พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต่อกันครับ

    หากมีความจำเป็นที่จะต้องวางรวมบนหิ้งเดียวกัน ก็ควรจะยกพื้นให้พระพุทธรูปสูงกว่าพระ พระองค์อื่นๆ นอกจากนี้รูปภาพพระสงฆ์ไม่ควรแขวนสูงกว่าพระพุทธรูป เพราะพระสงฆ์ยังไหว้พระพุทธ
    <O:p</O:p
    การหันหน้าของหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่
    <O:p</O:p
    ปกติควรหันไปทางทิศตะวันออก หากสถานที่ไม่อำนวยจะหันไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ก็ได้ ยกเว้นทิศตะวันตก<O:p</O:p

    การสร้างพระพุทธรูปและสัญลักษณ์ต่างๆ ในพระพุทธศาสนา เป็นการสร้างเพื่อเตือนสติให้ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างไว้ เมื่อมีรูปแทนคือ พระพุทธรูปก็ดี พระเครื่องก็ดี เหรียญหลวงพ่อ หลวงปู่ต่างๆ อยู่กับตัวหรือบูชาไว้ก็ควรระลึกว่า มีของดีอยู่กับตัว ความชั่วไม่ควรทำ ควรน้อมนำเอาคำสั่งสอนของท่านมาประพฤติปฎิบัติ ก็จะได้รับความสุขกายสุขใจตามสมควรแก่ธรรมนั้นๆ
    <O:p</O:p
    เมื่อมีพระพุทธรูป และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนหิ้งหรือโต๊ะหมู่ จึงมีการบูชาพระ หากมีพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่บูชาก็เหมือนเอาตุ๊กตามาประดับบ้าน<O:p</O:p
    การบูชาพระ<O:p</O:p
    มี ๒ ประการ คือ<O:p</O:p
    อามิสบูชาบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งของต่างๆ<O:p</O:p
    ปฏิบัติบูชาการปฎิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์สรรเสริญว่า เป็นการบูชาพระองค์โดยแท้จริง<O:p</O:p
    การสวดมนต์บูชาพระ เป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการทำความดีอย่างง่ายๆ อยู่กับบ้าน<O:p</O:p
    ทานการบริจาคซื้อดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งของมาบูชา<O:p</O:p
    ศีลระหว่างการสวดมนต์ของท่านเป็นผู้ที่มีศีล ๕ บริบูรณ์<O:p</O:p
    ภาวนาการสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    การจุดธูป เทียน บูชาพระ<O:p</O:p
    ให้ใช้ ปัญญา พิจารณาดังนี้<O:p</O:p
    . ก้านธูปที่จุดบูชาพระ อย่าสะสม นั่นคือเชื้อไฟอย่างดี เป็นเหตุให้ไฟไหม้บ้านเรือนที่อยู่อาศัย<O:p</O:p
    . การปักธูปลงในกระถาง ระวังธูปล้มหรือเอียง<O:p</O:p
    . วัสดุในกระถางธูป ควรจะเป็นทรายละเอียด ล้างน้ำแล้วตากแห้ง แทนที่จะเป็นข้าวสาร หรือวัสดุอื่นๆ เพราะจะปักธูปได้แน่นกว่า<O:p</O:p
    . ดับเทียน เมื่อท่านสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว อย่าปล่อยให้หมดโดยไม่มีคนเฝ้า อาจเป็นชนวนเหตุให้ไฟไหม้ <<<<<การดับเทียน ตามความคิดเห็นของผู้พิมพ์ ควรจะใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นเช่น พัด ฯลฯ พัดเทียนให้ดับ ไม่ควรใช้ปาก เป่าเทียนให้ดับ >>><O:p></O:p>


    ๕. ใช้ภาชนะรองรับกระถางธูป เชิงเทียนไว้จะเป็นการดี เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราท่านก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะพระท่านสอนให้ใช้ปัญญา<O:p</O:p

    . การบูชาพระด้วยพวงมาลัย ควรใส่พาน จาน หรือถาด นำไปวางที่หิ้งหรือหน้าที่บูชาพระ ไม่ควรคล้องคอ ดูไม่งาม ไม่เหมาะสม เพราะพระไม่ใช่นักร้อง<O:p</O:p
    . หากท่านออกนอกเคหะสถาน ไม่สะดวกในการจุดธูปเทียนบูชาพระ ก็ให้สวดมนต์ภาวนาในใจ เมื่อกลับบ้านในตอนเย็นหรือค่ำ ก็ควรจะสักการะท่านด้วยธูปเทียน ถ้าหากเดินทางไปค้างแรมต่างถิ่นต่างที่ ก็ให้สวดมนต์ภาวนาเอาเถิด<O:p</O:p
    . ควรจุดเทียนทั้งสองเล่มก่อน แล้วจึงเอาธูปจุดที่เทียน<O:p</O:p

    การบนบานศาลกล่าว<O:p</O:p

    ชาวพุทธฯ บางท่านที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ก็มักจะขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ช่วย ทั้งเจ้าที่เจ้าทาง ผีสาง นางไม้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หลวงพ่อ หลวงปู่ ตลอดจนพระพุทธปฎิมากรต่างๆ จะพบเห็นได้ทั่วไป<O:p</O:p


    ตัวท่านผู้ไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเป็นเสมือนผู้ไปทำสัญญาผูกมัดตนเอง คือ ถ้าสำเร็จผลตามที่บนไว้ ก็จะเอาของมาแก้บน แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็จะไม่นำของมาแก้บนให้ ในกรณีที่ไม่สำเร็จแล้วไม่แก้บน ถือว่าท่านยังติดสินบนอยู่ เพราะโดยทั่วไป บนบานไว้ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ไม่มีการยกเลิกสินบน จึงยังติดสินบนอยู่ ทำให้ขัดข้องในการดำเนินชีวิต การงาน การเงิน ตลอดจนที่อยู่มีปัญหา<O:p</O:p

    ฉะนั้น การบนบานควรกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน และบอกยกเลิกสินบนเมื่อไม่ได้ตามที่ประสงค์<O:p</O:p
    ยกตัวอย่างการบนบานที่มีกำหนดเวลาและการยกเลิก<O:p</O:p
    ข้าฯ ขอบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ( เจ้าแม่ เจ้าพ่อ หลวงพ่อ หลวงปู่ ) ขอให้ข้าฯ ขายบ้าน ( เลขที่เท่านั้นเท่านี้ ) สำเร็จในราคา ๕ แสนบาทได้ ระยะเวลา ๑ ปี ถ้าสำเร็จข้าฯจะถวายหัวหมู ๑ หัว ไก่ ๑ ตัว เหล้า ๑ ขวด มาลัย ๑๐ พวง ประทัด ๑๐๐ กล่อง หากพ้นกำหนดเวลา ๑ ปีแล้ว ข้าฯขอยกเลิกสินบน ” <O:p</O:p
    บางท่านบอกว่า จำไม่ได้ว่าบนอะไรไปบ้าง<O:p</O:p

    วิธีแก้ให้เอาโต๊ะวางกลางแจ้ง ๑ ตัว ผ้าขาวปู แล้วจัดของไหว้มีผลไม้ ๕ อย่างๆละ ๒ กิโลกรัม ของหวาน ๕ อย่างๆละ ๑ จาน หัวหมู ๑ หัว ไก่ ๑ ตัว เป็ด ๑ ตัว ปู ๔ ตัว กุ้ง ๑/๒ กิโลกรัม ปลาช่อนนึ่งไม่ขอดเกล็ด ๑ ตัว เหล้าขาว ๑ ขวด น้ำ ๑ ขัน น้ำชา ๑ ที่ หมากพลู ๑ จาน <O:p</O:p
    แล้วจุดธูป ๑๖ ดอก บอกกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าฯ ได้บนบานศาลกล่าวไว้ ระลึกได้ก็ดี ระลึกมิได้ก็ดี ขอให้มารับเครื่องสังเวยที่จัดตั้งไว้ ณ ที่นี้ เมื่อรับแล้ว ขอให้ยกเลิกสินบนที่ได้บนบานไว้ในครั้งก่อน และขอให้อโหสิกรรมแก่ตัวข้าฯ ด้วย<O:p</O:p
    เมื่อหมดธูปแล้ว ลาเอาของสังเวยไปแจกคนอื่นให้หมด เฉพาะคนที่ติดสินบนอย่าได้กินของแก้บนที่ตนเองนำไปแก้บนเป็นอันขาด ถือว่ายังติดสินบนอยู่
    <O:p</O:p
    การจัดพิธีแก้บน<O:p</O:p

    ควรเป็นเวลาเช้าไม่เกินเที่ยง และไม่ควรแก้บนวันพระ ถ้านำไปถวายตามศาลเจ้าในเทศกาลตรุษสารท ลาเอากลับมากินได้ไม่มีโทษ ข้าฯ ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่สนั่น ( ตือ ) สุนทร อายุ ๑๐๐ ปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาอุปสรรคอันเกิดจากการติดสินบนไว้
    <O:p</O:p
    น้ำมนต์<O:p</O:p

    เมื่อได้รับน้ำมนต์จากที่ต่างๆ มา เช่น วัด หรือ ศาลเจ้า ควรตั้งหน้าหิ้งพระ และสวดมนต์เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ ที่ครูบาอาจารย์แต่ละท่านได้อธิษฐานจิตไว้ เพราะน้ำเป็นธาตุหนึ่งในสี่ธาตุของโลก ย่อมเสื่อมสภาพเป็นน้ำธรรมดาดังเดิม<O:p</O:p
    เมื่อต้องการจะนำมาอาบด้วยตนเอง ให้เอาน้ำมนต์ใส่ลงในน้ำ แต่อย่าเอาน้ำธรรมดามาเติมลงในน้ำมนต์<O:p</O:p
    การอาบน้ำมนต์ด้วยตนเอง ข้าฯ ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์อินทร์ ( เสนาะ ) อินทโชโต มีดังนี้<O:p</O:p
    ท่านให้อาบ ๒ วัน วันแรกตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตก ยกถังใส่น้ำค่อนถังเติมน้ำมนต์ลงไป จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ดังนี้<O:p</O:p
    ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ขอให้ประสิทธิ์แก่ข้าพเจ้า<O:p</O:p


