย์รัตน์จะ<wbr>ไปแล้วต้องยกเลิกเป็นนิวซีแ<wbr>ลนด์
    ไม่ใช่ออสเตรเลีย หากผิดจริงผมก็ขออภัยด้วยคร<wbr>ับหากจำผิดพลาด (เพราะสัญญามันไม่เที่ยง)
    <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> [​IMG]
    </fieldset>
    </td></tr></tbody></table>


    ต้องการจะโพสต์ไว้เพื่อแสดงว่ามีความเห็นสนับสนุนสิ่งที่คุณปูโพสต์ไว้
    โดยสนับสนุนเรื่องที่คุณปูทายเรื่องสภาพเศรษฐกิจ
    และเรื่องที่คุณปูทายเรื่องการเมืองในเดือนสิงหาคม

    ผู้เขียนขอเดาว่า เดือนที่
    รุนแรงมากคือเดือนกรกฎาคม
    และรุนแรงมากที่สุดคือเดือนสิงหาคม
    อาจจะต้องมีการสูญเสียชีวิตและคงจะยุติลงไม่เกินเดือนกันยายน

    การเตรียมพร้อมคงจะเป็นเรื่องการประหยัด คิดทบทวนให้ดีเรื่องการกู้ยืมหรือก่อหนี้สินเพิ่ม

    ผู้ที่ทำมาค้าขายหรือมีรายได้จากการรับจ้างรายวัน
    รวมถึงผู้ที่ทำธุรกิจหรืออาชีพเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวหรือการท่องเที่ยว
    ท่านเหล่านี้อาจจะได้รับผลกระทบเรื่องรายได้

    เมื่อคืนได้ดูละครเรื่องบ่วง

    มีประโยคหนึ่งที่พระท่านสอนจำถ้อยคำไม่ได้ แต่มีเนื้อความประมาณว่า...
    การที่เรายิ่งโกรธเกลียดกลับยิ่งไปเพิ่มพลังให้ผีนางแพงมันมีฤทธิ์
    การพยามจะเอาชนะไม่ใช่การแก้ปัญหา
    ขนาดเฆี่ยนจนตายนางแผงมันก็ยังกลายเป็นผีมาหลอกหลอน (สงสารนางแพงตอนที่ถูกเฆี่ยน)
    และกลายเป็นบ่วงกรรม บ่วงแค้นข้ามภพข้ามชาติไม่มีสิ้นสุด
    เราควรจะอโหสิกรรมและแผ่เมตตาไปจึงจะถูก
    จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริง คือไม่เป็นบ่วงต้องวนเวียนกลับมาจองเวรกันอีก

    ในละครเมื่อนางเอกพยายามแผ่เมตตาไปแล้วแต่ผีนางแผงไม่ยอมรับส่วนบุญกุศลนั้น

    ในที่สุดก็ถึงคราวที่บาปกรรมทำหน้าที่ตามสนองผีนางแผง

    ผู้เขียนได้ดูละครเรื่องนี้ไม่บ่อยนักเพราะไม่ใช่คอละคร

    แต่อาศัยดูเพราะคนที่บ้านเปิด
    ดูแล้วผู้เขียนก็พิจารณาว่า ตัวละครทั้งหมดในเรื่องบ่วงนี้ ไม่เห็นมีใครเลยที่จะไม่ทุกข์
    ตั้งแต่พระเอก นางเอก แม่นางเอก ตัวร้าย ตัวรอง ตัวประกอบที่มีบทเด่น
    พิจารณาแล้วไม่เห็นเลยว่ามีใครที่ไม่ทุกข์ ทุกคนล้วนน่าสงสารทั้งสิ้น


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  20. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เชิญร่วมสวดพุทธคุณ ๒,๖๐๐ จบ (สวดบทอิติปิโส) อย่างพร้อมเพรียงกันในคืนนี้
    วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตั้งแต่เวลา ๒๓.๐๐ น. เป็นต้นไป


    [​IMG]


    ขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วม “ปฏิบัติบูชาครั้งประวัติศาสตร์ สวดมนต์ข้าม ๒๖ ศตวรรษ”
    ด้วยการร่วมสวดพุทธคุณ ๒,๖๐๐ จบ
    โดยมี “พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา” (พระผู้เป็นเลิศแห่งการเยียวยา) เป็นประธาน
    เพื่อเฉลิมฉลองพุทธ ชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    พร้อมกับพุทธศาสนิกชนจาก ๕ ทวีป ๑๕ ประเทศทั่วโลก
    ผ่านการถ่ายทอดสดจากท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ และอีก ๗๖ จังหวัดทั่วประเทศไทย ณ สถานที่ที่แต่ละจังหวัดจัดไว้
    ในค่ำคืนวันวิสาขบูชานักขัตฤกษ์ วันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
    ตั้งแต่เวลา ๒๓.๐๐ น. เป็นต้นไป อย่างพร้อมเพรียงกัน

    พระพุทธชยันตี องค์ดำนาลันทา.mp4 - YouTube

    ในระหว่าง ประกอบพิธีอัญเชิญ “พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา” ได้เกิดเหตุการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดขึ้น
    สร้างความอัศจรรย์ให้แก่ผู้เข้าร่วมพิธี จนต้องวิ่งออกจากเต็นท์ออกมาดูให้เห็นกับตา
    โดยได้เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดอยู่ตลอดการประกอบพิธีนานถึง ๑๕ นาที


    หลายคนอาจสงสัยว่า...พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา คืออะไร
    ...ทำไมต้อง พระพุทธชยันตีองค์ดำ นาลันทา


    ณ แดนพุทธภูมิ เมื่อกว่า ๑,๐๐๐ ปีผ่าน...พระพุทธรูปองค์ดำ นาลันทา
    พระเกตุทรงบัวตูม ปางมารวิชัยในท่านั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ชี้แม่พระธรณีเป็นพยาน
    แกะสลักด้วยหินดำ มีขนาดหน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว ความสูงนับจากพระเพลาถึงยอดพระเกตุ ๖๙ นิ้วฟุต
    ประดิษฐานอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย

    ในบันทึกของ “ปิลาซิง” กล่าวว่า สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเทวาปาล คือ ระหว่างปี พ.ศ. ๑๓๕๓-๑๓๙๓
    ครั้นต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๑๗๖๖ พวกต่างศาสนาได้ใช้วิธีเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ
    ถ้าใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย
    โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา

    ในบันทึกของ “ท่านตารนาท” ธรรมสวามินปราชญ์ ได้เขียนไว้และเล่าต่อกันมาว่า
    เมื่อกองกำลังติดอาวุธบุกมาถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ทั้งพระนักศึกษาและพระคณาจารย์
    พร้อมด้วยชาวพุทธพากันไปหลบภัยอยู่หลังพระพุทธรูปองค์ดำ
    ด้วยอภินิหารแห่งพระพุทธรูปองค์ดำทำให้กองกำลังต่างศาสนาไม่สามารถมองเห็น ชาวพุทธเหล่านั้นได้
    เมื่อกองทัพต่างศาสนายกทัพกลับไปแล้ว ชาวพุทธผู้ที่หลบซ่อนอยู่ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน
    เมื่อสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะหาได้เพื่อฟื้นฟูบูรณะ กระทั่งอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย
    มีบันทึกกล่าวไว้ว่า ชาวอังกฤษเข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุ และได้พระพุทธรูปมากมายหลายองค์
    จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ และบูรณะมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา

    พระพุทธรูปองค์ดำ นาลันทา เป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวเท่านั้น
    ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของพวกต่างศาสนา และไม่ถูกอังกฤษยึดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...