จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ปฎิบัติใหม่ให้เจริญสติเยอะๆ
    ส่วนผู้ปฎิบัติถึงมรรคผลให้เจริญตัวปัญญาให้มาก


    พยายามเจริญสติภาวนาอยู่เสมอ เพื่อสร้างตัวปัญญาให้กับตนตลอดเวลา
    พยายามเพียรละปล่อยวาง พยายามวิปัสสนาเมื่อพบเห็นสิ่งต่างๆให้เคยชิน
    บางวันละได้ก็ถือเป็นธรรมดา บางวันละไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นธรรมดาของจิตที่มีปัญญายังไม่ถึงพร้อม
    วันไหนละหรือปล่อยวางยังไม่ได้ก็อย่าไปถือโทษตนเองมากนัก
    แต่ให้พยายามหรือมีความเพียรให้มากต่อไป เมื่อเราพยายามทำจนเคยชิน เดี๋ยวก็มีปัญญารู้แจ้งเอง
    พยายามเน้นที่จิตใจสบายที่สุด เบาที่สุด ไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป
    พระพุทธองค์ท่านก็ทรงปฎิบัติเป็นตัวอย่างให้กับพุทธบริษัทดูจนหมดแล้ว
    พระองค์ตรัสสอนอะไรก็ให้ปฎิบัติตามเช่นนั้น อย่าทำเกินหรืออย่าขาด
    การปฎิบัติก็ให้มุ่งเน้นที่จิตเป็นหลัก เพราะนอกนั้นก็แค่เปลือกหรือกระพี้เท่านั้น
    ถ้าจะเป็นลูกพระพุทธเจ้า หรือบุตรพระธรรม ก็ต้องหัดตัวปัญญาให้มากๆ
    เพราะมีอยู่ทางเดียวที่จิตเรารู้เท่าทันสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ นั่นก็คือ ตัวปัญญา
    ตัวปัญญาที่อยู่หลังสมาธินั่นเอง แต่จิตจะเป็นสมาธิได้ดีก็เพราะสติหรือว่า ศีลตนเอง

    พระพุทธเจ้าก็เคยลองผิด ลองถูกมาให้พวกเราดูกันหมดแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องไปลองผิดหรือถูกอีก
    แค่เราปฎิบัติตาม เริ่มต้นด้วยการรักษาศีลก่อน แล้วค่อยทำภาวนา
    พยายามทำความเข้าใจเรื่องอริยสัจ๔ กฎไตรลักษณ์ และมรรคมีองค์๘ เป็นต้น

    สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้ปฎิบัติ นั่นก็คือ จงพอใจในผลปฎิบัติของตน
    จิต คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง เวลาปฎิบัติก็อย่าใช้วิธีบังคับ แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจเท่านั้น
    จิตก็เหมือนเด็ก ก็ต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแล ที่ยามจิตยังไม่แข็งแรง นั่นก็คือ สติของเรานี่เอง
    แต่เมื่อไหร่ ถ้าจิตโต หรือแข็งแรง หรือมีตัวปัญญาเป็นของตนเองแล้ว เมื่อไหร่
    เมื่อนั้น สติอย่างมากฏ้แค่ตามดูห่างๆเท่านั้น
    ว่าแต่ว่า สติก็มีส่วนสำคัญยิ่ง เพราะถ้าเรายังค้นหาจิตยังไม่พบเจอ
    ตราบใดที่ญาณยังไม่เกิดเหมือนดั่งเช่น พระอริยเจ้าทั้งหลาย
    เพราะความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ก็จอยู่ที่ตัวสติ
    แต่ถ้าเป็นจิตพระอริยเจ้า ท่านมักจะเอาสติมารวมกับจิต หรือทำจิตเป็นเอกัคคตารมณ์จนเคยชิน
    เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพากันละคราบมนุษย์ โดยเฉพาะความรู้สึกและนึกคิด
    เพราะสองธรรมนี้ซึ่งจะนำให้คนไปสู่ปลายทางแห่งทุกข์นั่นเอง
    และก็ออกจากขันธ์๕ หรือแยกจิตออกมาจากร่างกายก็ด้วยจิตปัญญาที่รู้เท่าทันทุกสภาวธรรมต่างๆ
    สรุปแล้ว จิตพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งสติ ทั้งจิต ท่านจับมารวมกันตลอดเวลา คำว่าเผลอสติจึงมักไม่ค่อยเกิด
    เพราะฉะนั้น ท่านสร้างหรือเจริญปัญญาอย่างต่อเนื่อง คำว่าญาณก็มักจะเกิดขึ้นกับดวงจิตเช่นนี้ง่าย
    เพราะวันๆนึง ท่านอยู่เฝ้าดูแต่กายใจของตนเองเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า ท่านฝึกที่จะอยู่แต่ความจริง
    หรือจิตอยู่กับเหล่าธรรมทั้งหลายนั่นเอง
    พระอริยเจ้าส่วนใหญ่ท่านตัดตัวสังขารณ์ขันธ์และตัววิญญาณขันธ์ของตนเท่านั้น
    เมื่อท่านตัดได้หรือละได้แล้ว ท่านจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์เหมือนจิตปุถุชนเหมือนดั่งเราๆท่านๆ

