จิตไม่เที่ยง จิตเกิดดับ ใครว่า จิตเที่ยง จิตดับไม่มี นี่เป็นความเห็นผิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้, 5 พฤศจิกายน 2014.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    สิ่งที่รู้และกล่าวมานั่นเป็นสิ่งผิดหรือถูกให้คิดดู ถ้าวางตนเป็นศรัตรูและทำบาปกับพระศาสดา แล้วเพื่อหวังจะได้เป็น พระปัจเจกะพุทธา นั่นหรือหนาเป็นวิธีที่ถูกจงคิดดู

    ความเป็นปัจเจกพุทธา จักเป็นเพราะเหตุใด ท่านรู้หรือไม่ ท่านลองอ่านตำหรับตำราให้ดี พระปัจเจกสำเร็จได้เพราะวาสนาบารมีเดิมที่สั่งสมมา ส่วนหนึ่งสำเร็จตามปณิธาณที่ตั้งมา ส่วนหนึ่งสำเร็จเพราะปราถนาตรัสรู้ แต่รู้ตนดีว่าไม่สามารถสอนใครได้ก็มี

    เพราะปัญญารู้ในหตุไม่มากพอ แล้วทำไมไม่ตรวจดูเหตุให้มากพอละ จะได้รู้จริง จะได้เข้าถึงความจริง คนเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะประมาทในธรรมเป็นอย่างนี้นี่เอง คงต้องโทษตนเองครับ สาธุ
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========

    แม่นแล้ว อรหันตจิตเขาไม่มาดูหางอี่งหรอกหรือมาติดใจกับหางอึ่งหรอก

    ผมเองก็ไม่ได้ติตหางอึ่ง แค่หยิบใบไม้อีกใบที่ติดอยู่ที่หางอึ่งให้ดู เมื่อท่านใดเข้าใจพอใจดูแล้วก็ปล่อยวางทั้งหางอึ่งและใบไม้ ลงก็เท่านั้น

    แต่ถ้าท่านใดไม่ถูกใจ เฟี่ยงหางอึ่งออกไประวังมันจะฟาดเข้าที่มือตนเอง หรือระวังหางอึ่งที่ท่านไม่พอใจหรือพอใจก็ดี เหม็นติดมือท่านนะครับ

    สำหรับผม ไม่เหม็นเพราะไม่ได้ถือไว้แค่เห็นแค่ดูแค่รู้แล้ววางเฉยๆๆครับ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หลวงตามหาบัวท่านเป็นแบบอย่าง

    เวลาท่านเทศนา ท่านกล่าวได้ดุเด็ดเผ็ดร้อน ท่านสอนไว้เสมอว่า
    กิเลสมาร เป็นเรื่องที่ต้องเอาจริงเอาจังสู้กับมัน จะมาโอนอ่อนผ่อนตามผ่อนผันกับมันไม่ได้ ต้องสู้กันให้มันพ่ายไปให้ได้ ความจริงมันก็ต้องแลกมาด้วย สิ่งที่เรียกว่าจริง อย่างหนึ่งจริงที่สำคัญคือคือความตั้งใจจริง มีจิตใจเด็ดเดี่ยวจริง ถ้าไม่อย่างนั้น ท่านจะเอาอะไรไปสู่กับกิเลสมาร ถ้าท่านตั้งใจจริง ท่านก็ย่อมสามารถชนะกิเลสมารได้จริงครับ สาธุ
     
  4. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    > ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าอรูปพรหมมีกี่สภาวะ อรูปพรหมนอกจากเกิดจากสภาวะอรูปฌาณแล้วยังเกิดจากสภาวะใดได้อีก หรือไม่มีแล้ว เพราะตำราบอกไว้แค่นั้น

    อรูปพรหมมี 4 สภาวะครับคือ
    - อากาสานัญจายตนะ (อยู่กับความว่างไม่มีที่สิ้นสุด)
    - วิญญาณัญจายตนะ (อยู่กับความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด)
    - อากิญจัญญายตนะ (อยู่กับความไม่มีอะไร)
    - เนวสัญญานาสัญญายตนะ (อยู่ในสภาวะที่สัญญามีเหลืออยู่น้อยมาก มีเหมือนไม่มี)