    ข้าพเจ้าจะอาบน้ำมนต์ในวันเวลาวันนี้ ขอให้ทุกข์โศก โรคภัย เคราะห์ อุบาทว์ เสนียดจัญไรทั้งหลายของข้าพเจ้า จงตกไปพร้อมกับตะวัน ขอความปรารถนาของข้าพเจ้า จงสำเร็จด้วยเทอญ”<O:p</O:p

    เวลาอาบน้ำมนต์ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วอาบให้หมดถัง<O:p</O:p


    และในวันรุ่งขึ้น ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ยกถังใส่น้ำค่อนถัง เติมน้ำมนต์ลงไป จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อธิฐานดังนี้<O:p</O:p

    “ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ขอให้ชะตาชีวิตของข้าพเจ้า จงรุ่งเรีองสดใส ดังตะวันที่ขึ้นมาวันนี้ด้วยเถิด ขอความปรารถนาของข้าพเจ้า จงสำเร็จด้วยเทอญ”<O:p</O:p




    เวลาอาบน้ำมนต์ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ให้ดูวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ปราศจากเมฆหมอกบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมา แล้วอาบน้ำมนต์ให้หมดถัง
    <O:p</O:p
    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจมั่นของแต่ละท่าน เพื่อจะได้เป็นกำลังใจและขจัดปัดเป่าอุปสรรคให้บรรเทาเบาบางลงไป เราทั้งหลายยังเป็นโลกียบุคคลอยู่ สิ่งนี้เป็นโลกียวิชา จะยังผลสำเร็จแก่เราได้ในระดับหนึ่ง
    <O:p</O:p
    พรมน้ำมนต์เคหะสถาน<O:p</O:p



    แม้เคหะสถานบ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่ จะอยู่นานแล้วหรือเพิ่งจะอาศัยอยู่ เอาน้ำมนต์ใส่ขันจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานว่า<O:p</O:p

    ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ <<< คุณบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ >>> เจ้าที่ที่ข้าพเจ้าพักอาศัย ขอให้มาประสิทธิ์แก่ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะพรมน้ำมนต์เคหะสถานบ้านเรือนแห่งนี้ ขอให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายให้ออกไปจากบ้านของข้าพเจ้า ขอความปรารถนาของข้าพเจ้า จงสำเร็จ”<O:p</O:p


    แล้วพรมน้ำมนต์จากหลังบ้านออกไปหน้าบ้าน และพรมจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้าน พร้อมกับอธิษฐานอาราธนาบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวข้างต้นว่า “……… ขอให้มาประสิทธิ์แก่ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะประพรมน้ำมนต์เคหะสถานบ้านเรือนแห่งนี้ ขอให้ข้าวของ เงิน ทอง โชคลาภ ความสุข ความเจริญ จงเข้ามาสู่บ้านที่ข้าพเจ้า อาศัยอยู่ด้วยเทอญ”<O:p</O:p

    ทำให้ได้ดังนี้ ก็จะบังเกิดเป็นสิริมงคลแก่บ้านที่เราอยู่อาศัยดีนักแลฯ
    <O:p</O:p
    ความรู้เกี่ยวกับการตั้งศาลพระภูมิ<O:p</O:p

    . ห้ามไม่ให้เงาบ้านทับศาล<O:p</O:p
    . ห้ามไม่ให้เงาศาลทับบ้าน<O:p</O:p
    . ห้ามหันหน้าศาลเข้าหน้าต่าง ประตู กระไดบ้าน<O:p</O:p
    . ห้ามตั้งใกล้ห้องส้วม กองขยะ ท่อระบายน้ำ <O:p</O:p
    . ตั้งศาล อย่าให้ศาลเอียง<O:p</O:p
    . ตัวศาล ควรเป็นแบบโบสถ์มหาอุด คือมีทางเข้าออกประตูเดียว ด้านหลังทึบ ด้านข้างมีหน้าต่าง<O:p</O:p
    . ตั้งวันที่มีฤกษ์เป็นมงคล<O:p</O:p
    ทำดังนี้เพื่อความสุขความเจริญของท่านเจ้าบ้าน ร้านค้า อาคารที่อยู่อาศัย กันผลกระทบอันเกิดจากอาถรรพณ์ของการตั้งศาลที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    อานิสงส์ของความดีที่เขียนนี้ ขออุทิศถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับท่านผู้นำไปจัดพิมพ์หรือเผยแพร่ ก็ขอให้อานิสงส์แห่งธรรมทานของท่านติดตัวเป็นภูมิรู้แก่ท่าน เป็นผู้ฉลาดรอบรู้อุดมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนเป็นผู้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ด้วยเทอญ<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    หมายเหตุคำในเครื่องหมาย <<< ……… >>> และ <<<<< ……………. >>>>> เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมในความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง หากมีสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องตามทัศนะคติของท่านหนึ่งท่านใด ข้าพเจ้าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีท่านที่นำไปเผยแพร่และลงที่มาของบทความ ขอโมทนาบุญกับท่านผู้ที่ลงบทความด้วยครับ

    http://www.rajchavit20.com/board/index.php?topic=220.0;prev_next=next
    <TABLE class=tborder style="BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR class=titlebg><TD style="PADDING-LEFT: 6px" vAlign=center align=left width="15%">ผู้เขียน </TD><TD style="PADDING-LEFT: 6px" vAlign=center align=left width="85%">หัวข้อ: ของดี...ที่ชาวพุทธมองข้าม (อ่าน 489 ครั้ง) </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=bordercolor cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=windowbg><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD style="OVERFLOW: hidden" vAlign=top width="16%" rowSpan=2>หนุ่ย4 Global Moderator
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    กระทู้: 138

    [​IMG]


    [​IMG]
    </TD><TD vAlign=top width="85%" height="100%"><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD><TD vAlign=center noWrap align=left>ของดี...ที่ชาวพุทธมองข้าม « เมื่อ: ตุลาคม 11, 2006, 01:17:03 AM »
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>ของดี...ที่ชาวพุทธมองข้าม


    ปัจจุบันชาวพุทธฯ ส่วนใหญ่มักจะมีหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่เพื่อวางพระพุทธรูป รูปเหมือนพระสงฆ์ รูปเจ้าพ่อเจ้าแม่ พระบรมรูปรัชกาลต่างๆ ไว้สักการะบูชา การตั้งหิ้งไม่ควรตั้งสูงเกินไป ให้อยู่ในระดับที่สามารถเอาธูปปักลงในกระถางธูปได้โดยไม่ต้องต่อเก้าอี้ ง่ายต่อการรักษาความสะอาดและสะดวกในการบูชาพระความสูงต่ำของหิ้งขึ้นอยู่กับความสูงต่ำของท่านเจ้าของบ้าน
    การวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่
    ควรวางตามลำดับความสำคัญดังนี้ คือ
    ๑. พระพุทธรูป
    ๒. พระสังกัจจายน์ พระสิวลี ( อริยสงฆ์ )
    ๓. รูปเหมือนหลวงปู่ หลวงพ่อ ( สมมติสงฆ์ )
    ๔. ฤาษี ( ถ้ามี )
    ๕. นางกวัก แม่โพสพ เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕ กรมหลวงชุมพร ฯ เจ้าพ่อเจ้าแม่
    <<<<< ตามความคิดของข้าพเจ้า ( ผู้พิมพ์ ) ในการวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนโต๊ะหมู่บูชานั้น ควรวางตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
    ๑. พระพุทธรูป
    ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
    ๓. พระอรหันต์


    เป็นพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลหรือมีประวัติอยู่ในพระสูตรหรือพระปริตร ต่างๆ หรือ พระอรหันต์ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน เช่น พระโกทัณโญ , พระกัสสะโป , พระสารีบุตร , พระโมคคัลลาน์ , พระอุบาลี , พระอานนท์ , พระราหุล , พระควัมปติ ( พระปิดตา ) , พระสิวลี , พระสังกัจจายน์ , พระบัวเข็มหรือพระอุปคุต ฯลฯ

