>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สติอันเป็นไปในกาย

    ขอรวบรัดเลยแล้วกันนะ กายคตาสติ มีแบบฉบับมาตรฐาน ต่อไปนี้
    อะยัง โข เม กาโย.....กายของเรานี้
    อุทธัง ปาทะตะลา....เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
    อะโธ เกสะมัตถะกา....เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
    ตะจะปะริยันโต....มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
    ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน....เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ
    อัตถิ อิมัสมิง กาเย....มีอยู่ในกายนี้
    เกสา...คือผมทั้งหลาย
    โลมา...คือขนทั้งหลาย
    นะขา....คือเล็บทั้งหลาย
    ทันตา....คือฟันทั้งหลาย
    ตะโจ....คือหนัง
    มังสัง....คือเนื้อ
    นะหารู....คือเอ็นทั้งหลาย
    อัฏฐิ......คือกระดูก
    อัฏฐิมิญชัง.....คือเยื่อในกระดูก
    วักกัง.....คือม้าม
    หะทะยัง.....คือหัวใจ
    ยะกะนัง...คือตับ
    กิโลมะกัง....คือพังผืด
    ปิหะกัง.....คือไต
    ปัปผาสัง....คือปอด
    อันตัง.....คือไส้ใหญ่
    อันตะคุณัง....คือไส้น้อย
    อุทรียัง....คืออาหารใหม่
    กะรีสัง....คืออาหารเก่า
    ปิตตัง.....คือน้ำดี
    เสมหัง....คือน้ำเสลด
    ปุพโพ...คือน้ำเหลือง
    โลหิตัง....คือน้ำเลือด
    เสโท...คือน้ำเหงื่อ
    เมโท....คือน้ำมันข้น
    อัสสุ....คือน้ำตา
    วะสา....คือน้ำมันเหลว
    เขโฬ....คือน้ำลาย
    สิงฆาณิกา....คือน้ำมูก
    มุตตัง....คือน้ำมูตร
    มัตถะเก มัตถะวุงคัง....คือมันสมองศีรษะ
    เอวะอะยัง เม กาโย....คือกายของเรานี้
    อุทธัง ปาทะตะลา....คือเบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
    อะโธ เกสะมัตถะกา....คือเบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงไป
    ตะจะปะริยันโต....คือมีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
    ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน...คือเต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ
    อย่างนี้แล

    อานิสงส์แห่งการสาธยายอาการ 32 ย่อมบรรเทากามฉันทะ จิตเป็นสมาธิง่าย
    ท่องไปในโลกภายใน คืออาณาจักรภายในตัวเรา มองเห็นส่วนต่างๆ ของร่างกาย
    ตัดเสียซึ่งโทษ กำจัดเสียซึ่งภัย จิตเข้าถึงฌานได้เร็ว มีอภิญญาต่างๆ พร้อมด้วย
    ปฏิสัมภิทา

    ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสิกาท่านหนึ่งเจริญกายคตาสติ บรรยายอาการ 32 ประการ
    อยู่เป็นกิจวัตร จนจิตลุถึงฌาน ได้อภิญญา มีปรจิตวิชชา รู้วาระจิตผู้อื่นได้ ภิกษุสามเณร
    ขาดเหลือสิ่งใด อุบาสิกาก็หาไปถวาย พระเณรนึกอยากได้อะไร อุบาสิกาก็หามาถวาย
    ได้ดังใจ จนพระเณรต่างรู้สึกอัศจรรย์ เพราะมันช่างบังเอิญนักหลายครั้งหลายครา ก็รู้สึก
    กลัวเกรงอุบาสิกาไม่กล้าคิดวิตถารอีกต่อไป และได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์
    ได้ฟังเหตุการณ์แล้ว จึงตรัสว่า อุบาสิกาได้สาธยายอาการ 32 คือกายคตาสตินี้ จนเป็นฌาน
    และได้อภิญญา มีปรจิตวิชชารู้วาระจิตดังนี้แล
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอรวบรัดอีกเช่นกันนะคะ

    การพิจารณากาย คือ สติเห็นกาย

    "เห็นกาย" คือเห็นลมหายใจ สิ่งที่ปรุงแต่งกาย เรียกว่า กายสังขาร ได้แก่
    ลมหายใจ เพราะฉะนั้นเห็นกายคือเห็นลมหายใจ พิจารณาดูลมหายใจ
    สั้น ยาว ยาวสั้น ในปัจจุบันธรรม หยาบ ละเอียด กระจายลมให้กว้างขวาง
    และทำลมหายใจให้ละเอียด

