อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    มืดแล้วนะครับ
    พระกริ่งชินบัญชร หลวงปู่เกลี้ยง เตชธมฺโม






    [​IMG]

     
  2. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง

    "ถวายข้าวพระพุทธรูป ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้ว

    เจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน นิพพานนี่ไปไม่ยาก ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก"

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ผู้ถาม : โดยปกติหนูต้องถวายอาหารรูปเหมือนหลวงพ่อเป็นประจำ บางครั้งต้องไปค้างที่อื่น จึงบอกกับรูปเหมือนหลวงพ่อว่า พรุ่งนี้ไม่อยู่นิมนต์หลวงพ่อไปฉันที่บ้านอื่นก่อนนะ ขอถามว่าที่

    หนูพูดอย่างนี้ จะผิดหรือเปล่าเจ้าคะ?

    หลวงพ่อ : มิน่าเล่าบางวันท้องกิ่วหิว ไม่ผิดล่ะ ถูก ก็มีอะไรผิดบ้าง ก็พูดตัวเอง ได้ยินฟังรู้เรื่องก็ถูก

    ผู้ถาม : หลวงพ่อได้ยินหรือเปล่าไม่รู้?

    หลวงพ่อ : อ้าว...ไอ้นั่นไม่ใช่ทานนะ มันเป็นการบูชา คำว่าบูชาเป็นการยอมรับนับถือ ถวายข้าวกับพระพุทธรูปนี่ไม่ใช่ถวายทาน เป็นการบูชาพระพุทธรูปใช่ไหม ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระ

    สงฆ์ ก็เป็นการบูชาพระสงฆ์ บูชา นี่แปลว่า การยอมรับนับถือ เป็นความดีของเขาเป็นอนุสสติ ถ้าประเภทนี้ตายแล้วลงนรกยาก โอกาสลงนรกนี่ยากจริงๆ เพราะว่าจิตไปจับทุกวันจิตเกาะอยู่

    จิตต้องเกาะอยู่ ที่นี่เขาถือว่าเป็นฌาน ถวายข้าวพระพุทธรูปพอถึงเวลา เราจะให้อะไรนะ หาอะไรไปถวายใช่ไหม ถวายข้าวพระพุทธรูป พระสงฆ์ถึงเวลาเราจะถวาย จิตมันคิดเสมอ นึกถึงพระ

    สงฆ์ที่เราจะถวาย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธรูป เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน และนึกไว้เป็นประจำวันนี่ก็เป็นฌานด้วย นี่อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย ถ้า

    บังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย เมื่อใกล้จะตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน

    นิพพานนี่ไปไม่ยาก ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก

    ผู้ถาม : แค่เบื่อร่างกายตัวเดียวหรือครับ?

    หลวงพ่อ : ก็เขาตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิไง

    ผู้ถาม : อ๋อ...ไม่ต้องไปไล่ตัวอื่นหรือครับ?

    หลวงพ่อ : โอ้ย...ไปไล่นะซวย มันเหนื่อย การบรรลุมรรคผลน่ะเขาไม่ได้ไล่ตามลำดับหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระอริยเจ้านะมี ๔ อันดับ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ส่วนใหญ่

    จริงๆ ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นอรหันต์ทันทีเยอะแยะ เห็นไหมล่ะ ตามพระสูตรที่เรียนมานะ บางท่านก็ติด แหงแก๋แค่พระโสดาบัน อย่างพระอานนท์นี่ ล่อพระโสดาบันซะเกือบ ๔๐ ปี

    ปี้ดป๊าดทีเดียวไปเป็นปฏิสัมภิทาญาณเลย และเก่งมากด้วย ใช่ไหม ก็มีหลายท่านอยู่ปุ๊บปั๊บเป็นอรหันต์ กันเป็นแถวๆ อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เป็นอรหันต์หมดใช่ไหม ก็เยอะแยะไป ไม่

    จำเป็นต้องบรรลุตามลำดับ ชื่อของพระอริยะ ขั้นของพระอริยะมี ๔ ขั้นจริง แต่ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามขั้น นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานขอทุกคน ถ้าหวังตามขั้นก็โง่เต็มที นี่การปฏิบัติจริงเขา

    ไม่หวังตาม ขั้นหรอก อันดับแรกสุด ถ้ากำลังเราไม่มั่นใจแน่นอนต้องยึดอารมณ์พระโสดาบันก่อน ถ้าได้ไอ้นี่แล้วก็จับพระอรหันต์ทันที

    ผู้ถาม : อ๋อ...ตีข้ามกระโดดไปเลย

    หลวงพ่อ : ไม่กระโดด นั่งเฉยๆ ตามแบบจริงๆ ท่านก็แนะนำแบบนั้น อย่างท่านพุทธโฆษาจารย์ ที่รจนาวิสุทธิมรรค ท่านก็บอกไว้ตรงว่า “บุคคลใดถ้าถึงพระโสดาบันในที่นั่งใด ให้ทำจิตเข้า