    ทุกสภาวะนั้นละความรู้สึกในรูป เพราะเห็นว่ารูปนำทุกข์มาให้ จึงไม่ใส่ใจในรูปขันธ์

    นอกจาก อรูปฌาน แล้ว ไม่มีทางที่จะไปเกิดเป็นพรหมไร้รูปได้ครับ
    ยกเว้นว่า เป็น รูปพรหม ที่หายตัวแล้วคิดไปว่า เป็นอรูปพรหม ไงครับ 555

    >และผู้ที่ได้ฌาณ4 ที่ปล่อยวางทุกข์สุขหมดสิ้น สงบว่างเฉยๆ อย่างนี้จะไปเกิดในรูปพรหมหรืออรูปพรหม

    เป็นได้ทั้ง 2 อย่างครับ
    ถ้าใส่ใจในรูปก็เป็น รูปพรหม
    ถ้าไม่ใส่ใจในรูปก็ เข้า อรูปฌาน เป็นอรูปพรหม

    >หรืออย่างพระอรหันต์นี่ท่านเป็นอรูปพรหม หรือรูปพรหม หรือท่านเป็นยิ่งกว่า แล้ว

    พระอรหันต์ท่าน ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นครับ
    เพราะ ทั้งหมดนั้นคือ สมมุติ พระอรหันต์ ก็ไม่คิดว่าตัวท่านเองเป็นพระอรหันต์ด้วย ท่านเห็นแต่รูปนาม เกิดดับ บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน

    เพียงแต่เรียกชื่อเพื่อสมมุติให้สื่อสารกับคนทั่วไปเข้าใจได้เท่านั้น

    แต่พระอรหันต์ เข้า รูปฌาน หรือ อรูปฌาน ในขณะที่ยังดำรงขันธ์ได้อยู่ครับ เพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ของท่าน

    เช่น พระพุทธเจ้าเข้า รูปฌานและอรูปฌาน ก่อนท่านปรินิพพาน

    แต่พระอรหันต์ไม่ติด ไม่ยึดถือ จึงไม่เกิดในภพใดๆอีก
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    งง หละซี่

    ไม่เคย ทำสิกขา ว่าด้วย จิต เป็น สิ่งเกิด ดับ รวดเร็ว ว่องไว ไง

    มัวแต่เห็น จิตเที่ยง เป็นเงี่ยง มี อวตง อวตาล ตอตาลตำตูด ตายใต้คาตอต้นตาล

    ถ้า คนภาวนาเป็น นิหน่อย เข้าใจ สิกขากบท แบบ ลิมลาง งูแล๊บลิ้น เขา
    ก็ทราบแล้วว่า " โอ้โห ไว ปานนั้น " ถ้าไม่ใช่ ปัจจัยอย่างนั้น จะฝึกความ
    ไวอย่างนั้นได้ไหม พอเข้าใจ ก็ อ๋อ ทำไมถึงได้ บวช ตามฏีกาของพระพุทธองค์

    คนภาวนาไม่เป็น งับจิต เห็นจิตเป็น ปูเสฉวน ก็ งง วันยันค่ำ

    อัพยากตาธรรมา งง
    กุศลาธรรมมา ก็ งง

    อกุศลธรรมมา ก็ งง เต๊ก

    เพราะอะไร

    เพราะ งับจิต

    ถ้าไม่ งับจิต อ้าว มะเห็นมีอะไร อะไรที่เป็นประโยชน์เพื่อปฏิปทา พระพุทธองค์ตรัสประโยชน์เหล่านั้นหมดแล้ว

    แต่ถ้า งับจิต ภาวนาไม่เป็น ก็จะ โน้น นั่น นี่ จริงอย่างโน้น จริงอย่างนี้ พระพุทธองค์ไม่ได้ ตรัสเป็นประโยชน์ไว้ให้

    แต่ถ้า ภาวนาเป็น ไม่งับจิต " อะไรที่จริงสักปากไหน หากไม่เป็นประโยชน์ " ต่อให้มันจริง แต่ไม่เป็นประโยชน์
    ต่อมรรคปฏิบัติ พูดเมื่อไหร่ เขาเรียกว่า ผิดศีลครับท่าน !!!


    ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ตรัสสิ่งที่เป็นประโยชน์ และ จริง ครบถ้วนหมดแล้ว

    พวก ที่สร้างข้อวัตร ปฏิปทา อื่น มากลบสัทธรรม เขาเรียกว่า พวกเอา ไม้ขี้ครอก มาตอกลิ่ม ลงในกลองจัญไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2014
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จิตที่ละรูปได้มีสามลักษณะ ตามความเข้าใจของกระผมคือ

    1ละรูปได้เพราะอาศัย ฌาณ4 เต็มกำลัง กับอรูปฌาณ5-8
    2ละรูปได้เพราะอาศัย อุเบกขาญาณ
    3ละรูปได้เพราะอาศัย ญาณทัสนะดับรูป

    และจากเหตุปัจจัยทั้งสาม ท่านเข้าใจว่าอย่างไร แล้วผลที่เกิด ย่อมแตกต่างกัน อย่างไร ความเป็นอรูปพรหม ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างไร ท่านไม่ต้องตอบแต่ให้ลองทบทวนดูว่า มันเป็นไปได้หรือไม่ หรือเป็นไปได้เพียงส่วนเดียว
    ทั้งสามอาศัยกำลังสมาธิแต่เป็นสมาธิคนละอย่างกัน แต่ผลที่ได้รับมีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกัน

    หาตำราอ่านคงทราบได้เพียงส่วนเดียวคือไม่ทั้งหมด ถ้าจะให้ทั้งหมดท่านก็ต้องปฏิบัติดูทำไปให้ถึง เมื่อถึงแล้วรู้แล้วก็ปล่อยวาง สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ธรรมารมณ์ สภาวะ ก็เท่านั้นครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    พระอนาคามี รูปราคะ ดับหมดแล้วดับสนิทแล้วครับ ท่าน
     
  8. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    เพราะอะไร จึงละรูปราคะ ได้ดับสนิท ?
     
  9. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ถ้าดับสนิทจริง ทำไม tjs อ้างว่า
    พระอนาคามี กลับมาเกิดในภพมนุษย์ได้อีกล่ะครับ

    มนุษย์ก็มีรูป และเป็นรูประดับหยาบๆด้วยซ้ำ

    นี่ก็พูดขัดแย้งกันเองอีกแล้ว
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    เป็นการเกิดหรือสร้างภพ โดยไม่ได้ใช่รูปเป็นปัจจัย ครับ

    แต่อย่างที่เคยกล่าวคือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะว่า เมื่อรูปดับ ฝ่ายนาม หลายอย่างก็ดับตามลงไปด้วยครับ

    นามละเอียดที่เหลือส่วนน้อยนั้น ปกติแล้วไม่มีกำลังหนุนส่งให้ไปสร้างภพ มาเกิดใหม่ ยกเว้นกรณีที่ผมว่าเท่านั้นครับ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากที่ไม่มีในตำราครับ ที่เราถกกันอยู่นั่นเองครับ แต่ผมคิดว่า เรื่องนี้ น่าจะยุติได้แล้วครับ ผมเห็นว่าไร้สาระมากสำหรับผมนะครับ สาธุ
     
  11. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ตามที่คุณธรรมแท้ เคยยกมา ว่าสามารถบรรลุในอรูปฌาณได้
    ก็น่าจะไปบรรลุที่อรูปฌานนั่น..??
    โดยนัยที่ว่า สามารถเจริญภาวนาเป็นแล้ว..

    คือ น่าจะเป็นอริยะบุคคล แล้วได้อรูปฌานขณะตาย..?
    คือ..เวลาตาย คนที่มีสติ ก็จะเจริญภาวนาได้..
    ก็สามารถไปเจริญภาวนาต่อที่อรูปได้ ก็น่าจะมี โสดาบัน สกทาคามี พระอนาคามี
    (พระอนาคามี ถ้ายังไม่ตาย ก็คงเป็นพระอนาคามี ถ้าตายโดยไม่ได้เจริญภาวนา คงไปเกิดเป็นพรหมสุทธาวาส)
    และรวมปุถุชนด้วยหรือไม่...? อาจจะรวม ถ้าเขาเจริญวิปัสสนาได้..