    "เห็นอิริยาบถ" สติรู้การเคลื่อนขั้นพื้นฐาน 4 ลักษณะ ยืน เดิน นั่ง นอน
    สัมปชัญญะ คือรู้การเคลื่อนไหวของกายขั้นพื้นฐาน 4 กิน ดื่ม พูด เหยียดแขน
    ขยับขา และอื่นๆ

    "กายคตา" คือพิจารณาความไม่งามของร่างกาย 32 อย่างที่เรียกว่า อาการ
    32 โดยพิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายให้เด่นชัดก่อน พิจารณาให้เป็น
    สักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุ แต่อย่าให้รู้สึกว่า เป็นตัวเรา เป็นตัวเขา เป็นผู้หญิง
    เป็นผู้ชาย แท้จริงเมื่อแยกธาตุก็เป็นความว่างเปล่า เหลือแต่ใจคือธาตุรู้ หญิง
    ชายก็เป็นสิ่งสมมติ
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    * ชีวิตกลางดอย*
    จากหนังสือธรรมปฏิบัติ ของ พระอาจารย์ยันตระ อมโร

    ณ หุบเขาแห่งความสงัด อากาศสดชื่น ความเขียวครึ้มของป่า สายลม
    เย็นโชยมาเป็นระยะ บรรยากาศโดยรอบ ร่มรื่น เบื้องบนท้องฟ้าเปิดกว้าง
    เมฆฝนคล้อยคลุม ทอดเงาครึ้มเป็นครั้งคราว สลับกับแดดอ่อน โปรยตัว
    ลงมาทำให้เห็นป่าสว่างในหุบเขาเป็นช่วงๆ บนเนินดอยทั้งเล็กใหญ่สลับ
    ซับซ้อนกันไปในพืดเขาอันยาวเหยียด เสียงนกร้องนานาชนิด จากป่าใหญ่
    ทั้งใกล้และไกล ผสานกับบรรยากาศดูดุจอริยะเทพบรรเลงสร้างสรร แต่
    จำแลงพระองค์อยู่ในธรรมชาติ

    ฉันนั่งเฝ้าดูปรากฏการณ์ของธรรมชาติข้างที่ฉันนั่งมีน้ำใสไหลจากรางริน
    ไหลเอื่อย ดูชุ่มเย็นไม่ขาดสายดั่งธารทิพย์ ที่พระองค์ทรงประทานผ่านเชิงเขา
    เสียงเด็กเล็กๆ ลูกชาวฮ่อผสมมูเซอร์ส่งเสียงด้วยความเบิกบาน ร่าเริง ไร้
    มายาบริสุทธิ์ ในหุบเขาแห่งนี้มีหมู่บ้านเล็กๆ เพียงสองหลังซึ่งแสนจะห่างไกล
    ดูเหมือนจะถูกตัดขาดจากสังคมเมืองภายนอก เขาอยู่อย่างสงบอิสระเลี้ยงชีพ
    ด้วยการปลูกข้าวไร่พืชผักบ้าง บางอย่างเท่าที่แรงกายจะทำได้ เอาแต่พอกิน
    พออยู่ไม่ดิ้นรนเดือดร้อนและก็อาศัยผักหญ้าตามลำห้วยในป่าก็พอประทัง
    เลี้ยงชีพโดยไม่ลำบาก อนาทร ซึ่งต่างกับบรรยากาศของชาวเมืองอันหรูหรา
    ฟุ่มเฟือยและเผ็ดร้อน เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม มายา สิ่งลวง นับวันที่จะเพิ่ม
    ความวุ่นวายและรุ่มร้อน ซึ่งบรรยากาศอันสงบเย็นแห่งหุบเขาบ้านป่าจะค้นหา
    ไม่พบเลยในสังคมเมือง