    ถึงอรหันต์ใน ที่นั่งนั้นทันที” คือว่าไม่ยากอรหันต์นี่ แค่ไม่ต้องการร่างกายเท่านั้นล่ะ ถ้าไม่ต้องการจริงๆ ก็เป็นอรหันต์ ตัดตัวเดียวคือการตัดกิเลสจริง เขาตัดสักกายทิฏฐิ ที่พระไปถามพระ

    สารีบุตรว่า "ผมเป็นปุถุชน จะเป็นพระโสดาบันเป็น อย่างไร" ก็พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม เป็นสกิทาคามีล่ะ ก็ไอ้ตัวนี้ถ้าละเอียด ก็เป็นสกิทาคามี ถ้าผมจะเป็นอนาคามี

    ก็ปฏิบัติไอ้ตัวนี้จิตละเอียดลงไปอีก เบื่อหน่ายร่างกายก็เป็นอนาคามี ต้องการเป็นอรหันต์ก็ไอ้ตัวนี้ ถ้าจิตวางเฉยได้ก็เป็นอรหันต์ พระองค์นั้นก็แน่เหมือนกัน ถามอีกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้อง

    ทำอะไรเลยใช่ไหม พระขี้เกียจนี่ พระสารีบุตรบอก ไม่ใช่ คือพระอรหันต์ทำเป็นปกติเพื่อความเป็นอยู่เป็นสุข..

    ที่มา : หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (การปฏิบัติธรรม)
    ***หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2014
  3. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    " ทำบุญไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย "

    การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย...ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น .ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วอยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็กินคนเดียวทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม
    อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐีเวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหมจึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า
    "สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมดอยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม"ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า "ไม่ยุบ"
    แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า"การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนาแต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป"
    ( หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2014
  4. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093

    พี่โญห้ามออกนอกบ้านนะครับ :boo::boo:
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    พระเจ้าตากสินลาพุทธภูมิ

    วันพระเจ้าตากสิน วันที่ ๒๘ ธันวาคม เราก็ไหว้ ไหว้พระเจ้าตากสินที่เป็นกษัตริย์ด้วย ไหว้พระเจ้าตากสินที่เป็นพระด้วย อันนี้เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าตากสินก่อนจะสวรรคตเป็นพระ แล้วก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำของท่านยังอยู่ใครอยากจะไปดู ก็ไปดู กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้

    แต่ความจริงกุฏิที่ท่านอยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำมีความผาสุกกว่านั้น เวลาท่านออกมาจากถ้ำ ท่านก็มีที่พัก มีห้องพัก ห้องร้อน ห้องเย็นของท่านตามสบายๆ แต่ความจริงไม่ได้สั่งลูกชายเป็นคนสร้าง ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้วมันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็คนแก่ด้วย ก็หมดความรัก

    ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมของท่าน ก็เป็นด้วยความเคร่งครัด คือไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า "เคร่งครัด" คือปฏิบัติตรงไปตรงมาใน "มัชฌิมาปฏิปทา" แต่ทว่า พระเจ้าตากสิน เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็น "พระโพธิสัตว์" แล้วต่อมาภายหลัง ถามภาพนิมิต ระยะเวลาใกล้ๆประมาณ มกราคม ๒๕๓๓ เอากันแค่ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓

    วันนั้นพบ พระเจ้าตากสินอีกครั้งหนึ่ง คือว่า พ.อ.สถาพรนำดาบเล่มหนึ่ง มาจากเมืองตาก เขาบอกว่า ดาบของพระเจ้าตากสิน เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่นครปฐม ซึ่งเป็นนายทหารม้ารุ่นพี่ของ พ.อ.สถาพรเมื่อคืนวันที่ ๒๙ เขามาให้ไว้ คืนนั้นก็ปรากฏว่า ตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะตั้งไว้บนเตียงที่สมควร

    พอตอนดึกเวลาประมาณสักหกทุ่ม เวลาจะนอนลงก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพพระเจ้าตากสิน สวยงามมาก มาที่ดาบ

    ถามว่า "มาทำไม?"
    ท่านบอกว่า "ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็ทำให้มันหน่อย"

    ถามว่า "ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง?"
    ท่านก็บอกว่า "ประโยชน์มี" ท่านอธิบายให้ฟัง แต่ขอปิด ไม่ใช่ปิด แต่ไม่บอกให้ทราบหลังจากนั้นก็คุยกัน

    ถามว่า "เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง?"
    ท่านบอกว่า "ยังไม่ได้ลา"

    ก็ถามว่า "ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ..?"
    ท่านบอกว่า "เวลานี้ปรากฏว่าพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็ม รอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาจากพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด?"

    ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ก็ไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหมล่ะ?"
    ท่านบอกว่า "ไปซิ! ที่มานี่ก็จะมาชวนไปด้วยกัน" ไปด้วยกัน ไปหาพระท่าน ไปถึงเมื่อกราบท่านแล้วก็ถามว่า...

    "เวลานี้ พระสิน เทวดาสินนี่ เวลานี้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ชักเอือมๆ อยากจะทราบว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว...?"

    พระท่านก็บอกว่า "จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังจากพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว"

    ก็เล่นเอาเทวดาสินหน้าซีดเซียว...ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ๓๐ พุทธสมัย ก็เลยถามพระท่านบอกว่า (พระอะไรน่ะห้ามถามนะ! ถ้าจะถามว่า ถามพระอะไร ก็บอกว่าพระก็แล้วกัน)

    "ถ้าเทวดาสินจะลาพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน"

    ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้วกำลังเหลือ ก็เหลือแค่ "เอหิภิกขุ" เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า "เอหิภิกขุ" เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ"

    ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นเทวดาต่อไป
    คำว่า "เทวดาต่อไป" ก็หมายถึงว่าเป็น "วิสุทธิเทพ" นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติรู้ได้อย่างไร ก็บอกว่า ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร ไม่มีความจำเป็น

    คนที่เห็นผีน่ะเข้าฌานหรือเปล่าล่ะ เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า มันก็เปล่า สภาพนี่ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอก แต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ มันเรื่องง่ายๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2014
  6. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448
    อีก 22 นาทีจะเคอร์ฟิวส์แล้วนะครับ

    ถึงบ้านกันหมดหรือยัง




    [​IMG]

     
  7. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์
    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    จากหนังสือตายแล้วไปไหน เรื่องที่ ๕๔จากทั้งหมด ๑๗๙ เรื่อง

    ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    เรื่องที่ ๕๔
    “..อาตมาขึ้นไปที่เทวสภาเพื่อไปหาพระกาลตามที่พระยายมราชบอก ก็พอดีท่านพระกาลออกมาจากที่ประชุมตอนนี้ท่านไม่แต่งชุดสีน้ำเงินแก่ ท่านแต่งเป็นเทวดาสวยมาก เพชรแพรว

    พราวเป็นระยับเต็มองค์ทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งหมดที่จะว่างจากเพชรไม่มี และมีแสงสว่างมาก การมีเพชรก็ต้องสังเกตว่า ถ้าธรรมดาๆ เพชรจะสว่างไม่มาก แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเพชรจะสว่าง

    มากขึ้น แต่ว่าท่านพระกาลท่านเป็นเพชรขนาดพระอนาคามี ก็มีความดีใจเพราะเห็นพระอริยเจ้า อาตมาจึงถามท่านว่า “เวลาท่านไปบอกว่าจะตาย ทำไมไม่ตายตามเวลา เทวดามีการโกหก

    ด้วยหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ผมไม่ได้โกหก ที่ผมไปบอกผมเห็นท่านไม่เกรงความตาย จะได้ตั้งใจให้มันแน่วแน่หลังจากบอกท่านแล้วท่านก็ปกติ ท่านก็ยอมรับว่าพร้อมแล้วเรื่องการตาย”

    ท่านบอก “ไม่ใช้คำว่าตายเขาใช้คำว่าไป ไปจากที่นี่ไปที่โน่น”ท่านบอกอีกว่า “ท่านไปนอนอยู่ที่นิพพานสบายใจผมก็เห็น ถึงเวลาตี ๓ ท่านลงมาผมก็เห็น” จึงถามว่า “เทวดาไม่หลับกัน

    หรือ” ท่านก็บอกว่า “เมืองเทวดาก็ดี เมืองพรหมก็ดี เมืองนิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืนกลางวัน เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มันสว่างตลอดเวลา สามแดนนี่ไม่มีการเหน็ดเหนื่อยไม่

    ต้องทำงานทำการ มีงานทางใจอย่างเดียว นึกจะไปไหนมันก็ถึงที่นั้นนึกอยากจะได้อะไรมันก็ปรากฏ ใช้ใจอย่างเดียว เมืองที่ดีจริงๆ ก็คือเมืองนิพพาน มีความสุขตลอดกาลไม่ต้องมีการเปลี่ยน

    แปลง”

    ท่านบอกอีกว่า “หน้าที่ของผมที่จะพึงรับทราบว่าใครจะเกิดหรือใครจะตายใครจะจนหรือใครจะรวย ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหนเป็นหน้าที่ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีที่ต้องการให้รู้จริงๆ

    คือบัญชีที่ท่านพระยายมราชเพราะบันทึกไว้ทั้งบุญและบาป แต่บัญชีของผมบันทึกไว้แต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ใครจะขึ้นมาอยู่สวรรค์ชั้นไหนผมรู้หมด และก่อนที่เขาจะขึ้นมาผมก็รู้ และใครจะ

