จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ว่าวดีเหมือนกันนะคูณNokmamได้คลายเครียดบ้าง.ตามหลักเขาจะไม่ให้ถามพระนะว่าท่านชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร แต่ผู้ที่จะใส่บาตผู้นี้คงไม่ทราบ. ทำอาหารมาอย่างดีด้วยความตั้งใจ เลยถามขึ้นว่าท่านพระคุณเจ้าโยมแกงปลามาใส่บาต เพราะแม่ของโยมชอบทานมากท่านฉันได้ไหม? ท่านพระคุณเจ้าท่านไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรก็เลยตอบว่าฉันเจอจ้ะ้โยม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สมาธิ กับปัญญา นั้นเป็นธรรมคู่กันมาโดยจะแยกจากกันไม่ออก เวลาเราเริ่มฝึกสมาธิ ท่านพระอาจารย์ ท่านจะเอาธรรมะของครูบา อาจารย์ของแต่ละท่านมาเปิดให้ฟัง เพื่อที่ว่าเวลาเราเริ่มฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น จิตมันจะส่งออกอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงเปิดธรรมะให้ฟังเราผู้ปฎิบัติก็จะทำตามนั้น แต่ไม่ว่าเราจะหายใจเข้าพุทธ หรือออกโท แต่ไม่ว่าจะเข้าพุทธหรือออกโท บางทีมันก็ออกไปโน่นไปนี่อยู่ตลอดเวลา แต่ท่านก็สอนว่ามันออกไปใหนก็ไม่เป็นไรให้เรารู้ตัวทั่วพร้อม แล้วดึงมันกลับมาทำอย่างนั้นเป็นประจำมันจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ปฎิบัติ ควรใช้ปัญญาคู่กับสมาธิตามโอกาสอันควร คือถ้าเราจะดำเนินในทางสมาธิโดยฝ่ายเดียว ไม่คำนึงถึงเรื่องปัญญาเลยแล้ว จะเป็นเหตุให้ติดสมาธิ คือความสงบ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ต้องพิจารณาทางปัญญา เช่นพิจารณาธาตุขันธ์โดยทางไตรลักษณ์ วันนี้พิจารณาอนิจจัง ทุกขังอนัตตา วันหน้าก็พิจราณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอีก ไตร่ตรองอยู่ทุกวันทุกคืนไป ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่ชำนาญในทางปัญญา ต้องมีความคล่องแคล่วชำนาญเช่นเดียวกันกับทางสมาธิ ปัญญาในเบื้องต้นต้องอาศัยการบังคับให้พิจารณาอยู่บ้าง ไม่ใช่จิตเป็นสมาธิแล้วจะกลายเป็นปัญญาขึ้นมาทีเดียว ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วจะกลายเป็นปัญญาขึ้นมาเอง โดยผู้บำเพ็ญไม่ต้องสนใจมาพิจารณาทางด้านปัญญาเลยแล้ว จิตก็ไม่มีโอกาสติดสมาธิดังที่เคยปรากฏขึ้นกับนักปฎิบัติความจริงเบื้องต้นต้องอาศัยมาพิจารณา ปัญญาก็จะมีความคล่องแคล่วและมีความสว่างไสว ทั้งรู้เท่าทันกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้องเป็นตามลำดับ จะเป็นไตรลักษณ์ที่หยาบก็จะเห็นในทางปัญญา. คำว่าไตรลักษณ์อย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณา เช่น เราพิจารณาในส่วนร่างกายจัดว่าเป็นไตรลักษณ์ส่วนหยาบ พิจารณาในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จัดเป็นไตรลักษณ์ส่วนกลาง พิจารณาเรื่องจิตที่เป็นรากเหง้าแห่งวัฎฎะจริงๆ แล้ว นั่นคือไตรลักษณ์ส่วนระเอียด เมื่อจิตได้ก้าวสู่ไตรลักษณ์ส่วนหยาบ ไตรลักษณ์ส่วนกลาง ไตรลักษณ์ส่วนละเอียด จนผ่านพ้นไตรลักษณ์ทั้งสามนี้ไปแล้ว ธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นในอันดับต่อไปอย่างไม่มีปัญหาใดๆ นั้นจะเรียกว่าอัตตาก็ตาม อนัตตาก็ตามไม่เป็นไปตามความสมมุตินิยมใดๆ ทั้งนั้นเพราะอัตตา. เพราะอัตตากับอนัตตาเป็นเรื่องของสมมุติ ซึ่งโลกก็ยังมีอยู่ด้วยกัน ธรรมชาติอันนั้นไม่ใช่สมมุติ โลกทั้งหลายจึงเอื้อมถึงได้ยาก เมื่อมีอัตตาและอนัตตาเป็นเครื่องเคลืบแฝงอยู่ในใจ. ขอให้ท่านผู้อ่านที่กำลังเริ่มปฏิบัติทุกๆท่านได้ศึกษาให้เข้าใจแล้วไปปฏิบัติให้ถูกทางแล้วจะได้คำตอบว่าใช่เลยเราเดินถูกทางแล้ว. ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    อาฎานาฏิยปริตร (ฉบับฉัฏฐสังคีติ) : พระปริตรธรรม - พระคันธสาราภิวงศ์

    อาฏานาฏิยปริตร


    ๑ วิปัสสิสสะ จะ นะมัตถุ
    จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต
    สิขิสสะปิ จะ นะมัตถุ
    สัพพะภูตานุกัมปิโน ฯ

    ๒ เวสสะภุสสะ จะ นะมัตถุ
    นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน
    นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ
    มาระเสนาปะมัททิโน ฯ

    ๓ โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ
    พราหมะณัสสะ วุสีมะโต
    กัสสะปัสสะ จะ นะมัตถุ
    วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ ฯ

    ๔ อังคีระสัสสะ นะมัตถุ
    สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต
    โย อิมัง ธัมมัง เทเสสิ
    สัพพะทุกขาปะนูทะนัง ฯ

