จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=wQM8DcgdQ-g]เพลงพระนิพพาน - YouTube[/ame]



    ลองฟังดนตรีบรรเลงก่อนนอนกันนะคะ
    ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งยามหลับ และยามตื่น..ตลอดไป





    [​IMG]
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    วิชาจิตเกาะพระ นี้แหละ ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว เราท่านทั้งหลายอย่ามัวหลงทางอยู่เลย วิชาจิตเกาะพระนี้แหละ คือทางเดินมรรคที่สั้น ง่าย และรวดเร็ว มั่นคง พลาดพลั้งได้ยากหากตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังและมีความเพียร
    วิชาจิตเกาะพระนี่แหละคือแก่นแท้แห่งจิตพุทธะ เพื่อความเข้าถึงพุทธะ คือพระนิพพาน จะมีวิชาใดดีเยี่ยมไปกว่าวิชานี้ไม่มีอีกแล้ว และที่สำคัญมากที่สุดคือ เพราะท่านคือสมเด็จพ่อ เพราะท่านคือพุทธะ ท่านย่อมทราบในวิถีแห่งพุทธะ ท่านจึงได้เมตตาสอนวิชานี้ให้แก่พวกเราผู้มีกิเลสหนา ให้ชำระกิเลส ชำระจิตของเราให้เป็นเหมือนดั่งท่าน
    หากท่านเพียง มีสติ ระลึกรู้อยู่กับพระ ทุกลมหายใจเข้าออก เกาะพระอยู่อย่างนั้น อันความรู้่สึกตัว กายที่สงบหรือเคลื่อนไหว จิตก็รู้วางไม่ไปยึดติดในกองรูปกาย ในขณะเดียวกัน อันความคิดที่เกิดทั้งหลายมันก็ดับไปเพราะจิตเราอยู่กับพระไม่ไปนึกหรือรับเอาความนึกคิดอารมณ์อะไรมาปรุงแต่ง เมื่อทำจนชำนาญจิตย่อมเกิดปัญญาเห็นสภาพความเป็นจริง ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา ทุกอย่างปล่อยวางลงได้หมด การมีสติรู้ในกายที่เป็นไปก็รู้วางแยกรูปออกไป การมีสติในความนึกคิดที่กำลังเกิด ก็รู้วางออกไป แยกนามออกไป คงเหลือแต่เพียงจิต ที่อยู่กับพระ จิตที่อยู่กับพระ ก็คือพระ เพราะมีสภาพเหมือนกันคือว่างจากกิเลสเครื่องปรุงแต่ง
    จงทำจิตของเราให้เป็นเหมือนพระที่เราเกาะอยู่คือ ว่าง สะอาด บริสุทธิ์
    อุตสาห์ร่ำเรียนมา อย่าปล่อยให้มันลงหม้อหายจมลงไปในทะเลจนหมดสิ้น วันนี้จิตท่านเกาะพระ หรือยังครับ เมื่อก่อนเคยเกาะอย่างไร วันนี้ ท่านไปเกาะอะไรอยู่ เราเกาะพระเพื่อให้จิตเรามีที่พึ่งอันเกษมบริสุทธิ์ เพื่อวันหนึ่งจิตเราจะเป็นดั่ง พระพุทธเจ้า นั่นเองครับ สาธุ
     
  3. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    เรื่องนี้ต้อง... "ขาย" เย้ย!!! "ขยาย"







    สาธุ... ใจเราเป็นพระแล้ว ก็ย่อมเจริญ ทำทุกสิ่งอย่างย่อมอยู่ในเขตที่ดีงาม
    ไม่ว่าจะทำอะไรเราอยู่กับพระ จิตใจเราเป็นพระ นำพระเข้าสู่ใจเรา
    นั่นล่ะก็ถือว่าได้ถือศีล บวชจิตไปในตัว


    ตรงนี้สำคัญมากๆ คือการนำพระเข้าสู่จิตใจเรา
    อย่าได้ไปขวนขวายเหรียญพระ องค์พระศักดิ์สิทธิ์บูชากราบไหว้อย่างเดียว
    เราควรจะนำพุทธคุณสู่จิตใจเราด้วยนะ
    จึงจะถือว่าพระอยู่กับเรา (เราอยู่กับพระ)
    พระคุ้มครองเรา และเราก็คือพระ เช่นกัน...


    รัก เคารพ และศรัทธาพระ ก็เดินตามพระ ทำอย่างพระ
    คือมีศีล มีธรรมแล้วจิตใจเราจะเจริญขึ้น...
    บวชแบบไม่ต้องสึกตลอดไปเลยก็ดี
    "ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิต" ...
    สาธุ สาธุ สาธุ​
     
  4. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937



    โมทนาสาธุ กับท่านพี่ tjs ผู้สัมผัส และได้เข้าถึงพระแล้วก็ย่อมจะเข้าใจในแก่นธรรม
    โดยส่วนตัวที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้อยากจะโฆษณาชวนเชื่ออะไร แต่อยากบอกว่า
    "จิตเกาะพระ เป็นทางตรงที่ลัด และเร็วที่สุด" จริงๆ
    เพราะด้วยตัวเราเองที่เป็นคนสมาธิสั้น และก็ยังเป็นวัยรุ่น (ไหมนะ?)
    ก็ไม่ค่อยจะมีศีล มีธรรมสักเท่าไร
    แต่พอตั้งใจถือศีล๕ ในชีวิตประจำวัน และนำดวงจิตคิดถึงพระ อยู่กับพระในทุกๆ อย่างที่เราทำอยู่นั่นล่ะ
    จิตมันก็นิ่งมากขึ้น สงบมากขึ้น รู้เท่าทันสิ่งต่างๆ มากขึ้นเอง