    ตายเมื่อไรผมก็รู้” ถามว่า “ท่านเป็นพระกาลเพราะอะไร”ท่านบอกว่า “ตามวิสัยของผม สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ผมก็เป็นนักบวชอย่างท่าน ผมบวชได้ไม่นานนักเพียงแค่ ๑๐ พรรษาผมก็ต้อง

    ตายในขณะเป็นพระ” ถามว่า “สมัยที่บวชได้อะไร” ท่านตอบว่า “สมัยที่บวชผมได้อภิญญาโดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าก็แค่พระสกิทาคามี เมื่อตายไปแล้วก็ปฏิบัติตนถึงพระ

    อนาคามี และเวลาที่บวชอยู่ก็ดี เป็นฆราวาสก็ดีผมชอบรู้กาลเวลาของคนและของ เวลาไหนใครจะไปไหน เรียกว่าเป็นหมดดู ผมใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องดู รอบรู้ไปหมด ไอ้ตัวอยากรู้อยาก

    เห็นอย่างนี้ เมื่อตายแล้วเขาเกณฑ์ให้เป็นพระกาลเพราะนิสัยเดิมชอบอย่างนั้น และผมเองก็ชอบรู้ทั้งหมด คนทั้งโลกผมรู้หมดแต่ไม่มีหน้าที่จะพูด”

    ถ้าบรรดามนุษย์มาคุยกับผมได้ จะสนุกมาก ผมชอบคุยแต่ทว่าไม่มีใครมาคุยกับผม คนที่เขาเป็นพิสูจน์เขาบอกว่า นรกสวรรค์พิสูจน์ไม่ได้ ผมฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้าอยากพิสูจน์ได้อย่าง

    อ่อนเอาอย่างเล็กๆ เบาๆ ให้ฝึกสองในวิชชาสามให้ได้ ก็จะเห็นรกได้ เห็นเปรตได้ เห็นอสุรกายก็ได้ เมืองมนุษย์อยู่ขอบเขตแค่ไหนก็เห็นได้ สวรรค์ก็เห็นได้ พรหมโลกก็เห็นได้ ถ้าจิตสะอาด

    เห็นพระนิพพานได้ นี่อย่างเด็กๆ เห็นได้แล้วแต่ไปไม่ได้ ถ้าอยากจะไปให้ได้ด้วยก็ต้องฝึกอภิญญาอย่างอ่อนแล้วก็อย่างแก่ อย่างผมนี่สมัยที่เป็นมนุษย์เวลาจะไปไหนผมลิ่วลอยไปทั้งตัวเลย

    ไม่ใช่ไปเฉพาะอทิสสมานกาย แต่การไปทั้งตัวอย่างเข้มแข็งมันไม่ดี เพราะมันเหนื่อยต้องไปสู้แดด สู้ฝน สู้ลม สู้แบบถอดจิตหรือถอดกายภายในไปไม่ได้ อันนี้ดีกว่ามากไม่มีใครเห็นและก็ไม่

    ต้องใช้นีลกสิณไปบังไม่ให้เขาเห็น อย่างนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่นั่งตักเขายังไม่รู้เลย เขานั่งคุยกันสองคน เราไปนั่งกลางเขายังไม่รู้เลย อย่างนี้ดีกว่า อย่างท่านมานี่ท่านก็มาแต่กายในไม่

    ใช้กายนอกมา กายนอกนอนแหงแก๋อยู่ที่กุฏิ นั่นดูสิ กายนอกมันบิดไปบิดมา ตะคริวกินเห็นไหม”ก็เลยบอกว่า “ปล่อยให้ตะคริวมันกินเข้าไป มันอยากจะกินเนื้อดิบๆ ก็กินเข้าไปเถอะตามใจ

    มัน ฉันไม่สนใจมันหรอก ถ้ามันตายเมื่อไรฉันก็ไม่กลับเมื่อนั้น” ถามท่านว่า “ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” ท่านตอบว่า “ไทยยังคงเป็นไทยตลอดไปอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย

    เพราะคนไทยมีคนที่มีบุญมากปกครองอยู่” ถามว่า “ใคร”ท่านบอกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ครองที่ไหนรุ่งเรืองที่นั่น”

    ท่านพระกาลได้บอกกับอาตมาว่า “เวลานี้ผมเป็นพระอนาคามี เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ผมไม่กลับไปเกิดอีกแล้ว ผมจะต่อนิพพานโดยตรง” ถามว่า “นานไหม”

    ท่านบอกว่า “ไม่นานหรอก ท่านตายแล้วไม่กี่วันผมก็ตามไป”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2014
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093

    น่าจะโอเคหมดยกเว้นพี่เอ๊ะ เห็นว่า อยู่ที่ทำงานแล้ว :boo::boo:
     
  9. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน
    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

    "..ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ "คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต" สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
    ๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช
    ๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
    ๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ

    ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ "จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

    วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์
    พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"
    ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"
    ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
    ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่าพุทโธ ได้ไหม"
    เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"
    อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"
    เธอก็ตอบว่า "มี"
    ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"
    เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า

    "จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"

    ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
    พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
    ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"
    ถามว่า "เห็นภาพอะไร"
    ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
    ถามว่า "เห็นชัดไหม"
    ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"
    เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
    แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
    ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
    ท่านตอบว่า "เห็นพระ"
    ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
    ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"
    เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"
    ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"
    จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
    ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"
    ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่าพุทโธ"
    ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"
    ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
    รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
    เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
    เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."
     