    ๕ เย จาปิ นิพพุตา โลเก
    ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง
    เต ชะนา อะปิสุณาถะ
    มะหันตา วีตะสาระทา ฯ

    ๖ หิตัง เทวะมะนุสสานัง
    ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
    วิชชาจะระณะสัมปันนัง
    มะหันตัง วีตะสาระทัง ฯ

    ๗ เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา
    อะเนกะสะตะโกฏิโย
    สัพเพ พุทธาสะมะสะมา
    สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา ฯ

    ๘ สัพเพ ทะสะพะลูเปตา
    เวสารัชเชหุปาคะตา
    สัพเพ เต ปะฏิชานันติ
    อาสะภัง ฐานะมุตตะมัง ฯ

    ๙ สีหะนาทัง นะทันเตเต
    ปะริสาสุ วิสาระทา
    พรัหมะจักกัง ปะวัตเตนติ
    โลเก อัปปะฏิวัตติยัง ฯ

    ๑๐ อุเปตา พุทธะธัมเมหิ
    อัฏฐาระสะหิ นายะกา
    พาตติงสะลักขะณูเปตา
    สีตานุพยัญชะนาธะรา ฯ

    ๑๑ พยามัปปะภายะ สัปปะภา
    สัพเพ เต มุนิกุญชะรา
    พุทธา สัพพัญญุโน เอเต
    สัพเพ ขีณาสะวา ชินา ฯ

    ๑๒ มะหัปปะภา มะหาเตชา
    มะหาปัญญา มะหัพพะลา
    มะหาการุณิกา ธีรา
    สัพเพสานัง สุขาวะหา ฯ

    ๑๓ ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ
    ตาณา เลณา จะ ปาณินัง
    คะตี พันธู มะหัสสาสา
    สะระณา จะ หิเตสิโน ฯ

    ๑๔ สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ
    สัพเพ เอเต ปะรายะณา
    เตสาหัง สิระสา ปาเท
    วันทามิ ปุริสุตตะเม ฯ

    ๑๕ วะจะสา มะนะสา เจวะ
    วันทาเมเต ตะถาคะเต
    สะยะเน อาสะเน ฐาเน
    คะมะเน จาปิ สัพพะทา ฯ

    ๑๖ สะทา สุเขนะ รักขันตุ
    พุทธา สันติกะรา ตุวัง
    เตหิ ตวัง รักขิโต สันโต
    มุตโต สัพพะภะเยหิ จะ ฯ

    ๑๗ สัพพะโรคา วินิมุตโต
    สัพพะสันตาปะวัชชิโต
    สัพพะเวระมะติกกันโต
    นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ ฯ

    ๑๘ เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ
    ขันติเมตตาพะเลนะ จะ
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๑๙ ปุรัตถิมัสมิง ทิสาภาเค
    สันติ ภูตา มะหิทธิกา
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๐ ทักขิณัสมิง ทิสาภาเค
    สันติ เทวา มะหิทธิกา
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๑ ปัจฉิมัสมิง ทิสาภาเค
    สันติ นาคา มะหิทธิกา
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๒ อุตตะรัสมิง ทิสาภาเค
    สันติ ยักขา มะหิทธิกา
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๓ ปุรัตถิเมนะ ธะตะรัฏโฐ
    ทักขิเณนะ วิรูฬหะโก
    ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข
    กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง ฯ

    ๒๔ จัตตาโร เต มะหาราชา
    โลกะปาลา ยะสัสสิโน
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๕ อากาสัฏฐา จะ ภูมัฏฐา
    เทวา นาคา มะหิทธิกา
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๖ อิทธิมันโต จะ เย เทวา
    วะสันตา อิธะ สาสะเน
    เตปิ อัมเหนุรักขันตุ
    อะโรเคนะ สุเขนะ จะ ฯ

    ๒๗ สัพพีติโย วิวัชชันตุ
    สัพพะโรโค วินัสสะตุ
    มา เต ภะวัตวันตะราโย
    สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ฯ

    ๒๘ อะภิวาทะนะสีลิสสะ
    นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
    จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯฯ

    ที่มา Chuaiwong - อาฏานาฏิยปริตร ๑ วิปัสสิสสะ จะ นะมัตถุ ...
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    อาฏานาฏิยปริตรแปล

    ๑ ขอนอบน้อมพระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้ทรงจักษุ ทรงพระสิริ ขอนอบน้อมแด่พระสิขีพุทธเจ้า ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง ฯ

    ๒ ขอนอบน้อมพระเวสสภูพุทธเจ้า ผู้ชำระกิเลสได้แล้ว มีตบะ ขอนอบน้อมพระกกุสันธพุทธเจ้า ผู้ทรงเอาชนะมารและกองทัพได้ ฯ

    ๓ ขอนอบน้อมพระโกนาคมนพุทธเจ้า ผู้ลอยบาปแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ขอนอบน้อมพระกัสสปพุทธเจ้า ผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง ฯ

    ๔ ขอนอบน้อมพระศากยพุทธเจ้า ผู้ทรงพระฉัพพัณณรังสี ผู้ทรงสิริ ผู้ทรงแสดงธรรมขจัดทุกข์ทั้งปวง ฯ

    ๕ อนึ่ง พระอรหันต์เหล่าใดในโลก ดับกิเลสได้แล้ว รู้แจ้งตามความเป็นจริง พระอรหันต์เหล่านั้น ปราศจากวาจามุ่งร้าย เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไม่สะทกสะท้าน ฯ

    ๖ ท่านเหล่านั้นย่อมนมัสการพระโคดม ผู้ทรงเกื้อกูลเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไม่สะทกสะท้าน ฯ

    ๗ พระพุทธเจ้าเจ็ดพระองค์เหล่านั้นและพระสัมพุทธเจ้าหลายร้อยโกฏิเหล่าอื่น ทุกพระองค์เสมอด้วยด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเปรียบ ทุกพระองค์ล้วนทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่ ฯ

    ๘ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงพระทศพลญาณและพระเวสารัชชญาณ ทรงยืนยันความตรัสรู้อันประเสริฐแกล้วกล้าของพระองค์ ฯ

