จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

สวัสดีคะ...ขอแนะนำตนเองก่อนนะคะ ชื่อปลื้มคะ ซุ่่มอ่านเป็นระยะ ขอกลับไปอ่านตั้งแต่หน้าแรก เมื่ออ่านจบแล้วขอคำชี้แนะเหล่าครูทั้งหลายนะคะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยคะ
กราบงามๆ (ทำสัญญลักษณ์ไม่เป็นคะ โลว์เทคฯคะ) บุญรักษาคะ
ขออนุโมทนาบุญทุกประการกับทุกท่านคะ...

 

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้มีเรื่องที่อยากจะมาเล่าให้ท่านฟัง
เหตุเกิดในที่ทำงาน ก้อเลยกลายมาเป็นบทความนี้



การเปลี่ยนแปลงกับทุกข์
หลายวันมานี้มีคนมาปรึกษาเรื่องไม่สบายใจ เนื่องจากการเปลี่บนแปลงเยอะมาก ....<O</O
ผมก้อมองด้วยความเข้าใจ รู้ และ วางไว้
<Oแต่วันนี้ ลูกน้องผมหนึ่งคน เธอร้องไห้ ทั้งวัน จะเป็นจะตาย เพราะทะเลาะกับคนรัก...<O</O
เธอรู้สึกว่าเสียใจ ที่กำลังจะเลิกกัน เธอทุกข์ใจที่จะไม่มีเขาอีกต่อไป<O</O
เธอจะอยู่ได้ไหมถ้าเขาไม่อยู่ข้างๆ<O</O
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เธอกลัว .. เธอทุกข์ใจ<O</O
<O</O

เรามาลองใช้ปัญญาพิจารณากันสิว่าทำไม ... คนส่วนมากถึงกลัวการเปลี่ยนแปลง<O</O
คนส่วนมาก เมื่ออยู่กับสิ่งใดสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ... เราจะเคยชิน เราจะรู้สึกว่ามันลงตัวแล้ว มันโอเคกับเราแล้ว<O</O
ถึงแม้บางครั้งมันจะมีปัญหา จนทำให้เราทุกข์ใจมากเพียงใด .. แต่เราก้อยังทนได้ อยู่กับมันได้ <O</O
เคยเห็นไหม สามี-ภรรยา ทะเลาะตบตีกันทุกวัน แต่เค้าก้อยังอยู่ หรือ บางคนมีคู่ที่ไม่เคยทำดีกับเราเลย แต่เราก้อยังอยู่กับเค้า<O</O
เราจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เวลาที่ไม่ได้อยู่บ้าน รู้สึกไม่อบอุ่น ...<O</O
เรารู้สึกเหงา เวลาอยู่ห่างครอบครัว ...<O</O
เรารู้สึกนอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้นอนที่นอนของตัวเองที่บ้าน ...<O</O
เรารู้สึก อธิบายงานไม่คล่อง ถ้าไม่ได้ใช้ไมโครโฟนคู่ใจ ...<O</O
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ ...<O</O
เราไปยึดไปเกาะกันมากไปหรือเปล่า ... เราเอาจิตไปจับกับสิ่งเหล่านั้นจนกลายเป็นขาดไม่ได้ใช่ไหม<O</O
กิเลสหลอกล่อเราให้ยึด ให้ติดกับความเคยชิน มานานแล้ว<O</O
เราคงอยู่ไม่ได้ ถ้า ขาดเธอ ... ดลกนี้คงมืดมิด ไม่มีทางเดิน ถ้าไม่มีเธอเดินข้างๆ .....ถ้าๆๆๆๆๆ อีกมากมาย<O</O
<O</O

สิ่งที่จะเกิด ในอนาคต ทำให้เรากลัว ... กิเลสนั้นทำให้เราไม่สามารถถอนตัวออกจากความเคยชินและสิ่งสมมติที่อยู่กับเราได้<O</O
อยากให้ท่านลองถ่ายรูปตัวเองไว้ หรนือถ่ายวีดิโอตัวเอง ขณะที่กำลังโศกเศร้า ร้องไห้ ฟูมฟาย นี้ไว้ ...<O</O
แล้วพอเวลามันผ่านไป ท่านลองกลับมานั่งดูสิ ท่านจะขำตัวเองไหม สมเพศตัวเองไหม ว่าเราเป็นได้ถึงขนาดนี้หรือ<O</O
เด็กๆ เราปั่นจักรยานสี่ล้อ ... พอพ่อจะถอดล้อ เราร้องไห้จะเป็นจะตาย กลัวมันล้ม กลัวเจ็บ เราทำไม่ได้หรอก<O</O
แล้วเป้นไง ตอนนี้ปั่นกันปร๋อ ยกล้ออีกต่างหาก ... จริงหรือไม่<O</O
บริษัทกำลังจะย้ายไปอีกที่หนึ่ง .... กังวลจะเป็นจะตาย เครียด .... เราจะอยู่อย่างไร โรงงานจะดีไหม ที่พักจะเหมือนเดิมไหม <O</O
อาหารเราจะทานได้ไหม .. กลัวไปเสียทุกอย่าง จนทุกข์<O</O
<O</O