    ฉันได้แต่นั่งเฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าเห็น แต่ก็นึกสงสารสังเวชชาวเมือง ได้แต่ภาวนา
    ให้พระธรรมจงมาสู่โลกสู่เขาเหล่านั้นเถิด และอ้อนวอนขอประสบการณ์แห่ง
    ความทุกข์ จงสอนให้เขาสำนึกรู้ถึงความไม่ประมาท คลายจากความเร่าร้อน
    เมาหลงเถิด ที่ใดพัฒนาและเจริญแต่ทางด้านวัตถุ ที่นั่นจิตเสื่อมกายกับจิต
    รูปวัตถุกับนามธรรม ไม่กลมกลืนถูกส่วนขาดความสมดุลย์พอดี (ไม่เป็นไป
    โดยมัชฌิมาปฏิปทา) ย่อมเกิดทุกข์โทษความเดือดร้อน ศีลธรรมก็จะเสื่อม
    เสียไปจากจิตใจของมหาชน แต่ทุกอย่างก็ย่อมหมุนไปไหลเลื่อนไปตาม
    เหตุปัจจัย ตามสภาวะธรรมอันเป็นสังขารธรรมของโลก มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่
    แล้วดับไป เป็นอยู่เช่นนั้นเองตลอดสายสมดังพุทธพจน์ ความว่า

    สัพเพสังขารา อนิจจา, ยถา ปัจจัยยา ปริตตมานัง
    สังขารทั้งหลายทั้งปวง แปรเปลี่ยนไปไม่เที่ยงอยู่เป็นนิจและสังขาร
    ทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเหล่านั้นย่อมหมุนไป ตามเหตุตามปัจจัย

    เราทั้งหลายอย่าได้ยึดมั่น สิ่งทั้งหลายอันเป็นสังขารเหล่านั้นเลย
    เจริญความเพียร สร้างสรร เกื้อกูล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน
    ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด และจงทำเสียตั้งแต่บัดนี้
    เพราะกาลเวลาล่วงไปไม่รอคอย เราจงก้าวไปๆ ข้างหน้า ด้วยธรรม
    อันบริสุทธิ์ สุขุม แล้วทุกย่างก้าวย่อมเป็นทางแห่งสันติ อันที่เราจะ
    สามารถประจักษ์พระองค์อยู่ภายในทุกเมื่อ ท่ามกลางดวงใจอัน
    ปรกติเย็นผ่องแผ้ว ชีวิตและการงานย่อมกลมกลืนชื่นชมเป็นหนึ่งเดียว
    มิได้แยกจากกัน พุทธธรรมที่เข้าถึงและแจ้งจริงแล้วจึงเป็นมหาพลัง
    แห่งชีวิต แล้วเราทั้งหลายจะรีรออาลัย หรือสงสัยอะไรกันอยู่อีกเล่า

    จงก้าวไปๆๆๆๆ ด้วยดวงใจอันหยุดเย็นปรกติและอาจหาญ
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เตือนตน

    จงเตือนตนด้วยตน (ตนแลเป็นผู้สอนยาก) และตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน
    ธรรมนั้นต้องเกิดขึ้นในตนและรู้ได้จำเพาะตน

    พุทธพจน์...สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ...บริสุทธิหรือไม่บริสุทธิ์รู้ได้เฉพาะตน
    ใครจะทำให้เราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ไม่ได้ เราย่อมทำเอง

    กมฺสฺสโกมฺหิ...กรรมเป็นของตน ธรรมใดไหลมาแต่เหตุ พระองค์ทรงชี้
    ให้เห็นเหตุแห่งธรรมนั้น แล้วดับเหตุแห่งธรรมนั้นเสีย "ธรรมใดก็ไร้ค่า
    ถ้าไม่ทำ ธรรมใดก็มีคุณค่าถ้าหมั่นทำ"
     
  5. zaxc

    zaxc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +422
    ชอบโพสสุดท้ายของพี่นุ๊กค่ะ ฟังแล้วเข้าใจง่าย อันอื่นทำหนูมึนๆแบบบุญไม่ถึงไม่ค่อยรู้เรื่องกะเขาเลย เข้ามาให้กำลังใจกระทู้ใหม่กระทู้ดี อยากให้คนมีความรู้เอาความรู้มาโปรยปรายในนี้จัง ผู้น้อยจะได้ขอเก็บเกี่ยวบ้าง ;k07
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอบคุณค่ะน้อง zaxc แล้วเมื่อไหร่จะอวดรู้ ให้พี่อ่านบ้างล่ะคะ???
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สงสัยใคร่รู้

    มีคนสงสัยว่าถ้าเรานึกถึงใครเป็นครู เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นความหวัง
    เราจะทราบได้อย่างไรว่า ความหวังของเรามีตัวตนแท้จริง ไม่ใช่
    ความหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนถูกหลอกให้หลงนับถือบูชา

    มองในแง่มีตัวตน แยกเป็น 2 คือ โลกุตระ ไม่เสื่อม กับ โลกิยะ เสื่อมได้
    โลกุตระ คือหลุดพ้นกิเลส เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นต้น
    โลกิยะ ได้แก่ ผู้ทรงฌาน มีสถานะทิพย์ ย่อมรองรับกระแสจิตเราได้ ไม่
    ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเทพพรหม

    บางทีท่านไม่ว่าง อาจส่งลูกศิษย์ หรือทหาร มิตรสหายมาแทนตัวท่าน
    ก็ได้ ในกรณีท่านจุติมาเกิดใหม่และหมดกำลังฌาน ก็ย่อมรองรับกระแส
    จิตเราไม่ได้ การเชิญวิญญาณมาประทับทรง เช่น ฤาษีตาไฟ พระพรหม
    นารอท ฤาษีอนาลัย เหล่านี้ บางทีองค์จริงจุติ ย่อมไม่อาจมาตามคำเชิญ
    เราได้

    ฤาษีอนาลัยกับฤาษีนาไลย องค์เดียวกัน มีปัญหาต่อไปได้อีกว่า ถ้าคน
    นับล้านนับถือองค์เดียวกัน ท่านจะมาโปรดเราไหวหรือ ก็เปรียบเทียบ
    ให้เห็นชัดว่า การถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียม หลายประเทศรับได้ในรัศมี
    ที่ยิงดาวเทียม หรือดวงอาทิตย์ห่างไกลจากโลกถึง 93 ล้านไมล์ เรา
    ทั้งโลกต่างมองเห็นดวงอาทิตย์อยู่เท่ากันในทุกๆ วัน

    ที่นี้มองในแง่ว่า ไม่มีตัวตน ตามกฏของจิตตานุภาพและแรงดึงดูดของใจคน
    ถ้าเราเคารพนับถือสิ่งใดอย่างจริงจังจริงใจ ก็จะมีสิ่งหนึ่งมารองรับการ
    สักการบูชานั้น เป็นตัวแทนของสิ่งที่เราเลื่อมใสศรัทธา จะเรียกว่า เป็น
    วิญญาณสวมรอยก็ได้

    ดังนั้น การอธิษฐานจิตจึงไม่เสียเปล่า วิญญาณนิรนามนั้นอาจเป็น เทพ
    พรหม อรหันต์ ที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราเคารพ
    นับถือโดยตรงก็ได้ รองรับการอธิษฐาน การยึดเหนี่ยวของเรา เป็นที่พึ่ง
    เป็นความหวังได้ตามสติกำลัง โดยไม่ฝืนกฏแห่งกรรม

    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ในโลกนี้ไม่มีใครที่
    จะเป็นที่พึ่งของเราตลอดไปได้ นอกจากตัวเราเอง พุทธองค์ก็เป็นเพียงผู้
    ชี้แนะเท่านั้น ในตอนแรกๆ เราต้องพึ่งพ่อแม่ พึ่งครูอาจารย์ก่อน ต่อๆ ไป
    โตแล้ว ต้องพึ่งตัวเอง เมื่อช่วยตัวเองได้แล้ว ก็ช่วยผู้อื่นได้ด้วย

    จากหนังสือ ยอดสรรพสิ่ง
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มนตรามหาพรหม (จากหนังสือ ยอดสรรพสิ่ง)

    "โส ฬส มัค คะ จิต"
    พรหม คือ ความบริสุทธิ์ ได้แก่ บริสุทธิ์ด้วย กาย วาจา ใจ
    พรหมจรรย์ คือ ประพฤติอย่างพรหม เพื่อความบริสุทธิ์

    พรหมจรรยในเบื้องต้น คือ ความสันโดษพอใจในคู่ชีวิตของตน ถือศีล
    กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี

    พรหมจรรย์ในท่ามกลาง คือ ความมีใจเป็นอุเบกขา ไม่ล่วงละเมิดทางศีลธรรม
    ต่อเพศตรงข้าม ถือศีล อพรหมจริยา เวรมณี

    พรหมจรรย์ในที่สุด ละกามราคะได้โดยเด็ดขาด ในภูมิจิตพระอนาคามี

    พรหม คือ ผู้สำเร็จฌานสมาบัติ ฌาน แปลว่า เพ่ง คือเพ่งจิตอยู่ในอารมณ์
    เดียว เหมือนจิตพระดาบสผู้เข้าฌาน เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อน
    กายา จำศีลกินวาตา เป็นผาสุกทุกคืนวัน วาตา แปลว่า ลม คือไออากาศธาตุ
    อันบริสุทธิ์ มีปีติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ปีติจึงเป็นอาหารของพรหม ส่วนชาวโลก
    นับถือว่า มังสวิรัติเป็นอาหารของพรหม เป็นเรื่องของทางกายเนื้อกับกายทิพย์
    คนละแดนกัน แต่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน สัมผัสได้ด้วยจิตเท่านั้น