    พวกเราต้องยอมรับความจริงว่า สติพวกเรามีนะ ไม่ใช่ไม่มี แต่มันนานๆจะเกิดสักทีนึงเท่านั้นเอง
    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติใหม่ๆ พระพุทธองค์ทรงมีกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองให้กับพวกเราก็เพราะว่า
    เพื่อเป็นอุบายแค่ทำจิตให้นิ่งสงบเท่านั้นเอง เพราะถ้าจิตนิ่งสงบแล้วปัญญาย่อมเกิดภายหลัง

    สรุป พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านนำจิตแยกออกจากขันธ์๕ได้ ทุกข์ก้ไม่เกิดที่จิต แต่ยังคงเหลือแค่ทุกข์ทางกายเท่านั้น
    เพราะถึงจะจบกิจเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น นอกจากละสังขารหนีเข้านิพพาน
    เพราะขันธ์๕ หรือร่างกายของคนเรานี้ก็คือ ตัวทุกข์ นั่นเอง
    เมื่อผู้ใดสำรวมจิตได้แล้ว สติกับจิตก็จะไม่แยกหรือห่างกันแน่นอน แต่ห่างกันเมื่อไหร่
    ก็เตรียมตัวทุกข์ได้เลย แค่สติอย่างเดียว มันไม่พอเพียง นอกจากมหาสติหรือสติเกิดขึ้นเองบ่อยๆ
    เพราะฝึกจิตมาดี อันนั้นถึงจะรอดพ้น หรือทุกข์น้อยลงไปตามลำดับแห่งจิตตนเอง
    จิตหยาบก็ทุกข์มากหน่อย แต่ถ้าจิตละเอียดมากก็จะไม่ทุกข์เลย พยายามเจริญมรรคให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
    กิเลสทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน เมื่อไหร่จิตมีอุปาทานหรือยึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์เมื่อนั้น
    แต่ถ้าผู้ใดสามารถละกิเลสของตนได้ ส่วนตัณหาและอุปาทานก็จะค่อยๆลดลงไปเอง

    สุดท้าย ถ้ากำลังใจมีไม่มาก ก็คอยหมั่นระลึกหรือนึกถึงคุณพระรัตนตรัย
    หรือพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณให้มาก
    แล้วท่านก็จะรู้ว่า พลังจิตนั้น มันยิ่งใหญ่จริงๆ

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การกลับมาเยื่ยมเยื่อนเมืองไทยในครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าทําไม? ผู้คนที่นี่จะต้องสร้างตัว"สติ"ให้มากๆเพราะทุกๆอย่างอยู่รอบข้างตัวเรานั้นจะทําให้เราเห็นและให้ได้คิด ระลึก และต้องน้อมมาดูตัวเรา เพราะทั้งหมดถ้าเราไม่หมั่นสํารวจตนเอง เราก็จะลื่นไหลไปกับ กิเลสที่มายั่วยุ อย่างเช่น ทางหู ทางตา ทางลิ้น และสัมผัส เพราะอาหารก็เยอะ แต่เราก็ต้องมีความพอดีในการบริโภค ข้าพเจ้าไม่ได้ยึดติดในอาหารมากแล้ว เพราะจะกินแต่พอดี และพออยู่ได้เท่านั้น และอีกอย่างความร้อนของสภาพอากาศก็มีส่วนอยู่มาก ทําให้เราไม่มี"สมาธิ"ตั้งมั้นก็ยาก เพราะทุกๆอย่างต้องให้มีความสมดุลย์ทางสภาพของร่างกาย และจิตใจ ผู้ปฏิบัติต้องมีความข้มแข็งมากๆที่ผ่าฟันอุปสรรคไปได้ ข้าพเจ้าเข้าใจจึงขอเอาใจช่วยผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ท่านจะต้องเดินข้ามความวุ่ยวายของโลกที่เป็นอยู่มานานแล้ว ไม่รู้กี่กัปล์ ไม่มีวันสิ้นสุดไปได้ นอกจากเราเอา สติ สมาธิ และความเย็นที่เราได้สะสมมาคือ การปฏิบัติธรรมเพื่อไม่ให้ใจของเราๆท่านๆได้ไหลลื้นไปกับกระแสของแรงดึงดูดของโลก และเราก็จะต้องอยู่ในสังคมโลกให้ได้โดยไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างไร? เหมือนพระอริยเจ้าผู้หลุดพ้น และได้เห็นความเย็นจากการเป็นผู้ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ นั้นเป็นร่มโพธิ์แห่งโพธิญาณนั้นเอง...และความร่มเย็นก็เกิดจากใจของท่านผู้ปฏิบัติเอง เห็นเองเท่านั้น...สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ยังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก

    -หรือฟังไม่รู้เรื่อง...ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะ

    ...เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีแห่งพระรัตนตรัย ว่า พระสัมมา

    -สัมพุทธเจ้ามีคุณวิเศษเช่นไรพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์มีคุณอย่างไรและพระสงฆ์

    ...อรหันต์ อริยเจ้า มีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้ว ใช้สติ

    -พิจารณาจนเกิดปัญญา และความรู้ความเข้าใจธรรมที่แท้นั้น...