    ๙ พระพุทธเจ้าเหล่านี้ ทรงปราศจากความครั่นคร้ามบันลือสีหนาทในท่ามกลางพุทธบริษัทประกาศธรรมจักรอันประเสริฐในโลก ไม่มีผู้ใดจะคัดค้านได้ ฯ

    ๑๐ พระองค์ทรงเป็นผู้นำ ทรงคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ๑๘ ประการ ทรงประกอบด้วยพระพุทธลักษณะ ๓๒ และพระอนุลักษณะ ๘๐ ฯ

    ๑๑ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงพระ ฉัพพัณณรังสีโดยรอบหนึ่งวา ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ รู้แจ้งธรรมทั้งปวง สิ้นอาสวะและเป็นผู้ชนะ ฯ

    ๑๒ พระองค์ทรงมีพระรัศมีสว่างไสว มีเดชมาก มีปัญญามาก มีกำลังมาก มีความกรุณาใหญ่หลวง มั่นคง ประทานความสุขแก่ชนทั้งปวง ฯ

    ๑๓ พระองค์ทรงเป็นที่พัก ที่พึ่ง ที่พำนัก คุ้มครอง หลบภัยของเหล่าสัตว์ ทรงเป็นที่ไป เป็นญาติ เป็นผู้อุปถัมภ์ เป็นผู้ขจัดทุกข์และกระทำประโยชน์ ฯ

    ๑๔ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลกและเทวดา ข้าพระ องค์ขอน้อมไหว้พระบาทยุคลของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า ขอน้อมไหว้พระพุทธเจ้าผู้เป็นบุรุษประเสริฐ ฯ

    ๑๕ ข้าพระะองค์ขอน้อมไหว้พระตถาคตเจ้าเหล่านั้นในเวลายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยวาจา ด้วยใจเสมอ ฯ

    ๑๖ ขอพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ประทานพระนิพพาน จงคุ้มครองท่านให้มีความสุขเสมอ เมื่อพระองค์คุ้มครองท่านแล้ว ขอให้ท่านปลอดจากภัยทั้งปวงเถิด ฯ

    ๑๗ ขอท่านจงปลอดจากโรคทั้งปวง ปราศจากความเดือดร้อนทุกอย่าง ไม่มีใครๆ ปองร้าย เป็นผู้สงบ ฯ

    ๑๘ ขอพระพุทธเจ้าเหล่านั้นจงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ปราศจากโรค มีความสุขด้วยพลานุภาพแห่งความสัตย์ ศีล ขันติและเมตตาธรรม ฯ

    ๑๙ เหล่าคนธรรพ์ผู้มีฤทธิ์มากในทิศบูรพา จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๐ เหล่ากุมภัณฑ์ผู้มีฤทธิ์มากในทิศทักษิณ จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๑ เหล่านาคผู้มีฤทธิ์มากในทิศประจิม จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๒ เหล่ายักษ์ผู้มีฤทธิ์มากในทิศอุดร จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๓ ท้าวธตรฐเป็นผู้รักษาโลกทิศบูรพา ท้าววิรุฬหกรักษาโลกทิศทักษิณ ท้าววิรูปักษ์รักษาโลกทิศประะจิม ท้าวกุเวรรักษาโลกทิศอุดร ฯ

    ๒๔ ขอมหาราชผู้รักษาโลกทั้งสี่พระองค์ ผู้มีบริวารมากดังกล่าว จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๕ ขอเหล่าเทวดาและนาคผู้มีฤทธิ์มาก สถิตอยู่ในอากาศและบนพื้นดิน จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๖ ขอเทวดาผู้มีฤทธิ์มากอาศัยอยู่ในพระศาสนานี้ จงคุ้มครองข้าพเจ้าให้เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข ฯ

    ๒๗ ขอสิ่งร้ายทั้งปวงจงบำราศไป ขอโรคทั้งปวงจงพินาศไป ขอท่านอย่ามีอันตราย เป็นผู้มีความสุข มีอายุยืนยาว ฯ

    ๒๘ ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้นบไหว้และอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์ ฯฯ

    ที่มา Chuaiwong - อาฏานาฏิยปริตร ๑ วิปัสสิสสะ จะ นะมัตถุ ...​
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ท่อนนี้ฝากจิตบุญค่ะ

    ๕ เย จาปิ นิพพุตา โลเก
    ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง
    เต ชะนา อะปิสุณาถะ
    มะหันตา วีตะสาระทา ฯ
    ๕ อนึ่ง พระอรหันต์เหล่าใดในโลก ดับกิเลสได้แล้ว รู้แจ้งตามความเป็นจริง พระอรหันต์เหล่านั้น ปราศจากวาจามุ่งร้าย เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไม่สะทกสะท้าน ฯ
    ๖ หิตัง เทวะมะนุสสานัง
    ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
    วิชชาจะระณะสัมปันนัง
    มะหันตัง วีตะสาระทัง ฯ
    ๖ ท่านเหล่านั้นย่อมนมัสการพระโคดม ผู้ทรงเกื้อกูลเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไม่สะทกสะท้าน ฯ


    ๗ เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา
    อะเนกะสะตะโกฏิโย
    สัพเพ พุทธาสะมะสะมา
    สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา ฯ
    ๗ พระพุทธเจ้าเจ็ดพระองค์เหล่านั้นและพระสัมพุทธเจ้าหลายร้อยโกฏิเหล่าอื่น ทุกพระองค์เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเปรียบ ทุกพระองค์ล้วนทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่ ฯ
    ๘ สัพเพ ทะสะพะลูเปตา
    เวสารัชเชหุปาคะตา
    สัพเพ เต ปะฏิชานันติ
    อาสะภัง ฐานะมุตตะมัง ฯ
    ๘ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงพระทศพลญาณและพระเวสารัชชญาณ ทรงยืนยันความตรัสรู้อันประเสริฐแกล้วกล้าของพระองค์ ฯ