    "ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัตตัง" ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจึงจะรู้และเข้าใจ
    ขอท่านทั้งหลายอย่าได้โปรดเชื่อในสิ่งที่พวกเราได้กล่าว
    แต่ขอให้ลองทำในสิ่งที่พวกเราว่าดู
    เผื่อจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ทำให้ท่านได้เข้าถึงธรรมมากขึ้น
    นั่นคือการบวชจิต อยู่กับพระ ให้จิตเราเป็นพระ
    อยู่ในศีล ในธรรม



    เราทุกคนมีสิทธิ์เป็นพระ เข้าถึงธรรมกันได้ทุกคน
    อยู่ที่การปฏิบัติเท่านั้น ว่าจะมีความเพียรกันขนาดไหน
    ขอให้พวกเราทุกคน ตั้งใจปฏิบัติ คือ
    มีศีลเป็นเบื้องต้นในจิตใจ
    มีพระคอยทำทางจิตใจของเราตลอดไป
    นี่ล่ะ บวชจิตในชีวิตประจำวัน



    สิ่งที่มีค่าในตัวเรา คือ "จิต" ของเรา
    แต่สิ่งที่มีค่าใน "จิต" เรา นั้นมีแล้วหรือยัง?
    ถ้ายัง ขอให้มีศีลในจิต มีพระในใจ
    นั่นล่ะ สิ่งที่มีค่าที่สุดทางใจ ที่เราสามารถมีได้ ตลอดไป...
    น้อมนำศีล และพระมาสู่ใจ และรักษาไว้ตลอดไป
    ตลอดไป... ตลอดไป .. สาธุ



    [​IMG]
     
  5. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    Cr: อมตะธรรม



    จะสุข จะทุกข์มันอยู่ที่ใจ
    ทำจิตใจให้เป็นสุข ร่มเย็น ก็เป็นบุญได้
    ทำจิตใจให้หม่นหมอง ติดอยู่กับสิ่งยั่วยุทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์ได้
    จิตใจเราตอนนี้เป็นสุขหรือทุกข์?
    จิตใจเราตอนนี้ร่มเย็นหรือยัง?
    ถ้ายังลองนำจิตระลึกถึงพระสักวันสองวันดูนะจ้ะ
    แล้วจะรู้ว่าบางที "ความสงบร่มเย็นก็มีอยู่ในจิตใจเราได้" เช่นกัน




    [​IMG]
     
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]


    "สติ" จึงสำคัญ ในการยับยั้งใจตนในการทำสิ่งต่างๆ
    "จิต" อยู่กับพระ เป็นที่ยึดเหนี่ยว จะได้ไม่ตกอยู่ในอารมณ์..
    ทุกอย่างจึงจะสำเร็จ
     
  7. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    แวะมาส่งเข้านอน ... นอนหลับขอให้จิตอยู่กับพระกันนะจ้ะ

    [​IMG]
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธพจน์...แม้เพียงคำสองคำ

    ...ถ้านำไปปฏิบัติก็ถือว่าได้ทรงพระไตรปิฏก...

    ...หากเราเรียนมามาก ศึกษามาก แต่ไม่ได้ปฏิบัติ...

    ...ก็ได้ชื่อว่าเป็นใบลานเปล่า...

    ...ฉนั้น ขอให้ฟังธรรมแล้วก็นำไปปฏิบัติ...

    ...จะมีประโยชน์...และชีวิตจะมีคุณค่ามากขึ้น...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้...หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ.เชียงใหม่

    ...น้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่และจะนำมาปฏิบัติค่ะกราบหลวงปู่เจ้าค่ะ...
     
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444


    หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
    2.จะต้องไม่คล้อยตาม อารมณ์ของมนุษย์
    3.พยายามตัดงานในด้าน สังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน

    ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

    ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา

    กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็ จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ใน ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อ หลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน

    ทางแห่งความหลุดพ้น

    ...เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่าชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปี ก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสอง ครั้งเพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมอง เคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

    แต่งใจ

    ...ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็นจะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่ หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ ...ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกายเป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มัน สั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?

    แผ่เมตตาจิต

    ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทาง วจีกรรม หรือ กายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้าง โบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพ สัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

    อานิสงส์การแผ่เมตตา

    ...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่ง การคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มี กระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามี เจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็น มิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรือ อีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่า มนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณ จะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่ จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือ ว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

    ประโยชน์จากการฝึกจิต

    ...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหา ขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่ คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็น การปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิต ในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม


    คัดลอกจากหนังสือเรียน ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปฏิบัติในอริยสัจธรรมทั้งสี่...ซึ่งเป็นหลักธรรมอันถูกต้องดีงามและเป็นที่พึ่ง

    อันอุดมสูงสุด...ผู้ปฏิบัติด้วยควมเข้มแข็ง...ย่อมรู้แจ้งเห็นสัจธรรมทั้งสี่โดยรอบภายในใจ

    ถึงความบริสุทธิ์ คำว่า "บริสุทธิ์" นี้ เราเคยได้ยินมานานแล้ว อะไรบริสุทธิ์เราก็ชอบ ยิ่ง

    จิตใจบริสุทธิ์ด้วยแล้วเป็นสิ่งที่ดี "ร่ำลือ" มาก ประหลาดอัศจรรย์ หาอะไรเสมอเหมือนไม่

    ได้ในโลกทั้งสาม เพราะฉนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ซึ่งเป็นธรรมชาติ

    บริสุทธิ์ด้วยกัน จึงเป็น "สรณะอันประเสริฐของโลก" โลกได้กราบไหว้บูชา...