    ...ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ นั่นคือ จะทำให้ท่านได้เห็นเป็นผลจนสำเร็จเป็น

    -อรหันต์...เพราะฉนั้นการปฏิบัติจะเริ่มขึ้นด้วยการสวดมนต์ เมื่อท่านได้สวดมนต์แล้วก็

    ...จะเริ่มต้นสู่การปฏิบัติ...ความหมายและใจความที่สำคัญพระองค์ท่านได้กล่าวไว้แล้ว

    -ในแต่ละถ้อยคำนั้น เป็นคำตอบทั้งนั้นถ้าผู้ปฏิบัตินั้นได้เข้าถึงการปฏิบัติแล้วก็จะรู้ถึง

    ...ความสำคัญของการสวดมนต์...บางท่านสวดมนต์แล้วทำให้จิตใจสงบ เมื่อเราสงบ

    -แล้วการปฏิบัติของเราก็จะไม่เบื่อหน่าย บางครั้งผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิเป็นสามสี่ชั่วโมง

    ...แต่เวลาที่ผ่านไปนั้นเหมือนกับไม่นาน...จะไม่เกิดอาการเบื่อหน่าย กับทำให้เกิด

    -อาการสงบนิ่งมีความสุขกับการปฏิบัติ เพราะฉนั้นการสวดมนต์จึงมีความสำคัญมากตั้งแต่เราจำความได้พ่อแม่ก็สอนเรา...

    ...ให้ไหว้พระสวดมนต์ เมื่อเราปฏิบัติเราจะรู้ถึงความสำคัญของการสวดมนต์เพราะคำสอนของพระพุทธองค์เราจึงมีการปฏิบัติ

    ...ตามมาทุกวันนี้ตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า...น้อมกราบพระองค์ท่านทุกๆพระองค์เจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2013
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "สติเป็นแก่นของธรรม"

    ...แก่นของธรรมแท้อยู่ที่สติ...

    ...ให้พากันหัดทำให้ดี...

    ...ครั้นมีสติแก่กล้าดีแล้ว...ทำก็ไม่พลาด...

    ...คิดก็ไม่พลาด...กุศลธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้น...

    ...เมื่อบุคคลอยู่กับสติแล้ว...สติเป็นใหญ่...

    ...สติมีกำลังดีแล้ว...จิตมันรวมเพราะสติคุ้มครองจิต...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่ขาว อนาลโย น้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ...
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่สาม อกิญจโน)

    "การภาวนา ก็ เป็นบุญ เป็นกุศล มากมาย ถ้า ทำได้ ทุก ๆ วัน

    ...ทำได้เสมอไป ก็เป็น กุศล ทุกวัน ให้คิดดู ความแก่ ความเจ็บ ความตาย...

    ...จะมาถึง วันไหน เราก็ไม่รู้ ไม่ว่า แต่ คนเฒ่า คนแก่ คนหนุ่ม ก็ตาย...

    ...ให้ฝึกหัดทำ ทุกๆวัน มันตายไป ก็ยังได้ ขึ้นสวรรค์ การกระทำ จิตใจ นี้ ...

    ...เป็นของดี เป็นยอด ของ ทาน ฝึกหัด อริยทรัพย์ภายใน นั้น เป็น อริยะ ฝึกหัด...

    ...ดัดแปลง จิตใจให้มัน ดีบริสุทธิ์ หมดมลทิน"

    ...น้อมรับคำสั่งสอนของหลวงปู่ เพื่อปฏิบัติตาม กราบหลวงปู่ด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    เราจงเอาแต่ส่วนดี
    ส่วนไม่ดี มีราคะ โทสะ โมหะ นั่น ตัดมันออกไป
    ไล่มันออกไป อย่าให้มันไปยึดไปถือ
    อย่าให้มันไปเป็นเจ้าเรือน
    แล้วแม้นจะทำอะไรก็ดี
    จะพูดก็ดี จะคิดก็ดี ขอให้มีสติอยู่ประจำ
    ครั้นมีสติแล้ว พูดก็ไม่พลาด ทำอยู่ก็ไม่พลาด คิดก็ไม่พลาด
    ให้พากันหัดทำสติ ให้สำเหนียก ให้แม่นยำ

    พระพุทธเจ้าจึงว่า "เยเกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพเต อปฺปมาทมูลกา อปฺปมาทสโมสรณา อปฺปมาโท"
    ครั้นมีสติแล้ว กุศลธรรมทั้งหลายก็เกิดขึ้น ก็มีแต่ทำความดีทุกสิ่งทุกอย่าง

    รู้อย่างนี้แล้วให้พากันหัดทำสติ มันผิดก็ให้รู้ เราจะพูดให้ระลึกได้เสียก่อน เราจะทำด้วยกายก็ให้ระลึกได้เสียก่อน จะคิดก็ให้ระลึกได้เสียก่อน ​


    หลวงปู่ขาว อนาลโย​


    Cr...Fb วัดป่า​
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระธรรมคำสอนของหลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร)

    ...การปฏิบัติควรทำไว้ตั้งแต่วันนี้ ...