    ตำนานพุทธ กล่าวว่า พรหมโลกมี 20 ชั้น คือรูปพรหม 16 ชั้น อรูปพรหม 4
    ชั้น พรหมมีอำนาจหน้าที่ดูแลโลกมีอยู่ 2 องค์

    องค์ที่ 1 คือท้าวมหาพรหม แห่งพรหมโลกชั้น 3 เรียกว่า มหาพรหมา แดนนี้
    เป็นชั้นสูงสุดในจักรวาล ท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่ในแดนนี้ คือ ผู้สำเร็จปฐมฌาน
    อย่างแก่กล้า เทียบได้กับเกรดดับเบิ้ลเอของชาวโลก มีอายุยืนยาวมาก เมื่อ
    หมดอายุขัยไปจึติในแดนอื่น ก็จะมีพรหมองค์ใหม่ขึ้นแทนที่เป็นไปด้วยบุญญานุภาพ
    เป็นท้าวมหาพรหมองค์ต่อไปตำแหน่งบุญตำแหน่งกรรมนี้ แย่งกันไม่ได้เลย
    เป็นไปเองด้วยบุญฤทธิ์

    อีกองค์หนึ่งอยู่ชั้น อกนิษฐา นอกจักรวาลออกไป เป็นจอมพรหม เรียกว่า
    ปรเมศวร์ บางทีก็เรียกว่า พระอวโลกิเตศวร สำเร็จภูมิจิตเป็นพระอนาคามี
    มีปัญญากล้า อกนิษฐาพรหมนี้เป็นชั้นสูงสุดของสุทธาวาส คือเป็นยอดภพ
    สูงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระปรเมศวร์มีหน้าที่ดูแลพระบรมโพธิสัตว์ด้วย
    เมื่อเห็นเป็นเวลาสมควรแล้ว จะเสด็จไปอัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ในสวรรค์
    ชั้นดุสิต ให้ไปจุติในโลก เพื่อตรัสรู้พระโพธิญาณและโปรดสรรพสัตว์ พรหม
    ชั้นสูงในแดนนี้ อายุยืนยาว พระปรเมศวร์จะสำเร็จอรหัตผลบนแดนนี้ เมื่อ
    หมดอายุขัยดับขันธปรินิพพานไป ก็จะมีองค์ใหม่ขึ้นมาแทน บางทีพระปรเมศวร์
    เป็นหญิงก็มี ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามบุญฤทธิ์

    ตำนานเทพกล่าวว่า พรหม คือ พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง มีจตุ-
    พักตร์ คือ 4 หน้า และ 8 กร คือมีมือมีแขน 8 ข้าง นั่งอยู่บนบัลลังก์ทิพย์
    คอยสอดส่องดูแลมวลมนุษย์ มีของวิเศษ 8 สิ่งอยู่ในมือ ล้วนมีความหมาย
    อดีตนานมา มีดาบสท่านหนึ่ง บำเพ็ญอยู่ในป่าหิมพานต์ บริกรรมมนตรา
    มหาพรหม อธิษฐานจิตถึงพระพรหมผู้เป็นเจ้า "โส ฬส มัค คะ จิ๊ต ๆ ๆ"
    ตามสำเนียงของชาวอินเดีย จนในที่สดชุดจิตแนบแน่นเป็นฌาน ดวงจิต
    กับมนตราได้ผสมผสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว แวบหนึ่งก็ไปปรากฏ
    อยู่เบื้องหน้าพระพรหมผู้เป็นเจ้า....
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เบื้องหน้าที่เห็นคือ บัลลังก์ทิพย์สูงขนาดเท่าศีรษะคนยืน องค์พรหมประทับนั่ง
    สมาธิเข้าฌานอยู่บนแท่น มีรูปร่างลักษณะสง่างามน่าเลื่อมใส แต่ไม่มีจตุรพักตร์
    เป็น 4 หน้าให้เห็น ไม่มี 8 กร ถือของวิเศษ 8 สิ่งให้ปรากฏเหมือนในจินตนาการ
    ถูกก็คือผิด ผิดก็คือถูก แยกให้ออก ก็จะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร จตุรพักตร์ 4 หน้า
    เป็นภาพนิมิตรด้วยวิกุพพนามโนมัย เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจในความหมายว่า
    ทรงอยู่ด้วยพรหมวิหาร 4 มีเมตตา ความปรารถนาดี กรุณา ความเอ็นดู มุทิตา
    ความพลอยยินดี และอุเบกขา ความวางเฉย เป็นกลาง นี่คือ คุณธรรมของพรหม