    อันนี้.. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน.. เป็นข้อสันนิษฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2014
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็ค่อนข้างจะยากมาก

    ดูเหมือนพระอรหันต์ ไม่แน่ใจฯ หรือยังไม่ได้เป็น??
    ถ้ายังไม่เป็น ก็คงหมายถึงปุถุชน (หรืออาจรวมพระเสขะ??)
    แต่มีความสามารถในการเจริญภาวนา ถึงขั้นอุเบกขาสัมโพชฌงค์..??
    จะไปปรินิพพานที่อรูปได้ (ซึ่งพระอรหันต์พระอเสขะน่าจะจบกิจไปแล้ว)
    ใครสนใจ ลองศึกษาดูจ๊ะ..

    อาเนญชสัปปายสูตร (๑๐๖)

    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณา
    เห็นดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญา ทั้งที่มีใน
    ภพนี้ ทั้งที่มีในภพนี้ รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และรูปสัญญา
    ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และอาเนญชสัญญา อากิญจัญญายตนสัญญา
    สัญญาทั้งหมดนี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั่นคือเนวสัญญานาสัญญายตนะอันดี
    ประณีต เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อม
    ผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือ
    จะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปใน
    ภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพเนวสัญญานาสัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็น
    ที่สบาย ฯ
    [๘๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูล
    พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ
    แล้วอย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และ
    จักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ภิกษุนั้นพึงปรินิพพานหรือหนอ หรือว่าไม่พึงปรินิพพาน ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุบางรูปพึงปรินิพพานในอัตภาพ
    นี้ก็มี บางรูปไม่พึงปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ภิกษุ
    บางรูปปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่ปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี ฯ
    [๙๐] พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้
    ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา
    เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย เธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขา
    นั้นอยู่ เมื่อเธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณย่อมเป็นอันอาศัย
    อุเบกขานั้น ยึดมั่นอุเบกขานั้น ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้มีความยึดมั่นอยู่ ย่อมปรินิพพาน
    ไม่ได้ ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา จะเข้าถือเอาที่ไหน ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ย่อมเข้าถือเอาเนวสัญญานาสัญญายตนภพ ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทราบว่า ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา
    ชื่อว่าย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาหรือ ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐ
    สุดที่ควรเข้าถือเอาได้ ก็แดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้นี้ คือ เนวสัญญา-
    *นาสัญญายตนะ ฯ
    [๙๑] ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อม
    ได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา
    เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย เธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจ
    อุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณก็
    ไม่เป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น และไม่ยึดมั่นอุเบกขานั้น ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ไม่มี
    ความยึดมั่น ย่อมปรินิพพานได้ ฯ
    อา. น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้าข้า ไม่น่าเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า
    อาศัยเหตุนี้ เป็นอันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสบอกปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะแก่
    พวกข้าพระองค์แล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิโมกข์ของพระอริยะเป็นไฉน ฯ
    [๙๒] พ. ดูกรอานนท์ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้
    ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มี
    ในภพหน้า ซึ่งรูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้
    ทั้งที่มีในภพหน้า ซึ่งอาเนญชสัญญา ซึ่งอากิญจัญญายตนสัญญา ซึ่งเนวสัญญา-
    *นาสัญญายตนสัญญา ซึ่งสักกายะเท่าที่มีอยู่นี้ ซึ่งอมตะ คือความหลุดพ้นแห่งจิต
    เพราะไม่ถือมั่น ดูกรอานนท์ ด้วยประการนี้แล เราแสดงปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติ
    เป็นที่สบายแล้ว เราแสดงปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว เรา
    แสดงปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว อาศัยเหตุนี้ เป็น
    อันเราแสดงปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะ คือวิโมกข์ของพระอริยะแล้ว ดูกรอานนท์
    กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์
    พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราทำแล้วแก่พวกเธอ ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้
    นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนใน
    ภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ชื่นชมยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=1440&Z=1570
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2014
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===========