    ...หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวให้แง่คิดไว้เกี่ยวกับคนหนุ่มคนสาวที่กำลังมาสนใจเรื่อง

    ...ราวของการปฏิบัติธรรมเข้าวัดไว้ว่า ..."การปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็กเป็นหนุ่ม

    ...เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว...จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอ

    ...ไว้ให้แก่เสียก่อนแล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพไกล้

    -จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

    ...หลวงตาม้าท่านก็ได้กล่าวให้แง่คิดไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "การปฏิบัติธรรมควรทำ

    -ไว้ตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ หากไม่ฝึก ไม่รู้จักเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ตอนจะตายมันจะ

    ...ทรมาน เพราะจิตไม่ได้มีการเตรียมพร้อม จิตจะเค้วง ไม่รู้จะไปไหน เมื่อตายไป

    ...แล้วจะลำบาก...เพราะไม่ได้สะสมพลังงานบุญไว้ ไม่ได้ฝึกจิตให้ละเอียดไว้...

    ...เพราะฉนั้นคนที่ได้มีบุญเข้าหาธรรมะตั้งแต่ตอนนี้ถือว่าได้เตรียมตัวตายก่อนตาย...

    ...เพราะเราต้องตายกันทุกคน แม้แต่ในชีวิตชาติปัจจุบันเองก็ตาม เราก็ควรที่จะเข้าหา

    -ธรรมะไว้ โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว...เพราะต่อไปในการดำเนินชีวิตเราจะต้องพบเจอ

    ...กับทั้งความสุขกับความทุกข์...ความดีใจความเสียใจหากเราไม่มีธรรมะประจำใจแล้ว

    ...ก็เหมือนเราขาดภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินชีวิต เมื่อพบเจอกับสิ่งต่างๆมากระทบ"

    ...หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ท่านเคยบอกว่าเข้าวัดไม่ต้องอายคน

    ...ล้อนินทา "เมื่อเราเข้าวัดแต่ยังเป็นหนุ่ม เป็นสาวก็ยังมีบุคคลบางคนล้อเลียนว่า...

    "เป็นคนแก่ เจ้าธัมมะธัมโม" ก็เลยอายไม่อยากไปอีก จะไปอายมันทำไม เข้าวัด

    ...มาปฏิบัติธรรมมันผิดอะไร...มันผิดตรงไหน เพราะพระองค์ทรงสอนเรื่องความ

    ...ละอายความกลัวไว้ แต่ท่านมิได้สอนให้อายอย่างนี้ ท่านสอนให้ละอายต่อความชั่ว

    ...ความผิดอันจะนำชีวิตไปสู่ความเดือดร้อนเสียหาย...ให้กลัวผลของความชั่วความผิด

    -ที่จะตามมาให้โทษ ทุกข์ เวรภัย แก่ตนเอง ท่านให้ละอาย ให้กลัวอย่างนี้การกระทำ

    ...ความดีมีประโยชน์ การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม มันเป็นความดีไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย

    ...เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ ดีใจ สบายใจ จึงจะถูก เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะสนใจ"...

    ...ข้อน้อมรับพระธรรมคำสอนของหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า หลวงปู่ชาเจ้าค่ะกราบๆๆๆ.
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขุดหาให้เจอ
    ต่อมธรรมะของตน


    ไม่ว่า ธรรมะจากพระพุทธเจ้า ธรรมะจากพระอรหันต์
    หรือธรรมะจากสำนักวิปัสสนาที่ดีที่สุดในประเทศไทย หรือในโลก

    แต่ถ้าเรายังทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือทำจิตของตนนิ่งไม่ได้ ก็ไร้ผลผล
    เพราะไม่มีวันจะทราบซึ้งรสพระธรรมของพระพุทธเจ้าแน่ เสมือนเรามิได้ลิ้มรสด้วยตนเอง

    ธรรมจากผู้ใดจะเลิศเลอ ย่อมไม่เท่ากับเราได้ลงมือปฎิบัติเอง
    สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับผู้ที่ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม นั่นก็คือ หาจิตตนให้พบเจอเสียก่อน
    เมื่อพบจิตตนเองแล้ว เพราะต่อไปก็จะพบต่อมธรรมะของตนเอง
    เมื่อจิตเราพบต่อมธรรมะแล้ว ต่อไปเราจะรู้สึกรักและเคารพ เลื่อมใสและศรัทธากับพระพุทธเจ้ามากกว่านี้
    เราจะสัมผัสถึงความละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง โดยเฉพาะพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ ตามลำดับเอง