    ๙ สีหะนาทัง นะทันเตเต
    ปะริสาสุ วิสาระทา
    พรัหมะจักกัง ปะวัตเตนติ
    โลเก อัปปะฏิวัตติยัง ฯ
    ๙ พระพุทธเจ้าเหล่านี้ ทรงปราศจากความครั่นคร้ามบันลือสีหนาทในท่ามกลางพุทธบริษัทประกาศธรรมจักรอันประเสริฐในโลก ไม่มีผู้ใดจะคัดค้านได้ ฯ


    ๑๐ อุเปตา พุทธะธัมเมหิ
    อัฏฐาระสะหิ นายะกา
    พาตติงสะลักขะณูเปตา
    สีตานุพยัญชะนาธะรา ฯ
    ๑๐ พระองค์ทรงเป็นผู้นำ ทรงคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ๑๘ ประการ ทรงประกอบด้วยพระพุทธลักษณะ ๓๒ และพระอนุลักษณะ ๘๐ ฯ


    ๑๑ พยามัปปะภายะ สัปปะภา
    สัพเพ เต มุนิกุญชะรา
    พุทธา สัพพัญญุโน เอเต
    สัพเพ ขีณาสะวา ชินา ฯ
    ๑๑ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงพระ ฉัพพัณณรังสีโดยรอบหนึ่งวา ทรงเป็นมุนีผู้ประเสริฐ รู้แจ้งธรรมทั้งปวง สิ้นอาสวะและเป็นผู้ชนะ ฯ

    ๑๒ มะหัปปะภา มะหาเตชา
    มะหาปัญญา มะหัพพะลา
    มะหาการุณิกา ธีรา
    สัพเพสานัง สุขาวะหา ฯ
    ๑๒ พระองค์ทรงมีพระรัศมีสว่างไสว มีเดชมาก มีปัญญามาก มีกำลังมาก มีความกรุณาใหญ่หลวง มั่นคง ประทานความสุขแก่ชนทั้งปวง ฯ

    ๑๓ ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ
    ตาณา เลณา จะ ปาณินัง
    คะตี พันธู มะหัสสาสา
    สะระณา จะ หิเตสิโน ฯ
    ๑๓ พระองค์ทรงเป็นที่พัก ที่พึ่ง ที่พำนัก คุ้มครอง หลบภัยของเหล่าสัตว์ ทรงเป็นที่ไป เป็นญาติ เป็นผู้อุปถัมภ์ เป็นผู้ขจัดทุกข์และกระทำประโยชน์ ฯ

    ๑๔ สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ
    สัพเพ เอเต ปะรายะณา
    เตสาหัง สิระสา ปาเท
    วันทามิ ปุริสุตตะเม ฯ
    ๑๔ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลกและเทวดา ข้าพระ องค์ขอน้อมไหว้พระบาทยุคลของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า ขอน้อมไหว้พระพุทธเจ้าผู้เป็นบุรุษประเสริฐ ฯ


    ๑๕ วะจะสา มะนะสา เจวะ
    วันทาเมเต ตะถาคะเต
    สะยะเน อาสะเน ฐาเน
    คะมะเน จาปิ สัพพะทา ฯ
    ๑๕ ข้าพระะองค์ขอน้อมไหว้พระตถาคตเจ้าเหล่านั้นในเวลายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยวาจา ด้วยใจเสมอ ฯ
     
  6. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ความเคยชิน
    คนเราทุกคนที่เกิดมา มีความเคยชินที่เรียกกันว่าเป็นนิสัย บ้างก็เกิดจากการอบรมเลี้ยงดู เกิดจากการเลียนแบบ เป็นพฤติกรรมที่ทำบ่อย ๆ เข้า ก็ติดตัวเป็นนิสัย เป็นความเคยชิน เมื่อเราชินซะแล้วเราก็ไม่ค่อยจะได้มาดู มาพิจารณา มามองอย่างลึกซึ้งในความเคยชินของเรา ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างอัตโนมัติ
    ความเคยชินของเราบางทีก็ติดตัวกันข้ามภพความชาติ ความเคยชินกับการเกิด การพลัดพราก ความทุกข์ของโลกนี้ ความตาย ถ้าหากเราไม่มีพระพุทธเจ้ามาบอกเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเคยชินกับความทุกข์ซะแล้ว ชาติแล้วชาติเล่า นึกไม่ออก ไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากทุกข์นี้ได้อย่างไร เราชินกับทุกข์แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทุกข์ เราแค่ชินกับมัน แต่ก้ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องทำอย่างไร
    เราเคยชินกับการหาสิ่งอื่นภายนอกมาดับทุกข์ในใจเรา เคยชินกับการมองไปข้างนอกไม่ใช่มองกลับเข้าข้างใน เคยชินกับการโทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ของเรา เคยชินกับการวิ่งตามกระแส ไหลไปเรื่อย ๆ ในอารมณ์ที่ใจเรารับเข้ามาถ้าไม่มีพระพทุธเจ้ามาบอกเรา มาสอนเรา เราจะรู้ไหมว่าเราต้องออกจากความเคยชินอันนี้ ความเคยชินอันเป็นทุกข์นี้ ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ แก่นแท้ของความทุกข์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้อยู่ที่จิตเรา จิตที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ จนรับไม่ได้อีกแล้ว และเป็นจิตพร้อมที่จะออกจากทุกข์แล้ว
    พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ท่านพร้อมไปด้วยบารมี 30 ทัศ ในการบำเพ็ญบารมีเหล่านั้นคือความเสียสละเพื่อพวกเราทุก ๆ คน ท่านต้องทนในสิ่งที่ไม่ควรจะทน แต่ก็ต้องทน เพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อพาลูก ๆ กลับบ้าน ความเมตตาของพระพุทเจ้าคือความรักที่ทั้งพ่อและแม่มีให้กับลูกทุก ๆ คน
    ลูกทุกคนของพระพุทธเจ้าคือทุกดวงจิตที่พร้อมจะออกจากทุกข์ พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่ายากแค่ไหน ลำบากแค่ไหนในการกลับความเคยชิน เปลี่ยนความเคยชินของจิต ของการกระทำของเราก็จะทำให้ได้ ให้กลับเป็นจิตแท้ดวงเดิม
    ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญทิ้งชื่อไว้ที่หน้าบอร์ดได้เลยคะ หรือติอต่อคุณ Wittayapon วันที่ 16 ธันวาคม 2555 นี้มีอบรมทำจิตเกาะพระนะคะ ขอเรียนเชิญท่านผู้ส่วนใจ หรือไม่สนใจแค่อยากรู้ อยากเห็นก็ได้คะ
    วันที่อบรม 16 ธันวาคม 2555
    เวลา 10.00 - 17.00
    สถานที่ สุขุมวิท 77ชื่อบ้านอ่อนนุชคอนโดมิเนียม ระหว่าง ซ. ๓๐_๓๒
     