  10. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    ออกนอกบ้าน ไม่มีใครห้ามได้ แต่ออกนอกใจนี่ซิ ลำบาก
    catt3



    [​IMG]
     
  11. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    สมเด็จพระเจ้าตากสิน ถูกประหารจริงหรือ ?

    พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์เป็นคนรักชาติ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งหลังยับเยินมาก พระองค์มีกำลัง ๕๐๐ คน ตีฟันฝ่าข้าศึกออกไป รวบรวมกำลังคนได้ไม่เกิน ๕ พันคน ก็กำลังใหญ่ๆ ๑๐ จุดของกำนันจัน (นายจันทร์หนวดเขี้ยว) นั้นแหละ กลับมากู้กรุงศรีอยุธยา สามารถกู้คนไทยได้ทั้งชาติ นี่เราก็ต้องถือว่าเป็นบารมีของพระเจ้าแผ่นดินที่สามารถรวบรวมคนสำคัญไว้ได้ เช่น พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ดี กรมพระราชวังบวรก็ดี นี่ต้องถือว่าเป็นคู่บารมี เป็นคนที่มีบุญคุณต่อประเทศชาติมาก

    เวลานั้นตอนกรุงแตกมีคนขายชาติ แต่สมัยพระเจ้าตากสินไม่มีคนขายชาติ เพราะถ้ามีคนขายชาติละก็ ถูกกำจัดเสียหมดไม่เหลือ ดูคนคิดคดทรยศอย่างพระยาสรรค์ก็ถูกประหารชีวิต การปกครองกันต้องทำกันแบบนี้จึงจะถูก ไม่ควรปล่อยให้ไอ้พวกขอมเก่าเข้ามาทำลายชาติ เวลานี้เรามักนิยมขอมเก่ากัน ทั้งๆ ที่มันทำลายชาติไทยไปตั้งหลายวาระ และมันก็อ้างว่าจะทำโน่นให้เจริญ จะทำนี่ให้เจริญ แต่มันบ่อนทำลายทุกอย่าง

    เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นมาเป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้เป็นลูกกษัตริย์ ไม่มีราชสมบัติมาก่อน การรบทัพจับศึกมีไม่ได้หยุด นึกดูก็แล้วกัน ท่านเป็นพ่อบ้าน เพียงแค่พ่อบ้านแม่เรือน ก็รู้อยู่ว่าการจับจ่ายใช้สอยมันมากมายเพียงใด ถ้าเป็นเรื่องของประเทศล่ะจะจับจ่ายใช้สอยกันมากมายขนาดไหน เงินที่ใช้สอย เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญ เงินเดือนข้าราชการของท่านก็ไม่มี ผลที่สุดในฐานะที่พระองค์มีเชื้อสายเป็นจีนมาก่อน ท่านจึงต้องอาศัยจีน คือ “ขอยืมเงินเจ้าสัวคนจีนเขามา” เพราะเป็นหนี้เบี้ยหวัด เบี้ยบำนาญข้าราชการเขาอยู่มาก

    ฉะนั้น มาบั้นปลายของชีวิต ท่านจึงมาคิดว่า “ถ้าเราเป็นกษัตริย์ต่อไป เราก็ต้องใช้หนี้เขา เงินก็ไม่มีจะใช้หนี้เขา” จึงได้เรียกสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเข้ามาพบในวังวันหนึ่ง ให้ทรงเครื่องรบขัดดาบมาด้วย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกท่านก็แปลกใจคิดว่าคงจะมีเรื่องร้าย ครั้นเข้ามาแล้วก็ปรากฏว่า พระเจ้าตากสินอยู่ ทรงอยู่องค์เดียวในห้องพระ ทรงขาวทั้งชุด นั่งชักลูกประคำ พระพุทธยอดฟ้าเห็นแบบนั้นก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะขัดดาบมาด้วย พระเจ้าตากสินเห็นเข้าก็ทรงเรียกว่า “ด้วงเรอะ เข้ามาซิ (ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน) เอาดาบเข้ามาด้วย”

    พระพุทธยอดฟ้าจะถอดดาบเก็บข้างนอก ก็จำต้องถือเข้ามา แล้ววางดาบไว้ห่างๆ หมอบคลานเข้าไปเฝ้า พระเจ้าตากสินรับสั่งว่า “หยิบดาบมาให้ใกล้”