    สรุปแล้ว ผู้ปฎิบัติจะเข้าถึงพระธรรม หรือพระตถาคต ก่อนอื่นจะต้องทำให้จิตละเอียดก่อน
    หรือจะต้องทำจิตเป็นสมาธิ หรือนิ่งสงบได้ที่เสียก่อน
    ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่มีทางและเป็นไปไม่ได้เลย ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

    อย่าไปอ่านตำรามาก หรือแบกตำรามาก เพราะมันจะได้แค่รู้ หรือได้ปัญญาแบบทางโลก
    ดงที่พวกเราเห็นตามเน็ต ตามสื่อก็คือ นำเอาพระธรรมไปถกเถียงกันเฉกเช่นคนทางโลกทั่วๆไป
    และไม่มีวี่แหววจะจบสิ้น เพราะด้วยความเห็นต่าง
    เพราะจิตผู้ปฎิบัติที่ถึงธรรมกันจริงๆนั้น มักจะมองความผิดหรือความเลวของตนเป็นสำคัญ
    จึงมิใช่ มองคนอื่นว่าเลวไปเสียหมด ยกเว้นตน
    ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็พร่ำสอนแบบนี้ แต่พวกเราไม่ได้สังเกต หรือรู้แล้วก็ฟังไว้เฉยๆ มิได้ปฎิบัติ
    ต่อให้เราฟังธรรมพระพุทธเจ้า หรือธรรมะของพระอรหันต์ แต่ถ้าเรามิได้ลงมือปฎิบัติ หรือประพฤติตาม ก็ไร้ผล
    เหมือนดังเราเห็นผลองุ่นหรือผลส้ม แลดูสวยน่าทานดี แต่ก็เท่านั้น เพราะได้แค่คิด แต่มิได้ทาน
    แล้วเราจะไปรู้ไหมว่า รสชาติที่เราเห็นนั้น มันเป็นอย่างไร

    จริงหรือไม่จริง ก็จงใช้สติปัญญาของเราที่มีอยู่พิจารณาตามกันดูต่อไป

    ปล.ที่พูดแบบนี้ มิได้บังอาจจะสอนสั่งผู้ใด แต่พูดให้พวกเราไปคิดแบบพิจารณาหรือวิปัสสนา
    แต่ถ้าพูดธรรมะไม่ถูกจริตกับผู้ใด ก็ให้ก้าวข้ามไป อย่าได้ติดใจ เพราะพูดมิได้หวังผลกับผู้ใด
    แต่เอาเรื่องธรรมหรือความจริงมาพูดเท่านั้นเอง


    โมทนสาธุกับผู้ที่กำลังปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น
    พ้นจากทุกข์ แลพ้นสังสารวัฎ นั่นเอง
    เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน(ดีที่สุด) นั่นก็หมายความว่า หาตัวปัญญาของตนให้พบ...สาธุ

     
  10. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    สวัสดีค่ะ
    วันนี้ขอเล่าเหตุการณืในชีวิตสักเล็กน้อย เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ที่คิดจะฝึกวิชาจิตเกาะพระหรือผู้ที่กำลังฝึกอยู่ค่ะ
    ข้าพเจ้าจำได้ว่าได้รับการยืนยันว่าจิตยกในเดือนสิงหาคา ๒๕๕๕ แต่จำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไร ว่าจะเปิดดูที่บันทึกไว้ก็ไม่ได้เปิดสักที
    - วันนี้เวลาประมาณ สิบโมงเช้านั่งดูหนังเรื่อง total recall อยู่ จิตนั้นเริ่มวิปัสนา หรือวิปัสนึกก็ไม่ทราบ อารมณ์การแสดงของตัวละคร ซึ่งการยวิปัสนาวิปัสนึกในขณะดูหนังนี้เริ่มเป็น ตั้งแต่เมื่ออยู่ในระหว่างฝึกจิตเกาะพระแล้ว
    - ขณะนั่งดูหนังอยู่นั้น จู่ๆ ข้าพเจ้าก็เห็นสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานนั้นเป็นแสงสว่างใสในจิต ซึ่งหลายๆท่านทำได้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับข้าพเจ้าระลึกถึงท่านทุกวัน แต่ภาพจะแตกต่างกันออกไป บางครั้งเป็นองค์ใส บางครั้งม่ใส บางครั้งก็เป็นแบบอื่น คือคิดๆแล้วยังว่าเรานี้เหมือนยังฝึกอยู่เลย จิตเป็นอะไรไม่รู้ บางวันจะนิ่งๆนึกถึงรูปพระไม่ค่อยออกแต่ก็พยายามนึก กลัวจะไม่ได้อยู่กับท่านพ่อ ซึ่งความที่เคยทราบมาว่าเราไม่ต้องเห็นท่านพ่อก็ได้เพียงแต่ระลึกถึงท่านบ่อย ก็ได้อยู่กับท่านแล้ว แต่อย่างว่าจิตเรายังเด็กๆอยู่มั้ง เลยแบบว่าต้องเห็นหน้าด้วยจึงจักมั่นใจ
    - ตามที่กล่าวมาข้างต้นเมื่อเห็นท่านพ่อเป็นใสๆแล้วข้าพเจ้าเองก็จัดแจงคิดกำหนดตัวเองเป็นดวงใสเข้าไปนั่งอยู่ในกายท่านพ่อ เอาละสินั่งตรงไหนดี ก็นึกไปถึงรูปที่เคยเห็นในสื่อคือนั่งตรงเหนือหรือแถวๆสะดือ ก็เลยนั่งอยู่แถวๆนั้นค่ะ