    ...และอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ก็จะเป็นวันเข้าพรรษา...ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่มีความ

    ตั้งใจว่าเข้าพรรษานี้เราจะให้สัญญากับตนเองว่าเราจะทำความดีให้กับตนเอง...ละเว้นใน

    สิ่งชั่วแล้วมาทำความดี...ตอนนี้เรายังมีเวลาสำรวจตัวเองว่าเข้าพรรษาของปีที่ผ่านไปเรา

    ได้ทำอะไรไปบ้างแล้วเข้าพรรษานี้เราตั้งใจว่าจะทำอะไรให้กับตัวเราเอง.บางคนบางท่าน

    ก็เตรียมตัวไปจำศีลภาวนาตามวัดต่างๆที่มีครูบาอาจารย์คอยอบรมสั่งสอน บางท่านก็ตั้งใจ

    ว่าเราจะปฏิบัติภาวนาที่บ้านจะเอาบ้านนี่แหละเป็นวัด มาทำกิจเหมือนอยู่ที่วัด สวดมนต์

    เช้าเย็น ตามด้วยสงบจิตใจนั่งภาวนา ทำใจเราให้สงบด้วยลมหายใจของเรานี่แหละว่า เรา

    หายใจเข้าเป็นอย่างไร หายใจออกเป็นอย่างไรดูลมหายใจจนกว่าจะสงบ ทำวันละห้านาที

    สิบนาที หรือว่าจะทำได้นานกว่านั้นยิ่งดี...ทำมากทำน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ เมื่อเราทำ

    เป็นประจำแล้วเราจะรู้เห็นความสงบของเราเอง เมื่อเราสงบดีแล้วเราจะไม่รู้สึกเลย

    ว่าเวลานั้นผ่านไปเหมือนไม่นาน แล้วเราจะได้รู้ว่าความสงบนั้นทำให้เรานั้นพบกับความ

    สุขที่เราไม่เคยได้รับมาก่อน...เข้าพรรษานี้ผู้เขียนขออนุโมทนากับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติขอให้

    ทุกๆท่าน วัดจิตวัดใจของท่านเองให้มีดวงตาเห็นธรรม และถึงมรรผล นิพพานด้วยค่ะ

    ...ขอฝากไว้ค่ะ และขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ปฏิบัติอยู่แล้ว และผู้ที่กำลังจะปฏิบัติค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุค่ะอนุโมทนาค่ะ ที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องเลย ขอให้ทุกๆท่านพยา

    ยามนะคะทำอย่างที่ท่านแนะนำนะถ้าเมื่อไร จิตของท่านนั้นเกาะอยู่กับพระแล้ว

    ความสงบนั้นจะเกิดขึ้นง่ายเวลาเราปฏิบัติจิตของเราก็จะไม่ส่งออกเพราะเราจะ

    มีพระอยู่ในจิตใจเราจะเห็นแต่พระตลอดเวลา เพราะสิ่งนี้ได้ปรากฏกับผู้เขียน

    แล้ว...ให้จิตของเรานั้นเกาะพระอยู่ตลอดแล้วเราจะถึงเป้าหมายที่เราปรารถนา

    ไม่ใช่ว่าไกล้จะตายแล้วไปขอเกาะชายผ้าเหลืองพระนะ...ทำเองสระสมเอง

    นี่แหละค่ะแน่นอนกว่า...ได้ไปอยู่กับท่านพ่อแน่นอนค่ะ ขออนุโมทนาในธรรม

    ทานนะคะคุณ tJs สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ขอบคุณจ๊ะ.แต่พี่ไม่ดื่มน้ำเย็นตอนตี3.555++
    ปล.ทำไมนอนดึกจัง? ท่าทางจะขยันทั้งทางโลกและทางธรรม.ขอโมทนาสาธุนะจ๊ะ.(ขอบคุณหลายๆเน้อออ)
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    วันที่ 22 กรกฎาคม 2556 วันอาสาฬหบูชา

    ตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 มีความสำคัญคือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แก่ปัญจวัคคีย์ ณที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ได้ 2 เดือน ผลของการแสดงธรรม ทำให้โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ทูลขออุปสมบท ทำให้เกิด พระรัตนตรัยครบ 3 ประการ

    สาระสำคัญของพระธรรมจักร คือพระองค์ทรงแสดงหนทางพ้นทุกข์ ชี้ให้เห็นหนทางสุดโต่งทั้ง 2 ฝั่งที่ไม่อาจพ้นทุกข์ได้คือ
    1.กามสุขัลลิกานุโยค การมัวเมาหมกมุ่นอยู่ในกาม
    2.อัตตกิลมถานุโยค การประกอบทรมานตนให้ลำบาก
    พระองค์ทรงแสดงธรรมที่เป็นสายกลางซึ่งเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ

    อริยมรรคมีองค์ 8 ได้แก่

    1.ปัญญาเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ)
    2.ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ)
    3.เจรจาชอบ (สัมมาวาจา)
    4..การงานชอบ (สัมมากัมมันตะ)
    5..เลี้ยงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ)
    6.พยายามชอบ (สัมมาวายามะ)
    7.ระลึกชอบ (สัมมาสติ)
    8.ตั้งจิตชอบ (สัมมาสมาธิ)


    Cr... FB พี่ ปารเมศ
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    เนื่องในวันสำคัญทางศาสนา 2 วัน คือ วันอาสาฬหบูชา และ วันเข้าพรรษา วันที่ 22 และ วันที่ 23 กรกฏาคม 2556 ...

    ขออัญเชิญ พระธรรมเทศนา ของ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตา มหาบัว ญานสัมปันโน) ที่ท่านได้แสดงไว้ มีเนื้อหาใจความที่สำคัญและ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับ นักปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ...