    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เลยเอามือกระทุ้งดาบออกนอกประตูไป ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ประทับอยู่พระองค์เดียว การถือดาบเข้าไปอย่างนั้นย่อมไม่เหมาะ และอยู่ในชุดรบ

    พระเจ้าตากสินจึงถามว่า “ด้วง อยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม”

    พระพุทธยอดฟ้าก็กราบทูลว่า “ไม่เคยคิด พระพุทธเจ้าข้า”

    พระเจ้าตากสินจึงบอกว่า “ด้วง จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน”

    แล้วทรงเล่าเรื่องตามความเป็นจริงให้ทราบ แล้วบอกว่า “อีกไม่กี่วัน เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินเขา ด้วงก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ฉันไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาเลย ต้องกู้เงินเจ้าสัวเขามาจับจ่ายใช้สอย เวลานี้ฉันก็เป็นหนี้เบี้ยหวัด เงินเดือน เงินปีของข้าราชการอยู่มาก ยังชำระไม่หมด การรบทัพจับศึกก็ไม่เสร็จ ทำอยู่ตลอดเวลา การจับจ่ายใช้สอยมันก็มาก ถ้าฉันจะเอาเงินใช้หนี้เขาก็ไม่พอ เราก็จะต้องกู้หนี้ยืมสินเขาใหม่อีก และเงินเก่าเราก็ไม่มีให้เขาพร้อมทั้งดอกเบี้ย ฉันลำบากมาก

    ถ้ากระไรก็ดี ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เวลานี้เขมรแข็งเมือง ให้ด้วงยกทัพไปตีเขมรเอาลูกชาย ๒ คนของฉันไปด้วย และเมื่อไปตีเขมรได้แล้ว ไม่ต้องเอาลูกชายฉันมา ให้ครองอยู่ที่นั้น ด้วงกลับมา ด้วงเป็นกษัตริย์ สำหรับเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ข้าราชการ เบี้ยหวัด เงินปีต่างๆที่คั่งค้างฉันเตรียมไว้แล้ว และเงินอีกส่วนหนึ่งที่จะใช้เวลาที่ด้วงเป็นกษัตริย์ฉันก็เตรียมไว้แล้ว รวมเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน

    ซึ่งในระยะไม่ช้า เจ้าสัวเขาก็จะมาทวงเงินเขา ซึ่งตอนนี้แหละ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และฉันจะต้องพ้นจากตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน แต่ด้วงทำงานคราวนี้ต้องทำในรูปปฏิวัติหรือทำในรูปขบถยึดอำนาจจากฉัน แต่การยึดอำนาจกันเฉยๆใครๆเขาจะคิดว่าด้วงเป็นคนอกตัญญู เห่อเหิมมาก ฉันจะทำทีเหมือนว่าเป็นนักบวชและทำเป็นสติฟั่นเฟือน ในที่สุด กลับมาแล้วด้วงก็จับฉันประหารชีวิต แต่การประหารชีวิตฉันนั้น จะประหารจริงหรือหลอก ก็ให้เป็นวิธีการของด้วง ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ”

    เห็นไหมลูกหลานที่รัก คนดีท่านทำอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันเพื่อต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐสภา เวลาประกาศกับประชาชนก็ว่าต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนชาวไทย แต่เมื่อเลือกเข้าไปแล้วก็อยากจะเป็นรัฐมนตรีมุ่งความเป็นใหญ่

    แต่นี่พระเจ้าตากสินมหาราช ท่านไม่ต้องการอย่างนั้น เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเวลานั้นได้ทราบความจริง และสมเด็จพระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคงต้องการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่อย่างนั้นประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะว่าท่านกู้เงินของจีน ถ้าไม่มีเงินให้เขา ก็อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนน่ะ กำลังต่างกัน เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวได้ใหม่ๆ เพียงแต่จีนเขาใช้กำลังใกล้ๆกับเรา เราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาหาว่าเราโกงเขา นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้

    แต่ทว่าต่อมาภายหลัง พระยาสรรค์บุรีทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้ จับพระเจ้าตากสินเอาเสียจริงๆ จับแบบเอาจริง แต่ตอนเข้าไปจับนั้น ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ขุนดาบ ๑๐ พระยาของพระเจ้าตากสินนี่จะสู้ เพราะมีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร พระยาสรรค์บุรีไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุธยา เนื้อแท้จริงๆ ถ้ารบกันพระยาสรรค์ก็หัวขาด แต่ทว่าพระเจ้าตากสินคิดว่า ถ้าเกิดสู้กันจริงๆ งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผล เพราะว่าขุนดาบ ๑๐ พระยานี่ไม่รู้เรื่อง ถ้ารบก็ต้องรบถึงขั้นแตกหักกันจริงๆ พระองค์จึงห้ามปราม ๑๐ พระยานั่น ปล่อยให้พระยาสรรค์จับ