    - ทีนี้วันนี้ก็นึกถึงจังเลย คำของคุณภูที่กล่าวบ่อยๆว่า ให้ลืมคราบึวามเป็นมนุษย์ หรือให้เลิกคิดแบบโลกๆนี้ จริงแล้วก็นึกถึงบ่อยๆทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนมากสารภาพว่าทำไม่ค่อยได้ แหะๆ วันนี้คิดถึงประโยคนี้มากเป็นพิเศษ
    แล้วก็วิปัสนึกไปอีกมากมายหลายอย่าง(ดูหนังไปด้วย..ซักผ้าไปด้วย..เครื่อง)
    - ก็รู้สึกแปลกๆพอดีไปเปิดไดอะรี่เจอตัวเองเคยจดไว้พลิกดู อ้อจิตยกวันที่เก้าสิงหาคม วุ้ยวันนี้วันที่เท่าไร วุ้ยวันที่เก้าสิงหาคมนนี่ เมื่อวันก่อนไม่ยักเจอโน้ตนี่ตะหงิดๆสงสัยอยู๋ตั้งนานเรื่อง วันที่จิตยก วันไหนแน่นี่น่ะ
    - ที่เล่ามาแค่นี้ใช้เวลา ๔๙ นาทีเข้าไปแล้วเนื่องจากการพิมพ์ดีดอ่อน(แอ)มากๆ
    ที่อยากจะบอกคือ เรารู้สึกว่าเรามีพัฒนาการที่ช้ามาก ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ที่เราทำทุกๆวันคือ นึกถึงพระ ทำจิตให้ว่าง
    ปรุงแต่งอารมณืให้น้อยที่สุด ละจากความคิดอกุศลให้เร็วที่สุด(ถ้ามี) ตื่นเช้ามาคิดถึงพระเป็นอันดับแรก คิดถึงพระนิพพานตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงได้สอนไว้(ทำได้น่าจะ๙๕ %นะ หากไม่เจอเหตุฉุกเฉิน) คิดดี พูดดี ที่สำคัญต้องทำดีด้วย(นึกถึงพระไงหรือนั่งสมาธิ ไม่ต้องออกจากบ้านก็ทำได้ มีโอกาสทำทานก็ทำตามโอกาสและกำลังทรัพย์)
    รักษาศีลห้า...หากเผลอไปแล้วก็อภัยให้ตนเอง...ทำใจให้สบายอย่าไปหมกมุ่นลงโทษตนเองที่ทำผิด ฯ,ระหว่างวันก็สแกนความคิดตนเองว่าคิดอะไรอยู่ เท่าที่นึกได้
    -ปกติก่อนฝึกจิตเกาะพระก็มีอารมณืปกติ ไม่ได้มีความทุกข์ใดๆ ในช่วงนั้น นิ่งๆไม่คิดมาก ใครว่าไรลับลังไม่ใส่ใจ แต่ถ้าต่อหน้าก็ไม่แน่อาจจะเหมือนหินทับหญ้า เมื่อฝึกจิตเกาะพระรู้สึกมีอาวุธที่วิเศษเพิ่มขึ้นในการดักจับ กำจัดกิเลส เพราะทุกอย่างล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป พิจารณาไม่ได้ก็เอาจิตไปเกาะพระไว้ก่่อน ดีกว่าไปเกาะอย่างอื่นทั้งหมด เมื่อหลุดพ้นจริงๆน่ะแหละจึงไม่ต้องเกาะหรือยึดสิ่งใดเลย
    - ถึงบางท่านจะช้าหากไม่ทิ้ง มีความก้าวหน้าอย่างช้าๆดีกว่าจมปลักอยู่ในความซำ้าซากในอารมณืปรุงแต่งแบบมนุษย์เสพกันอยู่
    แค่นี้ก่อนค่ะ (ปาเข้าไป ๗๐ กว่านาทีเลย)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00017.gif
      00017.gif
      ขนาดไฟล์:
      1.8 KB
      เปิดดู:
      136
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2013
  11. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Linda2009*
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2013
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    โอ้โห๋..โอ้โห...ขอโมทนาสาธุกับคุณพี่ลินดาด้วยอย่างสูงค่ะ...ท่านถือโอกาสเอาวันนี้เป็นวันดีวันที่จิตท่านยกครบรอบ 1 ปี มาเขียนเป็นธรรรมทานขึ้นหน้ากระทู้ เพราะถึงแม้ว่าการพิมพ์ของท่านจะอ่อนแอ แต่มาถึงวันนี้ จิตของท่านไม่อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว...ก็ดูซิ..ดู...ตั้งแต่รู้จักกันมาปีกว่าๆ บนหน้ากระทู้...ท่านไม่เคยเขียนอะไรได้ยาวมากกกกขนาดนี้มาก่อนเลย...ก็เพราะบารมีที่ท่าน (เพื่อนเต่าของเรา..อิๆๆ) ที่ค่อยๆ ทำสะสมมามันก็ค่อยๆ เพิ่มพูนเต็มกำลังมากขึ้นน่ะซิจ๊ะ...ซิจ๊ะ...ชิมิ..ชิมิ...อิๆๆ