    ๔. พระอริยสงฆ์
    เป็นพระสงฆ์ในปัจจุบัน เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ , หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส , เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส เป็นต้น
    ๕. รูปเหมือนสมมติสงฆ์
    เป็นพระที่พุทธศาสนิกชนเคารพนับถือกันในสมัยปัจจุบัน ( หลวงปู่ หลวงตา หรือ หลวงพ่อต่างๆ )
    ๖. พระสยามเทวาธิราช
    ๗. เสาหลักเมือง
    ๘. พระบรมรูปพระมหากษัตริย์ไทย
    ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในช่วงเวลาต่างๆมาได้ ถึงแม้ในช่วงที่ประเทศชาติถูกรุกรานจากต่างชาติ และอยู่เย็นเป็นสุข เนื่องมาจากพระบารมี พระปรีชาสามารถ ของพระมหากษัตริย์ไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน อีกทั้งพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคประสพกับความสันติสุขมาจนทุกวันนี้ เช่น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช , สมเด็จพระนารายณ์มหาราช , สมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระเอกาทศรถ , สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช , พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช , พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว , พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฯลฯ
    ๙. วีรบุรุษ และวีรสตรี ของคนไทยในอดีต
    วีรบุรุษและวีรสตรีผู้กล้าของคนไทยเหล่านี้ ได้ยอมลำบาก ยอมเสียเลือด เสียเนื้อ เสียสละทุกๆอย่าง เพื่อให้ประเทศไทยมีเอกราช อยู่รอดปลอดภัยและประชาชนชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขมาจวบจนทุกวันนี้ เช่นพระยาพิชัยดาบหัก , กรมบวรมหาสุรสิงหนาท , กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ , ชาวบ้านบางระจัน , พระนางศรีสุริโยทัย , ท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) , ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร (คุณหญิงมุก คุณหญิงจัน) , สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี (สมเด็จย่า) ฯลฯ
    ๑๐. แม่โพสพ , แม่ธรณี , พระแม่กวนอิม ,พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ , เทพเจ้าต่างๆ , ฤาษี
    ในกรณีที่มีเทพเจ้าต่างๆ พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ แม่โพสพ แม่ธรณี ฤาษี ควรจะจัดชั้นอีกต่างหากในโต๊ะหมู่บูชานั้น เช่น พระศิวะ , พระนารายณ์ , พระพรหม , พระพิฆเนศ , เจ้าแม่อุมา , เจ้าแม่กาลี , พระอินทร์ , ท้าวเวสสุวรรณ , ฤาษี , ฮก ลก ซิ่ว , โป๊ยเซียน , พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นต้น ในด้านเทพเจ้านั้น ต้องจัดตามลำดับดังนี้ ๑.พระศิวะ , เจ้าแม่อุมา , เจ้าแม่กาลี ๒.พระนารายณ์ , พระลักษมี ๓.พระพรหม , พระสุรัสวดี ๔.พระพิฆเนศ ๕.พระอินทร์ ๖.ท้าวเวสสุวรรณ , ๗.ฤาษี ฯลฯ อีกด้านหนึ่งต้องจัดเรียงตามลำดับคือ ๑.พระโพธิสัตว์กวนอิม ๒.ฮก ลก ซิ่ว , ๓.โป๊ยเซียน ฯลฯ ส่วนแม่โพสพ แม่ธรณี จัดไว้รวมกัน เหตุที่ต้องจัด แม่โพสพ แม่ธรณี พระโพธิสัตว์ต่างๆ เทพเจ้าต่างๆ มาไว้ในชั้นนี้นั้นเนื่องจาก แม่โพสพ แม่ธรณี พระโพธิสัตว์ต่างๆ เทพเจ้าต่างๆ ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย อยู่ใต้ความเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของวีรบุรุษและวีรสตรีของไทย จึงได้มีโอกาสในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละองค์ได้ หากไปอยู่ยังประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศอาหรับ อิสราเอล ปาเลสไตล์ หรือแม้แต่ในประเทศอังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็คงไม่มีโอกาส หรือถ้ามีก็มีน้อยโอกาสในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละองค์นั้น
    ๑๑. พระยามัจจุราช
    ๑๒. พันท้ายนรสิงห์ ( เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อสมเด็จพระเจ้าเสือ กษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ซื่อสัตย์ต่อกฎมณเฑียรบาล ซื่อสัตย์ต่อกฎหมายบ้านเมือง ) เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ เจ้าพ่อเสือ , เห้งเจีย , หนุมาน , นางกวัก , เจ้าพ่อกวนอู ฯลฯ
    ๑๓. กุมารทอง ลักยม นกคุ้ม เสือ สิงห์ มังกร วัวธนู ควายธนู ฯลฯ >>>>>>>


    หากมีความจำเป็นที่จะต้องวางรวมบนหิ้งเดียวกัน ก็ควรจะยกพื้นให้พระพุทธรูปสูงกว่าพระ พระองค์อื่นๆ นอกจากนี้รูปภาพพระสงฆ์ไม่ควรแขวนสูงกว่าพระพุทธรูป เพราะพระสงฆ์ยังไหว้พระพุทธ

    การหันหน้าของหิ้งพระหรือโต๊ะหมู่
    ปกติควรหันไปทางทิศตะวันออก หากสถานที่ไม่อำนวยจะหันไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ก็ได้ ยกเว้นทิศตะวันตก

    การสร้างพระพุทธรูปและสัญลักษณ์ต่างๆ ในพระพุทธศาสนา เป็นการสร้างเพื่อเตือนสติให้ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างไว้ เมื่อมีรูปแทนคือ พระพุทธรูปก็ดี พระเครื่องก็ดี เหรียญหลวงพ่อ หลวงปู่ต่างๆ อยู่กับตัวหรือบูชาไว้ก็ควรระลึกว่า มีของดีอยู่กับตัว ความชั่วไม่ควรทำ ควรน้อมนำเอาคำสั่งสอนของท่านมาประพฤติปฎิบัติ ก็จะได้รับความสุขกายสุขใจตามสมควรแก่ธรรมนั้นๆ

    เมื่อมีพระพุทธรูป และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนหิ้งหรือโต๊ะหมู่ จึงมีการบูชาพระ หากมีพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่บูชาก็เหมือนเอาตุ๊กตามาประดับบ้าน
    การบูชาพระ
    มี ๒ ประการ คือ
    อามิสบูชาบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งของต่างๆ
    ปฏิบัติบูชาการปฎิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์สรรเสริญว่า เป็นการบูชาพระองค์โดยแท้จริง
    การสวดมนต์บูชาพระ เป็นการปฏิบัติธรรม เป็นการทำความดีอย่างง่ายๆ อยู่กับบ้าน
    ทานการบริจาคซื้อดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งของมาบูชา
    ศีลระหว่างการสวดมนต์ของท่านเป็นผู้ที่มีศีล ๕ บริบูรณ์
    ภาวนาการสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
    การจุดธูป เทียน บูชาพระ
    ให้ใช้ ปัญญา พิจารณาดังนี้
    ๑. ก้านธูปที่จุดบูชาพระ อย่าสะสม นั่นคือเชื้อไฟอย่างดี เป็นเหตุให้ไฟไหม้บ้านเรือนที่อยู่อาศัย
    ๒. การปักธูปลงในกระถาง ระวังธูปล้มหรือเอียง
    ๓. วัสดุในกระถางธูป ควรจะเป็นทรายละเอียด ล้างน้ำแล้วตากแห้ง แทนที่จะเป็นข้าวสาร หรือวัสดุอื่นๆ เพราะจะปักธูปได้แน่นกว่า
    ๔. ดับเทียน เมื่อท่านสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว อย่าปล่อยให้หมดโดยไม่มีคนเฝ้า อาจเป็นชนวนเหตุให้ไฟไหม้ <<<<<การดับเทียน ตามความคิดเห็นของผู้พิมพ์ ควรจะใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นเช่น พัด ฯลฯ พัดเทียนให้ดับ ไม่ควรใช้ปาก เป่าเทียนให้ดับ >>>>>


    ๕. ใช้ภาชนะรองรับกระถางธูป เชิงเทียนไว้จะเป็นการดี เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราท่านก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะพระท่านสอนให้ใช้ปัญญา

    ๖. การบูชาพระด้วยพวงมาลัย ควรใส่พาน จาน หรือถาด นำไปวางที่หิ้งหรือหน้าที่บูชาพระ ไม่ควรคล้องคอ ดูไม่งาม ไม่เหมาะสม เพราะพระไม่ใช่นักร้อง
    ๗. หากท่านออกนอกเคหะสถาน ไม่สะดวกในการจุดธูปเทียนบูชาพระ ก็ให้สวดมนต์ภาวนาในใจ เมื่อกลับบ้านในตอนเย็นหรือค่ำ ก็ควรจะสักการะท่านด้วยธูปเทียน ถ้าหากเดินทางไปค้างแรมต่างถิ่นต่างที่ ก็ให้สวดมนต์ภาวนาเอาเถิด
    ๘. ควรจุดเทียนทั้งสองเล่มก่อน แล้วจึงเอาธูปจุดที่เทียน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การบนบานศาลกล่าว

    ชาวพุทธฯ บางท่านที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ก็มักจะขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ช่วย ทั้งเจ้าที่เจ้าทาง ผีสาง นางไม้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หลวงพ่อ หลวงปู่ ตลอดจนพระพุทธปฎิมากรต่างๆ จะพบเห็นได้ทั่วไป


    ตัวท่านผู้ไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเป็นเสมือนผู้ไปทำสัญญาผูกมัดตนเอง คือ ถ้าสำเร็จผลตามที่บนไว้ ก็จะเอาของมาแก้บน แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็จะไม่นำของมาแก้บนให้ ในกรณีที่ไม่สำเร็จแล้วไม่แก้บน ถือว่าท่านยังติดสินบนอยู่ เพราะโดยทั่วไป บนบานไว้ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ไม่มีการยกเลิกสินบน จึงยังติดสินบนอยู่ ทำให้ขัดข้องในการดำเนินชีวิต การงาน การเงิน ตลอดจนที่อยู่มีปัญหา

    ฉะนั้น การบนบานควรกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน และบอกยกเลิกสินบนเมื่อไม่ได้ตามที่ประสงค์
    ยกตัวอย่างการบนบานที่มีกำหนดเวลาและการยกเลิก
    “ ข้าฯ ขอบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ( เจ้าแม่ เจ้าพ่อ หลวงพ่อ หลวงปู่ ) ขอให้ข้าฯ ขายบ้าน ( เลขที่เท่านั้นเท่านี้ ) สำเร็จในราคา ๕ แสนบาทได้ ระยะเวลา ๑ ปี ถ้าสำเร็จข้าฯจะถวายหัวหมู ๑ หัว ไก่ ๑ ตัว เหล้า ๑ ขวด มาลัย ๑๐ พวง ประทัด ๑๐๐ กล่อง หากพ้นกำหนดเวลา ๑ ปีแล้ว ข้าฯขอยกเลิกสินบน ”
    บางท่านบอกว่า จำไม่ได้ว่าบนอะไรไปบ้าง