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พระธรรมเทศนา เรื่อง พระนำคำว่านิพพาน
    "พระนิพพาน" ... ไม่ใช่ "พระ" นิพพานไม่ได้!
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

    บุคคลในพระพุทธศาสนา ที่มีศรัทธาแรงกล้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อปรารถนามรรคผลพระนิพพาน ความปรารถนามรรคผลพระนิพพานของนักปฏิบัตินั้น จะต้องพึงรู้ว่า บุคคลที่เข้าสู่พระนิพพานได้นั้น มีคำว่าพระนำคำว่านิพพาน "พระนิพพาน" ... ไม่ใช่ "พระ" นิพพานไม่ได้! ... ต้องเป็นพระเท่านั้นจึงจะนิพพานได้ ฉะนั้นเราต้องทำตัวของเราให้เป็นพระ จึงจะนิพพานได้

    "พระ" คำนี้ไม่ใช่อยู่ในวัดในวา แต่อยู่ในใจ ฆราวาสผู้ครองเรือนมีศีลห้า ก็เป็นพระได้ ผู้อยู่อุโบสถศีล ศีลแปดก็เป็นพระได้ สามเณรรักษาศีลสิบ ก็เป็นพระได้ พระรักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อ อยู่วัดอยู่วาอยู่ป่าอยู่เขา ก็เป็นพระได้ พระโสดาบันกับพระสกทาคามี มีศีลห้าบริสุทธิ์ พระอนาคามีมีศีลแปดบริสุทธิ์ พระอรหันต์มีศีลสิบบริสุทธิ์ ศีลสิบนี้หมายถึง กรรมบถศีลสิบ

    ฉะนั้นคำว่า "พระ" คำนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้โกนหัวห่มเหลืองอยู่วัดเท่านั้น แต่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของ "พระ" เพื่อจะถึงความสิ้นสุดแห่งการเดินทาง คือยุติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกว่า "นิพพาน" แปลว่าดับสนิทนั่นเอง

    คำว่า “พระ” คำนี้ มีตัวอักษรอยู่สามตัว มี พ พาน มี ร เรือ มีสระอะ

    ถ้าตีความหมายแล้ว คำว่า พ พอพาน แปลว่าพอ หรืออ่านว่า พอ แปลว่าไม่เอา เอาเท่านี้ คือ พอดี ถ้าเกินพอดีมันก็ไม่ดี ถ้าต่ำว่าเกณฑ์พอดีมันก็ไม่พอ ต้องคำว่าพอดี ต้องพอดีจริงๆ ไม่มากไม่น้อย คำว่า "พอ" คำนี้หมายถึงอะไร หมายถึงการทำตัวของเรา การทำตัวของเราให้รู้จักความพอดี ไม่มากไม่น้อย ให้พอดิบพอดี การนึกการคิดในวันๆ หนึ่ง ก็ให้มันรู้จักคำว่าพอดี รู้จักการคิดให้พอดีบ้าง อย่าคิดเกินพอดี แม้กระทั่งการใช้สอยในชีวิตๆ เราหนึ่งชิวิต ที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ก็รู้จักชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ให้มันเกิดความพอดี ไม่มากไม่เกินไม่น้อย คำว่าพอดี คำนี้หมายถึงคำว่า กลางๆ เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เรียกว่าทางสายกลาง

    เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ต้องรู้จักกรรมฐานที่พอดีกับจิตเรา ถ้าเราไม่รู้จักกรรมฐานที่พอดีกับจิตเรา จิตเราก็ไม่พอดี จิตเราก็ไม่เป็นมัชฌิมา ต้องรู้จักอัธยาศัยของจิตของใจตัวเองว่ากรรมฐานแบบไหนถึงจะพอดีแก่จิต เมื่อได้กรรมฐานพอดีแก่จิตแล้ว จิตมันพอดีมันก็ไม่เป็นอะไร มีแต่ความสงบพอดี ฌานก็พอดีไม่เหลื่อมไม่ล้ำ เป็นเหมือนกับว่าน้ำไม่เต็มถ้วย มันก็พอดี ไม่เต็มเกินไป ไม่ล้นเกินไป ไม่พร่องเกินไป คือพอดี พอดี คำว่าเต็มมันไม่ใช่พอดี มันต้องพอดี คำนี้ละเอียดลออมาก ถ้าอธิบายวันนี้ก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าประมาณย่อๆ ให้ท่านไปใช้สติปัญญาคิดคำว่าพอเอา ว่าคำว่าพอตรงนี้มีความหมายต่อไปว่าอย่างไรอีก แต่ในที่นี้หมายถึงจิตใจ ให้รู้จักความพอดี ให้รู้จักการรักษาศีล ให้รู้จักการเจริญภาวนา ให้รู้จักการเลือกเฟ้นกรรมฐานประพฤติปฏิบัติ ให้รู้จักความพอดี ความพอดีตัวนี้แหละเป็นมรรค เป็นมรรคปฏิปทา เป็นทางดำเนินอันหนึ่ง ...