    <iframe src="https://www.facebook.com/video/embed?video_id=188127928023340" width="352" height="288" frameborder="0"></iframe> ​

    คลิปเทศน์อบรมพระวันที่ ๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
    เรื่อง "จับสติไว้ให้ดี"


    "ความเพียรอยู่ที่ สติ"ไม่อยู่ที่ไหนนะ ให้จับสติไว้ให้ดี ถ้าสติไม่เผลอจากใจเมื่อไรเป็นความเพียรอยู่ตลอดอิริยาบถ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น สติมีอยู่ตลอดเวลา จะตั้งรากฐานของจิตให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจได้เป็นลำดับลำดา จากนั้นจิตแน่นหนามั่นคงเข้าไปก็เป็นสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นแน่นหนามั่นคง สมถะคือความสงบเย็นใจ จากนั้นไปก็เป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคงของใจ จากความแน่นหนามั่นคงของใจแล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา

    การถอดถอนกิเลสไม่ใช่ถอดถอนด้วยสมาธิความสงบใจเท่านั้น ถอดถอนด้วยปัญญา สมาธินี้เป็นธรรมอิ่มอารมณ์ สมาธิจิตสงบเย็นใจ ไม่หิวโหยในอารมณ์ทั้งหลาย เป็นจิตอิ่มอารมณ์ จิตอารมณ์แล้วจะพาทำการทำงานคือคลี่คลายดูสกลกายทั้งข้างนอกข้างในด้วยปัญญาก็เป็นไปได้สะดวก จิตก็ทำงานให้ถ้ามีสติควบคุม นี่ละท่านว่าเมื่อจิตสงบแล้วให้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาสกล กาย ท่านสอนพระบวชใหม่ว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านสอนเพียงเท่านี้ก่อนตามเวลาที่มีเพียงแค่นั้น จากนั้นเราจะพิจารณาใคร่ครวญเข้าไปถึงอาการ ๓๒ ภายในร่างกายของเรานี้ได้ตลอดทั่วถึงหมด นี่เป็นทางเดินของกรรมฐาน เดินตามเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

    จากนั้นก็เดินในอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก หัวใจ แล้วก็เข้าไปภายในตับ ไต ไส้ พุง ดูไปหมด ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล หาความสะอาดไม่ได้ คนเราสกปรกที่สุดสัตว์สกปรกที่สุด อะไรเข้ามาแปดเปื้อนหรือสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายนี้ ผ้าแม้จะทอใหม่ๆ เอามานุ่งห่มสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายนี้ไม่ได้กี่วันแหละ เป็นความสกปรกขึ้นมา ต้องซักต้องฟอก ต้องชะต้องล้าง เพราะร่างกายนี้เป็นตัวสกปรก เมื่อสิ่งใดเข้ามาคละเคล้าย่อมสกปรกไปตามๆ กัน นี่ละเป็นกรรมฐานอันหนึ่ง ที่เราทั้งหลายจะได้พิจารณากรรมฐานเหล่านี้

    ตัวสกปรกคือตัวร่างกายของเรา สิ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับร่างกาย ไม่ว่าที่อยู่ที่หลับที่นอนหมอนมุ้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ถ้าเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับร่างกายของมนุษย์แล้วกลายเป็นของสกปรกไปตามๆ กันหมด ต้องเช็ดต้องล้าง ต้องถูต้องซักต้องฟอก ต้องอาบต้องล้างอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายนี้สกปรก ให้เอาอันนี้เป็นเครื่องพิจารณากรรมฐาน สิ่งใดก็ตามตามปรกติเขาสะอาด เขาไม่ได้สกปรก พอเข้าไปเกี่ยวข้องกับร่างกายของมนุษย์เท่านั้น ต้องเช็ดต้องล้างต้องถู ต้องซักต้องฟอกต้องอาบกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่เช่นนั้นไม่ได้

    เพราะร่างกายเป็นตัวสกปรก สกปรกแท้ๆ อยู่ภายใน มันซึมซาบออกมาทางภายนอก ทางผิวหนัง ผิวหนังก็กลายเป็นของสกปรก อะไรเกี่ยวกับผิวหนังก็สกปรก เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เวลาเข้ามาเกี่ยวข้องกับผิวหนังของเรานี้แล้ว จะกลายเป็นของสกปรกด้วยกัน นี่คือการพิจารณากรรมฐาน ให้พิจารณาอย่างนี้ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ซ้ำๆ ซากๆ ให้เดินกรรมฐานอยู่ในร่างกายของเราจนมีความชำนิชำนาญ คล่องแคล่วแกล้วกล้า แล้วมันจะหมุนเข้าไปสู่ความละเอียดเอง คือร่างกายนี่เป็นฐานที่ตั้งแห่งกรรมฐานในเบื้องต้น พิจารณาตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก เข้าไปหาตับไตไส้พุง จนกระทั่งมันรู้ชัดทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาด้านวัตถุของร่างกายนี้แล้วมันจะปล่อยวาง มันปล่อยร่างกายนี้หมดแล้ว จะเป็นคุณธรรมหรือความว่างขึ้นมาอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นนามธรรม

    ร่างกายนี้ไม่ใช่จะพิจารณาตลอดไปนะ พิจารณาถึงความอิ่มพอแล้วอิ่ม ร่างกายหมดความพิจารณาเรียบร้อยแล้ว มันจะซึบซาบเข้าสู่นามธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดความปรุง มันจะออกจากใจ คิดดีก็ตาม คิดชั่วก็ตาม จะเกิดขึ้นจากใจ เมื่อมีสติแล้วก็ทำงานอยู่ที่การเกิดการดับของสังขารคือความคิดความปรุง เกิดแล้วเกิดเล่า ดับแล้วดับเล่า สติจับกันอยู่ที่นั่น มันจะเป็นวงแคบเข้าไปหาความเกิดความดับของสังขารคือความคิดปรุง ในเบื้องต้นพิจารณาร่างกายเสียก่อน เมื่อร่างกายหมดปัญหาแล้ว มันจะไม่พิจารณา มันอิ่มตัว คือพิจารณาร่างกายอิ่มตัวแล้ว มันจะไม่เอาแหละที่นี่ มันจะพิจารณาแต่ทางนามธรรม ให้พากันเข้าใจ