    ส่วน 8 กรนั้น ก็ได้เนรมิตขึ้น เพื่อให้ชาวโลกได้พินิจ คิดปรัชญา แท้จริงหมายถึง
    สมาบัติ 8 อันได้แก่
    ฌาน 1 วิเวกสุข
    ฌาน 2 ปีติสุข
    ฌาน 3 อุเบกขาสุข
    ฌาน 4 อทุกขมสุข
    ฌาน 5 อากาศกว้าง
    ฌาน 6 กระแสวิญญาณ
    ฌาน 7 ไม่มีอะไร
    ฌาน 8 ประณีตนิ่ง
    ของวิเศษ 8 สิ่งในมือ หมายถึง อริยมรรค 8 เครื่องนำทางสู่มรรคผล ได้แก่
    เข้าใจถูกต้อง คิดถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้อง
    การงานถูกต้อง พยายามถูกต้อง รำลึกถูกต้อง จิตตั้งมั่นถูกต้อง
    พระเจ้าสร้างโลกนั้น หมายความว่า สรรพสิ่งเกิดจากจิต จิตเป็นผู้บันดาล
    สร้างสรรค์ จิตคิดอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น

    เพราะมีฉันทะ ความพอใจที่แรงพอ
    มีวิริยะ ความพากเพียรพยายามทำให้สำเร็จ
    มีจิตตะ เอาใจใส่ สนใจ
    และวิมังสา ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

    ธรรมชาติเกิดขึ้นเอง มีมานานแล้ว โลกมีแรงดึงดูดของโลก ฟ้ามีแรงดึงดูดของฟ้า
    คนก็มีแรงดึงดูดของคน แรงดึงดูดอันมาจากจิตใจ การคิดนึกปรุงแต่ง ความปรารถนา
    และการตัดสินใจขึ้นอยู่ที่ตัวเราเอง เราลิขิตชีวิตของเราเอง ไม่ใช่พรหมลิขิต

    พรหมลิขิตเป็นไปตามกรรมต่างหาก กฏแห่งกรรมให้ผลสุขทุกข์ที่เที่ยงตรงเสมอ
    ปัจจุบันของเราเป็นผลมาจากอดีต และปัจจุบันของเราส่งผลไปในอนาคต
    ปัจจุบันดี อนาคตก็ดี
    ปัจจุบันชั่ว อนาคตก็ชั่ว
    พุทธเทพย่อมเป็นที่พึ่ง ย่อมอนุเคราะห์มนุษย์ได้ตามสมควรแก่สติกำลัง พระเจ้า
    สอนให้เรามีมานะ ขยันหมั่นเพียร มานะ ก็คือ พระเจ้า เป็นธรรมะของพระเจ้า
    โส ฬส มัค คะ จิต ล้วนมากมีความหมาย
    โสฬส แปลว่า สิบหก
    มัคคะ คือ มรรค ทางดำเนิน
    จิต นั้นคือ ใจ
    รวมความแล้ว เป็นทางจากจิตสู่จิต 16 ประการ ดังต่อไปนี้....
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    1. จิตเจือรัก
    2. จิตหายรัก
    3. จิตเจือชัง
    4. จิตหายชัง
    5. จิตเจือหลง
    6. จิตหายหลง
    7. จิตหดหู่
    8. จิตฟุ้งซ่าน
    9. จิตกว้างขวาง
    10. จิตคับแคบ
    11. จิตยิ่งใหญ่
    12. จิตถูกกด
    13. จิตตั้งมั่น
    14. จิตซัดซ่าย
    15. จิตอิสระ
    16. จิตติดขัด
    จิต 16 ทางเกิดดับในใจเราอยู่เสมอๆ จงได้ติดตามดูการเคลื่อนไหวของจิต
    อยู่ทุกขณะจิต กำหนดรู้จิตกว้างขวาง เป็นอุปจารสมาธิ สงบได้ชั่วครู่ จิตยิ่งใหญ่
    เป็น อัปนาสมาธิ แนบแน่นติดต่อกันนานพอสมควร เป็นความแน่วแน่ของดวงจิต