    กล่าวได้ชอบแล้วครับ ยิ่งถ้าเราเดินสมาธิฌาณสลับกับวิปัสสนาญาณ เป็นปกติ สภาวะมันปรากฏ เมื่อทำบ่อยๆมันรับรู้ธรรมารมณ์ละเอียด ยิ่งเวลาที่เคลื่อนไปมาระหว่างฌาณ4,5,6,7,8สลับกับสังขาอุเบปขาญาณ แบบทำบ่อยๆจนชำนาญ จะเข้าใจสภาวะจิตในขณะนั้นดี

    ความจริงพูดให้ลึกลงไปคือ ก็เรามันไม่มีจริง มันก็แค่จิตที่มาเกาะอยู่กับกายเน่าๆ ก็เท่านั้น

    รู้ที่เกิดดับ พร้อมไปกับกายเน่าๆที่อยากสารพัดอยากของมันก็เท่านั้น
    แรกๆก็เบื่อหน่ายเป็นที่สุด แต่เมื่อมีปัญญาเข้าใจมันก็วางได้เองแบบวางได้เป็นแบบไม่ทุกข์ ไม่สุข กลางๆครับ สาธุ
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    คือความเป็นไปได้มันก็มีหมดแหละนะ เพราะว่ามันไม่มีอะไรเที่ยง
    สาระสำคัญอยู่ตรงที่ออกจากทุกข์เป็นหรือเปล่า แก้ปัญหาได้ไหม
    ถ้าออกได้ แก้เป็นก็จบแค่นั้น ไม่มีอะไร ถ้าไม่ได้ก็ไปดูว่ามันถูกทางไหม
    ก็ปรับปรุงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมไปเรื่อย กิเลส ตัณหา อุปาทาน ว่ากันไป..

    เรื่องความเป็นอนิจจัง

    เมื่อก่อนครูบาอาจารย์ก็มีทั้งสอนทั้งขนาบเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกัน
    อย่าง ลพ.ที่ขอนแก่น เคยมีคนไปถามท่านเรื่องคนธรรมดาถ้าบรรลุอรหันต์
    ถ้าไม่บวช จะตายภายใน ๗ วันใช่ไหม ท่านตอบว่า อยู่ที่วิบากกรรม
    ถ้าถึงคราวตายก็ต้องตาย ไม่ถึงคราวตายยังไงก็ยังไม่ตาย

    อีกคราวนึง มีข่าวว่า ท่านจะละสังขารภายในปีนั้น ๆ ท่านบอกเองด้วยซ้ำ
    ลูกศิษย์ก็พากันเสียดายที่ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่ต่อมาท่านก็อยู่ได้ ถือว่าเป็นข่าวดี
    เรื่องนี้ผมไม่ติดใจอะไร เพราะเชื่อเรื่องวิบากกรรมตามที่ท่านเคยสอนนั่นเอง

    กับครูบาอาจารย์อีกรูปนึง ผมเคยมีความเข้าใจว่า
    การปฏิบัติต้องเป็นไปตามขั้นตอน อย่างนี้ ๆ เท่านั้น
    ฟังจากท่านเอง ท่านก็สอน มันมีขั้นตอนประมาณนั้น
    แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ท่านไม่ให้ยึดว่าต้องเป็นอย่างที่คิดเสมอไป
    ท่านบอกว่า มันเป็นไปได้หมด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็เที่ยงนะสิ
    อีกอย่างทุกอย่างย่อมพลิกแพลง ถ้าเข้าใจแล้วพลิกเข้ามาในทางได้หมด
    คือสรุปว่า ท่านสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นยึดติดในความเห็นของตน ๆ นั่นเอง