การเปลี่ยนแปลงมัน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ....<O</O
ไม่เลย .. การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นเป็นปกติตลอดเวลาอยู่แล้ว ปกติจนเราไม่รู้ตัว จนเราลืม<O</O
ลองมองดูเล็บตัวเองสิ ลองจับผมตัวเองสิ ...<O</O
.. เราห้ามเล้บไม่ให้ยาวได้ไหม เราห้ามผมไม่ให้ยาว ไม่ให้ร่วง ไม่ให้หงอกได้ไหม ... ไม่ได้ใช่ไหม<O</O
กระทั่งตัวเองเรายังห้ามไม่ได้เลย แล้วกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราจะหวังไปให้เหมือนที่เราต้องการนั้น เป้นไปไม่ได้<O</O
<O</O

ลองคิดสิ ... เล็บยังยาวเลย ผมยังยาวยังหงอกเลย เป็นเรื่องปกติ ช่างมัน<O</O
สิ่งอื่นๆก้อเช่นกัน มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ... มันเป็นธรรมชาติที่เราหลีกเลี่ยงไม่พ้น ...<O</O
ยอมรับสิ่งที่เกิด อยู่กับสิ่งนั้นให้ได้ อยู่กับปัจจุบันเหมือนที่พระพุทธองค์สอน ...<O</O
<O</O

ตกลงทุกข์อันเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มีหรอก .... มีแต่ทุกข์อันเกิดจากเรานี่แหละ ไปปรุงแต่งขึ้นมาเอง คิดไปเอง อย่าไปโทษสิ่งอื่นใดเลย<O</O
<O</O

ยกระดับจิตของท่านให้สูงขึ้น ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอันเป็นกฎของธรรมชาติ ... อย่าไปจมอยู่กับสิ่งที่เราสมมุติขึ้น สิ่งที่ยังไม่เกิด สิ่งที่กิเลสกำลังหลอกเราให้กลัว ....<O</O
<O</O

เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก .... เป็น เรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมชาติ ... ยังไงเราก้อต้องเจอ<O</O
รัก โลภ โกรธ หลง ... เป็นสิ่งสมมุติ ที่เราสร้างขึ้นเอง ... อย่าไปยึด มันจะทุกข์<O</O
<O</O

ขอให้ท่านยกระดับจิตขึ้นมาให้อยู่เหนือ อารมณ์ เหล่านี้ ... ขอให้พ้นจากวัฎฎะสงสารเหล่านี้<O</O
ทำให้จิตหลุดพ้นจากกิเลส อยู่เหนือกิเลส ... มุ่งสู่แดนแห่งธรรม ไปหาจิตแท้ของตนเอง ... นิพพาน<O</O
<O</O

ถ้าข้อเขียนนี้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ท่าน ..ขอนำส่งบุญบารมีนี้แก่ทุกท่านด้วยเทอญ .. สาธุ<O</O

ธรระสวัสดี
วิทย์ จบ.11 (18 มิย 55)

 

ยินดีต้อนรับคับ
ที่แห่งนี้เป็นที่แห่งการให้ ใครอยากได้มารับไปครับ
ตั้งใจนะครับ
มีอะไรก้อมาสอบถามได้ครับ
แต่ทางที่ดีลองอ่านดูครับ ชอบครูคนไหน ฝากตัวเลยครับ
มีครูจะได้ไม่หลงทางครับ

ธรรมะสวัสดี

 

เรื่องต่อมา
เนื่องด้วยข้าพเจ้าทำงานที่เกี่ยวกับด้านวิศวกรรม ต้องมีการลดต้นทุนการผลิต หรือที่เราเรียกกันว่า Cost Down เพื่อกำไรที่สูงขึ้นของบริษัท
นี่แหละทางโลกอันแท้จริง ทุกอย่างเพื่อเงิน เพื่อผลประโยชน์ เพื่อสิ่งสมมุติที่เราเรียกว่าเงินนนนน ที่ทุกคนคิดว่ามีแล้วจะมีความสุข

ดกันดีนัก ผมเลยจับจิตเกาะพระมาประยุกต์กันสะเลย
เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะครับ
มองทุกอย่างให้เป็นธรมรมะ