    การพิจารณาร่างกายนี้ ถึงความอิ่มพอ อิ่ม พอ ไม่ยอมพิจารณา ขั้นนี้เรียกว่าผู้พิจารณาร่างกายอิ่มพอทุกอย่างแล้ว ก้าวเข้าแล้วในขั้นอนาคามี ไม่บอกก็รู้ ละกามราคะได้จากการพิจารณาร่างกายอิ่มพอเรียบร้อยแล้ว กามราคะก็อิ่มพอไปตามๆ กัน เพราะกามราคะอยู่กับร่างกายนี้ นี่เรือนร่างของกามราคะ ท่านจึงสอนให้พิจารณาอันนี้ให้มาก จนกระทั่งอิ่มพอแล้ว เรื่องกามราคะมันก็อิ่มพอไปตามๆ กัน จากนั้นก็พิจารณาเรื่องความเกิดความดับ

    ทั้งๆ ที่ร่างกายนี้พิจารณาพอแล้ว ก็เอาสังขารร่างกายนี้ซักฟอก หรือเอาสังขารร่างกายนี้พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ อยู่นั้นแหละ จนกระทั่งสังขารร่างกายนี้ไม่มีให้พิจารณา นี่ท่านว่าพิจารณาร่างกาย ร่างกายเวลามันพอ มันไม่เอา แต่ก็ต้องเอาร่างกายนี้เป็นเครื่องฝึกซ้อมจิตใจให้ชำนาญทางด้านนามธรรม พอจากนี้แล้วก็เข้าสู่ด้านนามธรรม ปรุงขึ้นมานี้ไม่มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ไม่มี พอปรุงขึ้นมาดับพร้อมๆ พิจารณาไม่ทัน นี่เรียกว่าผ่านแล้วเรื่องร่างกาย แต่ต้องเอาร่างกายเป็นเครื่องฝึกซ้อมให้จิตชำนาญทางด้านนามธรรม ต่อไปนั้นก็มีแต่ความเกิดความดับภายในจิต สังขารปรุงขึ้นดีก็ดับ ชั่วก็ดับ พิจารณาย้อนไปย้อนมาอยู่ภายในนั้น นี่เป็นขั้นๆ อย่างนี้นะการพิจารณากรรมฐาน

    ในเบื้องต้นร่างกายนี้ปล่อยไม่ได้ ต้องถือร่างกายนี้เป็นหินลับปัญญา หรือเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึดของกรรมฐานของการพิจารณา ยึดร่างกายนี้เป็นสำคัญ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ต้องยึดไว้เสมอให้เป็นอารมณ์ เมื่ออันนี้พอเข้าไปๆ แล้ว มันจะค่อยปล่อยวางเรื่องสังขารร่างกาย พอปรุงขึ้นพับมันจะดับพร้อม พิจารณาอสุภะก็ไม่ทัน สุภะก็ไม่ทัน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ไม่ทัน เกิดแล้วดับๆ นี่เรียกว่าจิตผ่านในขั้นนี้แล้วเข้าสู่นามธรรม ความปรุงของจิต พอปรุงขึ้นดีก็ดี ชั่วก็ดี ปรุงขึ้นแล้วดับ ปรุงขึ้นจากใจ ดับลงที่ใจ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาหนุนให้เกิดสังขารคือความคิดปรุง ความคิดปรุงนี้เป็นสมุทัย

    เมื่อเราฝึกซ้อมอันนี้อยู่ตลอดๆ แล้วสังขารเกิดจากอวิชชานี้มันจะวิ่งเข้าไปสู่อวิชชา เกิดดับที่อวิชชาๆ ฝึกซ้อม ซ้อมจนชำนิชำนาญแล้วก็เข้าถึงตัวอวิชชา อวิชชานั่นละเป็นรวงรังแห่งสังขาร เพราะอวิชชาเป็นสมุทัย สังขารก็เป็นสมุทัยออกมาจากความผลักดันของอวิชชา เวลาพิจารณาหนักเข้าๆ มันก็เข้าถึงตัวอวิชชา พอถึงตัวอวิชชาแล้วมันหากชำนาญไปเองนะ เกิดปั๊บดับพร้อม เกิดขึ้นมาจากใจ ดับลงไปที่ใจ นั่นละอวิชชาอยู่ที่ใจ เมื่อเวลามันถึงพร้อมของมันแล้ว มันจะดับลงที่ใจนั่นละ พออวิชชาดับเท่านั้น สังขารที่เป็นสมุทัยก็ดับหมด ก็มีแต่สังขารเป็นขันธ์ห้าล้วนๆ เท่านั้น

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นขันธ์ล้วนๆ เมื่อจิตได้ผ่านนี้ไปแล้ว ขันธ์ห้าก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่เป็นกิเลส เหมือนที่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ยังฝังใจอยู่ เมื่อเข้าถึงตัวนี้ ทำลายอันนี้แล้ว ขันธ์ห้าก็เป็นขันธ์ห้าธรรมดา เป็นขันธ์ล้วนๆ ดังขันธ์พระอรหันต์ท่าน ท่านมีเหมือนกัน ความคิดความปรุง รูปก็มี ทุกข์ก็มีในทางร่างกาย เวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ มี สัญญาความจดจำได้หมายรู้ สังขารมี ความปรุง ความคิด แต่ไม่เป็นกิเลส เป็นขันธ์ล้วนๆ ไป เมื่อจิตเข้าถึงขั้นบริสุทธ์แล้ว ขันธ์ห้าเป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่เป็นกิเลสตัณหาแต่อย่างใด เหมือนที่มีอวิชชาอยู่ มีอวิชชาอยู่แล้ว ขันธ์ใดแสดงออกมานี้เป็นสมุทัยด้วยกันทั้งหมด พออวิชชาดับลงไปเท่านั้น ขันธ์ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นขันธ์ล้วนๆ ไป ไม่มีกิเลสตัณหา เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ให้พากันจำเอาไว้