    วิธีแก้ให้เอาโต๊ะวางกลางแจ้ง ๑ ตัว ผ้าขาวปู แล้วจัดของไหว้มีผลไม้ ๕ อย่างๆละ ๒ กิโลกรัม ของหวาน ๕ อย่างๆละ ๑ จาน หัวหมู ๑ หัว ไก่ ๑ ตัว เป็ด ๑ ตัว ปู ๔ ตัว กุ้ง ๑/๒ กิโลกรัม ปลาช่อนนึ่งไม่ขอดเกล็ด ๑ ตัว เหล้าขาว ๑ ขวด น้ำ ๑ ขัน น้ำชา ๑ ที่ หมากพลู ๑ จาน
    แล้วจุดธูป ๑๖ ดอก บอกกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าฯ ได้บนบานศาลกล่าวไว้ ระลึกได้ก็ดี ระลึกมิได้ก็ดี ขอให้มารับเครื่องสังเวยที่จัดตั้งไว้ ณ ที่นี้ เมื่อรับแล้ว ขอให้ยกเลิกสินบนที่ได้บนบานไว้ในครั้งก่อน และขอให้อโหสิกรรมแก่ตัวข้าฯ ด้วย
    เมื่อหมดธูปแล้ว ลาเอาของสังเวยไปแจกคนอื่นให้หมด เฉพาะคนที่ติดสินบนอย่าได้กินของแก้บนที่ตนเองนำไปแก้บนเป็นอันขาด ถือว่ายังติดสินบนอยู่

    การจัดพิธีแก้บน

    ควรเป็นเวลาเช้าไม่เกินเที่ยง และไม่ควรแก้บนวันพระ ถ้านำไปถวายตามศาลเจ้าในเทศกาลตรุษสารท ลาเอากลับมากินได้ไม่มีโทษ ข้าฯ ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่สนั่น ( ตือ ) สุนทร อายุ ๑๐๐ ปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาอุปสรรคอันเกิดจากการติดสินบนไว้

    น้ำมนต์

    เมื่อได้รับน้ำมนต์จากที่ต่างๆ มา เช่น วัด หรือ ศาลเจ้า ควรตั้งหน้าหิ้งพระ และสวดมนต์เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ ที่ครูบาอาจารย์แต่ละท่านได้อธิษฐานจิตไว้ เพราะน้ำเป็นธาตุหนึ่งในสี่ธาตุของโลก ย่อมเสื่อมสภาพเป็นน้ำธรรมดาดังเดิม
    เมื่อต้องการจะนำมาอาบด้วยตนเอง ให้เอาน้ำมนต์ใส่ลงในน้ำ แต่อย่าเอาน้ำธรรมดามาเติมลงในน้ำมนต์
    การอาบน้ำมนต์ด้วยตนเอง ข้าฯ ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์อินทร์ ( เสนาะ ) อินทโชโต มีดังนี้
    ท่านให้อาบ ๒ วัน วันแรกตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตก ยกถังใส่น้ำค่อนถังเติมน้ำมนต์ลงไป จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ดังนี้
    “ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ขอให้ประสิทธิ์แก่ข้าพเจ้า


    ข้าพเจ้าจะอาบน้ำมนต์ในวันเวลาวันนี้ ขอให้ทุกข์โศก โรคภัย เคราะห์ อุบาทว์ เสนียดจัญไรทั้งหลายของข้าพเจ้า จงตกไปพร้อมกับตะวัน ขอความปรารถนาของข้าพเจ้า จงสำเร็จด้วยเทอญ”

    เวลาอาบน้ำมนต์ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วอาบให้หมดถัง


    และในวันรุ่งขึ้น ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ยกถังใส่น้ำค่อนถัง เติมน้ำมนต์ลงไป จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อธิฐานดังนี้

    “ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ขอให้ชะตาชีวิตของข้าพเจ้า จงรุ่งเรีองสดใส ดังตะวันที่ขึ้นมาวันนี้ด้วยเถิด ขอความปรารถนาของข้าพเจ้า จงสำเร็จด้วยเทอญ”




    เวลาอาบน้ำมนต์ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ให้ดูวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ปราศจากเมฆหมอกบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมา แล้วอาบน้ำมนต์ให้หมดถัง

    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจมั่นของแต่ละท่าน เพื่อจะได้เป็นกำลังใจและขจัดปัดเป่าอุปสรรคให้บรรเทาเบาบางลงไป เราทั้งหลายยังเป็นโลกียบุคคลอยู่ สิ่งนี้เป็นโลกียวิชา จะยังผลสำเร็จแก่เราได้ในระดับหนึ่ง

    พรมน้ำมนต์เคหะสถาน



    แม้เคหะสถานบ้านเรือนที่เราอาศัยอยู่ จะอยู่นานแล้วหรือเพิ่งจะอาศัยอยู่ เอาน้ำมนต์ใส่ขันจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานว่า

    “ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ <<< คุณบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ >>> เจ้าที่ที่ข้าพเจ้าพักอาศัย ขอให้มาประสิทธิ์แก่ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะพรมน้ำมนต์เคหะสถานบ้านเรือนแห่งนี้ ขอให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายให้ออกไปจากบ้านของข้าพเจ้า ขอความปรารถนาของข้าพเจ้า จงสำเร็จ”


    แล้วพรมน้ำมนต์จากหลังบ้านออกไปหน้าบ้าน และพรมจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้าน พร้อมกับอธิษฐานอาราธนาบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวข้างต้นว่า “……… ขอให้มาประสิทธิ์แก่ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะประพรมน้ำมนต์เคหะสถานบ้านเรือนแห่งนี้ ขอให้ข้าวของ เงิน ทอง โชคลาภ ความสุข ความเจริญ จงเข้ามาสู่บ้านที่ข้าพเจ้า อาศัยอยู่ด้วยเทอญ”

    ทำให้ได้ดังนี้ ก็จะบังเกิดเป็นสิริมงคลแก่บ้านที่เราอยู่อาศัยดีนักแลฯ

    ความรู้เกี่ยวกับการตั้งศาลพระภูมิ

    ๑. ห้ามไม่ให้เงาบ้านทับศาล
    ๒. ห้ามไม่ให้เงาศาลทับบ้าน
    ๓. ห้ามหันหน้าศาลเข้าหน้าต่าง ประตู กระไดบ้าน
    ๔. ห้ามตั้งใกล้ห้องส้วม กองขยะ ท่อระบายน้ำ
    ๕. ตั้งศาล อย่าให้ศาลเอียง
    ๖. ตัวศาล ควรเป็นแบบโบสถ์มหาอุด คือมีทางเข้าออกประตูเดียว ด้านหลังทึบ ด้านข้างมีหน้าต่าง
    ๗. ตั้งวันที่มีฤกษ์เป็นมงคล
    ทำดังนี้เพื่อความสุขความเจริญของท่านเจ้าบ้าน ร้านค้า อาคารที่อยู่อาศัย กันผลกระทบอันเกิดจากอาถรรพณ์ของการตั้งศาลที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ



    อานิสงส์ของความดีที่เขียนนี้ ขออุทิศถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับท่านผู้นำไปจัดพิมพ์หรือเผยแพร่ ก็ขอให้อานิสงส์แห่งธรรมทานของท่านติดตัวเป็นภูมิรู้แก่ท่าน เป็นผู้ฉลาดรอบรู้อุดมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนเป็นผู้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ด้วยเทอญ


    หนังสือญาณทิพย์ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๘ เดือนเมษายน ๒๕๔๓
    พุทธบูชา ช้าง กจ. ผู้แต่ง
    sithiphong ผู้พิมพ์และพิมพ์แจกเป็นทาน
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยาสีพระทนต์ของในหลวง

    [​IMG]
    ผมมีภาพๆ หนึ่งเอามาให้ดูกัน เป็นภาพหลอดยาสีฟันที่ถูกใช้แล้วครับ
    เห็นทีแรกไกลๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรมากหรอกครับ เป็นภาพที่ติดอยู่บนบอร์ดที่โรงเรียนของลูก
    ระหว่างที่ยืนรอลูกๆ ลงมาจากห้องเรียน จึงได้อ่านข้อความ ที่ประกอบภาพนี้ อย่างละเอียด

    ภาพหลอดยาสีฟันที่เห็นนี้ ต้องเรียกว่าเป็นหลอดยาสีพระทนต์ประวัติศาสตร์
    เพราะนี่คือ หลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    เห็นแล้วรู้สึกเหมือนผมไหมครับ ความฉ่ำเย็นจากที่ไหนก็ไม่รู้อาบลงมากลางกระหม่อมเลย
    ภาพนี้ถูกตีพิมพ์เป็นโปสเตอร์โดยคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ฯ
    ครูที่โรงเรียนของลูกผม ไปพบเข้าเลยนำมาถ่ายสำเนา
    ติดบอร์ดให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจคำว่า "ประหยัด"
    ศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิงท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช
    ทันตแพทย์ประจำพระองค์ อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    เขียนเล่าให้ฟังว่า "ครั้งหนึ่งทันตแพทย์ประจำพระองค์
    กราบถวายบังคมทูลเรื่องศิษย์ทันตแพทย์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย บางคนมีค่านิยมในการใช้ของต่างประเทศ และมีราคาแพง รายที่ไม่มีทรัพย์พอซื้อหาก็ยังขวนขวาย เช่ามาใช้เป็นการชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเท่าที่ทราบมา มีความแตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงนิยมใช้กระเป๋า ที่ผลิตภายในประเทศเช่นสามัญชนทั่วไป ทรงใช้ดินสอสั้นจนต้องต่อด้าม แม้ยาสีพระทนต์ของพระองค์ท่าน ก็ทรงใช้ด้ามแปรงพระทนต์รีดหลอดยาจนแบน จนแน่ใจว่าไม่มียาสีพระทนต์หลงเหลืออยู่ในหลอดจริงๆ