ขอเชิญอ่านได้ครับ


Value Engineering กับ จิตเกาะพระ

เอาละสิ ... มายังไงเนี่ย วิศวกรรมศาสตร์กับจิตเกาะพระ<O</O
มาว่ากันที่ความหมายของ Value Engineering ก่อน ความหมายคือ วิศวกรรมคุณค่า<O</O
ยกตัวอย่าง เช่น การเขียนหนังสือ เพื่อให้คนอ่านออก ... เราสามารถเขียนได้โดย ถ่าน ปากา ดินสอ สเปรย์ ... เป็นต้น<O</O
คุณค่า ของมันคือ คนสามารถอ่านได้ <O</O
หรือ บริษัทหนึ่งมีขั้นตอนการตรวจสอบกล่องสบู่ว่า มีกล่องใดที่ไม่ได้บรรจุหรือไม่ ... เขาทำการตรวจสอบโดยซื้อเครื่องเอกซ์เรย์มาตรวจสอบ ทำให้สามารถตรวจสอบได้ ไม่มีงานผิดพลาดถูกส่งออกไปขาย แต่ต้องจ่ายค่าเครื่องหลายล้านบาท <O</O
แต่คู่แข่งอีกที่ ใช้พัดลมเป่ากล่องที่ออกมาจากขั้นตอนการบรรจุ กล่องที่ไม่ได้บรรจุก้อจะปลิวหล่น .. สามารถตรวจสอบได้ ไม่มีงานผิดพลาดถูกส่งออกไปขาย เสียค่าพัดลม หนึ่งพันบาท<O</O
สองที่ใช้วิธีต่างกัน แต่ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน แต่ใช้ต้นทุนต่างกันมากมาย<O</O
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ประเทศหนึ่งพบปัญหาว่าปากกาที่ใช้เขียนบนยานอวกาศนั้น หมึกมันลอยขึ้น เขียนไม่ได้.. เค้าไปวิเคราะห์ค้นคว้า วิจัยผลิตหมึกที่ต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ สามารถเขียนได้ในอวกาศ ต้นทุนแท่งละ1ล้าน ..<O</O
แต่อีกหนึ่งประเทศ ใช้ .... ดินสอ ต้นทุน 5 บาท เขียนได้เหมือนกัน สื่อสารได้เช่นกัน<O</O
<O</O

วิศวกรรมคุณค่าก้อคือการวิเคราะห์หาคุณค่าของสิ่งที่จะทำโดยใช้หลักวิศวกรรม เพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำที่สุด ... เหมาะสมกับแต่ละองค์กรมากที่สุด<O</O
<O</O

ถ้าเปรียบกับทางธรรมละ ...<O</O
คุณค่าของการทำบุญ คืออะไร ต้องทำอย่างไร ...บางคนทำบุญเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน..ก้อได้บุญ<O</O
บางคนชอบทำสังฆทาน..ก้อได้บุญ<O</O
บางคนชอบตักบาตร...ก้อได้บุญ<O</O
บางคนชอบไปให้หลวงพ่อดังๆรดน้ำมนต์...ก้อได้บุญ<O</O
บางคนชอบไปนั่งสมาธิ...ก้อได้บุญ<O</O
<O</O

หรือการทำสมาธิ.....<O</O
บางคนชอบวิปัสสนาแนวเคลื่อนไหว...ก้อได้สมาธิ<O</O
บางคนชอบวิปัสสนาแบบพุทโธ...ก้อได้สมาธิ<O</O
บางคนชอบวิปัสสนาแนวยุบหนอ...ก้อได้สมาธิ<O</O
<O</O

หรือการวิปัสสนา.....<O</O
บางคนชอบกายานุสติ....ก้อทำให้เกิดปัญญาหลุดพ้นได้<O</O
บางคนชอบมรณังณุสติ...ก้อทำให้เกิดปัญญาหลุดพ้นได้<O</O
<O</O

ท่านจะเห็นได้ว่าทุกอย่างมีหลายวิธี แต่ละวิธีก้อมีต้นทุนต่างกัน คือ ใช้เวลาต่างกัน ใช้วิธีการต่างกัน ใช้อุบายต่างกัน แต่สุดท้ายมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน<O</O
แล้วเราจะทำอย่างไร เราก้อต้องเลือกให้เหมาะสมกับตัวเรา ถูกจริตกับเรา บางวิธีคนอื่นทำได้ดี ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้เหมือนเขา ..คุณค่าของวิธีแต่ละคนไม่เหมือนกันเสมอไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย<O</O
<O</O