    จิตถูกกด เป็นจิตที่ถูกจิตอื่นแทรกแซง รบกวน ไม่มีเอกภาพในขณะนั้น

    จิตตั้งมั่น ได้แก่ ฌาน หมายถึงเป็นเครื่องอยู่ มีที่พักใจ ไม่วุ่นวายสับสนไร้ที่พักพิง
    เหมือนจิตซัดซ่าย ลอยไปลอยมา ไม่เป็นแก่นสาร

    จิตอิสระ คือ หลุดพ้น แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ก็ชื่อว่าเป็นอิสระ เป็นจิตปลอดโปร่ง
    ใช้สติเพ่งจิต ติดตามดูอาการของจิตอยู่เสมอๆ ได้ดังนี้ ก็จะบรรลุถึงโมกษะ ความ
    หลุดพ้นเข้าถึงไกวัล สภาวะนิรันดรในที่สุด บัดนี้ พระดาบส ได้เข้าใจความเร้นลับ
    ของสรรพสิ่งแล้ว จงสร้างโลก คือ ตัวเรา ด้วยความดี สรรพสิ่งเกิดแต่จิต จิตคิดดี
    รำลึกดี สร้างกรรมดี กรรมลิขิต ชีวิตไปดี
     
  11. zaxc

    zaxc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +422
    TT หนูอ่อนด้อย หนูไม่มีรู้ให้อวดนี่สิคะ แต่ถ้ามีปัญหากฎหมายปรึกษาหนูได้นะ <<< คนละเรื่องเร๊ยยยย แต่ก่ถ้าใครเดือดร้อนจะพยายามตอบเปนความรู้ได้ค่ะ ไม่ใช่ทนายนะคะอายุไม่ถึงค่ะไม่ได้มาหาลูกค้า
     
  12. Tatojang

    Tatojang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2012
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +1,401
    สวัสดีค่ะคุณนุ๊กขออนุญาติมาอ่านค่ะบทความดีๆทุกเรื่องราวอ่านแล้วได้ประโยชน์มากค่ะ(f)
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สวัสดีค่ะคุณ Tatojang ยินดีต้อนรับค่ะ
    เชิญค่ะด้วยความยินดี ว่างๆ แวะเอารู้มาฝากกันบ้างนะคะ
     
  14. Tatojang

    Tatojang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2012
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +1,401
    ขอบคุณค่ะ อ่านเรื่องชีวิตกลางดอยแล้วนึกถึงละคร ธรณีนี่นี้ใครครองค่ะชอบบ้านและวิถีชีวิตแบบนี้จังเลยค่ะ
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คุณTatojang ชอบเหมือนเราเลย
    เรารักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ
    เป็นชีวิตที่เรียบง่าย สันโดษ ธรรมชาติแท้ๆ
    ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ สงบ พอเพียง
    หาไม่ได้เลยในป่าคอนกรีต

    ยังมีผู้คนอีกมากมายที่อยู่ห่างไกล
    การสู้ชีวิตของเด็กน้อยกับธรรมชาติ
    ตอนนี้ มีความคิดอยากวางภาระทุกเรื่อง
    แล้วเดินเข้าป่า ใช้ชีวิตในป่าที่สงบ
    เข้าไปทดสอบตัวเอง ไปทำประโยชน์
    ให้กับคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างไกล....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2012
  16. Tatojang

    Tatojang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2012
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +1,401
    ปรกติแล้วก็จะชอบอยู่เงียบๆจะไม่ชอบอะไรที่วุ่นวายค่ะไม่ค่อยชอบไปที่มีคนเยอะๆค่ะ
    และพอว่างก็จะกันไปทำบุญกับครอบครัว แต่แปลกค่ะที่บ้านจะมีคนมาเยี่ยมมาพูดคุยตลอดเพื่อนบ้านมีจิตใจที่ดีเอื้อเฟื้อกันดีค่ะ ต่างจากสังคมในกรุงที่ต่างคนต่างอยู่เช้ามาออกไปทำงานค่ำมาเข้าบ้านเห็นแล้วเหนื่อยนะคะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะภาระหน้าที่นะคะ ส่วนตัวเองก็เหมือนกันค่ะถึงเวลาก็ต้องออกไปรับลูกๆที่โรงเรียนเช่นกันค่ะ:VO
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    พอดีช่วงนี้ ยุ่งค่ะ