    โมทนาสาธุ
    :z16
     
  13. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    สวััสดีค่ะครูน้องเกษ พี่ก็ขออนุโมทนาในบุญกุศล รวมทั้งบารมีที่น้องได้สร้างมาทั้งปวงด้วยค่ัะ สาธุ
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    โมทนาสาธุในธรรมทาน ค่ะ คุณลินดา ...ด้วยความเพียรพยายามอย่างเยี่ยมยอด กดไลท์ให้ 10 ทีเลยเอ้า ..อิ อิ
    ขอบอกว่า เป็น 70 นาทีที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน มากๆเลยค่ะ ...
    นี่แหละสมแล้ว เป็น ลูกหลานหลวงพ่อ ..."ถ่อมตนจริง จริง"
    เป็นเสือซุ่มมานาน ออกมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กันอีกนะคะ ...สาธุ สาธุ สาธุ...

    วันนี้ ยกเวที ให้ Linda2009 เลยนะคะ หรือว่าไงคะ ....ท่านพี่ภู
     
  15. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    อิอิ รับไม่ได้หรอกค่ะเวทีนี้ กำลังทำนํ้าหนัก เดี๋ยวเวทีถล่ม แฟนคลับกระเจิงกันหมด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • weee.jpg
      weee.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.4 KB
      เปิดดู:
      44
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เกลือป่นกับพริกไทยป่น
    เกลือยังต้องนำมาบด ถึงจะเป็นเกลือป่น
    พริกไทยก็เช่นกัน ก็ต้องนำมาบดถึงจะเป็นพริกไทยป่น


    นับประสาอะไรกับจิตใจของคนเราที่ยังหยาบอยู่
    ก็ต้องทำให้จิตละเอียดเสียก่อนถึงจะเข้าใจธรรมะได้ดี
    หรือเข้าใจตามความเป็นจริง ดั่งพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว
    อาทิเช่น เลือกเจริญกรรมฐานมาสักหนึ่งกอง นำมาปฎิบัติที่จะทำให้จิตใจเราละเอียดก่อน เป็นต้น
    ผู้ปฎิบัติใหม่พึงเจริญสติให้มั่นคง หรือสม่ำเสมอ ถึงจะเกิดความเคยชิน
    ส่วนผู้ปฎิบัติถึงมรรคถึงผลแล้ว ก็พึงสำรวมจิตอย่างเดียว
    บางทีก็เรียกว่าศีลใจ หรือศีลข้อเดียว

    ผู้ปฎิบัติจะต้องมีสติกับจิตอยู่แต่เฉพาะปัจจุบัน นั่นก็หมายความว่า ควรอยู่แต่ฝ่ายบุญหรือกุศลเท่านั้น
    เพราะสติก็ยังถือว่าหยาบอยู่ แต่จิตนั้นซึ่งเป็นของละเอียดมาก
    แต่เราจะต้องอาศัยอยู่กับจิตตนนานๆ พยายามทำความเข้าใจจิตตนให้ดี
    แต่เมื่อไหร่ ถ้าเราเข้าใจจิตตนเองดีแล้ว ก็ย่อมจะเข้าใจจิตใจของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี

    ต่อไปก็จะไม่หลงไปตำหนิกับผู้ใดอีก เพราะจิตมันเข้าใจแล้ว
    หรือจิตใจผู้อื่นก็เหมือนจิตใจเรา นั่นแหล่ะ
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาบุญกับคุณลินดาด้วยนะครับ
    ที่อุตส่าห์เขียนธรรมะมาฝากพวกเรา
    และรวมถึงผู้อื่นที่นำธรรมาทานมาฝากพวกเราด้วยนะครับ

    แค่เจ็ดสิบนาทีมันยังน้อยไป แต่ถ้าผมนับเวลาบ้างไม่ปาเข้าไปเป็นเดือนเลยหรอ

    แหม๊ นึกว่าหายไปไหน ไปแอบซุ่มฝึกจิตมานี่เอง
    งั้นก็ยกเวทีให้คุณลินดาเลย ตามที่คุณแนทว่ามาก็ดีเหมือนกัน
    คุณนี่ยังเกาะเหนี่ยวแน่นจริงๆ คนอื่นเขาหายไปหมดแล้ว
    อาจเป็นเพราะว่า ผมไม่ทำตามใจคนอื่นด้วยมั้ง
    คนน้อยก็ดีเหมือนกัน ว่าไปตามกำลังใจของตนก็แล้วกัน