คราวนี้เราว่าลองดูสิว่า ธรรมะ จะทำให้กลายเป็นวิศวธรรมคุณค่าได้ไหม<O</O
อย่างที่รู้ ....<O</O
คุณค่าที่หนึ่ง คือ ศีล .... เราต้องหาวิธีการที่จะทำให้เรารักษาศีลได้ครบ เพื่อให้ฐานเราแน่น ฐานแน่นทำต่อไปก้อจะมั่นคง ฐานไม่แน่น ในกาลต่อไปก้อมีโอกาสล้มได้ ต้องมานับหนึ่งใหม่ ... บางคน ห้อยพระ จะได้ใช้เป้นพุทธาณุสติไม่ให้เราทำผิดศีล<O</O
..บางคนไปวัดบ่อยๆ ทำบุญบ่อยๆ จะได้รักษาศีลได้ ..วิธีมากมาย ท่านต้องเลือกเองตามแต่จริตของท่าน แต่แก่นคือ ศีลบริสุทธิ์<O</O
<O</O

คุณค่าที่สอง เมื่อมีศีลปกติแล้ว .... เราต้องทำให้เราเกิดสมาธิ<O</O
วิธีการมีมากมาย ร้อยแปดพันเก้า เช่น บริกรรมพุทโธ / ยุบหนอ / เจริญสติแบบเคลื่อนไหว .... มากมายหลายวิธี<O</O
คุณค่าของขั้นตอนนี้คือ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ .... จิตเป็นสมาธิแล้ว เราจะสงบ มีสติ <O</O
คนหมู่มาก เมื่อมีสติแล้ว จะติดที่นี่กันส่วนใหญ่ ... บางคนเกิดปิติ ติดปิติ<O</O
บางคนจิตเกิดสมาธิแล้ว สงบดีเหลือเกิน สุขแล้ว สบายแล้ว ..ติดสุข<O</O
บางคนได้สมาธิแล้ว ได้อภิญญา ได้ฤทธิ์ ... ก้อติด<O</O
จนไม่สามารถเดินทางไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่จบเพียงแค่ขั้นตอนนี้<O</O
หรือบางคนที่ไม่ติด แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ไปไม่เป็น เกิดสมาธิแล้วจะทำไงต่อ ..น่าเสียดายอีกเช่นกัน<O</O
<O</O

คุณค่าที่สาม คือ วิปัสสนา ... มรณังณุสติ / กายาณุสติ .....อีกหลายวิธีที่จะวิปัสสนา<O</O
แต่ละคนก้อชอบแต่ละวิธีไม่เหมือนกัน <O</O
ถึงวิธีเดียวกัน ก้อใช้เวลาไม่เท่ากัน<O</O
บางคนมีความเพียรก้ออดทนทำจนสำเร็จ บางคนก้อท้อ .. เปลี่ยนวิธีใหม่ <O</O
แต่ส่วนมากคนที่เปลี่ยนมาหลายๆแนว (ผมก้อหนึ่งในนั้น) มักจะเอาวิธีการเดิม แนวเดิมมาผูกด้วย ทำให้สงสัย เกิดการเปรียบเทียบ สุดท้าย งงชีวิต ไปไม่เป็นอีกเช่นเดิม<O</O
จนมองกันว่า กว่าจะวิปัสสนาได้มันช่างยากเสียยิ่งหนอ เกินกว่าที่ปุถุชนธรรมดาจะทำได้<O</O
เมื่อวิปัสสนาจนขาดแล้ว หมดแล้ว สิ้นแล้ว แจ้งแล้ว ก้อหลุดพ้น<O</O
<O</O

เขียนแล้วเหมือนง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แต่ทำไม ทำกันไม่ค่อยได้เลย .... <O</O
<O</O

ผมจะเอา วิศวกรรมคุณค่า มาแปลงให้เข้ากับจิตเกาะพระดังนี้<O</O
คุณค่าที่หนึ่ง ... ศีล ... เราทำจิตเกาะพระ ชื่อก้อบอกแล้วว่าจิตเกาะพระ ..อยู่กับพระ เราก้อต้องทบทวนศีลอยู่เสมอทุกวัน<O</O
เราเกาะพระ ถ้าไม่รักษาศีล เราก้อจะละอายแก่ใจเราเอง เมื่อทบทวนทุกวัน ... ปรับปรุงทุกวัน ศีลก้อจะครบปกติเอง ...<O</O
แต่วิธีอื่นก้อทำได้ แต่ใช้เวลานะ ทำบุญ ตักบาตร เข้าวัด ก้อทำได้เช่นกัน ไม่ได้ส่งผลให้ต่างกันมากในขั้นตอนนี้<O</O
<O</O