    การพิจารณาร่างกายเป็นของสำคัญ เมื่อพิจารณาร่างกายจนชำนิชำนาญหรืออ่อนเพลียลงไปแล้ว เข้าสู่ความสงบคือสมาธิ เมื่อจิตมีกำลังทางด้านสมาธิออกมาแล้วให้พิจารณาทางร่างกาย อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา วิ่งไปตามๆ กันนั่นละ นี่คือการพิจารณาของนักปฏิบัติทั้งหลาย มันหากชำนาญเข้าไปเอง พิจารณาเข้าไป ชำนาญเข้าไปๆ สุดท้ายเรื่องรูปเรื่องนาม ไม่มี หมด ให้พิจารณาว่าอสุภะอสุภังอย่างนี้ไม่มี จิตผ่านไปแล้วนั่น พอผ่านไปแล้วก็มีแต่ความเกิดความดับ เรียกว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ประจำนามธรรม ไม่ใช่ประจำรูป พอปรากฏขึ้นพับดับพร้อมๆ ติดต่อกันไปนี้ มันก็เข้าไปภายในจิต พอเกิดความคิดความปรุงนี้ เกิดขึ้นมาจากจิตดับแล้วลงไปที่จิต ฝึกซ้อมกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาด้วย สติปัญญา ต่อไปมันก็ปรากฏตั้งแต่ความเกิดความดับของสังขาร สัญญาที่มีอยู่กับใจ ย่นเข้าไปๆ สุดท้ายอวิชชาที่อยู่กับใจดับไปหมดเรียบร้อยแล้ว ขันธ์เหล่านี้ก็เลยกลายเป็นขันธ์ล้วนๆ จิตก็บริสุทธิ์ นี่ละการพิจารณาเมื่อถึงขั้นแล้ว

    ทีแรกพิจารณารูปเป็นของสำคัญ แล้วบริกรรม จะบริกรรมคำใดเป็นการเริ่มต้น เอาพิจารณาให้จิตสงบอยู่กับคำบริกรรม ต่อนั้นก็อยู่ตามร่างกาย เอาร่างกายเป็นกรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ภายนอกภายใน เดินกรรมฐานนี้จนชำนิชำนาญแล้ว มันจะปล่อยตัวเข้าไปๆ ให้พากันจำเอา เมื่อมันปล่อยตัวเข้าไปแล้ว กรรมฐานทางร่างกายนี้จะไม่มี มันจะมีอยู่ในนามธรรมที่เกี่ยวข้องกับจิต นามธรรมเกี่ยวข้องกับจิต เกิดกับจิต ดับกับจิตไปเรื่อยๆ จนก้าวเข้าถึงอวิชชา อวิชชานั่นละผลักสังขารปรุงออกมาๆ เป็นสังขารสมุทัย พอพิจารณาความเกิดความดับด้วยสติ คือเกิดดับของสังขารด้วยสติแล้วมันจะชำนาญเข้าไปๆ สุดท้ายก็มีแต่ยิบแย็บออกจากจิต ดับลงไปหาจิตๆ

    ฝึกซ้อมความเกิดความดับของสังขารนี้ก็เพื่อจะเข้าถึงตัวใหญ่คือ จิต อวิชชาอยู่ที่จิต เมื่อพิจารณาฝึกซ้อมหนักเข้าๆ อวิชชาที่อยู่ที่จิตมันก็ขาดสะบั้นออกไปๆ แล้วก็นั่นละจิตบริสุทธิ์ที่ตรงนั้นแหละ พอจิตบริสุทธิ์แล้ว ความคิดความปรุงอะไรเหล่านี้ก็ไม่เป็นภัย ไม่เป็นกิเลส ไม่เป็นสมุทัยเหมือนแต่ก่อน เลยกลายเป็นขันธ์ล้วนๆ ไป นั่นละท่านผู้บริสุทธิ์ ท่านมีขันธ์เหมือนกัน

    รูปของท่านก็มี เวทนาของท่าน ความสุข ความทุกข์ เฉยๆ ภายในกายของท่านก็มี สัญญาความจำได้หมายรู้ของท่านก็มี สังขารความคิดความปรุงของท่านก็มี วิญญาณความจำได้หมายรู้ของท่านก็มี แต่ท่านไม่ยึด เกิดแล้วมันดับไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องตั้งใจละตั้งใจถอน อะไรเกิดอันนั้นก็ดับไปพร้อมกับความเกิดของตน เพราะไม่มีใครยึด นั่นละเข้าถึงขั้นจิตบริสุทธิ์แล้วเป็นอย่างงั้น ใช้ขันธ์นี้แหละจนกระทั่งวันนิพพาน ขันธ์นี้ก็ใช้สำหรับหน้าที่การงานของโลกของสงสาร ไม่ได้ไปใช้เพื่อแก้กิเลสของท่านเหมือนแต่ก่อน เป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องใช้อีกแล้วจิตใจที่บริสุทธิ์ ใช้ก็ใช้ตั้งแต่สิ่งภายนอกเท่านั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

    พูดนี้พูดย่อๆ เอานะ ไม่ได้พูดยืดยาวเหมือนการปฏิบัติมา การปฏิบัติมานี้มันเหมือนเขายำลาบนะ ยำแล้วยำเล่า เอาจนแหลกอยู่บนเขียง แหลกอยู่บนเขียง การพิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา นี้เหมือนเขายำลาบนั่นแหละ เอาจนแหลกแล้วมันก็พอ เมื่อพอแล้วมันก็ขยับขยายไป สิ่งที่ยังมีดูดดื่มยังไม่พอ มันก็หมุนไปๆ จนกระทั่งถึงหมดความหมุนแล้วเข้าถึงใจนั่นละ พอเข้าถึงใจ ใจบริสุทธิ์ปุ๊บแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ให้พากันจำเอาไว้ นี่พูดแต่เพียงย่อๆ ให้ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติกรรมฐานจำไว้ให้ดี