    เมื่อกราบบังคมทูลเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า ของพระองค์ท่านก็เหมือนกัน และยังทรงรับสั่งต่อไปด้วยอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้เองมหาดเล็กห้องสรง เห็นว่ายาสีพระทนต์ของพระองค์คงใช้หมดแล้ว
    จึงได้นำหลอดใหม่มาเปลี่ยนให้แทน เมื่อพระองค์ได้ทรงทราบ ก็ได้ขอให้เขานำยาสีพระทนต์หลอดเก่า มาคืนและพระองค์ท่านยังทรงสามารถใช้ต่อไปได้อีกถึง 5 วัน จะเห็นได้ว่าในส่วนของพระองค์ท่านเองนั้น ทรงประหยัดอย่างยิ่ง
    ซึ่งตรงกันข้ามกับ พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงพระราชทานเพื่อราษฎรผู้ยากไร้อยู่เป็นนิจ
    พระจริยาวัตรของพระองค์ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึงพระวิริยะ อุตสาหะ ตลอดจนความประหยัดในการใช้ของอย่างคุ้มค่า

    หลังจากนั้นทันตแพทย์ประจำพระองค์ได้กราบพระบาททูลขอพระราชทานหลอดยาสีพระทนต์หลอดนั้น
    เพื่อนำไปให้ศิษย์ได้เห็นและรับใส่เกล้าเป็นตัวอย่างเพื่อประพฤติปฏิบัติในโอกาสต่อๆ ไป

    ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานส่งหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นมาให้ถึงบ้าน ทันตแพทย์ประจำพระองค์รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้ายิ่ง
    เมื่อได้พิจารณาถึงลักษณะของหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นแล้ว
    ทำให้เกิดความสงสัยว่า เหตุใดหลอดยาสีพระทนต์หลอดนี้จึงแบนราบเรียบโดยตลอด
    คล้ายแผ่นกระดาษโดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปเกือบถึงเกลียวคอหลอด
    เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอีกครั้งในเวลาต่อมา จึงได้รับคำอธิบายจากพระองค์ว่า
    หลอดยาสีพระทนต์ที่เห็น แบนเรียบนั้นเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์
    ช่วยรีดและกดจนเป็นรอยบุ๋มที่เห็นนั่นเอง
    และเพื่อที่จะขอนำไปแสดงให้ศิษย์ทันตแพทย์ ได้เห็นเป็นอุทาหรณ์
    จึงได้ขอพระราชานุญาตซึ่งพระองค์ท่านก็ได้ทรงพระเมตตาด้วยความเต็มพระทัย"

    ผมมีโอกาสได้ยืนมองดูรูปหลอดยาสีพระทนต์หลอดนี้อยู่เนืองๆ เวลาไปรอรับลูกที่โรงเรียน
    และเมื่อยิ่งดูก็ยิ่งได้รับรู้ถึง ปรัชญาที่พระองค์พระราชทานผ่านมาทางหลอดยาฯ นี้แล้ว
    ผมก็พบว่าแก่นแท้ของการประหยัดมันอยู่ตรงนี้นี่เอง ไม่ใช่ไม่ยอมใช้เลย
    แต่ต้องรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
    ไม่ใช้แบบเหลือทิ้งเหลือขว้าง และทำให้ผมคิดไปถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนโลกใบนี้

    หลอดยาสีพระทนต์ของในหลวง หลอดนี้สอนผมให้เข้าใจว่า ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เรายังคงต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่อ ไม่ใช่ไม่ใช้เลย
    แต่จะใช้อย่างไรมากกว่า ตัวอย่างง่ายๆ เรื่องการใช้น้ำ
    เราไม่ควรประหยัดน้ำจนต้นไม้ที่ปลูกอยู่ตายเพราะขาดน้ำ
    แต่เราควรระวังการเปิดน้ำทิ้งไว้ เราควรระวังท่อน้ำรั่ว หยด ซึม
    เราควรระวังเรื่องสิ้นเปลืองเหล่านี้ต่างหาก แล้วผมก็คิดเลยไปถึงเรื่องอื่นๆ
    อีกหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องเขื่อนว่าทำไมบางครั้งโลกเราถึงต้องยอมเสีย พื้นที่ป่าบางพื้นที่เพื่อสร้างเขื่อนบ้าง

    ประภาส ชลศรานนท์
    จากหนังสือพิมพ์มติชน วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2543
    คอลัมภ์ "คุยกับประภาส"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ton 9.jpg
      ton 9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      417
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part1.html

    [​IMG]
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=115);]ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก[/COLOR]
    [COLOR=darkgold,direction=115);]๑. อะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา[/COLOR] </CENTER>
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้า เมื่อได้กล่าวทักทายปราศรัยพอสมควรแล้ว พราหมณ์นั้น จึงกราบทูลว่า
    "พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ มีคนรู้จักมาก มีเกียรติยศเป็นเจ้าลัทธิ อันชนหมู่มากเข้าใจกันว่าเป็นคนดี เช่น ปูรณะ กัสสป, มักขละ โคสาล, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุธะ กัจจายนะ, สัญชัย เวลัฏฐบุตร, และ นิครนถนาฏบุตร<SUP></SUP> สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือว่าไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย หรือบางพวกรู้ บางพวกไม่รู้"
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อย่าเลย พราหมณ์ ข้อที่สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลยเป็นต้นนั้น ขอจงยกไว้ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีเถิด"
    เมื่อพราหมณ์ทูลรับคำแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์ มีข้ออุปมาว่า บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหากแก่นไม้อยู่ เมื่อมีต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ ละเลยแก่น, กะพี้, เปลือก, และสะเก็ดไม้เสีย ตัดเอากิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้า ก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกะพี้, เปลือก, สะเก็ด, กิ่งและใบไม้ เมื่อต้องการแก่นไม้ จึงละเลยแก่นเป็นต้น ตัดเอาแต่กิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ทั้งจะไม่ได้รับประโยชน์จากกิ่งและใบไม้นั้นด้วย"
    "มีอุปมาอื่นอีก บุรุษต้องการแก่นไม้ แต่ถากสะเก็ดไม้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น หรือถากเปลือกไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น หรือถากกะพี้ไม้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ก็จพึงถูกหาว่า ไม่รู้จักแก่นไม้เป็นต้น และไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ถากไปนั้นเช่นเดียวกัน"
    "อีกอุปมาหนึ่ง บุรุษต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไป ด้วยรู้จักแก่นไม้ คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้าก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น กะพี้ เปลือก สะเก็ด กิ่งและใบไม้ ต้องแก่นไม้ก็ตัดเอาแต่แก่นไป ด้วยรู้จักแก่นไม้ ทั้งจะได้รับประโยชน์จากแก่นไม้นั้นด้วย"
    "ดูก่อนพราหมณ์ ข้ออุปไมยก็ฉันเดียวกันนั่นแหละ คือกุลบุตรบางคนในศาสนานี้ มีศรัทธาออกบวชไม่ครองเรือน ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และความคับแค้นใจ เข้าถึง<SUP></SUP>ตัวแล้ว อันความทุกข์เข้าถึงตัวแล้ว มีความทุกข์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ไฉนหนอการทำที่สุดแห่งทุกข์<SUP></SUP> ทั้งหมดนี้จะปรากฏ ผู้นั้นออกบวชแล้ว ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็อิ่มใจ เต็มความปรารถนาด้วยลาภสักการะและชื่อเสียงนั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและชื่อเสียงนั้น ว่าเราเป็นผู้มีลาภ สักการะ ชื่อเสียง ส่วนภิกษุอื่น ๆ เหล่านั้นไม่มีใครรู้จักเป็นผู้มีศักดาน้อย คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าลาภ สักการะ และชื่อเสียง ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม"
    "ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือน ผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่น, กะพี้, เปลือก, และสะเก็ดเสีย ตัดเอากิ่งและใบไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"
    "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วย ลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเพราะสิ่งนั้น ทั้งยังปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ไม่มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่นเพราะสีลสัมปทานั้นว่า เราเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ส่วนภิกษุอื่น ๆ เหล่านี้ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันเลว คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสีลสัมปทา ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่น กะพี้ และเปลือกเสีย ถากเอาสะเก็ดไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น" "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ประพฤติสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ แต่ยังไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเป็นต้นเพราะสีลสัมปทานั้น คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสีลสัมปทานั้น ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ ไม่มีความประพฤติยอ่หย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ (ความตั้งมั่นหรือความสงบแห่งจิต) ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยสมาธิสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ) นั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่นเพราะสมาธิสัมปปทานั้นว่า เราเป็นผู้ตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ส่วนภิกษุอื่น ๆ เหล่านี้ เป็นผู้ไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่า สมาธิสัมปทานั้น ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นและกะพี้เสีย ถากเอาเปลือกไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสมาธินั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเพราะสมาธิสัมปทานั้น คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสมาธิสัมปทา ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ ไม่เป็นผู้มีความประพฤติยอ่หย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณหรือปัญญา) ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยญาณทัสสนะ หรือปัญญานั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่นเพราะญาณทัสสนะนั้น ว่าเราอยู่อย่างรู้เห็น ส่วนภิกษุอื่น ๆ เหล่านี้ อยู่อย่างไม่รู้เห็น คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่าประณีตกว่าญาณทัสสนะ ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นเสียถากเอากะพี้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"