    ความบริสุทธิ์ของครูบาอาจารย์เคยได้เข้าใกล้ก็ได้เรียนรู้ปฏิปทาของท่าน
    เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง เห็นความหมดจด มีคราวนึงที่เผลอทำเป็นรู้ดีเถียงท่าน
    เถียงนี่ไม่ใช่เถียงคอเป็นเอ็นนะ แค่ความเห็นไม่ตรงกัน ไม่ใช่เรื่องปฏิบัตินะ
    เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป เรื่องงาน เช่นน่าจะทำนั่น ๑ ๒ ๓ ตามลำดับแบบนี้ แล้ว
    เรียงลำดับไม่เหมือนกัน เราก็ว่าอย่างนี้ ท่านก็ว่าอีกอย่าง ออกความเห็นไปมา
    จู่ ๆ ท่านก็วางปุ๊บ มันรู้สึกเลยนะ หายเงียบไปเฉย ๆ ปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    แล้วแต่โยม.. ได้เข้าใจขึ้นมาทันที ท่านไม่มาปะทะด้วย เหมือนได้เรียนรู้ เรื่องมหากิริยาจิตของครูบาอาจารย์

    ที่เล่าไปพอเห็นปฏิปทาอะไรบางอย่างไหมครับ ไม่เห็นไม่เป็นไร
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คือเรื่องไตรลักษณ์ ไม่ได้ติดใจ

    เราน่ะ ติดใจ ตรงที่คุณ tjs บอกว่าปฏิบัติได้มากกว่าในพระไตรปิฏกบางเรื่องอ่ะจ๊ะ..
    อย่างนั้น ถ้าเชี่ยวฌาน ก็ต้อง มีฤทธิ์ อ่ะดิจ๊ะ
    เพราะเรื่องพวกนี้ มาทางอภิญญาและปัญญา เพราะความเป็นไปโดยเข้าไปรู้ทางจิตด้วย
    ..
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    อาเนญชสัปปายสูตร (๑๐๖)

    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณา
    เห็นดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญา ทั้งที่มีใน
    ภพนี้ ทั้งที่มีในภพนี้ รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และรูปสัญญา
    ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และอาเนญชสัญญา อากิญจัญญายตนสัญญา
    สัญญาทั้งหมดนี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั่นคือเนวสัญญานาสัญญายตนะอันดี
    ประณีต เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อม
    ผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส ก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือ
    จะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปใน
    ภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพเนวสัญญานาสัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็น
    ที่สบาย ฯ
    [๘๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูล
    พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ
    แล้วอย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และ
    จักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ภิกษุนั้นพึงปรินิพพานหรือหนอ หรือว่าไม่พึงปรินิพพาน ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุบางรูปพึงปรินิพพานในอัตภาพ
    นี้ก็มี บางรูปไม่พึงปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ภิกษุ
    บางรูปปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่ปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี ฯ
    [๙๐] พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้
    ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา
    เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย เธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขา
    นั้นอยู่ เมื่อเธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณย่อมเป็นอันอาศัย
    อุเบกขานั้น ยึดมั่นอุเบกขานั้น ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้มีความยึดมั่นอยู่ ย่อมปรินิพพาน
    ไม่ได้ ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา จะเข้าถือเอาที่ไหน ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ย่อมเข้าถือเอาเนวสัญญานาสัญญายตนภพ ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทราบว่า ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา
    ชื่อว่าย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาหรือ ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐ
    สุดที่ควรเข้าถือเอาได้ ก็แดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้นี้ คือ เนวสัญญา-
    *นาสัญญายตนะ ฯ
    [๙๑] ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อม
    ได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา
    เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย เธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจ
    อุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณก็
    ไม่เป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น และไม่ยึดมั่นอุเบกขานั้น ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ไม่มี
    ความยึดมั่น ย่อมปรินิพพานได้ ฯ
    อา. น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้าข้า ไม่น่าเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า
    อาศัยเหตุนี้ เป็นอันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสบอกปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะแก่
    พวกข้าพระองค์แล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิโมกข์ของพระอริยะเป็นไฉน ฯ
    [๙๒] พ. ดูกรอานนท์ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้
    ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มี
    ในภพหน้า ซึ่งรูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้
    ทั้งที่มีในภพหน้า ซึ่งอาเนญชสัญญา ซึ่งอากิญจัญญายตนสัญญา ซึ่งเนวสัญญา-
    *นาสัญญายตนสัญญา ซึ่งสักกายะเท่าที่มีอยู่นี้ ซึ่งอมตะ คือความหลุดพ้นแห่งจิต
    เพราะไม่ถือมั่น ดูกรอานนท์ ด้วยประการนี้แล เราแสดงปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติ
    เป็นที่สบายแล้ว เราแสดงปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว เรา
    แสดงปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว อาศัยเหตุนี้ เป็น
    อันเราแสดงปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะ คือวิโมกข์ของพระอริยะแล้ว ดูกรอานนท์
    กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์
    พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราทำแล้วแก่พวกเธอ ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้
    นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนใน
    ภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ชื่นชมยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
    =========================