    คุณลินนี่ ก็เป็นตัวอย่างผู้ปฎิบัติที่ดีท่านนึง คือไม่สนใจในจริยาผู้อื่น
    พยายามสนใจแต่จิตตนเองเป็นหลัก อันนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องที่ต้องปฎิบัติ
    หลวงพ่อฤาษีฯก็พูดเน้นย้ำอยู่บ่อย พวกเราก็อย่าเอาแต่ฟังๆอย่างเดียว
    ต้องพยายามปฎิบัติตามให้ได้ด้วย ถึงจะเกิดผลกับตน

    ที่ผมเฝ้าพร่ำธรรมะอยู่เนี๊ย ก็มิได้ต้องการอะไรกับใคร แม้นกระทั่งคำขอบคุณหรือขอบใจ
    แต่ก็อดปลื้มใจแทนจิตคุณลินดาไม่ได้
    ผมก็อยากให้พวกเราได้เห็นธรรมของตน หรือออกจากทุกข์ของตนได้ก็พอใจแล้ว
    ขอพรรนี้ ใครทำใครได้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นฝ่ายบุญกุศลทุกเมื่ออยู่แล้ว
    อยากให้พวกเราทำให้ชิน นึกอะไรไม่ออก ก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระไว้ก่อนเลย
    เดี๋ยวจิตเขานิ่งสงบหรือได้อานิสงส์เอง
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เดี๋ยวก็จะถึงตาคุณอุ๋ยแล้วนะ
    ที่เราจะมาสนทนาธรรมกัน เตรียมจิตให้พร้อมนะ
    โมทนาสาธุ
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ขอน้อมกราบถวายความอาลัย แด่
    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)
    เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
    ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

    สมาชิกสมาคมจิตเกาะพระทุกท่าน ขอนัอมจิต ส่งเสด็จ…สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเจ้าประคุณหลวงปู่ฯ....
    ขึันสู่ พระนิพพาน แดนบรมสุข ดัวยความเคารพยิ่งเจัาค่ะ…

    กราบ กราบ กราบ
     
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คำสอนของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ฯ วัดสระเกศ

    หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านกล่าวสอนว่า

    " ขอให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า พระพุทธองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ สูงสุดประเสริฐสุด ทรงชี้ทางแห่งความสุขให้ เมื่อสามารถน้อมใจระลึกอย่างนี้ จิตใจเข้าถึงพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่งอีก ที่จะอุ้มชูประคับประคองกายและใจที่มีอยู่เท่านี้ ให้ไปในทางดีเรื่อยไป จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไป หมดทุกข์โดยประการทั้งสิ้น

    แต่ถ้ายังไม่หมดทุกข์โดยประการทั้งสิ้น ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เช่นเกิดอยู่ในชาตินี้ บุญกุศลอย่างที่พยายามทำอยู่ในขณะนี้ ก็จะอุ้มชูประคับประคองไม่ให้ตกต่ำจนเกินไป ไม่เป็นทุกข์จนเกินไป พอมีชีวิตอยู่ได้ แต่จะมีชีวิตยาวนานเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถทราบได้ทั้งนั้น จะมีอายุน้อย หรืออายุมากก็ตาม พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ เพื่อจะได้ไม่ประมาท

    อย่านึกว่ายังอยู่อีกนาน รีบเร่งสร้างความดี สร้างบุญสร้างกุศล ให้สูงยิ่งขึ้นไป เพราะชีวิตนี้ต้องถึงความสิ้นสุดแน่นอน แต่ถ้าสิ้นความสุดด้วยมีบุญกุศลนำอยู่อย่างในขณะนี้ ก็จะไม่ไปเกิดในที่ไม่ดี เป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีก

    อย่างที่เกิดอยู่ในชาตินี้ และเป็นมนุษย์ที่ดี จะได้สร้างความดีสร้างบุญกุศล ให้สูงยิ่งขึ้นไป ไปสู่ความพ้นทุกข์โดยประการทั้งสิ้นให้จงได้ จิตใจก็จะสูงขึ้นไป เรื่อยๆไม่วกวนกลับมาทางต่ำ จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ สูงขึ้นไปจนกระทั่งมองเห็นไปเอง เข้าใจเองว่าสิ่งนี้เป็นบุญเป็นกุศล ต้องรีบทำรีบพูดรีบคิด อย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้ พยายามทำให้เป็นบุญ คิดให้เป็นบุญ พูดให้เป็นบุญ..."

    หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเมตตาสอน(ต่อ)อีกว่า"...ให้บุญกุศลนำความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ จิตใจจะได้สงบ ปลอดโปร่ง แจ่มใส ได้ง่าย ที่จัดเป็นเหตุให้มองเห็นความเป็นจริงของชีวิตที่เหมือนกันทุกคน คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ เพื่อจะได้เข้าใจ สามอย่างนี้ และอยู่กับสามอย่างนี้ ด้วยความเข้าใจชัดเจน "

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-
     

แชร์หน้านี้

Loading...