    สติเป็นสำคัญ อย่าได้เผลอ ถ้าเผลอสติแล้วตั้งฐานไม่อยู่ ตั้งฐานไม่ได้ ใครมีสติดี ชี้นิ้วได้เลยว่าจะเป็นผู้ตั้งฐานคือความสงบเย็นใจได้ อยู่ที่ไหนอย่าให้เผลอสติ ยืนเดินนั่งนอน เว้นแต่หลับ อยู่ที่ไหนสติติดแนบๆ ผู้นี้ละผู้จะตั้งฐานแห่งความสงบได้ในเบื้องต้น จากนั้นจิตก็เข้าสู่สมาธิแน่นหนามั่นคง และก้าวออกทางด้านปัญญาได้ จากสติเป็นสำคัญ สตินี้ปล่อยวางไม่ได้ ต้องเอาสติเป็นฐานสำคัญตลอดไป จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว กิเลสอยู่ที่ไหนพังหมด ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัตินี้ไป กิเลสนี้พังเรื่อยๆ ลงถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี้ กิเลสแย็บเหมือนฟ้าแลบ ดับแล้วๆ นั่นละความรวดเร็วของสติปัญญา กิเลสจึงดับไปโดยไม่มีอะไรเหลือภายในใจ จิตของพระอรหันต์ท่าน ท่านก้าวอย่างนั้นแหละ ให้พากันจดจำเอาทุกคนๆ"


    ขอน้อมจิตก้มกราบ แทบเท้าองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า...เจ้าค่ะ สาธุ กราบ กราบ กราบ

    ขอขอบคุณ FB ...Watpabanntadd Luangta
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ที่เป็นประเพณีสืบกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพราะเป็นฤดูฝนของทุกๆปี และเป็นการกําหนดถึงสามเดือนที่พระสงฆ์จะต้องอยู่วัดประจําถึงสามเดือน แต่ท่านก็ยังมีการอนุโลมถ้ามีเหตุจําเป็นให้ไปได้ แต่ต้องกลับมาวันในสามวัน-เจ็ดวันเพราะท่านก็ได้เห็นเหตุผลเพราะทุกๆอย่างก็ต้องมีเหตุจําเป็น เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นศาสดาหยั่งรู้เหตุการณ์ และการเข้าพรรษานี้ยังมีประโยชน์มากสําหรับคนที่จะตั้งใจปฏิบัติ เพราะจะได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทําตามจิตตั้งไว้ว่า และก็ถือโอกาสสร้างบุญบารมีในสามเดือนนี่ได้ และก็เป็นการสร้างบารมีให้เกิดขึ้นแก่ตนและคนรอบข้างให้มีความสุขได้ ผู้เขียนขอตั้งจิตอธิษฐานด้วยคุณงามความดีที่ได้สร้างสมมา และขอน้อมกราบคุณพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ คุณพระธรรมคําสั่งสอน และคุณพระสงฆ์ จงมาปกปักษ์คุ้มครองให้ทุกๆท่านที่ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในทางโลกและทางธรรมให้สําเร็จกิจในการทั้งปวงด้วยเทอญ สาธุค่ะ
     
  16. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937



    อุ๊ย!! เขินนนน

    ฮ่าๆ


    [​IMG]
     
  17. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]


    ...สรุปความง่าย ๆ ก็เรียกว่า การที่เป็นพระโสดาบัน ของท่านอัญญาโกณฑัญญะ หรือของบรรดาท่านพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกัน เขาเป็นกันอย่างนี้ อารมณ์จริง ๆ เป็นง่าย คือ

    ๑.มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง แล้วก็

    ๒.ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์

    ๓.จิตคิดไว้เสมอว่า ถ้าตายชาตินี้เราไม่ไปไหนนอกจากนิพพาน เราไม่ต้องการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม เราต้องการนิพพานอย่างเดียว


    ...พระโสดาบันกับสกิทาคามี สำคัญที่ศีล ๕ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงอธิศีล ถ้ามีศีล ๕ บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง จิตยังไม่รักพระนิพพาน ท่านเรียกว่า เป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์

    ...ถ้าจิตมุ่งมั่นต้องการพระนิพพานจริง ๆ พวกนี้เป็นพระโสดาบัน และคนที่จะเป็นพระโสดาบันได้ ต้องมีบารมีเต็มพอที่จะบรรลุมรรคผลได้ ต้องบำเพ็ญบารมีมา ถ้าเป็นสาวกภูมิก็ต้องบำเพ็ญบารมีมาไม่น้อยกว่า ๑ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าเป็นอัครสาวกก็ต้องบำเพ็ญบารมีมาไม่น้อยกว่า ๒ อสงไขยกับแสนกัป

    ...ฉะนั้น ถ้าใครมีจิตใจรักศีลเป็นสำคัญ มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ในพระธรรมจริง ในพระอริยสงฆ์จริง จิตใจมุ่งมั่นปรารถนาอย่างเดียว คือพระนิพพาน ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีบารมีเต็ม

    ...เป็นอันว่าการคุยกันวันนี้ ก็หวังถือใจความเป็นสำคัญ ถ้าว่ากันตามเรื่องจริง ๆ แล้วนั้น ธัมมจักฯนี่ เทศน์ ๓ เดือนไม่จบ ก็ไม่มีประโยชน์มาก การคุยกันวันนี้ต้องการอย่างเดียว คือ ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัทรู้จักอารมณ์ของพระโสดาบัน

    ...ในที่สุดนี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงอภิบาลบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านมีความประสงค์สิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ สวัสดี



    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)




    (ตัดมาจากตอนหนึ่งของบทความ
    "พระธรรมเทศนา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    เนื่องในวันอาสาฬหบูชา"


    วันอาสาฬหบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
    พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
    และท่านโกณทัญญะได้บรรลุพระโสดาบันเป็นปฐมสาวก)


    อ่านต่อเพิ่มเติม คลิกที่นี่
     
  18. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]




    ...เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษานี้
    ขอเชิญชวนทุกท่าน ร่วมนำจิตตนอยู่ในศีล๕ และ นำจิตเข้าจำพรรษาถือศีล
    ปฏิบัติธรรมกับพระพุทธเจ้าในจิต
    ได้ในตอนนี้เป็นต้นไป วิธีง่ายๆ ที่ปฏิบัติธรรมได้ทุกที่
    ถือศีล๕ นำจิตใจและกายให้อยู่ในเขตความดี
    ระลึกถึงพระพุทธเจ้าในจิตใจ ให้พระองค์นำทางจิตเราไปในทางสายกลาง
    ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานกันเถอะค่ะ...