คุณค่าที่สอง ... สมาธิ ... ขั้นตอนนี้ เริ่มมีความต่างแล้วละ การที่เราดูภาพพระ ในขั้นตอนแรกโดยใช้ตาเนื้อดู ตลอดด้วยความสบาย มองด้วยจิตใจที่มีแต่ความรัก รู้สึกดี จิตก้อจะจำได้เองโดยอัตโนมัติ เหมือนเราจำภาพพ่อแม่ ลูก แฟน หรือสิ่งที่เราประทับใจได้นั่นเอง<O</O
จิตเมื่อจับภาพพระได้แล้ว ก้อจะเกิดสมาธิ เหมือนที่เค้าบอกไง ตอนเราอ่านหนังสือ เราจะมีสมาธิในการอ่าน หรือ เราดูหนังอย่างตั้งใจเราก้อจะมีสมาธิกับหนัง..<O</O
เช่นกัน เราทำให้จิตเกิดสมาธิโดยการดูภาพพระ .... แรกๆมีสมาธิด้วยการดูด้วยตาเนื้อ ทำบ่อยๆ สบายๆ ต่อไป หลับตาก้อเห็น ลืมตาก้อเห็น นั่นแสดงว่าเราเกาะพระได้ดีแล้ว แต่อย่าไปเพ่ง ไปเกร็งนะ เอาแบบสบายๆ ไม่บังคับจิต <O</O
อยากเห็นภาพไหน...ปล่อยให้จิตดูไป ... สบายๆ<O</O
เห็นแค่ขา แค่จีวร...ปล่อยให้จิตดูไป ... สบายๆ<O</O
เห็นมัวๆ ภาพไม่ชัด...ปล่อยให้จิตดูไป ... สบายๆ<O</O
เห็นภาพพระ หลายรูปแบบ เปลี่ยนไป ไม่ซ้ำ...ปล่อยให้จิตดูไป ... สบายๆ<O</O
สุดท้ายจิตจะเลือกเองว่าจะจับภาพใด .... ปล่อยให้จิตดูไป ... สบายๆ
<O</O
เมื่อเราเกาะพระได้แล้ว หลับตาก้อเห็น ลืมตาก้อเห็น เหมือนท่านอยู่กับเราตลอดทุกขณะ หมายความว่าจิตเราเป็นสมาธิแล้ว ในขั้นตอนต่อไป จิตจะค่อยๆละเอียดขึ้น ภาพพระจะเปลี่ยนไปเช่นไร<O</O
จากแรกเริ่ม เป็นสีธรรมดา เหมือนดูภาพถ่ายปกติ เปลี่ยนเป็นมีมิติ หรือ เป็นสีทอง แบบใสๆ หรือ เป้นประกาย หรือ เหมือนเพชรระยิบระยับ<O</O
เป็นประกายพฤกษ์ ... เป็นลำดับๆ ไป<O</O
แต่ไม่เหมือนกันทุกคนนะ บางคนแป้บเดียวได้ บางคน ค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปกังวล ทำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่อง สบายๆๆๆๆ กลางๆๆๆ ไม่เครียด<O</O
ในขั้นตอนนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง มีความเพียร อย่าไปสนใจคนรอบข้าง เช่น คนนู้นเห็นภาพนั้น คนนั้นเห็นเต็มองค์ คนนั้นเห็นมัวๆ<O</O
แต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าไปสนใจเค้า เราทำของเรา อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เรามีลู่ของเรา ไม่ต้องสนใจลู่อื่น .. มันจะทำให้เราสับสน กังวล สงสัย ..<O</O
นี่คือขั้นตอนของการทำให้เกิดสมาธิ ของจิตเกาะพระ เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก้อคือจิตทรงฌาณ<O</O
จิตเมื่อทรงฌาณสูงก้อจะเกิดวิปัสสนาญาณได้ ... แก่นของการเกาะพระคือ ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ไว และพัฒนาให้จิตละเอียดขึ้น(ทรงฌาณสุงขึ้น)ได้ไว<O</O
ในขณะที่วิธีการอื่นๆ เช่น พุทโธ หรือ ยุบหนอ เป้นต้น ก้อทำให้จิตเป็นสมาธิได้เช่นกัน แล้วแต่คนชอบ<O</O
เมื่อเกิดสมาธิแล้ว จะทำให้ทรงฌาณที่สุงขึ้นทำได้ยากนะ ไม่รู้จะทำอย่างไรกว่าจะเข้าสมาธิได้ตั้งนาน แต่จะไปต่อยังไง ไม่ได้สะที<O</O
หรือทรงฌาณสุงขึ้นได้ ครั้งต่อไป ทำเหมือนเดิมไม่ได้ ก้อท้อใจ ไปไม่ไหว ..จนหยุดไป<O</O
เอาแค่มีสมาธิก้อพอแล้ว ปลอบใจตัวเองไป<O</O
บางคนก้อช้า บางคนหลับตาก้อฟุ้ง แล้วแต่บุคคล .... ในขั้นตอนนี้ก้อจะมีความแตกต่างกันของแต่ละวิธีเด่นชัดขึ้น ความไวในการทำให้จิตทรงสมาธิต่างกันชัดเจน .. จิตจะพัฒนาให้ทรงฌาณสุงขึ้น ต่างกันชัดเจน<O</O
<O</O