    "อนึ่ง บุคคลบางคนอออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ ก็อิ่มใจแต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสมาธิสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ) นั้น ได้ญาณทัสสนะ (หรือปัญญา) ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปราถรนาด้วยญาณทัสสนะนั้น ไม่ยกตน ข่มผู้อื่นเพราะญาณทัสสะนั้น คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าญาณทัสสนะ ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ ไม่มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมอะไรบ้าง ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าญาณทัสสนะ ดูก่อนพราหมณ์ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เข้าปฐมฌาน<SUP></SUP> (ฌานที่ ๑) เข้าทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) เข้าตติยฌาน (ฌานที่ ๓) เข้าจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) เข้าอากาสานัญจายตนะ (อรูปฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) เข้าวิญญาณัญจายตนะ (อรูปฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) เข้าอากิญจัญญายตนะ (อรูปฌาน กำหนดว่าไม่มีอะไรแม้แต่นิดหน่อย) เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ (อรูปฌาน ที่มีสัญญาความจำได้หมายรู้ ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญา ก็ไม่ใช่) เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อเข้าแล้วทำให้ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาความเสวยอารมณ์สุขทุกข์ หรือไม่ทุกข์ ไม่สุขได้) อาสวะของภิกษุนั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา คุณธรรมเหล่านี้แล ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าญาณทัสสนะ ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไม้ไปฉะนั้น"
    "ด้วยประการฉะนี้แหละพราหมณ์ พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภสักการะชื่อเสียงเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ แต่ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบอันใด พรหมจรรย์นี้ มีความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบนั้นแหละเป็นที่ต้องการ นั้นเป็นแก่นสาร นั้นเป็นที่สุดโดยรอบ"
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ปิงคลโกจฉพราหมณ์กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต.
    จูฬสาโรปมสูตร ๑๒/๓๗๔
    [COLOR=darkgold,direction=115);]สรุปความ[/COLOR]
    ๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งไม้ใบไม้
    ๒. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
    ๓. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้
    ๔. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้
    ๕. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งใช้คำภาษาบาลี "อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ" เปรียบเหมือนแก่นไม้

    <HR>๑. พราหมณ์ปิงคลโกจฉะถามถึงครูทั้งหกซึ่งเป็นเจ้าลัทธิมีชื่อเสียงในครั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงวิพากษ์วิจารณ์ จึงทรงแสดงธรรมให้ฟังตามที่ทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กว่าการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
    ๒. คำว่า เข้าถึงตัว แปลจากคำว่า โอติณฺโณ ซึ่งโดยพยัญชนะ แปลว่า ก้าวลง
    ๓. คำว่า การทำที่สุดแห่งทุกข์ เป็นสำนวนบาลี หมายถึงกำจัดทุกข์ได้หมด สำนวนบาลีนี้พอดีตรงกับสำนวนภาษาอังกฤษว่า to put an end to suffering
    ๔. ในการแปลตอนนี้ ได้แปลลัดแต่ใจความของเรื่องว่า เข้าฌานที่ ๑ ที่ ๒ เป็นต้น เพราะรายละเอียดของแต่ฌานมีแล้วในที่อื่น
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เห็นเรื่องขององค์พยามัจจุราชแล้ว ผมเคยได้ยินมาว่า ประตูนรกมีผ้าเหลืองกองอยู่สูงกว่าภูเขาหิมาลัย แม้แต่พัดยศลักษณะ.......ก็ยังมีลงไปมาก จึงต้องควรระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ หากสิ่งไหนที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎก ให้พึงสังวรไว้ครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part5.1.html

    [​IMG]
    <CENTER>[COLOR=darkgold,direction=115);]ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก[/COLOR]
    [​IMG] [​IMG][​IMG][​IMG] [​IMG]

    [COLOR=gray,direction=115);]๑๑๘. ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท[/COLOR]</CENTER>
    "ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท เห็นภัยในความประมาท ย่อมเผากิเลสที่ผูกมัดใหญ่น้อย ไปได้เหมือนไฟเผาเชื้อน้อยใหญ่ฉะนั้น."
    <CENTER>[COLOR=gray,direction=115);]๑๑๙. ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาทอีกอย่างหนึ่ง[/COLOR]</CENTER>
    "ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท เห็นภัยในความประมาท เป็นผู้ไม่ควรที่จะเสื่อม ย่อมอยู่ในที่ใกล้พระนิพพานเทียว."
    <CENTER>[COLOR=gray,direction=115);]๑๒๐. จิตที่กวัดแกว่งดิ้นรนนั้นดัดให้ตรงได้[/COLOR]</CENTER>
    "ผู้มีปัญญา ย่อมทำจิตที่กวัดแกว่ง ดิ้นรน รักษายาก ห้ามยากให้ตรงได้ เหมือนช่างศรดัดลูกศรฉะนั้น. จิตนี้ ที่ยกขึ้นจากห้วงน้ำคือความอาลัย เพื่อจะละบ่วงมาร ย่อมดิ้นรนเหมือนปลาที่ถูกโยนไปบนบก."
    <CENTER>[COLOR=gray,direction=115);]๑๒๑. จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้[/COLOR]</CENTER>
    "การฝึกจิตที่ข่มได้ยาก เป็นของเบา มักตกไปในอารมณ์ตามที่ใคร่ เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกแล้ว นำความสุขมาให้."
    <CENTER>[COLOR=gray,direction=115);]๑๒๓. จะพ้นจากบ่วงมารได้อย่างไร[/COLOR]</CENTER>
    "ผู้ใดสำรวมจิต ซึ่งเที่ยวไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีร่าง มีแค่คูหา (คือตัวมนุษย์) เป็นที่อาศัยได้ ผู้นั้นย่อมพ้นจากบ่วงแห่งมาร."
    <CENTER>[COLOR=gray,direction=115);]๑๒๔. ผู้เช่นไร ปัญญาไม่รู้จักบริบูรณ์ ผู้เช่นไรไม่มีภัย[/COLOR]</CENTER>
    "ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย ปัญญาของเขาย่อมไม่บริบูรณ์. ผู้มีจิตอันกิเลสไม่รั่วรดแล้ว มีจิตอันกิเลสตามกำจัดไม่ได้ ละบุญและบาปได้แล้ว เป็นผู้ตื่นอยู่ ย่อมไม่มีภัย."
    ธรรมบท ๒๕/๑๙
    <CENTER>[COLOR=gray,direction=115);]๑๒๕. ความจนเป็นทุกข์ในโลก[/COLOR]</CENTER>
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจนเป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"
    จึงตรัสต่อไปว่า "ดูก่อนภิกษุทังหลาย คนจนไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่ง ย่อมกู้หนี้. แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."
    "<SUP></SUP>คนจนกู้หนี้ ก็จะต้องเสียดอกเบี้ย. แม้การเสียดอกเบี้ย ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."
    "คนจนที่จะต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนด ก็ถูกเขาทวง แม้การถูกทวง ก็เป็นทุกข์ ในโลกของผู้บริโภคกาม."
    "คนจนถูกทวง ไม่ให้เขา ก็ถูกเขาตามตัว แม้การถูกตามตัว ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."
    "คนจนถูกตามตัว ไม่ให้เขา ย่อมถูกจองจำ แม้การถูกจองจำ ก็เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม."
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจนก็ดี, การกู้หนี้ก็ดี, การเสียดอกเบี้ยก็ดี, การถูกทวงก็ดี, การถูกตามตัวก็ดี, การถูกจองจำก็ดี เป็นทุกข์ในโลกของผู้บริโภคกาม ด้วยประการฉะนี้.
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออุปไมยก็อย่างนั้นเหมือนกัน. บุคคลบางคนไม่มีศรัทธา(ความเชื่อ) ในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีความเพียรในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม บุคคลนี้ เรียกว่าเป็นคนจน ไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่งในวินัยของพระอริยเจ้า."
    "คนจน (ทางธรรม) นั้น เมื่อไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีความเพียรในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม ย่อมประพฤติทุจจริตทางกาย วาจา ใจ การประพฤติทุจจริตทางกาย วาจา ใจ นี้ เรากล่าวว่า เป็นการกู้หนี้ของผู้นั้น."
    "คนจน (ทางธรรม) นั้น เพราะเหตุที่จะปกปิดทุจจริตทางกาย วาจา ใจนั้น จึงตั้งความปรารถนาลามก ปรารถนาว่า ดำริว่า คนทั้งหลายอย่ารู้เรื่องเราเลย ย่อมกล่าววาจา ย่อมพยายามทางกาย ด้วยคิดว่า คนทั้งหลายอย่ารู้เรื่องเราเลย. ข้อนี้ เรากล่าวว่า เป็นการเสียดอกเบี้ยของผู้นั้น."
    "เพื่อนพรหมจารี (ร่วมประพฤติพรหมจรรย์) ผู้มีศีลเป็นที่รัก ย่อมกล่าวถึงผู้นั้นว่า มีการกระทำอย่างนี้ มีความประพฤติอย่างนี้. ข้อนี้ เรากล่าวว่า เป็นการถูกทวงของผู้นั้น."
    "ความคิดที่เป็นอกุศล (กุศลวิตก) อันลามก อันประกอบด้วยความเดือดร้อน ย่อมติดตามผู้นั้น ผู้ไปสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม. ข้อนี้ เรากล่าวว่า เป็นการถูกตามตัวของผู้นั้น."
    "คนจน (ทางธรรม) นั้น ประพฤติทุจจริตทางกาย วาจา ใจ แล้ว ภายหลังที่สิ้นชีวิตไป<SUP></SUP> ย่อมถูกจองจำ ด้วยการจองจำในนรกบ้าง ด้วยการจองจำในกำเนิดแห่งสัตว์ดิรัจฉานบ้าง."
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นการถูกจองจำอย่างอื่นสักอย่างเดียว ที่ทารุณ ที่นำทุกข์มาให้ ที่ทำอันตรายแก่การบรรลุธรรมะอันปลอดโปร่งจากิเลส อันเป็นธรรมยอดเยี่ยม เหมือนการถูกจองจำในนรก หรือในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้เลย."
    ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๓๙๒
    <HR>๑. ได้ตัดข้อความที่ซ้ำกันออก คือคำว่า ไม่มีทรัพย์ของตนเอง ไม่มั่งคั่ง แม้คำกราบทูลของภิกษุทั้งหลายที่ว่า "อย่างนั้น พระเจ้าข้า" ซึ่งมีแทรกอยู่ทุกข้อ ก็ตัดออก
    ๒. แปลตามศัพท์ว่า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part5.2.html