    ร เรือ ร อะ ระ “ร” เรือ หมายถึงพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ เราพึงมีพระรัตนตรัยไว้ในจิตที่มีความพอดีแล้ว พระรัตนตรัยคือ ผู้รู้ คือผู้ตื่น คือผู้เบิกบาน คือผู้นำบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ คือผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว รวมเรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนะนั่นเอง ให้มีในจิตในใจของเรา ในขณะที่เรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ก็ตาม ภาวนาพุทโธอยู่ก็ตาม กำหนดร่างกายอยู่ตาม ในขณะที่เรามีสติกำหนดอยู่นั้น ไม่หลงลืมไป ระลึกได้อยู่นั้น เรียกว่า พุทโธ คือผู้รู้ ผู้รู้อยู่ในใจเรา พระรัตนะ คือ พระพุทธรัตนะ ก็มาประดิษฐานในใจเรา เมื่อเรากำหนดไปๆ ไม่ขาดวรรคขาดตอน เกิดปีติ เกิดความอิ่ม เกิดความสงบ เกิดสมาธิ อย่างนี้เรียกว่าธรรมรัตนะ พระธรรมก็มาประดิษฐานในใจของเรา การปฏิบัติต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อนให้ภาวนาอย่างต่อเนื่องเพื่อความสิ้นทุกข์ ความหมดจด ความบริสุทธิ์ของจิต จนถึงที่สุดคือ บริสุทธิ์อันผ่องใส เพราะอาศัยคือการประพฤติปฏิบัติตามความรู้ความเห็นนั้น เรียกว่า สังฆรัตนะมาประดิษฐานในจิตใจของเราแล้ว จึงหมายถึงว่า ร เรือ คือรัตนตรัย “ร”

    อะ ก่อนจะถึงคำว่าละ คำว่า “อะ” คำนี้แปลว่ายิ่งใหญ่ มีด้วยกันสามประการในพระพุทธศาสนาเรา อะที่หนึ่งเรียกว่า อธิศีล คือมากไปด้วยศีล ยิ่งใหญ่ไปด้วยศีล อะตัวที่สองเรียกว่า อธิจิต แปลว่าจิตยิ่งใหญ่ อะตัวที่สามเรียกว่า อธิปัญญา แปลว่า ความรู้ความเห็น การขจัดสิ่งมืดมนไป ทั้งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็รวมลงไปในมรรคนั่นเอง .... เมื่อปฏิบัติตามวิถีของมรรคแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง จึงละได้ "พระ" จึง ละได้ ละสิ่งพอใจทั้งหลาย ละสิ่งที่เคยยึดติดผูกพันทั้งหลาย จึงพ้นไปจากความยึดความหมายความมั่น ไม่มีในจิตในใจของเรา ...

    รวมแล้วคือ “พระ” คำนี้ต้องมีในจิตในใจของผู้ที่หมายพระนิพพานในใจ ถ้าบุคคลใดไม่มี "พระ" ในใจแล้ว นิพพานก็ย่อมไม่มีในใจของผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายให้จงนำไปคิดพิจารณาศึกษเอา คำว่าพระคำนี้ เรามีครบแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ครบ ก็ปฏิบัติให้ครบตัวอักษรเสีย นิพพานก็จะเป็นของท่าน .... "

    ขออนุโมทนาในธรรมทานจาก
    Paron Yodkraisri | Facebook
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    น้ำท่วมโลกได้
    แต่อย่าให้กิเลสมันท่วมจิตใจของคนเรา


    ธรรมะมีอยู่รอบกาย มีอยู่ทุกลมหายใจ
    ที่เราเรียกกันว่า ความจริง!
    แต่ทำไม๊? พวกเราจึงมองไม่เห็นกัน
    ก็เพราะถูกกิเลสมันบดและบัง นั่นเอง
    พวกเราก็เลยพบเจอแต่สิ่งที่เรียกว่า มายา หรือ สิ่งสมมุติ เป็นซะส่วนใหญ่

    แต่ถ้าสนใจ หรือ อยากได้ อริยจักษุ หรือ ดวงตาเห็นธรรม
    โปรดติดต่อครูหรือผู้ฝึกสอน "จิตเกาะพระ"
    ที่นี่!

    ปล.พร่ำตั้งแยะ พอส่งธรรมะสดๆ จากต้นตอผุดออกมาจากจิตปัจจุบัน
    หายไปหมดซะงั้น!
    ก็เลยได้แค่เศษเสี้ยวของธรรมะ พอเป็นกระสัยมาแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาธรรมาทานของคุณวิทย์
    คุณหมอ คุณลูกพลัง คุณเมิล คุณมาลินี คุณGolden Sky คุณดาวแห่งถ้ำUK
    และทุกๆท่าน มา ณ ที่นี้ด้วย

    สาธุๆๆ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอให้พวกเราตื่น รู้ เบิกบาน

    แต่มิให้พวกเราตื่นตระหนก หรือ ตกใจกับเหตุการณ์ โดยเฉพาะภัยพิบัติต่างๆ
    ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
    ตอนนี้ จิตพวกเจ้านั้น หรือ จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ หรือยัง?
    กายก็เตรียมพร้อมไป แต่อย่าไปเตรียมกายหรือสิ่งอื่นๆกัน
    เพราะสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดๆ ก็คือ จิต
    จิตพร้อม? จิตเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์กันไหม๊?
    เช่น พร้อมจะสูญเสียคนรัก บุคคลที่ตนรัก หรือ สิ่งของหรือสมบัติต่างๆ

    บบ.อยากให้พวกเรา โดยเฉพาะจิตชาวจิตบุญ เป็น/ถึงจิตพุทธะ
    โดยทรงฌานเป็นปกติ ทรงอารมณ์พระนิพพาน ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจ(ถ้าเป็นไปได้)
    หรือ ทรงอารมณ์พระพุทธเจ้า

    แต่ถ้าจิตบุญท่านใด ที่ยังมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็ไม่เป็นไร
    ก็ขอให้กลับไปนับหนึ่งใหม่ หรือ ไปทบทวนใหม่
    ได้แก่...