    ขอบคุณที่ยกพระสูตรมา สรุปได้ว่าสิ่งที่ผมกล่าวไว้คือ

    1ละรูปได้เพราะอาศัย ฌาณ4 เต็มกำลัง กับอรูปฌาณ5-8
    2ละรูปได้เพราะอาศัย อุเบกขาญาณ
    3ละรูปได้เพราะอาศัย ญาณทัสนะดับรูป

    และจากเหตุปัจจัยทั้งสาม ท่านเข้าใจว่าอย่างไร แล้วผลที่เกิด ย่อมแตกต่างกัน อย่างไร ความเป็นอรูปพรหม ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างไร ท่านไม่ต้องตอบแต่ให้ลองทบทวนดูว่า มันเป็นไปได้หรือไม่ หรือเป็นไปได้เพียงส่วนเดียว
    ทั้งสามอาศัยกำลังสมาธิแต่เป็นสมาธิคนละอย่างกัน แต่ผลที่ได้รับมีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกัน

    หาตำราอ่านคงทราบได้เพียงส่วนเดียวคือไม่ทั้งหมด ถ้าจะให้ทั้งหมดท่านก็ต้องปฏิบัติดูทำไปให้ถึง เมื่อถึงแล้วรู้แล้วก็ปล่อยวาง สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ธรรมารมณ์ สภาวะ ก็เท่านั้นครับ


    อันเป็นสภาวะที่มีที่เกิดขึ้น แน่นอนเป็นจริงตามที่พระสูตรกล่าวไว้ อันความเคลื่อนไปของจิต ย่อมอาศัยเหตุ แห่งความยึดมั่นและความไม่ยึดมั่น นั่นเองครับ สาธุ
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คือว่า เราติดใจ ตรงที่ tjs บอกว่าปฏิบัติมามากกว่าพระไตรปิฎก บางเรื่องอ่ะนะ
    ขนาดยกพระโพธิสัตว์มาด้วย..

    เราว่า เรื่องมากมายในพระไตรปิฎก ยังไม่รู้กันอีกมากด้วยซ้ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2014
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    เรื่องฤทธิ์ ยอมรับว่าผมไม่ชำนาญ มีเพียงส่วนน้อยนิด แต่ถ้าในด้านอื่นๆเช่น ด้านทิพยจักษู ทิพยโสต อตีตังคสญาณ เจโตปริยญาณ การดับไปเคลื่อนไปของจิต หรืออื่นๆ อีกหลายอย่าง ก็ทำได้พอประมาณ แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้ใช้แบบพรำ่เพรื่อ แต่ต้องตามเหตุปัจจัยที่สำคัญ
    พระอรหันต์มีหลายประเภท พระอนาคามีก็มีหลายประเภท อภิญญาก็มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับวาสนาเดิมและความเพียรในปัจจุบัน
    อย่างผมเรียนตามตรงว่า ยังไม่ถึงพระอนาคามีหรอกครับ ผมรู้กำลังของตนดีครับ แต่ผมตั้งใจไว้แล้วว่า เราจะพิสูจน์จิตตนด้วยธุดงควัตรเท่านั้น

    ถ้าเราทำได้จริง นั่นแสดงว่าผลที่ได้รับย่อม ชนะกิเลส เครื่องปรุงแต่งได้แล้วอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้น ก็คงกล้าแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้อย่างเต็มกำลัง ครับ สาธุ