คุณค่าที่สาม ... จิตวิปัสสนา ... นี่แหละที่จิตเกาะพระต่างจากวิธีการอื่นอย่างชัดเจน <O</O
ส่วนมากวิปัสสนาในความหมายของหลายๆคนคือ การคิด โดยเรารู้สึกคิด ไม่ใช่จิตวิปัสสนา<O</O
ในขั้นตอนนี้ เมื่อจิตทรงฌารสูงแล้ว ต่อเนื่องแล้ว จิตจะเข้าสู่การวิปัสสนา หรือ เกิดวิปัสสนาญาณนั่นเอง<O</O
สิ่งใดที่เข้ามากระทบ จิตจะพิจารณา(กายหรือขันธ์ก้อยังงงๆของเค้าไป เพราะกายกับจิตแยกกัน) ทุกอย่างลงไตรลักษณ์(เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป) เมื่อมีการวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง ก้อเหมือนการลับมีดของปัญญาให้แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ พิจารณาๆๆๆๆๆๆ จนปัญญาแก่กล้า จิตแก่กล้า จนสามารถเข้าใจธรรมชาติ หลุดพ้นได้ คือ ถึงนิพพานแล้วนั่นเอง โดยที่ขั้นตอนนี้ จิตจะวิปัสสนาไป กายของเราก้อทำงานไป แยกกันชัดเจน บางคนจิตถึงแล้ว แต่สติยังตามไม่ทันก้อมี ในขั้นตอนนี้ เราเกาะพระแน่นมากๆ บารมีของท่านก้อจะช่วยเราด้วยนะครับ เราทำจริง ท่านเห็น ท่านมีเมตตาไม่มีประมาณครับ <O</O
นี่แหละครับ สิ่งที่จิตเกาะพระ มุ่งตรงสู่ทางนี้โดยตรง รวดเร็ว ไม่อ้อม .... <O</O
แต่วิธีการอื่นก้อทำได้ครับ ถึงได้ครับ ดีครับ ทุกวิธีดีหมดครับ มุ่งให้ถึงนิพพานเช่นกัน แต่อย่างที่บอกไปเราจะทำได้หรือไม่ เพียรพอหรือไม่ มีปัญญาพอหรือไม่ ถ้าทำจิงก้อถึงจริงครับ อย่างพระอริยะที่ท่านปฎิบัติกันมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง ...<O</O
ที่เขียนมาก้อพอจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ว่า วิศวกรรมคุณค่ากับจิตเกาะพระนั้น เป็นเช่นไร

สรุป วิศวกรรมคุณค่า คือ การลดต้นทุนโดยวิเคราะห์ถึงแก่นของสิ่งนั้นที่เราต้องการ แล้ว หาวิธีการ หรือ วัสดุ ที่จะทำให้ไก้ตามนั้น โดยที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
ส่วนจิตเกาะพระนั้น คือ ทางที่จะทำให้เราถึงนิพพาน โดยที่มุ่งตรงถึงแก่นแท้ มุ่งตรง ถึงจริง ซึ่งก้อคือ วิศวธรรมคุณค่าที่ทำให้เราถึงแก่นได้จริงๆ สั้นจริงๆ สาธุ
<O</O
เขียนมาเหมือนจะง่าย แต่ทุกอย่างไม่ง่าย ถ้าไม่เช่นนั้น ป่านนี้ยกจิตขึ้นิพพานกันหมดแล้ว<O</O
ทุกวิธีการมีแนวทาง มีวิธีที่ถูกต้อง มีหลักการที่ต้องเรียนรู้ ต้องมีครูคอยแนะนำ ให้กำลังใจ คอยจัดแถวไม่ให้ออกนอกเส้นทาง ไม่ให้หลงทาง ไว้ชี้แนะไม่ให้เราสงสัย<O</O
<O</O

ขอให้ท่านพิจารณาเอาเอง ว่าจะทำอย่างไรกับดวงจิตของท่าน<O</O
<O</O

จะจมอยู่กับ วังวน ของการ เวียน ว่าย ตาย เกิด อยู่เช่นนี้อีกกี่เพลา อีกกี่ชาติ กัน<O</O
<O</O

ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยบ้างหรือ .....<O</O
<O</O

กลับมาสู่ธรรมชาติของเรา ยกดวงจิตเราให้อยู่เหนือกิเลส อยู่เหนืออารมณ์
<O</O
สู่จิตแท้ จิตประภัสสร
<O</O
ไปสู่บ้านของเรา นิพพาน.....
<O</O
ธรรมะสวัสดี
วิทย์ จบ.11 (18 มิย 55)

 