    [​IMG]

    <CENTER>ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>๑๒๖. ไตรลักษณ์มีอยู่แล้วโดยปกติ</CENTER><CENTER> </CENTER>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุ, ความตั้งอยู่แห่งธรรม, ทำนองแห่งธรรมอันนั้น ก็ตั้งอยู่แล้ว คือข้อที่ว่า สังขาร (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง)ทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ (ทนอยู่ไม่ได้) ธรรม (ทั้งสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง และไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ตถาคตตรัสรู้เข้าใจทำนองธรรมนั้น ครั้นตรัสรู้แล้ว เข้าใจชัดแล้ว ก็บอก, แสดง, บัญญัติ, ตั้งไว้, เปิดเผย, แจกแจง, ทำให้ง่ายถึงข้อที่ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน."
    ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๓๖๘ ​


    ๑๓๗. พระอรหันต์ไม่ก้าวล่วงฐานะ ๙ ประการ

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีฐานะอยู่ ที่นักบวชเจ้าลัทธิอื่นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า 'สมณะ ศากยบุตร อยู่อย่างมีธรรมอันไม่ตั้งมั่น' เมื่อนักบวชเจ้าลัทธิอื่นกล่าวอย่างนี้ ท่านพึงกล่าวว่า 'ผู้มีอายุ ธรรมที่พระผู้มีพระภาค ผู้รู้ผู้เห็น ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว มีอยู่ เป็นธรรมอันไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต เหมือนหนึ่งเสาเขื่อน เสาเหล็ก ฝังไว้ลึก ฝังไว้ดีแล้ว เป็นของไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือน ฉะนั้น. ผู้มีอายุ ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้มีกิจอันพึงทำได้เสร็จแล้ว วางภาระแล้ว มีความต้องการของตนอันบรรลุแล้ว สิ้นกิเลสอันเป็นเหตุมัดไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้น เป็นผู้ไม่เป็นไปได้<SUP></SUP> ที่จะก้าวล่วงฐานะ ๙ ประการ คือ
    ๑. ไม่เป็นไปได้ที่จะจงใจฆ่าสัตว์มีชีวิต
    ๒. ไม่เป็นไปได้ที่จะถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ อันกล่าวได้ว่า เป็นอาการของขโมย
    ๓. ไม่เป็นไปได้ที่จะเสพเมถุนธรรม
    ๔. ไม่เป็นไปได้ที่จะกล่าวเท็จโดยเจตนา
    ๕. ไม่เป็นไปได้ที่จะทำการสะสมบริโภคกาม เหมือนเมื่อเป็นคฤหัสถ์ในกาลก่อน
    ๖. ไม่เป็นไปได้ที่จะถึงความลำเอียงเพราะรัก
    ๗. ไม่เป็นไปได้ที่จะถึงความลำเอียงเพราะชัง
    ๘. ไม่เป็นไปได้ที่จะถึงความลำเอียงเพราะหลง
    ๙. ไม่เป็นไปได้ที่จะถึงความลำเอียงเพราะกลัว."
    ปาสาทิกสูตร ๑๑/๑๔๗

    <HR>
    ๑. แผ่นดินนี้ (หมายถึงแผ่นดินภายใน คืออัตตภาพร่างกาย) ยมโลก (นรก) เทวโลก (สวรรค์)

    ๒. คำว่า ผู้ศึกษา แปลจาก คำว่า เสขะ โดยทั่วไป แปลว่า ผู้ศึกษา โดยเจาะจงในทางธรรม หมายถึง พระอริยบุคคลผู้บรรลุมรรคผลตั้งแต่ขั้นต่ำ จนถึงจวนจะบรรลุขั้นสุดท้าย คือตั้งแต่โสดาปัตติมรรคถึงอรหัตตมรรค
    ๓. หมายถึงฟองบนผิวน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแตกไป
    ๔. อภพฺโพ ที่แปลว่า ไม่เป็นไปได้ เพื่อให้ความชัด เพราะถ้าแปลว่า ไม่ควร จะหมายความว่า เป็นคำสอนว่า ไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความหมายในที่นี้ว่า ไม่เป็นไปได้
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/interest/part3.html

    [​IMG]

    <CENTER>ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก

    ๔๗. ฐานะ ๕ ที่ควรพิจารณาเนือง ๆ
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ เหล่านี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ คือ
    </CENTER>๑. ควรพิจาณาเนือง ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
    ๒. ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
    ๓. ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
    ๔. ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง

    ๕. ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรม<SUP></SUP> เป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น." <CENTER>
    ๔๘. เหตุผลที่ควรพิจารณาฐานะ ๕ เนือง ๆ </CENTER>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาวของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนือง ๆ ก็จะละความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้สิ้นเชิง หรือความเมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น จะลดน้อยลงไปเพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจาณาเนือง ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเมาในความไม่มีโรคของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจจริตทาง กาย วาจา ใจ. เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนือง ๆ ก็จะละความเมาในความไม่มีโรคนั้นได้สิ้นเชิง หรือความเมาในความไม่มีโรคนั้นจะลดน้อยลงไป เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเมาในชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจจริตทางกาย วาจา ใจ. เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนือง ๆ ก็จะละความเมาในชีวิตนั้นได้สิ้นเชิง หรือความเมาในชีวิตนั้น จะลดน้อยลงไปเพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความติดด้วยอำนาจแห่งความพอใจ<SUP></SUP> ในสิ่งเป็นที่รัก ของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ซึ่งเป็นเหตุให้ประพฤติทุจจริตทางกาย วาจา ใจ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนือง ๆ ก็จะละความคิดด้วยอำนาจแห่งความพอใจในสิ่งที่เป็นที่รักได้สิ้นเชิง หรือความคิดด้วยอำนาจแห่งความพอใจในสิ่งเป็นที่รักนั้น จะลดน้อยลงไปเพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไรเล่า สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุจจริตทางกาย วาจา ใจ ของสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ เมื่อพิจารณาฐานะนั้นเนือง ๆ ก็จะละทุจจริตได้สิ้นเชิง หรือทุจจริตนั้น จะลดน้อยลงไปเพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น."

    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๘๑ <CENTER>
    ๔๙. ผู้หลับน้อยตื่นมากในราตรี </CENTER>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ ประเภทเหล่านี้ ย่อมหลับน้อยตื่นมากในราตรี คือ
    ๑. สตรีผู้มีความประสงค์บุรุษ
    ๒. บุรุษผู้มีความประสงค์สตรี
    ๓. โจรผู้มีความประสงค์จะลักทรัพย์
    ๔. พระราชาผู้ประกอบในราชกรณียกิจ
    ๕. ภิกษุผู้มีความประสงค์จะปราศจากสัญโญชน์<SUP></SUP>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ ประเภทเหล่านี้แล ย่อมหลับน้อยตื่นมากในราตรี."

    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๑๗๕ <CENTER>
    ๕๐. ผู้ตกนรก </CENTER>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ อย่าง ย่อมตกนรกเหมือนถูกนำตัวไปวางไว้ ธรรม ๕ อย่างคือ
    ๑. เป็นผู้มักฆ่าสัตว์
    ๒. เป็นผู้มักลักทรัพย์
    ๓. เป็นผู้มักประพฤติผิดในกาม
    ๔. เป็นผู้มักพูดปด
    ๕. เป็นผู้มักตั้งอยู่ในความประมาท ด้วยการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ อย่างเหล่านี้แล ย่อมตกนรกเหมือนถูกนำตัวไปวางไว้."

    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๑๙๑ <CENTER>
    ๕๑. ผู้ขึ้นสวรรค์ </CENTER>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ อย่าง ย่อมขึ้นสวรรค์ เหมือนถูกนำตัวไปวางไว้ ธรรม ๕ อย่างนี้ คือ
    ๑. ผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์
    ๒. ผู้เว้นจากการลักทรัพย์
    ๓. ผู้เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ๔. ผู้เว้นจากการพูดปด
    ๕. ผู้เว้นจากการตั้งอยู่ในความประมาท ด้วยการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ อย่างเหล่านี้แล ย่อมขึ้นสวรรค์ เหมือนถูกนำตัวไปวางไว้."