    ๑.ศีลยังครบถ้วนบริบูรณ์กันดีไหม?
    ๒.เจริญสติภาวนา(มีสติ) เจริญสมาธิ(ทรงฌาน) เจริญปัญญา(วิปัสสนา)
    ๓.ทรงอารมณ์พระนิพพาน หรือ รักษาอารมณ์ตอนที่จิตยกใหม่ๆกันได้ไหม?
    ๔.ละ(ตัด)ขันธ์ ๕ ให้ได้เด็ดขาด

    แต่ถ้าจิตบุญที่ยังมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็ให้ทรงอารมณ์พระพุทธเจ้า
    นึกทีไร ให้นำสติไปจับดวงจิตของพระพุทธเจ้า(ตามที่ให้รายชื่อไปแล้ว)
    หรือถ้าใครเปลี่ยนไม่ได้ ก็ให้ท่านทรงอารมณ์หรือนึกถึงท่านพ่อ
    หรือพระพุทธเจ้าประจำตัวท่าน ก็ไม่ผิด
    แต่ถ้าผู้ที่กระทำได้ผลนี้ได้ ก็ต้องอาศัยความศรัทธานำหน้าก่อนลงมือปฎิบัติ
    ถึงท่านจะมีความเพียรมาก แต่ถ้าท่านไม่มีความศรัทธา
    หรือมีความศรัทธาน้อยไป ผลของการปฎิบัติ ก็จะไร้ผล
    แต่ถ้าผู้ใดคิดว่าเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า ก็ให้ขอขมากรรมพระรัตนตรัยก่อนก็ได้
    เพื่อความสบายใจของตัวท่านเอง

    อย่าลืมนะ!
    จะทำอะไรให้สำเร็จด้วยดี หรือ ไม่ว่าจะการงานอะไรก็ตามที
    ท่านจะต้องมีใจนำหน้า หรือ ทำอะไรก็ตามก็ต้องด้วยใจจริงๆ
    ไม่ใช่ศักดิ์จะทำ หรือ ทำแบบไม่ตั้งใจ

    จิตจะศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ต้องอยู่ที่จิตตนเองทั้งนั้น
    เหมือนพระอรหันต์ก็เช่นกัน ท่านก็ปฎิบัติเองทั้งหมด
    เมื่อได้ผลของการปฎิบัตินั้นๆแล้ว ผู้ปฎิบัติจะต้องมีความเชื่อมั่นตนเอง
    หรือมีความศรัทธาในผลของการปฎิบัติตนเอง

    เพราะฉะนั้น จิตบุญ บรรลุธรรม หรือ พระอรหันต์ ไม่มีเส้น จึงทำแทนกันไม่ได้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2012
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตราบใดพวกเราลงมาเกิด
    หรือ หลงมีร่างกาย หรือ มีกรรมนำมาเกิด
    ในโลกวัฎสงสาร ซึ่งหาประมาณมิได้นี้

    มันไม่พ้นกฎพระไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าไปได้
    พวกเราจงน้อมนำเอามาปฎิบัติให้เกิดผลกันเถิด
    พวกเราจะเข้าใจชีวิตที่หลงมาเกิดนี้กัน
    เพราะผู้ที่หลงมาเกิดในโลกวัฎฎะนี้
    มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันเป็นทุกข์ทุกอย่าง มันไม่มีอะไรเป็นของตนจริงๆ
    เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเราทำไปทั้งหมดนี้
    โดยเฉพาะร่างกาย หรือ สรรพสิ่งล้วนรูปนามทั้งหมดนี้ ก็คือ สมมุติเท่านั้น
    เพราะทุกคนย่อมรู้ดีว่า ไม่มีผู้นำเอาติดตัวไปได้สักคนเดียว
    มี อยู่ เป็น ได้ กับโลกใบนี้เท่านั้น เมื่อถึงเวลาไป
    เห็นมีบุญและบาปที่จะติดตามเจ้า(ดวงจิตหรือวิญญาณ)ไป
    นอกนั้นจะต้องละหรือทิ้งที่โลกใบนี้ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นแล้ว จิตบุญอย่าได้ไปหลงยึดติดกับมันอีกเลย
    รีบๆนำจิตออกไปให้ห่างกับทางโลกเสียแต่เนิ่นๆ
    เจริญสติให้มากๆ หรือสร้างสติมากๆ
    เพื่อจิตจะได้เป็นปัญญา
    และจิตปัญญาของเจ้านี้ จะบอกกับเจ้าเองว่า...ควรจะไปที่ไหน
    ถ้ายามภัยมาถึงตน...
    อย่าหนีแบบไร้สติ ไร้ปัญญา
    และจิตปัญญานี้แหล่ะ! จะนำพาร่างกายเจ้าปลอดภัย

    เมื่อเจ้านึกถึงพ่อบบ. แล้วพ่อจะมาช่วยเจ้าเอง!

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาธรรมทานนี้มากๆ
    ขอโมทนากับคุณหมอด้วย
    ขอให้อายุวัฒนะของท่าน ยิ่งยาวนานตลอดไป และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ
     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    วันพระแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒:
    วันคล้ายวันปรินิพพานของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า พระอัครสาวกเบื้องซ้าย



    พรุ่งนี้วันพระแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกประการคือเป็นวันคล้ายวันปรินิพพานของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า พระอัครสาวกเบื้องซ้าย เอตทัคคะผู้เป็นเลิศทางด้านมีฤทธิ์มาก

    พระโมคคัลลานะได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดาในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามที่พระองค์ทรงดำริให้สำเร็จเพราะท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก จึงได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาว่า "เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์" และทรงยกย่องว่าเป็นคู่พระอัครสาวก คู่กันกับพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรในการอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ดังกล่าวในประวัติพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังบุตรให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบน ที่สูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย

    พระธรรมเทศนา ของพระโมคคัลลานะไม่ค่อยจะมีที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์มีเพียงแต่อนุมานสูตร ซึ่งว่าด้วยธรรมินทำให้คนเป็นผู้ว่ายากหรือง่าย ในมัฌิมนิกายกล่าวว่า ท่านพระโมคคัลลานะเข้าใจในนวกรรมคือการก่อสร้าง เพราะฉนั้นเมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม ในเมืองสาวัตถี พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านเป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือผู้ควบคุมการก่อสร้าง