    ใครสนใจ แนวสมาธิหลวงปู่จ๋า(สมเด็จพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี)
    เรื่อง กายทิพย์ ถอดจิต ตาทิพย์ ฯลฯ ก็ไปอ่านได้
    เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว ชอบมาก
    พอดี เห็นคุณขวัญพัฒน์ มาโพสต์ ..รวมถึงประสบการณ์ของจขกท. ด้วยจ๊ะ

    http://palungjit.org/threads/แนวคำสอนสมเด็จโตเรื่องกายทิพย์สมาธิ.335152/
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอบคุณนะคะ คุณปุณฑ์ที่เอาเรื่องดีๆ มาฝาก
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จงกรม คือการเดินสมาธิ ใช้สลับกับการนั่งสมาธิ เรียกว่า เดินจงกรม
    เป็นการเดินอย่างสำรวมกายใจ อยู่ในสมาธิ เป็นสมาธิแบบเคลื่อนไหว
    เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานไปในตัวด้วย

    การเดินจงกรม เป็นวิธีออกกำลังกายที่สุภาพ ไปๆ มาๆ กลับไปกลับมา
    ติดต่อกันเป็นชั่วโมง ถ้าคิดเป็นระยะทางก็ไกลโขทีเดียว ร่างกายย่อม
    เกิดพลังงานความร้อน ขับเหงื่อออกมา รู้สึกสบายตัวขึ้น

    อานิสงส์การเดินจงกรม เดินจงกรมถือเป็นศาสตร์ลี้ลับ ทำให้ร่างกาย
    แข็งแรง และสามาระรักษาโรคต่างๆ ได้ด้วย เช่น โรคไต โรคเบาหวาน
    โรคความดันโลหิตต่ำ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน รวมทั้งโรคทางจิต
    โรคทางสมอง ด้วยระบบถ่ายเททางผิวหนัง

    ประโยชน์ของการเดินจงกรมมีอีกหลายอย่าง คือ

    ช่วยให้เดินทางไกลทน เพราะได้ฝึกซ้อมกำลังการเดินอยู่เสมอๆ

    ช่วยทำความเพียรได้ทน เพราะปกติการนั่งอย่างเดียวนานๆ มันเมื่อยได้
    เมื่อยแล้วก็เอน เอนแล้วก็นอน นอนแล้วก็หลับ แต่ถ้าเมื่อยแล้วเดิน จะ
    คลายเมื่อยได้ ไม่ต้องไปหาหมอนวดที่ไหนเลย

    ช่วยให้อาหารย่อยง่าย เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น ได้บริหาร
    เลือดลมดี มันก็ดีไปหมด

    สมาธิย่อมตั้งมั่นได้นาน เพราะตาต้องแลดูเส้นทาง มองดูพื้นข้างหน้า
    ใจจดจ่ออยู่ที่เท้าทั้ง 2 ข้าง โอกาสที่จะคิดฟุ้งซ่านไปก็มีน้อย เป็นอุบาย
    แก้ง่วงวิธีหนึ่ง เพราะตาต้องลืมขึ้น ต้องมีการทรงตัว มีการเคลื่อนไหว
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลักษณะการเดินมี 2 รูปแบบ คือเดินเร็ว กับเดินช้า

    เดินเร็ว เรียกว่า เดินออกกำลัง แต่ก็กำหนดจิตภาวนาสมาธิได้ ได้สมาธิ
    เหมือนกัน ดังนั้น การออกกำลังกาย ก็เป็นการฝึกจิตได้ สร้างกำลังใจได้
    ส่วนเดินช้า เรียกว่า เดินจงกรม ไม่ฟุ้งซ่านวอกแวกไปมา

    สรุปได้ว่า เดินช้า เดินเร็ว ไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละ
    บุคคล เมื่อเดินแล้ว ทำให้ใจสงบระงับได้ ก็เป็นจงกรมได้ทั้งนั้น

    ประเภทการเดินก็มี 2 รูปแบบ คือ

    เดินเป็นเส้นตรง กำหนดระยะทางไว้ ไม่สั้นเกินไป จนน่าเวียนหัว มึนศีรษะ
    และไม่ยาวเกินไป จนจิตท้อแท้ เพราะไกลเหลือเกิน เลยไม่สร้างขวัญและ
    กำลังใจ ต้องเดินสายกลาง ไม่ตึงจนเกินไป มันเครียด และไม่หย่อนจนเกินไป
    มันไร้ผล ต้องให้พอดีๆ ความพอดีพอส่วนนั่นแหละดี มีคนรุมรักนับถือ ไม่มาก
    ไปน้อยไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...