    เรื่องการลงโทษพระสงฆ์ของพระเจ้าตากสิน เรื่องนี้ก็หลอกกัน เมื่อพระสงฆ์ทำผิดเรียกมาสอบสวน เวลาจะลงโทษ ก็เอานักโทษมาโกนหัวเอาผ้าเหลืองนุ่งแล้วก็เฆี่ยนตี เขาก็หาว่าท่านบ้าเฆี่ยนพระ แต่ความจริงพระไม่ได้ถูกเฆี่ยน พระองค์ทำให้คนอื่นเขาเห็นว่าบ้า นี่สติฟั่นเฟือน การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ก็เป็นของธรรมดา

    เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทราบเรื่องพระยาสรรค์ทำเกินเหตุ จึงยกทัพกลับ จับพระยาสรรค์บุรีประหารชีวิตเสีย ได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีคำสั่งให้เอาพระเจ้าตากสินมหาราชมาประหารชีวิต โดยการใส่กระสอบแล้วทุบด้วยท่อนจันทน์จนตาย แต่คนที่อยู่ในกระสอบไม่ใช่พระเจ้าตากสิน ครั้งแรกมีราชองครักษ์ของพระองค์มีความจงรักภักดีมาก อาสาตายแทนพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าไม่เอา ให้เอานักโทษประหารชีวิตมาใส่กระสอบทุบด้วยท่อนจันทน์ตายแทน

    ราชองครักษ์นั่นก็ถูกฆ่าด้วยในฐานะที่รู้เรื่องเข้าเดี๋ยวปากจะมากไป และแล้วกลางคืนวันหนึ่งก็ลงเรือจากปากท่อไปยังนครศรีธรรมราช บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แถวนั้นเขาเรียกกันว่า หลวงตาพรหมา ปัจจุบันเรายังพบซากกุฏิร้างอยู่เชิงเขา แถวนั้นเป็นป่าลึก สงัดมาก ท่านเจริญพระกรรมฐานอยู่ที่นั้นจนสิ้นชีวิต

    หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็สั่งประหารชีวิตลูกชายพระเจ้าตากสิน ๒ คน บอกว่าตัดบัวแล้วจงอย่าไว้ใย แต่ปรากฏว่าลูกชายคนหนึ่งไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำงานที่นั่น อีกคนหนึ่งค้าขายเรือสำเภากับต่างประเทศ
    เป็นอันว่าพระเจ้าตากสินมหาราชก็ถูกประหารชีวิตตามรับสั่งของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามความเป็นจริงท่าน(ท่านท้าวผกาพรหม)เล่าให้ฟังอย่างนี้

    มิช้ามินานเจ้าสัวเขาก็มาทวงเงินคืนพร้อมกับเอาถ้วยโถโอชามมาขายด้วย พอเรือสำเภาของเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาในเขตจันทบุรี ตราด ก็ถูกลมสลาตันคือลมหอกลมดาบพัดกระหน่ำจนเรือจมอยู่ที่นั่น

    เป็นอันว่า ทั้งสองพระองค์ต้องยอมเสียชื่อเสียง เสียศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่ายก็ต้องขอบคุณท่าน “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยอมเสียชื่อเสียงให้คนเขาเข้าใจว่าเป็นบ้า และถูกออกจากกษัตริย์”

    สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ต้องยอมเสียชื่อในฐานะเป็นขบถ แต่ความจริงทั้งสองท่านนี้ทำเพื่อไทยทั้งชาติ ให้ชาติไทยทรงอยู่

    ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”

    คัดลอกจาก...เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
    โดย พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  12. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    การเปรียบเทียบบาปกับบุญ : หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    เรื่องนี้มีคนถามมาหลายคนว่า ทำบาปมาตั้งมากมายแต่ทำบุญนิดเดียวแล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร ก็ขอเอาถ้อยคำของพระนาคเสนกล่าวตอบพระยามิลินท์มาให้ทราบ พระนาคเสนท่านเปรียบบาปมีอุปมาเหมือนก้อนหิน บุญมีอุปมาเหมือนเรือ เรือจะใหญ่มากใหญ่น้อยจอดลอยไว้ ก้อนหินจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ถ้าเอาก้อนหินโยนลงไปในเรือ เมื่อหินตกลงไปในเรือแล้วหินจะจมน้ำไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาก้อนหินโยนลงไปในน้ำหินมันก็จม การที่หินในเรือไม่จมก็เพราะเรือขวางไว้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดจิตใจของคนก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า “จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าจิตออกจากร่างมีอารมณ์เศร้าหมองก็ไปสู่ทุคติ คือ อบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน “จิตเต ปริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าเวลาจิตจะออกจากร่างมีความบริสุทธิ์ นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติ คือสวรรค์ก่อน ถ้าหมดอำนาจของความดีคือบุญ ก็จะกลับมารับโทษตามเดิม เว้นไว้แต่บำเพ็ญบารมีต่อ ข้อนี้อุปมาได้เหมือนกับคนเรา ถ้าเป็นหนี้เขามากๆ เจ้าหนี้เขาทวง ดีไม่ดีใช้หนี้เขาไม่หมดจะต้องติดตะรางแทนหนี้ แต่ในขณะที่เจ้าหนี้ทวงอยู่นั้น บังเอิญเราถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ สัก ๒-๓ ใบ มีทุนใหญ่แล้วไม่ชำระหนี้ หนีเจ้าหนี้ไปอยู่ต่างประเทศ เจ้าหนี้ก็ไม่มีโอกาสจะทวงได้ เราก็เป็นสุขสบายเพราะทรัพย์สินที่เรามีอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผู้มีอันจะกินต่อไป กินทุนเก่าถ้าหมดทุนกลับมาที่เก่าเมื่อไร เจ้าหนี้ทวงใหม่ เมื่อนั้นก็จะมีโทษตามที่เราเป็นหนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องบุญกับบาปก็เหมือนกัน