    ท่านพระโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา มีเรื่องเล่าว่า ครั้งเมื่อท่านพำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บรรดาลาภสักการะ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่พระบรมศาสดาในครั้งนั้น ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลานะ เพราะสามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ ชักนำให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใส ถ้าพวกเรากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ลาภสักการะต่าง ๆ ก็จะมาหาพวกเราหมด เมื่อปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงจ้างโจรผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะ เมื่อโจรมาท่านพระโมคคัลลานะทราบเหตุนั้นจึงหนีไปเสียสองครั้ง ครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่ากรรมตามทันจึงไม่หนี พวกโจรผู้ร้ายจึงได้ทุบตีจนร่างกายแหลกเหลว ก็สำคัญว่าตายแล้ว จึงนำร่างท่าน ไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป ท่านพระโมคคัลลานะยังไม่มรณะ เยียวยาอัตภาพให้หายด้วยกำลังฌานแล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทูลลากลับปรินิพพาน ณ ที่เกิดเหตุ ในวันเดือนดับ เดือน ๑๒ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุ มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ประตูวัดเวฬุวัน

    ที่มา fb ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน


    ขอน้อมกราบพระมหาโมคคัลลานะด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุ เป็นสมาชิกจิตเกาะพระนี้ มันช่างมีความสุขเหลือเกินจนเก็บไว้คนเดียวไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาถึงความสุขที่ออกจากใจจริงๆ ได้ทั้งความรู้ ความสูข ความเพียร ความขยัน อยากอ่าน อยากเขียน ได้ปัญญา มีแต่ได้กับได้ค่ะ คือโดยปกติแล้วจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเขียนมากเท่าไหร่จะเขียนก็เมื่อมีความจำเป็น อ่านก็เหมือนกัน. เหมือนกับเดี๋ยวนี้นี่ขาดไม่ได้ทั้งสองอย่างเลย. ฝากไว้สำหรับผู้ที่เป็นเหมือนกับผู้เขียนนี้ด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณๆครูทุกๆท่านที่ให้ธรรมะโอสถดีๆให้ทุกๆอย่างท่านทั้งหลายเป็นผู้ให้จริงๆให้แต่สิ่งที่ดีๆทั้งนั้น ถ้าผู้อ่านท่านใดจะเอาเป็นตัวอย่างก็ไม่หวงนะคะ ได้. ได้ มีความเพียร ได้ มีสติ ได้มีปัญญา มีความเข้าใจ มีความสุขที่แท้จริงได้จริงๆค่ะ จึงขอบพระคุณครูผู้ให้ทุกๆท่าน และขออนุโมทนากับทุกๆท่านนะค่ะสาธุ ความรู้สึกที่ออกจากใจจริงๆค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  15. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    กระทู้นี้ตั้งมาก็เพื่อกิจนี้...ตอนนี้จะเป็นการทดสอบแล้ว

    ศึกษาเล่าเรียนมาก็เพื่อจะสอบเอ็นทรานซ์...ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว

    จะสอบผ่านหรือไม่...ตัวเราเองจะตอบตัวเองได้ดีที่สุด

    แต่ลึกๆแล้วจิตเบิกบาน ไม่กลัว และอยากจะเจอภัยพิบัติไวๆ

    มันเป็นความรู้สึกเหมือนอั้นอยู่ ถ้าได้ระบายออกไปคงจะโล่งมาก

    (เป็นโรคจิตหรือเปล่า..เราเนี่ย 5555)

    โมทนากับพี่ภูในทุกสิ่งทุกอย่าง และสำหรับการตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา
    เป็นประโยชน์สูงสุดเท่าที่เคยได้รับมาตลอดชีวิต...เป็นสิ่งหนึ่ง
    ในชีวิตที่ผมจะไม่ลืม..สาธุ ครับ



    ปล. แต่ทั้งนี้ก็ต้องเตรียมพร้อมให้เหมาะสมตามควรแก่อัตภาพ
    ไม่มากไป ไม่น้อยไป หากอยู่ในที่เสี่ยงภัยก็เลี่ยงออกมาเสีย
    เมื่อเตรียมพร้อมให้เหมาะสมและพอดีแล้ว ก็ยอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้น
    และเข้าใจในกฏของไตรลักษณ์....ไม่ใช่นั่งรอสิ่งที่เกิดขึ้นตามยถากรรม
    (เขียนอธิบายเพิ่มเติม เพราะเป็นกระทู้สาธารณะ มีคนทั่วไปเข้ามาอ่านด้วย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2012
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ฝากความห่วงใย
    ก่อนวันที่ 26-27 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป
    อยากให้พวกเราไปพักผ่อนกันที่เขาใหญ่
    หรือ ไปพักผ่อนกันที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ
    ยกเว้นภาคใต้

    ขอขอบพระคุณมาก

    ปล.โปรดอย่าถามว่า ทำไม? เพราะไม่มีเหตุผล
     
  17. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    พี่ภูเหมาที่พัก กับตั๋วโดยสารให้พวกเราแล้วใช่ไหมคะ?
    คิคิ​



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  18. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เราหมดแล้วจริงๆ
    ไม่มีอีกแล้วตัวตน ... ไม่มีสักสิ่ง
    มีแต่ รู้ ... และวาง

    ธรรมชาตินำพา ธรรมะนำไป



    ขอบพระคุณครับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  19. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ปล.โปรดอย่าถามว่า ทำไม? เพราะไม่มีเหตุผล

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MI0mKEXlmtI]จงรัก - ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์ - YouTube[/ame]
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ยังจำได้ไหม ...

    ก่อนพรพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพาน ...
    เมื่อสิ้นเรา ก้อให้ยึดธรรม ...

    อย่าลืมนะ ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     

แชร์หน้านี้

Loading...