ของเรานะ..ตอนแรกหัดใหม่ๆก็เป็นรูปสมเด็จองค์ปฐมปางพุทธชินราช(สีทองมีซุ้มรังษีเป็นเพชร-แปะรูปไม่ได้..จึงเอามาให้ดูไม่ได้..โลว์เทคไปหน่อย..555)
ปัจจุบันนี้ของเราเป็นพระอรูป

การที่เรามีเหตุผลของเรา แท้จริงแล้วก็คือการเข้าไปยึดมั่นถือมั่น.. ควรที่จะปล่อยวางนะครับ
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่มีใครสามารถไปแบกรับกรรมของผู้อื่นได้ตลอดไป.. วันหนึ่งก็ต้องจากกัน..ในที่สุด ลองคิดดูดีๆนะครับ..
อย่างไรก็ให้ทำจิตเกาะพระไปเรื่อยๆก็แล้วกัน.. ค่อยๆบิ้วบารมีไปเรื่อยๆ อย่างน้อยที่สุด จิตเราก็จะจำภาพพระข้ามภพข้ามชาติได้ แต่มีข้อแม้นนะว่าเกิดชาติใหม่ต้องมาเกิดเป็นคนนะครับ.. เอ้ายังไงๆก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ

ขอให้เจริญในธรรมนะครับ..

 

ขอบคุณที่ชื่นชมกลุ่มจิตบุญนี้

สิ่งที่ท่านตามหาคือสิ่งใด

ขอให้ท่านได้เดินทางตามหาจนเจอ

แต่ทางของเหล่าจิตบุญนี้ คือ นิพพาน

ถ้าท่านประสงค์ ขอจงเข้ามา

ธรรมะสวัสดี
วิทย์ จบ.11

 

-ขันธ์ไปศรีลังกา จิตอยู่ไหนเนี่ย อย่าลืมพม่าเด้ออออออออออออออออออ

 

อ่านแล้วความใสของจิตคุณแอ๋วจริงๆ

สาธุ

 

แบบนี้ต้องทิ่มหมัดตรง บางคนถึงจะตื่นนะพี่ชายใหญ่ 55555

 

ทานด้วยคนครับ กำลังหิว
ขอหม่องวิทย์นั่งร่วมวงกะหม่องดัช ได้ไหมครับ

 

คมที่สุดในสามโลก พี่เพ็ญ จบ.2

 

ที่ท่านลูกพลังกล่าวไว้นั้นชอบแล้ว ดีแล้ว สาธุ
สุภาษิตไทยโบราณว่าไว้ ไม่เคยพลาด เชื่อผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมก่อนนะครับ ไม่พลาดแน่นอน

 

สาธุโมทนาบุญคะ ยินดีต้อนรับคะ

ตอนเริ่มต้นก็เป็นแบบคุณปลื้มคะ

ดีใจที่ตัดสินใจถูกที่ทำจิตเกาะพระ

เพราะตอนนี้จิตสบายสงบเย็นมากคะ

ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรลองทำจิตเกาะพระดูนะคะ

มีปัญหาติดขัดตรงไหนถามกับคุณครูในกระทู้ได้คะ

จะมีคุณครูและจิตบุญมาช่วยกันตอบคะ

 

คุณแอ๋วรับดูแลเลยครับ เด๋ยวผมช่วย

 

ขอบคุณคะครูแอ๋วและครูวิทย์( ขออนุญาติเรียกครูนะคะ )ในจิตเมตตาของท่านขณะนี้ก็ทำจิตเกาะพระมาได้ระยะหนึ่งแล้วคะ เป็นรูปสมเด็จองค์ปฐมที่เป็นภาพประกอบของครูภูคะ(ขออนุญาติเรียกนะคะ) เพราะฝันถึงพระองค์นี้ตอนแรกไม่ทราบว่าพระอะไร ที่ไหน ตอนนี้ทราบแล้วคะ ยังติดตาอยู่เลยคะเลยขอจิตเกาะพระองค์นี้คะ จะตั้งใจเรียนรู้ในธรรมมะที่ทุกท่านนำมาแสดงคะ ฝากเนื้อฝากตัวและจิตดวงนี้ด้วยคะ บุญรักษาคะ
ขออนุโมทนาบุญทุกประการกับทุกท่านคะ

 

ยินดี และขอต้อนรับเข้าสู่ชาวจิตเกาะพระนะครับ
ลูกหว้า ลูกฟ้า ลูกฟ้า หายไปไหนกันหมด รีบมาเสิร์ฟน้ำเย็นๆให้กับคุณอุไรรัตน์ฯ หน่อย

ที่นี่ ที่ตรงนี้มีแต่เรื่องบุญกุศล มีแต่เรื่องสบายใจ
มีแต่รู้จัก คำว่า ปล่อยวางกัน ซึ่งจะพากันละกิเลส พากันละอัตาตัวตน พากันละสมมุติ พากันเรียนรู้เรื่องทุกข์กัน
พากันยกจิตให้สูง พากันเดินทางตรง คือมรรค ผล นิพพาน เป็นต้น