    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุปติฎฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือ เกิดมาตั้งแต่เด็กพอทำงาน แกก็มีปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ฆ่าสัตว์เป็นอาจิณกรรม อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอามาก กาเมสุมิจฉาจาร ท่านชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ ท่านก็ชอบมาก ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทเป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ใครเขามาบอกบุญบอกทาน วัดโน้นเขาจะสร้างนั่น วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเทศน์ก็ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก ฉะนั้น ถ้าพระองค์ไม่ช่วย เธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้วจะต้องไปตกอเวจีมหานรกไล่มาตามลำดับ พอมาเป็นคนก็เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เพราะกฎของกรรมที่คนเขาบอกบุญได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์หรือพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัด

    ต่อจากนั้นก็ต้องเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เพราะใครมาบอกบุญบอกทาน เห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัย หลังจากนั้นก็มาเป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุน เป็นเศษของกรรมจึงจะหมด พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า “ถ้าเทศน์อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรจะไม่ได้พระโสดาบัน จะต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก เพราะว่ามีกรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรมคือ มีอารมณ์หยาบมาก แต่ถ้าเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบก็จะได้พระโสดาบัน โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิดคือ ไม่มีโอกาสจะลงโทษได้ เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์ ถ้ายังไม่ไปพระนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม

    พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบ เกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ ไปพระนิพพาน

    พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลาง เกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ ไปพระนิพพาน

    พระโสดบันมีอารมณ์อย่างละเอียด เกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปพระนิพพาน

    ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มี แต่ทว่าการมีขันธ์ ๕ เป็นคนก็ต้องพบกับเศษของอกุศลกรรม ในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังไม่ได้จุติ

    เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ทำความชั่วมามากแต่ว่ามีความดีนิดหนึ่งก่อนจะตาย เมื่อเป็นเทวดาก็ประมาทในความดี หลงระเริงจนตัวเองจะต้องมารับผลของความชั่ว แต่ว่าได้ดีเพราะท่านอากาสจารีเทพบุตรไปเห็นวิมานเศร้าหมอง เครื่องทิพย์เศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ ตามธรรมดาเทวดาจะมีเครื่องทิพย์ผ่องใสอยู่เสมอ วิมานก็ผ่องใส เหงื่อไม่มี ถ้ามีเหงื่อเมื่อใด เครื่องทิพย์เศร้าหมองเมื่อใด ก็แสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องตายเป็นกฎของเทวดา แต่ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรยังมีบุญอยู่ อาศัยองค์สมเด็จพระบรมครูทรงช่วยจึงพ้นจากนรกไป เมื่อเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ชื่อว่ามีความสุขพ้นจากแดนอบายภูมิแน่นอน...”
     
  13. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093

    เจอมุขนี้แล้ว ชักอยากออกไปข้างนอกแล้วสิ rabbit_run_away
     
  14. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448

    จะไปนั่งซ้อนมอไซค์หร๊าาาา.....:cool::cool::cool:


    [​IMG]
     
  15. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093

    ถ้าไม่ติดเคอฟิวส์นี่นา



    ได้เวลาเหมือนเมื่อคืนเลย อยากหลับ 555
     
  16. Keal88

    Keal88 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +12,139
    สวัสดีพี่ๆทุกๆท่านคับ
    [​IMG]
     
  17. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    [​IMG]
     
  18. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    [​IMG]
     
  19. MrCHAN

    MrCHAN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5,812
    ค่าพลัง:
    +97,448


    ;aa44 สวัสดีครับน้องเคี้ยว



    [​IMG]
     
  20. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,031
    ค่าพลัง:
    +53,093
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...