    [​IMG]
     
  19. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "ส่งกำลังใจให้จิตบุญทุกท่าน‏"


    [​IMG]


    เนื่องในโอกาสวันนี้ขนาดนี้...
    (วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา)


    ขอเชิญชวนจิตบุญทุกท่าน
    ร่วมส่งบุญบารมีที่ทำมาตั้งแต่ปฐมชาติจนถึงชาติปัจจุบัน
    นำโดยพระบารมีแห่งสมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    อำนาจพระพุทธคุณแห่งพระรัตนตรัยนี้ส่งถึง
    "จิตบุญในสมาคมจิตเกาะพระทุกดวงจิต"
    ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการ
    การงานชีวิตทางโลกและทางธรรมขอให้สำเร็จราบรื่นทุกสิ่งอย่าง
    ท่านใดเจ็บป่วยอยู่ก็ขอให้หาย
    ท่านใดมีปัญหาทุกข์ใจก็ขอให้ทุเลา
    ขอให้มากด้วยปัญญา บารมียิ่งๆ ขึ้นไป
    ขอให้ทางโลกไม่ติดขัด มีภาระที่บางเบา
    ...
    ขอคำอธิษฐานจิตนี้จงสำเร็จแก่จิตบุญทุกดวงจิตด้วยเทอญ สาธุ..



    เราเป็นพี่น้องกันต้องช่วยเหลือกัน จูงมือกันกลับบ้านด้วยกัน,
    เราต้องให้กำลังใจกันและกัน...
    สามัคคีกันเพื่อท่านพ่อ เพื่อพระนิพพาน เพื่อพระรัตนตรัย...
    ขอเป็นกำลังใจให้จิตบุญทุกท่านค่ะ...




    [​IMG]
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา ได้ฟังธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    -ท่านได้ฝากไว้ให้กับลูกหลานของท่าน ซึ่งท่านแสดงธรรมไว้ เพื่อเตือนจิตเตือนใจ ให้

    พวกเรานั้นได้นำมาปฏิบัติตาม ท่านจะย้ำอยู่เสมอๆว่าสตินั้นต้องมีตลอด โดยจะขาดไม่ได้

    คำ สอนขององค์ท่าน ท่านได้สอนให้พิจารณาขันต์ห้าคือ ให้ดูที่ตัวเราในตัวเรา ซึ่งมีแต่สิ่ง

    ที่นำมาพิจารณาทั้งนั้น ดูแต่ของข้างนอกนั้นมันดูสดสวยสะอาด แต่ถ้าเราไม่ได้ดูแล

    รักษาทำความสะอาดก็จะมีกลิ่นเหม็นไม่สะอาด แม้แต่ของที่สะอาดอย่างเช่นเสื้อผ้า

    ของใช้ของเราถ้าใช้แล้วไม่ซักไม่ทำความสะอาดมันก็จะส่งกลิ่นออกมา เพราะว่าทุก

    สิ่งทุกอย่างในตัวเรานั้นมันมีแต่ของสกปรกทั้งนั้น ท่านสอนเริ่มด้วยขน ผม เล็บ ฟัน

    หนังนี่คือ สิ่งที่อยู่ข้างนอกของตัวเราซึ่งถ้าเราไม่ทำความสะอาดมันก็จะสกปรก ขน ผม

    และผิวหนังก็ต้องชำระล้าง เล็บถ้าปล่อยให้ยาวแล้วไม่ทำความสะอาดก็เป็นขี้เล็บ

    ฟันถ้าไม่แปลงไม่ทำความสะอาดก็มีกลิ่นเหม็น ซึ่งสรุปแล้วในตัวของเรานั้นมันมีแต่ ขี้ มี ขี้หู ขี้ตา ขี้เล็บ

    ขี้ฟัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สะอาดทั้งนั้น แล้วในตัวเราข้างในที่เราไม่เห็นไม่ได้ทำความ

    สะอาดนั่นแหละมันมีมากมายให้เราได้นำมาใช้ในการพิจารณาและปฏิบัติ ท่านถึง

    สอนให้เรานั้นนำเอาขันต์ทั้งห้านั้นมาพิจารณา...พิจารณาจนเกิดสติและเกิดปัญญา

    ถ้าเรามีสติ เมื่อเราใช้สติจนเกิดปัญญา ให้เราใช้สติและปัญญานั้นฝึกฝน ปฏิบัติ

    เพื่อก้าวเข้าสู่หนทางหลุดพ้น อย่าลืมว่าสตินั้นสำคัญมากถ้าขาดสติเมื่อไรเราจะไม่

    ได้อะไรเลย เพราะฉนั้นพระธรรมคำสั่งสอนของท่าน เรื่องจับสติไว้ให้ดีนั้น เป็นคำ

    สอนที่ท่านรวบรวมมา ตั้งแต่เริ่มฝึกปฏิบัติจนถึงหนทางหลุดพ้นเลยให้เรานั้นนำมาปฏิบัติตาม ดิฉันผู้เขียน

    ขอขอบพระคุณ คุณครูแนทชาที่ท่านนำธรรมะนี้มาเป็นธรรมทานเนื่องในวันสำคัญวันนี้

    ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น เริ่มขึ้นให้มีศาสนาพุทธของเรา ขออนุโมทนาค่ะ...

    ...ขอกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยเศียรเก้ลา...

    ...และน้อมกราบองค์หลวงปู่หลวงตาที่ท่านฝากธรรมะไว้ให้ได้อ่านได้ฟังและได้นำคำสั่งสอนขององค์ท่ามาปฏิบัติ

    และน้อมนำมาปฏิบัติตาม น้อมกราบองค์ท่านด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...