    อีกนิดเรื่องฤทธิ์ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด สำหรับความเข้าใจของผมนะครับ เพราะต้องอาศัยกำลังจากจิตสูงมาก ต้องแยกรูปนามแยกจิต ขาดออกจากกัน ได้จริงจนชำนาญมากและรู้จักใช้กำลังจิต เป็นไปเพื่อฤทธิ์นานาประการ และตัวอิทธิฤทธิ์นี้นอกจากทำได้ยากแล้ว ยังเสื่อมได้ง่าย ถ้าไม่ใช่พระอนาคามีหรือพระอรหันต์นี่ยาก เพราะสำหรับพระอรหันต์หรือพระอนาคามีที่รู้วิธี ท่านทำให้ฤทธิ์ของท่านไม่เสื่อมได้ ท่านรู้วิธี ถามว่าทำอย่างไร ตอบว่า ก็ทำให้เป็นอภิญญาโลกุตระ แล้วอภิญญาโลกุตระทำอย่างไร ท่านบอกว่าพูดไปก็ไม่เข้าใจ ไปธุดงให้ได้ให้ผ่านก่อน เดี่ยวจะเข้าใจจะเป็นจะรู้เองครับ
     
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ใช่ครับ ไร้สาระมาก ที่ไปเชื่อว่า พระอนาคามี กลับมาเกิดเป็น คน หรือ เป็น พระพุทธเจ้าในชาติถัดไป

    อย่าเรียกว่า น้อยมากเลยครับ ต้องบอกว่า ไม่มีเลยครับ

    สรุป นะครับ
    1. พระอนาคามี ที่ไป เกิดในพระพรหมชั้นสุทธาวาส
    (ชั้นสุทธาวาสนะครับ ไม่ใช่อรูปพรหม)
    นั้น มีรูปครับ เพราะ พรหมชั้นสุทธาวาส เป็นรูปพรหม
    พระอนาคามียังละสังโยชน์ว่าด้วย รูปราคะ ไม่ได้ อย่างเด็ดขาด

    อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า เป็น พระพรหมสุทธาวาส เป็นอรูปพรหม

    2. พระอนาคามี ไม่กลับมาเกิดในกามภพ อีกต่อไปแล้วครับ ทั้ง มนุษย์และเทวดา ยิ่งกลับมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี่ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด

    เพราะพระอนาคามีนั้น เป็นสาวกภูมิ เมื่อเป็นสาวกภูมิระดับอริยสาวกที่บรรลุธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเสียเองในการเกิดครั้งต่อไป

    เพราะถ้าปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีทางบรรลุธรรมได้แม้กระทั่ง พระโสดาบัน ที่เป็นขั้นแรกสุด เนื่องจาก สัญญาปณิธานจะมาขัดขวางการบรรลุธรรม ย้ำเตือนว่าต้องสร้างบารมีเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้ายังไงล่ะครับ

    ถ้าบรรลุธรรมแล้ว แม้พระโสดาบัน ก็เกิดอีกอย่างมากไม่เกิน 7 ชาติ บารมีไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะ พระพุทธเจ้าต้องสะสมบารมีนับไม่ถ้วน ไม่ต่ำกว่า 4 อสงไขยกับอีกเเสนมหากัป

    ผมว่ามีเหตุผลชัดเจนตรงประเด็นและเพียงพอแล้วนะครับ
    ทั้งเคยยกที่พระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่า เป็นไปไม่ได้ แม้แต่น้อยนิดก็ตาม เพราะเหตุปัจจัยคือสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งห้า ละได้ถาวรแล้ว จึงไม่เกิดในกามภพอีก

    ถ้าเกิดอีก นั่นไม่ใช่พระอนาคามี ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง
    ก็ไม่ต่างกับพวก ชีเปลือยที่ คนไม่รู้เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ไงครับ
    แต่คำว่าอรหันต์ของเขา ไม่ตรงกับความหมายที่พระพุทธเจ้าสอน

    คุณ tjs จะเอานิยามของเดียรถีย์ ว่าพระอนาคามีมาเกิดอีกได้ แม้จะน้อยนิด หรือพรหมชั้นสุทธาวาสเป็นอรูปพรหม ก็ตามใจคุณแล้วกันครับ

    ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เรียกโต๊ะว่าเก้าอี้ หรือเรียก ผู้หญิงว่าผู้ชาย
    ก็ถูกของคุณเพียงคนเดียวไงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2014
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===================

    ครับ ตามนั้นครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...