    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๑๙๑ <CENTER>
    ๕๒. สัปปุริสทาน ๕ พร้อมทั้งอานิสงส์ </CENTER>
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปรุสทาน (การให้ของคนดี) ๕ อย่างเหล่านี้ คือ
    ๑. ให้ทานด้วยศรัทธา (ความเชื่ออย่างมีเหตุผล)
    ๒. ให้ทานด้วยความเคารพ
    ๓. ให้ทานตามกาล
    ๔. ให้ทานมีจิตอนุเคราะห์
    ๕. ให้ทานไม่กระทบตน ไม่กระทบผู้อื่น
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลให้ทานด้วยความเชื่อแล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนันเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงดงามอย่างยิ่ง."
    "บุคคลให้ทานด้วยความเคารพแล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขามีบุตร, ภรรยา, ทาส, คนรับใช้ หรือกรรมกรก็ตาม บุคคลเหล่านั้นย่อมสนใจฟัง ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตรับรู้ (คำสั่ง)<SUP></SUP>."
    "บุคคลให้ทานตามกาลแล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และความต้องการทั้งหลายของเขาที่เกิดขึ้นตามกาล ย่อมบริบูรณ์."
    "บุคคลให้ทานมีจิตอนุเคราะห์แล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และจิตของเขาย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคในกามคุณ ๕ อันโอฬาร<SUP></SUP>."
    "บุคคลให้ทานไม่กระทบตน ไม่กระทบผู้อื่นแล้ว ในที่ที่ผลแห่งทานนั้นเกิดขึ้นแก่เขา เขาย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และความล่มจมแห่งโภคะของเขา ย่อมไม่มาจากที่ไหน ๆ คือจากไฟ จากน้ำ จากพระราชา จากโจร จากทายาท (ผู้รับมรดก) ซึ่งไม่เป็นที่รัก."
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล สัปปุริสทาน ๕ อย่าง."
    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๑๙๒

    <HR>๑. การกระทำ และผลแห่งการกระทำ
    ๒. ฉันทราคะ แปลว่า ความคิด ด้วยอำนาจแห่งความพอใจ เพื่อให้มีความหมายกว้างกว่าความกำหนัด
    ๓. สัญโญชน์ กิเลสที่มัดสัตว์ไว้ในภพ
    ๔. เชื่อถ้อยฟังคำ
    ๕. มีทรัพย์แล้ว คิดใช้ทรัพย์ ไม่ใช่ทนอดอยากแบบปู่โสมเฝ้าทรัพย์
     
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พกมาให้น้อง ๆ หรือเปล่าพี่หนุ่ม (good)

    (((ขอบคุณคร้าบบบ)))
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2550
    <O:p</O:p
    หนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุญนาค) ซึ่งเขียนโดยปรัชนี ประชากร(ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร) ผมจะแจกให้กับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
    3 ท่านแรก(ตามกติกา) จำนวน 3 เล่ม(ท่านละ 1 เล่ม) โดยมีหลักเกณฑ์ตามนี้ ต้องเป็นผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่น้อยกว่า 50,000 บาท(โดยที่ท่านทำบุญและขอรับพระพิมพ์จากผมตามปกติ)
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนพระสมเด็จกลักไม้ขีด ผมมอบให้ผู้ร่วมทำบุญ จำนวน 5 องค์ สำหรับ 5 ท่านแรก (ผ่านพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 ในการพุทธาภิเษกผ้ายันต์ที่พระอาจารย์นิลนำลงไปแจกผู้ปฏิบัติงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) องค์ผู้อธิษฐานจิต หลวงปุ่บรมครูเทพโลกอุดร 4 พระองค์(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ,หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ,หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) ,หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) ) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ,หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ,หลวงปู่โพกสะเม็ก(หลวงปู่ขี้หอม) ,สำเร็จลุน ประเทศลาว ,หลวงปู่สีทัตถ์ ฯลฯ โดยมีหลักเกณฑ์ตามนี้ ต้องเป็นผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่น้อยกว่า 50,000 บาท(โดยที่ท่านทำบุญและขอรับพระพิมพ์จากผมตามปกติ) <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โดยท่านผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่น้อยกว่า 50,000 บาท(โดยที่ท่านทำบุญและขอรับพระพิมพ์จากผมตามปกติ) สามารถขอรับหนังสือวิเคราะห์ฯ และร่วมทำบุญเพื่อขอรับพระสมเด็จกลักไม้ขีดได้พร้อมกันครับ แต่หนังสือมีจำนวน 3 เล่มเท่านั้น ส่วนพระสมเด็จกลักไม้ขีดมีจำนวน 5 องค์ ดังนั้นท่านที่ 4 และท่านที่ 5 จะไม่ได้รับหนังสือแต่ผมจะมอบพระพิมพ์สมเด็จกลักไม้ขีดเพิ่มให้อีก 1 องค์ครับ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมขอสิ้นสุดการมอบหนังสือและพระสมเด็จกลักไม้ขีดในการร่วมทำบุญ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 จำนวนเงิน 50,000 บาท(รวมทั้งการร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป 5 พระองค์(สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกกุสันโธ ,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามโกนาคมน์ ,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสป ,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามสมณโคดม ,พระศรีอาริยเมตไตร) ซึ่งผมจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป พร้อมมณฑปรอบพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง) ผมขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงระยะเวลา ถ้าหากว่าพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งสร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อน และถ้าหากท่านใดได้ร่วมทำบุญและประสงค์ที่จะรับหนังสือและพระสมเด็จกลักไม้ขีด ผมขอพิจารณาเป็นรายๆครับ และผมให้สิทธิ์ในการจองหนังสือวิเคราะห์ฯและพระสมเด็จกลักไม้ขีดได้นะครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โมทนาบุญทุกประการครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หมายเหตุ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิธีพุทธาภิเษก วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2550<O:p</O:p
    กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้<O:p</O:p
    หลวงปู่สุภา กันตสีโล โพสที่ 6010 หน้าที่ 601<O:p</O:p
    หลวงปู่สุภา กันตสีโล โพสที่ 6034 หน้าที่ 604<O:p</O:p
    สำเร็จลุน โพสที่ 6138 หน้าที่ 614<O:p</O:p
    พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) โพสที่ 6139 หน้าที่ 614<O:p</O:p
    พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม โพสที่ 6140 หน้าที่ 614<O:p</O:p
    พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม โพสที่ 6141,6142,6143 หน้าที่ 615<O:p</O:p
    พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) โพสที่ 6176,6178,6179,6180 หน้าที่ 618<O:p</O:p
    พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม โพสที่ 6181,6182,6183,6184,6185 หน้าที่ 619<O:p</O:p
    พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) โพสที่ 6186,6187,6188 หน้าที่ 619<O:p</O:p
    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) โพสที่ 6189 หน้าที่ 619<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คุณเพชร<O:p</O:p
    โพสที่ 6017 หน้าที่ 602<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คุณพันวฤทธิ์<O:p</O:p
    โพสที่ 6022 หน้าที่ 603
    โพสที่ 6103 หน้าที่ 611
    โพสที่ 6105 หน้าที่ 611

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->


    สำหรับไม้ครูที่หลายๆท่านประสงค์ที่จะมีไว้ป้องกัน,คุ้มครองตนเองและสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้

    ผมจะมอบให้ฟรีกับผู้ที่ร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ มีรายละเอียดดังนี้

    1.ต้องเป็นผู้ร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ มาตั้งแต่ต้นหรือเป็นผู้ร่วมทำบุญใหม่ โดยทำบุญและขอรับพระพิมพ์ตามปกติ จำนวนเงินที่ร่วมทำบุญรวมกัน(หลายๆครั้งหรือครั้งเดียว) ตั้งแต่ 55,555 บาท

    2.เมื่อร่วมทำบุญครบ 55,555 บาท แล้วจะรับไม้ครู ต้องไปรับไม้ครูที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาครเท่านั้น

    โมทนาสาธุครับ

    รายละเอียดพระพิมพ์และวัตถุมงคล ที่มอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว 102 บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 189-0-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ ( http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=68899 ) จะอยู่ในหน้าแรกของกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

    ส่วนยอดคงเหลือ ผมจะแจ้งให้ทราบในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ และกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้เป็นระยะครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024

    โอ้โหหห.... เหมือนนักร้องเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รายละเอียดของท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และจำนวนเงินในการส่งพระพิมพ์ สัปดาห์หน้าผมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ผมยังไม่ได้ทำเลย ทิ้งไว้ไม่น่าจะต่ำกว่า 2 สัปดาห์แล้ว ดินพอกหางหมูแล้ว

    ผมทำเสร็จแล้วจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
    .

    .
     
  16. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024

    ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไปดูพี่หนุ่ม เหลือแต่ กกน กันดีกว่า...

    อาจารย์กวง ปะทะ ปรมาจารย์หนุ่ม !!!! ฮู้ว์วววววว จะมีไรเกิดขึ้น ไปดูกันอาทิตย์นี้ค่ะ คิก คิ ก
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    วันอาทิตย์นี้ น้องchaipat หรือน้องเอ จะใจสั่นน๊า
    เดี๋ยววันอาทิตย์นอกจากจะพกลูกอมชานหมากแล้ว จะพกพระขรรค์ด้ามเล็กไปด้วย ดีหรือเปล่าครับน้องchaipat ,น้องเอ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แจกไปเกือบหมดแล้วครับ เหลือไว้อย่างละ ด้าม ลูกอมก็เหลือแค่ 2 ลูก เป็นของ ผบทบ. 1 ลูกครับ

    ตอนนี้กำลังทำ.... เมื่อได้เรื่องประการใด จะแจ้งพี่น้องทุกท่านให้ทราบกันอีกครั้งนะครับ

    .
     
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    นึกว่าวันนี้ท่าน ปา-ทาน จะรอด....(smile)
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    มาแล้วครับ คิดถึงทุกคนเลยครับ


    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ว่าจะสั่งอาหารให้ อาชามรินมาทาน ลองเลือกเมนูดูนะครับ
    ตามนี้ครับ

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=90737
     
  20. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    หนูกินไรก้อได้ทั้งนั้นค่ะ ปรมาจารย์ ไม่ต้องห่วง สบายยยมากกกกกกกเจ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...