ลองเข้ามาสัมผัสกันเอาเอง แต่ห้ามเดาเอากันเองนะ
เหมือนพระธรรมของพระพุทธองค์ ผู้ที่จะรับรู้ หรือสัมผัส ลิ้มรสชาดแห่งธรรมะกันนั้น
ผู้ที่ปฎิบัติกันจริงจังกันเท่านั้น จึงจะเข้าถึง
การเข้าถึงในที่นี้ หมายถึง การนำสติเข้าไปตามดู ตามรู้จิตของตนเองก่อน
แต่ถ้าผู้ใดสติมีไม่พอ ก็จะไม่รู้ว่าจิตตนเองอยู่ตรงไหน กำลังทำอะไร

ผู้ไม่มีดวงตาเห็นธรรมกันนั้น สาเหตหลักใหญ่ๆ ก็คือ สติน้อย ไม่สนใจจิตตนเอง
แต่กลับพากันวิ่งหนีทุกข์ ตามหาสุขกัน ยึดติดกับสิ่งสมมุติกันมาก
พอมีทุกข์เข้ามาเยือนนิดเดียว แต่กลับเสียอก เสียใจ จะทำท่าจะตายให้ได้
อันได้แก่ ผู้ผิดหวัง โดยเฉพาะผิดหวังเรื่องความรัก
ผมผ่านมาแล้ว ผมถึงได้พูดได้เต็มปาก เต็มคอว่า เราก็เคยโง่มาก่อนแล้ว
ทุกข์ใจกันเพราะว่า เรา(จิต)หลงไปยึด คำว่า สิ่งสมมุติ ทั้งนามและรูปกันนั้น
แท้ที่จริง ถ้าพวกเรารู้+เข้าใจกันนะ เราก็จะถึงบางอ้อกัน

กระทู้นี้เปิดมาก็เพื่อให้ทุกคนฉลาด ทางโลกและทางธรรม
มิใช่ฉลาดแต่ทางโลก ทำมาหากินเก่ง หน้าที่การงานดี แต่งตัวดี
อันนั้นมันเปลือกนอกกันทั้งนั้น
แต่ถ้าเมื่อไหร่ พวกเราเข้าถึงแก่นธรรมะเมื่อไหร่ แล้วท่านจะรีบสลัดเปลือกนอกนั้นทันที

เหมือนแมลงวันตรอมของเหม็นๆนั้น นั่นมันรู้ไหม๊ว่า ที่มันกำลังตอมอยู่นั้น คือ อุจจาระ
มนุษย์เราก็เหมือนกัน ที่หลงไปตามกิเลส หลงไปตามกระแสโลก หลงแบ่งสี หลงแบ่งพรรค แบ่งพวกกัน ก็เพราะอะไร
มิใช่อัตตากันหรือ? หรือการเข้าไปยึดตัวตน ของตนกันเป็นหลัก
มีใครพูดเคยฟังกันไหม๊? เหมือนพวกเขาไม่มีหู ไม่มีตากัน
ธรรมะกับอธรรมนั้น จึงเหมือนอยู่กันคนละมิติ เช่นคนกับผี ต่างมิติกัน
เหมือนคนดี คนชั่วต่างก้อยู่ปะปนกันไป

แค่นี้ก่อน มีคนพร่ำธรรมแทนพี่ภูหลายท่านแล้ว
เช่น คุณดชน. คุณวิทย์ ครูเพ็ญ คุณนกชาย เป็นต้น

เมื่อก่อน เท่าที่ผมจำได้ คุณหม่องดัช(ดชน.) คุณวิทย์ พิมพ์แค่ประโยคเดียว
ถัดมาก็มาเป็นสองสามบรรทัด
เดี๋ยวนี้จะเป็นหน้ากระดาษ A4
....5555

ขอขอบพระคุณ คุณวิทย์ คุณจารุณี ที่ออกมาช่วยกันจรรโลงใจ มาช่วยกันยกจิตกัน

 

เอาไง หม่องดัช
ชายหย่ายยยย แซวเราสองพี่น้องตระกูลหม่องงะ
เหอะๆๆๆๆๆ แซวมากๆ เราจัดสัก3หน้าA4 เลยดีมะครับ ก่อนไปสีหลังคา 55555

 

สาธุ ยินดีคะครูวิทย์

แต่ขอเป็นผู้ช่วยครูวิทย์ก่อนนะคะ

ชั่วโมงบิน(ธรรมะ)ยังน้อยกำลังสะสมอยู่คะ

 

สาธุโมทนาบุญคะ

ยินดีคะคุณ urairatvi

wel lcome_mokey

 

เดี๋ยวมีรางวัล
Q.Q!​